แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - อาริงาโต

หน้า: [1]
1
ระวัง !!! กรรมจากการล่วงเกิน " ผู้มีธรรม "  

ระวัง....การล่วงเกิน " ผู้มีธรรม "
เมื่อ เขียนเรื่องการใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" แล้ว ก็เลยอยากจะเขียนถึงเรื่อง "การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วย การใช้ไหว้วาน "ผู้ทรงธรรม" นั้น ก็เป็นสิ่งไม่ควรอยู่แล้ว แต่การล่วงเกิน "ผู้ทรงธรรม" หรือ "ผู้มีธรรม" นั้นหนักกว่า บาปมากกว่า เพราะเป็นการล่วงเกิน เป็นการทำร้าย "ผู้ทรงธรรม" ไม่ว่าจะเป็นทั้งกายหรือใจ หรือจะด้วยเจตนาและไม่เจตนาก็ตาม

เพราะ "ผู้มีธรรม" และ "ผู้ทรงธรรม" นั้น คล้ายกันในความหมาย ก็คือเป็นผู้ที่ยึดถือการกระทำความดี เป็นชีวิตจิตใจ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งและเป็น "คนดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

คำว่าเป็นคนดีนั้น หมายความว่า....

1. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อตนเอง
2. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อคนอื่น
3. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อตนเอง
4. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อคนอื่น


ต้องทำให้ได้ครบ 4 ข้อ เราจึงเรียกว่า " ความดี "


"ผู้มีธรรม"....ต้องทำ "ความดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
"ผู้มีธรรม" นั้นมีทั้งภิกษุ สงฆ์ ผู้ทรงศีล นักบวช และฆราวาสที่มี "จิต" ดี
เราไม่มีโอกาสจะทราบได้อย่างแน่ชัด 100 เปอรเซ็นต์เลยว่า...ใครบ้างเป็น "ผู้มีธรรม" นอกจากการสังเกต และการสันนิษฐานของเราเองและผู้อื่น "ผู้มีธรรม" นั้น ตัวท่านเองก็ไม่สามารถจะพูดให้ใครฟังได้ว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะบางทีตัวของ "ผู้มีธรรม" นั้นเอง ก็ยังไม่ทราบตัวท่านเองเลยว่า ท่านเป็นอย่างไร ?

เพราะความเป็น "ธรรม" นั้น มันเป็นเรื่องของ "จิตใจ" ที่เกิดขึ้นมาจากความเป็น "ธรรมชาติ" ไม่สามารถหาซื้อจากที่ใดได้ อาจจะติดมาจากอดีต แล้วมา "ปรุงแต่ง" เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในภาวะปัจจุบัน เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่รู้ว่าใครบ้างเป็น "ผู้มีธรรม" จงอย่าได้มีความประมาท เผลอไผลไปตำหนิติเตียน หรือทำร้ายท่าน
ทั้งทางกายและใจ ด้วยใจที่เป็นอกุศล หรือต้องการประชดประชัน ตีวัวกระทบคราด ใช้คำไม่สุภาพ หรือล่วงเกินในสิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้จริง

ความปลอดภัย เมื่อเราไม่รู้ว่าจะไป "ล่วงเกิน" ใครบ้างที่เป็น "ผู้มีธรรม" ควรทำอย่างนี้ เวลาจะออกความเห็นใด หรือกล่าวถึง ที่เป็นการกล่าวตรงข้ามกับความคิดเห็นหรือการกระทำของผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือหลับหลังใครก็ตาม ควรกล่าวถึงหรือเขียนด้วยความเป็นสุภาพชน ไม่ใช้ถ้อยคำกระแทกแดกดัน ประชดประชัน กล่าวส่อเสียด ดูหมิ่น เหยียดหยามหรือแสดงในสิ่งที่ไม่สมควรแสดง เพราะ "ผู้มีธรรม" ก็เป็นคนธรรมดา ย่อมมีความผิดพลาดได้เป็นของธรรมดา เมื่อทำผิดพลาด ก็ย่อมได้รับคำติเพื่อก่อ เพื่อสร้างสรรค์ เช่นคนอื่นได้เช่นกัน


เคยหรือไม่ ?
ที่ท่านเองเคยมีคนหมั่นไส้ท่านอย่างไม่รู้สาเหตุ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?

เคยหรือไม่ ?

ที่ท่านเคยถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากคนอื่น บางครั้งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?


เคยหรือไม่ ?
ที่ท่านมักจะมึนงงกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่รู้ทางแก้ไข บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ


เคยหรือไม่ ?
ที่ท่านถูกกล่าวร้ายป้ายสีจากคนอื่น ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ


เคยหรือไม่ ?
ที่ท่านพูดอะไรไปแล้ว ไม่มีคนเชื่อถือ หรือพูดอะไรไปแล้วคนไม่เชื่อ


เหล่านี้คือ " กรรม " ที่ได้กล่าวล่วงเกิน " ผู้มีธรรม "

ตรงกันข้าม...ถ้าใครให้เกียรติ ให้ความเคารพ แม้ว่าจะติเพื่อก่อ หรือให้เหตุผลที่ตั้งบนความบริสุทธิ์ใจ "กรรม" ที่ได้รับก็คือ........ไปไหน ทำอะไร พูดกับใคร ไหว้วานใคร ร่วมงานบุญกับใคร เจอะเจอใคร ? ก็มีแต่คนรักใคร่ เป็นที่ชื่นชอบ เป็นที่รัก เป็นที่เคารพของหมู่ชนทั่วไป ลองสังเกตคนใกล้ตัว ไกลตัว หรือคนที่คุณรู้จัก ...ที่เป็นที่รักที่เคารพของคนทั่วไป ที่ไม่ใช่เพื่อยกยอปอปั้น ชื่นชมกันเอง (ประเภทเขียนเอง....ชมเอง หรือไหว้วานให้คนอื่นมาชมแทน) ว่าเป็นเช่นนี้หรือเปล่า ? ถ้าใช่ ก็แสดงว่าคนๆ นั้นให้ความเคารพ "ผู้มีธรรม" อย่างดี

อาจารย์ผมคนหนึ่งชื่อ อาจารย์ วิสุทธิ์ ปัญจะ เวลาท่านจะแสดงความคิดเห็นใด ต่อผู้ที่คิดว่าน่าจะเป็น "ผู้มีธรรม" ท่านมักจะขึ้นต้นว่า
" ขออนุญาต ขอสอบถามเพื่อศึกษา เพื่อเรียนรู้ ว่า ...... "

นั่นคือผู้ที่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่พวกเรา..ไม่ต้องขนาดนั้น ไม่ต้องนอบน้อมขนาดนั้นก็ได้ เพียงแต่ว่า พูดคุย แสดงความคิดเห็น หรือแลกเปลี่ยนความรู้ กล่าวถึงกัน ด้วยความสุภาพอ่อนน้อม ให้เกียรติคนอื่น ใช้กริยาวาจา (ข้อเขียน) ด้วยใจที่คิดว่ากำลังคุยกับเพื่อน ไม่ใช่คุยกับคนที่เกลียดขี้หน้ากัน


การใช้วาจาตรงๆ ก็สามารถทำได้ เพราะการใช้วาจาพูดคุยกันตรง ๆ ก็สามารถใช้คำพูดหรือข้อเขียนที่อ่อนน้อม สุภาพได้ คนปากกับใจตรงกัน หรือคนที่พูดตรง ๆ ต่างจาก " คนปากพล่อย " มากมายนัก ในที่นี้ผมเพียงจะพูดถึงเรื่องการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" เพียงการพูด ทั้งการพูดต่อหน้าและลับหลัง การกล่าวถึง การตำหนิติเตียนด้วยความไม่ชอบ ยังไม่ได้พูดถึงการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยการกระทำ

เพราะแค่ล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยวาจา ด้วยการกล่าวถึง ยังต้องได้รับ "กรรม" ที่หนักหนาสาหัสแล้ว ถ้าล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ด้วยการกระทำด้วยแล้ว จะยิ่งสาหัสสากรรจ์มาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

ผมได้รับการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์หลายท่าน ให้เป็นอย่างนี้ และได้ถูกสอนให้เห็นถึงการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" อย่างชนิดที่ไม่ได้ถูกแค่สอนด้วยวาจา แต่ผมโดนสอนด้วยการถูกลงโทษจริงๆ จึงรู้...จึงเข้าใจว่า...การได้รับ "กรรม" จากการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" นั้น มันเจ็บปวดและทรมาน จึงไม่อยากให้ท่านที่พลั้งเผลอไปกล่าวล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" ได้รับกรรมเช่นนั้น เมื่อเราไม่รู้ว่า ใครบ้างที่เป็น "ผู้มีธรรม" ก็จงอ่อนน้อมถ่อมตน ติเตียนด้วยความสุภาพ หรือแสดงความคิดเห็นด้วยใจที่ไม่มีอคติ... ทำอย่างนี้เอาไว้ก่อน...ปลอดภัยกว่ากันเยอะ


ผม (อโณทัย) ไม่ใช่ "ผู้มีธรรม" เพราะยังมีอารมณ์ มีความโกรธ ไม่ได้เป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลังตลอด 24 ชั่วโมง หรือตลอดเวลา และไม่ได้ทำความดีครบองค์ประกอบ 4ประการ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ...ก็ตามใจท่าน ผมมีหน้าที่แค่ "บอก"
เพราะ "กรรม" ใดใครทำ คนนั้นก็เป็นคนรับครับ .........


