คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๑๐ ตค. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
อังคารที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ตราบที่ยังมีลมหายใจ การเริ่มต้นของเช้าวันใหม่
เราควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเราเอง เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
จงเจริญสติและสัมปชัญญะให้มีความสมบูรณ์ มีความระลึกรู้และรู้ตัวทั่วพร้อม
ในกายและจิตของเรา ตั้งจิตของเรา ให้เป็นกุสลจิต เพื่อชีวิตในเช้าวันใหม่
เป็นการสร้างเหตุและปัจจัยให้แก่ชีวิตของเรา เพื่อที่จะรับเอาสิ่งที่ดีๆเข้ามา
สู่ชีวิต ต้องเริ่มที่จิตของเรา จิตของเราเป็นเสมือนเครื่องรับคลื่นสัญญาน
มันมีกำลังที่จะดึงดูดคลื่นสัญญานทั้งหลายได้ ถ้าจิตของเราเป็นกุศลจิต
มันก็จะดูดเอาสิ่งที่ดีๆเข้ามา ในทางกลับกัน ถ้าจิตของเราเป็นอกุศลจิต
มันก็จะดึงเอาสิ่งที่เป็นอกุศลเข้ามาสู่จิตของเรา.....
สำหรับเช้าวันใหม่ของเรานั้น เราควรจะปลูกพืชพันธุ์แห่งกุศลจิตขึ้น
ในจิตใจของเรา เพื่อที่จะรับเอาสิ่งที่ดีๆเข้ามา และพัฒนาสิ่งที่เป็นกุศล
ที่เรานั้นได้สร้างไว้ ให้เจริญก้าวหน้าต่อไป ซึ่งต้องเริ่มที่ใจเราเป็นเบื้องต้น
ซึ่งถ้าวันไหนเรารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วไม่รักษาจิต มีอารมณ์หงุดหงิดขุ่นมัว
วันนั้นทั้งวันเราก็จะต้องพบกับความวุ่นวายและเรื่องร้ายๆตลอดเกือบทั้งวัน
เพราะจิตคือเครื่องรับของเรานั้น มันเป็นอกุศลจิต มักก็จะดึงดูดเอาสิ่งที่เป็น
อกุศลเข้ามาหาเรา แต่ถ้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วรักษาจิตให้เป็นกุศล สิ่งที่เป็น
มงคลก็จะเกิดขึ้นแก่เราเสมอ เพราะเมื่อจิตใจเครื่องรับของเราดีแล้ว มันก็จะ
ดึงดูดเอาแต่ของที่ดีๆเข้ามาสู่ตัวเรา ทุกคนนั้นต่างใฝ่ฝันปรารถนาซึ่งสิ่งที่ดี
อยากจะให้มี อยากจะให้เกิดแก่ตนเอง แต่ที่มันไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้นั้น
ก็เพราะว่าเครื่องรับอันคือจิตของเรานั้น มันยังไม่มีความพร้อม ที่จะน้อมรับ
ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย เมื่อเครื่องรับนั้นยังไม่สะอาดดีพอ กุศลทั้งหลายก็ไม่
อาจที่จะตั้งอยู่ได้หรือเกิดขึ้นได้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องปรับใจอันเป็นเครื่องรับ
ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหลาย ให้มันสะอาด ให้มันดีเสียก่อน เพื่อรองรับสิ่งที่ดี
ทั้งหลายให้มาเกิดขึ้นและตั้งอยู่ในจิตใจของเรา...
ผู้ที่จะเป็นนักปฏิบัติธรรมนั้น ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทขาดสติที่เป็นสัมมาสติ
คือการระลึกรู้ในสิ่งที่ดี เพราะว่าความประมาทที่ขาดสัมมาสตินั้น จะทำให้นักปฏิบัติ
เห็นผิดไปจากความเป็นจริง คือมีสติ แต่เป็นมิจฉาสติ คือการระลึกรู้ในสิ่งที่ผิดที่ชั่ว
ความไม่ประมาทนั้นพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้มีอยู่ ๔ ประการคือ
๑. ไม่มีความอาฆาตพยาบาทใคร คือการที่ต้องทำให้มีจิตใจเป็นกุศล จิตใจที่ดีงาม
ไม่น้อยใจตนเอง ไม่น้อยใจผู้อื่น ไม่โกรธตนเอง ไม่โกรธผู้อื่น อยู่กับความคิด
อยู่กับจิตที่เป็นกุศล
๒. มีสติอยู่ทุกเมื่อ คือมีการระลึกรู้ในสิ่งที่กำลังคิดและในกิจที่กำลังทำ รู้จักการ
แยกแยะบุญและบาป สิ่งที่เป็นกุศลและเป็นอกุศล รู้ในสิ่งที่ควรคิดและในสิ่ง
ที่ควรทำ คือการรู้กาย รู้จิต รู้ความคิด รู้การกระทำ มีสติเป็นสัมมา
๓. มีสามธิอยู่ภายใน คือการตั้งใจมั่น ในสิ่งที่กำลังคิดและกำลังทำ มีสติสัมปชัญญะ
อยู่ทุกขณะจิต เพราะว่าสมาธินั้นคือจิตที่ตั้งมั่น ตั้งมั่นอยู่ในกายในจิต ในสิ่งที่คิด
และในสิ่งที่ทำ
๔. บรรเทาความอยากในใจในจิต คือการรู้จักคิดให้พอดีและพอเพียงกับสิ่งที่เห็น
และเป็นอยู่ คือคิดถึงสิ่งที่เป็นไปได้ตามเหตุและปัจจัยที่มี นั้นคือความพอดี
ในการคิด คือการรู้จักควบคุมจิตใจ ให้อยู่กับความเหมาะสม
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า " บุคคลใด ได้มีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้
บุคคลผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในคำสอนของเราตลอดกาล "
...ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต....
...รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร...
๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๓๕ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี.