กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด มิตรไมตรี => รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) => ข้อความที่เริ่มโดย: เผ่าพงษ์พระกฤษณะ ที่ 30 ม.ค. 2554, 07:11:04

หัวข้อ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: เผ่าพงษ์พระกฤษณะ ที่ 30 ม.ค. 2554, 07:11:04
"หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.สิริมายุรวม 98 ปี ทีมแพทย์แถลงอีกครั้งเช้านี้

(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2011/01/30/cabikcchekf79gjif66e5.jpg)
ภาพประกอบจาก : คมชัดลึก (http://www.komchadluek.net/detail/20110130/87363/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B203.53%E0%B8%99..html)

รายงานข่าวจากวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ว่าเมื่อเวลา 03.53 น. หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน" แห่งวัดป่าเกสรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ละสังขาร แล้ว สิริอายุรวม 98 ปี ซึ่งคณะแพทย์เตรียมแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งเช้านี้

สำหรับ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน" แห่งวัดป่าเกสรศีลคุณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี นั้น นาม บัว โลหิตดี ชาติภูมิ ในครอบครัวชาวนาผู้มีอันจะกิน ณ บ้านตาด อุดรธานี  เกิดเมื่อ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๖ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน๙ ปีฉลู ณ บ้านตาด อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี บิดา นายทองดี โลหิตดี    มารดา นางแพงศรี โลหิตดี พี่น้องทั้งหมด ๑๖ คน  สถานภาพ

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน   สมัยเด็ก เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ  วัยหนุ่ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ขยันขันแข็ง ทำงานอะไรทำจริงๆ จังๆ เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่ในการงานทั้งปวงคู่ครอง เดิมไม่เคยคิดจะบวช เพราะอยากมีครอบครัว แต่มักมีอุปสรรคให้แคล้วคลาดทุกทีไป เหตุที่บวช เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ่อแม่ขอร้องให้บวชตามประเพณีอยู่หลายครั้ง ท่านก็ทำเฉย ๆ ตลอดมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ในครั้งสุดท้ายนี้ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังพึ่งใบบุญจากการบวชของลูกให้ได้ ถึงกับทำให้พ่อแม่น้ำตาร่วง ครั้งนี้ท่านรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจ และยอมบวชตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจไว้ในตอนต้นนี้ว่า จะบวชเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น วันบวช ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ วัดโยธานิมิตร อุดรธานี     

พระอุปัชฌาย์ ชื่อ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ โดยมีท่านพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายานามว่า "ญาณสมฺปนฺโน" แปลว่า "ถึงพร้อมแล้วด้วยการหยั่งรู้"   เคารพพระวินัย ด้วยเดิมมีนิสัยจริงจัง จึงบวชเพื่อเอาบุญกุศลจริง ๆ และตั้งใจรักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ่อย่างเคร่งครัด ในพรรษาแรกท่านได้ตั้งสัจอธิษฐานว่า ในการทำวัตรเช้า-เย็นรวมและการบิณฑบาต จะไม่ให้มีวันใดขาดเลย และท่านก็ทำได้ตามที่ตั้งคำสัตย์ไว้  เรียนปริยัติ เมื่อได้เรียนหนังสือทางธรรม ตั้งแต่นวโกวาท พุทธประวัติ ประวัติพระสาวกอรหันต์ ที่ท่านมาจากสกุลต่างๆตั้งแต่พระราชา เศรษฐี พ่อค้า จนถึงประชาชน

