แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - โยมน้า

หน้า: [1]
1
- ดูแล้ว ทำให้ได้คิด เหมือนกันครับ

- ขออนุโมทนาครับ

2
ไม่ทราบว่า  เหรียญไตรมาส 52 นั้น  ท่าน aehjomthong  เช่ามาจากไหนหรอครับ

พอดีว่าผมไปวัดท้องไทรมาเมื่อปี 53 ไม่เคยเห็นเหรียญนี้ที่วัด  แต่เคยเห็นตามศูนย์พระ

ซึ่งปกติ ราคาวัตถุมงคลของวัดท้องไทรจะราคาประมาณ 500 บาท   แต่เหรียญนี้เห็นที่ศูนย์พระเครื่องในราคา ต่ำกว่า 500 บาท  ผมเลยไม่กล้าเช่าน่ะครับ

เลยสงสัยว่า  เหรียญนี้วัดจัดสร้างหรือเปล่าครับ 

ท่านใดมีข้อมูล  รบกวนแจ้งให้ทราบด้วยครับ  ขอบคุณมากครับ

และขอบคุณท่าน aehjomthong ด้วยครับ ที่นำภาพมาให้ชม

เหรียญนี้ วัดท้องไทรมิได้จัดสร้างครับ
เป็นวัดเขาช่องกลิ้งช่องกรดสร้างมาขอบารมีปลุกเสก เนื่องจากเจ้าอาวาสเป็นพระลูกชายน้องชายหลวงปู่
วัตถุมงคลของวัดเขาช่องกลิ้งจะมีช่องการดำเนินการจำหน่ายผ่านศูนย์พระเครื่อง
ซึ่งทางผู้สร้างถวายวัดไว้จำนวนหนึ่ง แต่ทางวัดจะไม่นำออกให้บูชา
เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นวัตถุมงคลที่ทางวัดจัดสร้าง
  นอกจากรุ่นนี้แล้วยังมีรุ่นที่ลงหนังสือพระว่าเป็นรุ่นทิ้งทวนของหลวงปู่
ซึ่งมีเบี้ยแก้  เหรียญฤาษี  พระปิดตา ซึ่งที่วัดท้องไทรไม่ได้สร้าง
   นอกจากวัตถุมงคลของวัดเขาช่องกลิ้งนี้แล้วยังมีของอีกกลุ่มอีกเข้ามาสร้าง
โดยมากับพระที่หลวงปู่่อนุญาตให้ทำพระเครื่องหนึ่งรุ่น รุ่นออกมามีแหวนราหู
น้ำมันนางพิม ปลัดขิกนางพิม เป็นต้น ซึ่งออกตามศูนย์เดิมผู้สร้างข้อร้องให้
ทางวัดนำออกจำหน่าย ซึ่งได้ทำตู้แยกออกมาโดยเฉพาะพักหนึ่งก็เก็บไม่ได้นำมาจำหน่ายที่วัดอีก


  โดยส่วนตัวถ้าเป็นเหรียญ เป็นพระรูปหล่อหลวงปู่ ถ้านับถือไว้ก็บูชาเถิดครับ
แต่วัตถุอื่นตัวผมไม่เก็บเอาไว้เลย
อีกประการหนึ่งอย่าเชื่อข้อมูลที่ลงในหนังสือมากนักครับ
แม้นแต่ในเวป บางรุ่นหลวงปู่ไม่ได้สร้่างไม่ได้ทำก็ว่าท่านทำ บางรุ่นไม่หมดจากวัดก็ว่าหมดแล้ว อะไรแบบนี้เป็นต้น
  ขอแสดงความนับถือ
Gearmour

ข้อมูลเยี่ยมมากครับท่าน  :053:

3

หลวงพี่แป๋วครับ

หลายปีมาแล้ว ตอนไปช่วยขึงหนังอยู่

เคยเห็นท่านสักให้ผู้ชายคนหนึ่ง เขาบอกว่ามีอาชีพเป็นเซลล์แมนขายสินค้า

แต่ต้องมีข้อห้ามเพิ่มขึ้นคือ ห้ามถ่มน้ำลายลงที่สกปรกและห้ามพูดคำหยาบ

แต่ว่า...เหล็กสักแหลมๆ...กับลิ้นอ่อนๆ... เลือดหยดดีจัง.... :016:

4


ขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่มีส่วนร่วมในการตั้งโรงทาน นำอาหารมาเลี้ยง งานไหว้ครูปีนี้ด้วยครับ
 
(ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของ ข้าวราดแกงเขียวหวาน/ผักหมูกระหล่ำปลี และกาแฟเย็นมา ณ ทีนี้อีกครั้งครับ  :016:   :114:)

5
ร่วมแจมด้วยครับ เสือคู่ฝีเข็ม อ.โบ้หรือ อ.หาร(คนเดียวกัน)

6
 

 :016:งามจริงๆครับ เซอร์ดอน  มีดเล่มนี้ผมขอ(เซฟภาพ)ได้มั้ยครับ  :002:

7


ไม่ได้เข้ามาหลายวันแล้ว

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ เซอร์ดอน

บุญใดที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว พึงมีเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเพียงใด

ขออุทิศบุญนั้นให้กับคุณพ่อของเซอร์ดอน ด้วยเทอญ

8
สอบถามอีกทีครับ
 ใช้เข็มร่วมกัน ไม่กลัวติดโรคเหรอครับ


            ผมเริ่มสักตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ 2530 ( ช่วงนั้นโรคติดเชื้อ เอดส์กำลังดังพอดี ) โดยผมเริ่มจากรองพื้นก่อนด้วย น้ำมัน  ( หมึกไม่ได้นับนะครับ  )

                1.อาจารย์แป๊ว องค์เดียว ก็ 80 กว่าพาน ( ไม่ได้เวอร์ครับ )
                2.อาจารย์ติ่งน้ำมัน ตรงนี้ประมาณ 30 กว่าพานได้ครับ
                3. อาจารย์ หาญ 10 พาน ( ฆาราวาสที่มาช่วยงานใหว้ครู )
                4.อาจารย์ สิทธิ์  3 พาน ( ฆาราวาสที่มาช่วยงานใหว้ครู )
                5. ครูบากุ้ง 10 กว่าพาน ก่อนหน้านี้เป็นฆาราวาสที่มาช่วยงานใหว้ครู
                6.อาจารย์ หมี 1 พาน

             ส่วนตอนปัจุบันนี้ กำลังเก็บหมึกอยู่ครับ ทั้งด้านหน้า หลัง  และลามลงไปจนถึงขา

              1. อาจารย์ แป๊ว
              2. อาจารย์ ญา
              3. อาจารย์ มารค์
              4. อาจารย์ หมี
              5.หลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร
              6.อาจารย์ อั๊น วัดท้องไทร
              7.อาจารย์ กบ อยุธยา


                                        ณ.ปัจจุบันนี้ยังไม่ได้ติดเชื้อโรคร้ายใดๆทั้งสิ้นเลยครับ


                                       ---------------------- ข อ บ คุ ณ ค รั บ --------------------


[/quote]


                                                                       :016:   :015:    :053:

ผมรับราชการมาแล้วยี่สิบกว่าปี  มาสักที่วัดบางพระได้สิบกว่าปี ตรวจร่างกายประจำปี  ไม่เคยมีปัญหา บริจาคโลหิตมาแล้วสามสิบสามครั้ง ปลอดภัยชัวร์ครับ ฟันธง

9
ถ้าเป็นการสักน้ำมันที่เป็นอักขระเลขยันต์ซ้ำกันได้ครับแล้วดีด้วยเหมือนการลงถม
(พระคณาจารย์ยุคเก่าๆเวลาท่านจะสร้างพระเครื่องเนื้อตะกั่วหรือจารตะกรุดเนื้อตะกั่วท่านจะลง
อักขระเลขยันต์เสร็จแล้วท่านจะนำไปหลอมแล้วนำมาตีแผ่ออกแล้วจะลงอักขระเลขยันต์ซ้ำๆกัน
อาจจะเก้าครั้งหรือร้อยแปดครั้งครบแล้วจึงหลอมเป็นองค์พระหรือม้วนเป็นตะกรุด-เรียกว่าการลงถม)

แล้วก็ สักน้ำมันทับน้ำมันได้ สักน้ำมันก็ทับหมึกได้ สักหมึกก็ทับน้ำมันได้ แต่สักหมึกทับหมึกมันจะเลอะครับ

แต่ถ้าเป็นภาพ(หนุมาน,เสือ,ลิงลม,จรเข้,หมูทองแดง,จิ้งจก ฯลฯ)ไม่นิยมลงทับซ้ำกันครับลองนึกภาพตามผมนะครับ
สมมุติลงหนุมานไปแล้ว ลงเสือทับลงไป  ลงหมูทองแดงทับลงไป
แล้วการลงภาพนั้นจะต้องเรียกอาการ ๓๒ ขึ้นมาและหนุนด้วยธาตุทั้งสี่ เพื่อให้เป็นตัวขึ้นมา
และถ้าคุณเป็นคนจิตอ่อนของขึ้นง่ายอย่างที่หลวงพ่อเปิ่นท่านเคยพูดไว้
ของคุณก็จะขึ้นชนิดของเก่ายังไม่ทันออกของใหม่ก็ขึ้นแทน
หรือจะเปรียบเทียบคุณเอาเสือขังไว้ที่เดียวกันกับหนุมานกับหมู อะไรจะเกิดขึ้น
แล้วถ้าคุณไม่ค่อยสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิบ้างเลย
เอาแต่เที่ยวเตร่เสเพลไปกลับถึงบ้านตีหนึ่งตีสอง หัวถึงหมอนก็หลับ
ต่อไปคุณก็จะคุมตัวเองไม่ได้ เหอ ๆ

ฝากไว้ให้ลองพิจารณากันนะครับ

อักขระเลขยันต์นี่แหละครับดี เชื่อผมเถอะ




10

ขอร่วมอนุโมทนาในธรรมทานครั้งนี้ด้วยครับ...

11
ครับผม

ขอบคุณอีกครั้งครับ

        :114:

12
กราบนมัสการหลวงพี่แป๋วครับ

หาชมยากแล้วนะครับ

ภาพที่แทงจากบล๊อคไม้โดยที่ใช้เขม่าตะเกียงลนแบบก่อนสัก

ทั้งหงส์คู่,หนุมานสี่กร,และเสือ

เคยเห็นหลังบางท่านในยุคต้นของหลวงพี่แป๋วนี้

ท่านจะวางจรเข้ไว้ให้ด้วย

โดยจะวางไว้เหนือเสือ

แล้วก็มีหมูทองแดงรอบเอว

สวยงามครับ   :016: :015: :053:

13
                                 
                          ฯลฯ

   ขออภัยร่วมแจมครับ ท่าน ~เสน่ห์ack01~   :095:



                                        :045:
[/quote]

อ๊ะ อ๊ะ  นั่นสาริกาจับปากโลงรึเปล่าครับ เซอร์ดอน   :058: :053:

ขอดูทั้งสองตัวได้มั้ยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ

14

สวยงามครับ ทั้งสังวาลย์และแหวนพิรอด

15

ฯลฯ (ช่วยกันประหยัดพื้นที่ครับ )

[/quote]
- ยันต์พญาหัวละมาร แปดกรนั่งร่ายมนต์ ที่กลางหลัง ไม่ธรรมดาครับภาพนี้ งดงามครับ ;เซอร์.ดอน

ขอบคุณครับ

- สงสัยว่า ;เซอร์.ดอน จะเป็นคนเดียวซะละมั้งครับ ที่หลวงพี่แป๋ว แทงให้จากล่างขึ้นบน ดีครับ รากฐานมั่นคงครับ อักขระเพียบ

เท่าที่ทราบคนเดียวครับ ขอบคุณครับ


- ;เซอร์.ดอน  สบายดีนะครับ

สบายดีครับพี่  ช่วงนี้ว่างเหรอครับ เมื่อไหร่ได้เจอกันอีกครับ




ถ้า ;เซอร์.ดอน ไปนะครับ แล้วผมเคลียร์งานได้ วันที่ ๑๐ เม.ย. อาจเจอกันที่ลพบุรีครับ

16
ที่มา

           ขออภัยไม่อยากทำให้เบื่อก่อนเนื่องจากมีมาถึง 3 ภาค เหตุที่มาของการโพส คือว่าผมไม่เคยโพสรูปตัวเองที่ใหนมาก่อน เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อไม่นานมานี้  วันหนึ่งขณะที่กำลังถอดเสื้อตามที่อาจารย์แป๊วสั่ง ( ดึกโข . . . อิ . อิ ) ก็ปรกฎว่ามีฝรั่ง 2 สามีภรรยาได้ทำการถ่ายรูปผมโดยที่อาจารย์แป๊ว ท่านก็ไม่ว่าอะไร ซึ่งปรกติแล้วผมจะไม่ชอบให้ใครมาถ่ายรูปเลย  เนื่องมาจากหน้าที่การงาน  ผู้ที่รู้จักผมจะเข้าใจดี  มิใช่ว่าจะกลัวคนที่รู้จักเห็นจะรังเกียจแต่อย่างใด .  ( ดังนั้นผมจึงหลบกล้องตลอด “ แต่วันนั้นผมไม่รอดจริงๆ ” )
            ผมเลยได้คิดว่า . . .  คงมีคนรุ่นหลัง ซึ่งก็แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ผมก็เคยเป็นเช่นกัน อยากที่จะเห็น รูปแบบหรือตัวอย่างบ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นตัวอย่างที่ยังไม่สมบรูณ์ แต่ก็ยังจะพอเป็นแนวได้บ้างไม่มากก็น้อย  ผมจึงคิดที่จะถ่ายรูปโพสเองเลยดีกว่า เพื่อประโยชน์แก่ชาวเว็บบางพระ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของวัดโดยตรง ผมถึงได้สมัครสมาชิกทั้งที่ความจริง ผมวนเวียนอยู่ในฐานะผู้เยี่ยมชมอยู่นานมาก แล้วจึงโพสรูปมาจนถึงภาคนี้ ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายแล้ว

             สุดท้ายนี้ขอมอบภาพทั้ง 3 ชุดนี้ น้อมถวยเพื่อเทอดพระคุณครูบาอาจารย์ที่ได้ประสิทธิ์ ประสาทสรรพวิชา ให้แก่ข้าพเจ้า . . . มา   และมอบแด่ พี่ – น้อง  ทุกคน   

                                                                   ยาวไปนิดต้องขออภัยเริ่มเลยครับ

                                                                                      เสือครู



                                                                                      ครองเมือง



                                                                                     หน้าเต็ม



                                                                      ศิษย์ขอนอบน้อม  บูชาคุณครู


- ขออนุโมทนาในเจตนารมณ์ที่ดีด้วยครับ


17
- ยันต์พญาหัวละมาร แปดกรนั่งร่ายมนต์ ที่กลางหลัง ไม่ธรรมดาครับภาพนี้ งดงามครับ ;เซอร์.ดอน

- สงสัยว่า ;เซอร์.ดอน จะเป็นคนเดียวซะละมั้งครับ ที่หลวงพี่แป๋ว แทงให้จากล่างขึ้นบน ดีครับ รากฐานมั่นคงครับ อักขระเพียบ

- ;เซอร์.ดอน  สบายดีนะครับ

18


ขอร่วมอนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพสร้างพระพุทธรูปและร่วมกันถวายภัตตาหารเพลในครั้งนี้ด้วยเทอญ

19
  :002: ขอบคุณครับสำหรับบทความนี้ ดีมากครับ :053:

            อ่านจบ ต้องโทรคุยกับแม่เลย

20
ยืนยันวิชาเข็มทองอีกหนึ่งเสียงครับ ถ้าไม่ทิ้งพุทโธ  เรียกได้ วิ่งมา เตือนภัยได้จริง ของผมกับอาจารย์ป้อม วัดหนองม่วงครับ :016: :015:ๆๆ

21
ลายสักนั้น มีบางที่ลอกกันไปสักอย่างเยอะมาก และมากที่สุด บางทีไปถึงมือกลุ่มวัยรุ่น

ก็ไปสักเล่นกันบ้าง เลยไม่นิยมให้ผ่านทางหน้าเว็บ เพราะอาจจะโดนลอกเลียนแบบ

หากท่านจะศึกษาจริงๆ แนะนำร้านหนังสือ ครับมีอาจารย์บางท่านได้ลงหนังสือไว้ สาธุ ...  :089:




ถูกต้องตามนั้นครับ  :053: :053: :053:

22

สวยครับ ภาพล่างสุดนี้ กว่าจะถ่ายให้เห็นได้ขนาดนี้ คงถ่ายหลายภาพนะครับ ยาวกี่นิ้วครับ

23
 ลิงค์นี้ เป็นวิธีการสังเกตว่าเป็นงากำจัด งากำจาย นะครับ

http://board.palungjit.com/f15/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2-150192.html

24
ขอแจมข้อมูลเรื่อง งากำจัด งากำจาย ด้วยครับ

http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,5357.0.html

25


ขอบพระคุณครับ ได้รับสาระความรู้เพิ่มเติมอีกแล้ว  :053: :114:

26

ขอบพระคุณครับ ที่นำมาให้ชมเป็นวิทยาทาน  :053: :053: :053:

27

ขอบพระคุณครับ ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกแล้ว

28

  ขอบคุณครับ ที่นำภาพแปลกๆมาให้ชมกัน

29

ถ้าทุกท่านอยากรู้ว่ามันเป็นจริงอย่างที่ผมพูด  ท่านลองเลิกเหล้าดูครับ  และลองคิดย้อนกลับไปสิ่งที่ผ่านมา

แล้วท่านจะเห็นทางสว่างครับ 



 ตัวผมเองเลิกกินเหล้ามาตั้งแต่  พ.ศ. ๒๕๓๖  ก็ยังอยู่ในสังคมเพื่อนร่วมงานได้ตามปกติ งานเลี้ยงงานสังสรรค์ของหน่วยงานก็ยังสนุกสนานได้ 

ร้องเพลงกับเพื่อนๆ โดยไม่จำเป็นต้องกินเหล้า  มันขึ้นกับว่าเราปรับตัวได้แค่ไหนมากกว่า    ดีครับ ตั้งใจเลิกกินเหล้า ทำให้ได้ครับ เป็นกำลังใจให้

ขออนุโมทนาด้วย

30
ไม่เสื่อมหรอกครับ อาจารย์ท่านให้มาดีแล้ว ไม่สบายใจก็อธิฐานจิตขอขมา รักษาศีลให้มั่น แต่ละคนก็รักษาได้ไม่เท่ากันตึงหย่อนต่างกันได้กุศลก็ไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราหย่อนข้อหนึ่งข้อใดแล้วจะเสื่อม ผมเชื่อว่าสิ่งที่อาจารย์ให้มาสามารถรักษาไว้ได้ด้วยบุญ รักษาศีลก็เป็นบุญ

การสร้างบุญบารมี มี 3 อย่าง ทาน ศีล ภาวนา
1.ทาน การให้ทานมีหลายระดับ เช่น
   ให้ทานแก่สัตว์ 100 ครั้งยังได้บุญน้อยกว่าการให้ทานแก่มนุษย์ 1 ครั้ง
   ให้ทานแก่มนุษย์ 100 ครั้งยังได้บุญน้อยกว่าการให้ทานแก่มนุษย์ที่รักษาศีล 5 เป็นนิจ เพียงครั้งเดียว
   ให้ทานแก่มนุษย์ที่พร้อมด้วยศีล 100 ครั้งยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่สามเณรครั้งเดียว
   ให้ทานแก่สามเณรที่พร้อมด้วยศีล 100 ครั้งยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่พระสงฆ์ครั้งเดียว
   .................. สุดท้ายการถวายสังฆทานอันมีพระอรหันต์เป็นประธาน 100 ครั้งยังได้บุญน้อยกว่าการให้อภัยทาน
2.ศีล เช่นกัน
   มนุษย์ผู้ใดรักษาศีล 5 ดีแล้วถึง 100 ปี ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ทีรักษาศีล 8 แม้เพียงวันเดียว
   มนุษย์ผู้ใดรักษาศีล 8 ดีแล้วถึง 100 ปี ยังได้บุญน้อยกว่าสามเถรที่บวชรักษาศีล 10 ได้เพียงวันเดียว
   ..................  บุญในข้อศีลสูงสุดก็จะบังเกิดแก่พระสงฆ์ที่รักษาปาฏิโมกข์ศีล 227 ข้อได้สมบูรณ์
3.ภาวนา เช่นกัน
   มนุษย์ผู้ใดทำสมถกรรมฐานดีแล้วจนจิตนิ่งดีได้ถึง 100 ปี ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่วิปัสสนาภาวนาจนแจ้งมรรค แม้เพียงช่วงเวลาช้างกระดิกหู ไก่กระพือปีก ซึ่งสมถกรรมฐานและวิปัสสนาภาวนา เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เราต้องอาศัยจิตที่แกร่งแล้วด้วยสมถ นำมาวิปัสสนา แล้วก็จะแจ้งปัญญา ซึ่งสมถ เริ่มได้ด้วยหลักกรรมฐาน 40 อันมี 40 วิธี เช่น พิจารณาความดาย พิจารณาซากของเน่าเหม็น พิจารณากาย ซึ่งรายละเอียดวิธีกรรมฐานนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเคยทำมาหากชาติก่อนทำวิธีใดมาชาตินี้เราก็จะชอบวิธีนั้น สำคัญคือต้องมีอาจารย์สอน หากใครสนใจก็สอบถามพระอาจารย์ที่ท่านนับถือได้นะครับ

สรุปเรื่องการสร้างบุญบารมีนิดนึง บางท่านอาจเข้าใจว่าอัน ภาวนานั้นได้กุศลสูงสุดงั้นเรามาทำภาวนากันอย่างเดียวเถิด อันนี้ก็ไม่ถูกต้องนักเพราะถึงได้บุญมากลงทุนน้อยที่สุดก็จริง แต่กุศลที่บังเกิดจะได้เป็นคนที่มีปัญญา แต่ถ้าหากเราไม่รู้จักการให้ทานด้วยแล้วนั้น เราก็จะเป็นเพียงคนที่มีปัญญามากแต่ไร้ซึ่งปัจจัยในการดำรงชีวิตและเป็นเหตุให้เข้าถึงนิพพานลำบากซักหน่อย   ดังนั้นจึงควรสร้างบุญบารมีประกอบกันทั้ง ทาน ศีล ภาวนา แล้วแต่โอกาสจะอำนวยนะครับ

