"รู้มากจะยากนาน" คนโบราณท่านกล่าวไว้ไม่มีผิด เพราะส่วนใหญ่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ไปปรุงแต่งในสัญญา(ความจำ) เลยไม่พบสภาวะธรรมที่แท้จริง พบแต่สิ่งที่สร้างขึ้นมา ขณะปฏิบัติไม่ต้องไปปรุงแต่งว่า
มันเป็นอารมณ์อะไร และไม่ต้องไปสนใจว่ามันอยู่ฌานไหน ปล่อยให้มันเป็นไปตามกระแสแห่งสภาวะธรรม
หน้าที่ของเราในขณะนั้น ก็คือดูและรู้อยู่ในองค์ภาวนา อย่าให้พลาดอย่าให้ขาดสติ
แต่เมือเราออกจากการปฏิบัติแล้ว เราต้องมาทบทวน ใคร่ครวญ และพิจารนา ว่าอะไรได้เกิดขึ้นมาบ้างในขณะที่เราปฏิบัติ ก่อนความรู้สึกอย่างนี้จะเกิดขึ้น เรามีความรู้สึกเป็นอย่างไร และความรู้สึกอย่างนั้นมันหาย
ไปตอนไหน ขณะที่เกิดขึ้นเรามีความรู้สึกอย่างไร ได้รู้หรือเห็นอะไร เราต้องจำอารมณ์เหล่านั้นไว้ เพื่อจะได้
มาเปรียบเทียบกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าสิ่งที่เราได้พบนั้นคืออะไร อยู่ในอารมณ์ไหน"อย่าไป
รู้ก่อนเกิด ให้มันเกิดขึ้นแล้วจึงรู้"
การเปรียบเทียบสิ่งที่พบเห็นกับหลักธรรมนั้น ถ้าเป็นสภาวะธรรมที่ถูกต้องตามคำสอนในพระพุทธศาสนา
แล้ว สิ่งนั้นจะสงเคราะห์ได้ทุกหมวดหมู่เข้าได้ทุกหลัก เป็นเหตุและปัจจัย สงเคราะห์และอนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น ก็เพราะว่า เราพยายามตีความหลักธรรมให้มาสงเคราะห์ มารองรับความรู้ความคิด
ความเข้าใจของตัวเรา(ปรับหลักเข้าหาตัวเรา)ธรรมก็เลยคลาดเคลื่อน กลายเป็นการบิดเบือนซึ่งพระธรรม
ถ้าหากว่าความรู้ความเข้าใจของเรานั้น แตกต่างจากหลักธรรม เราต้องมาพิจารนาที่ตัวเราว่า มันมาจากสาเหตุไหน เกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น (ปรับตัวเราเข้าหาหลัก) เพราะหลักธรรมนั้นเป็นของคงอยู่
คู่กับธรรมชาติ เป็นสัจจธรรม(ปรมัตถ์บัญญัติ) ความรู้ความเห็นของเราเกิดมาทีหลัง และเราเป็นเพียงนักฝึกหัดปฏิบัติ ฉะนั้นจึงต้องมีหลักและยึดหลังของพระพุทธเจ้าเป็นบรรทัดฐาน อย่าได้อาจหาญไปรู้ดีกว่าพระพุทธ
เพราะนั่นเท่ากับเรากำลังเดินหลงทาง
เป็นเพียงมุมหนึ่งของความคิดที่จิตได้ประสพพบมา จึงขอนำเสนอมาเพื่อแลกเปลี่ยนและเล่าสู่กันฟัง.......
อาจจะมีประโยชน์บ้าง ถ้าท่านนำไปคิดและพิจารนาหาเหตุและผล อย่างน้อยท่านจะได้รู้ว่าสิ่งที่นำเสนอมานั้นมันเป็นอย่างไร ถูกใจหรือไม่ถูกใจ มันมาจากสาเหตุอะไร ประโยชน์ที่ได้คือท่านได้ฝึกคิด และฝึกอ่าน.......สิ่งที่นำเสนอมานั้นไม่กล้ายืนยันว่ามันถูกหรือผิด มันเป็นเพียงมุมหนึ่งของจิตที่ได้สัมผัสมา
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี -ด้วยไมตรีจิต-แด่มวลมิตรผู้ใคร่ธรรม
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
วจีพเนจร คนรอนแรม คนไร้ราก
26 มีนาคม 2552 เวลา 23.18น. อ่างศิลา ชลบุรี