ผู้เขียน หัวข้อ: ผีสางคางแดง  (อ่าน 1684 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ผีสางคางแดง
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2554, 08:43:15 »
ผีสางคางแดง : ตอนที่ 1
วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15:31:48 น.


เมื่อผมเล่นผีถ้วยแก้ว
 
ตามปกติผมไม่ค่อยสนใจเรื่องผีเปรตอะไรและไม่ค่อยอยากเขียนเรื่องประเภทนี้ด้วย  ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมมันคนกลัวผี เขียนไปก็ขนลุกไป ไม่คุ้นไม่เคยเลยพับผ่า
 
                ผมไม่เคยโดนผีหลอก นึกไม่ออกว่าถ้าถูกมันหลอกเข้าจะเป็นอย่างไร  เขาว่าคนถูกผีหลอกจะจับไข้หัวโกร๋นพอๆ กับคนป่วยเป็นโรคมะเร็ง  เพราะเป็นคนกลัวผี ผมจึงสวดมนต์และแผ่เมตตาเป็นประจำ
 
                มนต์บทที่ผมสวดประจำคือ กรณียเมตตสูตร (สูตรว่าด้วยเมตตา)
 
                พระพุทธเจ้าตรัสบอกให้พระสวด  พระจำนวนร้อยกราบทูลลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในป่าแห่งหนึ่ง ถูกผีหลอกหลอนจนอยู่ไม่ได้ กลับไปหาพระพุทธองค์  พระพุทธองค์ตรัสว่า ′พวกเธอจงเอาอาวุธไปด้วยสิ′  เมื่อพระเหล่านั้นกราบทูลถามว่า ′จะให้เอาอาวุธชนิดไหนไป พระเจ้าข้า′
 
                พระองค์ตรัสว่า อาวุธที่ว่านี้มิใช่ปืนผาหน้าไม้ หมายถึง′การแผ่เมตตา′  ว่าแล้วพระองค์ก็ตรัสสอนให้พระเหล่านั้นสวดมนต์บทที่เรียกว่า ′กรณียเมตตสูตร′
 
                เมื่อพวกพระกลับไปยังป่าแห่งเดิม พากันสวดมนต์ที่พระพุทธองค์ประทานมาทุกวันทุกคืน  พวกผีหรือรุกขเทวดาที่เคยหลอกหลอนก็กลับมีจิตรักใคร่ในพระเหล่านั้นไม่มาหลอกอีกต่อไป

                นี่คือประวัติความเป็นมาของบทสวดมนต์บทนี้  ผมได้อ่านเข้าก็รู้สึกประทับใจและมีความเชื่อมั่นว่า มนต์บทนี้คงต้อง ขลังŽ แน่นอน จึงสวดเป็นประจำก่อนนอน  หลังจากสวดจบก็แผ่เมตตาอีกทีหนึ่งแล้วจึงนอน
 
                อาจจะเพราะอย่างนี้ก็ได้ ผีมันจึงไม่หลอกผม (แฟนคนไหนอยากได้มนต์บทนี้ไปสวดก็ขอมาได้ ยาวนะบอกไว้ก่อน)
                ผมเคยพูดไว้ว่าการติดต่อกับผีหรือเทวดาสามารถทำได้ ๓ ทางหนึ่งในสามทางนั้นคือ การเชิญผีลงถ้วยแก้ว (อาทาสปัญหา) หรือที่ไทยๆ เรียกว่า ′เล่นผีถ้วยแก้ว′ นั่นเอง
 
                ผีถ้วยแก้วเขาเล่นกันยังไง แต่ก่อนผมก็ไม่เคยรู้เรื่อง มารู้เอาสมัยบวชพระ แถมยังอยู่ต่างประเทศด้วย  ลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนไทยในอังกฤษชวนเชิญผีถ้วยแก้ว ผมถามว่าทำยังไง  ลูกศิษย์มันบอกว่าไปหากระดานแข็งๆ มาแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่งกับถ้วยมาใบหนึ่งแล้วมันจะทำให้ดู  เราก็เตรียมของที่เขาต้องการมาให้
 
