แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - job@love

หน้า: [1]
1
หนังสือพิมพ์ข่าวสด 1 มีนาคม 2555



ฉบับวันพรุ่งนี้

2
ล๊อคเก็ตหายาก อาจจะไม่ค่อยคุ้นตา
ท่านใดทราบข้อมูลรบกวนด้วยครับ


ล๊อคเก็ตหลวงปู่มี วัดมารวิชัย

หลังฝัง เกศา,นขา(เล็บ),ชิ้นพระสมเด็จรุ่นแรก07,เศียรพ่อแก่เงิน
พลอย,ตะกรุดทองคำ,เงิน,ทองแดง



รูปเก่าขออนุญาติลงใหม่ (ฝากพ่อน้องเป๊ปซี่ครับ)


3
พระกริ่งทักษิณ มิ่งมงคลปี2511วัดเขากง จ.นราธิวาส




พระกริ่งพุทธทักษิณมิ่งมงคล วัดเขากง จ.นราธิวาส พ.ศ.2511
เนื้อทองเหลือง ฐานเชื่อมบัดกรี บรรจุเม็ดกริ่ง เนื้อหาจากชนวนวัตถุมงคลเก่าตลอดทั้งตะกรุด
ของพระเกจิ อาจารย์จำนวนมาก มาหลอมในพิธีเททอง เพื่อเป็นชนวนโลหะศักดิ์สิทธิ์
ในขณะหลอม แผ่นยันต์ ของพระเกจิอาจารย์ 3 ท่าน ด้วยกัน หลอมไม่ละลาย
คือแผ่นยันต์ของ พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย , พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ , พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา
ทำให้ต้องตักแผ่นยันต์ นั้นขึ้นมาใหม่ และทำพิธีใหม่ แล้วจึงหลอมละลายได้
จากนั้นจึง เอาโลหะ ที่หลอมนั้นไปทำการสร้างวัตถุมงคล

รายนามพระเกจิอาจารย์ที่ร่วมปลุกเสก
1.พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย จ.สงขลา
2.พ่อท่านแสง วัดคลองน้ำเจ็ด จ.ตรัง
3.พ่อท่านเมือง วัดท่าแหน ลำปาง
4.หลวงปู่นาค วัดระฆัง กทม.
5.พ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก จ.พัทลุง
6.พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
7.หลวงพ่อดำ วัดตุยง จ.ปัตตานี
8.พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา จ.พัทลุง
9.พ่อท่านเขียว วัดหลงบล
10.ฆราวาสสายเขาอ้อ ท่านขุนพันธุ์ฯ อาจารย์ชุม ไชยคีรี ฯลฯ

4

ประวัติของ เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) ท่านเกิดที่บ้าน ต.เกาะท่าพระ อ.บาง กอกใหญ่ จ.ธนบุรี
เมื่อวันพุธที่ 16 พ.ย. 2396 ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ตรงกับปีฉลู จ.ศ.1215
ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประสูติ

เป็นบุตรของนายอ่อนและนางขลิบ เยาว์วัยได้เรียนอักขรสมัยในสำนักพระอาจารย์ทอง วัดราชสิทธาราม
ตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ จนอายุ 13 ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณรในสำนักพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ)
และศึกษาเล่าเรียนในสำนักนี้ตลอดมา
อายุ 21 ปี เข้าอุปสมบท มีพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านปลัดโต
และพระสมุห์กลัด เป็นคู่กรรมวาจาจารย์ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่หลายปี
แต่ไม่เคยสมัครเข้าสอบไล่หรือบาลีในสนามหลวง
เมื่อแตกฉานแล้วจึงหันมาเรียนและขึ้นกรรมฐานกับพระอุปัชฌาย์ เริ่มจากวิชาธรรมกายจนถึงถอดรูปได้
เรียนอยู่นานจนพระอุปัชฌาย์เชื่อมือ และได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด
จนกระทั่งปีพ.ศ.2422 ได้เป็นพระใบฎีกาฐานานุกรมของพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ)
หลังพระอุปัชฌาย์มรณภาพ ท่านก็รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนและบอกกรรมฐานพระเณรและคฤหัสถ์ทั่วไป
และมีโอกาสได้ออกไปรุกขมูลและถือธุดงค์บ่อยครั้ง สถานที่ที่ท่านชอบไปคือแถบพระพุทธบาทห้ารอย จ.เชียงราย
ไปจน ถึงเมืองหงสาวดีและย่างกุ้ง ในประเทศพม่า
ถึงปีพ.ศ.2431 เลื่อนเป็นพระสมุห์ฐานานุกรมในพระสังวราฯ (เอี่ยม) ต่อมาในปีพ.ศ.2451
ได้รับพระราชทานเลื่อนเป็นพระราชาคณะที่ พระสังวรานุวงษ์เถร ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจาก
พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) รับพระราชทานนิตยภัตเพิ่มอีกเดือนละสามตำลึงเสมอด้วยชั้นราช
รุ่งขึ้นอีกปีได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เพิ่มนิตยภัตขึ้นอีกเดือนละสองบาทรวมเป็นสามตำลึงครึ่ง
เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) เป็นพระมหาเถระที่มีพรหมวิหารสี่ครบถ้วน จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนอย่างมาก
เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิต มีอุบาสกอุบาสิกาและประชาชนทั่วไปมาฟังธรรมในวัดและเล่าเรียนทางวิปัสสนาธุระกันมาก
ต่อมาก เพราะท่านมีความรู้ความสามารถจึงอบรมสั่งสอนถ่ายเทความรู้ให้จนหมดสิ้น
ทั้งนี้ ท่านเป็นพระเถระรูปสุดท้ายที่ได้รับพระราชทานพัดหน้านางงาสานต่อจากเจ้าคุณเฒ่า
หรือหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ซึ่งหลังจากท่านแล้วก็ไม่มีรูปใดได้รับพระราชทานอีกเลย
อาจจะเป็นเพราะไม่มีพระราชาคณะรูปใดเหมาะสม หรือเพราะวัสดุและชิ้นส่วนงาสานนี้มีราคาแพงและหาได้โดยยาก
จึงไม่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นอีก

นอกจากนี้ ท่านเป็นพระอาจารย์ของ พระเกจิอาจารย์สำคัญทางฝั่งธนบุรีหลายรูป
เช่น หลวงปู่นาค วัดระฆัง หลวงพ่อพริ้งวัดบางปะกอก และหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นต้น

เครื่องรางของขลังที่ถือกันว่ามีพุทธานุภาพ เข้มขลังในด้าน “ป้องกันอัคคีภัยตามเคหสถานบ้านเรือน”
ก็คือเครื่องรางของขลังในรูปแบบของ “น้ำเต้า” และน้ำเต้าที่มีชื่อเสียงรู้จักกันแพร่หลายและมีประสบการณ์
จนขึ้นชื่อลือชาที่สุดเห็นจะได้แก่ น้ำเต้ากันไฟของ พระสังวรานุวงษ์เถร (ชุ่ม) หรือ ท่านเจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม)
อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 16 ของวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
พระอารามหลวงเก่าแก่แห่งหนึ่งซึ่งมีพระกรุ พระเก่ายอดนิยมที่นักสะสมพระเครื่องต่างหมายปอง
และมีราคาเช่าหาที่แพงมิใช่น้อย อดีตเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียงก็คือ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) เจ้าอาวาสองค์แรก
ท่านเจ้าคุณพระสังวรา (ชุ่ม) เป็นพระเถระที่เชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐาน
และสร้างพระเครื่องที่มีความศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเครื่องรางอย่าง “น้ำเต้ากันไฟ”
ซึ่งท่านได้วิชานี้มาขณะออกเดินธุดงค์ โดยได้ไปพบศาลาพักร้อนกลางป่าหลังหนึ่ง
ซึ่งโดยรอบศาลาถูกไฟไหม้เสียหายไปทั้งหมด แต่ตัวศาลากลับไม่ได้รับความเสียหาย
เป็นที่น่าอัศจรรย์ จึงเดินดูรอบๆ พบบริเวณอกไก่ มีน้ำเต้าแขวนไว้ลูกหนึ่ง
เมื่อเทออกดูพบคาถากันไฟบทหนึ่งบรรจุอยู่ภายใน ได้นำติดตัวกลับมาด้วย
ภายหลังกลับไปพบว่าศาลาดังกล่าวถูกไฟป่าไหม้เสียหายแล้ว เมื่อประจักษ์ในอภินิหารดังกล่าว
ท่านจึงได้สร้างน้ำเต้าบรรจุคาถาแจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์ จนมีชื่อเสียงถึงทุกวันนี้
น้ำเต้าของท่านจะเลือกเอาแต่น้ำเต้าตรงตามลักษณะที่ตำราบ่งบอกไว้และแก่จัดมากๆ
มาควักเอาเนื้อในและเม็ดออกให้หมดแล้ว นำมาลงอักขระเลขยันต์ และปลุกเสกตามสูตรโบราณ
ที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากครูบาอาจารย์ ที่เคยพบบางลูกก็มีการถักเชือกและลงรักปิดทองไว้
บางลูกก็ไม่มี ไม่เป็นที่แน่นอนเสมอไป แต่ชาววงการมักจะนิยมและเล่นหาแบบถักเชือกและลงรักมากกว่า
ส่วนขนาดนั้นก็ไม่แน่นอนเนื่องจากการสร้างน้ำเต้ากันไฟนี้ถ้าจะสร้างให้ถูกต้องตามแบบโบราณนั้นสร้างยากมาก
นับตั้งแต่หาวัสดุ จนถึงขั้นตอนการปลุกเสก เป็นผลให้น้ำเต้าของท่านเจ้าคุณสังฆ วรา (ชุ่ม)
นี้มีจำนวนน้อยมาก นานๆ จะพบสักลูกหนึ่ง