หลังจากฟังพระพุทธโอวาทแล้วต่างก็เข้าบำเพ็ญเพียร ในป่าเขาอย่างจริงจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในป่า เดี๋ยวองค์นี้สำเร็จในเขา ในเงื้อมผาในที่สงบสงัด ท่านก็เกิดความเชื่อเลื่อมใสขึ้นมา อยากจะเป็นพระอรหันต์ พ้นจากทุกข์ทั้งปวงในชาตินี้อย่างพระสาวกท่านบ้าง สงสัย ช่วงเรียนปริยัติอยู่นี้ มีความลังเลสงสัยในใจว่า หากท่านดำเนินและปฏิบัติตามพระสาวกเหล่านั้นจะบรรลุถึงจุดที่พระสาวกท่านบรรลุหรือไม่ และบัดนี้จะยังมีมรรคผลนิพพานอยู่ เหมือนในครั้งพุทธกาลหรือไม่  ตั้งสัจจะ ด้วยความมุ่งมั่นอยากเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านจึงตั้งสัจจะไว้ว่า จะขอเรียนบาลีให้จบแค่เปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมแม้จะไม่จบชั้นก็ไม่เป็นไร จากนั้นจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว จะไม่ยอมศึกษาและสอบประโยคต่อไปเป็นอันขาด  เรียนจบ ท่านสอบได้ทั้งนักธรรมเอก และเปรียญ ๓ ประโยคในปีที่ท่านบวชได้ ๗ พรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ และสถานที่แห่งนี้เอง เป็นที่แรกที่ท่านได้มีโอกาสพบเห็นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ต่อมา ได้กลายเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน ออกปฏิบัติ เมื่อเรียนจบมหาเปรียญแล้ว แม้จะมีพระมหาเถระในกรุงเทพฯ สนับสนุนให้ท่านเรียนต่อในชั้นสูง ๆ ขึ้นไปก็ตาม แต่ด้วยท่านเป็นคนรักคำสัตย์ยิ่งกว่าชีวิต ดังนั้นเมื่อมีโอกาส ท่านจึงเข้ากราบลาพระผู้ใหญ่ และออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง โดยมุ่งหน้าไปทางป่าเขาแถบจังหวัดนครราชสีมา แล้วเข้าจำพรรษาที่ อำเภอจักราช นับเป็นพรรษาที่ ๘ ของการบวช พากเพียร ท่านเร่งความเพียรตลอดทั้งพรรษา ไม่ทำการงานอื่นใดทั้งนั้น มีแต่ทำสมาธิภาวนา-เดินจงกรมอย่างเดียวทั้งวันทั้งคืน จนจิตได้รับความสงบจากสมาธิธรรม  มุ่งมั่น แม้พระเถระผู้ใหญ่ท่านอุตส่าห์เมตตาตามมาสั่งให้กลับเข้าเรียนบาลีต่อที่กรุงเทพฯอีก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ที่จะพ้นทุกข์ให้ได้ภายในชาตินี้ ท่านจึงหาโอกาสปลีกตัวออกปฏิบัติได้อีกวาระหนึ่ง   จิตเสื่อม

จากนั้นท่านกลับไปบ้านเกิดของท่าน เพื่อทำกลดไว้ใช้ในการออกวิเวกตามป่าเขาจิตที่เคยสงบร่มเย็น จึงกลับเริ่มเสื่อมลง ๆ เพราะเหตุที่ทำกลดคันนี้นี่เอง  เสาะหา..อาจารย์ เดือนพฤษภาคม ๒๔๘๕ เดินทางไปขออยู่ศึกษากับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เหตุการณ์บังเอิญกุฏิที่พักเพิ่งจะว่างลงพอดี ท่านพระอาจารย์มั่นจึงเมตตารับไว้ และเทศน์สอนตรงกับปัญหาที่เก็บความสงสัยฝังใจมานานให้คลี่คลายไปได้ว่า ดินฟ้าอากาศแร่ธาตุต่างๆ เขาเป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ หากกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่ใจแล้ว จะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรม ทั้งกิเลสในใจ

ขณะเดียวกันจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับ  ปริยัติ..ไม่เพียงพอ จากนั้นท่านพระอาจารย์มั่นเมตตาแนะต่อว่า ธรรมที่เรียนมาถึงขั้นมหาเปรียญมากน้อยเพียงใด ยังไม่สามารถอำนวยประโยชน์ให้ได้ แต่กลับจะเป็นอุปสรรคต่อการภาวนา เพราะอดจะเป็นกังวล และนำธรรมที่เรียนมานั้น มาเทียบเคียงไม่ได้ในขณะที่ทำใจให้สงบ และยังจะกลายเป็นสัญญาอารมณ์ คาดคะเนไปที่อื่น จนกลายเป็นคนไม่มีหลักได้ ดังนั้น เพื่อให้สะดวกในเวลาทำความสงบหรือจะใช้ปัญญาคิดค้น ให้ยกธรรมที่เรียนมานั้นขึ้นบูชาไว้ก่อน ต่อเมื่อถึงกาลอันสมควร ธรรมที่เรียนมาทั้งหมด จะวิ่งเข้ามา ประสานกันกับด้านปฏิบัติ และกลมกลืนกันได้อย่างสนิท       