ตามความเข้าใจจากพระนิพนธ์ เรื่องการสร้างบุญบารมี ของสมเด็จพระสังฆราช



อนุโมทนา สาธุ ใน  " ธรรมทาน " ครับ

31
หลายๆคนอาจจะไม่เคยเห็นครับ และหลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า
มีสักกันด้วย หุๆๆ สักหมึกทองว่าหายากแล้ว นี่ก็หายากเหมือนกันครับ
สักหมึกขาวครับ ฝีเข็มอาจจารย์ณัฐเดช ศิษย์หลวงปู่หลุย วัดราชโยธาครับ
สักด้วยเครือ่งไฟฟ้าครับ
วันก่อนผมไปงานไหว้ครูที่บ้านพ่อทอง เจอศิษย์พ่อชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง
มองไกลๆตัวก็เกลี้ยงๆ นึกว่าเค้าสักน้ำมัน พอไปดูใกล้ๆทีไหนได้เต็มตัวครับ " หมึกขาว" ทั้งนั้น



ธนูมือ ครับสักเป็นจักระพระนารายณ์



ชอบมากครับ แต่ไม่ทราบว่าข้อห้าม (เฉพาะ ธนูมือ )ของสายวัดราชโยธา กับวัดบางพระแตกต่างกันไหม  ขอบคุณครับ

32

                      ฯลฯ
.......  แล้วหลวงพี่ก็มอบ พระอนุชิต ให้ผมอีก1องค์




มันเป็นน้ำใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ




พญาอนุชิตแลดูแล้วเข้มขลังมาก...ชอบครับ

33

ชอบล๊อคเกตครับ อยากชมด้านหลังด้วย  ขอบคุณล่วงหน้าครับ

34

ของหลวงปู่กาหลง ถ้าได้รับจากมือท่าน ดีจริงทุกอย่างครับ

35
ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่านที่เข้ามาติชมน่ะครับ
ไม่ทราบว่ามีใครทราบบ้างครับว่า ธงข้างๆ29ยอดเรียกว่าอะไรและพุทธคุณด้านไหนครับ
ขอบคุณครับ




ถ้าจำไม่ผิดเรียกว่า ธงชัยพระอินทร์ครับ เคยเห็นของหลวงพี่แป๋วจะลง นะโมพุทธายะ  นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ ครับ พุทธคุณก็ไปทางแคล้วคลาดเมตตาละครับ

ส่วน ๒๙ ยอดนั้น มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า กำแพงแก้ว ครับ

36

วิบากในการวางของสูงในที่ต่ำ

ถาม ? เห็นพวกขายหนังสือเอานิตยสารธรรมะไปวางคละกันกับหนังสือโป๊แล้วไม่สบายใจเลย อยากทราบว่าการทำอะไรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้จะมีผล

อย่างไรกับตัวคนจัดวางหรือไม่? เผื่อจะเอาไปบอกเจ้าของร้านที่พอรู้จักและพอพูดๆกันได้บ้าง



ทั้งพวกที่ขายพระพุทธรูปแล้วนำไปวางบนพื้น และทั้งเจ้าของบ้านหรือเจ้าของสำนักทรงเจ้าต่าง ๆ ที่พระพุทธรูปนำไปวางระดับต่ำกว่า หรือนำไปวางระดับ

เดียวกับเทวรูปอย่างถาวร เหล่านี้มีกรรมดำติดตัวไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งนั้นครับ

วิบากของการวางของสูงไว้ในที่ต่ำ คือจะทำให้เป็นผู้ต่ำต้อย ทำให้เป็นผู้ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม และทำให้เป็นผู้มียศต่ำในสถานทั้งปวง

วิบากจะเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเจตนาไปในทางหนึ่ง ๆ มากน้อยเพียงใด

เป็นผู้ต่ำต้อยหมายถึงเกิดในตระกูลต่ำ ไม่มีหน้าตา หรือมีแต่เรื่องควรอับอายขายหน้า แค่ใครรู้นามสกุลเข้าก็แอบหัวเราะเยาะกัน อะไรทำนองนั้น ส่วนการ

เป็นผู้ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม หมายถึงเกิดมามีลักษณะบางอย่างที่ชวนให้นึกดูถูก เช่นตัวเตี้ยไม่สมส่วน หรือดูโง่ทึบทั้งๆที่อาจคิดอ่านได้ไม่ต่างจากคน

อื่น แต่กลับไม่มีใครเชื่อถือ แม้ออกความเห็นในที่ประชุม คนก็มองเป็นความเห็นอันไม่ควรแก่การพิจารณา และการเป็นผู้มียศต่ำในสถานทั้งปวง หมายถึงการ

ทำดีไม่ขึ้น ทำนานเท่าไหร่ก็แป้กอยู่ที่ขั้นนั้น ไม่มีใครอยากเหลียวแลส่งเสริมสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าในการงาน หรือมักโดนจัดไปอยู่ท้ายแถวตอนคัดตัวเสมอ ๆ


หากในชาติที่วางของสูงไว้ในที่ต่ำ มีใจคิดหมิ่นแถมท้ายเข้าไปด้วย ก็จะยิ่งเคราะห์ร้ายหนักเข้าไปใหญ่ เช่นเจ้าของร้านหนังสือบางราย รับนิตยสารธรรมะมาช่วย

วางขายอย่างเสียไม่ได้ จงใจยัดๆไว้ด้านล่างๆให้ลูกค้ามองเห็นลำบาก

เขาเกิดเมื่อใดจะติดกรรมประเภททำดีไม่มีใครเห็น แต่ในทางตรงข้าม ถ้าใครส่งเสริม ผลักดัน หรือใช้อำนาจหน้าที่ในการทำสื่อธรรมะหรือพระพุทธรูปให้อยู่

ในที่สูง ในที่งดงามเจริญหูเจริญตา ก็จะได้อานิสงส์ในทางตรงกันข้ามรุนแรงปานกัน คือจะเป็นผู้เกิดในตระกูลที่มีเกียรติ เป็นผู้ได้รับการยกย่องกว้างขวาง และ

เป็นผู้ขึ้นสูงง่ายในสถานทั้งปวงครับ


บางลัทธิของบางศาสนา หรือบางท้องถิ่นในบางกาล จะไม่อนุญาตให้มีรูปเคารพ ส่วนหนึ่งก็อาจจะมีเหตุผลง่ายๆทำนองนี้เอง คือพอใจรู้เข้าไปแล้วว่าเป็นของสูง

แต่ถ้าตนไม่นับถือ ก็อาจปฏิบัติในทางลบหลู่หรือดูหมิ่นถิ่นแคลนในทางใดทางหนึ่ง เป็นบาปเป็นกรรม เป็นภาพบาดตาไม่ชวนทัศนานัก



http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare048.htm

37

กรรมที่ทำบนอินเตอร์เน็ต

โดยดังตฤณ
 

ถาม ? การเขียนข้อความหรือนำเสนอเนื้อหาอะไรผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝง ถือเป็นกรรมหรือไม่? เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ไม่มีใครเห็นหน้าเรา
ไม่มีใครได้ยินเสียงเรา เหมือนเราไม่มีตัวตน


ตอบ - ผมเห็นว่าคำถามนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังนึกว่าการก่อกรรมเป็นเรื่องที่ต้องโชว์ตัว โชว์เสียง หรืออย่าง

น้อยก็ต้องมีชื่อแซ่ของเจ้าตัวปรากฏเป็นที่รับรู้เสียก่อน ความเข้าใจดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนนะครับ กรรมนั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา

ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่าใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว

สำหรับกรรมที่ทำอยู่ในใจจริงๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคุณเองคนเดียวนั้น เรียกว่า ?มโนกรรม? สำหรับมโนกรรมนั้นจะสำเร็จสมบูรณ์เต็มขั้นในทันที

ที่ตั้งใจคิดและมีความยินดีกับความคิดนั้น หากจะพูดว่ามโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็คงได้ ตัวอย่างเช่นคุณคิดจะด่าเขา

แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรมอันเป็นอกุศล มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์

ขึ้นมา

แต่หากคลื่นความคิดแรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร

ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้หมด พูดง่ายๆว่า ?ภาษา? นั่นเองคือเครื่องมือก่อวจีกรรมของมนุษย์

ฉะนั้นคุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้ว

หนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน เจตนาเกิดขึ้นที่จิตของคุณ กรรมก็เกิดที่

จิตของคุณเช่นกัน เพราะกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าบุคคลคิดแล้วจึงก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ


อินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้เราเห็นอะไรหลากหลายจริงๆ แม้แต่การทำงานของกรรม อย่างเช่นที่ผมรู้จักหลายๆคน เห็นกรรมทางวาจาของเขาในเบื้องต้น

แล้วได้เห็นพัฒนาการหรือความเสื่อมทรามทางจิตใจในเวลาต่อมา เป็นไปตามวิธีคิดเขียนให้ดีให้ร้ายแก่ผู้อื่น

ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติด

มากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมี

ปลายมากขึ้นเรื่อยๆ

บอกได้เลยครับว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้

เพราะอะไร? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆว่า ?ไอ้โง่? ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียง

อกุศลของตัวเอง แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ?ไอ้โง่? ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำ

อกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมา

ก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้


ผมเห็นแล้วนึกเสียดายครับ หลายคนยังเป็นเด็ก และมีความสนุกที่จะขีดเขียนข้อความฝากไว้ในอินเตอร์เน็ตด้วยความคึกคะนอง บางทีไม่รู้ตัวเลยว่าเอาอนาคต

มาทิ้งเสียด้วยการสนทนาแบบไร้หน้าไร้เสียงนี่เอง

โอกาสก่อกรรมในยุคไอทีของพวกเรานี้ มีได้เป็นร้อยเป็นพันเท่ามากกว่ายุคอื่นครับ กระดิกนิ้วง่ายๆไม่กี่ที ผลอาจใหญ่หลวงยิ่งกว่าพยายามพูดในห้องประชุม

ใหญ่หลายๆอาทิตย์เสียอีก หากจิตตั้งไว้ดีแล้วก็สบายตัวไป แต่หากจิตยังตั้งไว้ในมุมมืด อย่างนั้นก็คงน่าเป็นห่วงหน่อยล่ะ


ที่มา http://win-win.bloggang.com/

38

ใส่เข็มทองมาแล้วต้องหมั่น ภาวนา พุท-โธ ไว้ ดีกว่าหายใจทิ้งไปเปล่า ๆ

39
สวย  แปลก  หายาก  ขอบคุณครับที่นำมาให้ชม

40

เข็มทองของท่านอาจารย์ป้อม วัดหนองม่วง นี้ผมยืนยันด้วยอีกคนว่าเรียกวิ่งมาได้จริงครับ และขอบคุณครับที่แจ้งวันไหว้ครูให้ทราบ

41
อันที่จริงแล้วสำหรับการหัดสักในสมัยก่อน  หลังจากที่ฝีกใช้เข็มสักแทงกาบกล้วยแล้ว  หนังหมูสดที่เขาแล่ขายในตลาดจะเป็นประโยชน์มาก เมื่อจะใช้เข็มสักฝึกแทงหมึก โดยนำมาขึงแล้วหัดแทงหมึก เนื่องจากมีความยืดหยุ่นใกล้เคียงกับหนังคน   เมื่อฝึกจนชำนาญคือมีความสวยงามแล้วจึงเริ่มแทงหนังคน

42
ขอขอบคุณทุกท่านที่นำภาพหายากมาให้ชมกันครับ

คุณ pang_bu19 ครับ อนุโมทนาในทานที่บริจาคเลือดด้วยครับ

46

พอดีซื้อ มติชน สุดสัปดาห์ มาอ่านเขาลงประวัติการสร้างรุ่นนี้ด้วย เลยถ่ายประวัติมาให้อ่านกันครับ
เป็นของฉบับวันที่  28 พ.ย. -  4  ธ.ค. 2551  ปีที่ 29  ฉบับที่ 1476  ครับ





47

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน  ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

48

ตามที่บอกไว้ครับ เอาผ้ายันต์มาร่วมโชว์ด้วย เอาสอดไว้ในหนังสือวันนึง เอาออกมาถ่ายรูป แต่ก็ยังเห็นรอยพับอยู่ ที่ขอบผ้าด้านมุมซ้ายบนและขวามือเห็นรอยคราบน้ำหมึกติดอยู่ครับ



49
ยินดีด้วยครับท่าน ได้ขอบผ้ายันต์กว้างมากมายเลย ผมก็ได้รับมาผืนนึงเหมือนกัน แต่ว่าขอบผ้าจะติดกับยันต์  น่าจะเป็นพรุ่งนี้จะถ่ายรูปร่วมโชว์ด้วยครับ เพราะตั้งแต่ได้มาผมพับพกติดตัวอยู่ ตอนนี้คลี่ออกมาสอดไว้ในหนังสือเพื่อให้เรียบก่อน  ว่าแต่ท่านหอมเชียงไม่ได้แท่งหมึกสักของหลวงพ่อมาด้วยหรือครับ




50
อย่าไปกลัวเลยครับเรื่องเข็ม ผมสักจากวัดบางพระมาสิบกว่าปีแล้ว และที่สำคัญส่วนใหญ่จะเป็นคนสุดท้ายก่อนเลิกสักในแต่ละวันของหลวงพี่แป๋วแทบจะทุกครั้ง ผลการบริจาคเลือด ไม่เคยมีปัญหาครับ  และก็ไม่เคยได้ยินข่าวว่าลูกศิษย์จะติดเชื้อ ผ่านทางเข็มสักเลยครับ

51
เห็นเค้าขายกันอยุ่นะ แต่ผมว่าแพงมาก..

http://www.bbznet.com/scripts/view.php?user=katasakyan&board=2&id=1360&c=1&order=lastpost


ส่วนใหญ่เห็นว่าจ้างโรงงานเค้ากลึงเอานะครับ..

..ผมว่าเอาอย่างอื่นไปถวายดีกว่าครับ เข็มสักยันต์นี่ ต้องแล้วแต่ความถนัดของพระอาจารย์ด้วยครับ ว่าท่านชอบเหมาะมือแค่ไหน ส่วนมากแล้วท่านจะมีประจำตัวท่านอยุ่แล้วครับ..

..เข็มที่ท่านใช้ ท่านก็เสกอยุ่นาน กว่าจะใช้ได้นะครับ ไม่ใช่ว่าไปแล้วท่านจะเอาเข็มที่เราเอาไปให้สักให้เราได้เลยนะครับ..

..ถ้าอยากถวายท่าน ถวายเป็นแอลกอฮอล์ กระดาษทิชชู หรือหมึกจีน ที่ใช้สักยันต์จะดีกว่าครับ.

เพิ่มเติมครับ ถ้าเป็นหลวงพี่แป๋ว เป็นไม้กวาดทั้งแบบแข็งและอ่อน ด้วยก็ได้ครับ จะได้เอาไว้ใช้กวาดทำความสะอาดวัดกัน ได้บุญด้วยครับ


52


กราบนมัสการหลวงปู่ทิม และพระคณาจารย์ทุกท่าน ด้วยความเคารพครับ  อนุโมทนาครับ

53

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6571 ข่าวสดรายวัน


สักหมู

เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์


การสักลายบนตัวคน คงจะดูธรรมดาไปในสายตา วิม เดลวอย ศิลปินชาวเบลเยียม

ตะแกจึงต้อนหมูผิวสีชมพู เนื้อนุ่ม ในฟาร์มกรุงปักกิ่งมาสักซะ
 

มีทั้งลายดอกไม้ การ์ตูนดิสนีย์ แม้กระทั่งโลโก้หลุยส์ วิตตอง

ใครสนใจเอาหมูไปให้สัก เรตแพงสุดอยู่ที่ 5.5 ล้านบาท

เห็นแล้วเสียวแทนหมูเนาะ..ว่ามั้ย

หน้า 7







http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURObWIzSXpNekkxTVRFMU1RPT0=&sectionid=TURNd05nPT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB5TlE9PQ==

54

เสร๊จพิธีแล้วนำภาพมาให้ชมกันบ้างนะครับ ขอบคุณครับ

56

หัวใจสี่เกลอ คงกระพันครับ

57


แนะนำพระอาจารย์ป้อม วัดหนองม่วง ราชบุรีครับ

58

โฆ   โฆระทุกขักขะยัง  กัตวา     โฆสาเปติ  สุรัง  นะรัง
        โฆสะยิ  ปิฏะกัตตะยัง        โฆสะกันตัง  นะมามิหัง
       จะตุททะสะ  สังฆะคาถา     สังฆะคุณา  สุคัมภิรา
             เอเตสะมานุภาเวนะ           โสตถิ  เม  โหตุ  สัพพะทา
           ฉัปปัญญาสะ  พุทธะคุณา    ธัมมะคุณา  อัฏฐะติงสะติ
       สังฆะคุณา  จะ  จุททะสะ    อัฏฐุตตะระสะเต  อิเม
               ทิเน  ทิเน  สะระเตปิ          โสตถี  โหนติ  นิรันตะรันติ ฯ

59

สัง   สังสาเร  สังสะรันตานัง    สังสาระโต  วิมุจจิ  โส
        สังสาระทุกขา  โมเจสิ     สังสุทธันตัง  นะมามิหัง

60

กะ   กะโรนโต  สีละสมาธิง     กะโรนโต สาระมัตตะโน
      กะโรนโต  กัมะฐานานิ     กะโรนตันตัง  นะมามิหัง

61

วะ  วันตะราคัง  วันตะโทสัง     วันตะโมหัง  สุทิฏฐิกัง
       วันตัญจะ  สัพพะปาปานิ    วันตะเกลสัง  นะมามิหัง

62

สา   สาสะนัง  สัมปะฏิจฉันโน     สาสันโต  สิวะคามินิง
         สาสะนะมะนุสาสันโต         สาสันตันตัง  นะมามิหัง

63

โต   โตเสนโต  เทวะมะนุสเส     โตเสนโต  ธัมมะมะเทสะยิ
     โตเสติ  ทุฏฐะจิตเตปิ        โตเสนตันตัง  นะมามิหัง

64

วะ   วัณเณติ  กุสะลัง  ธัมมัง     วัณเณติ  สีละสัมปะทัง
       วัณเณติ  สีละรักขิตัง         วัณณิตันตัง  นะมามิหัง

65

คะ   คะฉันโต  โลกิยัง  ธัมมัง     คัจฉันโต  โลกุตตะรัมปิ  จะ
คะโตเยวะ  กิเลเสหิ           คะมิตันตัง  นะมามิหัง

66

ภะ   ภัคคะราโค  ภัคคะโทโส      ภัคคะโมโห  จะ  ปาณินัง
   ภัญชะโก  สัพพะเกลสานัง   ภะคะวันตัง  นะมามิหัง

67

โน   โน  เจติ  กุสะลัง  กัมมัง      โน  จะ  ปาปัง  อะการะยิ
   โนนะตัง  พุชฌิตะธัมมัง      โนทิสันตัง  นะมามิหัง

68

ปัน   ปะสัฏโฐ  ธัมมะคัมภีโร       ปัญญะวา  จะ  อะวังกะโค
  ปัสสันโต  อัตถะธัมมัญจะ   ปะสัฏฐังปิ  นะมามิหัง

69

ฏิ   ติตถะกะระชิโต  สังโฆ     ติตโถ  ธีโรวะ  สาสะเน
   ติตถิโย  พุทธะวะจะเน     ติตถันตังปิ  นะมามิหัง

70

ปะ   ปะฏิสัมภิทัปปัตโต  โย         ปะสัฏโฐวะ  อะนุตตะโร
      ปัญญายะ  อุตตะโร  โลเก     ปะสัฏฐันตัง  นะมามิหัง

71

ห้องพระสังฆคุณ ๑๔


สุ   สุทธะสีเลนะ  สัมปันโน     สุฏฐุ  โย  ปะฏิปันนะโก
     สุนทะโร  สาสะนะกะโร     สุนทะรันตัง  นะมามิหัง

72


ต้องขออภัยครับ ห่างหายไปหลายวัน เดี่ยวจะลง  ห้องพระสังฆคุณ ๑๔  ให้จบรวดเดียวเลย ครับ

73

ติ   ติณโณ  โย  วัฏฏะทุกขัมหา     ติณณัง  โลกานะมุตตะโม
   ติสโส  ภูมี  อะติกกันโต          ติณณะโอฆัง  นะมามิหัง
อัฏฐัตติงสะ  ธัมมะคาถา         ธัมมะคุณา  สุคัมภิรา
      เอเตสะมานุภาเวนะ               โสตถิ  เม  โหตุ  สัพพะทา





จบห้องพระธรรมคุณ ๓๘

74

หี   หีสันติ  สัพพะโทสานิ     หีสันติ  สัพพะภะยานิ  จะ
 หีสะโมหา  ปะฏิสสะตา    หีสันตันตัง  นะมามิหัง

75

ญู   ญูตัญญาเณหิ  สัมปันนัง     ญูตะโยคะสะมัปปิตัง
       ญูตัญญาณะทัสสะนัญจะ     ญูตะโยคัง  นะมามิหัง

76

วิญ   วิระติ  สัพพะทุกขัสมา     วิริเยเนวะ  ทุลละภา
         วิริยาตา  ปะสัมปันนา       วิระตันตัง  นะมามิหัง

77

โพ   โพธิง  วิชชา  อุปาคะมิ     โพเธติ  มัคคะผะลานิ  จะ
  โพธิยา  สัพพะธัมมานัง    โพธิยันตัง  นะมามิหัง

78

ตัพ   ตะโต  ทุกขา  ปะมุญจันโต     ตะโต  โมเจติ  ปาณิโณ
         ตะโต  ราคาทิเกลเสหิ           ตะโต  โมกขัง  นะมามิหัง

79

ทิ   ทีฆายุโก  พะหุปญโญ     ทีฆะรัตตัง  มะหัพพะโล
   ทีฆะสุเขนะ  ปุญเญนะ     ทีฆะรัตตัง  นะมามิหัง

80


เว   เวรานิปิ  นะ  พันธันติ     เวรัง  เตสูปะสัมมะติ
        เวรัง  เวเรนะ  เวเรนี       เวระสันตัง  นะมามิหัง

81

ตัง   ตะโนติ  กุสะลัง  กัมมัง      ตะโนติ  สัพพะวีริยัง
         ตะโนติ  สีละสะมาธิง         ตะนันตังวะ  นะมามิหัง

82

จัต   จะริตวา  พรัหมะจาริยัง     จัตตาสะโว  วิสุชฌะติ
         จะชาเปนตังวะ  ทาเนนะ    จะชันตันตัง  นะมามิหัง

83

ปัจ   ปะปัญจาภิระตา  ปะชา     ปะชะหิตา  ปาปะกา  จะโย
   ปัปโปติ  โสติวิปุโล          ปัชโชตันตัง  นะมามิหัง

84
                     แจม  เสือคู่ ด้วยครับ แถม หงษ์คู่ ไปด้วยเลย คนกันเอง


             