มีเรื่องที่ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังเรื่องหนึ่งเมื่อท่านธุดงค์ไปสุพรรณบุรี เพื่อนมัสการหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลยก์
โดยท่านกะว่าเมื่อนมัสการแล้วจะออกไปแสวงหาวิเวกนอกเมือง ด้วยพระธุดงค์สมัยก่อน
ไม่นิยมการอยู่ในเขตบ้านเรือนหรือในเมืองเพราะเป็นที่ไม่เหมาะแก่การเจริญภาวนา
ครั้นไปถึงแล้วปรากฏว่าเป็นเวลาเย็น พระวิหารหลวงพ่อโตปิดลั่นดาลทั้งนอกและใน
แล้วด้านหน้าใส่สลักดาล ด้านหลังใส่กุญแจ ท่านก็เที่ยวเดินหาคนที่คอยดูแลพระวิหาร
แต่ไม่พบ จึงตั้งใจว่าจะกราบนมัสการข้างนอก โดยนึกในใจว่า วาสนาของเราไม่มีในคราวนี้จักต้องไปที่อื่น
คราวหน้าจะหาโอกาสมานมัสการใหม่ แล้วทรุดตัวลงนั่งกราบ พลันหูก็ได้ยินเสียงดาลประตูลั่นดังแกร๊กจากทางด้านหน้า
และประตูพระวิหารก็แง้มออกพอมีช่องให้เข้าไปได้
ท่านจึงเดินเข้าไปผลักประตูออก แล้วเข้าไปนมัสการหลวงพ่อโตด้วยความอิ่มใจ
และเดินดูจนทั่วพระอุโบสถว่าใครเปิดพระวิหารให้เข้าไป แต่ก็ไม่พบ เดินวนจนอ่อนใจ
จึงกราบนมัสการลาหลวงพ่อโต แล้วผลักบานประตูให้สนิทกัน พลันก็ได้ยินเสียงลั่นดาล
เมื่อเอามือผลักดูก็พบว่าดาลข้างในปิดตายแล้ว ท่านว่าเทพยดานิมิตให้ได้เข้าไปนมัสการ

เจ้าคุณสังวรา(ชุ่ม) ครองวัดราชสิทธารามอยู่ 12 ปีจึงมรณภาพ เมื่อปีพ.ศ.2470 รวมอายุได้ 74 ปี
ในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์ สิริวัฑฒโน)
วัดราชบพิธฯ เสด็จเป็นประธานพระราชทานเพลิงศพด้วย นับเป็นงานที่ใหญ่โต โดยสร้างเมรุลอยบนภูเขาจำลอง
มีมหรสพสมโภชถึง 3 วัน 3 คืน
ในงานมีเหรียญที่ระลึกแจก เป็นเหรียญเนื้อทองแดงรูปไข่ หูเชื่อม ซึ่งแม้จะเป็นเหรียญตาย
แต่ปัจจุบันหายากมาก สนนราคาเหรียญที่สวยๆ ประมาณหมื่นบาท ที่สำคัญ
ปลุกเสกโดยสุดยอดพระคณาจารย์ดังในยุคนั้น อาทิ พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เป็นต้น
สำหรับวัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้มีด้วยกันหลายอย่าง เช่น ตะกรุดสามกษัตริย์,น้ำเต้ากันไฟ,
พระพิมพ์เล็บมือ หรือพิมพ์ซุ้มกอ เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา,พระพิมพ์ห้าเหลี่ยม เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา และเนื้อสำริด,
พระพิมพ์สองหน้า เนื้อชินตะกั่วถ้ำชา,พระพิมพ์เนื้อเงิน และเนื้อทองฝาบาตร,พระปิดตา เนื้อตะกั่วอาบปรอท

ตัวอย่างพระเนื้อชิน




เครดิต: ประวัติโดย bloggerวัดราชสิทธิ

5
ไปดูที่บ้านมา ว่าน้ำจะท่วมไหม  :075: เลยถ่ายมาฝาก
 
เศียรปู่ฤษีเนื้อผงยาและเกศา หลวงพ่อเปิ่น บูชาครูปี44




เศียรหลวงปู่มี วัดมารวิชัย เนื้อเงิน


6
ครั้งหนึ่งเคยถูกบังคับท่อง
ปัจจุบันนี้ มี ให้ฟังเป็นเพลงแล้วครับ

http://www.youtube.com/watch?v=4OW-heYbJJA&feature=related

ผมว่าฟังแล้วเข้าใจง่ายดีนะ :114:

[shake]บทปลงสังขาร[/shake][/b]
มนุษย์เราเอย เกิดมาทำไม
นิพพานมีสุข อยู่ใยมิไป
ตัณหาหน่วงหนัก หน่วงชักหน่วงไว้
ฉันไปมิได้ ตัณหาผูกพัน
ห่วงนั้นพันผูก ห่วงลูกห่วงหลาน
ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร จงสละเสียเถิด
จะได้ไปนิพพาน ข้ามพ้นภพสาม

ยามหนุ่มสาวน้อย หน้าตาแช่มช้อย
งามแล้วทุกประการ แก่เฒ่าหนังยาน
แต่ล้วนเครื่องเหม็น เอ็นใหญ่เก้าร้อย
เอ็นน้อยเก้าพัน มันมาทำเข็ญใจ
ให้ร้อนให้เย็น เมื่อยขบทั้งตัว
ขนคิ้วก็ขาว นัยน์ตาก็มัว
เส้นผมบนหัว ดำแล้วกลับหงอก
หน้าตาเว้าวอก ดูหน้าบัดสี

จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย
เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร
จะเข้าที่นอน พึงสอนภาวนา
พระอนัจจัง พระอนัตตา
เราท่านเกิดมา รังแต่จะตาย
ผู้ดีเข็นใจ ก็ตายเหมือนกัน
เงินทองทั้งนั้น มิติดตัวไป

ตายไปเป็นผี ลูกเมียผัวรัก
เขาชักหน้าหนี เขาเหม็นซากผี
เปื่อยเน่าพุพอง หมู่ญาติพี่น้อง
เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้
เขานั่งร้องไห้ แล้วกลับคืนมา
อยู่แต่ผู้เดียว ป่าไม้ชายเขียว
เหลียวไม่เห็นใคร เห็นแต่ฝูงแร้ง
เห็นแต่ฝูงกา เห็นแต่ฝูงหมา
ยื้อแย้งกันกิน ดูน่าสมเพช

กระดูกกูเอ๋ย เรี่ยรายแผ่นดิน
แร้งกาหมากิน เอาเป็นอาหาร
เที่ยงคืนสงัด ตื่นขึ้นมินาน
ไม่เห็นลูกหลาน พี่น้องเผ่าพันธุ์
เห็นแต่นกเค้า จับเจ่าเรียงกัน
เห็นแต่นกเสก ร้องแรกแหกขวัญ
เห็นแต่ฝูงผี ร้องไห้หากัน

มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงนักเลย
ไม่มีแก่นสาร อุตสาห์ทำบุญ
ค้ำจุนเอาไว้ จะได้ไปสวรรค์
จะได้ทันพระพุทธเจ้า จะได้เข้าพระนิพพาน

อะหัง วันทามิ สัพพะโส นิพพานะปัจจะโย โหตุ[/size]

7
ขอเชิญพี่ๆน้องๆร่วมสนุกกันโดยตั้งชื่อน้องกุมารน่ารักตนนี้

1.ท่านใดตั้งชื่อโดนใจ ได้รับการโหวตจากสมาชิคเวปวัดบางพระมากที่สุด
จะได้รับน้องกุมารจำนวน 1ชุด (โหวตโดยการกด ขอบคุณ)

2.ท่านใดตั้งชื่อโดนใจคณะกรรมการตัดสิน อาจจะได้รับรางวัลพิเศษ...

สิ้นสุดการตั้งชื่อน้องกุมาร 28 กุมภาพันธ์ 2554
และประกาศผลรายชื่อผู้โชคดี ต้นเดือนมีนาคม
ผู้ที่โชคดีสามารถติดต่อขอรับของรางวัลได้ในวันที่ 19 มีนาคม 2554

ร่วมกันตั้งชื่อน้องกุมารกันเยอะๆนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดี 06;

8
ขอกราบขอบพระคุณหลวงพี่ญา
ที่เมตตา มอบรูปถ่ายมา ณ โอกาศนี้ด้วยครับ

 :054: :054: :054:


















11
ตะกรุดสุริยุปราคาอุดผง 2538
ตะกรุดยันต์นะหน้าทอง 2538
ตะกรุดยันต์นะหน้าทอง ไตรมาสปี 2530



ตะกรุดใบลาน


แหวนปลอกมีด มงคลเก้า นวะโลหะ




12
เหรียญเพิร์ธหลวงพ่อเปิ่น (พิเศษนิดหนึ่ง)






ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นลายมือหลวงปู่เปิ่นหรือเปล่า 07;

13
พี่น้องว่าคุ้นๆ ไหมครับ
รูปแบบช่างเหมือนกับของที่วัดบางพระเคยทำเป็นผ้ายันต์มากครับ




[shake]เครื่องรางชิ้นนี้ไม่ใช่ของวัดบางพระนะครับ[/shake][/color]

14
เหรียญหลวงปู่เปิ่นพึ่งมาโปรดครับ

เหรียญนั่งพานหลวงพ่อเปิ่น เนื้อเงิน หลังยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า



เมื่อเทียบกับ
เหรียญนั่งพานหลวงปู่มี เนื้อเงิน หลังยันต์เกราะเพชรพระพุทธเจ้า


 :109:

15
ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับ
ท่านข้าวหลามตัด(จ๊อบ) จะเข้าอุปสมบท
ณ.อุโบสถ วัดบางพระ
วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤษภาคม 2553
:089:



เครดิตภาพพี่โคมแก้วครับ :090:

16

พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)

๑. พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๒. มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๓. นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๔. อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโย ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๕. กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๖. สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๗. นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

๘. ทุคคาหะ ทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถาโย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ

* ถ้าสวดให้คนอื่นใช้คำว่า เต สวดให้ตัวเองใช้คำว่า เม (เต แปลว่าท่าน - เม แปลว่าข้าพเจ้า)