อโณทัย เขตต์บรรพต


ขอบคุณ ที่มา คุณอโณทัย เขตต์บรรพต  เวบ พลังจิตดอทคอม

2
กฎแห่งกรรม...ผู้ล่วงเกิน

โดย.. เทพ บางสมุทร
จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่มที่ ๑


เป็นมนุษย์สุดดีที่ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
คำภาษิตนี้บ่งบอกความหมายไว้ชัดเจนแล้วว่า
มนุษย์เรานั้นต้องพูดในสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นไปด้วยความเจริญฝ่ายเดียว
หากพูดเพ้อเจ้อ หรือส่อเสียดแล้ว
กรรมที่เห็นทันตาก็คือ ถูกทำร้ายเพราะคนที่เขาถูกด่า ถูกใส่ความ
เกิดโทสะ แล้วลงมือลงไม้เอาเข้าให้
หรือไม่ก็ถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาท ติดคุกติดตะราง
ต้องขอขมาลาโทษทางหน้าหนังสือพิมพ์ ได้เห็นได้รู้กันอยู่เป็นประจำ


การว่าร้ายด่าทอสมณะผู้ทรงศีล การจาบจ้วงด้วยวาจา
หรือการกระทำด้วยกำลังกายเข้าประทุษร้าย
ท่านว่า มีผลทั้งโลกนี้และโลกหน้า
ในโลกนี้ก็คือ จะเป็นผู้มีความวิบัติในลาภยศและทรัพย์สมบัติทั้งหลาย
มีความพลัดพรากจากของที่รัก และถูกติฉินนินทาจากผู้คนที่มีใจเป็นธรรม
ครั้นตายไปแล้วก็ต้องไปเสวยทุกข์ในนรก ให้นายนิรยบาลลากลิ้นออกมาตัด
จับแหกปากแล้วเอาเหล็กหลอมละลายเหลวๆ เทกรอกลงไป
เสวยทุกขเวทนาเป็นเวลานานชั่วกัปป์ ชั่วกัลป์


เรื่องจริงของผู้ล่วงเกินนี้เกิดขึ้นที่ แม่กลอง หรือเมืองสมุทรสงคราม
อันเป็นเมืองที่หลวงพ่อวัดบ้านแหลมท่านประดิษฐานอยู่นั่นเอง
วัดช่องลม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง
ต.บ้านปรก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม
สมัยเมื่อหลวงพ่อบ่าย ธรรมโชโต ท่านเป็นเจ้าอาวาสนั้น
ท่านได้จัดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเสนาสนะให้มีความมั่นคงถาวร
และเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนท้องถิ่นว่า ไม่อับอายขายหน้าแขกต่างถิ่น
ที่มักจะมาเยือนเพื่อนมัสการหลวงพ่อบ่าย
ซึ่งเป็นพระเถระที่อาคมกล้าอีกรูปหนึ่งใน จ.สมุทรสงคราม เวลานั้น

ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อบ่าย ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดช่องลม
ท่านได้อนุเคราะห์ชาวบ้านให้มีความเจริญผาสุข
ด้วยการเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา
คู่ไปกับการสร้างเครื่องรางของขลังแจกเพื่อให้ไปป้องกันตัว
เพราะอาชีพหลักของคนแถบนั้นก็คือ การประมง
ต้องเสี่ยงภัยกับฉลามและสัตว์ร้ายอื่นๆ เล่ากันมาว่า
ปีหนึ่ง หลวงพ่อสรงน้ำครั้งหนึ่ง อันถือเป็นประเพณีของท่านว่า
ปีหนึ่งท่านจะสรงน้ำเพียงครั้งเดียว และใครที่มาสรงน้ำ
ท่านจะแจกสตางค์แดง มีรูตรงกลางให้คนละหนึ่งอัน


สตางค์แดงนั้นแหละเอาไปร้อยเชือกผูกติดเอว ป้องกันอันตราย
บางคนบอกว่า ฉลามบุกเข้ามาจะงับ แต่อ้าปากไม่ขึ้น
เอาเท้าถีบเล่นได้เลย เพราะมันแพ้ในอำนาจแห่งพระพุทธคุณ
ที่หลวงพ่อบ่าย ท่านปลุกเสกสตางค์แดงเอาไว้