                เจ้าลูกศิษย์เธอก็เอาปากกาเมจิกเขียนตัวอักษรไทยตั้งแต่ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก รวมทั้งสระทั้งหมดใส่ไว้เป็นช่องๆ  เสร็จแล้วก็เอาถ้วยเล็กๆ มาใบหนึ่งวางไว้ตรงกลาง (ลูกศิษย์บอกว่าไม่ใช้ถ้วย จะใช้เหรียญแทนก็ได้)
 
                เสร็จแล้วเอาธูปมาดอกหนึ่ง จุดไฟแล้วนำไปปักไว้กลางแจ้งทำนองขอเชิญผีที่ต้องการติดต่อเข้ามา อะไรทำนองนั้นแหละ
 
                ลูกศิษย์ถามผมว่าจะเชิญใคร  ผมบอกว่าลองเชิญพ่อมาดูสิอยากจะรู้ว่าป่านนี้ไปเกิดเป็นอะไรอยู่ที่ไหน  ลูกศิษย์บอกผมให้ตั้งจิตอธิษฐานเชิญพ่อลงมา เอามือ (ความจริงนิ้วชี้) แตะที่แก้วซึ่งวางอยู่ตรงกลาง
 
                เราก็เอานิ้วกดอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีไรเกิดขึ้น  กำลังจะบอกเลิกอยู่พอดี แก้วที่ถูกมือกดอยู่ก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดๆ ไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง
 
ผมขนลุกซู่ไปหมด มันวิ่งได้ยังไง  ลูกศิษย์กระซิบว่า ′ลงมาแล้ว ให้ถามปัญหาได้′  ผมก็ถามว่าใคร  แก้วก็วิ่งไปที่ตัว พ วิ่งไปที่ตัว อ ไม้เอก สระเอ อ อ่าง และ ง งู (อ่านรวมกันว่า ′พ่อเอง′)
 
                ผมถามต่อไปว่า พ่อเองน่ะ พ่อจริงหรือเปล่า  แน่จริงบอกชื่อมาสิ ชื่ออะไร  แก้วก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดๆ เช่นเดิมไปยังอักษรตัวนั้นบ้างตัวนี้บ้างผสมออกมาแล้วเป็น อุ่มŽ ชื่อพ่อผมพอดี  บ๊ะเจ้าผีนี่มันเก่งแฮะ สงสัยจะเป็นพ่อเราจริง  ผมก็เลยถามโน่นถามนี่สนุกกันใหญ่และผีก็ตอบได้ตรงความจริงอย่างมหัศจรรย์
 
                ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ จนกระทั่งบัดนี้ผมยังไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร
 
                พอถามเรื่องต่างๆ จนพอแล้วผมก็หยุดพัก  นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้ลืมถามว่าพ่อไปเกิดที่ไหน จึงทำพิธีอัญเชิญลงถ้วยแก้วอีกครั้งคราวนี้ถ้วยแก้ววิ่งเร็วและแรงกว่าเดิม  ผมสงสัยจึงถามว่า
 
                ′ใครนั่น′
 
                ′ชิต′ ผีมันวิ่งไปยังตัวอักษรต่างๆ ผสมออกมาได้อย่างนี้
 
                ′ชิตไหน′ เราถาม
 
                ′กูใหญ่′ คราวนี้ออกมาอ่านได้อย่างนี้
 
                ′กูใหญ่อะไรวะ  ฉันถามว่าชิตไหน′
 
                ′ชิตที่ยิ่งใหญ่ซิ ไอ้ห่า′ ผีมันบอก
 
                เท่านั้นแหละครับ ผมชักยัวะ แน่ใจว่าไอ้นี่ไม่ใช่พ่อเราแน่ จึงเอาเท้ายันเปรี้ยงเข้าให้  ถ้วยแก้วกระเด็นไปปะทะผนังห้องแตกละเอียด
 
                ลูกศิษย์อธิบายให้ผมฟังภายหลังว่า การเชิญสิ่งที่คนไทยชอบเรียกว่า ′วิญญาณ′ ลงถ้วยแก้วนั้นสามารถทำได้และเป็นความจริงด้วย (ดังกรณีพ่อผมลงมาตอนแรก)  แต่ถ้าทำบ่อยเกินไป ผีอื่นอาจเข้ามาแทรก หรือไม่มีผีไหนลงมาก็ได้
 