ฟังแล้วสบายหูดีครับเลยเอามาฝาก ถ้าซ้ำขออภัยด้วยครับ

17
หลวงพ่อเปิ่นขี่หมู 2525


หนุมาน 2544


หลวงปู่มี นั้งพานเนื้อเงิน 2537


หลวงปู่มี นั้งพานเนื้อนวะ 2537


หลวงพ่อไสว เหรียญธงยาว 2538


ส่วนปรกใบมะขามองค์นี้...........ที่ไหนนะ ปี2519 มีจารด้วย  :018:






18

พระกรุวัดสัมพันธวงศ์ หรือ พระกรุวัดเกาะ
พระเครื่องชุดนี้ ตามที่ปรากฏหลักฐานจากท่านผู้มีความรู้ทางโบราณคดี
แจ้งว่า พระชุดนี้สร้างในสมัยเดียวกันกับ "วัดราชบูรณะ"(วัดเลียบ)
ค้นพบตามซุ้มกำแพงแก้ว พระเจดีย์ พระวิหาร และพระประธาน ของพระอุโบสถหลังเดิม


ตามประวัติว่า ใน ร.ศ.๑๕ ตรงกับปีมะโรง อัฐศก จ.ศ. ๑๑๕๘ พ.ศ. ๒๓๓๙ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ผู้มีศรัทธาใน พระพุทธศาสนา
บูรณะปฏิสังขรณ์วัดเกาะซึ่งเป็นวัดโบราณ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีคูคลองรอบวัดสร้างมาก่อนกรุงเทพพระมหานคร
ครั้น ปฏิสังขรณ์ใหม่หมดทั้งอารามเสร็จแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามใหม่ว่า
“วัดเกาะแก้วลังการาม” ตามหลักฐานที่ปรากฏนี้ จึงพอประมาณได้ว่า เป็นวัดที่มีมาก่อนยุครัตนโกสินทร์        
     ในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชปรารภว่า วัดเกาะแก้วลังการาม เป็นวัดที่เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี
ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่หมดทั้งอาราม สมควรที่จะเฉลิมพระเกียรติให้ปรากฏสืบต่อไปภายหน้า
เพื่อให้เกิดปิติปราโมทย์แก่ผู้สืบสกุลในเมื่อได้ทราบว่าบรรพบุรุษของตนได้ สร้างกุศลไว้เป็นเหตุเจริญศรัทธาให้บำเพ็ญกุศลตามสติกำลัง
จึงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามของวัดใหม่ว่า “วัดสัมพันธวงศาราม วรวิหาร”


พระกรุที่ค้นพบนี้ ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นผู้สร้างไว้แต่เมื่อไหร เพียงแต่สันนิษฐานว่า
น่าจะสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างโบสถ์ วิหาร และกำแพงรอบโบสถ์วิหาร เพราะได้พบพระกรุมีอยู่ที่ซุ้มระหว่างโบสถ์กับวิหารเก่า
ซุ้มประตูกำแพงรอบโบสถ์ วิหาร และพบท้ายสุดที่ฐานพระประธาน การค้นพบในอดีตมี ๓ ครั้ง คือ


             ครั้งที่ ๑ ซุ้มทางเดินติดต่อกันระหว่างโบสถ์กับวิหารเก่าพังลง ปราฏว่ามีพระเครื่องชนิดนี้ 
ตกกระจัดกระจายอยู่ทั่ว ทางวัดจึงได้รวบรวมสร้างเจดีย์บรรจุไว้ในระหว่างโบสถ์กับวิหาร และแจกให้ต้องการออกไปบ้าง

             ครั้งที่ ๒ ซุ้มประตูกำแพงโบสถ์วิหาร   ด้านทิศตะวันตกพังลงปรากฏว่า  มีพระเครื่องชนิดเดียวกันนี้
ตอนแรกไม่มีใครสนใจมากนัก เกิดแตกตื่นเล่าลือกันมาก เนื่องจากทหารเรือเอาไปทดลองยิงดูที่บางนาปรากฏว่ายิงไม่ออก  
จึงเป็นที่แสวงหากันมากในช่วงนั้น

             ครั้งที่ ๓ เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตให้รื้อพระอุโบสถ วิหาร และเจดีย์  พบพระเครื่องชนิดเดียวกันอีกที่ฐานพระประธาน 
ใน ส่วนที่อยู่ใต้ฐานของพระประธานนั้น เป็นการค้นพบโดยบังเอิญ โดยค้นพบคณะที่สกัดทำการเคลื่อนย้าย
ได้พบพระเครื่องเนื้อชินเงินพิมพ์ต่างๆ ๆ  บรรจุอยู่ในองค์พระและใต้ฐานพระเป็นจำนวนมากนับเป็นหมื่นองค์







พระ เครื่องทั้งหมดเป็นเนื้อชินเงินอาบปรอท มีชนิดปิดทองก็มีและไม่ปิดทองก็มี ทางวัดได้นำออกให้ประชาชนบูชา
เพื่อนำทุนทรัพย์สมทบทุนในการสร้างพระอุโบสถ หลังใหม่ ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๑๕ มีประชาชนสนใจบูชาไปเป็นจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2506 ซึ่งเป็นวันที่ทางวัดจัดให้มีการวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถที่กำลังสร้างใหม่
จึง ได้ทูลอาราธนา สมเด็จพระสังฆราชญาโณทยมหาเถระ (อยู่ ญาโนทัย) วัดสระเกศ มาเป็นประธานฝ่ายบรรพชิต
และได้เชิญ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นมาเป็นประธานวางศิลาฤกษ์           
หลัง จากเสร็จพิธีแล้ว พระมหารัชมังคลาจารย์เจ้าอาวาสได้มอบพระเครื่องที่ได้จากกรุจำนวน 9 องค์ 9 พิมพ์ทรง
เพื่อเป็นที่ระลึก แด่ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อจอมพลสฤษดิ์ได้รับพระมาพิจารณาแล้วจึงได้ เล่าให้กับท่านเจ้าอาวาสฟังว่า
พระ เครื่องของวัดเกาะพิมพ์แบบนี้สมัยเมื่อเป็นทหารสมัยสงครามอินโดจีนได้มาเข้าแถวรับจากทางวัด
เมื่อนำไปใช้นับว่ามีอภินิหารในทางแคล้วคลาดคุ้มครองดีนัก แม้เข้าที่คับขันก็สามารถฟันฝ่าอันตรายหนีกระสุนปืนกลับมาได้



ขอบคุณ ที่มา http://www.watsamphan.com/

19
http://www.youtube.com/watch?v=AHtwVALKoWs
:047:



แถมด้วยคลิปนี้
http://www.youtube.com/watch?v=01jDSk-8yL4

เครดิต youtube ครับ (บางท่านอาจได้รับชมไปแล้วหรือถ้ามีผู้ใด้เคยลงไปแล้ว ขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วย)

20
วันนี้ใครถาม หาพระกรุยอดขุนพล นะ (ของลพบุรีผมไม่มีหรอกครับแพง)
มีเมื่อหลายปีก่อนเก็บพระยอดขุนพล กรุวัดราษฏร์บูรณะ จ.อยุธยา ไว้ก่อนที่ปัจจุบันจะหายไปหมด


ซุ้มกอ กรุวัดราษฏร์บูรณะ จ.อยุธยา


ซุ้มแจกัน กรุวัดราษฏร์บูรณะ จ.อยุธยา


ปรกโพธิ์ กรุวัดราษฏร์บูรณะ จ.อยุธยา



เชียงแสน ชินตะกั่วสนิมแดง พิมพ์ตุ๊กตาเล็ก


พระกรุวัดเพชร ชินเงิน สระบุรี




หลังจากนี้น้องก็ไม่มีอะไรมาให้ชมแล้ว เพราะเดินหาไม่เจอมาหลายปีแล้วถึงเจอก็แพง+ไม่สมบูรณ์
(เมื่อก่อนเล่นย่อยๆอีกหน่อยก็หลักเอง)


ขอบคุณท่านเอ็มเมืองไร่ขิงด้วยครับสำหรับ พระหลวงพ่อวัดไรขิง และขอบคุณท่านหมู สำหรับจีวรหลวงปู่เจือ
:090:

21
รูปถ่ายหลวงพ่อเปิ่น ปี253กว่าๆๆ ขนาด 1 นิ้ว
รู้สึกว่าจะเป็นรูปเดียวกันกับพี่ชาญ เลยครับ 36;





อีกรูปหนึ่งไปสะดุดเจอในเวป....
ไม่แน่ใจเป็นลายจาร เจ้าของท่านเดียวกันหรือเปล่า 07;




 :109: ลองเปรียบเทียบดูเล่นๆครับ


22


ประวัติ วัดวิหารทอง
วัดวิหารทอง ตั้งอยู่ที่หมู่ 7 ตำบลเที่ยงแท้ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เดิมเป็นวัดโบราณเก่าแก่
และเป็นวัดร้างเหลือเพียงองค์พระเจดีย์ ต่อมาเจ้าคณะเมืองสวรรคบุรี นามว่า "หลวงวัง"
ซึ่งเป็นผู้ที่มีฐานะมั่งคั่ง ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ ให้กลับมามีสภาพเป็นวัดขึ้นใหม่
โดยมีหลวงพ่อสอนเป็นเจ้าอาวาส ระหว่างในปีพ.ศ. 2453-2460 เมื่อท่านมรณภาพแล้ว
หลวงพ่อเมฆ จึงได้เป็นเจ้าอาวาส ต่อมาจนถึงปี พ.ศ. 2465 หลวงพ่อโตก็ได้เป็นเจ้าอาวาสสืบแทน


