ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่...ท่องเมืองลับแล
ช่วงที่ 1
บริเวณชายแดนเหนือสุดขอบสยามเป็นสถานที่ที่พระอริยสงฆ์เจ้า หลายต่อหลายรูปได้เดินทางจาริกแสวงหาสัจธรรม เป็นแหล่งที่ครั้งหนึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญสูงสุดของอารยธรรม และเป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการธุดงวัตร ซึ่งเป็นภาคสำคัญของพระสงฆ์สายปฏิบัติหรือที่หมู่สาธุชนให้ชื่อว่าพระป่า ซึ่งในช่วงการอยู่ใต้ร่มกาสวพัตช่วงหนึ่งจะทำการเพื่อหลีกเร้นปลีกวิเวกมา อยู่ท่ามกลางป่าเขาธรรมชาติ แมกไม้ ลำธาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสายน้ำต่าง ๆ มีแนวเขาสลับซับซ้อน หมู่ถ้ำ ภูเขาน้อยใหญ่ มีทุ่งลานหินและป่าโปร่งทั้งป่าดิบสลับกันไปเหมาะแ ก่การแสวงหาสถานที่ในการบำเพ็ญตน ถือศีลปฏิบัติธรรมสำหรับผุ้มีศีลหรือคณะสงฆ์สายปฏิบัติหรือพระป่า รวมทั้งเหล่าฆราวาส ทายาทธรรมทั้งหลายเป็นอย่างมากและเป็นดินแดนที่ถูกกล่าวถึงในสมัยพุทธกาลไว้ ว่าพุทธสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จออกเผยแพร่ประกาศพระ ศาสนามาทางปัจจันต์ประเทศ (ประเทศแถบสยามในยุคสมัยทวาราวดี) และทรงกล่าวเป็นพุทธทำนายไว้เป็นหลักฐานทางพระไตรปิฎกไว้ว่า ในกาลล่วงสองพันห้าร้อยปีขึ้นพุทธศานาจัก เจริญยิ่งในดินแดนปัจจันต์ประเทศแห่งนี้ และยังทรงประทับรอยพระบาทไว้ เพื่อเป็นหลักบานแห่งความเจริญซึ่งจุดศูนย์กลางแห่งนี้ในกาลข้างหน้า ณ เทือกเขา เวภาพบรรพต ที่ได้ชื่อว่า พระพุทธบาทสี่รอย ในปัจจุบัน บริเวณแห่งนี้เองที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งดินแดนของพระศรีอาริยเมตไตย์องค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาลข้างหน้า
ข้าพเจ้าก็ได้หลีกเร้นมาถือศีลปฏิบัติธรรมดินแดนที่กล่าวถึง ข้างต้นนานนับเกินเดือนและเลยปีผ่านไป ได้พบครูบาอาจารย์ โดยบังเอิญท่ามกลางภูเขาและป่าไม้ห่างไกลจากความเจริญยิ่งนัก และทำให้ข้าพเจ้าเกิดติดกับธรรมชาติ ไม่อยากหวนคืนสู่สังคมมนุษย์ที่เป็นคนเมือง แต่เป็นเพราะกรรมและวาระผูกพัน ทำให้ข้าพเจ้าต้องไป ๆ มา ๆ และได้เก็บความรู้ประสบการณ์เขียนบันทึกเรื่องราวไว้มากมาย หลายเรื่อง ดังจะยกมาให้อ่านเป็นตอน ๆ ไป เมืองลับแล...