การศึกษาและปฏิบัติ ท่านได้ศึกษาธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จนกระทั่งหลวงปู่มั่นมรณภาพเป็นระยะเวลา ๘ ปี และถึงที่สุดแห่งธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร

ประวัติศาสตร์ช่วยชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นวันเปิดโครงการช่วยชาติ โดยมีเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เสด็จไปเป็นประธานเปิดที่สวนแสงธรรม  หลวงตาพูดว่า "(เวลานี้) น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ก็ได้ในเมืองไทยของเรา ที่ว่าพระเป็นผู้นำนี่ไม่เคยมีนะ เริ่มมีหลวงตาบัวคนเดียวนี้แหละออกประกาศตนทีเดียว โดยไม่มีใครชักชวน ไม่มีโครบอกเล่า ด้วยอำนาจแห่งความเมตตาชักชวนเอง ดูสภาพของเมืองไทยแล้วพี่น้องชาวไทยทั้งหลายต่างคนต่างมีความทุกข์ร้อนทุกหย่อมหญ้ากันไปโดยลำดับลำดาไม่ว่าสถานที่ใด ก็ทนใจอยู่ไม่ได้ จึงต้องออกความคิด ความเห็นในแง่ต่าง ๆ ที่จะนำชาติไทยของเราให้เป็นไปด้วยความแคล้วคลาด ปลอดภัย หาทางใดก็ไม่เจอ ตามความสามารถความคิดอ่านของตัวเอง หาแล้วหาเล่า หาไม่เจอ สุดท้ายก็เลยต้องเอาหลวงตาบัวเป็นตัวประกัน นำพี่น้องทั้งหลายเพื่อจะบริจาคทรัพย์ที่มีอยู่ของตนเข้าช่วยชาติของเราด้วยความบริสุทธิ์ใจ นี้แหละเริ่มต้นเหตุเป็นอย่างนี้จึงได้ออกประกาศตน"

แหล่งที่มาของข้อมูล : คมชัดลึก (http://www.komchadluek.net/detail/20110130/87363/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B203.53%E0%B8%99..html)
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: เผ่าพงษ์พระกฤษณะ ที่ 30 ม.ค. 2554, 07:11:23
(http://www.dailynews.co.th/content/images/1101/29/ta-b.gif)
ภาพประกอบจาก : เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentId=118285)

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินจากที่ประทับแรมในตัวเมืองอุดรธานี มาถึงวัดเกสรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นการส่วนพระองค์  โดยมีนายอดิศักดิ์ เทพอาสน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี นำข้าราชการเฝ้ารับเสด็จฯ ที่เรือนประทับรับรอง ภายในวัดป่าบ้านตาด ก่อนเสด็จเฝ้าเยี่ยมอาการหลวงตามหาบัว ที่ห้องปลอดเชื้อกุฏิหลวงตามหาบัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่อาพาธยังพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องปลอดเชื้อ โดยการรักษาอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวครั้งนี้ มีแนวคิดแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก ซึ่งหมายถึง “หมอจีน” แม้ว่าจะมีคำแถลงของคณะสงฆ์ออกมาทุกครั้งว่า การรักษาอาการอาพาธหลวงตามหาบัว จะเลือกใช้ทั้ง 2 ทาง แต่วันนี้กลุ่มเครือญาติหลวงตามหาบัว ได้ทำจดหมายเวียนลงชื่อ 89 คน ถึงคณะสงฆ์และคณะแพทย์ ไม่ยินยอมให้คณะแพทย์ใช้ยาปฏิชีวนะกับหลวงตามหาบัว หลังจากร่วมประชุมกันและได้ข้อสรุปตั้งแต่คืนวันที่ 28 ม.ค.