ชาติภูมิ
หลวงพ่อโตพื้นเพท่านเป็นชาวชัยนาทโดยกำเนิด ท่านเกิดในปี พ.ศ. ๒๔๐๑ 
โยมบิดาชื่อโยมเงิน หลวงพ่อโตท่านเป็นพระที่มีกิตติคุณต่างๆ มากมาย
ของขลังที่ท่านทำแจกลูกศิษย์มีผู้ได้รับประสบการณ์ต่างๆ มากมาย
ท่านหลวงพ่อโตมีคุณวิเศษเหนือเกจิองค์อื่นอยู่อย่างหนึ่ง เท่าที่ได้ยินมาแล้วนำมาเปรียบเทียบ
ท่านเป็นพระที่มีตบะแก่กล้าที่สุด เคยได้ยินและได้ฟังมา เวลา วัดมีงานในสมัยก่อน อำเภอสรรคบุรี
แม้ตำรวจก็ไม่สามารถดูแลความเรียบร้อยในงานได้ มักจะมีการจี้ ลักขโมยกันเป็นประจำ
อีกอย่างหนึ่งคือกำลังของตำรวจมีน้อยด้วย ทางวัดต่างๆ จึงต้องนิมนต์ท่านไปคุมงาน
ครั้งหนึ่งในงานทำบุญเลี้ยงพระประจำปี ได้มีเหตุการณ์คนร้ายกระตุกสร้อยคอ
โดยมีผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นชาวบ้านในย่านนั้น ได้วิ่งร้องไห้มาบอกหลวงพ่อว่า
ถูกคนร้ายกระตุกสร้อยคอทองคำหนักสองสลึงไป
หลวงพ่อท่านก็ปลอบว่า "เดี๋ยวก็ได้คืนมันเอาไปไม่ได้หรอก"
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็สงสารเจ้าของสร้อยคอ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามที่ไหน
อีกสักพักต่อมาก็มีคนร้ายนำสายสร้อยมาถวายให้กับหลวงพ่อโต
หลวงพ่อก็เลยถามว่า "นึกอย่างไรจึงนำมาถวาย" คนร้ายรับสารภาพว่า "หาประตูทางออกจากวัดไม่เจอ
วิ่งวนอยู่หลายรอบก็หาไม่เจอ เจอแต่กำแพงวัดทั้งนั้น ทั้งๆ ที่เคยเข้าออกประตูวัดอยู่ประจำ
วิ่งจนเหนื่อยอ่อนไปหมดแล้วครับ คิดในใจว่าหลวงพ่อคงไม่ให้ออกจากวัดแน่ จึงนำสร้อยมาคืนครับ
" หลวงพ่อจึงเทศนาสั่งสอนว่า " ไม่ใช่ของของเราอย่าไปเอาเป็นเงินร้อน นอนไม่เป็นสุข
อีกทั้งจะต้องรับเคราะห์กรรมต่อไปในชาติหน้าอย่าทำอีกเลย" คนร้ายก็ให้สัจจะแล้วหลวงพ่อก็มอบสร้อยคืนเจ้าของไป


วัตถุมงคล
๑ พระพิมพ์เนื้อทองเหลืองหล่อ เป็นพระพิมพ์รูปพระพุทธยืน ปางห้ามญาติ ทรงคล้ายสี่เหลี่ยม หูในตัว

๒ พระพิมพ์เนื้อชินเงินผสม ตะกั่ว พระเนื้อนี้แบ่งออกเป็น ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์นั่งและพิมพ์ยืน
พิมพ์นั่งรูปทรงคล้ายตัว ก. มีอักขระด้านข้าง พิมพ์ยืนจะเล็กกว่าพิมพ์นั่ง เป็นพระพุทธรูปยืนห้ามญาติ
แบบพิมพ์สรรค์ยืนบนฐานบัว




๓ เหรียญพุทธลีลา เหรียญ รุ่นนี้รูปลักษณะภายนอกอยู่ในทรงใบเสมา หูในตัว ต่อด้วยห่วงเชื่อม
ขอบด้านหน้าประดับด้วยลายกนกสวยงามมาก ตัวเหรียญบางมาก เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง
ไม่มีภาษาไทยบอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

๔ เหรียญรูปท่าน ปี ๒๔๘๐ เป็นเหรียญปั๊มหูในตัว เนื้ออัลปาก้าเก่าแบบช้อนส้อมรุ่นเก่า แก่ทองเหลืองเล็กน้อย
เป็นรูปท่านครึ่งองค์ ด้านหน้าและด้านหลังไม่ได้บอกชื่อท่าน ไม่บอกชื่อวัด คือไม่ปรากฏภาษาไทยเลย


นอก จากพระเครื่อง ๔ แบบ ๔ พิมพ์นี้แล้ว สมัยท่านยังได้สร้างรูปถ่ายอัดกระจกรูปท่านไว้ด้วย
รูปถ่ายนี้ท่านเคยถ่ายไว้เพียง ๒ ครั้ง ภายหลังเมื่อมีการรื้อเจดีย์ยังได้พบพระเนื้อดินยืน,
พระเนื้อชิน นั่ง-ยืน และ พิมพ์รูปท่าน หลังเตารีด บอกชื่อ และ พ.ศ. ไว้ชัดเจน
แม้ตามเจดีย์คนตายถ้ามีการรื้อถอนก็จะพบพระพิมพ์ของท่านมากมาย แต่โดยมากจะเป็น
พระลีลายืนและพระพิมพ์สรรค์ แสดงว่าในสมัยของท่าน ท่านชอบสร้างพระมาก


ว่ากันว่าพระเนื้อตะกั่วของหลวงพ่อโต นั้นท่านได้ขอเนื้อชนวนตะกั่วของหลวงปู่ศุขมาเทเป็น ชนวนด้วย
และได้รับการปลุกเสกเพิ่มจากหลวงปู่ศุข เรื่องพุทธคุณนั้นหายห่วง ดีครบในทุกๆ ด้าน
โดยเฉพาะเมตตามหานิยม เขาว่ายอดเยี่ยมครับ หลวงพ่อโต
ท่านมรณภาพในปี พ.ศ. 2485 สิริอายุได้ 84 ปี พรรษาที่ 63


ที่มาของข้อมูล
แทน ท่าพระจันทร์
รายละเอียดบางส่วนจากเซียนพระจังหวัดชัยนาท
ขออนุญาติเจ้าของภาพพระที่นำมาลงด้วยครับ(ขอบคุณครับ)

23
ภาพถ่ายพิธีไหว้ครู 2552 ณ. วัดบางพระ จ. นครปฐม
มาชมเพื่ออุ่นเครื่องกัน
































24
เหรียญหลวงปู่ ที่พอจะมีครับ
เหรียญใหน ผิดปกติวิจารณ์ได้ครับ
ขี่เสือ 2520


ขี่หมู 2525


เสมาหน้าเสือเล็ก 2525


เสมาเสือคู่ 2528



ปีใหม่นี้ ขอให้ครูบาอาจารย์วัดบางพระทุกท่าน มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงครับ

ถือโอกาศนี้ขออนุญาติช่วยหลวงพี่เก่งประชาสัมพันธ์ด้วยครับ
งานประจำปีปิดทองรูปหล่อเหมือน
หลวงปู่หิ่ม
หลวงปู่เปลี่ยน
หลวงปู่ทองอยู่
หลวงพ่อเปิ่น
(งานเทศกาลกลางเดือนยี่ วัดบางพระ)
เริ่มงาน วันพุธที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๒   ถึง   วันศุกร์ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓

http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,13643.html

25
การทำกรรมกับสถาบันพระศาสนาก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะศาสนาไม่เคยเสื่อม
แต่จิตใจของคนเราเสื่อมลง ทุกวันนี้มีบางคนนินทาพระภิกษุสงฆ์
พระภิกษุสงฆ์หรือบุคลากรสำคัญของพระพุทธศาสนา
เราไม่รู้หรอกว่า ผู้ที่เราติฉินนินทานั้นท่านมีจิตใจในระดับไหน
หากเราพลั้งไปนินทาว่าร้ายพระที่ท่านภาวนาหรือพระปฏิบัติ
กรรมอันหนักหนาจะเป็นสิ่งที่ย้อนมาสู่ตัวเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผู้ที่มักตำหนิพระสงฆ์ในใจ หรือเอาเรื่องของพระสงฆ์หรือบุคลากรทางศาสนา
มานินทาเป็นที่สนุกปากนั้น เมื่อใดก็ตามที่กรรมนั้นย้อนกลับมา
ตนเองก็จะถูกผู้อื่นมองไม่ดี ตั้งแง่ว่าเป็นคนไม่สุจริตทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยทำอะไรผิด
และไม่เป็นที่ยอม รับของคนทั่วไป มีแต่ปัญหาให้ว้าวุ่นใจตลอด
ซึ่งเป็นผลกรรมจากการตำหนิพระสงฆ์องค์เจ้า

ผู้ที่ลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา มักพบผลกรรม คือ เดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
ขอบคุณ koymoo เวปพลังจิต

การพิมพ์ข้อความเผยแพร่ส่อเสียด ตำหนิ ลบหลู่ และนินทา ระวังไฟด้วยนะครับ





26


การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
เรื่องนินทาและสรรเสริญ คือว่า การนินทา การสรรเสริญมันมีประจำโลก
ถ้าหากว่ายังอยู่ในโลกเพียงใด มันก็ต้องพบกับคำนินทาและสรรเสริญ คนประเภท
ไหนบ้างจะถูกนินทาและสรรเสริญ และคนประเภทไหนจะไม่ถูกนินทาไม่มีสรรเสริญ
ก็คนที่ไม่ถูกนินทาไม่ถูกสรรเสริญก็คนพวกเดียว คือ พวกไม่เคยเกิด เขายัง ไม่รู้จัก ใช่ไหม
ฉะนั้นคนที่เกิดมาแล้วย่อมถูกนินทาและสรรเสริญ
แม้แต่พระพุทธเจ้าถูกนินทายังน้อยไป
อย่างพราหมณ์ ๔ คน แกด่าต่อหน้าเรื่องนินทาพระพุทธเจ้า มีเยอะ
ท่านทำถูก เขาทำผิดไม่เป็นไร ทีนี้คนที่อาศัยท่าน นินทาท่านซิ