85

โก   โกปัง  ชะหะติ  ปาปะกัง     โกธะโกธัญจะ  นาสะติ
     โกธัง  ชะเหติ  ธัมเมนะ       โกธะนุทัง  นะมามิหัง

86

ยิ   ยิชชะเต  สัพพะสัตตานัง     ยิชชะเต  เทวะพรัหมุนา
   ยิชชิสสะเต  จะ  ปาณีหิ      ยิฏฐันตัมปิ  นะมามิหัง

87

นะ   นะรานะระหิตัง  ธัมมัง     นะระเทเวหิ  ปูชิตัง
          นะรานัง  กามะปังเกหิ     นะมิตันตัง  นะมามิหัง

88

ปะ   ปัญญา  ปะสัฏฐา  โลกัสมิง     ปัญญา  นิพพานะคามินี
       ปัญญายะ  นะ  สะโม  โหติ     ปะสันโน  ตัง  นะมามิหัง

89

โอ   โอภะโต  สัพพะกิเลสัง     โอภัญชิโต  สัพพาสะวัง
        โอภะโต  ทิฏฐิชาลัญจะ   โอภะตัง  ตัง  นะมามิหัง

90

โก   โก  โส  อัคคะปุญโญ  พุทโธ     โกธะชะหัง  อะธิคัจฉะติ
    โก  ธัมมัญจะ  วิชานาติ             โกธะวันตัง  นะมามิหัง

91

สิ   สีเลนะ  สุคะติง  ยันติ     สีเลนะ  โภคะสัมปะทา
   สีเลนะ  นิพพุติง  ยันติ    สีละธัมมัง  นะมามิหัง

92

ปะ   ปะกะโต  โพธิสัมภาเร           ปะสัฏโฐ  โย  สะเทวะเก
          ปัญญายะ  นะ  สะโม  โหติ    ปะสันโน  ตัง  นะมามิหัง
   

93

หิ   หิเน  ฐาเน  นะ  ชายันเต     หิเน  โถเมติ  สุคคะติง
   หิเน  โมหะสะมัง  ชาลัง      หินันตังปิ  นะมามิหัง

94

เอ   เอสะติ  พุทธะวะจะนัง     เอสะติ  ธัมมะมุตตะมัง
      เอสะติ  สัคคะโมกขัญจะ  เอสะนันตัง  นะมามิหัง

95

โก   โก  สะทิโสวะ  ธัมเมนะ     โก  ธัมมัง  อะภิปูชะยิ
        โก  วินทะติ  ธัมมะระสัง     โกสะลันตัง  นะมามิหัง

96

ลิ   ลิโต  โย  สัพพะทุกขานิ     ลิขิโต  ปิฏะกัตตะเย
     ลิมปิเตปิ  สุวัณเณนะ         ลิตันตังปิ  นะมามิหัง

97

กา   กาเรนโต  โย  สิวัง  รัชชัง     กาเรติ  ธัมมะจาริเย
           กาตัพพะสุ  สิกขากาเม        กาเรนตันตัง  นะมามิหัง

98

อะ   อัคโค  เสฏโฐ  วะระธัมโม     อัคคะปัญโญ  ปะพุชฌะติ
  อัคคัง  ธัมมัง  สุนิปุณัง         อัคคันตังวะ  นะมามิหัง

99

โก   โกกานัง  ราคัง  ปีเฬติ     โกโธปิ  ปะฏิหัญญะติ
        โกกานัง  ปูชิโต  โลเก     โกกานันตัง  นะมามิหัง

100

ฐิ   ฐิติสีละ  สะมาจาเร     ฐิติเตระ  สะธุตังคะเก
   ฐิติธัมเม  ปะติฏฐาติ    ฐิติปะทัง  นะมามิหัง

101

ทิฏ   ทิฏเฐ  ธัมเม  อะนุปัตโต     ทิฏฐิกังขาทะโย  ลุโต
         ทิฏฐี  ทวาสัฏฐิ  ฉินทันโต   ทิฏฐะธัมมัง  นะมามิหัง

102

สัน   สัพพะสัตตะ  ตะโมนุโท     สัพพะโสกะ  วินาสะโก
        สัพพะสัตตะ  หิตักกะโร     สัพพะสันตัง  นะมามิหัง

104

ทุกคนมีเสน่ห์อยู่ในตัวเองอยู่แล้วเพียงแต่เสน่ห์ที่เรามีจะถูกใจใครเท่านั้นพวกนุ่งผ้าเหลืองผ้าขาว บางคนสักแต่เอาผ้ามาห่มแต่ใจมันไม่ใช่คน

 เราเป็นผู้หญิงต้องระวังตัวให้ดีถ้าเจอคนดีก็ดีไป ถ้าเจอพวกไม่ดีเราจะเสียทั้งตัวเสียทั้งเงินเสียทั้งใจ จะไปโทษใครบอกใครก็ไม่ได้เราโง่เอง ...หยุด...ห้าม

ไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก จำคำปู่ไว้ให้ขึ้นใจวันนี้แฟนเราจะมาหา ก็ตัดสินใจเอาก็แล้วกัน?



ฉันกลับที่พักเริ่มนั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆที่ผ่านมา ความเจ็บปวดที่เคยมี ทุกครั้งฉันแทบจะทนไม่ได้ถ้าคิดถึงเค้า แต่ตอนนี้ทำไมความเจ็บปวดมันลดลง
เริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆที่ผ่านมาจิตใจที่เคยอ่อนแอ มันเริ่มแข็งแรงตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันไม่รู้ น้ำตาที่เคยไหลไม่หยุดหากเมื่อไหร่ที่คิดถึงเค้าทำไมมันหายไปไหน
คำสอนของปู่ก้องอยู่ในสองหู ฉันตัดสินใจ.....จากนี้ต่อไปฉันต้องเข้มแข็ง ...........


เสียงเคาะประตูหน้าห้อง.....?ใครค่ะ?? ฉันถาม ?เราเอง? เหมือนที่ปู่บอกไว้ไม่ผิดเค้ามาจริงๆ ใจที่เคยเด็ดเดี่ยวเมื่อครู่หายไปไหนหมดหัวใจเต้นแรงใจเริ่ม
อ่อนเริ่มหวั่นไหว........


?มีธุระอะไร??ฉันไม่ยอมเปิดประตู
?.....เราคิดถึง.....เปิดประตูให้เราหน่อย?.......


ฉันเริ่มสับสนน้ำตาเริ่มไหล จะทำไงดี...คิดถึงคำพูดของปู่ฤาษีคิดถึงหน้าแม่....... ?กลับไปก่อนน่ะ วันนี้เรายังไม่อยากคุย ตอนนี้เราอยู่กับแม่กลับไปเถอะ
? ฉันโกหกเพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอ หากเจอเค้าวันนี้ฉันต้องใจอ่อนแน่นอน ........


ทุกวันนี้ฉันฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน ผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ฉัน ถ้าไม่มีท่านฉันก็ไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะต้องพบเจออะไร อาจจะเจอสิ่งที่เลวร้าย เจอพวกซาตานใน
คราบนักบุญต้องเสียทั้งตัวเสียทั้งใจ จึงอยากจะขอเตือนเพื่อนๆ ที่คิดจะไปทำเสน่ห์ให้ไตร่ตรองให้ดี ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนฉันเสมอไปน่ะคะ


________________________________________

http://www.matichon.co.th/news_detai...id=01&catid=01

105

ฉันเดินทางไปหาท่านแต่เช้า....... ?เป็นไง.....รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า?ท่านถาม
?ค่ะ สบายใจขึ้นมากแล้วค่ะ?
?รักเค้ามากเลยหรือ?ท่านถาม
?ค่ะ?
?ได้โทรหาแม่ทุกวันหรือเปล่า?
?โทรค่ะ?
?แม่ว่าไงเค้าเสียใจมั๊ย?
?แม่ไม่ว่าอะไรค่ะท่านจะคอยปลอบใจ แล้วท่านก็เสียใจมากค่ะ?
?แม่เสียใจแล้วเราเสียใจมั๊ย? .....ฉันเงียบ เริ่มคิด?เสียใจค่ะ?
?ตอนเราร้องไห้แม่เค้าว่าไง?
?......แม่เค้าก็ร้องไห้ค่ะ....?
?รักแม่มั๊ย? ?รักค่ะ?


?ใครทำให้เราเสียใจ?...ใครทำให้เราเป็นแบบนี้? ผู้ชายคนนั้นใช่มั๊ย?.......ฉันนั่งนิ่งน้ำตาเริ่มไหล....... ?ทำงานมาเคยให้เงินแม่บ้างมั๊ย....เวลาไปตลาด
เห็นกับข้าวเคยจำได้มั๊ยว่าแม่ชอบกินอะไร จำได้หรือเปล่าว่าตัวเราชอบกินอะไร........ทุกวันนี้กับข้าวที่ซื้อมากินเป็นที่เราชอบหรือเ ป็นที่ผู้ชายคนนั้นชอบ.
.......ทำไมต้องให้เค้ามามีอิทธิพลอยู่เหนือตัวเองขนาดนั้น เค้าทิ้งเราไปเพราะอะไร.......ตอบได้มั๊ย? ?.......เค้าไปมีคนใหม่ค่ะ? ?ทำไมเค้าไปมีคนใหม่
......ไม่ทราบค่ะ?


ฉันตอบไปพลางเช็ดน้ำตา ?เพราะสันดาน......เข้าใจคำว่าสันดานมั๊ยคนดีจะคิดดี ทำดี พูดดีคนไม่ดี ความคิดมันก็เลวไปด้วย อยากจะทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้
ไปตลอดชีวิตก็จะเอามันคืนให้ แต่ถ้าอยากจะมีความสุข ไม่อยากให้แม่เสียใจมีชีวิตที่ดี เจอคนดีๆ ก็เลิกกับมันซะ?


ปู่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะอกหัก แต่ที่คนมันตายก็เพราะมันสิ้นคิดเพราะแพ้ใจตัวเอง ใจอ่อนแอ ถ้าไม่คิด ไม่นำจิตไปวางไว้กับมันมันก็จะค่อย ๆดีขึ้นเอง
บังคับตัวบังคับกายมันทำได้ แต่การบังคับใจถ้าไม่แกร่งจริงมันก็ยาก แต่ใจมันเป็นของเราถ้าเรายอมแพ้มัน เราก็จะแพ้ไปตลอดชีวิต ถ้าเราเคยเอาชนะมันได้
บังคับมันได้เราก็จะไม่มีทุกข์ ไม่มีใครช่วยเราได้หรอกหมอที่ไหนก็รักษาให้ไม่ได้ มีแต่ตัวเรากับเวลาเท่านั้นที่ช่วยตัวเราได้


...สิบห้าวันผ่านมาเป็นไงบ้าง? ?ไม่ได้คิดอะไรก็รู้สึกดีค่ะ? ?ทำต่อไปน่ะ ตัดใจซะ มันทำไม่ได้ทันทีหรอกแต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้นคิดถึงแม่ไว้ให้มาก ๆไม่สบายใจ
อะไรก็เล่าให้เค้าฟังให้มีสติ อย่าไปจดจ่ออยู่กับมัน15 วันผ่านมาไม่มีเค้าเราก็อยู่ได้ไม่เห็นจะตายไม่ใช่หรือตัดใจซะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นอย่าไปใส่ใจ
กับม ัน คนมันไม่ดีก็ปล่อยมันไปตามวิถีชีวิตของมัน........?


ปู่ฤาษีหันไปหยิบของในย่ามเป็นเงิน 3 หมื่นบาทยื่นคืนให้ฉัน ?เงิน 3 หมื่นปู่ไม่เอาหรอกให้เอาไปเก็บไว้ 2หมื่น เอาให้แม่ 5 พันอีก 5 พันไปซื้อเสื้อผ้าเครื่อง
สำอาง แต่งตัวใหม่ให้ดูดีกว่านี้?พูดจบแกก็หัวเราะ ?จำคำปู่ไว้อย่าเชื่อใจคน อย่ามองเพียงแค่ภายนอก แล้วอย่าไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก

106

?เออ....ปู่จะช่วย วันจันทร์มันจะกลับมา พอมันมาแล้วให้พามันมาหาปู่..? ท่านพูดปลอบใจเขาสักพักแล้วก็เริ่มสอนให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของมนุษย์เป็นคำสอน
ตามแบบของศาสนา จนพ่อแม่ของน้องผู้หญิงผ่อนคลายหายเศร้าท่านจึงให้กลับ


รายที่สอง .. เป็นชาวบ้านมาประมาณ4-5 คน รายนี้ภรรยาหนีตามชู้ไป ทิ้งสามีกับลูกสองคน สามีเค้ารักภรรยามากอยากได้ภรรยาคืน ฤาษีท่านดูไปแล้วทักว่า
 ภรรยาของแกหนีตามผู้ชายข้างบ้านไป ผู้ชายคนนั้นก็มีภรรยาแล้วใส่เสน่ห์ภรรยาของแกด้วยพอท่านพูดถึงตรงนี้ ผู้หญิงที่มาด้วยบอกว่าเป็นสามีของแกเอง
ปู่จึงหันมาถามว่าจะเอาคืนด้วยหรือ ฝ่ายหญิงตอบว่าไม่เอาปู่จึงหันไปถาม ฝ่ายชายว่าจะเอาคืนจริงๆ หรือ ไม่รังเกียจเค้าหรือที่เค้าทำแบบนี้โกรธเค้าไหม
เกลียดเค้ามั๊ยซึ่งฝ่ายชายก็ยืนยันคำเดียวว่าจะเอาคืนท่านถามซ้ำ 3 ครั้ง ฝ่ายชายก็ยังยืนยันคำเดิมท่านรับปากว่าจะช่วยแล้วให้บูชาของสิ่งหนึ่งไปเรียกเก็บ
เงิน 500 บาท


ฉันเริ่มสงสัยเอ...ทำไมของฉัน 3 หมื่นส่วนของคนนี้แค่ 500 บาท แต่ก็ยังไม่ได้ถามตอนนั้น รายที่ 3 เป็นคุณยาย พาหลานสาวมากราบท่าน บอกว่าเป็น
คนนี้ที่หนีออกจากบ้านแล้วให้ท่านตามมาให้ กลับมาแล้วตามที่ท่านบอก ท่านเรียกน้องผู้หญิง(อายุประมาณ 16-17 ปี) เข้ามานั่งต่อหน้าท่านแล้วเริ่มสอน
 ซึ่งคำสอนของท่านฉันฟังแล้วน้ำตาแทบไหล.....


?เห็นหน้ายายมั๊ยแกเสียใจขนาดไหน เค้าเลี้ยงเรามากี่ปี แต่ผู้ชายอีกคนพึ่งเจอกันไม่เท่าไหร่ ทำไมถึงทุ่มเททุกอย่างให้เค้าได้ขนาดนั้น ยายเค้าเสียใจ
ขนาดไหนเห็นมั๊ย? (คุณยายเริ่มเช็ดน้ำตา) ที่ปู่ช่วยไม่ได้อยากช่วยเราน่ะ ปู่สงสารยายของเราถึงได้ช่วยเรียกกลับมา? ท่านสอนอยู่นานพอควร


เกือบบ่าย 2ถึงคิวฉันซะทีท่านหันมายิ้ม ?เดี๋ยวจะทำน้ำมนต์ให้อาบ? ... ท่านให้ฉันอาบน้ำมนต์โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสก จะมีผู้ชายอีกคนเป็นคนอาบให้
ในระหว่างที่อาบเค้าก็จะสวดคาถาไปด้วย .....หลังจากอาบน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็ให้นำของที่เตรียมมาให้ทำพิธีอยู่ประมาณ10 นาที หลังเสร็จพิธีท่านผูก
แขนให้ฉันแล้วสั่งให้ฉันปฏิบัติตามคำสั่ง


1. ทุกวันตอนเย็นให้ฉันเดิน 999 ก้าว โดยให้นับทีละก้าวห้ามนับผิด หากนับผิดหรือไม่แน่ใจให้เริ่มนับใหม่
2. ก่อนนอนให้สวดมนต์ 99 จบ
3. ให้คุยกับ คุณพ่อหรือคุณแม่ทุกวันเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังให้หมดห้ามปิดบังและโกหก
4. ไม่ให้รับรู้หรือพูดคุยกับแฟนโดยเด็จขาดภายใน 15 วัน หากผิดคำสัญญาจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่จนกว่าจะครบ15 วัน

 

ท่านให้ฉันปฏิบัติอยู่15 วันแล้วให้กลับมาหาท่านใหม่ ซึ่งท่านสัญญาว่าภายใน15 วัน หากฉันทำได้ตามคำสั่งแฟนของฉันจะกลับมาหาฉันแน่นอน ฉันรับปาก
และเริ่มปฏิบัติตามที่ท่านสั่งไว้....เวลาเริ่มผ่านไปจากวันที่หนึ่ง เป็นวันที่สองวันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า......วันที่สิบห้า วันที่ 15 ครบจำนวนวันที่ท่านสัญญาไว้

107
ปู่ฤาษี ?.........(เอ่ยชื่อฉัน)ดวงไม่ดีจะถูกแย่งของรัก .......(เอ่ยชื่อแฟน) คนนี้เป็นแฟนใช่มั๊ย??


ฉันตอบ ?ใช่ค่ะ? ′มีอะไรจะถาม?? ท่านถามฉัน...เงียบ ....ฉันก็ไม่รู้จะถามอะไรเพื่อนหันมาสะกิด?ตอบไปซิ? ก็ไม่รู้จะตอบอะไร.......ท่านนั่งหลับตาสวด
คาถาประมาณ5-10 คำ แล้วหันมาถาม?รักเค้ามากตอนนี้ใจเศร้าหมองในสมอง มีแต่คิดจะฆ่าตัวตาย .........อยากได้เค้ากลับมามั๊ย??ท่านหันมาถาม


?อยากได้ค่ะ?ฉันตอบ


?ถ้าอยากได้คืนจะช่วยแต่จะต้องจ้างน่ะมีเงินเท่าไหร่?? ?สองพันค่ะ? ท่านหลับตาสักพัก′ไม่ใช่หรอก ในกระเป๋าตังค์มีเงินห้าพันบาทในสมุดบัญชีมีเงินอีก
 3 หมื่น? ฉันตกใจท่านรู้ได้อย่างไง ?ถ้าอยากได้คืนปู่คิดค่าจ้าง 3 หมื่น?


?ตกลงค่ะ!?ฉันตอบตกลง ?จะบ้าเหรอ.....3หมื่นน่ะแก ไม่คิดก่อนหรือไง?เพื่อนฉันตกใจรีบหันมาถามฉัน แต่สำหรับฉันตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการได้
แฟนกลับคืนมาปู่ฤาษี มองหน้ายิ้มๆ


?ให้ไปเอา...................................? ท่านสั่งให้ฉันนำสิ่งของมาเข้าพิธีรุ่งขึ้นเดินทางไปหาปู่ฤาษี


ไปถึงก็มีคนมารอท่านเต็มอาศรมไปหมด รายแรก....มากันประมาณ 5-6คน แต่งขันธ์ 5จานเดียวใส่เงิน 100 บาท แต่มีรายชื่อในกระดาษประมาณ10 ชื่อ
ได้ท่านรับขันธ์ 5 ไปหลับตาสวดมนต์ดูให้ทีละคน การทำนายของท่านแม่นเหมือนตาเห็น ท่านจะทักเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยก่อนว่า เป็นลักษณะไหนอยู่ตรงไหน
มีอะไรเป็นจุดเด่น (มาทราบภายหลังว่าท่านไม่ได้ดูจากวันเดือนปีเกิด แต่จะส่งจิตไปยังบ้านที่เราอาศัยอยู่เพื่อไปตรวจสอบยังสถานที่ ท่านจึงต้องถามว่า
สถานที่ที่ท่านไปถูกต้องหรือไม่) ท่านจะทักแต่ละคนตามรายชื่อที่เขียนไป


จนกระทั่งไปสะดุดที่ชื่อของลูกสาวของคนที่มาดู ?มันหนีออกจากบ้านไปใช่มั๊ย?? (จริงๆ แล้วท่านจะพูดเป็นภาษาอีสาน แต่ว่าฉันแปลเป็นภาษาภาคกลาง
ให้เพื่อจะได้เข้าใจ)


?ใช่จ๊ะ?คนเป็นแม่พูดน้ำตาเริ่มไหล ท่านหลับตาสวดมนต์สัก5-10 คำ?มันหนีไปกับผู้ชายตอนนี้มันอยู่กาฬสินธ์อยู่บ้านเค้า??ปู่ช่วยหน่อย ตามมันกลับมาให้
หน่อย? แม่พูดไปพร้อมเช็ดน้ำตา ฉันเองก็พาลจะน้ำตาไหลตามไปด้วยท่านสวดมนต์สักพัก



108

?....ปู่ฤาษี คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหาเพื่อนบอกว่าท่านเก่งญาติของเพื่อน สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่านก็เป็นคนเรียกกลับมา ทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา
ไม่ไปมีใหม่อีกเลย....? ย้ำ!!!............ อ่านจนจบถึงจะอึ้งๆๆๆๆๆๆ

หมายเหตุ : เรื่องจาก Forward Mail เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน แต่ควรอ่านให้จบ!!!!!

ฉันกับแฟนคบกันมา 4 ปี มีโครงการจะแต่งงานกันสิ้นปีนี้แต่แล้วจู่ ๆเค้าก็มาบอกว่า ?เราเลิกกัน เค้าไม่ได้รักฉันแล้วตอนนี้เค้าพบคนใหม่ ตลอดเวลาเค้า
หลอกฉันมาตลอดว่ารัก เค้าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่สิ้นปีนี้?

ฉันทำทุกวิถีทางเพื่อจะฉุดรั้งเค้ากลับมา ฉันถามว่าฉันผิดตรงไหนไม่ดีตรงไหน ฉันจะปรับปรุงตัวใหม่ เค้าต้องการอะไรฉันทำให้ได้ทุกอย่างและยอมทุก
อย่างขอเพียงแค่ ?กลับมาเหมือนเดิม?แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือความเฉยชา,หงุดหงิด,รำคาญทำอะไรก็ผิดไปหมด เพื่อนแนะนำฉันให้ ?ไปทำเสน่ห์?

ปกติฉันเป็นคนที่กลัวเรื่องพวกนี้ไม่อยากยุ่งเกี่ยวไม่อยากเข้าใกล้แต่....ณ จุดจุดนี้ไม่ได้แล้ว ความรักบังตาฉันยอมทุกอย่าง ขอเพียงได้เค้ากลับคืนอะไร
ก็ได้สำหรับฉัน ณ ตอนนี้

?ปู่ฤาษี ? คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหาเพื่อนบอกว่า ?ท่านเก่งญาติของเพื่อน สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่านก็เป็นคนเรียกกลับมา ทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา
ไม่ไปมีใหม่อีกเลย?

