แท็กซี่ผีสิง (1/2)
จนบัดนี้ ผมยังไม่เคยลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในครั้งนั้นเลย แม้มันจะผ่านมานานหลายปี แต่เหตุการณ์เหล่านั้น ก็ยังตามมาหลอกหลอนผมมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ผมยังจำได้ในปีที่ถือว่า ชีวิตของผมตกต่ำสุดขีด ในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจอย่างหนัก ต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ หลายบริษัทประสบภาวะขาดทุน จนต้องปิดกิจการลง สถาบันการเงินที่ผมทำงานอยู่ ก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย ผมและเพื่อนๆอีกหลายร้อยคน ต้องกลายเป็นคนตกงาน โดยที่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย
เพื่อนๆของผมบางคนทำใจไม่ได้กับชีวิตที่พลิกผันอย่างหนักขนาดนี้ และที่แย่ไปกว่านั้น พวกเขายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล ส่งเสียเงินทอง พอไม่มีรายได้ขึ้นมา ก็เลยไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ซึ่งผมเองก็ยังต้องรับผิดชอบชีวิตเมียและลูกอีกสองคน จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากมาย
ผมยังโชคดีที่มีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่มันคงช่วยประทังชีวิตครอบครัวของผมไปได้อีกไม่นาน เพราะลูกสองคนของผมก็ยังต้องเรียนหนังสือ ไหนจะค่าเทอม ค่าหนังสือหนังหา อุปกรณ์การเรียนอีกตั้งมากมาย ยังไม่รวมค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่ผมเป็นผู้รับภาระอยู่เพียงคนเดียว เนื่องจากภรรยาของผมสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ผมจึงไม่อยากให้เธอออกไปทำงานหนัก แค่คิดขึ้นมาผมก็เริ่มปวดหัวแล้วหล่ะ เพราะไม่รู้ว่าถ้าเงินเก็บหมด ผมจะหาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านต่อไป แถมตอนนั้นผมก็ยังหางานทำไม่ได้ แม้จะออกเดินสมัครงานเกือบทุกวัน แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนยอมรับผมเข้าทำงานเลย
จนวันหนึ่ง ผมเดินผ่านหน้าอู่ซ่อมรถแท็กซี่ ก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า ผมน่าจะลองมาขับรถแท็กซี่ดู เผื่อจะหาเงินเข้าบ้านได้บ้าง เพราะความรู้อย่างอื่นผมก็ไม่มี นอกจากวิชาการบัญชีที่ร่ำเรียนมา นอกนั้นที่ผมพอจะทำได้ก็คือการขับรถนี่แหละ เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็เลยไปปรึกษาภรรยา ซึ่งผมรู้ว่าเธอจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะเราคงไม่มีทางเลือกอย่างอื่น
หลังจากบอกกล่าวภรรยาเรียบร้อยแล้ว ผมจึงออกไปหาเช่ารถแท็กซี่มาขับ พอดีมีคนข้างบ้านเขาเคยขับแท็กซี่มาก่อน เขาจึงแนะนำให้ผมไปเช่ารถที่อู่เสี่ยโชค โดยให้บอกว่าเขาแนะนำมา ผมจึงทำตามที่เขาบอก ซึ่งพอเสี่ยโชค รู้ว่าใครแนะนำผมมา แกก็เลยเริ่มไว้ใจผมมากขึ้นและตกลงให้ผมเช่ารถมาขับ โดยผมต้องเสียเงินประกันให้แกจำนวนหนึ่ง
ช่วงแรกผมต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หลังพวงมาลัยทั้งวัน กว่าจะได้เงินพอค่าเช่ารถและค่าน้ำมัน ส่วนที่เหลือก็เป็นรายได้ ซึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่ พอส่งรถตามกะแล้ว ผมก็กลับบ้านนอน เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน ต่อมาผมเห็นว่าขับรถเพียงกะเดียว รายได้ยังไม่เพียงพอ จึงเพิ่มเป็นสองกะ ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพียงแค่คืนแรก ผมก็ถูกต้อนรับน้องใหม่ซะแล้ว หรือเรียกง่ายๆ ก็เจอดีงัยล่ะ ขณะที่ผมกำลังขับรถตระเวนหาผู้โดยสารอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันดังแว่วมาจากเบาะหลัง ผมเลยหันไปมอง ก็ไม่เห็นใคร เจอแต่เบาะว่างเปล่า ถ้าเห็นก็คงจะแปลกหล่ะ ก็ผมยังไม่ได้รับผู้โดยสารขึ้นมาบนรถเลยแม้แต่คนเดียว แล้วจะไปเห็นใครได้ยังงัยล่ะ
สักพักรถก็มาติดไฟแดงตรงสี่แยกอสมท. เสียงนั้นก็เงียบไป แต่ทันทีที่ผมเร่งเครื่องเตรียมออกรถ เมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว เสียงทะเลาะกันก็ดังแข่งกับ เสียงเครื่องยนต์ขึ้นมาอีก คราวนี้ผมชักใจไม่ดีแล้วหล่ะ จึงค่อยๆชำเลืองมองทางกระจกส่องหลัง ก็ยังไม่เห็นใครอยู่ดี จะว่าเป็นเสียงจากวิทยุ ผมก็ไม่ได้เปิดนี่นา แล้วเสียงนั้นมันดังมาจากไหนกันล่ะ
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เวลาผ่านมาจนจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ผมยังไม่ได้ผู้โดยสารเลยซักคน ผมก็พยายามสอดส่ายสายตามองตลอดสองข้างทางแล้วนะ พอมองเห็นคนทำท่าเหมือนจะยืนรอรถแท็กซี่อยู่ ผมก็รีบโฉบเข้าไปใกล้ทันที แต่พอไปถึง ผู้โดยสารก็ไม่ยอมโบกมือเรียก ตอนแรกผมก็นึกว่า เอ!! สัญญาณไฟว่างหน้ารถเราเสียรึเปล่า แต่ลงไปดูแล้ว มันก็ยังทำงานได้ปกติดีนี่นา
ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4105