ผู้เขียน หัวข้อ: โครงการอุปสมบทหมู่ภาคเข้าพรรษา ๑๐๐,๐๐๐ รูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ปี๒๕๕๔  (อ่าน 2952 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Contact Us

  • contact
  • *
  • กระทู้: 66
    • ดูรายละเอียด
    • www.bp.or.th
โครงการอุปสมบทหมู่ภาคเข้าพรรษา ๑๐๐,๐๐๐ รูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ปี๒๕๕๔

คณะสงฆ์ทั้งแผ่นดินร่วมกับ คณะกรรมธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฏร
ขอเชิญชายแท้ทุกท่านร่วมบวชครั้งประวัติศาสตร์ชาติไทย
โดยพระเถระผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรมจากทั่วสังฆมณฑลจะเมตตา มาแสดงธรรม


[youtube=425,350]cL0FEqqjB3Q[/youtube]

[youtube=425,350]JOvw8aXz6J4[/youtube]


ได้เกิดเป็นผู้ชายแล้วจะโชคดีอย่างไร? อ่านต่อที่...http://www.dmycenter.com/site/index.php/ordination-experience/benefit-ordinate/417-lucky-for-male-and-man
หรือรับหนังสือ"โชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกผู้ชาย"และรายละเอียดโครงการได้ที่หลวงพี่แป๊ว


สมัครบวชฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ วัดศูนย์อบรมทั่วประเทศไทย
รายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่

http://www.dmycenter.com/site/index.php/ordinate , www.dmycenter.com

สำหรับอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ติดต่อได้ที่หน้าวัดบางพระ ติดกับเซเว่นฯ (พี่หวาน 089-530-5679)

กราบอนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับสาธุสาธุ.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มิ.ย. 2554, 11:24:41 โดย Contact Us »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
ได้เกิดเป็นผู้ชายแล้วจะโชคดีอย่างไร? อ่านต่อที่...http://www.dmycenter.com/site/index.php/ordination-experience/benefit-ordinate/417-lucky-for-male-and-man
เข้าไม่ได้

ให้เข้ามาทางนี้ครับ

"โชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกผู้ชาย"หนังสือเล่มนี้จะบอกให้ผู้ชายทุกคนได้รู้ว่า"คุณ" คือคนที่โชคดีที่สุดในโลก(รู้ตัวหรือเปล่า)
ดาวโหลดที่นี้ http://www.kalyanamitra.org/book/index_dhammabook_detail.php?id=207
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด

บวชเพื่ออะไร…ประสพการณ์จากพระป่า (ประสพการณ์จากผู้ที่ได้มีโอกาสบวชในสายพระป่า)

--------------------------------------------------------------------------------

สมัยก่อนชายไทยเมื่ออายุครบ 20 ปี พ่อแม่ผู้ปกครองจะจัดการให้ได้บวชตามประเพณี ครอบครัวไหนมีลูกชายได้บวช พ่อแม่ก็จะภาคภูมิใจ ถือว่าได้เกาะชายจีวรขึ้นสวรรค์ ลูกชายที่บวชก็ถือว่า ได้ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่ นอกจากนั้น การบวชยังถือเป็นคุณวุฒิแถมพิเศษสำหรับชายที่ต้องการมีคู่ครองเป็นหลักฐานอีกด้วย เสมือนหนึ่งเป็นสูตรสำเร็จของการดำเนินชีวิตของชายไทยคือ จะต้องเรียนจบ มีงานการทำเป็นหลักแหล่ง บวชเรียนแล้ว จึงจะถือว่าเป็นผู้พร้อมที่จะก้าวไปสู่ชีวิตครอบครัว คนโบราณจึงเรียกผู้ที่ผ่านการบวชแล้วนี้ว่าเป็นคน “สุก” ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้บวช แม้ได้ผ่านขั้นตอนอื่น ๆ ของชีวิตมาครบเครื่องก็ยังถือว่าเป็นคน “ดิบ” อยู่นั่นเอง

สมัยนี้เราบวชกันแบบเป็นพิธีเสียมากกว่า อาทิการบวชเพื่อทดแทนบุญคุณบิดามารดา หรือการบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็เป็นสิ่งดีที่ไม่เสียหายอะไร เพียงแต่ยังไม่ดีพอ เนื่องจากยังไม่สามารถทำให้จิตใจหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ ไม่สามารถกำจัดกิเลส ตัณหา อันเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งหลายให้หมดไปจากจิตจากใจได้ นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ความตื่นตัวหรือศรัทธาในการบวชของชายไทย นับว่าจะลดน้อยลงไปมากทีเดียว ซึ่งอาจเนื่องมาจากหลายสาเหตุ แต่เหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้มาตั้งแต่แรกถึงจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์อันแท้จริงของการบวช ซึ่งไม่ใช่สักแต่ว่าทำกันตามประเพณี อีกประการหนึ่งคือ ความวุ่นวายสับสนในชีวิตประจำวัน ภาระหน้าที่ต่าง ๆ เพื่อหาเลี้ยงชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ที่ทำให้ผู้คนมุ่งให้ความสำคัญต่อวัตถุมากกว่าจิตใจ