บ้านปูนชั้นเดียว มีลานจอดรถที่พอจอดรถยนต์ได้ประมาณ10 คัน วันแรกที่ฉันไปมีรถยนต์จอดอยู่3 คัน มองเข้าไปในบ้านมีคนนั่งจนล้นออกมาข้างนอกมี
เสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะเพื่อนพาฉันเข้าไปภาพที่ฉันเห็น ?ชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณ28 ? 29 ปี ผมยาวมีลายสักเต็มตัว นัยต์ตาหวานเยิ้มมือคีบ
บุหรี่พูดไปยิ้มไปปล่อยมุกสนุกสนานทำให้ผู้ที ่เข้ามาหาหัวเราะเป็นระยะๆ นุ่งชุดลายเสือดูดีมีเสน่ห์′ คนนี้เรอะที่เพื่อนบอกว่าเป็นปู่ฤาษีทำไมยังหนุ่ม แต่
ณ วินาทีนั้นความรักบังตาไม่ได้คิดอะไรเพื่อนบอกว่าดี ฉันก็เชื่อโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ในวันข้างหน้าเลย

เราสองคนนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่เข้ามาล็อตแรกก็ออกไปถึงคิวของฉัน เพื่อนแต่งขันธ์ห้า(ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่)พร้อมเงิน 100 บาท ให้ฉัน
เขียนชื่อ-นามสกุลพร้อมที่อยู่ของฉันและของแฟนยื่นให้

109
บทความ บทกวี / ตอบ: อ่านซิ ดีมาก ๆ
« เมื่อ: 21 ก.ย. 2551, 06:25:23 »

อ่านแล้ว   คิดได้   ถือว่าดี

คิดแล้ว    ทำได้   ดีกว่า

110


โม   โมหัญเญ  ทะมันโต  สัตเต     โมหะชิเต  อะการะยิ
        โมหะชาเต  ธัมมะจารี            โมหะชิตัง  นะมามิหัง

111

ธัม   ธะระมาเนปิ  สัมพุทเธ     ธัมมัง  เทสัง  นิรันตะรัง
       ธะเรติ  อะมะตัง  ฐานัง    ธะเรนตันตัง  นะมามิหัง

112

ตา  ตาเรสิ  สัพพะสัตตานัง     ตาเรสิ  โอริมัง  ติรัง
           ตาเรนตัง  โอฆะสังสารัง    ตาเรนตันตัง  นะมามิหัง

113

วะ   วันตะราคัง  วันตะโทสัง     วันตะโมหัง  วันตะปาปะกัง
 วันตัง  พาละมิจฉาทีนัง     วันตะคันถัง  นะมามิหัง

114

คะ   คัจฉันโต  รัมมะเก  สิเว     คะมามิโต  สะเทวะเก
         คัจฉันเต  พรัหมะจะริเย     คัจฉันตันตัง  นะมามิหัง

115

ภะ   ภัคคะราโค  ภัคคะโทโส     ภัคคะโมโห  อะนุตตะโร
     ภัคคะกิเลสะ  สัตตานัง       ภะคะวันตัง  นะมามิหัง

116
ขอบคุณท่านโยมน้าครับที่นำบทความดีๆมาให้อ่าน ตามอ่านตั้งแต่เมื่อคืนตอนที่ทะยอยลงแล้วครับ  36;



ครับ อ่านจบกันแล้ว ก็เตรียมตัวไปลับขวานหินให้คมๆ กันเถอะครับ เราจะเริ่มทลายกำแพงอิฐชั้นในกันก่อน

117

โต   โตเสนโต  สัพพะสัตตานัง     โตเสติ  ธัมมะเทสะนัง
      โตสะจิตตัง  สะมิชฌันตัง      โตสิตันตัง  นะมามิหัง

118

ขา   ขาทันโต  โย  สัพพะปาปัง     ขาติโย  จะ  มาธุโร
         ขายันตัง  ติวิธัง  โลกัง          ขาติยันตัง  นะมามิหัง

119
ห้องพระธรรมคุณ ๓๘


สวาก   สวาคะคันตัง  สิวัง  รัมมัง     สวานะยัง  ธัมมะเทสิตัง
           สวาหุเนยยัง  ปุญญักเขตตัง  สวาสะภันตัง  นะมามิหัง

120


                                                      ภาพอีกด้านครับ



121
                                                               ภาพอีกด้านหนึ่ง


122

งากำจัด คืองาช้างที่แตกหักออกมาในขณะที่ช้างยังมีชีวิตอยู่... ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก โบราณท่านจึงถือว่าเป็นของทนสิทธ์ จะพบเห็นได้เมื่อช้างตกมัน ไล่

อาละวาด.... แล้วเอางาแทงกับต้นไม้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวขณะตกมัน   แล้วจะหักคาอยู่กับต้นไม้..ซึ่งแต่ละชิ้นก็ไม่ใหญ่มากนัก...เพราะอย่างดีก็หักแค่ปลาย


งากำจาย เรียกอีกอย่างว่า งากระเด็น คือ งาของช้างสองเชื่อกที่เข้าต่อสู้กันเพื่อชิงความเป็นใหญ่(จ่าโขลง) หรือแย่งตัวเมียแล้วต่อสู้กัน จนอาจมีปลายงาหัก

แตกกระจาย แล้วจะตกหล่นอยู่กับพื้นดินตามป่า ซึ่งในกรณีนี้ พรานป่าที่มีโอกาสเห็นช้างต่อสู้กัน มักจะคอยเฝ้าดูเพื่อคอยเก็บปลายหรือเศษงาที่อาจมีหล่น

อยู่ แต่ก็คงไม่ทุกครั้งไป


ความแตกต่างของงากำจัด,งากำจาย กับ งาตาย


งากำจัด ,งากำจาย ทั้งสองชนิดจะเรียกว่า งาเป็น...เมื่อผ่านการพกพาติดตัวหรือโดนเหงื่อไคล เนื้อจะฉ่ำใสเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง คล้ายกับสีน้ำผึ้ง ซึ่งจะอ่อน

แก่ไม่เท่ากัน เพราะงานั้นหักในขณะที่เจ้าของงานั้นยังมีชีวิตอยู่ บางคนอาจเรียกว่ายังมีน้ำเลี้ยงแห่งชีวิตอยู่


ต่างจาก งาตาย (งาจากช้างที่ล้มแล้วเลื่อยออกมา) ที่เห็นวางขายกันอยู่ตามร้านเครื่องประดับทั่วไป  งาจะขาวซีด ดูไม่มีชีวิตชีวา แม้บางครั้งเป็นงาแก่ที่ผ่าน

การใช้มา โดนเหงื่อไคลผู้พกพาติดตัว การเหลืองฉ่ำถึงแม้เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นสีน้ำผึ้ง


สรรพคุณของ งากำจัด งากำจาย ซึ่งถือว่าเป็นของทนสิทธิ์ที่หาได้ยากอีกชนิดหนึ่งนั้น  แม้ไม่ผ่านการปลุกเสก ว่ากันว่าเมื่อพกพาติดตัวจะเป็นเสน่ห์และ

มหาอำนาจ แต่เมื่อผ่านพิธีกรรมมาแล้ว สรรพคุณย่อมเพิ่มเป็นทวีคูณ






งาชิ้นนี้ยาวประมาณ ๔ ซ.ม. เจ้าของเก่าอายุ ๘๐ กว่าแต่ตายไปเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว

123

พิมพ์เดียวกันกับที่ออกโดยศาลพระกาฬ จ.ลพบุรี เลยครับ

124
ในดี มีเสีย     ในเสีย มีดี

125
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 01:55:45 »
9. ทางเรือนจำไม่ห้ามปราม นักโทษที่คิดจะแหกคุก และถ้าแหกคุกได้สำเร็จยังได้รับสิทธิพิเศษ ให้เข้าออกเรือนจำได้ทุกเวลา ให้ชักชวนนักโทษอื่นๆ
ให้แหกคุกได้หมายความว่าอย่างไร


ตอบ หมายความว่า วัฏฏะไม่เคยกีดกัน ผู้ที่จะปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา
เพื่อบรรลุพระนิพพาน เมื่อบรรลุพระนิพพานแล้ว จะเทศนาสั่งสอนให้สัตว์ทั้งหลายทำลายวัฏฏะเสีย ก็อาจทำได้

10. บุรุษผู้ยืนโฆษณาชักชวนให้นักโทษแหกคุก และแจกขวานหิน ขวานเหล็ก ขวานเพชรหมายถึงใคร

ตอบ หมายถึงพุทธบริษัทผู้เห็นภัยในวัฎฎะ ปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญาจนบริสุทธิ์หลุดพ้นด้วยตนเอง แล้วสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติตาม การที่นักโทษไม่ค่อย
สนใจ เปรียบเหมือนมนุษย์ในโลก ที่มัวเพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ของโลก ไม่สนใจในพระศาสนา ไม่ปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญา

11. การที่ "ข้าพเจ้า" เข้าไปเยี่ยมเรือนจำ แล้วก็พลอยถูกจับกลายเป็นนักโทษประหารไปด้วย หมายความว่าอย่างไร

ตอบ หมายความว่า ใครๆ ก็ตามที่ไปเกิดในภพทั้งสาม แล้วจะต้องตายทั้งสิ้น

12. เจ้าหน้าที่ทั้งสามของเรือนจำที่ควบคุม "ข้าพเจ้า" อยู่ ทุกฝีก้าวนั้นหมายถึงอะไร

ตอบ เจ้าหน้าที่ทรมานสัตว์ โดยการค่อยๆ ตัดอวัยวะต่างๆ ออกทีละน้อย หมายถึง ชรา ความแก่
เจ้าหน้าที่ ปล่อยสัตว์ร้ายกัดนักโทษให้ตาย หมายถึง พยาธิ ความเจ็บป่วย
เพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตนักโทษโดยตรง หมายถึง มรณะ ความตาย




http://board.palungjit.com/showthread.php?t=149096

126
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 01:50:52 »
5. ตำรวจที่นำนักโทษมาส่งเรือนจำหมายถึงอะไร

ตอบ หมายถึงชาติหรือความเกิด ซึ่งส่งให้สัตว์มาเกิดในภพทั้งสาม


6. กำแพงทั้งสามชั้นที่ล้อมเรือนจำไว้หมายถึงอะไร

ตอบ กำแพงอิฐชั้นใน หมายถึง กรรมดีและชั่ว ที่เป็นเหตุให้สัตว์เกิดในสามภพ
กำแพงหินชั้นกลาง หมายถึง กิเลสหยาบ เช่น โลภ โกรธ หลง อันเป็นเหตุให้สัตว์ทำกรรม
กำแพงเหล็กชั้นนอก หมายถึง อวิชชา ซึ่งเป็นกิเลสละเอียดทำลายได้ยาก แม้เกิดในพรหมโลกก็ยังมีอวิชชา

7. ขวานหิน ขวานเหล็ก ขวานเพชร สำหรับทำลายกำแพงอิฐ กำแพงหินและกำแพงเหล็กหมายถึงอะไร

ตอบ ขวานหิน หมายถึง ศีล สำหรับควบคุมกายวาจาให้เรียบร้อย
ขวานเหล็ก หมายถึง สมาธิ สำหรับปราบกิเลสหยาบ
ขวานเพชร หมายถึง ปัญญา ซึ่งใช้สำหรับทำลายกิเลสละเอียด คือ อวิชชา

8. นักโทษที่กำลังแหกคุก โดยใช้ขวานทำลายกำแพงอิฐ กำแพงหินและกำแพงเหล็กหมายถึงใคร

ตอบ หมายถึงพุทธบริษัททั้งสี่ ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ ปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อทำลายกรรม กิเลสหยาบและกิเลสละเอียด เพื่อความเป็นอิสระจากวัฏฏะ
นักโทษที่กำลังทำลายกำแพงอิฐมีมาก เปรียบเหมือนคนที่ปฏิบัติขั้นศีลได้มีมาก นักโทษที่กำลังใช้ขวานเหล็ก ทำลายกำแพงหินมีน้อยลง
เปรียบเหมือนพุทธบริษัทขั้นสมาธิมีน้อย นักโทษที่ใช้ขวานเพชรทำลายกำแพงเหล็กมีน้อยที่สุด เปรียบเหมือนพุทธบริษัทที่เข้าถึงปัญญามีน้อย

127
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 01:46:25 »
ปัญหาและคำตอบในเรื่อง "นักโทษประหาร"

1. เรือนจำใหญ่ได้แก่อะไร ทำไมจึงเรียกว่าเรือนจำ

ตอบ เรือนจำใหญ่ได้แก่โลกนี้ทั้งโลก ถ้าพูดอย่างกว้าง หมายถึง ภพทั้งสามภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ซึ่งเป็นดินแดนตายของสัตว์ เหตุที่ได้ชื่อว่า
เรือนจำ ก็เพราะเป็นที่กักขังสัตว์ไว้ มิให้บรรลุถึงพระนิพพาน

2. นักโทษประหารหมายถึงใคร ทำไมจึงเรียกว่านักโทษประหาร

ตอบ
นักโทษประหาร หมายถึง สัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในภพทั้งสาม เหตุที่เรียกว่านักโทษประหาร ก็เพราะว่า สัตว์ทั้งหลายในสามภพ
ไม่ว่าจะเกิดในกำเนิดต่ำหรือสูง จะต้องตายทั้งสิ้น

3. ข้อที่ว่า นักโทษไม่รู้ว่าตัวเป็นนักโทษถูกขังอยู่ในเรือนจำนั้น หมายความว่าอย่างไร

ตอบ
หมายความว่าสัตว์ที่เกิดในสามภพ หารู้สึกตัวไม่ว่าตนติดอยู่ในห้วงทุกข์ และจะต้องตาย แต่มัวสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ในภพนั้นๆ จนลืมตัว

4. ข้อที่ว่านักโทษในเรือนจำรวมกันเป็นกลุ่มๆ ช่วยเหลือกันและกัน แสวงหาสมาชิกมาเข้ากลุ่ม และมีการเฉลิมฉลองเมื่อมีสมาชิกใหม่นั้น หมายความ
ว่าอย่างไร


ตอบ หมายความว่า คนในโลกรวมกันอยู่เป็นครอบครัว เมื่อมีคนเกิดขึ้นในครอบครัวก็ดีอกดีใจ ถ้าไม่มีก็พยายามที่จะให้มีทุกวิถีทาง

128
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 01:41:49 »
        เขาเหล่านั้นจะอยู่อย่างไร กินอย่างไร และคิดอย่างไร เมื่อได้ทราบว่า ข้าพเจ้าได้กลายเป็นนักโทษประหารเสียแล้ว ขณะที่จิตใจกำลังวิ่งพล่านอยู่นั้น
ภาพพุทธสถานก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึกพร้อมกับจำได้ว่า ในวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2508 จะต้องไปแสดงปาฐกถาเรื่อง "ตื่นเถิดชาวพุทธ" ประชาชนจำนวน
มาก ที่อยากฟังปาฐกถา จะรู้สึกสึกผิดหวังเพียงไร ถ้าถึงเวลาแล้วไ ม่มีข้าพเจ้าไปแสดงปาฐกถา พร้อมๆ กันนั้นก็เกิดการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวขึ้นมาทันทีว่า
จะต้องไปแสดงปาฐกถาให้ได้

       "ท่านผู้บัญชาการที่รักและคิดถึง" ข้าพเจ้าพูดออกมาคล้ายคนบ้า ?ท่านจะเอากับผมอย่างไรก็เอา ผมยอมทั้งนั้น แต่ผมขอความกรุณาจากท่านเป็นครั้ง
แรกและครั้งสุดท้าย คือ ขออนุญาตออกไปแสดงปาฐกถาที่พุทธสถาน ในคืนวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคมนี้ ท่านจะอนุญาตหรือไม่"

        ผู้บัญชาการฯ นิ่งคิดอยู่นักครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ตกลง เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ผมจะให้เจ้าหน้าที่เรือนจำ 3 คน ควบคุมคุณไปทุกฝีก้าว"

        พระคุณเจ้าและท่านสาธุชนที่เคารพ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่นี้เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คนจากเรือนจำ ก็กำลังยืนคุมข้าพเจ้าอยู่ คนที่ยืนทางขวามือของ
ข้าพเจ้า คือ เจ้าหน้าที่ทรมานนักโทษให้ตายโดยวิธีตัดแข้งตัดขา คนที่ยืนทางซ้ายมือนี้ คือ พนักงานปล่อยสัตว์ร้ายให้กัดนักโทษตาย ส่วนอีกคนหนึ่งที่ยืน
ถือขวานอยู่ข้างหลังข้าพเจ้านั้น คือ เพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตนักโทษโดยตรง

        หลังจากแสดงปาฐกถาที่นี่เสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็จะถูกนำตัวสู่เรือนจำและจะถูกประหารชีวิต ณ วันใดวันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าเองไม่มีทางรู้

        ข้าพเจ้าขออำลาท่านทั้งหลายไปก่อน......................สวัสดี

129
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 01:39:10 »
        "คุณจะไม่มีหวังไปพบเพื่อน ได้ตามนัดโดยเด็ดขาด" ผู้บัญชาการฯ พูดพลางหัวเราะอย่างผู้มีชัย ท่านได้หันไปมองดูเจ้าหน้าที่เรือนจำอย่างมีนัย
แล้วทันใดนั้นเจ้าหน้าที่มีร่างกำยำ 2 คน ก็ตรงเข้ามาขนาบข้างซ้ายขวาของข้าพเจ้า และยึดแขนไว้อย่างมั่นคง ถ้าสามารถมองเห็นตัวเองในขณะนั้น ใบ
หน้าของข้าพเจ้าคงขาวซีด ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด เพราะการกระทำของผู้บัญชาการฯ ตอนนี้บอกว่าเอาจริงแน่นอน

          "คุณไม่เชื่อหรือว่าผมพูดจริง" ผู้บัญชาการฯ พูดขึ้น "ถ้าไม่เชื่อผมจะพาไปดูอะไรบางอย่าง" ว่าแล้วก็ออกเดินทันที ข้าพเจ้าก็ถูกเจ้าหน้าที่ฉุดให้
ตามไปด้วย เราได้มาถึงตึกใหญ่หลังหนึ่ง ผู้บัญชาการฯ สั่งให้หยุดอยู่ที่ประตู เมื่อประตูถูกเปิดออกข้าพเจ้ามองเข้าไปข้างใน ก็ได้พบภาพที่ไม่เคยนึกเคย
ฝันว่า จะได้พบในเรือนจำ ภายในตึกนั้นเต็มไปด้วยพระภิกษุสามเณร พระราชามหากษัตริย์ ประธานาธิบดี นายพล มหาเศรษฐี และบุคคลชั้นสูงอีกมากมาย !"

          "ทั้งหมดนี้คือนักโทษประหารของผมทั้งสิ้น" ผู้บัญชาการฯ พูด แล้วมองดูหน้าข้าพเจ้าคล้ายกับบอกว่า "คนใหญ่คนโตขนาดนั้น ยังตกเป็นนักโทษ
ของผม นับประสาอะไรกับคุณซึ่งเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง"

           ข้าพเจ้ารู้สึกหน้ามืด ศีรษะหมุนติ้วคล้ายจะเป็นลม จึงทรุดตัวลงนั่งเอามือกุมศีรษะอยู่ใกล้ประตูตึกนั่นเอง ขณะที่นั่งหลับตาอยู่นั่นเอง ภาพใบหน้า
ของภรรยาสุดที่รัก ก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึกแล้วภาพมารดา พี่น้อง ตลอดถึงลูกศิษย์ที่สอนอยู่เป็นประจำ จิตใจในขณะนั้นวิ่งพล่านกลับไปยังทุกคนและทุก
สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง

130
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 01:33:09 »
         ชายผู้หวังดีหยิบเอาขวานหินเล่มนั้นมาเก็บไว้ แล้วล้วงเอาขวานอีกเล่มหนึ่งออกมาจากถุง ยกชูไปรอบๆ พลางพูดว่า "พี่น้องทั้งหลาย นี้คือ
ขวานเหล็ก ใช้สำหรับเจาะกำแพงชั้นกลาง คือ กำแพงหิน ผู้ใดต้องการข้าพเจ้ายินดีจะให้โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด เชิญรับเอาไปเถิด" เขาส่งขวาน
ไปรอบๆ ด้วยสายตาแสดงความวิงวอน แต่ไม่ปรากฏว่ามีใครรับเอา

         เขาวางขวานเหล็กลงไว้ แล้วล้วงเอาขวานเล่มใหม่ขึ้นมา เขาชูไปรอบๆ ตามเคย พลางกล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลาย กำแพงเหล็กชั้นนอกอาจจะ
หนาและสูง แต่ท่านไม่ต้องท้อใจ นี้คือ ขวานพิเศษสำหรับเจาะกำแพงเหล็ก ถ้าท่านดูให้ดีท่านจะเห็นว่า คมของขวานนี้ทำด้วยเพชร โปรดดูด้วยตาของ
ท่านเอง"

         เขาได้หยิบเอาเหล็กมาท่อนหนึ่ง แล้วก็เอาขวานนั้นฟันให้ดูเป็นตัวอย่าง ปรากฏว่าขวานจ้องฟันเพียงครั้งเดียว ท่อนเหล็กนั้นก็ขาดกระเด็น แต่ถึง
กระนั้นก็ไม่มีใครสนใจจะรับเอาขวานนั้น ชายผู้ใจเย็นก็รวบรวมขวานใส่ในถุง ยกถุงขึ้นแบกบนบ่า แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังนักโทษกลุ่มอื่นต่อไป
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของนักโทษกลุ่มนั้น

          ขณะนั้นเป็น เวลาเกือบ 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องกลับ เพราะมีนัดรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อน ข้าพเจ้าขอบคุณท่านผู้บัญชา
การฯ แล้วก็กล่าวคำอำลา

         "คุณ ยังจะกลับไม่ได้" ผู้บัญชาการฯ พูดขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจไม่น้อย ใจหนึ่งคิดว่าท่านผู้บัญชาการฯ อาจจะชวนให้รับ
ประทานอาหารกลางวันด้วย แต่เพื่อให้แน่ใจจึงถามดู "ทำไมล่ะครับ"

         "กฏของเรือนจำมีอยู่ว่า ทุกคนที่เข้ามาในเรือนจำของเรา ต้องกลายเป็นนักโทษประหารของเราด้วย เพราะฉะนั้น เวลานี้คุณได้กลายเป็นนักโทษ
ของเราเสียแล้ว"


           ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจและงุนงงดุจถูกตีที่ศีรษะ แต่ก็ยังอุ่นใจอยู่ว่าผู้บัญชาการฯ คงจะล้อเล่นสนุกๆ มากกว่า จึงกล่าวว่า "ท่านผู้บัญชาการฯ อย่าล้อ
ผมเล่นเลยน่า ผมจะต้องรีบไปพบเพื่อนตามนัด"

131
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 01:29:29 »
         
        เราได้มาถึงนักโทษกลุ่มหนึ่ง กำลังนั่งล้อมวงฟังชายคนหนึ่งพูดอยู่ใต้ต้นไม้ ชายประหลาดคนนั้นยืนอยู่ท่ามกลางวง แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า
"ตื่นเถิดพี่น้องทั้งหลาย อย่ามัวหลับใหลอยู่เลย อย่าลืมว่าท่านเป็นนักโทษประหาร กำลังถูกขังอยู่ในกำแพงถึง 3 ชั้น สักวันหนึ่งเพชฌฆาตจะมาลากคอ
ท่านไปประหารชีวิต รีบลุกขึ้นแล้วแหกคุกหนีไปเสียก่อนที่จะถึงเวลานั้น............."