ข้าพเจ้ากำหนดจิตทำสมาธิภาวนาคาถาตามที่ครูบาอาจารย์ได้อบรม สั่งสอนมาเพื่อสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง เมื่อจิตดิ่งเข้าสู่สมาธิ ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อที่จะได้เข้าสู่แดนที่จะไป เป็นการกำหนดจิตเพื่อดูให้รู้ว่า บริเวณแห่งใดเป็นแดนที่ใกล้ประตูเข้าออกของแดนที่เรียกว่า เมืองลับแล
เพียงครู่เดียวข้าพเจ้าก็เข้าสู่มิติอีกมิติหนึ่งซึ่งเป็น มิติที่ทับซ้อนกับโลกมนุษย์เราหรืออีกนัยหนึ่งตามหลักพุทธศาสนาเรียกว่าการ ทับซ้อนของภพภูมิ และนี่ก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่งซึ่งมีความผิดแผกต่างจากโลกมนุษย์ แต่ก็หาสิ้นเชิงไม่ เป็นดินแดนที่หลายต่อหลายคนกล่าวถึง และก็มีมากมายหลายคนที่ได้สัมผัส กล่าวขานกันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ก็ยากนักที่ผู้ใดจะอรรถาธิบาย ให้ข้าพเจ้าฟังและเข้าใจได้ดีพอจนทำให้ข้าพเจ้าสนใจที่จะทำการศึกษาค้นคว้า ให้เกิดความข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งด้วยตนเอง ซึ่งต้องมีผู้กำหนดเส้นทางชี้นำ การประพฤติปฏิบัติแนวทางวิธีการอย่างเป็นขั้นตอนซึ่งต้องใช้เวลา และความบริสุทธิ์แห่งการรักษาศีล ถือเนกขัมมะ ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบ ทั้งทางกาย วาจาใจ และการที่จะผ่านแดนลี้ลับต่าง ๆ ขั้นต้นต้องมีพื้นฐานด้านการรักษาศีลก่อนทั้งสิ้น
การที่จะเข้าไปสัมผัสถึงภพภูมิต่าง ๆ นั้นจะต้องผ่านขั้นตาอนการฝึกความอดทนสร้างเสริมบารมี ทั้งทางกายและทางจิต เช่นเดียวกับการบวชทีเดียว หรืออีกนัยหนึ่งคือการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ คือฝึกหรือสร้างบารมี 10 ทัศ เมื่อผ่านการฝึกฝนโดยมีครูอาจารย์เป็นผู้กำกับแล้ว ยังต้องอาศัยบุญหรือกรรมเป็นด่านสุดท้าย ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอต่อโพธิสัตว์ซึ่งบารมีสูง โปรดจงช่วยรวมบุญบารมีของข้าพเจ้าทั้งหมดทั้งมวลแผ่ไปให้กับภพภูมิต่าง ๆ และข้อตั้งสัจจะอธิษฐานขอนำเรื่องราวต่าง ๆ มาเปิดเผย เพื่อเป็นแรงศรัทธา เครื่องชี้นำให้สำหรับผุ้อื่น ผู้ไฝ่รู้เร่งขวนขวาย ในการรักษาศีลปฏิบัติธรรม เพียรทำบุญกุศลเพื่อกาลข้างหน้าเพื่อมุ่งสู่ภพภูมิที่สูงยิ่งขึ้น ในการเวียนว่ายตายเกิด ขอความรู้ที่เกิดจากการอ่านเรื่องราวเหล่านี้จงเป็นพื้นฐาน สำหรับการดำเนินชีวิตสู่ ความสุข สงบ ถึงนิพพานในการต่อไป ก่อนที่โลกของเรา จะล่มสลายด้วยการแก่งแย่งอำนาจ รบราฆ่าฟันกันจนกลายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์ หรือสงครมล้างโลกและสงครามศาสนาที่กำลังอุบัติขึ้นในกาลปัจจุบัน
เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าสู่เมืองลับแล หรือมิติมหัศจรรย์ที่หลายคนกล่าวถึง ในครั้งแรกก็เกิดความ มึนงงสงสัย ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่ใดกันแน่จึงถอนตัวกลับออกมาอยู่บ่อย ๆ จนจิตเคยชินกับความรู้สึก แปลก ๆ แล้วจึงได้มีความตั้งใจอย่างเด็ดขาดเพื่อให้เกิดความรู้ในสิ่งที่เราสัมผัส ได้ การได้สัมผัสในครั้งต่อ ๆ มา ก็ยังความรู้สึกที่แปลกไปอยู่ดี ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอต่าง ๆ ที่เข้ามาปะทะโสทประสาทของข้าพเจ้า