มีครั้งหนึ่ง ทรงพาพระสงฆ์เสด็จไป เวลานั้นก็มีปริพาชกพวกหนึ่ง มีสุปปิยปริพาชก เป็นหัวหน้า
ผู้เป็นลุง นันทมาณพ เป็นหลาน เป็นรองหัวหน้า พาบรรดา ปริพาชกติดตามไป
พระพุทธเจ้าพักตรงไหน พระอรหันต์พักตรงไหน เขาก็พักใกล้ ๆ ทั้งนี้เพราะอะไร
ตอนเช้าพระไปบิณฑบาต คนใส่บาตรพระ พวกเขาก็เดินตามหลัง พลอยได้ด้วย
ถ้าหากว่าไม่เดินตามพระ เดินตามลำพังไม่มีใครใส่บาตรให้กิน
แกก็อาศัยพระพุทธเจ้า อาศัยพระอรหันต์ทุก ๆ วันเดินตามไปเรื่อย ๆ

ต่อไปเดินไปถึง เมืองนาลันทา กับ เมืองราชคฤห์ ต่อกัน ในช่วงเส้นต่อกัน
พระพุทธเจ้าก็พักตรงนั้น บรรดาสุปปิยปริพาชกกับบริวารก็พักใกล้ๆ เดินตามไป
ธรรมดาพระสงฆ์ถ้าอยู่ใกล้ๆพระพุทธเจ้าก็ยิ่งสำรวมมากขึ้น ที่ไปนั้นโดยส่วนใหญ่เป็นพระอรหันต์
ที่เป็นพระปุถุชนก็มีอยู่ และทุกท่านบวชหวังดี ประสงค์ดี ก็มีการสำรวมใช่ไหมในระหว่างที่พักอยู่
พระก็มีอาการสำรวมตามปกติ ทีนี้บรรดาปริพาชก เขาไม่ค่อยจะมีระเบียบวินัย เล่นกันบ้าง
ล้อกันบ้าง หยอกกันบ้าง เวลาเดินไป พระก็สำรวม ปริพาชกเล่นกัน หยอกล้อกัน

ทีนี้เวลากลางคืน พระสงฆ์ทั้งหลายก็เจริญพระกรรมฐาน มีอารมณ์เงียบสงัด ถึงเวลาดึก
ก็ต่างคนต่างนอน ต่างคนต่างจำวัด บรรดาพระสงฆ์ก็จำวัดล้อมพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าอยู่ท่ามกลาง ทรงจำวัดในท่าสีหไสยาสน์ ก็เงียบ สุปปิยปริพาชกตื่นขึ้นมาตอนดึก
เห็นพระเงียบ ไม่มีเสียงปรากฏ ดูลูกหลานบริษัทบริวาร ของตน นอนกรนบ้าง น้ำลายไหลบ้าง
ก่ายกันบ้าง แกก็ย่องไปดูพระ คิดว่าพระคงจะหนีไปแล้ว ก็เห็นพระอยู่ทุกองค์
มีพระพุทธเจ้าเสด็จบรรทมอยู่ในท่ามกลาง ต่างองค์ต่างเรียบร้อยนอนสนิท มาดูบริวารของตน
ก่ายกันบ้าง กรนบ้าง อะไรบ้าง ตามเรื่องตามราว เมื่อเห็นจริยาท่าทางของบริวารของท่านสู้
พระไม่ได้ แทนที่แกจะตำหนิตัวเองว่าไม่สามารถอบรมบริษัทให้ดีได้ กลับไปนั่งนินทาพระพุทธ
เจ้าตลอดคืน เห็นไหม เขาดีกว่า อาศัยกินด้วยนะนั่นน่ะ บิณฑบาตตามจึงได้กิน
ถ้าพูดภาษาเราก็เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน

ต่อมา หลานชาย นันทมาณพ ได้ยินเสียงลุงขึ้นมานินทาพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์
นันทมาณพก็ลุกขึ้นมาสรรเสริญพระพุทธเจ้า สรรเสริญพระสงฆ์
เอาซินะ
สองคนนี้ถ้ารุ่นราวคราวเดียวกันชกปากกันแน่ แต่เผอิญลุงแก่กว่า ไม่กล้าชก ด่าอย่างเดียว

เป็นอันว่า การนินทาและสรรเสริญของ ๒ คนนี้ก็ทราบไปถึงหูชาวบ้าน
พอตอนเช้าพระไปบิณบาต ชาวบ้านก็เล่าให้พระฟังว่า เมื่อคืนนี้ สุปปิยปริพาชก นั่งนินทา
พระรัตนตรัย เขานินทาหมด นินทาตัวพระพุทธเจ้า นินทาคำสอนของพระพุทธเจ้า
นินทาพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าหมดพระรัตนตรัย สำหรับนันทมาณพสรรเสริญพระรัตนตรัย
ตลอดคืนเหมือนกัน เป็นอันว่าลุงกับหลานมีความเห็นไม่ตรงกัน ชาวบ้านก็เล่าให้พระฟัง
พระท่านก็แค่ฟัง ฟังมาแล้วท่านก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอฉันข้าวเสร็จ พอเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์
พระก็เข้าไปพร้อมกัน พระบางองค์ก็กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า เมื่อคืนนี้สุปปิยปริพาชก
นินทาพระรัตนตรัย แต่ว่านันทมาณพสรรเสริญพระรัตนตรัย
ทั้งสองนี้นินทาและสรรเสริญอยู่ตลอดคืน พระพุทธเจ้าก็เลยเทศน์เรื่องนี้ ท่านบอกว่า

"ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นินทา ปสังสา การนินทาและสรรเสริญทั้งสองประการนี้
เป็นธรรมดาของชาวโลก"
ชาวโลกทั้งหมดที่เกิดมานี้ต้องพบกับคำนินทาและสรรเสริญ
ท่านก็เลยตรัสว่า การนินทาและสรรเสริญทั้งสองประการไม่มีอะไรเป็นผล ถ้าเราเป็นคนดี
เขานินทาว่าเราเป็นคนชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตามปากเขาพูด ถ้าเราเป็นคนชั่ว เขาสรรเสริญว่า
เราเป็นคนดี เราก็ไม่ดีไปตามปากเขาพูด ฉะนั้นความดีหรือความชั่วอยู่ที่ผลแห่งการปฏิบัติ
ถ้าเราปฏิบัติดีเราก็ดี เราปฏิบัติเลวเราก็เลว ก็รวมความว่า ขอบรรดาภิกษุทั้งหลาย
อย่าสนใจคำนินทาและสรรเสริญ คือ ไม่สนใจกับคำสรรเสริญที่เขาว่าเราดี
เราไม่สนใจกับคำนินทาว่าเราชั่ว


เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า จงอย่าสนใจทั้งคำนินทาและสรรเสริญ
เขาสรรเสริญเราว่าดี อย่าหลงคำสรรเสริญ ถ้าหลงคำสรรเสริญ จะตกอยู่ในความประมาท
เขานินทาว่าเราเลวก็อย่าไปกลุ้มใจกับคำนินทา คำว่าดีหรือชั่วมันอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่ผลการปฏิบัติ


จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๐ หน้า ๑๓๔ (ข้อคิดจากธรรมะ)

27
เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุม
ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง
แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้
บุคลลนั้นล้วนแตกต่างกันด้วยปัจจัยหลากหลายประการ   ทั้งรูปพรรณสัณฐาน  หน้าตา  
ความสูงต่ำ  ดำ  ขาว   นิสัยใจคอ   จริตกริยามารยาท   และสติปัญญา  
ดังนั้น  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงได้ทรงจัดแบ่งบุคคลออกเป็นประเภทต่างๆ  ไว้  4  จำพวก  
อุปมาว่าเป็นบัว  4  เหล่า  กล่าวคือ


1.อุคคฏิตัญญู   คือ   บัวที่พ้นน้ำผลิดอกบานแล้ว   จะสอนธรรมสิ่งใดก็รู้แจ้งได้โดยพลันในสิ่งนั้น

2.วิป จิตัญญู   คือ   บัวที่ปริ่มน้ำรอวันที่จะบานต่อไป   เสมือนบุคคลที่มีปัญญา  
ทว่าต้องให้การแนะนำแต่เพียงเล็กน้อย   ก็บรรลุธรรมได้โดยง่าย

3.เนยยะ   คือ   บัวที่อยู่ใต้ผิวน้ำ  เสมือนบุคคลที่ทรงปัญญา  แต่ต้องใช้ความวิริยะพากเพียรในการสั่งสอนและ
ให้หมั่นกระทำสัมมาปฏิบัติ   จึงจะบรรลุธรรมได้

4.ปทปรมะ   คือ  บัวที่เกลือกลั้วตกอยู่ในโคลนตม   เสมือนบุคคลที่ตกจมอยู่ในมิจฉาทิฐิ  มีปัญญาทราม  
เป็นอเวไนยสัตว์   มีจิตอวิชชา  เป็นบุคคลที่สั่งสอนไม่ได้  พึงเลี่ยงให้พ้น


นี่คือบัวทั้งสี่เหล่า   บัวเหล่าที่  1 - 3  เป็นเวไนยสัตว์  สามารถสอนให้บรรลุธรรม  ไปสู่ความหลุดพ้นได้
ส่วนบัวเหล่าที่  4   เป็นอเวไนยสัตว์   สั่งสอนไม่ได้   และเป็นผู้ตกอยู่ในอบายภูมิหาความเจริญมิได้  
เป็นผู้เสพส้องด้วยกรรมชั่ว อันเผ็ดร้อน


ปัจุบันพระสงฆ์จะสังสอนธรรมโดยตรง แต่ละครั้งนั้นยากลำบาก
จึงมี กุศโลบาย เป็นเครื่องคอยช่วยให้บุคลปฏิบัติธรรม
พระเครื่อง วัตถุมงคล เครื่องลางของขลัง
(ข้อห้ามต่างๆคือธรรมะที่สอดแทรกส่วนความขลังนั้นอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ)