           ชายคนนั้นพรรณนาโทษของเรือนจำ ต่อไปอีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นความจริง แต่ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่ามีนักโทษน้อยคน ที่ตั้งใจฟังวาทะของ
เขา ส่วนมากหันหน้าไปคุยกันเสียบ้าง หลับเสียบ้าง ยิ่งกว่านั้นบางคนยังหัวเราะเยาะเขา และตะโกนคัดค้านเขาเป็นครั้งคราว แต่ชายคนนั้นก็ใจเย็นอย่าง
น่าอัศจรรย์ เขามิได้แสดงอาการโกรธเคือง หรือพูดจาโต้ตอบผู้ก่อกวนเหล่านั้นแต่อย่างใด

           เขาเอามือควานลงไปในถุงซึ่งวางอยู่บนพื้นข้างๆ แล้วหยิบเอาขวานเล่มหนึ่งขึ้นมา เขาชูขวานไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า "พี่น้องทั้งหลาย นี่คือ ขวาน
หินสำหรับเจาะกำแพงอิฐ
ท่านผู้ใดอยากจะได้รับอิสรภาพ โปรดเอาขวานนี้ไปเจาะกำแพงอิฐ ข้าพเจ้ายินดีจะมอบขวานนี้ให้แก่ท่านฟรี" พูดแล้วเขาก็ชูขวาน
นั้นไปรอบๆ แต่ปรากฏว่าไม่มีนักโทษคนใดแสดงความสนใจ ขวานในมือของเขาเลย นักโทษคนหนึ่งได้ตะโกนขึ้นว่า "เดี๋ยวนี้เป็นสมัยจรวดแล้ว เราไม่ต้องการ
ขวานหิน เชิญท่านนำไปแจกคนสมัยหินของท่านเถิด"

          โดยมิได้คำนึงต่อคำเยาะเย้ยของนักโทษคนนั้น ชายผู้ใจเย็นยังคงชูขวานต่อไปอีก จนกระทั่งมีนักโทษคนหนึ่งยืนขึ้น เดินไปรับขวานจากเขา นักโทษ
คนนั้นหยิบขวานมาลูบคลำ พิจารณาดูอยู่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ยื่นกลับคืนไปให้เจ้าของพลางพูดว่า "มันหนักเกินไป แบกไม่ไหว"

132
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 01:25:33 »
         
       ผู้บัญชาการฯ ตอบว่า "ผมบอกคุณแล้วว่าไม่มีใครคิด อยากจะออกไปจากเรือนจำ และยิ่งกว่านั้น ช่องแต่ละช่องที่นักโทษเจาะสำเร็จนั้น เราจะ
จัดการปิดให้ดีเหมือนเดิมทันที ที่นักโทษคนนั้นลอดออกมาพ้น ฉะนั้นถ้าใครอยากออก ก็ต้องเจาะช่องใหม่สำหรับตนเอง เจาะให้กันไม่ได้ ฉะนั้นนักโทษ
คนหนึ่งเจาะช่องได้สำหรับตนคนเดียวเท่านั้น"

        "มีนักโทษคนใด สามารถเจาะทะลุกำแพงหินบ้างไหม"

        "มีเหมือนกัน แต่น้อยเต็มที ถ้าคุณมองดูที่ฐานกำแพงเหล็ก คุณจะเห็นนักโทษหัวเห็ดเพียงคนหรือสองคนเท่านั้น โน่นยังไงละ คนหนึ่งเพิ่งหลุด
ออกไปได้จากกำแพงหิน"

         ข้าพเจ้ามองตามมือ ท่านผู้บัญชาการฯ ไปที่ฐานกำแพงเหล็ก และเห็นนักโทษผู้มีร่างล่ำสันบึกบึนคนหนึ่ง กำลังใช้ขวานฟันกำแพงเหล็กอยู่อย่าง
เหนื่อยอ่อน ขวานของเขารู้สึกว่าเต็มไปด้วยประกายแวววับ ทุกครั้งที่เขายกขึ้นฟันมันจะสะท้อนแสงแวววาวเข้านัยน์ตาของเรา จนเราต้องหลับตา ข้าพเจ้า
นึกชมความอุตสาหะวิริยะ ของนักโทษหัวเห็ดคนนั้นอยู่ในใจ และภาวนาขอให้เขาออกไปให้ได้

         "เคยมีนักโทษ เจาะกำแพงเหล็กออกไปได้บ้างไหมครับ ท่านผู้บัญชาการ" "มีเหมือนกัน แต่น้อยเต็มที ในหมื่นหรือแสนคนจะมีสักคนหนึ่ง เท่าที่
ผมอ่านดูในประวัติของเรือนจำนั้น
 
          เมื่อประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีนักโทษสำคัญคนหนึ่งแหกคุกออกไปได้สำเร็จ และพาเอานักโทษอื่น ๆ ออกไปด้วยเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากนั้นมา
ก็ไม่เคยมีการแหกคุกเป็นการใหญ่เช่นนั้นอีก"


         "ถ้าสมมติว่ามีนักโทษแหกคุกออกไปได้สำเร็จ ทางเรือนจำ ติดตามไปจับเขานำมาขังไว้ในเรือนจำอีกหรือไม่ครับ" ข้าพเจ้าถามต่อไป "ไม่" ผู้บัญชาการ
ตอบ "เราปล่อยให้เขาไปเลย เราถือว่าเขามีความสามารถ เป็นวีรบุรุษสมควรจะได้รับอิสรภาพ ยิ่งกว่านั้น เรายังให้สิทธิพิเศษแก่เขาอีกด้วย"

         "สิทธิอะไรครับ" ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ

         "สิทธิที่เข้าออกเรือนจำได้ตามชอบใจทุกเวลา ถ้าเขาอยากจะกลับเข้ามาในเรือนจำ เพื่อชักชวนเพื่อนนักโทษให้แหกคุก หรือแนะนำวิธีเจาะกำแพงที่
ได้ผลแก่นักโทษอื่นๆ ก็อาจจะทำได้ตามชอบใจ คุณเดินตามผมมาทางนี้" ข้าพเจ้าเดินตามผู้บัญชาการฯ ไปอย่างว่าง่าย

133
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 12:17:48 »
           ท่านผู้บัญชาการฯ บอกข้าพเจ้าว่า กำแพงหินกว้างและสูงมากกว่ากำแพงอิฐ 2 เท่า กำแพงชั้นนอกสูงแลดูเป็นสีดำทะมึนตลอด มีความกว้าง
และความสูงมากกว่ากำแพงหิน 2 เท่า เพราะฉะนั้นจึงเป็นกำแพงขอบนอกที่มั่นคงแข็งแรงที่สุด ข้าพเจ้าได้ถามท่านผู้บัญชาการฯ ว่า "กำแพงชั้นนอก
ทำด้วยอะไร"

         "ทำด้วยเหล็กทั้งแท่ง" ท่านผู้บัญชาการฯตอบ

         "มิน่าเล่า ถึงไม่มีใครคิดจะหลบหนี" ข้าพเจ้าพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็เหลือบเห็นนักโทษหลายต่อหลายคน กำลังใช้ท่อนไม้ขนาด
กลางทุบต่อยและกระทุ้งกำแพงอิฐ อยู่อย่างขะมักเขม้น "เอ๊ะ นั่นเขาทำอะไรกัน" ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ

           "เขากำลังจะเจาะกำแพงหลบหนี" ผู้บัญชาการตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ คล้ายกับเห็นว่าการแหกคุกเป็นเรื่องเล็ก

           "แล้วทำไมท่านจึงปล่อยให้เขาทำ ทำไมท่านไม่จับกุมหรือห้ามปราม" "ไม่" ผู้บัญชาการตอบหน้าตาเฉย "นักโทษทุกคนมีสิทธิที่จะแหกคุก
ได้ เราไม่ห้ามปรามแต่อย่างใด เพราะมีน้อยคนเหลือเกิน ที่คิดจะแหกคุก"


            คุณลองคิดดูซิในเรือนจำมีนักโทษตั้งเท่าไร แต่คุณก็เห็นแล้วว่า มีนักโทษเพียงไม่กี่คนที่กำลังเจาะกำแพง อีกอย่างหนึ่งกำแพงของเราก็
แข็งแรงมาก ยากที่จะเจาะทะลุได้ นักโทษส่วน มากมักจะเลิกล้มความพยายามเสียในระหว่างนั้น แม้จะพ้นกำแพงอิฐไปได้ก็ติดที่กำแพงหิน คุณดูที่
ฐานกำแพงหินนั่นซิ"

            ข้าพเจ้ามองตามมือผู้บัญชาการฯ ไปยังกำแพงหินและได้เห็นนักโทษ 2 - 3 คน ซึ่งรอดพ้นจากกำแพงอิฐมาได้ กำลังเอาขวานเจาะกำแพง
หินอยู่อย่างขะมักเขม้น "แล้วนักโทษอื่นๆ ทำไมไม่ออกตามช่องที่เขาเจาะไว้แล้ว จะได้ช่วยกันเจาะกำแพงหินต่อไป" ข้าพเจ้าถาม

134
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2551, 12:13:47 »
            ผู้บัญชาการเรือนจำหัวเราะดังยิ่งขึ้น แล้วตอบว่า "ไม่กลัว ผมจะบอกเหตุผลว่า ทำไมไม่กลัว ประการแรกก็เพราะว่า ไม่มีใครอยากจะออก
ไปจากเรือนจำนี้ แทบทุกคนพอตกเข้ามาอยู่ในเรือนจำนี้ ก็สนุกสนานเพลิดเพลิน จนไม่อยากจากไป ทุกคนอยากอยู่ที่นี่ อยากถูกประหารชีวิตและ
ตายที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่สุด เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผมไม่กลัวว่า นักโทษจะหนี   อยู่ที่โน่น ผมจะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้"

        "ท่านผู้บัญชาการฯ ได้จูงแขนข้าพเจ้าพาไปยังหอคอยสูงหลังหนึ่ง เราเดินตามบันไดขึ้นไปจนถึงยอดหอคอยแล้ว ผู้บัญชาการฯ ก็ชี้มือให้
ข้าพเจ้าดูสิ่งหนึ่ง พอเห็นสิ่งนั้นข้าพเจ้าก็เห็นด้วยกับผู้บัญชาการฯ ทันทีว่า ทำไมจึงไม่กลัวนักโทษจะแหกคุก

           สิ่งที่มีอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า คือกำแพงสูงใหญ่ ที่ล้อมรอบเรือนจำอยู่ถึง 3 ชั้น มีช่องว่างระหว่างกำแพงกว้างประมาณ 30 เมตร กำแพงทั้ง
3 มีความหนาและความสูงไม่เท่ากัน และสร้างด้วยวัสดุต่างๆ กัน คือ กำแพงชั้นใน เป็นกำแพงก่อด้วยอิฐ แต่ไม่มีการโบกปูน จึงมองเห็นแผ่นอิฐเรียง
กันเป็นก้อนๆ กำแพงอิฐมีความหนาประมาณ 6 ฟุตและสูงประมาณ 10 ฟุต กำแพงชั้นกลางมีสีเทาแก่ เพราะสร้างด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่ทั้งนั้น

135
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 18 ก.ย. 2551, 11:59:28 »
        ข้าพเจ้าบอกให้เขาดึงผ้าปิดศพเสียตามเดิม แล้วก็หันมาทางผู้บัญชาการฯ ด้วยความตั้งใจจะต่อว่าความโหดร้ายป่าเถื่อนของเพชฌฆาต แต่ก็พูด
ไม่ออกอยู่เป็นนาน เพราะรู้สึกว่ามีอะไรมาจุกที่คอหอย เมื่อควบคุมสติสัมปชัญญะได้ดังเดิม แล้วจึงถามผู้บัญชาการฯ ว่า "ทำไมท่านปล่อยให้คนของท่าน
ทำอย่างป่าเถื่อนเช่นนั้น ท่านมิได้แจ้งให้นักโทษทราบล่วงหน้าดอกหรือ ว่าจะประหารชีวิตโดยวิธีใด ที่ไหน และเมื่อไร นักโทษไม่มีโอกาสรู้ล่วงหน้าและ
เตรียมตัวบ้างหรือ"

          "การประหารชีวิตนักโทษนั้น" ผู้บัญชาการตอบ "เรายกให้เป็นหน้าที่ของเพชฌฆาตโดยตรง เพชฌฆาตมีอำนาจประหารชีวิตใคร ที่ไหน เมื่อใดก็
ได้ตามชอบใจ โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า บางทีนักโทษกำลังนอนหลับอยู่ดีๆ เพชฌฆาตอาจจะเอาดาบไปฟันคอตายโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ บางคน
กำลังเล่นอยู่อย่างสนุกสนาน เพชฌฆาตอาจจะเอาค้อนไปทุบหัวตายก็ได้"

         "ถ้าอย่างนั้นนักโทษทุกคน ก็คงนอนตาไม่หลับ" ข้าพเจ้ากล่าว พลางสั่นหัวด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ ต่อระเบียบการอันวิตถารของเรือนจำแห่งนั้น
"คงหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรเพชฌฆาตจะมาลากตัวไปประหารชีวิต"

        "ตรงกันข้าม" ผู้บัญชาการฯ ตอบ "ไม่มีนักโทษคนใดประหวั่นพรั่นพรึง ต่อการประหารชีวิตเลย นักโทษส่วนมากลืมเสียสนิท ว่าตนเป็นนักโทษประหาร
ต่อเมื่อเห็นเพื่อนถูกประหารต่อหน้าต่อตา นั่นแหละ จึงจะระลึกขึ้นได้ แต่ไม่ช้าก็ลืมสนิท แล้วก็สนุกสนานเพลิดเพลินต่อไป"

         ท่านผู้บัญชาการ เรือนจำพาข้าพเจ้าตระเวนชมเรือนจำต่อไปอีก เราได้ผ่านกลุ่มนักโทษไปมากมายหลายกลุ่ม สังเกตดูนักโทษทุกๆ กลุ่มต่างทำงาน
และเล่นกันอย่างสนุกสนาน แทบทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นอันดี ทำให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับผู้บัญชาการฯ ที่ว่านักโทษส่วนมากลืมสนิทว่าตนเป็นนัก
โทษประหาร

        "ทางเรือนจำมีระเบียบควบคุมนักโทษอย่างไรบ้าง" ข้าพเจ้าถาม ผู้บัญชาการฯ หัวเราะแล้วตอบว่า "ไม่มีเลย นักโทษจะเล่น จะทำงาน จะกิน จะนอน
จะเที่ยว ไปที่ไหนก็ได้ ภายในเรือนจำนี้ ไม่มีการควบคุมใดๆ ทั้งสิ้น"
 
         "การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ ท่านไม่กลัวนักโทษแหกคุกหรือ"

136
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 18 ก.ย. 2551, 11:33:32 »

          "รู้สึกว่าคุณขวัญอ่อนมาก" ผู้บัญชาการกล่าวยิ้มๆ "ถ้าคุณกลายเป็นนักโทษและจะถูกประหารชีวิตแบบนั้นบ้าง คุณจะรู้สึกอย่างไร" "ผมก็คงช็อค
ตายก่อนถูกประหารจริงๆ" ข้าพเจ้าตอบ ผู้บัญชาการฯ หันไปมองดูเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ยืนข้างๆ แล้วก็ยิ้มอย่างมีนัย ทำให้ข้าพเจ้าหวาดระแวงอย่างไรชอบกล

          เราได้เดิน ผ่านนักโทษกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งล้อมวงเสพสุราและร้องเพลงกันอยู่อย่างสนุกสนาน "เขาทำอะไรกันครับ" ข้าพเจ้าถามท่านผู้บัญชาการฯ
"เขากำลังฉลองสมาชิกใหม่ วันนี้ตำรวจนำนักโทษ เข้ามาส่งเรือนจำหลายคน พวกนี้คงสามารถดึงนักโทษใหม่บางคนมาเป็นสมาชิกได้ จึงดีอกดีใจและฉลอง
กันเป็นการใหญ่ เหตุการณ์เช่นนี้เป็นของธรรมดาในเรือนจำของเรา นักโทษทุกกลุ่มต่างปรารถนาอยากได้นักโทษใหม่ มาเข้าร่วมคณะมาช่วยการงานของคณะ
มีการวิ่งเต้นหาสมาชิกใหม่กันทั่วไป"

          เดินต่อไปอีกไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้พบกับภาพตรงกันข้าม กับภาพที่เพิ่งเห็นมา คือ นักโทษกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวง ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่า
สมเพชเ วทนา ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า "เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

         "สมาชิกของเราคนหนึ่งเพิ่งถูกประหารชีวิต" นักโทษคนหนึ่งตอบทั้งน้ำตานองหน้า "เขาเป็นคนดีและขยันขันแข็งมาก เราทุกคนรักและเสียดายเขาที่
มาด่วนถูกประหารชีวิตเสีย เราได้สูญเสียแขนขวาของเราไปเสียแล้ว........." ว่าแล้วเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อไป

         "เขาถูกประหารชีวิตโดยวิธีใด" ข้าพเจ้าถาม

         "โดยวิธีถูกตัดคอ" ชายคนเดิมตอบ เขาค่อยๆ เลิกผ้าคลุมออกจากหน้าของศพ เผยให้เห็นหัวที่ขาดจากไหล่กลิ้งอยู่ต่างหากจากลำตัว มีเลือดนองอยู่
บนพื้นและจับเกรอะตามหน้าและตามลำตัว "ขณะที่เขากำลังนั่งคุยกับเราอยู่อย่างสนุกสนานนั่นเอง เพชฌฆาตคนหนึ่ง ก็ถือดาบอันคมกริบ วิ่งมาฟาดฟันลงไป
ที่คอของเขาสุดแรง ทำให้ศีรษะของเขากระเด็นตกไป เราต้องเก็บเอาศีรษะของเขามาเก็บไว้ที่เดิม แล้วก็เอาผ้าขาวม้าคลุมอย่างที่เห็นอยู่นี้"

137
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 18 ก.ย. 2551, 11:30:35 »

         "มี" ผู้บัญชาการตอบ "มีการปล้นกันทุกวัน มีการทะเลาะวิวาทกันทุกวัน มีการตีรันฟันแทงกันตายทุกวัน" "แล้วทางการเรือนจำจัดการอย่างไร
กับนักโทษใจร้ายที่ฆ่าเพื่อนนักโทษตายในเรือนจำ" ข้าพเจ้าถาม

        " ไม่ทำอะไร" ผู้บัญชาการฯ ตอบ คล้ายกับไม่เห็นว่าการฆ่ากันตายเป็นเรื่องร้ายแรง "ปล่อยให้เขาทำตามสบาย เพราะนักโทษทุกคนในเรือนจำ
นี้มีโทษถึงตายทุกคนอยู่แล้ว สักวันหนึ่งทุกคนจะต้องถูกประหารชีวิต ฉะนั้นแม้จะทำความผิดในระหว่างนี้หรือไม่ทำ ทุกคนก็จะต้องถูกประหารชีวิตอยู่แล้ว
ดีเสียอีกที่เขาจัดการประหารชีวิตกันเอง โดยไม่ให้เจ้าหน้าที่เพชฌฆาตเรือนจำต้องลำบาก"

          ข้าพเจ้ามองดูหน้าท่านผู้บัญชาการเรือนจำด้วยความงุนงง พลางคิดในใจว่า เรือนจำนี้ช่างโหดร้ายทารุณป่าเถื่อนเสียเหลือเกิน ผู้บัญชาการเรือนจำ
เองก็ช่างใจไม้ไส้ระกำ เห็นชีวิตของคนเป็นชีวิตของมดของปลวกไปได้ แต่มิได้พูดออกมาด้วยวาจา เพียงแต่เดินตามผู้บัญชาการฯ และคณะไปอย่างเงียบๆ

          "คุณอยากจะดูการประหารชีวิตนักโทษไหมล่ะ" ผู้บัญชาการถาม
 
          ข้าพเจ้าเกิดความกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันที เพราะใจหนึ่งเกิดอยากรู้อยากเห็น แต่ใจหนึ่งเกิดความสังเวชสลดใจ ไม่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ถูก
ตัดคอต่อหน้าต่อตา กลัวจะเกิดเป็นลม เพราะตกใจกลัว ต่อความโหดร้ายทารุณของการฆ่ามนุษย์ แต่คิดว่าวิธีการประหารชีวิต ไม่แสดงความโหดร้ายทารุณ
เกินไป ก็จะไปดูประดับความรู้เสียบ้าง เพื่อแน่แก่ใจ จึงถามผู้บัญชาการฯ ดู

          "ทางเรือนจำประหารนักโทษโดยวิธีไหน ?"