                ′ที่อาจารย์เชิญตอนหลังนี้ เข้าใจว่าเป็นผีอันธพาลที่ไหนไม่รู้มันเข้ามาแทรก′ ลูกศิษย์สรุป
 
                นี่คือประสบการณ์การเล่นกับผีครั้งแรกของผม  การติดต่อกับผีผ่านถ้วยแก้ว คัมภีร์ศาสนาก็บอกว่าสามารถทำได้  แต่ไม่ค่อยได้ผลแน่นอน คืออาจจริงบ้าง เท็จบ้าง ดุจเดียวกับการเข้าทรง
 
                แต่ผู้ที่ฝึกสมาธิจนได้ทิพย์จักษุ (ตาทิพย์) เท่านั้น จึงจะติดต่อกับภูตผีเทวดาได้แน่นอนกว่าวิธีอื่น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1300264503&grpid=no&catid=&subcatid=
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีสางคางแดง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 19 มี.ค. 2554, 08:46:11 »
กรณียเมตตสูตร
เมตตปริตร หรือ กรณียเมตตปริตร หรือ กรณียเมตตสูตร

ทำให้หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย เทพพิทักษ์รักษา ไม่มีภยันตราย จิตเป็นสมาธิง่าย ใบหน้าผ่องใส มีสิริมงคล ไม่หลงสติในเวลาเสียชีวิต และเป็นพรหมเมื่อบรรลุเมตตาฌาน

๑. กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ . . . . . . . ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
สักโก อุชู จะ สุหุชู จะ . . . . . . . . . . . . สุวะโจ จัสสะ มุทุ อะนะติมานี
กิจที่คนฉลาดในสิ่งที่มีประโยชน์ และมุ่งหมายจะบรรลุทางสงบ จะพึงทำ ก็คือ เป็นคนกล้า, เป็นคนซื่อ, เป็นคนตรง, ว่าง่าย, อ่อนโยน, ไม่เย่อหยิ่ง

๒. สันตุสสะโก จะ สุภะโร จะ . . . . . . . .อัปปะกิจโจ จะ สัลละหุกะวุตติ
สันตินท์ริโย จะ นิปะโก จะ . . . . . . . . อัปปะคัพโภ กุเลสุ อะนะนุคิทโธ
เป็นผู้สันโดษ, เลี้ยงง่าย, มีภาระกิจน้อย, คล่องตัว, ระมัดระวังการแสดงออก, รู้ตัว, ไม่คะนอง, ไม่คลุกคลีในตระกูลทั้งหลาย

๓. นะ จะ ขุททัง สะมาจะเร กิญจิ . . . . . เยนะ วิญญู ปะเร อุปะวะเทยยุง
สุขิโน วา เขมิโน โหนตุ . . . . . . . . . . . . สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
ไม่ประพฤติสิ่งที่วิญญูชนตำหนิติเตียนได้, พึงแผ่เมตตาจิตว่า ขอสัตว์ทั้งปวง จงมีความสุขกายสบายใจ มีความเกษมสำราญเถิด

๔. เย เกจิ ปาณะภูตัตถิ . . . . . . . . . . . . .ตะสา วา ถาวะรา วา อะนะวะเสสา
ทีฆา วา เย มะหันตา วา . . . . . . . . . . .มัชฌิมา รัสสะกา อะณุกะถูลา
ขอสัตว์ทั้งหลายบรรดามี ที่เป็นสัตว์ตัวอ่อน หรือตัวแข็งก็ตาม เป็นสัตว์-มีลำตัวยาวหรือ ลำตัวใหญ่ก็ตาม มีลำตัวปานกลาง หรือตัวสั้นก็ตาม ตัวเล็กหรือตัวโตก็ตาม