ท่านคิดว่าท่านเป็นบุคลประเภทไหน
มิใช้มองแต่บุคลอื่น ตัดสินแต่บุคลอื่น


ขอบคุณที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/****


28

วัดเก๋งจีน ระยองเป็นวัดที่สร้างในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย ประวัติการสร้างไม่ชัดเจน
(ลองนึกเล่นๆดูนะครับ สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่มาของชื่อวัดเก๋งจีน คือมีอุโบสถทรงเก๋ง ศิลป์ช่างจีน
พระเจ้าตากสินมหาราชมีเชื้อสายชาวจีน ท่านเคยผ่าวงล้อมทหารพม่า จากอยุธยา ไปสะสมกำลังอยู่แถวๆระยอง
ฟังเค้ามาอีกที่หนึ่งนะ แต่มันก็น่าคิด)



อดีตเจ้าอาวาสวัดเก๋งจีน คือพระอุปัฌชาย์สังข์้เฒ่า
พระอุปัฌชาย์สังข์เป็นพระที่เรืองวิทยาอาคมมาก ขนาดน้ำลายที่ท่านถมถ้าถูกพื้น ๆ จะแตก
ท่านเป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน และยังเป็นอาจารย์ใหญ่ภาคตะวันออกสายเมืองระยอง
พระอุปัฌชาย์สังข์้นั้นมีศักดิ์เป็นปู่แท้ๆของหลวงปู่ทิม แห่งวัดละหารไร่


ปัจุบัน
วัดเก๋งจีนได้กลายเป็นวัดร้างอยู่หลายปี
ก่อนที่จะปรับปรุงเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดระยอง ในปัจจุบันนี้



พระกรุเก๋งจีน เป็นพระเนื้อชินตะกั่วสนิมแดงลงรักปิดทอง
เมื่อผลิกดูด้านหลังจะพบคราบปูนสีขาวอมเหลืองติดอยู่ทุกองค์ไม่มากก็น้อย
ทั้งนี้เนื่องจากพระวัดเก๋งมิได้ถูกบรรจุอยู่ในกรุ แต่ใช้น้ำอ้อยผสมกับปูนขาวนำไปทาด้านหลังพระทุกองค์
แล้วนำไปแปะติดประดับประดาตามผนังอุโบสถ




29
สมเด็จห้ามจน(กรรรมการ) หลวงปู่มี วัดมารวิชัยครับ
องค์นี้ พระอาจารย์ที่เคารพรัก เมตตาให้มาใช้ครับ
(และท่านก็เป็นที่เคารพรักของหลายๆคนในเวปนี้)



องค์นี้พี่ชายใจดีนามว่า พี่ป๊อก ให้มาครับ


ไหนๆทุกท่านก็แวะมาเยื่ยมชมกันแล้วก็ นะ
ฝากนิดหนึ่ง (บางท่านอาจจะไม่เคยอ่านหรือบางท่านอ่านแล้วก็ขอทวนสักหน่อย)


กฏกติกา และ มารยาท ในการใช้งานกระดานสนทนาเว็บไซต์ วัดบางพระ
๔. ห้ามตั้งกระทู้และหรือส่งข้อความ (pm) ใดๆ ที่หยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น
กล่าวหาให้ร้ายหรือหมิ่นประมาท สร้างความแตกแยก สร้างความสับสน สร้างความปั่นป่วน




30
ใครพอจะทราบรายละเอียดรูปหล่อหลวงพ่อพิมมาลัยองค์นี้บ้างครับ

เห็นเค้าว่าไม่ทันท่าน แต่เป็นลูกศิษย์สร้าง
ใต้ฐานอุดอัฐิหลวงพ่อพิมมาลัยและเข็มทองคำ

ผมก็ไม่รู้ข้อมูลเค้าบอกมาแค่นี้ จริงเท็จประการใดวอนผู้รู้ช่วยแถลงไขด้วยครับ


 :114:ขอบคุณครับ :114:





ขออนุญาติยืมภาพพี่นวครับ(เจ้าของเดิม)

31
ลายสักใหม่ๆ (สักไปแล้วงานจะเข้าไหมหน่อ)




ขอโทษด้วยครับภาพอาจจะไม่ค่อยชัด
บรรยายจากภาพ น่าจะเป็นจิงจกสะดุงปี้ขี่ปลัด (ดูจิงจกตัวบนสิ)
บัวบังใบและจูงนาง คงไม่ต้องอธิบาย
ขวาสุดเป็นกวางเหลียวหลังขี่ปลัด (กวางสามขวัญ)


32
แหะๆ วันว่างตื่นตี4 เข้าบ้านไปเอากล้อง ทำตัวแบบตี๋ใหญ่หลบโจทย์
ที่สำคัญก็ไม่ลืมที่จะนิมนต์หลวงปู่เปิ่นออกมาด้วย (เป็นล๊อกเกตที่หลวงพี่ญาเมตตาให้มาครับ)
แถมด้วยปรกใบมะขาม หลวงพ่อเปิ่น หลวงพ่อมี หลวงพ่อไสว (ทำยังไงดีหนอ ปรกใบมะขามกับล๊อกเกต)


เกาะเกร็ดไม่ไกลอย่างที่คิด

วิวบนสะพาน


วัดปรมัยยิกาวาส



รัตนะเนื้อชินเงินลงรักปิดทอง(ระวังเค้าชอบตีเป็นกรุวัดเก๋งจีนนะจ๊ะ)




บรรญากาศโดยรอบเกาะเกร็ด









33
ไม่แน่ใจว่ามีใครเคยนำมาลงหรือยัง 07;
บัง่อิญเห็นว่ามีภาพประกอบการบรรยายน่าสนใจ "ถ้าซ้ำขออภัยมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ"

ไสยศาสตร์

ไสยศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ไสยศาสตร์ บ้างว่าเป็น ศาสตร์อันประเสริฐ บางคนว่าเป็น ศาสตร์แห่งความหลับใหล ความเชื่อ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ เป็นคำไทยของคำสมาสว่า "ไศฺวศาสฺตร" แปลว่า "ศาสตร์ที่เนื่องด้วยจากพระศิวะ" หรือ "ศาสตร์ที่มาจากพระศิวะ"


การสักยันต์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของ ไสยศาสตร์

ความเป็นมาของความรู้สายนี้นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ หรือเป็นสิ่งที่หลอกลวง นำไปสู่ ความงมงาย ความชัดเจนของศาสตร์แขนงนี้ในสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมที่วิทยาการสมัยใหม่กำลังเจริญรุ่งเรือง "ไสยศาสตร์" ถูกมองว่าเป็นรากเหง้าของความหลงงมงาย อันทำให้ประชาชนหลงเชื่อในสิ่งที่ไร้เหตุผล

 ในประเทศไทย นั้นมีความพยายามอธิบายที่มาของ "ไสยศาสตร์" ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการอาศัยการวิเคราะห์ศัพท์จากภาษาบาลี ที่พบกันบ่อย มักมีการให้อรรถาธิบายว่า คำว่า "ไสย" มาจากคำว่า "เสยฺย" ในภาษาบาลี ซึ่งแปลว่า ประเสริฐ จึงทำให้แปลว่า ไสยศาสตร์ ว่าเป็น "ศาสตร์อันประเสริฐ" อย่างไรการอธิบายทฤษฎีนี้ ก็มิได้ให้ความสนใจแก่คำว่า ศาสตร์ ซึ่งเป็นศัพท์จากภาษาสันสกฤต

 และอีกหลายท่านอธิบายคำว่า ไสย มาจากคำว่า ไสยาสน์ ซึ่งแปลว่า นอน และแปลคำว่า ไสยศาสตร์แปลว่า ศาสตร์แห่งความหลับใหล กระนั้นก็มิได้ให้อธิบายที่มาของศัพท์นี้ว่า มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตเช่นกัน

 ดร.นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช ที่ปรึกษาพิเศษในเลขาธิการใหญ่องค์การสมัชชาศาสนาเพื่อสันติแห่งโลก (ดับเบิลยูซีพีอาร์) บอกว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้การตีความของคำว่า ไสยศาสตร์ ตามทฤษฎีทั้งสองประการข้างต้นนี้ มิได้มีความสัมพันธ์กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของอินเดียและไทยเลย หากพิจารณ์ด้วยเหตุผลทางไวยากรณ์สันสกฤต และข้อมูลที่ได้รับจากการศึกษาประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณกรรมสามารถสรุปได้ว่า

 คำว่า ไสยศาสตร์ เป็นคำศัพท์ที่รากมาจากภาษาสันสกฤตโดยตรง คือ เป็นคำสมาส ศาสตร์ หมายถึงแขนงหนึ่งของความรู้ และ ไสย มาจาก ไศวะ ซึ่งเป็นศัพท์สันกสฤต ที่เกิดจากการพฤตสระจากคำว่า ศิวะ โดยที่สระอิถูกพฤตให้เป็นสระ "ไอ" และ "ว" แปลงสภาพเป็น "ย" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายตามหลักของภาษาศาสตร์ เพราะทั้ง "ว" และ "ย" นั้น เป็นพยัญชนะกึ่งสระ ซึ่งมีฐานกรณ์เดียวกัน เสียง "ว" จึงกลายเป็น "ย" ได้อย่างง่ายดาย

 ในขณะเดียวกัน "ศ" กลายเป็น "ส" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางเสียงที่เกิดขึ้นได้ง่ายในภาษาไทย เนื่องจาก "ศ" "ษ" และ "ส" นั้น ต่างออกเสียงเหมือนกัน คือ "ส" แทนได้ทั้งหมด

 ไสยศาสตร์ เป็นคำศัพท์ในภาษาไทย ซึ่งมีรากเดิมจากภาษาสันสกฤตจากศัพท์ของคำสมาสว่า ไศฺวศาสฺตร (อ่านว่า ฉัย-วะ-ฉาสฺ-ตฺระ)  ซึ่งแปลว่า "ศาสตร์ที่เนื่องด้วยจากพระศิวะ" หรือ "ศาสตร์ที่มาจากพระศิวะ" ดร.นพ.มโน กล่าวสรุป