          "ทุกชนิด" ผู้บัญชาการฯตอบ "ใช้ปืนยิงบ้าง ใช้มีดแทงให้ตายบ้าง ใช้ค้อนทุบกะโหลกศีรษะบ้าง แขวนคอบ้าง บังคับให้ดื่มยาพิษบ้าง ปล่อยสัตว์
ร้ายให้กัดตายบ้าง กดคอให้จมนำตายบ้าง ให้ล้อเหล็กขนาดใหญ่บดตัดคอให้ตายบ้าง บางทีก็ให้เจ้าหน้าที่ทรมาน โดยตัดแข้งขาตีนมือเนื้อหนังออกทีละ
น้อยๆ จนตายไปเอง" ข้าพเจ้าเหงื่อแตกพลั่ก ด้วยความสะดุ้งตกใจกลัว ต่อวิธีการประหารชีวิตอันทารุณโหดร้าย ที่ผู้บัญชาการฯ บรรยายให้ฟัง
"ผมไม่ดูละครับ" ข้าพเจ้าบอกผู้บัญชาการฯ "เพียงแต่ได้ยินท่านเล่าวิธีการให้ฟังเท่านั้น ผมก็แทบทนฟังไม่ไหวแล้ว ถ้าไปเห็นจริงๆ ผมเป็นลมแน่"

138
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 18 ก.ย. 2551, 11:27:22 »

            หลังจากเหตุการณ์ประหลาดนั้นแล้ว ท่านผู้บัญชาการก็พาข้าพเจ้าตระเวนชมเรือนจำต่อไป ตลอดระยะทางที่เดินผ่าน ข้าพเจ้าเห็นนักโทษรวม
กันทำงานอยู่เป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 5 คนบ้าง 6 คนบ้าง ทุกคนกำลังทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง หน้าตาและเนื้อตัวขุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ งานที่นักโทษทำก็มี
ทุกประเภท เช่น
บางกลุ่มก็ปลูกผักในสวนของเรือนจำ
บางพวกก็เป็นช่างไม้ บางพวกก็เป็นช่างเหล็ก
บางพวกก็เป็นช่างทอง บางพวกที่มีความรู้ก็ทำงานเป็นเสมียน
บางพวกก็ค้าขายอยู่ในร้านค้าของเรือนจำ

           ข้าพเจ้ารู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นนักโทษทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง จึงได้ถามท่านผู้บัญชาการว่า "ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเหล่านั้น
ทางเรือนจำแบ่งให้นักโทษบ้างหรือไม่  หรือเอาไว้เป็นของหลวงหมด"

          ผู้บัญชาการตอบว่า "ผลประโยชน์ที่นักโทษทำได้ ตกเป็นสมบัติของนักโทษนั่นเอง ทางเรือนจำไม่เกี่ยวข้องเลย แต่เมื่อเขาถูกประหารชีวิตตาย
ไปแล้ว สมบัติของเขาทั้งหมดจะต้องตกเป็นของเรือนจำ แต่ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาสามารถจะหาทรัพย์และใช้ทรัพย์ของเขาได้ อย่างเต็มที่
เพราะฉะนั้นนักโทษของเราทุกคน จึงตั้งหน้าทำงานด้วยความขยันขันแข็งโดยไม่ต้องบังคับ บางคนทำงานทั้งกลางวันกลางคืนก็มี"

           ข้าพเจ้าถามขึ้นว่า "ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ เขามีการให้อาหารตามเวลา มีการให้เครื่องนุ่งห่ม ผมอยากทราบว่าที่เรือนจำนี้มีการให้อาหารและ
เสื้อผ้าหรือไม่"

       "ไม่มี" ผู้บัญชาการฯ ตอบ "เราไม่ให้เสื้อผ้าหรืออาหารแก่นักโทษ เพราะนักโทษแต่ละคนมีสิทธิหาเองได้ ทำงานได้ ทางเรือนจำเลยปล่อยให้ทุก
คนช่วยตัวเอง แต่ทุกคนก็มีพออยู่กิน มีบางรายเหมือนกันที่เกียจคร้าน หรือไร้ความสามารถ ไม่อยากทำงาน ไปเที่ยวขโมยหรือปล้นสะดม หรือฉ้อโกงเอา
ทรัพย์ของนักโทษคนอื่นมาเลี้ยงชีวิต""มีการปล้นกันภายในเรือนจำนี้ด้วยหรือครับ" ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ

139
บทความ บทกวี / ตอบ: นักโทษประหาร
« เมื่อ: 18 ก.ย. 2551, 11:21:19 »
       ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้พบเห็นในเรือนจำนั้นเป็นความจริง แต่ข้าพเจ้าก็ขอยืนยันกับท่านผู้อ่านว่า มันเป็นความจริง จริงๆ เพราะ
เหตุผลบางประการ ข้าพเจ้าจะยังไม่บอกท่านว่าเรือนจำนั้นอยู่ที่ไหน

       สิ่งแรกที่ประทับใจข้าพเจ้า ก็คือ ความกว้างใหญ่ไพศาลของเรือนจำนั้น มันกว้างใหญ่จริงๆ จนมองไม่เห็นกำแพงที่ล้อมอยู่โดยรอบ และจำนวน
นักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำนั้นก็มากมาย เหลือคณนา ประกอบด้วยคนทุกชาติทุกชั้นวรรณะ เจ้าหน้าที่เรือนจำและผู้คุมก็มีจำนวนมากมาย
พอๆกับจำนวนนักโทษข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่า มันน่าจะเป็นมหานครแห่งหนึ่ง มากกว่าจะเป็นเรือนจำ

       ท่านผู้บัญชาการเรือนจำ ซึ่งเป็นชายผิวคล้ำ ร่างใหญ่ อายุประมาณ 50 ปี ได้อธิบายให้ข้าพเจ้าฟังว่า "นักโทษทุกคนในเรือนจำนี้ ล้วนแต่ต้องคดี
อุกฉกรรจ์ที่ต้องประหารชีวิตทั้งสิ้น"


      ข้าพเจ้าถึงกับ สะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ทราบข่าวเท็จจริงอันนี้ พยายามระงับใจให้เป็นปกติ แล้วก็เรียนถามท่านผู้บัญชาการฯ ว่า "นักโทษเหล่านี้ส่วน
มากทำความผิดอะไรครับ จึงถูกส่งตัวมาคุมขังที่นี่"
       
     "ผมไม่ทราบและไม่สนใจว่าใครทำความผิดอะไรมาก่อน" ผู้บัญชาการตอบ แสดงความยิ่งใหญ่อยู่ในน้ำเสียง "มันเป็นหน้าที่ของตำรวจและศาล
เมื่อตำรวจจับผู้กระทำความผิดได้ ก็ส่งตัวให้ศาลดำเนินคดี เมื่อศาลพิพากษาเสร็จ ตำรวจก็คุมตัวนักโทษมาส่งผม ผมก็คุมขังไว้และจัดการประหารชีวิต
ตามชอบใจ

       ถ้าคุณอยากทราบว่าเขาทำผิดอะไร คุณลองไปถามนักโทษคนนั้นดูซิ" ผู้บัญชาการชี้มือไปที่นักโทษคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนั่งถอนหญ้าอยู่ใกล้ๆ

       "นี่คุณ คุณทำความผิดอะไร จึงต้องมาถูกขังอยู่ในเรือนจำนี้" ข้าพเจ้าถามด้วยเสียงสุภาพ นักโทษคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองดูข้าพเจ้า ดุจเห็นข้าพเจ้าเป็น
สัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ดวงตาของเขามีแววขุ่นแสดงว่า ไม่พอใจอย่างมาก

       "คุณเป็นใครมาจากไหน" เขาถามด้วยเสียงเครียด "ผมไม่ได้ทำความผิดอะไร ผมไม่ได้เป็นนักโทษ ผมไม่ได้อยู่ในเรือนจำ !" เขาตอบด้วยเสียงดังลั่น

        ข้าพเจ้าถึงกับยืน อ้าปากค้าง ด้วยความงงงันต่อพฤติกรรมประหลาดของนักโทษคนนั้น เมื่อไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จึงหันไปมองดูผู้บัญชาการฯ ด้วยหวัง
จะได้รับคำชี้แจงเพิ่มเติม อย่างน้อยท่านก็อาจจะบอกข้าพเจ้าว่านักโทษคนนั้นเป็นคนเสียจริตหรืออะไรทำนองนั้น แต่แล้วข้าพเจ้าเองก็เกือบจะกลายเป็นคน
เสียจริตไป เพราะท่านผู้บัญชาการฯ และเจ้าพนักงาน 4 - 5 คน ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ได้หัวเราะเยาะขึ้นพร้อมกัน และไม่พูดว่ากระไร ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกว่าขณะนั้น
รู้สึกอย่างไร ทั้งโกรธทั้งงงทั้งประหลาดใจระคนกัน

       "เอ นี่นักโทษคนนั้นบ้า หรือว่าท่านบ้า หรือว่าผมบ้ากันแน่" ข้าพเจ้าโพล่งออกมาด้วยความหัวเสีย จนขาดสติสัมปชัญญะ "บ้าด้วยกันทั้งนั้น" ผู้บัญชาการ
ตอบหน้าตาเฉย

140
นักโทษประหาร โดย ศ.แสง จันทร์งาม



          เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2508 เรา 3 คน คือ อ.บุพพัณห์ นิมมานเหมินท์ นายกยุวพุทธิกสมาคมเชียงใหม่ ร.อ.เสาร์ สุวิทยาลังการ
อนุศาสนาจารญ์ประจำค่ายกาวิละ และกรรมการยุวพุทธิกสมาคม และข้าพเจ้า ได้รับเชิญจากคุณเชาวน์ เจริญพงษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่
ให้ไปทำการอภิปรายปัญหาไขข้อข้องใจต่างๆ แก่นักโทษ ซึ่งมีจำนวน 900 คนเศษ

          ในเรือนจำนั้น วิธีการอภิปรายของเรา เป็นแบบให้นักโทษถามปัญหา แล้วเราช่วยกันตอบ ปรากฏว่านักโทษสนใจถามปัญหากันมาก ปัญหา
ที่ถามก็มีทุกชนิด แต่เมื่อประมวลดูแล้ว มีเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องผี เรื่องกรรม และเรื่องวิปัสสนาเป็นส่วนมาก เราอภิปรายได้เพียง 4 - 5
ปัญหา ก็ต้องยุติด้วยเวลา ท่ามกลางความเสียดายของบรรดาผู้ต้องขังทั้งหลาย

          ท่านผู้บัญชาการเรือนจำได้เล่าให้เราฟังว่า นักโทษที่อยู่ในเรือนจำนั้น ต้องโทษตั้งแต่ 10 ปี ลงมา ถ้ามีนักโทษเกิน 10 ปี ก็ส่งไปกรุงเทพฯ
ความผิดส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์ ทางการเรือนจำ ให้อาหารและเสื้อผ้า แก่นักโทษ และมีระเบียบบังคับให้กิน นอน ทำงาน เล่น ตามเวลา

        ภายในเรือนจำมีห้องสมุด มีการเปิดสอนวิชาชั้นประถมศึกษา ให้แก่นักโทษที่สนใจสมัครเรียน นับว่าทางเรือนจำได้เอาใจใส่ต่อสวัสดิการ และ
การบริการแก่ผู้ต้องขังเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ต้องขังมีความสะดวกสบายตามสมควรแก่อัตตภาพ

       แต่แม้จะมีความสบายกาย นักโทษทุกคนก็หาได้ลืมไม่ว่า ตนเป็นผู้ต้องขัง ไร้อิสรภาพ ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของทุกคน ข้าพเจ้าสังเกตเห็นผู้ต้อง
ขังทั้งนั้นมีหน้าตาหม่นหมอง ไร้ราศี ขาดแววแห่งความสุขสดชื่น

       แม้จะยิ้มด้วยความพอใจต่อวาทะของผู้อภิปรายบางท่าน ก็เป็นการยิ้มแหยๆ เฉพาะที่มุมปาก ไม่ใช่การยิ้มอย่างเบิกบานทั่วใบหน้า ทุกคนปรารถนา
อย่างแรงกล้าที่จะออกไปให้พ้น จากเนื้อที่ 2 ไร่เศษ แวดล้อมด้วยกำแพงสูงทั้ง 4 ด้านนั้น เฉพาะอย่างยิ่ง อยากออกไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น ของภรรยา
และบุตรซึ่งตั้งตาคอยอยู่ทางบ้าน
       
       เมื่อได้เห็นสภาพของนักโทษแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความสงสารอย่างจับใจ สงสารเพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความทุกข์ ข้าพเจ้าได้ปรารภกับ อ.บุพพัณห์ว่า
ถ้าเป็นไปได้ เราควรหาทางเข้ามาทำธรรมสงเคราะห์ แก่นักโทษเหล่านี้เป็นการประจำ เพราะเขาเหล่านี้เป็นคนป่วย ที่กำลังต้องการยาอย่างแท้จริง การเผย
แผ่ธรรมะในเรือนจำ เป็นการยิงลูกศรถูกเป้าหมาย เพราะการเผยแผ่มีจุดประสงค์สำคัญ คือ ทำคนชั่วให้เป็นคนดี

        เรือนจำอาจถือได้ว่าเป็นที่อยู่ของคนชั่ว ถ้าเราสามารถกลับจิตกลับใจเขาได้แม้เพียง 4 - 5 คน ก็จะเป็นมหากุศลและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ
ศาสนาอย่างมาก เราไปเทศน์ไปแสดงปาฐกถาที่อื่น ล้วนแต่คนดีๆ มาฟังทั้งนั้น คนเหล่านี้แม้จะไม่ได้ฟังเทศน์เลย เขาก็จะไม่ทำชั่ว เป็นการวางยาแก่คน
ไม่ป่วย อ.บุพพัณห์เห็นด้วย และจะติดต่อกับผู้บัญชาการเรือนจำ เพื่อดำเนินการต่อไป
         
         ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าก็เกิดความสนใจในคนประเภท ที่เรียกกันว่า นักโทษและเรือนจำ วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสจึงได้ไปเยี่ยมเรือนจำมหันต
โทษอีกแห่งหนึ่ง และได้พบเห็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์น่าสนใจเหลือล้ำ
ยิ่งกว่าที่พบเห็นมาแล้วในเรือนจำกลางเชียงใหม่



141

ติ   ติณโณ  โย  สัพพะปาเปหิ     ติณโณ  สัคคา  ปะติฏฐิโต
  ติเร  นิพพานะสังขาเต          ติกขะญาณัง  นะมามิหัง
ฉัปปัญญาสะ  พุทธะคาถา     พุทธะคุณา  สุคัมภีรา
        เอเตสะมานุภาเวนะ             โสตถิ  เม  โหตุ  สัพพะทา ฯ



จบห้องพระพุทธคุณ  ๕๖

142

วา   วาปิตัง  ปะวะรัง  ธัมมัง     วานะโมกขายะ  ภิกขุนัง
      วาสิตัง  ปะวะเร  ธัมเม      วานะหันตัง  นะมามิหัง

143

คะ   คะหิโต  เยนะ  สัทธัมโม     คะตัญญาเณนะ  ปาณินัง
      คะหะณิยัง  วะรัง  ธัมมัง      คัณหาเปนตัง  นะมามิหัง

144

ภะ    ภะยะมาปันนะ  สัตตานัง     ภะยัง  หาเปติ  นายะโก
       ภะเว  สัพเพ  อะติกกันโต    ภะคะวันตัง  นะมามิหัง

145

โธ   โธวิตัพพัง  มะหาวีโร     โธวันโต  มะละมัตตะโน
      โธวิโจ  ปาณินัง  ปาปัง   โธตะเกลสัง  นะมามิหั

146

พุท   พุชฌิตาริยะ  สัจจานิ         พุชฌาเปติ  สะเทวะกัง
           พุทธะญาเณหิ  สัมปันนัง    พุทธัง  สัมมา  นะมามิหัง

147
ธรรมะ / ปล่อยวางได้จริงหรือ
« เมื่อ: 17 ก.ย. 2551, 07:57:18 »


หลวงปู่ตื้อ อลจธรรมโม   วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม


หลวงปู่ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย , จิตใจของท่านเป็นคนจริง

คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ

ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว

อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อท่านเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมมาสน์ที่

ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า


?หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ?


?อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม?


?อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่?


หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า


?อีตอแหล!?


สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้

หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน


เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน


นี่ละ...คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ


http://www.aurseeyou.net/forum/index...e;topic=8793.0

148

ถาม? ถ้าจำเป็นต้องโกหกบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ กฎแห่งกรรมถือว่าหยวนๆให้บ้างไหม?

ผมไม่ได้มีหน้าที่พิทักษ์กฎแห่งกรรมนะครับ คงไม่อาจเป็นตัวแทนธรรมชาติหยวนหรือไม่หยวนให้คุณ ๆ ได้สักแค่ไหน เอาเป็นว่าตัดสินใจ

อย่างไรก็ขอให้รู้อยู่ว่าตัวเองมีความละอายติดจิตติดวิญญาณแค่ไหนก็แล้วกัน ขอให้พิจารณาตามจริงว่าแม้เราจะไม่โกหกเป็นประจำ แต่ลง

ถ้าได้เริ่มต้นออกจากจุดสตาร์ทแล้ว ก็มักจะเหมือนเราก้มหัวให้ใครเขาใช้ ถูกใช้ได้ครั้งหนึ่งก็จะอ่อนแอลงนิดหนึ่ง พอเขาใช้อีกเราก็อาจจะ

ยอมก้มหัวอีก ในที่สุดหัวเราก็อ่อนลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นขี้ข้าตัวมุสาไปเต็มยศ นี่แหละ ผมสรุปว่าที่มาของการโกหกใหญ่ก็คือการโกหก

เล็ก ๆ นั่นเอง โดยเฉพาะถ้าโกหกเล็ก ๆ โดยปราศจากความละอาย



แรงขับดันให้โกหกมักมาจากคำว่า ?จำเป็น? หรือ ?หลีกเลี่ยงไม่ได้? มันอยู่ที่เราตัดสินใจเลือก ถ้าใช้ความฉลาดกันจริงๆก็อาจไม่จำเป็นต้อง

?โกหกเต็ม ๆ? หรอก หลาย ๆ เรื่องเราเอาความจริงส่วนที่ไม่เสียหายมาพูดได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องพูดทั้งหมดในทุกเรื่องอยู่แล้ว



ขอให้สังเกตจากชีวิตประจำวันว่าคำพูดนั้นดิ้นไปได้เรื่อย ๆ ครับ ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่ใจเล็งอีกอย่างหนึ่ง จิตคิดพูดของคนในโลกมักเบี่ยง

เบน ไม่เป็นไปเพื่อการเห็นตามจริง แต่เป็นไปเพื่อตัวตน เป็นไปเพื่อให้คนอื่นเห็นเราตามที่เราอยากให้เขาเห็น


ลองฝึกฝนดู ใจเล็งอย่างไรปากพูดตามนั้น ก่อนพูดก็ทำตัวเป็นนายคำพูด สั่งให้เกิดแต่คำพูดที่เป็นประโยชน์ หรือก่อให้เกิดผลกระทบด้าน

ลบน้อยที่สุด เมื่อคิดก่อนพูดบ่อยเข้า ชีวิตจะลงตัวไปเอง ความจำเป็นต้องโกหกจะค่อยๆหายไปจากชีวิตเราจนกระทั่งไม่เหลือเลยจนได้

แหละน่า ธรรมชาติเขาไม่ใจไม้ไส้ระกำกับคนตั้งใจดีมีใจจริงหรอกครับ



http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare008.htm


149
ความจริงยิ่งกว่าสิ่งใดก็คือ  สัจจะความจริงนั่นแหละอำนาจสูงสุด  เมื่อคุณพูดถึงความจริงบ่อย ๆ พูดอย่างมีสติทั้งรู้ว่าบางครั้งอาจก่อผลด้านลบ

ให้กับตนเอง แต่ละครั้งคุณจะรู้สึกถึงพลัง ความมั่นคงทางใจ และความสามารถรู้เห็นอะไรๆได้ตามจริงราวกับคนเคยตาสั้นได้แว่นที่จักษุแพทย์มอบให้

มาพูดถึงความจำเป็นต้องโกหกในชีวิตประจำวันกันบ้าง การโกหกมดเท็จนั้นมีหลายแบบ แบบที่เดือดร้อนคนอื่นมากก็มี ไม่เดือดร้อนใครเลยก็มี

โกหกโดยเจตนาให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายก็มี โกหกเพราะมาดหมายเอาประโยชน์เข้าตนก็มี โกหกทุกวันจนติดเป็นนิสัยก็มี นานๆโกหกทีก็มี

โกหกแบบหยอกล้อเล่นหัวเพื่อได้หัวเราะกันก็มี โกหกแบบตลกเลือดจะให้ตระหนกตกใจปางตายก็มี ตัวแปรต่าง ๆ จะทำให้เกิดน้ำหนักผิดแผก

แตกต่างไป ที่เห็นผลใกล้ที่สุดก็คือ ความบิดเบี้ยวทางความรู้สึกอันเป็นของรู้เฉพาะตน (ผู้มีความสามารถหยั่งรู้วาระจิตก็ทราบได้ แต่คนทั่วไปเขา

จะไม่รู้สึกถึงความบิดเบี้ยวอันนี้ในเราเลย)

ความบิดเบี้ยวทางจิตเป็นอย่างไร? ขอให้ลองดูตอนคุณโกหกคำโต เมื่อไหร่โกหกเสร็จลองพยายามรู้ตามจริงว่าหายใจเข้าหรือออกให้ได้สักสิบครั้ง

 นับดูสิครับว่าจิตมีความสามารถตามรู้ไปได้จริงๆกี่ครั้ง เสร็จแล้วเอาใหม่ ถ้ามีโอกาสให้โกหกเพื่อประโยชน์ของเรา แต่เราไม่เอา จะเอาแต่ความจริง

 พูดแต่คำที่เป็นสัตย์ พูดออกมาจากใจที่ซื่อทางโลกแต่เจ้าปัญญาทางธรรม พอพูดเสร็จสังเกตดูว่ารู้สึกดีอย่างไร เกิดความมั่นคงทางใจแค่ไหน
 
ขอให้ทราบว่านั่นแหละ อำนาจแห่งสัจจะที่เราได้รับในทันที ลองพิสูจน์ให้เห็นอำนาจนั้นชัดขึ้นด้วยการตามรู้ลมหายใจเข้าออกสิบครั้ง แล้วจะรู้ว่า

เราทำได้ไม่ยากเลย
 
ความสามารถรู้ตามจริงนั้น โดยทั่วไปคนเราถือเป็นเรื่องผิวเผิน แต่ที่แท้มีความสำคัญยิ่งยวดกับชีวิต เพราะเมื่อสามารถรู้ได้ตามจริง ก็ย่อมเห็นว่า

อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ คนเราเมื่อรู้จักประโยชน์ย่อมเก็บเกี่ยวแต่ประโยชน์มาสั่งสมไว้ให้พอกพูน แต่เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นโทษก็อาจ

พลาดตักตวงมันเข้ามาด้วยความละโมบโลภมาก เหมือนกองขยะแห่งบาปกรรมส่งกลิ่นเน่าเหม็นเพียงใดก็ไม่รู้สึก เพราะจมูกแห่งมโนธรรมมัน

ตายด้านไปเสียแล้ว

นี่แหละ  สังเกตจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับเราเอง เอาเราเองเป็นที่ตั้งของเครื่องวัด ก็จะพบว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ขู่เล่น ท่านตรัสชี้ว่าอะไร

เป็นอะไรตามจริงต่างหาก



http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare008.htm





150
ถาม? ได้ยินว่าแค่โกหกก็ต้องตกนรกแล้ว โทษหนักเกินไปหรือเปล่า? ในเมื่อชีวิตประจำวันของคนเรานั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงการพูดเท็จอย่างนี้