บวชเพื่ออะไร…ประสพการณ์จากพระป่า สำหรับคนที่ยังไม่ได้บวช หรือคิดจะบวช หรือคนที่มีชีวิตสับสนในยุคนี้ ซึ่งอาจมีทั้งคนหนุ่มในวัยสดใส หรือคนวัยกลางคนขึ้นไป อาจจะสงสัย แม้คนที่บวชแล้วบางคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่าได้อะไรจากการบวชมาบ้าง บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นในมุมมองหนึ่งของผู้เขียนที่ได้รับความรู้และประสบการณ์จริงจากการเข้าอุปสมบทระยะสั้นในฤดูพรรษาปี พ.ศ. 2548 (กรกฎาคม-ตุลาคม) ที่วัดป่าดานวิเวก เขตโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย

วัดแห่งนี้เป็นวงศ์ของพระป่า พระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นวัดที่มีผู้คนทั้งใกล้ไกลให้ความเคารพ เลื่อมใส ศรัทธา กันมาก เนื่องจากมีพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบด้วยความงดงามแห่งธรรมอย่างแท้จริง ผู้เขียนจึงขอนำมาถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้พินิจพิจารณา และหากเห็นว่าจะมีสารประโยชน์ ก็อาจนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ตามสายทางที่ดีงามและร่มเย็นต่อไป เนื้อหาของบทความจะแบ่งเป็น 3 เรื่องหลักคือ การเตรียมตัว/ใจเพื่อบวช งานของนักบวชใหม่ และเมื่อบวชแล้วได้อะไร


สนใจอ่านต่อได้ และ ที่มา
http://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=1934
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 มิ.ย. 2554, 09:56:53 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ chatee_poke

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 24
  • โปเก้ ณ.ซอยคาวบอย(สุขุมวิท23)
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
การบวชเป็นสิ่งที่ดีงามครับเห็นด้วย........แต่จะว่าไปแล้วจะบวชที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ :062:
ถ้าจำไม่ผิดดูจากชื่อเวปแล้วมีเคเบิ้ลเป็นของตัวเองช่องนึงเลยนี่ครับเวบนี้เอาเถอะครับถึงขนาด Contact Us ลงโฆษณาให้เองเลยผมก็โอเคครับ
[shake]ต่อต้านวัดยานอวกาศ[/shake]

ออฟไลน์ Nick_Charansarom

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 204
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - charansarom_tect@hotmail.com
    • Yahoo Instant Messenger - charansarom.tect@yahoo.com
    • ดูรายละเอียด
สาธุ ด้วยครับ

ขออนุญาตเข้ามาตอบนะครับ ผิดถูกประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
อิติสุคคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
ฐิตคุโณ อาจาริโย จะมหาเถโร มหาลาโภ
สัพพะสุขขัง จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะนัง ภะวันตุเม.

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
การบวชเป็นสิ่งที่ดีงามครับเห็นด้วย........แต่จะว่าไปแล้วจะบวชที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ :062:
ถ้าจำไม่ผิดดูจากชื่อเวปแล้วมีเคเบิ้ลเป็นของตัวเองช่องนึงเลยนี่ครับเวบนี้เอาเถอะครับถึงขนาด Contact Us ลงโฆษณาให้เองเลยผมก็โอเคครับ

ถูกต้องครับ อุปสมบทได้ทุกวัดทั่วประเทศไทยครับ :001:

อานิสงส์การบวช ผู้บวชได้ ๖๔ กัป , บิดามารดาผู้บวชได้ ๓๒ กัป(แม้ไม่ต้องอนุโมทนา) , ผู้ขวนขวายช่วยกิจงานบวชได้ ๑๖ กัป , ผู้ร่วมอนุโมทนาได้ ๘ กัป

"ถึงแม้จะมีผู้วิเศษเก็บดอกไม้จนหมดป่าหิมพานต์ แล้วนำมาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้ง ๑,๐๐๐ พระองค์ กระทำดังนี้ทุกวัน ผลบุญจากการบูชานั้น ก็ไม่เท่าผลบุญจากการบวชในพระพุทธศาสนา"

"พุทธพจน์"

ผ้าไตรจีวร คือ ธงชัยของพระอรหันต์ ผู้ที่จะอุปสมบทได้ก็จะต้องไม่ขัดกับพระธรรมวินัย อาทิเช่น ห้ามผู้ที่เคยอุปสมบทแล้วต้องอาบัติปาราชิกกลับมาบวชใหม่ , ผู้อุปสมบทต้องเป็นชายมีอายุครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ เป็นต้น

สำหรับวัตถุประสงค์ในการบวชที่แท้จริงตามที่ได้กล่าวต่ออุปัชฌาย์ท่ามกลางสงฆ์คือ"กระทำพระนิพพานให้แจ้ง"

แต่ก็มีการกระทำ ๕ อย่างที่หากได้กระทำลงไปแล้ว จะมีผลตามกลับมาคือ"ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน" ถือว่าเป็นกรรมหนักในทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า "อนันตริยกรรม"

อนันตริยกรรม มี ๕ ประการ ประกอบด้วย

๑.ฆ่าบิดา ๒.ฆ่ามารดา ๓.ฆ่าพระอรหันต์ ๔.ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ๕.ยังสงฆ์ให้แตกกัน

โดยเฉพาะข้อ๕พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพท่านได้เมตตากล่าวไว้ว่า"พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว"ฝากไว้ครับ

ร่วมอนุโมทนาบุญบวชพระ ๑ แสนรูปเข้าพรรษาทั่วไทยด้วยนะครับ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ.