มันช่างเป็นสัมผัสอะไรกับสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจาก ที่ใด ๆ ทั้งสิ้น และสามารถอธิบายของความบริสุทธิ์ สะอาด ความเยบสงบ ความอบอุ่น ความสบาย ความเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ไร้สิ่งที่เป็นมลพิษทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ อย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกรับรู้ได้ถึงว่านี่คือเมือง เมืองหนึ่ง และสถานที่นี้คือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีบ้านคนมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มียวดยานพาหนะใด ๆ ไม่มีถนนที่สร้างเป็นอน่างถาวร ไม่วัตถุใด ๆ แอบแฝงหรือปะปนท้องฟ้าดูรู้สึกเย็นตา ดูท้องฟ้าอยู่ไม่ไกลนัก เมฆลอยต่ำจนเกือบน่าจะสัมฟัสได้ถึงไอน้ำเลยเชียวแต่ก็ไม่ต่ำนัก ทำให้รู้สึกว่าเหมือนหมู่บ้านชาวเขาที่อยุ่ยอดดอยที่ใดที่หนึ่งปานนั้น แต่ดูพื้นที่ก็เป็นที่ราบ มีภูเขาบ้างก็เท่านั้น มีป่าไม้ชายเขา แต่ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกถึงความเจริญในยุคนี้เลย แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็อาศัยขุนเขาและป่าไม้เป็นปกติอยู่ แต่สถานที่แห่งนี้เป็นอีกชั้นบรรยากาศหนึ่งหนึ่งหรืออย่างไร และมความรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้มิใช่ดินแดนแห่งความสับสนวุ่นวาย ไร้การแก่งแย่งชิงดี แย่งกันกินแย่งกันอยู่ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่พักอาศัย เป็นการปลูกสร้างโดยหลักธรรมชาติล้วน ๆ หรือที่เราเรียกว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยล้วน ไม่มีวัตถุปรุงแต่งแม้แต่ชิ้นเดียว ดูความเรียบร้อยของการปลูกสร้างบ้านแต่ละหลังคงไว้ซึ่งความใหม่และความสะอาด ฝุ่นละอองแม้เพียงนิด ก็ไม่มี ความสกปรกของขยะมูลฝอย สักชิ้นก็หามีไม่ บ้านเรือนแต่ละหลังคงสภาพเหมือนกันหมดไม่มีความเหลื่อมล้ำทางอายุการใช้งาน เหมือนการปลูกสร้างในเวลาเดียวกันและนี่เองที่ควรเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น สิ่งเนตมิต พื้นดินที่มีการเหยียบย่างของุ้คน เป็นพื้นดินที่ราบเรียบละเอียดอ่อน เมื่อเดินผ่านไปแล้วก็ไม่มีรอยใด ๆ เกิดขึ้น ต้นไม้ที่ปลูกใกล้กับบ้านคนก็ไม่มีใบที่ล่วงหล่นสักใบหรือเขาเก็บไปทิ้งหรือ อย่างไร บ้านเรือนแต่ละหลังมีลักษณะบ้านไม้กิ่งไม้ไผ่ ส่วนใหญ่เป็นเรือนไทยแบบชาวบ้านปลูกอย่างง่ายมีนอกชานยื่นมาเล็กน้อย เรือนแต่ละหลังไม่ใหญ่มากนัก เหมาะสำหรับอยู่อาศัย 3-5 คนโดยประมาณพอดีใต้ถุนบ้านสะอาดตาไม่มีสิ่งใด ๆ ที่มอบงแล้วสะดุดตาหรือไม่มีสิ่งใด ๆ ที่ทำให้มองแล้วรกรุงรังสักชิ้น เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ หมู่บ้าน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า และเป็นวันพระ 15 ค่ำ พอดีโดยมิได้กะเกณฑ์ จะเป็นสาเหตุใดก็ไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมไม่มีใครใส่ใจข้าพเจ้าเลยทุกคนมุ่งที่ จะทำกิจกรรมใด ๆ อยู่สักอย่าง จะมีก็เพียงกลิ่นไอ ความหอมกรุ่นของอาหารบางอย่าง ซึ่งก็มิใช่กลิ่นของอาหารในโลกมนุษย์เรา