๕. ทิฏฐา วา เย จะ อะทิฏฐา . . . . . . . . . เย จะ ทูเร วะสันติ อะวิทูเร
ภูตา วา สัมภะเวสี วา . . . . . . . . . . . . .สัพเพ สัตตา ภะวันตุ สุขิตัตตา
ที่มองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตาม ที่อยู่ไกลหรืออยู่ใกล้ก็ตาม ที่เกิดแล้ว หรือ กำลังหาที่เกิดอยู่ก็ตาม ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนั้นจงสุขกายสบายใจเถิด

๖. นะ ปะโร ปะรัง นิกุพเพถะ . . . . . . . . .นาติมัญเญถะ กัตถะจิ นัง กิญจิ
พ์ยาโรสะนา ปะฏีฆะสัญญา . . . . . . .นาญญะมัญญัสสะ ทุกขะมิจเฉยยะ
บุคคลไม่พึงหลอกลวงผู้อื่น ไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ไม่ควรมุ่งร้าย ต่อกันและกัน เพราะมีความขุ่นเคืองโกรธแค้นกัน

๗. มาตา ยะถา นิยัง ปุตตัง . . . . . . . . . . อายุสา เอกะปุตตะมะนุรักเข
เอวัมปิ สัพพะภูเตสุ . . . . . . . . . . . . . . มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
คนเราพึงแผ่ความรักความเมตตา ไปยังสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ดุจดังมารดาถนอม และปกป้องบุตรสุดที่รักคนเดียวด้วยชีวิต ฉันนั้น

๘. เมตตัญจะ สัพพะโลกัส์มิง . . . . . . . . .มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง
อุทธัง อะโธ จะ ติริยัญจะ . . . . . . . . . . อะสัมพาธัง อะเวรัง อะสะปัตตัง
พึงแผ่เมตตาจิต ไม่มีขอบเขต ไม่คิดผูกเวร ไม่เป็นศัตรู อันหาประมาณไม่ได้ ไปยังสัตว์โลกทั้งปวงทั่วทุกสารทิศ

๙. ติฏฐัญจะรัง นิสินโน วา . . . . . . . . . . . สะยาโน วา ยาวะตัสสะ วิคะตะมิทโธ
เอตัง สะติง อะธิฏเฐยยะ . . . . . . . . . . พรัหมะเมตัง วิหารัง อิธะมาหุ
ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ตลอดเวลาที่ตนยังตื่นอยู่ พึงตั้งสติ อันประกอบด้วยเมตตานี้ให้มั่นไว้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การอยู่ด้วยเมตตานี้ เป็นพรหมวิหาร (การอยู่อย่างประเสริฐ)

๑๐. ทิฏฐิญจะ อะนุปะคัมมะ สีละวา . . . . .ทัสสะเนนะ สัมปันโน
กาเมสุ วิเนยยะ เคธัง . . . . . . . . . . . . . .นะ หิ ชาตุ คัพภะเสยยัง ปุนะเรตีติ
ท่านผู้เจริญเมตตาจิต ที่ละความเห็นผิดแล้ว มีศีล มีความเห็นชอบ ขจัดความใคร่ ในกามได้ ก็จะไม่กลับมาเกิดอีกเป็นแน่แท้

(คำแปลของ ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต)

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผีสางคางแดง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 19 มี.ค. 2554, 08:51:43 »
ผีสางคางแดง : ตอน 2
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:09:47 น.


เทวดาแก้ผ้า
 
คำว่า ′เทวดา′ เป็นคำกลางๆ ใช้กับเทวดาผู้ชายก็ได้ เทวดาผู้หญิงก็ได้
 
                ในภาษาแขกซึ่งเป็นต้นเดิมของคำเหล่านี้ ถ้าพูดเทวดาผู้ชายเขามักใช้คำว่าเทวปุตต (ภาษาไทยแปลงเป็นเทพบุตร)  เทวดาผู้หญิงใช้คำว่าเทวธีตา (ภาษาไทยใช้คำว่าเทพธิดา)  ทั้งเทพบุตรและเทพธิดาแปลตามตัวว่า ′ลูกชายเทวดา′ และ ′ลูกสาวเทวดา′
 
                ว่ากันว่าสวรรค์ชั้นฟ้านั้นเต็มไปด้วยเทวดาหนุ่มๆ สาวๆ  ทั้งนี้เทวดาแก่ๆ ไม่ยักมี หรือว่าชาวเมืองฟ้าเขาไม่มีแก่เฒ่ากันก็ไม่รู้
 