ออฟไลน์ aekkamol

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 45
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย :016:

ออฟไลน์ chatee_poke

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 24
  • โปเก้ ณ.ซอยคาวบอย(สุขุมวิท23)
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
การบวชเป็นสิ่งที่ดีงามครับเห็นด้วย........แต่จะว่าไปแล้วจะบวชที่ไหนก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ :062:
ถ้าจำไม่ผิดดูจากชื่อเวปแล้วมีเคเบิ้ลเป็นของตัวเองช่องนึงเลยนี่ครับเวบนี้เอาเถอะครับถึงขนาด Contact Us ลงโฆษณาให้เองเลยผมก็โอเคครับ

ถูกต้องครับ อุปสมบทได้ทุกวัดทั่วประเทศไทยครับ :001:

อานิสงส์การบวช ผู้บวชได้ ๖๔ กัป , บิดามารดาผู้บวชได้ ๓๒ กัป(แม้ไม่ต้องอนุโมทนา) , ผู้ขวนขวายช่วยกิจงานบวชได้ ๑๖ กัป , ผู้ร่วมอนุโมทนาได้ ๘ กัป

"ถึงแม้จะมีผู้วิเศษเก็บดอกไม้จนหมดป่าหิมพานต์ แล้วนำมาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้ง ๑,๐๐๐ พระองค์ กระทำดังนี้ทุกวัน ผลบุญจากการบูชานั้น ก็ไม่เท่าผลบุญจากการบวชในพระพุทธศาสนา"

"พุทธพจน์"

ผ้าไตรจีวร คือ ธงชัยของพระอรหันต์ ผู้ที่จะอุปสมบทได้ก็จะต้องไม่ขัดกับพระธรรมวินัย อาทิเช่น ห้ามผู้ที่เคยอุปสมบทแล้วต้องอาบัติปาราชิกกลับมาบวชใหม่ , ผู้อุปสมบทต้องเป็นชายมีอายุครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์ เป็นต้น

สำหรับวัตถุประสงค์ในการบวชที่แท้จริงตามที่ได้กล่าวต่ออุปัชฌาย์ท่ามกลางสงฆ์คือ"กระทำพระนิพพานให้แจ้ง"

แต่ก็มีการกระทำ ๕ อย่างที่หากได้กระทำลงไปแล้ว จะมีผลตามกลับมาคือ"ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน" ถือว่าเป็นกรรมหนักในทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า "อนันตริยกรรม"

อนันตริยกรรม มี ๕ ประการ ประกอบด้วย

๑.ฆ่าบิดา ๒.ฆ่ามารดา ๓.ฆ่าพระอรหันต์ ๔.ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ๕.ยังสงฆ์ให้แตกกัน

โดยเฉพาะข้อ๕พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพท่านได้เมตตากล่าวไว้ว่า"พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว"ฝากไว้ครับ


แล้วอันไหนครับที่ว่าแตกแยกผมก็เห็นเค้าเป็นเหมือนกันหมดทั้งประเทศไทย........จะมีก็ที่คุณนี่ละครับทำบุญแบบแปลกๆ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ขออนุโมทนาบุญท่านที่บวชเรียนด้วยครับ :054: อย่างน้อย 1 พรรษาคงให้อะไรเยอะแยะ :015:

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ลิขิตจากใจ - ผู้ที่จะบวชต้องสละทางโลก


จากหนังสือ "หลักเกณฑ์ของผู้ที่จะบวช ตามรอยพระพุทธเจ้า สืบทอดพระศาสนา" โอวาทพระอาจารย์กัณหา สุขกาโม

คมชัดลึก : ผู้ที่จะบวชในพระพุทธศาสนาต้องสละทางโลกทุกอย่าง เช่น ไม่รับเงินรับทอง หรือให้ผู้อื่นรับไว้เพื่อตน ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ฟังวิทยุ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่เล่นคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่ให้ติดต่อกับผู้หญิง ทั้งหมดนี้เป็นความเสื่อม ความเศร้าหมองสำหรับผู้ที่จะบวชประพฤติพรหมจรรย์ ก่อนจะบวชต้องไปอยู่วัดเป็นนาคถือศีล 8 ฝึกท่องคำขานนาค ฝึกรับประทานข้าววันละครั้งเดียวเหมือนกับพระ ตื่นแต่เช้า ทำวัตรสวดมนต์ ฝึกห่มผ้าครองผ้า ล้างบาตร เช็ดบาตร รักษาบาตร รักษาผ้าจีวร ศึกษาพระวินัย และมารยาทของความเป็นพระให้เข้าใจเมื่อบวชเป็นพระจะได้ปฏิบัติไม่ผิดพลาด เมื่อฝึกได้ดีแล้ว ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเห็นสมควรจึงจะให้บวชได้...

 ...ผู้ที่บวชมาแล้วต้องอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติได้มาตรฐาน และเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ มีการบังคับเข้มงวดต่อลูกศิษย์ลูกหา ไม่ให้ทำอะไรตามใจตามกิเลส ถ้าปฏิบัติอยู่กับครูบาอาจารย์ไม่ครบ 5 พรรษาจะไปไหนตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด เพราะยังไม่พ้นนิสัยพระผู้บวชใหม่

 สังเกตดูพระที่อยู่กับครูบาอาจารย์ยังไม่ครบ ๕ พรรษา หลบหลีกข้อวัตรปฏิบัติจากครูบาอาจารย์ไปก่อน จะเป็นพระที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อไปเป็นประธานสงฆ์ หรือเป็นเจ้าอาวาสก็เป็นไม่ได้มาตรฐาน เพราะขาดการฝึกไม่ครบกระบวนการในภาคปฏิบัติ จะทำให้ศาสนาเสื่อม จะเป็นพระบ้านก็ไม่ใช่ เป็นพระป่าก็ไม่ใช่ พระประเภทนี้ควบคุมตัวเองยังไม่ได้ จะไปไหนก็ไปตามใจ เห็นใครไปไหนก็จะตามไป ปีหนึ่งๆ เห็นรอบประเทศไทยตั้งหลายรอบ ถ้ามีโอกาสไปประเทศนอกได้ก็ไป

 เราเป็นชาวพุทธผู้อุปัฏฐากอุปถัมภ์พระต้องดูให้ดี สาเหตุที่ศาสนาเสื่อม มาจากเจ้าอาวาสหรือประธานสงฆ์ที่ปฏิบัติไม่ได้มาตรฐานลูกวัดก็ยิ่งแย่...

ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20110624/101254/ลิขิตจากใจผู้ที่จะบวชต้องสละทางโลก.html

ออฟไลน์ jidarsarika

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 93
  • เพศ: หญิง
  • อาจาริโย วันทามิ
    • ดูรายละเอียด
ขออภัยค่ะ เม้าท์มันไม่ค่อยดีแล้วเลยพลาดดันกดขอบคุณทุกหัวข้อมั่วไปหมด ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยค่ะ :054:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 มิ.ย. 2554, 01:50:23 โดย jidarsarika »
พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง มาตาปิตุโร อาจาริโย

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
บวช..คำตอบสุดท้าย ของชีวิตในสังสารวัฏ เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมาสรี ป.ธ.๙

"กาลเวลาย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละไปตามลำดับ บุคคลเมื่อเห็นมรณภัยแล้ว พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสู่สันติเถิด"(พุทธพจน์)

...................................................................................

   ท่านพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา นับเป็นตัวอย่างที่น่าอัศจรรย์ของผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ นอกจากจะละสมบัติมากถึง ๘๗ โกฏิ ออกบวชแล้ว ยังชวนน้องสาว ๓ คน คือ นางจาลา นางอุปจาลา นางสีสุปจาลา และน้องชายอีก ๒ คน คือ จุนทะ อุปเสนะ ให้บวชทั้งหมด เหลือแต่เรวตกุมารคนเดียวที่ยังอยู่ที่บ้าน แม่ของท่านเลยคิดว่า"ถ้าพระลูกชายมาชวนเรวตะให้ไปบวชอีกคนละก็ วงศ์สกุลก็จักขาดสูญ เราจักผูกมัดเรวตะเอาไว้ด้วยการให้แต่งงานตั้งแต่ยังเป็นเด็กนี่แหละ"

   ฝ่ายพระสารีบุตรเถระก็ได้สั่งภิกษูทั้งหลายไว้ก่อนว่า"ผู้มีอายุ ถ้าเรวตะมาเพื่อขอบวช พวกท่านจงให้เขาบวช เพราะมารดาของกระผมเป็นมิจฉาทิฐิ ขอให้ถือว่ากระผมเองเป็นมารดาและบิดาของเรวตะนั้น"

พ่อแม่จับแต่งงานตอนอายุ ๗ ขวบ

   พ่อแม่จับลูกชายผู้มีอายุเพียง ๗ ขวบ หมั้นกับเด็กหญิงที่มีชาติตระกูลเสมอกัน เมื่อกำหนดวันวิวาห์แล้ว ก็ได้แต่งตัวให้หนูน้อย แล้วพาไปบ้านของญาติฝ่ายหญิง พร้อมขบวนขันหมากมากมาย เมื่อพวกญาติของทั้งสองมาพร้อมกันแล้ว ได้ให้พรว่า "พวกเธอจงอายุยาวนานเหมือนยายของเธอนะ" เรวตะกุมารจึงถามว่า"คนไหนเป็นยาย" "พ่อหนู คนที่มีอายุ ๑๒๐ ปี มีฟันหลุด ผมหงอก หนังหดเหี่ยว ตัวตกกระ หลังโกง เจ้าไม่เห็นหรือ นั่นแหละยาย"