เมตตาธรรมของหลวงพ่อนั้นแผ่กว้างไพศาล
ไม่เคยดุด่าว่าใครแรงๆ เพราะท่านวาจาสิทธิ์นัก
ผู้คนที่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือ
จากท่านนั้น ต่างก็ได้รับความเมตตากลับไปทุกราย
ท่านสงเคราะห์เท่าที่ท่านจะสงเคราะห์ได้ ไม่รังเกียจเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีชายจีนแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาเดินท่อมๆ ในวัด
ถามหาหลวงพ่อบ่าย ท่านลงไปกวาดลานวัดอยู่พอดีจึงได้แนะนำตัว

“ท่านค้าบอาหลงพ่อบ่าย อีหยู่ที่หนาย อั๊วะจะมาขอหวยอีสักหน่อย
ค้าขายขากทุงป่งปี้ ขอหวยไปทำทุง”

“ฉันนี่แหละหลวงพ่อบ่าย ที่อาเจ็กถามหาอยู่ หวยฉันไม่เคยให้
มันเป็นของที่ไม่น่าจะให้เลยนี่นาอาเจ็ก”

“กาบเท้าล่ะคร้าบ ผงจงจิงๆ อาหลงพ่อ ไม่งั้งไม่บากหน้ามาหา”

“ไม่เอาน่า ทำมาหากินอย่างอื่นเถอะ มันเป็นอบายมุข ไม่สมควรจะไปยึดติด
มันไม่เจริญรุ่งเรืองหรอกน่า ทำมาหากินดีกว่า”

กล่าวจบท่านก็เดินหนีไป อาเจ๊กผู้นั้นก็กลับด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
รุ่งขึ้นก็มาตื๊อหลวงพ่ออีก แต่ก็ต้องกลับไปมือเปล่าตามเคย
วันที่เจ็ด อาเจ๊กคนนั้นก็มาอีก คราวนี้หลวงพ่อขัดใจ จึงบอกว่า

“หวยเหยอะไรกันไม่มีหรอก มีแต่หญ้าข้างโบสถ์นั่นแหละ
รกจนท่วมหัว ไปถางเอาซี่ นั่นแหละ แน่ที่สุด”


วันรุ่งขึ้น อาเจ๊กก็เกณฑ์ลูกเมียและคนในบ้าน เอามีดพร้าจอบเสียม
มาช่วยกันตัดหญ้าจนเตียนโล่ง เห็นทันตา
หลวงพ่อบ่ายมาเห็นเข้า ก็พึมพำกับศิษย์ว่า

“อ้ายเจ๊กนั่นมันโง่จริงๆ เลย ดูซิบอกให้มันไปถางหญ้าแทนหวย
มันก็ถางเสียเตียนเลย เอาล่ะวะ จะให้มันสักตัวสองตัว”

ว่าแล้วท่านก็เรียกอาเจ๊กเข้ามาหา แล้วบอกหวยให้
โดยขอร้องให้เล่น เพียงเพื่อหาทุนมาทำมาค้าขายต่อไปเท่านั้น
อย่าได้เล่นเป็นอาชีพ จะฉิบหายขายตัว อาเจ๊กรับคำ
ท่านก็ให้หวยไปตัวหนึ่ง หวยสมัยนั้น มีหวย ก.ข. และหวยจับยี่กี
หวย ก.ข. ออกเช้า ออกบ่าย แต่จับยี่กีออกทั้งวัน
อาเจ๊กไปแทงหวย ก.ข. และจับยี่กี ก็ถูก ได้สตางค์มากโข
พอเอาไปทำทุนค้าขาย ต่อมาได้นำเงินมาถวายหลวงพ่อบ่าย
ช่วยหล่อรูปหล่อให้ท่าน ด้วยความศรัทธา

ขุนบาลหวย แค้นเคืองหลวงพ่อบ่ายมาก
ถึงกับด่าทอและฝากคนมาด่าหลวงพ่อถึงที่วัด
“หลวงพ่อครับ อ้ายขุนบาลหวยมันพูดใส่หน้าผม
ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมาว่า ไปบอกหลวงพ่อของเอ็งด้วยว่า
มีปัญญาใบ้ก็ใบ้มา กูไม่กลัว ใครเชื่อท่านวัดช่องลม
ก็ให้มาแทงหวยกับกู รับรองฉิบหายทุกราย
ใครจะมาเก่งกว่ากูที่เป็นคนออกหวย”