                มีชื่อเรียกอีกคำหนึ่งที่คุ้นหูคนไทยเราคืออัปสร ซึ่งเราแปลกันว่า ′นางฟ้า′  ความจริงเทพธิดากับอัปสรน่าจะเป็นคนละพวกกัน นางฟ้าควรจะหมายถึงเทพธิดามากกว่าอัปสร  อัปสรนั้นแปลว่า ′นางน้ำ′(อัป = น้ำ + สร = เคลื่อนไหว)
 
                มีตำนานเก่าแก่สมัยพระเจ้าเหากล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งเทวดากับอสูรยังมีสัมพันธไมตรีอันดีกันอยู่นั้นพากันกวนน้ำอมฤต  ในการกวนน้ำอมฤตนั้นจะมีของวิเศษผุดขึ้นจากเกษียรสมุทร ๑๔ อย่างก่อนที่น้ำอมฤตจะโผล่ขึ้นเป็นอันดับสุดท้าย
 
                อันดับที่สี่โผล่ขึ้นมากลางทะเลน้ำนมก็คือนางอัปสร  ที่ได้นามดังนี้เพราะนางมีกำเนิดจากน้ำ ประดับประดาด้วยอาภรณ์อันเป็นทิพย์ สวยอย่างหยาดฟ้ามาดิน
 
                แต่ก็ประหลาด ทั้งที่งดงามอย่างนั้น เหล่าเทวดาและอสูรก็ไม่มีใครสน  มันจดจ่ออยู่แต่กับน้ำพรรค์หยั่งว่า  พอหม้อบรรจุแม่โขงเอ๊ย! น้ำอมฤตโผล่พ้นน้ำเท่านั้น ก็เกิดการวางมวยแย่งน้ำวิเศษกันโกลาหล  มึงมั่ง กูมั่ง จนหกเรี่ยราด
                นัยว่าเทวดากับอสูรเลยเกิดเขม่นกันมาตั้งแต่บัดนั้น  วันดีคืนดีจะยกทัพมารบราฆ่าฟันกันที ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เป็นสงครามยืดเยื้อต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น เรียกว่าเทวาสุรสงคราม
 
                สาเหตุก็เนื่องมาจากแย่งเหล้าโรงบางยี่ขันกันนี่แหละ  คิดดูอีกทีเทวดากับอสูรนี่โง่ชะมัด มีอย่างรึ นางน้ำออกเต่งตึงไม่สน ยื้อแย่งกันอยู่ได้กะไอ้ไหสุรา

                ในพระราชนิพนธ์เรื่องนารายณ์สิบปาง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงบรรยายฉากนี้อย่างแจ่มชัดว่า
               
                                ที่สี่ที่ขึ้นจาก                            ชลา ลัยฤา
                คือคณาอัปสร                                       เฉิดแฉล้ม
                รูปโฉมสุดโสภา                                     หาเปรียบ ไม่เลย 
                งามเนตรงามเกศแก้ม                           ก่องฉวี
                                ท่วงทีมารยาทล้วน                                ยวนใจ
                เสียงเสนาะขับรำ                                  ร่ำร้อง
                แต่หาสุรเทพใด                                      รับบ่ มีเลย
                เหตุฉะนั้นจึงต้อง                                   อยู่ลอย
               
                                คอยบำเรอเทพไท้                 เปรมปรีดิ์
                ยามเทพใดมีทุกข์                                   ช่วยแก้
                เปรียบโสภิณีนางในโลก                       มนุษย์แล
                เป็นแบบแต่นั่นแล้                                 สืบมา
               
                เมื่อไม่มีใครรับ ก็เลยกลายเป็นสมบัติส่วนกลาง ′คอยบำเรอเทพไท้ ยามเทพใดมีทุกข์ ช่วยแก้′ ทำหน้าที่โสภิณีในสวรรค์ว่างั้นเถอะ  ใครใคร่เชย เชย ใครใคร่ชม ชม ตามสบาย  เทพไท้องค์ไหนมักมากในกามารมณ์ก็กว้านไว้ในครอบครองมาก อย่างเช่นพระอินทร์(พระเอกของผมนั่นแหละครับ) ตั้งตนเป็นพ่อเล้าเลยทีเดียว  นอกจากจะเอาไว้เชยชมเองแล้ว แกยังใช้นางอัปสรเป็นเครื่องมือในการทำลายตบะของผู้เคร่งฌาน โดยเฉพาะฤๅษีชีไพร
 
                ทำไมหรือครับ?
 