 พร้อมกันนี้ ดร.นพ.มโน ยังบอกด้วยว่า ลำพังการวิเคราะห์ศัพท์ให้ถูกต้องตามหลักวิชาไวยากรณ์สันสกฤตมิได้หมายความ ว่า สิ่งที่คนไทยมองเห็นว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การใช้เวทมนตร์ โองการและพิธีกรรมต่างๆ นั้น จะเป็นสิ่งที่ตรงกับความเชื่อในอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่มาจากพระศิวะจริง เพราะความเชื่อและวัฒนธรรมประเพณีที่เกิดขึ้นในประเทศหนึ่ง ที่มีความแตกต่างทางค่านิยมดั้งเดิมของตนเองนั้น จะยังคงรักษาความดั้งเดิมไว้ได้เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในประเทศต้นกำเนิด

 นอกจากนี้แล้ว ความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของภาษาสันสกฤต เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดศาสตร์ที่ต่อมารู้จักกันในหมู่คนไทยว่า ไสยศาสตร์

ความเชื่อทางไสยศาสตร์
 แต่เนื่องจากพิธีกรรมที่ถูกจำกัดให้อยู่ในหมู่พราหมณ์  และการปฏิบัติกับคนต่างวรรณะในเชิงดูถูกและรังเกียจเดียดฉันท์ คัมภีร์ของศาสตร์ที่เนื่องด้วยพระศิวะเหล่านี้ ต่อมาภายหลังจึงสูญหายไป และต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น คัมภีร์ภาษาบาลีจึงได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ในรูป แบบเดียวกัน และการใช้คัมภีร์บาลีของเถรวาทแทนสันสกฤต จึงเกิดขึ้น และเป็นที่แพร่หลายในเขมรและไทย ในขณะที่สัญลักษณ์และศัพท์ต่างๆ ที่เคยใช้กันมาอย่างคุ้นเคยจากสันสกฤต และศาสตร์ของพราหมณ์สายไศวะยังได้รับการยกย่องนับถือเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เกิดการผสมผสานเป็น ไสยศาสตร์แบบไทย ซึ่งแตกต่างไปจาก ไสยศาสตร์แบบเขมร(คุณไสยมนต์ดำ มนต์ดำเขมร) และอินเดียประเทศต้นตำรับอย่างสิ้นเชิง ในที่สุดไสยศาสตร์ได้เข้ามาผสมผสานกับความเชื่อเรื่องผีของบรรพบุรุษ ไทยอย่างกลมกลืน

ความเชื่อไสยศาสตร์
 ไสยศาสตร์ นั้นมิใช่เรื่องไม่มีเหตุมีผล แต่เป็นเรื่องของการใช้ อำนาจ ซึ่งมีระบบของเหตุผล หลักการ แหล่งของอำนาจหรือความศักดิ์สิทธิ์ อุปกรณ์ และกระบวนการต่างๆ อันมีขั้นตอน เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ ที่ผู้ประกอบพิธีตั้งความปรารถนาไว้ ปัจจัยต่างๆ ของพิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้น มีศูนย์กลางอยู่ที่ผู้ประกอบพิธี มิใช่เกิดขึ้นลอยๆ โดยที่ประกอบพิธีนั้น เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด สามารถบงการให้เกิดสิ่งต่างๆ ซึ่งอยู่นอกกรอบของเหตุผลของสามัญสำนึกของสามัญชนจะคาดหวังได้

 พิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้น จะบรรลุผลได้ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขของพิธีกรรมทั้งหมดได้บรรลุ สิ่งนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการควบคุมคุณภาพของผู้ประกอบพิธีกรรม ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ โดยมีการแบ่งแยกที่ชัดเจน ระหว่างผู้ประกอบพิธี (คนใน) และผู้อื่นที่เข้าร่วมพิธี (คนนอก) ยิ่งพิธีกรรมที่มีความศักดิ์สิทธิ์เท่าใด ช่องว่างและเงื่อนไขที่แบ่งแยกระหว่างคนในและคนนอกยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเท่า นั้น พร้อมกันนั้น คือ ความลึกลับที่คนในเท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใจ ส่วนคนนอกเป็นพวกที่ไม่มีสิทธิ์จะเรียนรู้สาระของพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเลย

 ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของไสยศาสตร์ คือ การร่ายมนตร์ หรือ คาถา ของผู้ประกอบพิธี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องกระทำให้ได้จังหวะที่พอเหมาะพอดีกับขั้นตอนต่างๆ ตลอดพิธีกรรม

ไสยศาสตร์ หากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็เป็น ไสยศาสตร์มนต์ดำ
 แนวคิดในเรื่องการสาธยายมนตร์นี้ คือ ความเชื่อที่ว่า อักขระนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันสูญสลาย และมนตร์ต่างๆ ที่ผู้ประกอบพิธีได้เปล่งออกจากปากของตนแล้ว ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถยังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และหากเปล่งออกมาผิด ผลกระทบก็จะกลับเป็นวิบากแก่ผู้สาธยายนั้นเอง(ไสยศาสตร์มนต์ดำ)

 นั่นหมายถึงความเป็นมงคลต่างๆ จะกลายเป็นอัปมงคล โชคจะกลายเป็นเคราะห์ และอำนาจที่ถูกใช้ไปเพื่อประทุษร้ายผู้อื่น(คาถามนต์ดำ) อำนาจนั้นก็จะย้อนกลับมาประทุษร้ายผู้ร่ายเวท และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนในแง่ของ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ
เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"  ที่มา...หนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันที่ 1 เมษายน 2552
[/color]

ขอขอบคุณแหล่งที่มา
(http://www.XXXXX.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538725847&Ntype=49)
***ถ้าแหล่งที่มาไม่เหมาะสมรบกวนผู้ดูแลเซนเซอร์ด้วยครับ***

34
วัตถุมงคลแถวๆสามพราน ครับ  :095:

เสือตัวนี้แต่ไปเก็บเอาแถวๆจรัญ13




ส่วนชิ้นนี้มีพระใจดีท่านให้มา(ขอขอบพระคุณท่าน ณ.ที่นี้ด้วยครับ :054:)





35
เขี้ยวเสือไฟแกะเป็นเสือน้อย  ได้จาก มณฑป วัดบางพระ ประมาณปี44 :023:








36
ขออนุญาติพี่ปูดำนะครับ

คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามของดีในวัดบางพระ ซึ้งรูปแบบ(ศิลปะ)สวยน่ารักและพุทธคณุ(ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้กันเนอะ่)
ปลัดน้องกวางน้อยเหลียวหลัง ของวัดบางพระ ดูเอาน่ารักไหม


น้องกวางน่ารักไม่แพ้น้องบัวเลยเลยใช่ไหมล่ะ

น้องบัวน้องกวางเงินและน้องกวางทองแดง


 :054:ขอขอบคุณพี่อ๊อดและพี่โต้งที่เอื้อเฟื้อ กวางน้อย





37
เห็นช่วงนี้มีสงครามเย็นในบอร์ดต่างคนต่างรู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ
จึงขอนำคำสอนของท่านพุทธทาสภิขุมานำเสนอครับ




จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า
เขาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา
เขาเป็นเพื่อนเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารด้วยกันกะเรา
เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเหมือนเราย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง
เขาก็มีราคะโทสะโมหะไม่น้อยไปกว่าเรา
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราวเหมือนเรา
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเราไม่รู้จักนิพานเหมือนเรา
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่
เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง
เขาก็มักจะกอบโกย และ เอาเปรียบเมื่อมีโอกาศเหมือนเรา
เขามีสิทธิที่จะบ้า ดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา
เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่นถือมั่นอะไรต่างๆเหมือนเรา
เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะทุกข์ หรือตายแทนเรา
เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา
เขาก็ทำอะไรด้วยความคิดชั่วแล่น และ ผลุนผลัน เหมือนกับเรา
เขามีหน้าที่ รับผิดชอบต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก (แม้ศาสนา) ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะใช่สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัยจากเรา ตามควรแก่กรณี
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยมตามใจเขา
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากันกับเรา,สำหรับจะอยู่ในโลก
ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น

                                        พุทธทาสภิขุ
                                        โมกขพลาราม,ไชยา
                                         22 พฤษภาคม 31

 :054:กราบนมัสการท่านพุทธทาสภิขุและหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
โดยอดีตเณรน้อยวัดชลประทานรังสฤษฏ์

38
มาดูล๊อกเก็ต ที่พอจะมีกันต่อดีกว่านะ ถ้ายังไม่เบื่อกันซะก่อน :027:

ล๊อกเก็ตส่วนใหญ่ที่เก็บเป็นของเกจิอาจารย์ที่ผมนับถือครับ

หลวงปู่มี วัดมารวิชัย (ผู้สืบทอดยันต์เกราะเพชรหลวงพ่อปาน)



หลวงปู่สุด วัดกาหลง (จอมโจรตี๋ใหญ่ ให้ความเคารพนับถือท่านมาก)


หลวงปู่สุภา (ศิษย์สายหลวงปู่ศุข วักปากคลองมะขามเฒ่า)


สุดท้ายขอให้ทุกท่านมีความสุขกับวันหยุด ประจำสัปดาห์ 21;



39
ล๊อกเก็ต หลวงพ่อเปิ่น (ที่หลวงพี่ญาเมตตาครับ) :054:







และ ล๊อกเก็ต หลวงพ่อเปิ่น (ที่เคยลงรูปไปก่อนหน้านี้แล้ว)




40
เห็นมีคนถามพระกรุแป๊ปๆ(โดดร่ม) เลยเอามาเสริมเป็นความรู้ครับ
พระปรางค์วัดราชบูรณะ อยุธยา