การโป้ปดมดเท็จนั้น เมื่อใครเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังให้มีกำเนิดในนรก ในดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุด

ย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ พอลองดูอย่างละเอียดรอบคอบก็จะพบว่ามีเงื่อนไข

ของการไปนรกเพราะมุสาวาทอยู่ นั่นคือเสพจนติด เพาะเลี้ยงตัวโกหกจนมันเติบโตขึ้นเป็นนิสัยถาวร ปั้นน้ำเป็นตัวบ่อยเสียจนชินชาหน้าไม่อาย

เมื่อเล็งเข้าไปที่จิตใจของผู้สร้างสมนิสัยโป้ปดมดเท็จจนเคยตัว จะเห็นว่ามีความดำมืด มีความบิดเบี้ยวเลอะเลือน และที่ธรรมชาติเขาพิพากษาไว้

ก็คือหากจิตชุ่มด้วยบาป สกปรกมะล่อกมะแล่กดูไม่ได้ ก็จะต้องมีที่ไปเหมาะกับความสกปรกโสมมของตนเอง

 
อีกประการหนึ่ง ตัวมุสาตัวเดียวมันเหมือนเชื้อโรคร้าย สามารถแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเป็นโรคอื่นได้ไม่รู้จบ จะเปรียบเทียบเหมือนกับเอดส์ที่

เข้าไปทำลายภูมิต้านทานโรคต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ก็ได้ เมื่อใดที่ความละอายถูกทำลายลง เมื่อนั้นคนเราย่อมหมดความยับยั้งชั่งใจที่จะกระทำ

บาป พร้อมจะก่อเวรก่อกรรมได้ทุกชนิด สมดังที่พระพุทธเจ้ามีพระดำรัสคือ เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่แก่ใจ

ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งนั้น ย่อมไม่มี โกหกหนึ่งครั้งคือ สร้างความบิดเบี้ยวให้กับจิตหนึ่งหน สังเกตดูก็ได้ครับ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ครั้งต่อไปลองพูดปด  แบบรู้ทั้งรู้ว่าเรื่องมันไม่จริง พูดเสร็จให้ดูเข้ามาในใจตัวเอง จะเห็นความฟุ้งซ่านจับไม่ติด หรือแม้หากว่าพื้นฐานเป็น

สติเป็นเยี่ยม อย่างน้อยที่สุดคุณจะเห็นความเย็นชาของจิต มีความรู้สึกอยากเย้ยโลก และเห็นว่าการสร้างข้อมูลเท็จได้แนบเนียนคืออำนาจที่แท้จริง

151
ทหารหรือตำรวจ

ถ้าสอบบรรจุเข้าไปรับราชการเลย สักได้ครับ

แต่ถ้าสอบเข้าเป็นนักเรียนทหาร เช่น นักเรียนนายสิบ  นายร้อย  นายเรือ  พลฯตำรวจ สักไม่ได้คับ






ยืนยันครับ ถ้าสอบบรรจุเข้ามีรอยสักได้

แต่ถ้าสอบเข้าเป็นนักเรียนทหาร เช่น นักเรียนนายสิบ  นายร้อย  นายเรือ  พลฯตำรวจ สักไม่ได้ครับ   แต่ถ้าจบจากโรงเรียนทหาร เข้ารับราชการแล้ว สักได้ครับ แต่เพื่อความเหมาะสม มักจะไม่สักให้เลยนอกเครื่องแบบออกมา เช่น ต่ำกว่าปลายแขนเสื้อ หรื่อแขนท่อนล่าง ครับ



152

ขอบคุณครับที่นำข้อมูลดีๆมาฝากกันอีกแล้ว กำลังอยากรู้เรื่องของหลวงพ่อออด พอดีเลย ขอบคุณครับ

153
อนุโมทนาครับ

154

นัง   นันทันโต  วะระสัทธัมเม     นันทาเปติ  มะหามุนิ
        นันทะภูเตหิ  เทเวหิ          นันทะปิยัง  นะมามิหัง

155

สา   สาวะกานัง  นุสาเสติ        สาระธัมเม  จะ  ปาณินัง
     สาระธัมมัง  มะนุสสานัง     สาสิตันตัง  นะมามิหัง

156

นุส   นุนะธัมมัง  ปะกาเสนโต     นุทะนัตถายะ  ปาปะกัง
    นุนะ   ทุกขาธิปันนานัง      นุทาปิตัง  นะมามิหัง

157

มะ   มะหะตา  วิริเยนาปิ           มะหะติง  ปาระมิง  อะกา
   มะนุสสะเทวะพรัหมเมหิ     มะหิตันตัง  นะมามิหัง

158

วะ   วันตะราคัง  วันตะโทสัง     วันตะโมหัง  อะนาสะวัง
      วันทิตัง  เทวะพรัหมเมหิ     วะรัง  พุทธัง  นะมามิหัง

159

เท   เทนโต  โย  สัคคะนิพพานัง     เทวะมะนุสสะปาณินัง
        เทนตัง  ธัมมะวะรัง  ทานัง       เทวะเสฏฐัง  นะมามิหัง

160

ถา   ถานัง  นิพพานะสังขาตัง     ถาเมนาธิคะโต  มุนิ
              ถาเน  สัคคะสิเว  สัตเต       ถาเปนตัง  ตัง  นะมามิหัง

161


สัต  สัทธัมมัง  เทสะยิตวานะ     สันตะนิพพานะปาปะกัง
      สะสาวะกัง  สะมาหิตัง       สันตะจิตตัง  นะมามิหัง

162

ถิ   ถิโต  โย  วะระนิพพาเน     ถิเร  ฐาเน  สะสาวะโก
     ถิรัง  ฐานัง  ปะกาเสติ       ถิตัง  ธัมเม  นะมามิหัง

163


ระ   รัมมะตาริยะ  สัทธัมเม      รัมมาเปติ  สะสาวะกัง
           รัมเม  ฐาเน  วะสาเปนตัง  ระณะหันตัง  นะมามิหัง
   

164


สา   สารัง  เทตีธะ  สัตตานัง     สาเรติ  อะมะตัง  ปะทัง
     สาระถี  วิยะ  สาเรติ          สาระธัมมัง  นะมามิหัง

165


มะ   มะหุสสาเหนะ  สัมพุทโธ     มะหันตัง  ญาณะมาคะมิ
      มะหิตัง  นะระเทเวหิ           มะโนสุทธัง  นะมามิหัง

166


ถาม ? บางทีพอได้ยินว่าแค่ยินดี หรืออนุโมทนากับบุญของคนอื่น ก็เป็นผู้ได้ส่วนของบุญแล้ว อย่างนี้อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมมันง่ายนัก

ต้องเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้วจะเข้าใจครับ คือมีอยู่มาก ที่เห็นคนอื่นทำบุญแล้วเกิดความหมั่นไส้ หรือเกิดความขบขัน เห็นเป็นเรื่องงมงาย เสียแรง เสียเวลา เสียทรัพย์เปล่า อย่างนี้นอกจากไม่มีจิตอนุโมทนา ยังมีความคิด คำพูด หรือการกระทำในเชิงเบียดเบียนตามมา เช่น
อย่างเบาสุดคือคิดค่อนขอดไปต่างๆนานา
อย่างกลางคือพูดกระทบกระเทียบเหน็บแนมบั่นทอนกำลังใจคนทำบุญ
อย่างหนักสุดคือเข้ากระทำการกีดขวาง หรือหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ผู้อื่นทำบุญสำเร็จ คงมองง่ายขึ้นแล้วนะครับ

คนเราอยู่ดีไม่ว่าดีก็ทำบาปได้สารพัด แต่จะต้องอาศัยความเข้าใจ หรืออาศัยทุนเดิมเป็นกุศลจิตที่หนักแน่นพอ จึงสามารถยินดีตามในกระแสบุญของคนอื่นได้ไหว พูดง่ายๆถ้าทุนเก่าไม่พอก็ต่อบุญใหม่ไม่ได้ ชาตินี้คุณต้องเป็นผู้ทำบุญมาพอสมควร จนเข้าใจได้ว่าบุญน่ายินดีอย่างไร จึงจะสามารถคล้อยตามกระแสความสว่างอบอุ่นของกุศลจิตผู้อื่นไหว
 
หากไม่เชื่อเรื่องอานิสงส์อันลี้ลับของการอนุโมทนาบุญ ก็ขอให้เชื่อสิ่งที่เห็นประจักษ์ชัดง่ายสุด นั่นคือทันทีที่อนุโมทนา คุณจะเกิดความเบาโล่งสบายหัวอก เหมือนจิตสว่างขึ้น อบอุ่นขึ้น และโน้มน้อมไปสู่การคิดอ่านทำบุญทำกุศลด้วยกาย วาจา ใจด้วยตนเองบ้าง

แต่ถ้าอนุโมทนาแบบแห้ง ๆ อนุโมทนาไปสงสัยไป อย่างนี้คุณจะไม่เห็นผลทันใจ แล้วก็อาจจะถึงขั้นทำกุศลไม่ครบองค์ คือใจขาดโสมนัส ขาดความหนักแน่น ขาดความสว่างเป็นกุศลจิตเต็มดวงครับ


http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare044.htm

168
เป็นเขี้ยวบนครับ รอยปาดที่เห็นคือรอยที่ขบกันระหว่างเขี้ยวบนกับเขี้ยวล่างครับ

เป็นเขี้ยวแท้ครับ แต่ไม่แน่ใจเป็นของสัตว์ชนิดใดครับ

169
๑.ผู้ชายใช้ความเป็นผู้ชายไปทำบาปกับผู้หญิงไว้มากพอควร ชาติต่อไปก็อย่าได้เกิดเป็นผู้ชายอีกเลย
   จะได้ไม่ใช้อวัยวะเพศ ไปทำให้ผู้หญิงเขาเดือดร้อนอีก (บาดเจ็บ ติดโรค ตั้งท้อง)

๒.เพื่อให้รู้ถึงความยากลำบากของเพศหญิงตามธรรมชาติ

๓.ชอบผู้หญิงมาก เป็นชีวิตจิตใจ ติดหญิง หลงหญิงยอมตกนรกก็มี ยอมติดคุกก็ม ี ยอมเสียเงินทอง ยอมผิดศีล
   เพื่อให้ได้ผู้หญิงหลายๆ คน ยิ่งเก่งยิ่งดี ยิ่งสนุกยิ่งมัน อย่ากระนั้นเลย
   กรรมบาปดึงวิญญาณผู้ชาย ๑๐๐% มาอยู่ในร่างผู้หญิง ชอบนักจึงให้อยู่ในร่างเดียวกันไปเลย ปัจจุบันเรียกว่าทอม
   
   แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่หลงผู้ชายแย่งสามีคนอื่น อย่ากระนั้นเลย
   กรรมบาปดึงวิญญาณผู้หญิง ๑๐๐%มาอยู่ในร่างผู้ชาย ชอบนัก จึงให้อยู่ในร่างเดียวกันไปเลย ปัจจุบันเรียกว่ากะเทย

๔.เศษกรรมจะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ ในเรื่องเพศที่ตัวไม่ต้องการคือใจอยากเป็นชาย ตามชาติที่ผ่านมา แต่กายเป็นหญิง

๕.ทำให้ผิดหวังในรักเพราะผู้หญิงโดยปกติ ต้องชอบผู้ชายแท้เพื่อมีลูกหลานไว้เชยชม

๖.เกิดเป็นหญิง แต่ถูกล่อลวงทางเพศ เป็นโสเภณีถูกข่มขืนใช้กรรมเก่า

๗.เกิดเป็นสูตินรีแพทย์ เกิดเป็นพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาลทำหน้าที่ดูแล รักษาทำความสะอาดช่องคลอดผู้หญิง ฯลฯ

ที่มา 
คมชัดลึก

170

กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เป็นศีลข้อที่ ๓ หมายถึง ให้เว้นจาก
การละเมิดความรักคือในสามีและภรรยาของบุคคลอื่น ยินดีเฉพาะสามีและ ภรรยาของตนเอง
อย่างไรก็ตามครั้งหนึ่ง หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระป่าพระกรรมฐานชื่อดังในอดีต
ได้เทศน์ให้แพทย์หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นสูตินรีแพทย์มีใจความตอนหนึ่งน่าสนใจว่า

"มาเล่นตลกให้หลวงปู่ดู เมื่อชาติก่อนเขาเป็นผู้ชายรูปหล่อ มีเมียมากนับไม่ถ้วน
ชาตินี้มาเกิดเป็น ผู้หญิง (ทอม)แต่แอบปกปิดไว้ เธอไม่แต่งงาน ตัดผมสั้น ไม่แต่งหน้า
ต้องมาดูแลรักษาช่องคลอดผู้หญิงเป็นการชดใช้กรรมเก่า ซึ่งเป็นแค่เศษกรรม
ที่ทำบาปกับช่องคลอดผู้หญิงไว้มากพอสมควร"

การล่วงเกินทางเพศหญิงอีกหลายลักษณะซึ่งโทษก็หนักเบาต่างกัน
ขณะเดียวกัน บางชาติอาจกระทำความดีกรรมก็ลดหย่อน ผ่อนลงให้เบาขึ้น
ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานของการผิดศีลข้อสามพอสรุปได้ดังนี้




171

ทัม   ทันโต   โย   สะกะจิตตานิ     ทะมิตวา  สะเทวะกัง
          ทะทันโต  อะมะตัง  เขมัง      ทันตินทริยัง  นะมามิหัง

172


สะ   สัมปันโน  วะระสีเลนะ      สะมาธิปะวะโร  ชิโน
          สะยัมภูญาณะ  สัมปันโน   สัณหะวาจัง  นะมามิหัง

173


ริ   ริปุราคา  ทิภูตัง  วะ          ริทธิยา  ปะฏิหัญญะติ
    ริตตัง  กัมมัง  นะ  กาเรตา  ริยะวังสัง  นะมามิหัง

174

ปุ    ปุณันตัง  อัตตะโน  ปาปัง     ปุเรนตัง  ทะสะปาระมี
       ปุญญะวันตัสสะ  ราชัสสะ     ปุตตะภูตัง  นะมามิหัง

175
ไสยเวทย์  มันเรื่องของความเชื่อครับ   ถ้าไม่ผิดข้อห้ามครูบาอาจารย์แล้วไม่เสื่อมครับ ใจมั่นของอยู่ ใจไปของไป

176

ช่วยบอกเล่าประวัคิท่านให้อ่านบ้างซิครับ ขอบคุณครับ

177
ทำไมต้องเจาะเป็นรูครับ  :062:


เป็นจินตนาการของช่างที่แกะลายครับ  อาจต้องการฝากฝีมือไว้ด้วยก็ได้  ลองเปรียบเทียบทั้งสองลูกดูครับ ลูกหนึ่งแกะแบบฉลุลาย อีกลูกหนึ่งแกะลาย    ส่วนสรรพคุณยังอยู่เหมือนเดิมครับ 

อ่อ ครับพอเข้าใจแล้วครับ เหมือนกับทำเอกลักษณ์ ใช่ไหมครับ  :016:

ครับทั้งสองลูกเช่ามาจากกุฏิ อาจารย์ติ่ง หลายปีมาแล้ว สอบถามแล้วเป็นฝีมือช่างแถววัดศรีษะทอง  แกะเสร็จแล้วให้หลวงพี่ในวัดบางพระลงอักขระ แต่ที่พิเศษคือหลวงพ่อเปิ่นเสกครับ

178

ข้อมูลดีครับ แต่ขาดภาพประกอบ ผมช่วยเสริมก็แล้วกัน

ภาพแรก เขี้ยวเสือโคร่ง



ภาพนี้ เขี้ยวหมี






ภาพประกอบจาก เน๊ท ขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของด้วยครับ

179


โร   โรเสนโต  เนวะ  โกเปติ     โรเสเหวะ  นะ  กุชฌะติ
      โรคานัง  ราคะ  อาทีนัง     โรคะหันตัง  นะมามิหัง

180

ตะ   ตะโนติ  กุสะลัง  กัมมัง      ตะโนติ  ธัมมะ  เทสะนัง
      ตัณหายะ  วิจะรันตานัง      ตัณหาฆากัง  นะมามิหัง

181

นุต   นุเทติ  ราคะ  จิตตานิ       นุทาเปติ  ปะรัง  ชะนัง
        นุนะ  อัตถัง  มะนุสสานัง   นุสาสันตัง  นะมามิหัง
 

182

อะ   อันตัง  ชาติชะราทีนัง      อะกาสิ  ทิปะทุตตะโม
           อะเนกุสสาหะ  จิตเตนะ    อัสสาเสนตัง  นะมามิหัง
 

183

ขยายให้ดูรอยจาร และความแห้งของงาครับ


184

ด้านหลังครับ สาริกาคู่นี้แม่ผมรับกับมือหลวงพ่อสุด  ที่วัดกาหลงเลย


185


ไม่เห็นใครโพสต์  สาริกา ให้ดูกันบ้างเลย   งั้นผมโพสต์สาริกาของเกจิรุ่นเก่า ก็แล้วกันนะครับ



สาริกางาแกะคู่นี้เป็นของ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ครับ


186


อยากเห็นรูปหลวงพ่อนาค ครับ ได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้ว ขอบคุณครับ

187


ทู   ทูเส  สัตเต  ปะหาเสนโต     ทูรัฏฐาเน  ปะกาสะติ
      ทูรัง  นิพพานะ  มาคัมมะ      ทูสะหันตัง  นะมามิหัง

188

วิ   วินะยัง  โย  ปะกาเสติ     วิทธังเสตวา  ตะโย  ภะเว
      วิเสสัญญาณะ  สัมปันโน  วิปปะสันนัง  นะมามิหัง 
   
 

189

กะ   กันโต  โย  สัพพะสัตตานัง     กัตวา  ทุกขักขะยัง  ชิโน
     กะเถนโต  มะธุรัง  ธัมมัง        กะถาสัณหัง  นะมามิหัง

190


โล    โลเภ  ชะหะติ  สัมพุทโธ     โลกะเสฏโฐ  คุณากะโร
        โลเภ  สัตเต  ชะหาปะติ      โลภะสันตัง  นะมามิหัง

191
ทำไมต้องเจาะเป็นรูครับ  :062:


เป็นจินตนาการของช่างที่แกะลายครับ  อาจต้องการฝากฝีมือไว้ด้วยก็ได้  ลองเปรียบเทียบทั้งสองลูกดูครับ ลูกหนึ่งแกะแบบฉลุลาย อีกลูกหนึ่งแกะลาย    ส่วนสรรพคุณยังอยู่เหมือนเดิมครับ 

192

ด้านล่างครับ แบบเดียวกับลูกที่ฉลุลาย







193

การวางราหู ช่างแกะได้สัดส่วนดีมาก


194

ดูฝีมือช่างกันแบบชัด ๆครับ


195
อีกลูกหนึ่งครับ ลูกนี้เคยโชว์ไปแล้ว นำมารวมเป็นกระทู้เดียวกันครับ



ลูกนี้เส้นผ่าศุนย์กลาง ประมาณ ๖ นิ้ว

196

ภาพด้านล่างของกะลา แกะฉลุลายเป็นบัวรอบ ด้านในเป็นยันต์ดวงแบบเดียวกับด้านหลังปิดตายันต์ดวงเศรษฐีของหลวงพ่อเปิ่น


197

ภาพอีกด้านหนึ่งครับ


198

ภาพไม่ไป อีกครั้งหนึ่งครับ


199
อำนาจอานุภาพสรรพคุณของกะลาตาเดียวที่นำมาแกะป็นราหูและผ่านพิธีกรรมที่สมบูรณ์มาแล้วที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ

1.เป็นอำนาจทางคงกระพันชาตรี เป็นมหาอุดอย่างยอดเยี่ยมที่สุด

2.มีอำนาจในทางป้องกันภูตผีปีศาล ทำลายอำนาจมนต์ดำ ลบล้างอำนาจคุณไสย กันผีกันคุณไสย เสนียดจัญไรต่างๆ ลมพัดลมเพได้ดีที่สุด

3.เป็นสื่อนำทรัพย์สินเงินทอง ข้าวปลาอาหารสิ่งดีๆต่างๆมาสู่ผู้บูชา คำว่าอดอยากเป็นไม่มี คือสามารถหาเงินทองมาได้ตลอดไม่ขัดสนแต่เหลือหรือไม่เหลือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

4.มีความเจริญในการทำมาหากิน เรือกสวนไร่นา รับราชการ มียศถาบรรดาศักดิ์ ค้าขายร่ำรวยทุกอาชีพหากินไม่ขัดข้องตามอาชีพ

5.เป็นเมตตามหานิยมสำหรับผู้พบเห็นเข้าหาเจ้านายหรือเพศตรงข้าม

6.ใช้รักษาโรค


[img]http://img369.imageshack.us/img369/4710/35745318bm5.jpg[/img


ลูกนี้เส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๕ นิ้ว แกะแบบฉลุลาย เป็นราหูแปดตนวางสลับกัน








200


          กะลาตาเดียวที่ผ่านพิธีกรรมที่สมบูรณ์จริงๆ มาแล้วในตำราทักษามหาพยากรณ์นั้นได้กล่าวไว้ว่า เมื่อบุคคลใดก็ตามถูกพระราหูเสวยอายุหรือพระราหูแทรก ในช่วงเวลานั้นจะเกิดความรุ่มร้อนมีเคราะห์ต่างๆ เพราะพระราหูนั้นเป็นเทพอสูรเป็นความบาปเคราะห์  แม้ยามที่พระราหูจะจรพ้นการเสวยอายุหรือแทรกอายุไป ก็ยังแผลงฤทธิ์ตอนเข้าหรือตอนออกด้วย ในทักษาจึงกำหนดไว้ว่า เมื่อพระราหูเสวยอายุหรือแทรก  จะต้องทำพิธีต้อนรับพระราหูและตอนที่พระราหูจรออกต้องทำพิธีส่งพระราหู   หาไม่แล้วจะเดือดร้อนจนไม่อาจประคองตัวได้ถึงกับล้มละลายหรือประสบกับพิบัติต่างๆ กับตัวเองหรือบุคคลรอบข้างได้ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่บุพราจารย์โบราณใช้บรรเทาฤทธิ์ของราหูได้เป็นอย่างดี คือ กะลาตาเดียวนั่นเอง