                ผมจะเล่านิสัยขี้อิจฉาของพระอินทร์ไว้ว่า ถ้าแกเห็นใครทำความดีมากๆ แกก็กลัวเขาจะแย่งตำแหน่งแกเข้า  แกก็หาวิธีทำลายเขาเสียเองบ้าง ส่งนางอัปสรไปยั่วยวนให้ตบะเขาแตกบ้าง
 
                อย่างกรณีฤๅษีวิศวามิตรผู้เคร่งฌาน พระอินทร์ก็ส่งนางอัปสรชื่อเมนถา มาฉอเลาะออเซาะซะจนฤๅษีท่านเคลิบเคลิ้ม คุมสติสตังไว้ไม่อยู่ เลยตบะแตกได้นางเป็นภรรยา มีลูกด้วยกันคนหนึ่งชื่อศกุนตลา
 
                ดังที่เราท่านผู้ศึกษาวรรณคดีทราบกันดีอยู่แล้ว  เมื่อนางอัปสรกลับไปเมืองฟ้าแล้ว หลวงพ่อวิศวามิตรได้คิด จึงเริ่มบำเพ็ญฌานใหม่กล้าแข็งกว่าเดิม
 
                คราวนี้แข็งปั๋งดังโป๊กเลย พระอินทร์พ่อเล้าใหญ่ส่งมาอีกนางชื่อรัมภา บังเกิดเป็นคราวเคราะห์ของนาง หลวงพ่อไม่เล่นด้วย
 
                "คราวก่อนเผลอไปแผล็บเดียว ลูกออกมาหนึ่ง  คราวนี้ขืนน็อตหลุดอีก เดี๋ยวก็จะออกมาอีก อยู่ป่าดงพงไพรอย่างนี้จะเอาอะไรเลี้ยงมัน"
 
                คิดได้ดังนี้ หลวงพ่อเลยโนเค สาปส่งให้นางกลายเป็นหินเสียเลย  นางก็เลยกลายเป็นแพะรับบาป เพราะความขี้อิจฉาตาร้อนของพระเจ้า ′พันตา′ แท้ๆ น่าสงสาร
 
                ถ้าว่าตามตำราสันสกฤต เทพธิดากับอัปสรไม่ใช่พวกเดียวกันแต่ตำราฝ่ายบาลีดูเหมือน (ดูเหมือนไว้ก่อนนะครับ เพราะผมไม่แน่ใจ) กล่าวไว้ปนๆ กันจนกลายเป็นพวกเดียวกัน
 
                ยิ่งในความหมายอย่างไทยด้วยแล้ว ไม่ว่าเทพธิดา-นางอัปสร-นางฟ้า เราหมายถึงสตรีเพศที่งามหยาดเยิ้มหยดย้อยอยู่เมืองฟ้าอมรโน่นแหละ
 
                เวลาจิตรกรเขาวาดภาพนางฟ้าหรือเทพธิดาพวกนี้ จึงพยายาม
วาดจินตนาการให้อ่อนช้อยสวยงามที่สุดเท่าที่จะทำ
 
                และเทพธิดานางฟ้าในความนึกคิดของไทยมักจะนุ่งน้อยห่มน้อยหรือเปลือยส่วนบนโชว์ส่วนเว้าส่วนนูนถึงอกถึงใจ ก็ความงามของสตรีจะอยู่ที่ไหนเล่าครับ ถ้าไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ ใช่ไหมครับ
 
                ทั้งๆ ที่การวาดนางฟ้าเปลือยเป็นเอกลักษณ์ของจิตรกรรมไทยก็ว่าได้  แต่จิตรกรรมเอกท่านหนึ่งถูกพระเจ้าอยู่หัวกริ้ว เป็นเรื่องเป็นราวอื้อฉาวกันใหญ่โต
 