ที่มาของพระกรุวัดราชบูรณะ อยุธยา
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1967 ณ บริเวณที่ถวายพระเพลิงเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาซึ่งชนช้างกันจนถึงแก่ พิราลัยและโปรดเกล้าฯให้ก่อเจดีย์ 2 องค์บริเวณนั้น เมื่อคราวเสียกรุงวัดนี้และวัดมหาธาตุถูก ไฟไหม้เสียหายมาก ซากที่เหลืออยู่แสดงว่าวิหารและส่วนต่างๆ ของวัดนี้ใหญ่โตมาก วิหารหลวงมีขนาดยาว 63 เมตร กว้าง 20 เมตร ด้านหน้ามีบันไดขึ้น 3 ทาง ที่ผนังวิหารเจาะเป็นบานหน้าต่าง ปัจจุบันยังปรากฏซากของเสาพระวิหารและฐานชุกชีพระประธานเหลืออยู่ พระปรางค์ประธาน เป็นศิลปะอยุธยาสมัยแรกซึ่งนิยมสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมขอมที่ให้พระปรางค์ เป็นประธานของวัด ช่องคูหาของพระปรางค์มีพระพุทธรูปยืนปูนปั้นประดิษฐานช่องละ 1 องค์ องค์ปรางค์ประดับด้วยปูนปั้นรูปครุฑ ยักษ์ เทวดา นาค พระปรางค์องค์นี้มีลวดลายสวยงามมาก ภายในกรุปรางค์มีห้องกรุ 2 ชั้น สามารถลงไปชมได้ ชั้นบนมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเลือนลาง ชั้นล่างซึ่งเคยเป็นที่เก็บเครื่องทอง มีภาพจิตรกรรมเขียนด้วยสีแดงชาดปิดทองเป็นรูปพระพุทธรูปปางลีลาและปางสมาธิ รวมทั้งรูปเทวดาและรูปดอกไม้เมื่อ พ.ศ. 2500 คนร้ายได้ลักลอบขุดโบราณวัตถุที่ฝังไว้ในกรุปรางค์ประธานวัดราชบูรณะ โดยขุดเจาะจากพื้นคูหาเรือนธาตุลงไปพบห้องที่ฝังโบราณวัตถุไว้ 2 ห้อง ต่อมาทางราชการติดตามจับคนร้ายและยึดโบราณวัตถุได้เพียงบางส่วน โบราณวัตถุในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะทำด้วยทองคำ สำริด หิน ดินเผาและอัญมณี เมื่อกรมศิลปากรขุดแต่งพระปรางค์วัดราชบูรณะต่อ ได้นำโบราณวัตถุที่มีค่าไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ซึ่งสร้างโดยเงินบริจาคจากการนำพระพิมพ์ขนาดเล็กที่ได้จากกรุนี้มาจำหน่ายเป็นของชำร่วย


บางท่านอาจจะคุ้นๆหู ว่าคนร้ายได้ลักลอบขุดพระขรรค์ทองคำซึ้งเป็นของพระมหากษัตริย์ไป หลังจากนั้นไม่นานคนร้าย
เป็นบ้าโดยไม่รู้สาเหตุ เพอะแต่ว่ามีคนมาทวงของคืน คำพูดของผู้ใหญ่บอกต่อกันมาว่าคนร้ายบางคนมีอันเป็นไปโดยไม่มีสาเหตุ


ใบขนุนชินเงิน กรุวัดราชบูรณะ

ซุ้มโดดร่ม กรุวัดราชบูรณะ

นาคปรก กรุวัดราชบูรณะ


มีอีกหลายพิมพ์เหมาะแก่การศึกษา

ขออนุญาติท่านเจ้าของภาพพระที่ทรงคุณค่าและขอขอบคุณมา ณ. โอกาศนี้ด้วยครับ ( เคดิต google )

41
แบ่งปันกันดูนะ
วันวิสาขบูชา  วันสำคัญของชาวพุทธทุกๆท่าน

ทำบุญแล้วเวียนเทียน อิ่มบุญและสุขใจ


พระศรีศากยมุนี


นำหน้าพิธีโดยพระคุณเจ้า



อุโบสถ

สัญลักษณ์ของ กรุงเทพฯ


42
พระอุปคุตบัวเข็ม,พระสิวลี,สะดือทะเล






พระอุปคุตเป็นพระอรหันต์พุทธสาวกหลังพุทธกาล 200 กว่าปี  ชอบจำพรรษาที่ใต้สมุทร (สะดือทะเล)

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชผู้มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา ได้มีพระราชประสงค์ สร้างสถูปเจดีย์ขึ้น ๘๔,๐๐๐องค์
ครั้นสร้างเสร็จก่อนพิธีสมโภชน์พระสถูปเจดีย์ ได้มีพญามารมาก่อกวนในงาน พญามารตนนั้นคือ พระยามารวัสวดี คู่อริเก่าของพระพุทธเจ้า
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้อาราธนาพระอุปคุตท่าน ให้มาคุ้มครองความสงบเรียบร้อยในพิธี
พญามารก่อกวนทำรายพิธีครั้งนี้ เข้าใจว่าเมื่อไม่มีพระพุทธ คงไม่มีใครขวางได้ แต่กลับถูกพระอุปคุตเนรมิตสุนัขเน่าเหม็นผูกติดคอพญามาร
ซึ้งแก้อย่างไรก็ไม่ออก จึงทำให้พญามารละพยศหมดความอหังการ

43
ผมได้พบกับเจ้าของลอยสักแป๊ปๆ
จึงไม่ทราบรายละเอียด
ว่าท่านได้ลอยสักเหล่านี้มาจากที่ไหนบ้าง

เพื่อท่านใดทราบก็ช่วยชี้แนะด้วยครับ


รู้แต่ลอยนี้เค้าเรียกว่าบัวบังใบ ที่ไหนก็ไม่รู้

44
เป็นสีผึ้งที่พระอาจารย์ท่านเมตตาต่อลูกศิษย์ให้นำมาใช้  :054:

สีผึ้งหลวงปู่มี วัดมารวิชัย (หลวงพี่ญาเมตตา)



สีผึ้งไม่ทราบที่  (หลวงพี่ญาเมตตา)


สีผึ้งหลวงพ่อเขียว (หลวงพี่ญาเมตตา)



สีผึ้งสามสี  (หลวงพี่หนุ่ม วัดบางแวกเมตตา)


45
 :092: เห็นว่าเจ้าของลายสักน่ารักดีก็เลยขอถ่ายรูปไว้


โทษทีที่เจ้าของเค้าไม่อนุญาต ให้ลงหน้าตาน่ารักๆ  36;

46

รบกวนดูหน่อยครับ ดูยากหน่อยนะครับไม่สามารถถ่ายขอบได้ ตัวที่1






รอยตัดไม่ตรงกันบริเวณก้น


ตัวที่2ครับผม สภาพใช้งานมา






วิจารเต็มที่ครับ

47
หลวงพ่อจำลอง วัดเจดีย์แดง ได้เมตาจารแผ่นฝาบาตรให้ปี2544
ฝาบาตรพระรีดมาเองนะครับ (ระวังอย่าทำตกบ้านใครก่อนละ)
เห็นพี่ผู้ชายที่นั้งข้างๆหลวงพ่อบอกว่าเป็นยันต์ในตะกรุดดำ (ยันต์เฉลียวเพชร)
เรามาดูกันว่าถูกหรือไม่ (ไม่เคยเห็นยันต์ในตะกรุดเหมือนกัน 07;)



พระครูอวยพร วัดดอนยายหอม
เมตาจารแผ่นตะกั่วให้ในงานปลูกเสกวัตถุมงคลวัดนก
น่าจะสองปีที่แล้ว


48
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ใครเอย ?
« เมื่อ: 07 มี.ค. 2552, 11:46:15 »
ระหว่างที่ผมเก็บภาพงานไหว้ครูประจำปี 2552

ผมได้เห็นชายผู้นี้  เตะขาคนที่วิ่งมาหน้าพิธี (คนที่ของขึ้น)

ผมคิดว่าชายผู้นี้หวังให้คนที่ของขึ้น ล้มด้วยแรงเตะของเค้า (เตะโครตแรง)

พอดีมีผู้ใหญ่ที่คุมอยู่หน้าพิธีเห็นจึงเขาไปตักเตือนชายผู้นี้


คนนี้แหละที่เตะ (จะเตะขาเค้าทำไม่เพื่ออะไร) หวังว่าคงไม่เกิดเหตุการนี้อีก

เอารูปออกนะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นข้อพิพาท ทางกฏหมายกันอีก

ขอบคุณพี่.. บางแค ที่แนะนำให้ถ่ายรูป

49
นอกเหนือจากพระกรุ ผมใช่องค์นี้ครับ ใส่เป็นประจำ




รองมาก็องค์นี้




ของที่ได้รับความเมตาแจกแล้วทำใช่เอง
นาคปรก+จีวรหลวงปู่+เทียนชัยวัดนก




เครื่องลางชิ้นนี้เลยคับตะกรุดหนังเสือโครง



เด๋วจะไปขอดูจากคอพี่ๆที่วัดวันไหว้ครูนะ

50
วัดเพชร  จ.สระบุรี
เนื้อชินเงิน
กนกเปลวเพลิง

ป่าเลย์ไลย์

สมาธิ

นาคปรก

สะดุ้งกลับรัศมี

มารวิชัยซุ้มเสมา

สมาธิรัศมี

เห็นว่าเป็นพระแท้เลยขอถ่ายมาเพื่อการศึกษา
เป็นพระเนื้อชินเงินมีปรอทเคลือบผิวบางๆ(แห้ง)
มีสนิมตีนกา,ไขชิน,ระเบิดบ้างเป็นบางองค์
ลักษณะคล้ายๆพระกรุวัดราษฎร์บูรณะ อยุธยา
คาดว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย


ตัวอย่างพระกรุวัดราษฎร์บูรณะ


*เพื่อการศึกษาเท่านั้น*

51
หลวงพ่อเปิ่น พัดยศ


หลวงปู่มี ทำบุญอายุ81


หลวงพ่อไสว นารายทรงครุฑ




52
เป็นไม้แกะลงลักปิดทอง ใต้ฐานเป็นสีฝุ่นแดงมีรูอุดผงสีขาวอมเหลือง
ขนาด 1 นิ้ว เศษๆ    :045:






53







เป็นพระที่ได้รับความเมตตาจากหลวงพี่ที่วัดบางพระ
และรุ่นพี่ที่วัดบางพระ

หน้า: [1]