   เรวตะเห็นดังนั้นจึงถามว่า "แม้หญิงนี้ ก็จะต้องเป็นอย่างนั้นหรือ" "ใช่สิ ถ้าเธออายุมากเช่นนั้น ก็จักเป็นอย่างนั้นแหละ"

เรวตะคิดหาอุบายออกบวช

   เรวตะคิดว่า "โอหนอ...ถ้าอย่างนั้น เราจะยินดีในรูปนี้ไปทำไม ไปบวชกับพี่ชายดีกว่า เราควรหนีไปบวชในวันนี้แหละ" เมื่อเสร็จพิธีแต่งงาน ระหว่างเดินทางกลับ หนูน้อยแสร้งทำเป็นปวดท้องขอไปปลดทุกข์ข้างพุ่มไม้ก่อน พอลับตาคนก็วิ่งเข้าป่าลึกทันที แล้วได้ไปพบกับพระภิกษุ ๓๐ รูป จึงเข้าไปกราบขอบวช พวกภิกษุไต่ถามความเป็นไปทุกอย่างแล้ว จึงทำการบวชให้กับหนูน้อยเรวตะ สามเณรใช้เวลาทำความเพียร ๓ เดือน จึงบรรลุอรหัตผล หมดกังวลว่าใครจะมาตามอีกต่อไปแล้ว เพราะท่านเป็นสามเณรน้อยอรหันต์ผู้ทรงอานุภาพมาก

พระสารีบุตรโปรดมารดา

   ต่อมา พระสารีบุตรเถระรู้ว่าอายุสังขารจะอยู่ได้อีก ๗ วันเท่านั้น จึงอยากโปรดมารดาก่อนนิพพาน เมื่อกราบทูลลานิพพานกับพระบรมศาสดาแล้ว พระพุทธองค์ทรงมีรับสั่งว่า "สารีบุตร ภิกษุน้อง ๆ จะเห็นพี่เหมือนอย่างเธอ หาได้ยาก ฉะนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ภิกษุน้อง ๆ ของเธอ เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงสำหรับครั้งนี้ก่อนเถิด"

   เมื่อพระสารีบุตรได้รับประทานโอกาสเช่นนั้น จึงสำแดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปในอากาศ สูงประมาณชั่วลำตาล แล้วกลับลงมาถวายนมัสการพระบรมศาสดาเสียครั้งหนึ่ง ครั้งที่ ๒ เหาะขึ้นไปสูงได้ ๒ ชั่วลำตาล แล้วกลับลงมาถวายนมัสการอีก ๑ ครั้ง จนถึงครั้งที่ ๗ เหาะขึ้นไป ๗ ชั่วลำตาล ลอยอยู่บนอากาศ แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายในท่ามกลางอากาศ แล้วก็ลงมาจากอากาศ ถวายอภิวาทบังคมลาคลานคล้อยถอยออกมาจากพระคันธกุฎี

   พระสารีบุตรเถระเดินทางไปได้ ๗ วัน ก็ถึงบ้านนาลันทคามในเวลาเย็นพอดี บังเอิญหลานชายของท่านมาเห็นก็ดีใจรีบไปบอกยาย นางสารีพราหมณีคิดเข้าข้างตัวเองว่า "ลูกเราบวชมานาน คงจะเบื่อชีวิตนักบวช มาคราวนี้อาจมาสึกก็ได้" คิดแล้วก็สั่งให้คนใช้รีบจัดแจงห้องนอนให้อย่างรวดเร็ว พอเวลาค่ำ โรคาพาธกล้าได้เกิดแก่พระมหาเถระถึงขนาดอาเจียนเป็นโลหิต พระภิกษุเข้าถวายปฏิบัติพยาบาลนำภาชนะอาเจียนและภาชนะอาจมออกมาชำระผลัดเปลี่ยนอยู่เนือง ๆ นางสารีพราหมณีเป็นทุกข์ใจในอาการอาพาธของพระมหาเถระเป็นอันมาก นั่งคอยดูอยู่ที่ประตูห้อง

   ในค่ำคืนนั้น เทพยดามากมายได้พากันมาเยี่ยมพระสารีบุตร ทั้งท้าวโลกบาลทั้ง ๔ องค์ ท้าวโกสีย์เทวราช ท้าวสุยามเทวราช และท้าวสันดุสิตเทวราช ตลอดจนท้าวมหาพรหม ต่างเข้ามาขอโอกาสปฏิบัติพยาบาล แต่พระสารีบุตรปฏิเสธไปว่า "ภิกษุผู้ปฏิบัติพยาบาลของอาตมามีแล้ว ขอให้ท่านกลับไปเถิด"