มันเป็นการล่วงเกินอย่างไม่น่าให้อภัย แต่หลวงพ่อบ่ายท่านก็ยิ้ม
แล้วสั่งศิษย์ไปว่า “อ้ายขุนบาลมันด่ากระทั่งกูผู้ทรงศีล
ที่กูให้หวยอ้ายเจ๊กนั่นไปทำมาหากิน มันกลับหาว่ากูทำให้คนฉิบหาย
กูจะดูซิว่า กูหรือมัน จะฉิบหายกันแน่ กรรมของมันมาถึงแล้ว
ไปบอกกันให้ทั่วว่า หวยวันนี้ท่านวัดช่องลมบอกว่าออก สองคน”


ข่าวแพร่สะพัดออกไป บรรดานักเล่นหวยก็แห่กันไปแทง “สองคน”
แบบจับยี่กีกันเป็นโกลาหล ปรากฎว่า หวยออก “สองคน”
ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ ทั้งๆ ที่ขุนบาลก็ได้เปลี่ยนตัวออกทุกครั้ง
แต่ก็ปรากฎว่า พอออกก็เป็นสองคนทุกครั้งเหมือนมีใครมาจับมือ
ให้ออกสองคน ขุนบาลกับหุ้นส่วน และคนที่มาเป็นพยาน
ทะเลาะทุ่มถียงกันจนโรงหวยแทบแตก
เพราะใครล้วงตัวอื่นมาใส่ในถุงแขวน ก็มองเห็นตัวสองคนเป็นตัวอื่น
เอายัดลงไป ออกสองคนทุกครั้ง เปลี่ยนคนมาออก ก็ยังเป็นสองคน
วันนั้น วันเดียว ขุนบาลกับหุ้นส่วนหมดตัว
ต้องขายบ้าน ขายช่อง กลายเป็นคนหาบของขายไปในไม่ช้า

เหตุเพราะกรรมที่แช่งหลวงพ่อบ่ายให้ฉิบหาย
แล้วกรรมนั้นก็เข้าสนองตัวเองอย่างจัง ทันตาเห็น

เห็นจะเป็นด้วยเรื่องหวยนี้แหละ ศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง
เคยบวชเรียนอยู่กับท่านจนเกือบจะได้รับการส่งไปเป็นเจ้าอาวาสวัด
ในปกครองของ ท่านในสมุทรสงคราม แต่ก็ชิงสึกเสียก่อน
เพราะสีกาทำให้ร้อนผ้าเหลือง เมื่อสึกออกไปแล้ว
ก็ไม่ประกอบอาชีพอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ได้แต่กินเหล้าสำมะเลเทเมาไปวันๆ


วันหนึ่ง ได้พกปืนกำเข้ามาในวัด
แล้วก็ร้องเอะอะด่าทอไปจนถึงกุฏิหลวงพ่อบ่าย
หลวงพ่อท่านโผล่ออกมาดู พอเห็นก็เลยบอกกับอดีตศิษย์ทางธรรมว่า

“ทิดเอ๊ย ไปเสียเถิด ที่นี้เขตวัดไม่ใช่ร้านเหล้า ไปตามทางของแกเสีย
แกมันไม่น่าจะทำอย่างนี้ เคยบวชเรียนมาก็หลายพรรษา”

“อย่ามาพูดมากเลยหลวงพ่อ เขาว่าให้หวยแม่นไม่ใช่หรือ
ลองให้สักตัวซี่เอ๊า จะเอาไปกินเหล้าให้หมดเลย”

หลวงพ่อบ่าย ท่านก็ยังใจเย็น กล่าวกับทิดนั้นว่า
“อยากได้หรือ มีแต่:Pนี่ไงล่ะ เอาไปซี่” ว่าแล้วท่านก็ยกฝ่าเท้าให้จังๆ

ทิดผู้นั้นก็หันหลังกลับ แล้วเดินบ่นพึมพำออกจากวัดไปว่า
“หน๊อยขอหวยดีๆ ดันผ่าให้:Pได้ หลวงพ่อไม่เอาไหน”

คนที่เห็นเหตุการณ์รวยไปตามๆ กัน เพราะหวยวันนั้นออก “เอี่ยวเกือก”
ทั้งเช้าและบ่าย ทิดขี้เมาไม่มีโชค มัวแต่แอ่นไปแอ่นมาเลยไม่ได้แทง
แต่ไม่เป็นไร คราวนี้พกปืนมาอีก พอมาถึงหลวงพ่อก็ร้องขอหวย

“หลวงพ่อครับ คราวก่อนไม่ได้แทงเลยอด
คราวนี้ขอใหม่อีกหน จะแทงให้จั๋งหนับ”