โดยใจความในหนังสือโดยย่อ ระบุว่า “ ด้วยลูกหลาน ญาติพี่น้อง ในองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้ประชุมกันแล้ว มีความเห็นตรงกันเป็นหนึ่งเดียวว่า ขอปฏิเสธขอให้การรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะทุกประเภท และปฏิเสธการใช้สารโปรตีนแอลบูลมีนทุกประการ เพราะเห็นชัดเจนแล้วว่า ก่อนใช้ยาปฏิชีวนะและสารโปรตีนแอลบูลมีนแล้ว อาการของหลวงตานั้นแจ่มใส แข็งแรง พอสมควร แต่ภายหลังการใช้ยาดังกล่าวอาการองค์หลวงตาขาดการตอบรับ ทั้งนี้การรักษาพยาบาลและดำเนินการใดๆ ต่อองค์หลวงตา ให้เป็นไปตามวิธีการของท่านอาจารย์วันชัย วิจิตโต โดยความเห็นชอบของหลวงปู่ลี กุสลธโร ตามที่คณะสงฆ์ได้ลงความเห็นร่วมกัน เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 ม.ค. ณ กุฏิองค์หลวงตา”

ด้านนายสมผล ตระกูลรุ่ง ตัวแทนของกลุ่มญาติของหลวงตามหาบัวฯ และนางสมจันทร์ ศิริสุวรรณ ลูกของนางศรีเพ็ญ โลหิตดี น้องสาวของหลวงตามหาบัวฯ ร่วมกันเปิดเผยว่า ญาติๆองค์หลวงตามหาบัวฯ เห็นการรักษาที่ผ่านๆมานั้น อาการยังไม่ดี โดยญาติๆ ยังมีความมั่นใจว่าการรักษาโดยวิธีการทางธรรมชาติ ซึ่งเคยรักษามาก่อนแล้วน่าจะเป็นประโยชน์ต่อธาตุขันธ์ต่อองค์หลวงตามหาบัวฯ เพราะในภาวะอย่างนี้ธาตุขันธ์ขององค์หลวงตารับไม่ได้กับยาปฏิชีวนะ ที่ผ่านมาหลวงตาเคยเทศน์เอาไว้ว่าถูกกับยาจีน  ท่านเคยหายจากโรคมะเร็งลำไส้เพราะยาจีน   
นางสมจันทร์ฯ กล่าวว่า ญาติๆของหลวงตามีความเห็นว่า อยากให้ทำการรักษาด้วยยาของอาจารย์วันชัยฯ  และการที่ญาติๆหลวงตามหาบัวฯออกมาแสดงตัวเช่นนี้ ก็ไม่ได้เจตนาที่หลบหลู่การรักษาของคณะแพทย์ แต่ญาติๆของหลวงตาฯ ต่างเห็นพ้องกัน

ต่อมากลุ่มญาติหลวงตามหาบัว ยังแจกจ่ายเอกสารอีก 1 ฉบับ เป็นข้อตกลงแนวทางการรักษาหลวงตามหาบัว วันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นบทสนทนาของ นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี  กับคณะศิษย์ฯ ยอมรับว่า ได้หยุดใช้ยาปฏิชีวนะและโปรตีนแอลบูลมีนแล้ว ให้แต่น้ำเกลือกับสารอาหาร และเครื่องช่วยหายใจแต่ไม่มาก หลังจากให้การรักษา ความดันก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ส่วนบรรยากาศที่วัดป่าบ้านตาดตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ได้มีพุทธศานิกชนหลายพันคน  เดินทางมาทำบุญตักบาตรที่หน้าวัด และเข้ามาในวัดเฝ้าติดตามดูอาการอาพาธของหลวงตามหาบัว   หลังจากเมื่อวันที่ 28 ม.ค. มีกระแสข่าวลือสะพัดว่า “หลวงตาจะละสังขาร” จนคณะสงฆ์ และคณะแพทย์ ต้องออกมาแถลงอาการในช่วงบ่าย ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ส่วนภายในวัดป่าบ้านตาด มีพระสงฆ์สายวิปัสสนากรรมฐาน หรือพระวัดป่า ทั้งใกล้และไกล เดินทางมาเฝ้าอาการหลวงตามหาบัวฯเช่นกัน มีหลายองค์จำวัดอยู่ภายในวัดป่าบ้านตาด บางองค์เดินทางกลับหลังจากทราบอาการ ขณะพุทธศาสนิกชนหลังจากใส่บาตร ได้เข้ามาร่วมทำบุญสงเคราะห์โลก ถวายผ้าป่าทองคำ ดอลลาร์เข้าคลังหลวง ผ้าป่าช่วยชาติ และผ้าป่าสร้างอาคารสงฆ์อาพาธ 98 หลวงตามหาบัว รพ.ศูนย์อุดรธานี จำนวนมากอย่างไม่ขาดสาย บางส่วนคอยฟังคำแถลงอาการอาพาธของหลวงตา และคอยเวลาเข้าไปกราบหลวงตาที่กุฏิ ซึ่งคณะสงฆ์อนุญาตในบางช่วงเวลา