   ฝ่ายนางสารีพราหมณีเห็นเทวดามาไม่ขาดสาย แต่ละองค์ล้วนมีรัศมีโอภาสงามยิ่งนัก และเพียบพร้อมด้วยทิพยรัตน์สรรพาภรณ์ล้ำค่าทั้งสิ้น ต่างเข้าไปหาพระเถระเจ้าด้วยอาการคาราวะ นางสารีพราหมณีมีความสงสัยว่าเทวดานั้นคือใคร จึงเข้าไปถามอาการไข้จากพระจุนทะซึ่งเป็นพระลูกชายว่า "พ่อจุนทะ อาการไข้ของพี่ชายเธอเป็นอย่างไรบ้าง" "ยังพอทนได้อยู่ โยมแม่ ถ้าอยากเข้าไปเยี่ยมไข้ตอนนี้ก็ได้นะ" นางพราหมณีได้โอกาสเข้าไปหาพระสารีบุตรแล้วถามว่า

   "แขกที่เข้ามาหาพ่อนั้น คือใครหรือ" "ท้าวจตุโลกบาลจ้ะ โยมแม่" นางพราหมณีตะลึงในเกียรติยศอันสูงของลูกชาย พลางสงสัยต่อไปว่า "ลูกแม่ยังเป็นใหญ่กว่าท้าวจตุโลกบาลอีกหรือนี่" "ท้าวจตุโลกบาลก็เหมือนคนอุปัฏฐากบำรุงวัดเท่านั้นแหละแม่ เมื่อครั้งพระบรมศาสดาของลูกปฏิสนธิในครรภ์ ท้าวจตุโลกบาลยังลงมาถวายอารักขาเป็นนิจ" "คนที่สองล่ะลูก คือใคร" "นั่นท้าวโกสีย์อัมรินทราธิราชจ้ะ โยมแม่" "ลูกแม่ ลูกแม่ยังสูงกว่าจอมเทพชั้นดาวดึงส์อีกหรือ"

   "ท้าวโกสีย์ก็เหมือนกับสามเณรถือบริขารของพระบรมศาสดาเท่านั้นแหละแม่ เมื่อครั้งพระบรมศาสดาเสด็จลงจากเทวโลก ท้าวโกสีย์ยังถือบาตรนำเสด็จพระบรมครูเลย"

   "ใครกันเล่าที่เข้ามาหาลูก หลังจากใครต่อใครกลับไปแล้ว ท่านผู้นั้นช่างมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก" "ท้าวมหาพรหมจ้ะ โยมแม่" "ลูกแม่เก่งปานนั้นเชียวหรือ ลูกยังเหนือกว่าท้าวมหาพรหมอีกหรือลูก" "ท้าวมหาพรหมองค์นี้แหละแม่ ในวันที่พระบรมศาสดาประสูติ ได้ถือข่ายทองเข้ารองรับพระกุมาร และถวายการบำรุงรักษาพระบรมศาสดาอยู่เนืองนิตย์ แม้ในวันที่พระบรมศาสดาเสด็จลงจากเทวโลก ก็ยังกั้นเศวตฉัตรถวาย ปรากฏแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายที่ประชุมอยู่ ณ ประตูเมืองสังกัสสนครทั่วทุกคน"

   นางสารีพราหมณีฟังพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรบรรยายแล้ว เห็นคุณอันมหัศจรรย์ในพระมหาเถระว่า "อานุภาพบุตรเรายังปรากฏถึงเพียงนี้ และอานุภาพของพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของลูกชายเรา คงจะสูงยิ่งกว่านี้เป็นแน่" นางเกิดปีติเบิกบานใจเป็นล้นพ้น

   และต่อมา พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็แสดงธรรม พรรณนาพุทธคุณโปรดโยมมารดาจนตั้งอยู่ในพระโสดาปัตติผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา สมมโนรถที่อุตสาหะมาสนองพระคุณมารดา โยมมารดารู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก ที่ไม่ได้สัมผัสอมตธรรม จึงพูดกับท่านเป็นเชิงต่อว่า "ลูกรัก ทำไมจึงเพิ่งมาให้อมตธรรมนี้แก่แม่เล่า"

   จากนั้น พระสารีบุตรก็เชิญให้มารดาออกไปพัก เนื่องจากดึกมากแล้ว ครั้นนางสารีพราหมณีออกไปแล้ว พระสารีบุตรจึงนิพพานในเวลาอรุณขึ้น ตั้งแต่นั้นมา โยมมารดาก็หันมานับถือพระพุทธศาสนา ได้ทำการสร้างวัดขนาดใหญ่ในหมู่บ้าน เปิดประตูต้อนรับพระสงฆ์จากจตุรทิศ มีทรัพย์เท่าไรก็นำออกมาทำบุญอย่างเต็มที่ ได้สั่งสมบุญจนตลอดชีวิต

   นี่คือการตอบแทนคุณอันยิ่งใหญ่ คือการ ปิดนรก เปิดสวรรค์ และยกใจมารดาสู่พระนิพพาน การพลิกใจโยมมารดาที่เป็นมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิ เป็นสิ่งที่ลูกชายทั้งหลายควรศึกษาและปฏิบัติตามโดยแท้

   พรรษานี้เป็นโอกาสดีที่ลูกผู้ชายควรให้โอกาสตนเองในการศึกษาธรรมะ

   ให้โอกาสตนเองในการศึกษาความจริงของชีวิต

   ให้โอกาสตนเองที่จะได้ชำระกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ผ่านการบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา

   ให้โอกาสตนเองในการตอบแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบิดามารดา

   และให้โอกาสตนเองในการใช้สิทธิพิเศษเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

...