“แกขอทีเดียวก็ให้ไปแล้ว แกจะมาขออีกมันผิดสัจจะ
ออกไปอ้ายคนไม่รักดี ไปตามทางของแกได้เล้ว”

ชายคนนั้นแสดงอาการไม่พอใจ ชักปืนออกมาจากเอว
แล้วหันปากกระบอกไปหาหลวงพ่อบ่าย แล้วร้องว่า

“เดี๋ยวพ่อยิงซะให้ตายโหงอยู่ตรงนี้เลย ขอหวยนิดเดียว
ไล่เหมือนหมูเหมือนหมา”


หลวงพ่อบ่ายท่านจึงพลั้งปากออกไป
ไม่ได้ตั้งใจกับทิดขี้เหล้านั้นว่า

“อ้ายทิด แกนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
แกนั่นแหละ ตายโหง ไม่ใช่ฉัน อ้ายผีตายโหง”

กล่าวจบ ท่านก็เดินหันหลังเข้ากุฏิ
ชายคนนั้นก็เดินกลับไป พอรุ่งเช้า ก็มีคนไปพบชายคนนั้น
นอนตายอยู่ในห้องนอนของตัวเองบนบ้าน หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก
เหมือนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
เจ้าหน้าที่มาชัณสูตรศพพบว่าถึงแก่ความตาย
เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว ไม่มีร่องรอยการฆาตกรรม
แล้วเขาตายด้วยเหตุใด ในที่สุด เมื่อพลิกตัวเขาดูอีกที
ก็มองเห็นภาพอันน่าสยดสยอง
นั่นก็คือ มดแดงไฟจำนวนเป็นหมื่นๆ แสนๆ ตัว
ค่อยๆ ไต่ออกจากหูของคนตาย
ปากคาบเอาแก้วหูบ้าง ขี้หูบ้าง ออกมา

ทิดขี้เมารายนั้น ถูกมดแดงไฟพากันยกโขนงเข้าไปกัดแก้วหู
จนถึงแก่ความตาย เป็นการตายโหงอย่างน่าประหลาดที่สุด
ทุกวันนี้ยังมีการกล่าวขวัญถึงอย่างไม่รู้จบ
เพราะเป็นเรื่องที่อัศจรรย์เป็นยิ่งนักทีเดียว


กรรมที่ด่าว่าพระให้ท่านฉิบหาย ตัวเองก็ฉิบหายไปเอง
กรรมที่เอาปืนมาขู่จะฆ่าพระให้ตายโหง ตัวเองก็ตายโหง
มันเป็นกรรมที่ให้ผลทันตาเห็น เพราะพระท่านมีศีลบริสุทธิ์
ใครที่บังอาจไปทำร้ายท่าน
ก็ย่อมกระท้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง


ขอบคุณที่มา คัดลอกจาก...คุณ boogboog
http://www.fwdder.com/topic/16760

3
กรรมใดใครก่อ คิดก่อนทำ...


ชีวิตมนุษย์นั้น เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ถาวร มนุษย์มีช่วงเวลาที่สุข แต่ก็อาจจะกลับกลายเป็นทุกข์ได้ในช่วงเวลาต่อไป การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่สิ่งที่ปรารถนาและสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเช่นนี้ ย่อมมีต้นเหตุมาจากการกระทำเมื่อกาลก่อน

หากในอดีตเคยทำสิ่งที่ดีเป็นบุญกุศลไว้ ชีวิตย่อมได้รับสิ่งดี แต่หากในอดีตเคยกระทำสิ่งไม่ดีไว้ ก็ย่อมต้องรับความทุกข์จากอกุศลกรรมที่ตนเคยกระทำไว้ เมื่อความสุขเกิดแก่ผู้ใด ผู้นั้นย่อมไม่พึงปรารถนาให้มันจากไป แต่หากความทุกข์เกิดแก่มนุษย์เพียงช่วงหนึ่งวินาที มนุษย์ย่อมไม่พึงปรารถนาให้มันคงอยู่ต่อไป

ความทุกข์ที่เกิดแก่มนุษย์นั้น มีทั้งความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำในปัจจุบันที่มนุษย์เป็นผู้กระทำให้ตนเองเกิดความทุกข์ และมีทั้งความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะการรับผลกรรมที่ตนได้กระทำไว้ในอดีตชาติ  ความทุกข์ที่เกิดจากกระทำสิ่งไม่ดีไว้แก่จิตดวงอื่นนั้น หาจุดจบแทบมิได้ เหตุเพราะเมื่อจิตดวงหนึ่งถูกกระทำให้ทุกข์ จิตดวงนั้นย่อมเกิดความอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน

ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า ความทุกข์เช่นนี้ยากที่จะหาจุดจบได้ แต่หากมีจิตดวงใดยอมเป็นผู้เสียสละให้อภัยแก่จิตดวงอื่นก่อน ความทุกข์จากการจองเวรเช่นนี้ย่อมจบลงได้ ดังนั้น มนุษย์ควรมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการผูกพยาบาทต่อผู้อื่น อีกทั้งควรมีชีวิตอยู่อย่างไม่เบียดเบียนผู้อื่น

การกระทำของเราที่ได้กระทำลงไปแล้วในอดีตนั้น เราคงไม่สามารถกลับไปแก้ไขการกระทำนั้นได้ ตลอดจนไม่สามารถที่จะไปควบคุมเจ้ากรรมนายเวรของเราได้ ถึงแม้ว่าบางครั้งเราจะทำการขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวรของเราแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากรรมนายเวรของเราทุกดวงจิตจะให้อภัยแก่เรา

ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำก็คือเราไม่ควรกระทำสิ่งไม่ดีต่อผู้อื่นรวมทั้งไม่ควรกระทำสิ่งไม่ดีต่อตนเองด้วย เราควรจะรักษาศีลไว้ให้มั่นเพื่อการดำรงชีวิตที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น

ถึงแม้เราจะพยายามรักษาศีลให้คงมั่น แต่ก็มีบางครั้งสิ่งที่ยั่วยุจากภายนอกนั้นมีกำลังมากจนทำให้เรากระทำผิดศีลลงไปได้


แล้วมีธรรมใดหรือไม่ ที่ช่วยให้เราสามารถรักษาศีลไว้ให้คงมั่นตลอดไปได้

แล้วมีธรรมใดหรือไม่ ที่ช่วยให้เราสามารถรักษาศีลไว้ให้คงมั่นตลอดไปได้


บางส่วนจากหนังสือ "ถึงคราวเคราะห์หรือเพราะเวรกรรม" ได้มีโอกาสอ่านแล้วเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย จึงเอามาแนะนำกันครับ "ถึงคราวเคราะห์หรือเพราะเวรกรรม"

เป็นความรู้นะครับ เพื่อเป็นอาหารสมอง

หลวงตาวัดดอนฯ


 


4
บทความ บทกวี / ความรัก กับ ความอดทน
« เมื่อ: 19 เม.ย. 2552, 05:20:09 »
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนมี
และไม่มีวันหมดไปได้ คือ "ความรัก"
แต่สิ่งที่มนุษย์มีความจำกัด คือ "ความอดทน"
ยิ่งรักมากก็ยิ่งต้องอดทนกับปัญหาต่างๆ
เพื่อให้รักนั้นยั่งยืน


แต่ในทิศทางตรงกันข้าม
เมื่อใดที่ไม่มี "ความรัก"?"ความอดทน" ก็มักจะหมดลง
สิ่งใดที่เคยอดทนได้
ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงลดลงเรื่อยๆ
สิ่งใดที่เคยเห็นดีเห็นชอบ

กลับกลายเป็นขวางหูขวางตา

และท้ายที่สุด...
"เรา" ก็เป็นฝ่ายทิ้ง "ความรัก" นั้นให้จบลง
ทั้งๆ ที่ยังรักอยู่เต็มหัวใจ
แต่เพียงเพราะการถูกกระทำซ้ำๆ
จนกระทั่ง "ความอดทน"
บอกให้เราต้องจากไป
เพราะหากรักแล้วยังต้องเจ็บ

ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ...การเลิกรา
เพื่อที่เราจะได้เข้มแข็ง
เพื่อที่จะลุกขึ้นได้ใหม่...ในวันข้างหน้า
และก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง


Forward Mail

5

ช็อกโลก! เมื่อศัลยแพทย์รัสเซียผ่าตัดพบต้นไม้งอกอยู่ในปอดของคนไข้ที่สงสัยว่าเป็นจะมะเร็ง

ต้นไม้ดังกล่าวงอกยาวกว่า 5 เซนติเมตร ถูกพบในปอดของคนไข้วัย 28 ปี ที่แพทย์สันนิษฐานเบื้องต้นจากฟิล์มเอ๊กซเรย์ว่าน่าจะเป็นเนื้อร้าย

ต้นไม้ที่พบในปอดนั้นเป็นต้นเฟอร์ (พืชในตระกูลต้นสน) ที่แพทย์ลงความเห็นถึงความเป็นไปได้ในการเจริญเติบโตภายในปอดว่า ชายคนดังกล่าวอาจสูดหายใจเอาเมล็ดพันธุ์หรือเชื้อของต้นเฟอร์เข้าไปด้วยความบังเอิญ