201

        กะลาที่เป็นวัตถุมงคลธรรมชาติที่มีดีมีเทพรักษาอยู่ในตัวก็คือ กะลาตาเดียว จะมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ที่ผิดแผกไปจากธรรมชาติของกะลาทั่วไปก็คือ จะมีปากที่เป็นรูงอกหน่อหนึ่งรูและก็จะมีตาส่วนที่บุ๋มลงไปเพียงหนึ่งตาเท่านั้น  โดยจะมีเส้นสาแหรกแบ่งกะลาออกเป็นสองส่วน  กะลาชนิดนี้เป็นวัตถุมงคลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้ยังไม่นำมาทำพิธีกรรมก็สามารถใช้ได้แล้วแต่ไม่ดีมากนัก แต่ถ้าหากนำมาแกะเป็นรูปพระราหูแล้ว เข้าพิธีปลุกเสกผ่านพิธีกรรมที่ถูกต้องแล้วจะเป็นของขลังที่ส่งพลานุภาพให้กับผู้บูชาได้สมปรารถนาทุกปราการ แต่การที่จะหากะลาตาเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร เพราะว่ากะลามะพร้าวทั่วไปเป็นร้อยเป็นพันลูกจึงจะเจอสักลูกสองลูกถ้าผู้ใดเจอก็นับว่าโชคดีของผู้นั้นไป ผู้รู้จะใช้กะลาตาเดียวตัดครึ่งใบ นำส่วนที่มีตาเดียวไว้ใช้ตักข้าวสารหุงกิน เพื่อความอุดมสมบูรณ์ในการทำมาหากินให้กับครอบครัว  ไม่มีคำว่าอดอยากสมบูรณ์ทุกอย่างในการทำมาหากินประกอบอาชีพทุกๆอาชีพ



ภาพประกอบเรื่อง

202


ร่วมแจมด้วยครับ  นางกวักงาแกะหลังพระปิดตา หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ 





203
ชอบครับ  เห็นแล้วคิดถึงหลวงพี่แป๊วไม่ได้ไปหาท่านนานแล้ว

ขอบคุณ เว๊ป.ที่นำมาให้ชมครับ

204


โต   โตเสนโต  วะระธัมเมนะ     โตสัฎฐาเน  สิเว  วะเร     
    โตสัง  อะกาสิ  ชันตูนัง      โตละจิตตัง  นะมามิหัง

205


คะ   คัจฉันโต  โลกิยา  ธัมมา     คัจฉันโต  อะมะตัง  ปะทัง
     คะโต  โส  สัตตะโมเจตุง    คะตัญญาณัง  นะมามิหัง

206


สุ    สุนทะโร  วะระรูเปนะ     สุสสะโร  ธัมมะภาสะเน
     สุทุททะสัง  ทิสาเปติ    สุคะตันตัง  นะมามิหัง

207

ร้านขายยาครับ  เลือกร้านใหญ่ ๆ หน่อยร้านประเภทนี้จะขายส่งยาด้วย    จะมีตลับเปล่า ๆ ขาย ร้อยละประมาณ 40 - 50 บาท

208


  พระท่ามะปรางค์พิมพ์นี้ถ้าจำไม่ผิดเป็นของกำแพงเพชร   อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมลองหาใน กูเกิล  ครับ

209
คำว่า อ.หาร มาจากคำที่ลูกศิษย์ครูบากุ้ง( ลูกศิษย์หลวงพี่แป็ว ) ที่จำพรรษาอยู่ที่ จ.อุดร เรียกกัน ซึ่งคำว่าหาร นี้ก็คือย่อมาจาก  ทหาร  นี่แหละ

คำว่า อ.โบ้ เป็นคำที่ในกลุ่มทหารในหน่วยเดียวกันใช่เรียก ซึ่งคำว่า โบ้ นี้ย่อมาจากคำว่า  แรมโบ้  เพราะเมื่อครั้งที่เรียนหลักสูตรจู่โจม นั้นเป็น มิสเตอร์ PT คือแข็งแรงที่สุดในรุ่นแล้วในช่วงนั้นมีหนังเรื่องแรมโบ้ฉายพอดี  เอวัง ก็มีด้วยประการ ฉะ นี้

ที่ตัวอ.โบ้จะสักจาก หลวงพี่แป๊ว และอาจารย์ญา  ส่วนวิชาการสักนั้นอาจารย์ญา เป็นองค์ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ครับ

รูปแบบการสักยันต์นั้น โครงสร้างยันต์วัดบางพระเป็นหลักครับ( เก้ายอด สาริกา แปดทิศ งบน้ำอ้อย แม่ทัพ  ฤาษี เสือ หนุมาน หมูทองแดง  ฯลฯ ) รูปยันต์แบบอื่นก็มีบ้าง ตามประสาผู้สนใจในวิชาด้านนี้ย่อมศึกษาวิชาหลายสำนักไว้เป็นความรู้ติดตัว

อ.โบ้ สักมาหลายปีแล้ว แต่ช่วงนี้ มาราชการอยู่ที่ 3 จชต. ซึ่งปัจจัยค่าครูไม่เคยเอาใช้ส่วนตัวเพราะที่เคยคุยกัน อ.โบ้ บอกว่ามีเงินเดือนกินอยู่แล้ว ได้มาก็ถวายวัดทำบุญสะสมบารมีไปเรื่อย ๆ สร้างถาวรวัตถุไปหลายวัดแล้ว  เมื่อปีที่แล้วอยู่ที่วัดลานควาย ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี นั้นก็ช่วยสร้างกำแพงซึ่งทางวัดยังเขียนชื่อผู้บริจาคในนามคณะศิษย์หลวงพ่อพ่อเปิ่นติดไว้ ไปหลายหมื่นบาท  ส่วนปีนีมาอยู่ที่วัดตุยง

ลูกศิษย์ทาง ปัตตานี ยะลา นั้นมีไม่ใช่น้อย ทั้ง ทหาร ตำรวจ ตชด. ชาวบ้าน วัยรุ่น  มีคนเจอประสบการณ์กันเยอะ  มีคนยอมนั่งรถไปจากยะลา เพื่อไปงานครูไหว้หลวงพ่อเปิ่น ปีนี้ก็หลายคน   คิดว่าลูกศิษย์ อ.โบ้ ในเวปนี้ก็คงมีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันละน่ะ

หวังว่าคงได้ข้อมูลพอสมควรนะครับ




210
ของขึ้นไม่ดีหรอกครับ (แพง ) ของถูกดีกว่า
ก๊ากๆๆๆ


คนที่ของขึ้น  จิตอ่อน  ไม่มีสติ    คนของไม่ขึ้น  จิตแข็ง  มีสติ

มีของดี  ทำไมต้องอวดดี   ถ้าคุณสวดมนต์ไหว้พระ   ระลึกนึกถึงบูรพาจารย์แล้วยังขนลุกอยู่ ครูบาอาจารย์ก็ยังอยู่กับคุณ   

ลองนึกดูไปกินเหล้าตามร้านอาหาร เมาแล้วของขึ้น เพื่อนที่ไปด้วยช่วยกันจับ จับกว่าจะอยู่ ข้าวของร้านค้าเขาเสียหาย  เสียเงินอีกหรือตอนของขึ้นไปโดนพวกกินเหล้าโต๊ะข้าง ๆ มีเรื่องมีราวกันกลายเป็น เมาสุราอาละวาดไปซะอีก

เพราะไม่มีสติ

มีสติเอาไว้ ดี

211


โน   โน  เทติ  นิระยัง  คันตุง        โน  จะ  ปาปัง  อะการะยิ
          โน  สะโม  อัตถิ  ปัญญายะ     โนนะ  ธัมมัง  นะมามิหัง   
 

212


ปัน   ปะกะโต  โพธิสัมภาเร        ปะสัฏโฐ  โย  สะเทวะเก
        ปัญญายะ  อะสะโม  โหติ    ปะสันนัง  ตัง  นะมามิหัง
 

213


สัม   สังขาเร  ติวิเธ  โลเก       สัญชานาติ  อะนิจจะโต
       สัมมา  นิพพานะสัมปัตติ  สัมปันโน  ตัง  นะมามิหัง

214


ณะ   นะมิโตเยวะ  พรัหมเมหื     นะระเทเวหิ  สัพพะทา
          นะทันโต  สีหะนาทัง  โย   นะทันตัง  ตัง  นะมามิหัง

215


ระ   ระมิตัง  เยนะ  นิพพานัง     รักขิตา  โลกะสัมปะทา
      ระชะโทสา  ทิเกลเสหิ       ระหิตันตัง  นะมามิหัง
 
 

216

จะ   จะเยติ  ปุญญะสัมภาเร     จะเยติ  สุขะสัมปะทัง
         จะชันตัง  ปาปะกัมมานิ     จะชาเปนตัง  นะมามิหัง

217


ชา   ชาติธัมโม  ชะราธัมโม     ชาติยันโต  ปะกาสิโต
       ชาติเสฏเฐนะ  พุทเธนะ    ชาติมุตตัง  นะมามิหัง

218


วิช   วิเวเจติ  อะสัทธัมมา     วิจิตวา  ธัมมะเทสะนัง
      วิเวเก  ฐิตะจิตโต  โย    วิทิตันตัง  นะมามิหัง

219
มี แอลกอฮอลล์ จำนวน 6 ขวด  ทิชชู่แพ็คใหญ่ 24 ม้วน จำนวน 5 แพ็ค นมกล่อง 6 กล่อง 2 แพ็ค

ทิชชู่ 5 แพ็คทั้งหมด 890 แอลกอฮอลล์ 6 ขวด ขวดละ 40 บาท (ร้านขายยาไม่มีใบเสร็จ ใช้เขียนเอา)

นม 2 แพ็ค 111 บาทครับ  รวมทั้งหมด 1241 บาทครับ





ขออนุโมทนาด้วยครับ 


และขอเสนอถ้าจะทำบุญเกี่ยวกับ วัดบางพระ โดยปกติแล้วการไปสักที่กุฎิหลวงพี่แป๊ว จะต้องกวาดวัดด้วยกันทุกคน  ไม้กวาดทั้งอ่อนและแข็งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก สมควรซื้อไปถวายครับ
ผมซื้อไปถวายหลวงพี่แป๊วหลายครั้งแล้ว ( การกวาดลานวัด กวาดรอบโบสถ์และการถูพื้น, ในขณะที่ทำหรือทำเสร็จแล้วให้อธิฐานบุญที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ให้อุปสรรคใดๆที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้าจงหมดสิ้นไป  ให้มีแต่ความราบรื่น เทอญ)




220


โธ   โธติ  ราเค  จะ  โทเส  จะ     โธติ  โมเห  จะ  ปาณินัง
       โธตะเกลสัง  มะหาปุญญัง     โธตาสะวัง  นะมามิหัง 
   

221


พุท   พุชฌิตวา  จะตุสัจจานิ          พุชฌาเปติ  มะหาชะนัง
        พุชฌาเปนตัง  สิวัง  มัคคัง    พุทธะเสฏฐัง  นะมามิหัง

222


สัม   สัญจะยัง  ปาระมี  สัมมา     สัญจิตวา  สุขะมัตตะโน
     สังขารานัง  ขะยัง  ทิสวา    สันตะคามิง  นะมามิหัง

223
หวังว่าคงใช้ได้นะครับ คาถาพญาหงส์ทอง(ไม่ใช่หงส์ทองที่ผสมโซดานะ)
"สุวัณณะหังโส ภิกขะเวหิมะวันตัง ปัพพะตังคูหายะ อิมังคาถะมาหะ"
ขอบคุณมากๆค่ะศิษย์พี่ minnakrub :054: :050: 03;


มนต์พญาหงษ์ทองบทนี้ใช้เสก ๗ คาบ

224


มา   มาตาวะ  ปาลิโต  สัตเต     มานะถัทเธ  ปะมัททิโต
      มานิโต  เทวะสังเฆหิ        มานะฆาฎัง  นะมามิหัง

225



สัม   สังขะตา  สังขะเต  ธัมเม     สัมมา  เทเสสิ  ปาณินัง
       สังสารัง  สังวิฆาเฎติ          สัมพุทธันตัง  นะมามิหัง

226

          รอยจารอีกด้านหนึ่งครับ


227

ดูรอยจารชัด ๆครับว่าเป็นของท่านใด


228

ลูกนี้เช่ามาจากกุฎิ อาจารย์ติ่งประมาณปี ๔๖ หรือ ๔๗   ส่วนเรื่องช่างที่แกะสอบถามตั้งแต่ก่อนเช่าแล้วบอกว่าเป็นช่างแถววัดศีรษะทองครับ   รอยจารเป็นหลวงพี่ในวัดบางพระนั่นแหละ   ส่วนองค์เสกก็คือหลวงพ่อเปิ่นครับ

229




ภาพนี้ให้เห็นการวางสลับขององค์ราหู

230



ด้านล่างของกะลาแกะเป็นกลีบบัว วงในเป็นยันต์ดวงแบบเดียวกับด้านหลังของพระปิดตาหลังยันต์ดวงเศรษฐี

231
มาชมกันต่อครับ




ลูกนี้แกะเป็นราหูแปดตน วางสลับกัน

233


หลวงพี่แป๋ว   :016:  :015:  ครับหมึกที่ตัวผม  หลวงพี่แป๋วองค์เดียวครับ

234


หัง   หัญญะติ  ปาปะเก  ธัมเม     หังสาเปติ  ปะรัง  ชะนัง
      หังสะมานัง  มะหาวีรัง         หันตะปาปัง  นะมามิหัง

235


ระ   ระโต  นิพพานะสัมปัตเต     ระโต  โย  สัตตะโมจะเน
     รัมมาเปตีธะ  สัตตา  โย      ระณะจัตตัง  นะมามิหัง

236


อะ    อะนัสสาสะกะสัตตานัง     อัสสาสัง  เทติ  โย  ชิโน
     อะนันตะคุณะสัมปันโน     อันตะคามิง  นะมามิหัง

237


วา   วานา  นิกขะมิ  โย  ตัณหา     วาจัง  ภาสะติ  อุตตะมัง
    วานะนิพพา  ปะนัตถายะ        วายะมันตัง  นะมามิหัง

238

คะ   คะมิโต  เยนะ  สัทธ้มโม     คะมาปิโต  สะเทวะเก
       คัจฉะมาโน  สิวัง  รัมมัง      คะตะธัมมัง  นะมามิหัง

239

ภะ   ภะชิตา  เยนะ  สัทธัมมา     ภัคคะปาเปนะ  ตาทินา
      ภะยะสัตเต  ปะหาเสนโต    ภะยะสันตัง  นะมามิหัง

240


     ล้อพิมพ์พระกรุ ปางเปิดโลกครับ ช่วงหน้าขา ขาดหายไป ประมาณว่าที่เหลืออยู่นี้ แบ่งเป็นสามส่วนแล้วที่ขาดหายไป คือหนึ่งส่วน นะครับ

241
ขอบคุณทุกๆ ท่านที่นำภาพสวยๆ มาให้ชมกันครับ

242



โส   โสกา  วิรัตตะจิตโต  โย     โสภะมาโน  สะเทวะเก
        โสกัปปัตเต  ปะโมเทนโต   โสภะวัณณัง  นะมามิหัง

243



ปิ   ปิโย  เทวะมะนุสสานัง     ปิโย  พรัหมานะมุตตะโม
   ปิโย  นาคะสุปัณณานัง    ปิณินทรียัง  นะมามิหัง

244


ติ     ติณโณ  โย  วัฏฏะทุกขัมหา     ติณณัง  โลกานะมุตตะโม
      ติสโส  ภูมี  อะติกกันโต          ติณณะโอฆัง  นะมามิหัง

245
ห้องพระพุทธคุณ ๕๖


อิ     อิฏโฐ  สัพพัญญุตัญญานัง     อิจฉันโต  อาสะวักขะยัง
    อิฏฐัง  ธัมมัง  อะนุปปัตโต     อิทธิมันตัง  นะมามิหัง

246
โบราณท่านว่า ยิงไม่ออก(จากบ้านไปดู ) ฟันไม่เข้า ( ไปยุ่งเกี่ยว ) แล้วจะปลอดภัย

ฝากไว้ให้คิดกันครับ


247
ที่จริงกระทู้นี้ผมเข้ามาอ่านตั้งแต่แรกที่เปิดกระทู้มาแล้ว แต่จะรออ่านหลายๆความเห็นก่อน

การสักยันต์นั้นนับว่าเป็นความชาญฉลาดของบรรณชนไทยที่น้อมนำพุทธคุณ สักติดตัวเอาไว้เลยเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหว เพราะคนไทยเราสมัยก่อนผู้ชายมักจะไม่ใส่เสื้อ แม้ว่าบางคนใช้เชือกขวั้นห้อยตะกรุดที่คอ การก้มๆเงยๆก็ยังแกว่งอยู่ดี การสักติดตัวจึงสะดวกกว่า

แต่เมื่อยอมรับให้ครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือสักยันต์ให้แล้ว การปฎิบัติตามข้อห้ามของครูบาอาจารย์ ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องปฎิบัติตามให้ได้ โอ่งใส่น้ำ ลองถ้ามันได้รั่วไปแล้วจะซ่อมอย่างไรมันก็ไม่เหมือนเดิมหรอก แต่ข้อห้ามบางข้อนั้นถ้าพิจารณาให้ดีแล้วนั้นคือกุศโลบายอย่างที่ให้ลูกศิษย์เป็นผู้ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท อย่างห้ามเดินลอดไม้ค้ำกล้วย คือ ให้รู้จักระมัดระวังในการเดิน เพราะสมัยก่อนไปไหนมาไหนก็เจอแต่ต้นกล้วย ไม้ที่นำมาใช้ค้ำกล้วยก็คือไม้ไผ่ แล้วไม้ไผ่นี้มันก็ไม่ใช่ไม้เนื้อแข็งใช้นานๆเข้าบางทีมันก็ปลวกกินเพราะปักค้ำไว้กว่ากล้วยจะแก่กินได้ก็เป็นเดือนๆ ไปเดินลอดไม้ค้ำกล้วยหัวไปชนเข้า ไม้ก็ผุ ต้นกล้วยมันจะล้มทับเอา เมื่อรู้จักระวัง ก็ไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาท ก็ไม่เกิดอันตราย

ส่วนเรื่องของการแลกเปลี่ยนของเหลวกันนั้น( ศัพท์ของผมเอง อ่านแล้วคงเข้าใจนะ ) บางสำนักอย่างของหลวงพ่อกวยท่านจะให้คาถากับลูกศิษย์เอาไว้ด้วย เมื่อร่วมกิจกรรมเป็นจังหวะเสร็จเรียบร้อย ให้รีบลงมาอาบน้ำโดยใช้คาถาที่มอบให้เสกน้ำอาบก็จะเหมือนเดิม

ส่วนของคุณ SARUN ที่ว่าห้ามขึ้นเฉพาะวันพระนั้น โบราณท่านบอกว่า วันโกนให้ละ วันพระให้เว้น นะครับ ลองพิจารณาดู ได้พักผ่อนร่างกายด้วย

และขอสนับสนุนคุณ gottkung เรื่องการใช้ปากอีกคนหนึ่ง ว่าไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะสักอย่างเดียวก็ตาม ยิ่งเคยผ่านการครอบเศียรมาแล้วยิ่งไม่ควรทำอย่างมาก

แล้วขอเน้นย้ำตามคุณสายัณอีกครั้ง ถ้าจะประกอบกิจกรรมเป็นจังหวะกัน  พระเครื่องที่ห้อยคออยู่นิมนต์ท่านจำวัดซะเถอะ  เพราะมันไม่ใช่กิจของสงฆ์แล้ว

ส่วนที่น้อง Iporlove ว่านั้น สมัยก่อนเขามีแต่ Man นะที่สักกันไม่ใช่แบบทุกวันนี้ ที่มี  Lady มาสักด้วย เพราะพอถึงเวลาผู้หญิงจะมีเลือดเสีย  แล้วเลือดเสียของผู้หญิงกับไสยศาสตร์มันเป็นปฎิปักษ์ต่อกันอยู่แล้ว ข้อห้ามโบราณท่านถึงห้ามผู้หญิงอยู่บน 

พูดกันถึงเรื่องนี้แล้วก็ว่ากันต่อไปเลยดีกว่า มีรุ่นน้องที่มาสักปีเดียวกันเขาเคยถามหลวงพ่อเปิ่น ถึงเรื่องการซื้อบริการ หลวงพ่อเปิ่นท่านบอกว่า เสือถ้าหิวมันก็ต้องกินเนื้ออยู่แล้ว  ส่วนเรื่องการที่ผู้หญิงอยู่บน อันนี้ผมเคยถามหลวงพี่แป๋วเองเลย  หลวงพี่ท่านบอกว่าเราก็อย่าไปนอนซิ ( ก็คือนั่ง )

โบราณนั้นผู้ที่สักยันต์ อาบน้ำว่าน หรือผู้ที่พกพาของทนสิทธิ์ มักจะเป็นผู้ที่รักษาสัจจะ แม้ว่าจะรักษาศีลไม่ครบห้าข้อ ( ฆ่าสัตว์,กินเหล้า ) แต่ที่เขาไม่ผิดกันเลยคือไม่ลักทรัพย์ , ไม่ผิดลูกเมียคนอื่น, ไม่พูดโกหก  จึงเป็นผู้ที่ถือของขึ้น เหนียวก็เหนียวกันจริงๆ ชนิดให้ลองเอามีดเชือดแขนกันได้เลย ลองเริ่มทำจากสักข้อหนึ่งก่อน หรืออาจจะเริ่มเป็นเวลา เช่น วันนี้จะไม่พูดโกหก   จะไม่กินเหล้าทุกวันพระ เมื่อทำได้ ก็เพิ่มจำนวนวันขึ้นไป พยายามรักษาสัจจะให้ได้

ขอฝากน้องๆในนี้ไว้ด้วย   มีของดีแล้วต้องรู้จักรักษาของ ก่อนเข้านอนสวดมนต์ไหว้พระบ้าง อย่าให้ของดีกลายเป็นของเสีย ไปซะ  มันจะเหลือเป็นแค่ศิลปะบนผิวหนังเท่านั้น


248
คาถาอาคม / ตอบ: "รวมโบราณคาถา"
« เมื่อ: 22 ส.ค. 2551, 09:03:51 »
ขอบคุณครับ

249
อนุโมทนาในธรรมทานครั้งนี้ครับ

250
 อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ บทนี้เรียกว่าคาถาพระนวหรคุณ มาจากบทพระอิติปิโสรัตนมาลา ๑๐๘ ห้องพระพุทธคุณ ยกตัวอย่างเช่น

 อะ   อะนัสสาสะกะสัตตานัง     อัสสาสัง เทติ โย ชิโน
        อะนันตะคุณะสัมปันโน     อันตะคามิง นะมามิหัง

        ดังนี้เป็นต้น

251
ขอบตุณครับ คุณKKK  ผมก็มีอยู่เหรียญหนึ่งเหมือนกัน

252
ของผมแบบ ที่ 2 หมายเลข 92 ในจำนวน 108 อัน

หน้า: [1]