   วันเข้าพรรษาแม้มีหลายครั้ง สักครั้งที่ลูกผู้ชายควรบวชให้ได้อย่างน้อย ๑ พรรษา เพื่อคุณค่าตลอดชีวิต...


ที่มา : วารสาร"อยู่ในบุญ" ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๐๕ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔


ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ผลแห่งการชักชวนให้คนสร้างกุศล..

ในทางพุทธศาสนา การชักชวนผู้อื่นทำความดีนั้น ผู้ชักชวนก็ได้บุญ และทำให้เป็นผู้มีบริวารมาก หากทำด้วยตัวเองด้วยก็ยิ่งจะได้ทั้งทรัพย์สมบัติและบริวาร ดังเรื่องที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาลว่า

กาลครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้รับสั่งให้สันตติมหาอำมาตย์ ไปปราบปรามโจรที่กำลังฮึกเหิมอย่างหนัก เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงทราบว่า มหาอำมาตย์ปราบโจรได้อย่างราบคาบแล้วทรงพอพระราชหฤทัยมาก จึงพระราชทานทรัพย์สมบัติให้เป็นจำนวนมากรวมทั้งหญิงสาวที่เก่งในการร้องเพลงและฟ้อนรำนางหนึ่ง อำมาตย์ได้ดื่มเหล้าฉลองชัยชนะจนเมามายถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ในวันที่เจ็ดเขาจัดแจงแต่งตัวด้วยอาภรณ์อย่างดีแล้วขี่ช้างตัวที่ดีที่สุดไปยังท่าอาบน้ำ เมื่อไปถึงก็เห็นพระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง เขาจึงผงกศีรษะถวายบังคมด้วยความเคารพ ในขณะที่นั่งอยู่บนคอช้างนั่นเอง

เมื่อพระศาสดาทรงเห็น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์จึงทูลถามถึงสาเหตุที่พระองค์ทรงแสดงกิริยาเช่นนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอำมาตย์ วันนี้เขาประดับด้วยอาภรณ์อย่างดี มาสู่สำนักเรา เขาจะบรรลุพระอรหัตเพียงเพราะไดัฟังธรรมเพียงนิดเดียวเท่านั้นเองและจะปรินิพพานในอากาศ"

บรรดาชาวบ้านที่ได้ฟังคำของพระศาสดา บางพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคิดว่า "ท่านทั้งหลาย จงดูกิริยาของพระสมณโคดม พระองค์ย่อมพูดสักแต่ปากเท่านั้น ในวันนี้สันตติมหาอำมาตย์นั้นเมาสุราอย่างหนักจะได้ไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่ไหน พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมที่กล่าวมุสาวาท"

ส่วนพวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิคิดกันว่า "น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพมาก ในวันนี้ เราทั้งหลาย จักได้ดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้าและการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์"

ฝ่ายมหาอำมาตย์หลังลงเล่นน้ำตลอดทั้งวันที่ท่าอาบน้ำแล้ว จึงกลับไปสู่อุทยาน และไปนั่งในโรงดื่ม ขณะที่หญิงสาวที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้นั้นก็ขึ้นไปยืนอยู่ที่กลางเวทีเตรียมจะฟ้อนรำให้มหาอำมาตย์ดู แต่พอเริ่มจะแสดง นางก็กลับมีลมพิษเกิดขึ้นในท้องอย่างหนัก ปากอ้า ตาเหลือก และในที่สุดก็ขาดใจตาย สาเหตุเพราะกินอาหารน้อยมาตลอด ๗ วัน เพื่อให้ร่างกายอ้อนแอ้นน่าชมนั่นเอง

เมื่อมหาอำมาตย์รู้ว่านางตายแล้ว เขาก็เกิดความเศร้าโศกอย่างแรงกล้าขึ้นมา กระทั่งส่างเมาทันที พิษของสุราที่ดื่มมาตลอด ๗ วัน ได้เสื่อมหายไป เขาคิดว่าคงไม่มีใครที่จะสามารถระงับความโศกเศร้าของเขาได้ เขาจึงไปขอเข้าเฝ้า พระศาสดาในตอนเย็นพร้อมกับบริวารและกราบทูลถึงเหตุแห่งความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นกับตน และเหตุที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้า

ครั้นพระศาสดาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงตรัสว่า "ท่านมาหาเราผู้สามารถที่จะดับความโศกได้แน่นอน อันที่จริงน้ำตาที่ไหลออกของท่านผู้ร้องไห้ในเวลาที่หญิงนี้ตายด้วยเหตุอย่างนี้ มากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้ง ๔ ซะอีก" แล้วจึงตรัสพระคาถา ว่า

"กิเลสเครื่องกังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น ให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่องกังวล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป"

หลังจากพระองค์เทศน์จบ สันตติมหาอำมาตย์ก็บรรลุพระอรหัตผล แล้วพิจารณาดูอายุสังขารของตน ทราบว่าตัวเองจะหมดอายุขัยแล้ว จึงกราบทูลพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด"