ด้านพระอาจารย์อินถวาย สันตุสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย อ.นายูง จ.อุดรธานี อ่านแถลงว่า คณะแพทย์ได้กราบรายงานต่อคณะสงฆ์ว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เวลา 17.00 น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงร่วมประชุมกับคณะศิษย์ หลวงตายังมีอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย สัญญาณชีพปกติ ฟังเสียงปอดด้านขวาผิดปกติ เอ็กซเรย์ปอดพบชายปอดด้านขวาทึบ แพทย์วินิจฉัยว่า มีอักเสบติดเชื้อในกระแสโลหิต หลวงตาอนุญาตให้ใช้ยาปฏิชีวนะนัดระงับอาการติดเชื้อ แพทย์ได้ถวายการรักษาเพื่อประคับประคองธาตุขันธ์ จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน
     
“อาการหลวงตามหาบัว ทรงๆทรุดๆ ผู้ที่อยู่ทางไกลก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขอประกอบคุณงามความดี สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เท่านั้นก็บูชาองค์หลวงตาบัวแล้ว” พระอาจารย์อินถวาย กล่าว
   
ต่อมาเวลา 15.00 น. พระอาจารย์นภดล บันทะโน เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ ร่วมกับ นพ.พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผอ.รพ.อุดรธานี แถลงอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวว่า วันนี้หลวงตามหาบัวยังมีอาการอ่อนเพลีย หอบเหนื่อย และมีเสมหะ ยังคงใส่เครื่องช่วยหายใจและพบยังมีไข้อยู่เล็กน้อย ความดันโลหิตเริ่มลดต่ำลง ส่วนผลเอกซเรย์ปอดพบว่า มีการอักเสบในกลีบปอดข้างขวาล่างเพิ่มมากขึ้น โดยสรุปปัญหาขณะนี้ คือ ปอดอักเสบติดเชื้อ ความดันโลหิตลดต่ำลง หัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นบางครั้ง สำหรับการรักษานั้น เป็นแบบประคับประคอง โดยให้อาหารทางเส้นเลือด

เวลา 18.10 น. พระอาจารย์นภดล ได้ประกาศแถลงข่าวอาการอาพาธของหลวงตามหาบัวอีกครั้ง ซึ่งคณะแพทย์มีความเห็นว่าอยู่ในขั้นวิกฤติ ทางคณะสงฆ์มีความเห็นจะแถลงอาการทุก 1 ชั่วโมง โดยเมื่อเวลา 18.00 น.หลวงตามหาบัวมีความดันลดลง อยู่ที่ 74/32 การหายใจที่หน้าอกลดลงกว่าเดิมและแรงกว่าเดิมเป็นบางครั้ง แต่ยังคงสม่ำเสมอ ต่างจากเมื่อ 15.00 น.ที่ได้แถลงข่าวอาการของหลวงมหาบัวว่ายังไม่น่าวิตกมากนัก กระทั่งเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง อาการหลวงตามหาบัวเริ่มเข้าขั้นวิกฤติ เนื่องจากยาพิเศษที่ใช้รักษาหมดลงไป คณะแพทย์ต้องสั่งให้นำยาขึ้นเครื่องบินมาส่ง และได้นำมารักษาหลวงตาฯ ซึ่งในขณะนี้อาการเริ่มดีขึ้น โดยความดันขึ้นมาอยู่ที่ 80/35 จนเวลา 18.50 น.ความดันอยู่ที่ 82 ซึ่งคณะแพทย์ได้เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

ล่าสุด เมื่อเวลา 03.35 น. วันที่ 30 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงตาบัว ได้ละสังขาร แล้ว สิริอายุรวม 98 ปี คณะแพทย์เตรียมแถลงอย่างเป็นทางการอีกครั้งเช้านี้


แหล่งที่มาของข้อมูล : เดลินิวส์ (http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentId=118285)
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: เผ่าพงษ์พระกฤษณะ ที่ 30 ม.ค. 2554, 07:12:33
ประวัติหลวงตามหาบัว
http://www.youtube.com/v/Mg6WNUZZ9_M?autoplay=1

ประวัติหลวงตามหาบัว1
http://www.youtube.com/v/Hhbkccpli4g?

