คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๗ ตค. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
เสาร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ทำภาระกิจที่ได้รับมอบหมายมาให้ลุล่วงไป ตามหน้าที่ของศิษย์เก่าของสถาบัน
เมื่อเสร็จภาระกิจ ชีวิตก็กลับมาเหมือนเดิม คือการเดินตามความใฝ่ฝันที่ได้ตั้งใจไว้
มีบางครั้งที่รู้สึกท้อแท้และเบื่อหน่ายต่อสังคม แต่เมื่อสติระลึกได้ก็ปรับความรู้สึกได้
ละวางซึ่งอารมณ์นั้น เป็นธรรมดาของชีวิตและความคิดที่เกิดขึ้น เพราะมันมีเหตุและ
ปัจจัย"ธรรมารมณ์สิ่งที่มากระทบจิต" ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด เรียกว่าจิตไปเสพรับรู้
ซึ่งอารมณ์นั้น และปรุงแต่งมันให้มีกำลังเพิ่มขึ้น ถ้าไม่รู้จักควบคุมใจหมั่นดูจิตของตน
ปล่อยให้ความคิดมันปรุงแต่งไป ใจนั้นก็จะเป็นทุกข์เพราะเข้าไปยึดถือ ครูบาอาจารย์
ท่านสอนเสมอว่า "ดูหนังดูละคร แล้วให้ย้อนมาดูจิต มาดูความคิดของตัวเราเอง"
เป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ มีสติอยู่กับ กาย เวทนา จิต ธรรม มีความสำรวมอินทรีย์
โดยมีสติกำกับอยู่ เพื่อให้รู้กายรู้จิตรู้ความคิดและรู้การกระทำ ในปัจจุบันธรรมทั้งหลาย....
ระลึกถึงคำครูบาอาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ "จิตที่ส่งออก เป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิต
ที่ส่งออกนอกเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ "
การเจริญวิปัสสนาคือการเจริญสติปัฏฐานสี่ คือการบำเพ็ญภาวนากุศล การฝึกตน
ให้มีสติอยู่กับรูปและนาม คือความเป็นผู้ไม่ประมาทไม่อยู่ปราศจากสติ ผู้นั้นจึงได้ชื่อว่า
ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเป็นมัชฌิมาคือสายกลาง ปฏิบัติถูกต้องตามพุทธพจน์
ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ชอบแล้ว..........
การมองปัญหานั้นให้เรามองทุกแง่มุม ตั้งสมมุติฐานทั้งสองอย่าง คือมองทั้งแง่ดี
และแง่ร้าย เจาะลึกลงไปถึงที่ีมาของปัญหา อย่าเอาคติความรัก ความชอบ หรือความ
พอใจไม่พอใจของเรามาเป็นที่ตั้ง คืออย่าไปตั้งธงคำตอบก่อนที่จะพิจารณา แล้วเรา
จะเห็นที่เกิดที่มาของปัญหาเหล่านั้นโดยความเป็นจริง เมื่อรู้และเห็นแล้ว ก้ต้องทำ
ความเข้าใจในปัญหา โดยการหาวิธีแก้ไขปัญหานั้น ซึ่งต้องใช้สติพิจารณามองให้รอบด้าน
ละวางอัตตา ตัวกูของกู ดูให้เห็นถึงความเหมาะสมของเหตุและปัจจัยในปัจจุบันที่มีอยู่
ดูผลกระทบที่จะมีต่อผู้ที่ได้รับผลประโยชน์และผู้สูญเสียผลประโยชน์ ให้เห็นความพอดี
ความเหมาะสม ที่สามารถจะกระทำได้และรับได้ทั้งสองฝ่าย การแก้ไขปัญหาจึงจะเกิดขึ้นได้
ถ้าทุกฝ่ายยอมรับความจริงไม่ยึดติดยึดถือจนเกินไป วิธีการนี้ใช้ได้ทั้งในทางโลกและทางธรรม
ถ้ารู้จักนำไปปฏิบัติประยุกต์ใช้......
แต่อะไรๆในโลกนี้ " มันก็เป็นเช่นนั้นเอง " ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้ว่า....
"จิตใจคนจะเสื่อมไปจากคุณธรรมตามกาลและเวลา จนสิ้นสุดพระศาสนาเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปี "
เพราะโลกนี้เปลี่ยนแปลงไป ตามกฏของพระไตรลักษณ์ "ขอเพียงความเสื่อมนั้นอย่าเกิดจากเรา
เป็นผู้กระทำก็เพียงพอแล้ว ".......
ขอฝากไว้เป็นข้อคิดเพื่อสะกิดเตือนใจ ก่อนที่จะคิดและทำอะไรให้ดูใจของเราก่อน
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต-แด่มวลมิตรทุกผู้คน
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๐.๔๕ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี