เรื่องนี้อาจจะซ้ำ.....เลยไม่เปิดหัวข้อใหม่...อ่านเพื่อความบันเทิง...และวิจารณญาณตรึกตรองประกอบกัน
มหาสมบัติ
ปีที่ไปค้นหาถ้ำเสือเป็นปี ๒๕๑๘ แอ่งน้ำย้อยนี้ก็คือถ้ำลูกธนู หรือที่เรียกกันในเวลานี้ว่าถ้ำคนธรรพ์
ตอนที่พบนั้นปากถ้ำยังพอลอดเข้าไปได้ แต่มันลึกลงไป เมื่อเอาไฟฉายส่องลึกเข้าไปเห็นมีหินย้อยสวยมาก
ตอนที่ไปพบแอ่งน้ำย้อยหรือปากถ้ำคนธรรพ์นั้น อาตมามาพบชายผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น นุ่งกางเกงตัวเดียว ไม่ใส่เสื้อ ร่างสันทัด ผิวคล้ำ ตาคม ท่าทางบ๊อง ๆ ที่แรกอาตมาคิดว่า เป็นชาวบ้านไม่เต็มบาท หรือคนขาด ๆ เกิน ๆ สติไม่ดี เขาถามอาตมาว่า
ท่าน มาทำไม
อาตมาก็ตอบว่า เข้ามาสำรวจในที่นี่ โยมอยู่ไหน
อยู่ที่นี่แหละ เขาตอบพลางชี้มือเข้าไปในป่าแล้วถามว่า
ท่านอยากจะเข้าไปดูสมบัติโบราณในถ้ำนี้ไหม
สมัยเมื่อสร้างพระบรมธาตุมหาเจดีย์ที่นครศรีธรรมราช ผู้คนเอาพระพุทธรูป เอาเงินทองเพชรนิลจินดาจำนวนมากใส่เรือเดินทะเลมาหลายลำ แต่แล้วก็เจอพายุใหญ่ เรือไปไม่ถึงเมืองพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช เรือเหล่านั้นได้แวะเข้าจอดที่อ่าวลูกธนู แล้วขนเอาพระพุทธรูป ตลอดจนเงินทองเพชรนิลจินดา มากมีเข้ามาเก็บซ่อนไว้ในถ้ำนี้
มหาสมบัติโบราณอยู่ข้างบนจำนวนมาก ส่วนที่อยู่ในถ้ำข้างล่างไม่มาก กาลเวลาทำให้หินย้อยหินงอกปิดบังมหาสมบัติเอาไว้
ถ้าท่านจะเอามหาสมบัติทั้งหมดจะต้องทำการระเบิดหินย้อยหินงอกออกให้หมดเสียก่อน จึงจะพบมหาสมบัติจำนวนมหาศาลของคนโบราณ
ท่านขึ้นขี่หลังผมซี ผมจะพาเข้าไปดูชมมหาสมบัติบางส่วนในถ้ำนี้
อาตมาก็ตอบไปว่า เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าขี่หลังโยมได้รึ ไม่เอาหรอกน่าเกลียด
แต่ชายผู้นั้นก็ยืนยันว่า เขาสามารถจะพาเข้าไปดูชมสมบัติโบราณได้จริง ๆ พระทองคำก็มีเยอะ เขาจะพาเที่ยวดู
อาตมาก็คิดไปว่า เจ้าคนนี้สงสัยจะสติไม่ดีแน่ หน้าตาท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย หมอคงจะอาศัยบารมีอาตมาซึ่งเป็นพระ เพื่อให้เป็นเพื่อนพาเข้าไปค้นหาทรัพย์สมบัติโบราณที่ปู่โสมหวงแหน ถ้าปู่โสมจะทำอันตรายก็คงจะทำได้ไม่ถนัด เพราะมีพระคืออาตมาเข้าไปในถ้ำด้วย
อาตมาจึงหาทางเลี่ยงหนีออกจากคน ๆ นี้ โดยบอกเขาว่า จะเดินไปสำรวจทางอื่น
ขณะนั้นเป็นเวลาตอนเที่ยงแดดแจ่มใส อาตมาจำหน้าตาชายผู้นี้ได้ชัดเจน ก็ยังคิดว่าเป็นคนชาวบ้านที่สติไม่ดีเข้ามาเที่ยวอยู่ในป่า ยังไม่ได้เอะใจสงสัย
หลายวันต่อมา อาตมาพร้อมด้วยพวกลูกศิษย์มี นายชัยยะ นายยิ่ง นายห้อย ครูไกรศรี นั่งรถส่วนตัวของครูไกรศรีจากตลาดเมืองกระบี่ไปที่ถ้ำเสืออีกครั้ง เพื่อจะออกสำรวจป่าเขาลำเนาไพรย่านนั้นให้ทั่วถึง ตรงที่เป็นทางขึ้นสูง ๆ ก็ช่วยกันเอาเชือกมาผูกไม้ทำบันไดขึ้นไปชั่วคราว พอไปถึงปากถ้ำคนธรรพ์อีกครั้ง อาตมาก็แปลกใจเพราะได้พบชายผู้นั้นอีก
เอ๊ะ เจ้าคนนี้ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้อีก หรือว่าจะหาทางเข้าไปลักเอาสมบัติโบราณในถ้ำ อาตมานึกสงสัย ก็เลยถามเขา
เขาก็บอกว่า บ้านเขาอยู่ในป่าแถว ๆ นั้น เขาชอบมาเที่ยวดูอะไรต่ออะไรอยู่เสมอ และเขายังได้ชวนอาตมาเข้าไปเที่ยวดูชมสมบัติในถ้ำคนธรรพ์อีก แต่อาตมาไม่อยากจะเข้าไป พวกลูกศิษย์ของอาตมาก็ไม่กล้าเข้าไปเพราะกลัวว่าในซอกหลืบหรือในรูถ้ำอาจจะมีงูเหลือมกินคน มีงูพิษร้ายหลายชนิด ตลอดจนเสือโคร่ง เสือดาวอยู่ในนั้น เมื่อเข้าไปเจอเข้าอย่างจังหน้าก็ไม่มีทางหนีรอดได้เลย
ตอนที่อาตมายืนคุยกับชายลึกลับท่าทางสติไม่ดีอยู่นี้ แสงแดดแจ่มจ้าทำให้เห็นหน้าตาชัดเจนว่า เขาเป็นคนจริง ๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา พูดจากันด้วยภาษาปักษ์ใต้รู้เรื่องทุกถ้อยคำ อาตมาก็บอกเขาว่า
ถ้ำนี้มีมหาสมบัติของคนโบราณ ถ้าปล่อยปากถ้ำไว้อย่างนี้คงมีสักวันหนึ่งที่จะถูกคนโลภพากันมาค้นหาเอามหาสมบัติโบราณไปกินหมด เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ อาตมาจะขอร้องให้พี่ชายช่วยจัดการปิดปากถ้ำไว้ชั่วคราวก่อน เอาไม้มาทำเป็นประตูถ้ำ เอากุญแจมาใส่ สำหรับค่ากุญแจอาตมาจะเอาสตางค์มาให้ทีหลัง
ชายท่าทางบ๊อง ๆ ลึกลับนี้พูดอย่างไรรู้ไหม เขาตอบว่า
ไม่ต้องทำหรอกครับ ถ้ำนี้มีพวกคนธรรพ์เฝ้าปกปักรักษาอยู่แล้ว มันเป็นหน้าที่ของพวกเขา ผมไม่มีหน้าที่ไปทำประตูปิดถ้ำได้หรอกครับ
อาตมาได้ฟังคำตอบแล้วก็นึกในใจว่า เออ อย่าไปวุ่นวายเรื่องนี้เลย เจ้าหมอนี่ท่าทางมันไม่เต็มบาท
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วอาตมาก็เดินเลี่ยงไปสำรวจทางอื่น พบว่าป่าเขาลำเนาดงย่านนี้เป็นป่าพรหมจรรย์ที่สมบูรณ์ที่สุด คือยังไม่มีพวกตัดไม้ทำลายป่าเข้ามาทำให้เสียหาย ป่ายังบริสุทธิ์สดชื่นเหมือนสมัยดึกดำบรรพ์ ที่มันได้ก่อกำเนิดขึ้นมา เช่น ต้นไม้อายุล้านปีในหิน ต้นจิกมหึมาอายุพันปีเป็นต้น
ต่อมาเมื่อดำเนินการเรื่องต่าง ๆ เรียบร้อยบ้างแล้ว อาตมาก็อพยพพระภิกษุจำนวน ๕๓ รูปและแม่ชีจำนวน ๕๖ รูป ออกมาจากสำนักวิปัสสนาวัดสุคนธาวาส ตำบลพรุพี อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เดินทางมาอยู่ที่สำนักสงฆ์ถ้ำเสือวิปัสสนากรรมฐานเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๘
ทันทีที่ไปถึง อาตมาก็ร้อนใจรีบปีนป่ายขึ้นภูเขาไปก่อนใคร เพื่อจะดูว่ามีใครขัดขวางหรืออิจฉาริษยาแอบมาปลูกสร้างถาวรวัตถุตัดหน้าอาตมาหรือเปล่า ถ้ามีอย่างนั้นก็แปลว่า ต้องมีปัญหาในการตั้งสำนักวิปัสสนาขึ้นที่ถ้ำเสือ ยุ่งยากแน่
ตอนนั้นยังไม่มีบันไดทางขึ้นถาวรเหมือนเดี๋ยวนี้ ยังใช้บันไดเชือกผูกติดกับไม้เป็นการชั่วคราวที่ นายปลั่ง นายภูผา ซึ่ง หม่อมหลวงวรวัฒน์ นวรัตน์ ส่งมาช่วย ได้ช่วยกันทำบันไดชั่วคราวนี้
อาตมาก็ปีนป่ายขึ้นบันไดชั่วคราวนี้ไป เมื่อไปถึงถ้ำคนธรรพ์ อาตมาก็ต้องสะดุ้ง เพราะได้พบเจ้าคนท่าทางบ๊อง ๆ ไม่เต็มบาทคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม คือยืนอยู่ปากถ้ำ นุ่งกางเกงตัวเดิม ไม่ใส่เสื้อเหมือนเดิม
เอ้า คนนี้อีกแล้ว เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องไม่มายืนอยู่ในป่าอันตรายอย่างนี้หรอก เป็นเวลาตั้งสองเดือนแล้วที่เราได้พบคนนี้ครั้งหลังสุด เมื่อพบกันอีกวันนี้หมอก็ยังนุ่งกางเกงตัวเก่าอยู่
ถ้าไม่ใช่คน ก็ต้องเป็นผี
อาตมาบอกตัวเองในใจ และคิดอยากจะพิสูจน์ดูว่า เป็นคนหรือเป็นผีกันแน่ ถ้าเป็นผีจะต้องมีแต่รูปร่าง เป็นมายาลวงตา แต่เนื้อหนังมังสาที่แท้จริงไม่มี หรือพูดตรง ๆ ก็ว่า ผีที่ปรากฏให้เห็นนั้น เป็นเพียง เงา เหมือนเงาในกระจกไม่มีตัวตนที่แท้จริง
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว อาตมาก็ทำเป็นชวนคุยพลางเดินเข้าหาจะหาทางจับมือถือแขนดูซิว่ามีเนื้อหนังมังสาไหม
พี่ชายทำประตูปิดปากถ้ำแล้วหรือยัง
อาตมาถามเจตนาจะให้เผลอตัวเพื่อจะได้กระโดดเข้าจับแขน ขณะเดียวกันก็จับตามองสำรวจรูปร่างหน้าตาก็เห็นว่า เป็นชายรูปร่างหน้าตาเหมือนคนปักษ์ใต้ทั่วไปนั่นเอง
ดินฟ้าอากาศภาคใต้ที่ได้รับกระแสลมจากทะเลทั้งสองด้าน คือทะเลด้านอ่าวไทยกับทะเลอันดามันประกอบกับภูมิประเทศของภาคใต้ อันชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์มีฝนตกเกือบตลอดปี จึงทำให้ผู้คนมีผิวคล้ำ ตาคมคล้ายพวกแขกมาเลย์
ชายผู้นี้ก็เช่นเดียวกันผิวคล้ำ ตาคม อายุอยู่ในราว ๔๐ ปี อ่อนกว่าอาตมา
พออาตมาเดินเข้าหาชวนคุยด้วย พร้อมกับยื่นมือจะจับ เขาก็รีบถอยหลังหนีทันทีพร้อมกับตอบมาว่า
หนทางเข้าถ้ำปิดเรียบร้อยแล้ว
ปิดยังไง
อาตมาถามพลางเดินเข้าหา และเขาก็ถอยกรูด ๆ ตอบว่า
พวกคนธรรพ์เอาหินปิดปากถ้ำไว้ครับ
อาตมาก็เดินเข้าไปสู่ที่ปากถ้ำเอาไฟฉายส่องดูให้ชัด ๆ เพราะเงามืดบัง ก็เห็นว่าเป็นสีขาว ๆ คล้ายปูนโบกปิดปากถ้ำไว้ ก็เลยเอามีดพับเคาะ ๆ ดู มันยังเปียก ๆ อยู่ แต่เป็นหินไม่ใช่ปูน ดมกลิ่นดูก็เป็นกลิ่นหินไม่ใช่กลิ่นปูน ไม่มีทราย ไม่มีปูนซีเมนต์ มันเป็นหินล้วน ๆ เอามาโบกปิดปากถ้ำได้ยังไง น่าอัศจรรย์แท้
อาตมาก็ถอยออกจากปากถ้ำเดินมาหาเจ้าคนนั้น แล้วถามว่า หินอะไรถึงเหลวจนเอามาอุดปากถ้ำได้
เขาก็ถอยหลังตอบว่า เป็นหินแบบเดียวกันกับหินที่ย้อยลงมาเป็นหินงอกในถ้ำอย่างนั้นแหละ
เขาตอบพลางถอยหลังพลางอาตมาก็ทำเป็นถามไปเรื่อย ๆ เดินเข้าหา พอได้จังหวะจะกระโดดกอดมันไว้ แต่ราวกับหมอนั่นรู้ใจ ถอยหลังหนีพลางตอบพลาง
ตอนนี้อาตมามั่นใจแล้วว่า หมอนี่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพวกวิญญาณแน่ ๆ เพรานอกจากจะเดินถอยหลังหนีไม่ยอมให้เข้าใกล้แล้ว นัยน์ตายังแข็งไม่กะพริบเลย ผิดมนุษย์ทั่วไป
เขาถอยไปจนติดแอ่งน้ำที่ไหลมาจากซอกภูเขาซึ่งมีต้นไม้ขึ้นรกชัฏ เขาพลิ้วตัวหลบแอ่งน้ำราวกับมีนัยน์ตาอยู่ข้างหลังยังงั้นแหละ พอพลิ้วตัวหลบแอ่งน้ำก็วูบเข้าหาต้นไม้ อาตมาเห็นผิดท่าก็กระโดดตามจะคว้าตัวไว้
อ้าว หายวับไปเสียแล้วราวกับล่องหน
ทำเอาอาตมางวยงง รีบเดินค้นหาและวิ่งสกัด ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาจะหนีไปไม่พ้น เพราะป่ารกชัฏเป็นหย่อม ๆ ถ้าก้มลงมองลอดไปก็จะเห็นอะไรได้ไกล แต่หมอนั่นไม่รู้หายไปได้ยังไง อาตมาวิ่งไปหานายภูผา นายปลั่ง ที่ช่วยกันทำบันได ขึ้นลงภูเขาถามว่า
เห็นคนนุ่งกางเกง แต่ไม่ได้ใส่เสื้อวิ่งหนีมาทางนี้ไหม
คนทั้งสองบอกว่าไม่เห็นเลย อาตมาจึงวิ่งย้อนกลับไปค้นหาแถวนั้นอีกแต่ก็ไม่พบ หมอนั่นหายไปได้ในพริบตาก็ว่าได้ อัศจรรย์แท้ ไม่ใช่คนแน่ ต้องเป็นผี เป็นวิญญาณเด็ดขาด ที่แปลงร่างเป็นคนมาสนทนากับอาตมา
คืนนั้นทำวัตรสวดมนต์ไหว้พระเรียบร้อยแล้ว อาตมาก็บอกพวกพระสงฆ์ทั้งหลายว่า ขอให้พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นอาตมาก็เดินฝ่าความมืดบุกป่าไปเรื่อย ๆ
ป่าย่านนั้นมีเสือมีงูพิษและสัตว์ร้ายหลายชนิดแต่อาตมาเฉย ๆ ไม่นึกกลัวเลย คิดว่าการเดินตัวคนเดียวในตอนกลางคืนเช่นนี้อาจจะพบหมอนั่นซึ่งเป็นผี หรือพบพวกผีทั้งหลายที่สิงสู่อยู่ในป่าเขาย่านนั้นแต่ไม่พบอะไรเลย
ถ้ำคนธรรพ์ ซึ่งชายลึกลับไม่ใส่เสื้อเล่าให้ฟังว่า เป็นที่เก็บซ่อนมหาสมบัติส่วนใหญ่ไว้นั้น จากการตรวจสอบด้วยกระแสญาณของพระและแม่ชีตรงกันว่า ถ้ำนี้ในอดีตเคยมีพระธุดงค์มาบำเพ็ญธรรม ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่ ๔ องค์ เป็นถ้ำที่งดงามวิจิตรพิสดารมาก มีเทวดาเฝ้ารักษาแต่น่าเสียดายที่พวกวิญญาณชั้นสูงหรือเทพคนธรรพ์ได้ใช้หินปูนโบกปิดปากถ้ำเสียแล้ว
ส่วนในเขานั้นเมื่อก่อนคนธรรพ์เดินเรียกพระลุกขึ้น เรียกหลายองค์
ครั้งหนึ่งอาจารย์วิลาส ตอนนี้สึกไปเป็นฆราวาสแล้วบวชมาหลายพรรษาพูดกันเรื่องคนธรรพ์เรียกเรื่องอะไรต่าง ๆ กันอยู่ข้างใน อบรมพระเสร็จแล้วก็คุยพิเศษอาจารย์วิลาสว่าตาฝาดบ้าง เห็นเองบ้าง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าผมเห็นผมจึงเชื่อ
อาตมาก็ว่า คุณก็ต้องได้เห็นเองล่ะจึงเชื่อ คุยกันในหมู่ผู้ที่เห็น คุณไม่เกี่ยวไม่ได้พูดให้คุณเชื่อนี่ ก็พูดว่าหลายคำ พอท่านออกเดินไปกุฏิ คนธรรพ์ถือไม้ดุ้นหนึ่งด้วย มาถึง
คุณวิลาส คุณระวังปากไว้พูดทีหลังให้ระวังไม่ดี สิ่งใดในโลกนี้ลึกลับมาก มีหรือไม่มีไม่จำเป็นต้องพูดประมาทให้คุณระวังตัวนะคุณจะเดือดร้อน
พูดในทางขู่และทำท่าว่าจะตีด้วยไม้ ท่านวิลาสก็วิ่งไปหาเพื่อนบอกว่า
เจอแล้ว ๆ เห็นแล้วถือไม้จะตี
ก็มานอนอยู่กับเพื่อนในหอประชุม พอรุ่งเช้าอาจารย์วิลาสก็หนีไปอยู่ที่ปัตตานี ไม่อยู่แล้ว เลยบอกพระด้วยว่าให้ไปบอกอาจารย์จำเนียรว่าเจอแล้ว แต่เขาถือไม้แล้วเราสบประมาทเขา เขาก็เตือนว่าทีหลังให้ระวังคำพูดคิดว่าอยู่ไปก็คงจะเดือดร้อนอันตรายก็เลยไม่อยู่ ท่านวิลาสตั้งแต่นั้นมาไปอยู่ปัตตานีตลอดจนสิกขาลาเพศไปแล้ว
อันนี้ทำให้เราคิดว่าคนธรรพ์นี่คงมีเนื้อมีหนัง ไม่ใช่มีแต่วิญญาณอย่างเดียว คงจะมีเนื้อหนังสังขารเพราะการที่เห็นกายชัดว่าเป็นเนื้อจับตัวได้
ครั้งแรกถามคนธรรพ์ว่าบ้านอยู่ไหน คนผู้ชายก็บอกบ้านอยู่ไปทางคลองใหญ่ อาชีพก็บอกว่า ทำไร่และออกจ่ายตลาด ตอนนั้นเราเข้าใจว่าเป็นคนที่ไม่เต็ม ไม่สมบูรณ์หรือสติไม่สมบูรณ์ก็เลยไม่สนใจมากครั้งที่สองนี่สนใจแต่จับตัวเขาไม่ได้
ที่มา
http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-52