ประวัติหลวงตามหาบัว2
http://www.youtube.com/v/keo94tKNPwU?

หลวงตามหาบัว
http://www.youtube.com/v/RavJCd4bS-k?

แหล่งที่มาของข้อมูล : youtube
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: chawalit ที่ 30 ม.ค. 2554, 08:19:00
กระผมเสียใจที่ประเทศไทยสูญเสียหลวงตาที่มีแต่ให้ ปลดหนี้ IMF ให้ประเทศไทย (มหาบุรุษนักรบธรรม) หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: นายธรรมะ ที่ 30 ม.ค. 2554, 08:25:33
ขอให้หลวงตา ไปสู่ซึ่ง นิพพาน ครับ  :054:
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: jaroenthai ที่ 30 ม.ค. 2554, 10:08:26
กราบน้อมส่งพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ด้วยเศียรเกล้า
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: NONGEAR44 ที่ 30 ม.ค. 2554, 11:21:18
ขอบคุณท่าน เผ่าพงษ์พระกฤษณะ  ที่แจ้งข่าวคับ
 
ขอส่งหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน  ไปสู่พระนิพพาน ด้วยครับ
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: gottkung ที่ 30 ม.ค. 2554, 11:52:50
ขอร่วมไว้อาลัยมาต่อการจากไปของหลวงตามา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ประเทศไทยได้เสียพระผู้มีแต่ให้ไปอีกหนึ่งรูปแล้ว
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: โยคี ที่ 30 ม.ค. 2554, 12:09:01
ขอให้หลวงตา ได้ไปสถิตอยู่ยังชั้นพรหม ชั้นสูง

กรรมใด ที่ข้าพเจ้า ได้เคย ล่วงเกิน ด้วย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ข้าพเจ้าขอกราบขอขมากรรม
ขอหลวงตา ได้โปรด งดโทษ เว้นโทษ อดโทษ ให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอด สาธุ
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: fork0 ที่ 30 ม.ค. 2554, 12:28:10
กราบหลวงปู่ ครับ
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: รันตี ที่ 30 ม.ค. 2554, 12:36:32
กราบหลวงตาครับ
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: Chotipat ที่ 30 ม.ค. 2554, 07:11:43
กราบหลวงตา น้อมส่งหลวงตาสู่พระนิพพาน  :054: :054: :054:
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: derbyrock ที่ 30 ม.ค. 2554, 11:18:13
ธรรมะที่หลวงตาสอนสั่งไว้ จะสั่งสอนคนไทยไปได้จนชั่วลูกชั่วหลานและตลอดไป
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: seaghost ที่ 30 ม.ค. 2554, 11:54:00
ขอกราบไว้อาลัยหลวงตามหาบัว ด้วยครับ  :054:
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: ~เสน่ห์ack01~ ที่ 31 ม.ค. 2554, 12:01:22
กราบนมัสการหลวงตามหาบัว ด้วยอาลัยครับ
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: arada ที่ 31 ม.ค. 2554, 01:16:53
ขอให้ไปสู่นิพพานครับผม
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: ~@เสน่ห์เอ็ม@~ ที่ 31 ม.ค. 2554, 11:26:50
กราบมนัสการหลวงปู่  :054:  ขอร่วมใว้อาลัย ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติตามดีพระพุทธศาสนา  :054:
หัวข้อ: ตอบ: "หลวงตาบัว"ละสังขารแล้วเวลา03.53น.
เริ่มหัวข้อโดย: Tiger Number NINE ที่ 31 ม.ค. 2554, 01:01:45
กราบลาหลวงตาครับ (พูดไม่ออก...สงสารประเทศไทย ต้องไร้ซึ่งพระผู้เมตตาต่อมวลมนุษย์)...เฮ๊ออออออออออออออ