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "สันตติมหาอำมาตย์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงเล่ากรรมที่เธอเคยทำไว้ในอดีตแก่เรา แต่ก่อนจะเล่า จงอย่ายืนบนพื้นดิน จงยืนบนอากาศชั่ว ๗ ลำตาล"

มหาอำมาตย์จึงถวายบังคมพระศาสดา จากนั้นก็ขึ้นไปสู่อากาศชั่วลำตาลหนึ่ง แล้วลงมาถวายบังคมพระศาสดาอีก และขึ้นไปนั่งโดยบังลังก์บนอากาศ ๗ ชั่วลำตาลแล้ว จึงเล่าบุรพกรรมของตนเองว่า

ในกัลป์ที่ ๙๑ แต่กัลป์นี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ตนได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง ในพันธุมดีนคร คิดอยู่ว่า อะไรหนอเป็นกรรมที่ไม่ทำการตัดรอนหรือบีบคั้นชนเหล่าอื่น เมื่อใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ จึงรู้ว่ากรรมคือ การป่าวร้องบอกบุญ ชักชวนคนทำบุญ เป็นสิ่งที่ดี จึงชักชวนชาวบ้านทำบุญ เที่ยวเชิญชวนชาวบ้านทำบุญสมาทาน อุโบสถศีลในวันอุโบสถ ถวายทานและฟังเทศน์ฟังธรรม เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย

ผลของการชักชวนชาวบ้านบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลนั้นมีมากมายยิ่งนัก ดังที่เกิดขึ้นกับตน คือ พระราชาผู้ใหญ่ทรง พระนามว่า ‘พันธุมะ' เป็นพระพุทธบิดา เมื่อได้ทรงสดับความดังนั้น จึงรับสั่งให้เรียกตนมาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า กำลังทำอะไร ตนจึงทูลไปว่า ได้เที่ยวประกาศคุณของพระรัตนะตรัย ชักชวนชาวบ้านทำบุญ ทำกุศล

พระราชาได้ตรัสถามว่า นั่งอะไรไป ตนได้กราบทูลไปว่า เดินไป จึงตรัสขึ้นว่าไม่เหมาะที่จะเดินไปอย่างนั้นหรอก จงประดับพวงดอกไม้นี้แล้วขี่ม้าไปเถิด ตรัสแล้วก็พระราชทานพวงดอกไม้ และม้าที่ฝึกแล้วให้ ต่อมาพระราชาเห็นว่าม้าก็ไม่สมควร จึงได้พระราชทานรถที่เทียมด้วยม้าพันธุ์ดี และไม่นานพระราชาก็คิดว่ารถเทียมม้าก็ไม่สมควรอีก จึงได้พระราชทานทรัพย์สินเงินทองพร้อมทั้งเครื่องประดับเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังได้พระราชทานช้างเชือกหนึ่งด้วย ตนจึงนั่งบนคอช้าง ออกเที่ยวชักชวนคนทำบุญทำกุศลอยู่อย่างนี้สิ้นแปดหมื่นปี กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากกาย กลิ่นอุบล ฟุ้งออกจากปากตลอดกาลมีประมาณเท่านี้"

หลังจากสันตติอำมาตย์กราบทูลบุรพกรรมของตนแล้ว ท่านก็ปรินิพพานบนอากาศนั่นเอง
........
วิธีการทำบุญที่สันตติอำมาตย์ได้ชวนผู้อื่นทำนั้น มีทั้งการให้ทาน รักษาศีล และฟังธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ไม่มีทรัพย์สินเงินทองก็สามารถทำได้ เพราะวิธีการทำบุญมีมากมายหลายวิธี เราสามารถทำบุญด้วยการรักษาศีล ฟังธรรม และเจริญภาวนา เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่ให้อานิสงส์มากมายยิ่งนักแก่ผู้ปฏิบัติ ไม่ได้น้อยไปกว่าการทำบุญด้วยวัตถุสิ่งของเลย

จะเห็นว่าสันตติอำมาตย์ได้ทำบุญอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน แสดงให้เห็นถึงการมีจิตใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยวในการทำความดี ดังนั้น หากเราคิดอยากจะได้บุญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็จงแน่วแน่ในการสร้างความดีต่างๆ อย่าท้อแท้หมดกำลังใจเมื่อมีมารมาขัดขวาง นอกจากนั้นจงใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเป็นปัจจัยในการเข้าถึงสัจธรรม เพราะทุกอย่างที่อยู่รอบตัว สามารถเป็นบทเรียนให้เราได้ หากเรารู้จักใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างจริงจัง และน้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตัวเอง และเมื่อเรามีปัญญาเห็นความจริงแล้ว ก็จงพยายามถ่ายทอดต่อไปยังคนอื่นๆ การชี้ทางให้แก่คนอื่น ก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ เป็นธรรมทาน มีอานิสงส์มากมาย

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 90 พ.ค. 51 โดย มาลาวชิโร)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 มิ.ย. 2554, 09:21:59 โดย ทรงกลด »