                เรื่องเกิดขึ้นเมื่อรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระครูกสิณสังวร จิตรกรเอกร่วมยุคขรัวอินโข่ง เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ ฝั่งธนบุรี ได้วาดภาพฝาผนังพระอุโบสถวัดแห่งนั้น
 
                ในหลวงเสด็จไปพระราชทานผ้าพระกฐิน ทอดพระเนตรเห็นภาพฝีมือของท่านเข้า ทรงพอพระทัย ตรัสถามว่าใครวาด  เมื่อทรงทราบว่าพระครูกสิณสังวรวาด จึงตรัสว่าเก่ง  แต่พอหันไปทอดพระเนตรอีกมุมหนึ่งเป็นรูปนางฟ้าเล่นน้ำ ไม่พอพระทัย ทรงตำหนิว่าวาดภาพประเจิดประเจ้อในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา
 
                เรื่องนี้มีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ขอคัดลอกมาลงไว้ ณ ที่นี้
 
                จึงทรงพระราชดำริ จะใคร่สถาปนาเลื่อนพระครูกสิณสังวรให้เป็นพระญาณรังสี ที่พระราชาคณะ สำหรับพระอารามนั้น  แต่ครั้นทรงพิเคราะห์ไปในจิตรกรรมการเขียนผนังพระอุโบสถนั้น รำคาญพระเนตรอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องระหว่างประตูกลางและประตูเหนือหน้าพระอุโบสถ เขียนเป็นนันทอุทยานในดาวดึงส์สวรรค์ ก็ในนันทอุทยานนั้นล้วนเกลื่อนกลาดดาษดาไปด้วยนางเทพ นิกร อัปสรกัญญา เดินไปมาแลชมต้นไม้ที่มีดอกมีผลบ้าง ลงอาบน้ำในสุนันทโบกขรณีบ้าง มีรูปวุ่นวายอยู่ถึง ๗ รูป คือรูปเปิดผ้านุ่งถึงตะโพก นั่งถ่ายปัสสาวะ บ้างเป็นรูปยืนแหวกผ้านุ่งข้างหน้า บ้างบางนางว่ายน้ำท่อนกลางตัวพ้นน้ำมา ผ้านุ่งไม่มี  บางนางขึ้นจากท่า ผลัดผ้าข้างหน้าแหวกอยู่จนถึงอุทรประเทศ บางนางผลัดผ้าข้างหลังเปิดเห็นตะโพกบางนางหกล้มผ้าหลุดลุ่ย
 
                รูปภาพสตรีต่างๆ ถึง ๗ รูปที่เขียนไว้ดังนี้ ก็เป็นรูปนางสวรรค์ล้วนประดับประดามงกุฎ เป็นรูปภาพระบายอย่างดี มิใช่เป็นของเล่นที่ห้องนั้นอยู่เบื้องหน้าพระอุโบสถ ตรงพระพักตร์พระประธาน ตรงที่เสด็จไปประทับ  หรือเมื่อพระสงฆ์จะมาชุมนุมกันทำสังฆกรรมอุโบสถกรรมก็จะต้องแลดูรูปนั้นอยู่จนสังฆกรรมเลิก  ก็รูปภาพนางสวรรค์แปลกตา ๗ รูปนี้ พระครูกสิณสังวรให้การเขียนหรือช่างเขียนไปเอง  ถ้าให้การเขียนนั้นจะเป็นประโยชน์โภชผล เป็นปริศนาธรรมทางสังเวช หรือทางเลื่อมใสอย่างไร จึงเขียนไว้  ถ้าช่างเขียนไปเองช่างเขียนนั้นเป็นคนดีหรือเสียจริต  ถ้าเสียจริต ทำไมจึงเขียนรูปภาพระบายได้งามๆ ได้ดีๆ
 
                ท่านพระครูกสิณสังวรกำลังจะได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณรอมร่อ เลยอดเป็นกัน
                ภาพเทวดาแก้ผ้าเป็นเหตุแท้ๆ