ก่อนการผ่าตัด คนไข้มีอาการคล้ายป่วยเป็นมะเร็งเพราะเขาเจ็บหน้าอก และไอเป็นเลือด

ระหว่างการผ่าตัด ทีมศัลยแพทย์ได้ตัดชิ้นส่วนที่ถูกระบุว่าเป็นก้อนเนื้อร้าย แต่เมื่อ1ในทีมศัลยแพทย์ สำรองก้อนเนื้อนั้นดู เขาแถบไม่เชื่อสายตา คิดว่าเป็นภาพหลอน จึงเรียกให้เพื่อนร่วมทีมช่วยดู ทุกคนจึงได้เห็นว่า ภายในก้อนเนื้อนั้นคือต้นไม้!

หลังการผ่าตัด แพทย์จึงได้คำตอบว่า อาการเจ็บหน้าอก และไอเป็นเลือดนั้นเกิดจากการเสียดสีของต้นไม้กับปอด

ด้านคนไข้เผย ?ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกเจ็บหน้าอกมาก แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปเจริญเติบโตในร่างกายของผม และตอนนี้ผมก็สบายใจขึ้นที่ไม่เป็นมะเร็ง?

 

ที่มา : เดลินิวส์


เอามาเล่าสู่กันฟังครับ สงสัยน่าจะทานเมล็ดพืชลงไปนะครับ 5555   :004: :004: :004:

6

กราบหลวงพ่อเปิ่น

วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี สร้างถวาย จำภาพนี้ได้แม่นเลยครับ เคยติดในห้องประชุมใหญ่ ของวิทยาลัยฯ ตรงทางเข้าครับ ผมเคยเรียนที่วิทยาลัยฯครับ
หลวงพ่อเปิ่นได้อุปถัมภ์ที่วิทยาลัยฯด้วยครับ

 :001: :001: :001: :001: :001:

7

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้อง ห่างหายไปนาน ก็เลยถ่ายพระในห้องพระมาครับ :114: :114: :114: :114: :114: :114:

8
กราบนมัสการหลวงพ่อเปิ่นครับ

เป็นรูปเก่าครับตอนหลวงพ่อเปิ่นมรณะภาพใหม่ๆๆๆ

เป็นรูปที่หลวงพ่อตรวจงานที่พิพิธภัณฑ์ แต่เสร็จแล้วทำไมไม่ย้ายสังขารหลวงพ่อสักที ตามเจนตนารมณ์ของท่าน จริงไหมครับ ง ง

อีกรูปครับ

9

กราบสรีระสังขารหลวงพ่อเปิ่นถ่ายแบบใกล้ชิดหลวงพ่อเลยครับ นมัสการหลวงพ่อครับ สาธุ

10
ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้ที่วัดบางพระมีจัดงานอะไรเหรอครับสอบถามผู้รู้หน่อยครับ :054: :054: :054:

11
ใครไปวัดบางพระมาบ้างเล่าสู่กันฟังหน่อยครับมีภาพประกอบได้ยิ่งดีเลยครับอยากเห็นครับงานลูกศิษย์เยอะป่าวครับ :054: :054: :054:

12
ลงภาพยังไงครับเปลี่ยนไปจำไม่ได้ครับรบกวนทีครับขอบคุณครับ :054: :054: :054:

13

 :054:รูปนี้ถ่ายที่กุฎิเก่าครับ :054:

14

เป็นเสือวัดไหนครับนี่เป็นของเก่าไม่ทราบที่ครับใครรู้ช่วยบอกหน่อยครับ ขอบพระคุณมากครับมีหลวงพ่ออยู่ด้านหลังใต้เสือมียันต์ครับไม่รู้ว่าแท้ไหมดูหน่อยนะครับ

15

เหรียญหลวงพ่อเปิ่น 19 มีจาร เลี่ยมทอง

16

 :054:กราบนมัสการหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม  :054:

17


ทดลองส่งคับ

18
ลงภาพไม่ได้กรุณาบอกทีเรามีภาพวัตถุมงคลของหลวงพ่อเพียบอยากลงมาโชว์บ้างจังแต่ทำไม่ได้หงะคับ

19

ทดลองส่งภาพ ผมมีวัตถุมงคลของหลวงพ่อเพียบเลยไม่ว่าจะเป็นตะกรุด เหรียญต่างๆ เพียบเลยยังไงว่ามานะคับ

หน้า: [1]