แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - โยมน้า

หน้า: [1]
1

วิบากในการวางของสูงในที่ต่ำ

ถาม ? เห็นพวกขายหนังสือเอานิตยสารธรรมะไปวางคละกันกับหนังสือโป๊แล้วไม่สบายใจเลย อยากทราบว่าการทำอะไรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้จะมีผล

อย่างไรกับตัวคนจัดวางหรือไม่? เผื่อจะเอาไปบอกเจ้าของร้านที่พอรู้จักและพอพูดๆกันได้บ้าง



ทั้งพวกที่ขายพระพุทธรูปแล้วนำไปวางบนพื้น และทั้งเจ้าของบ้านหรือเจ้าของสำนักทรงเจ้าต่าง ๆ ที่พระพุทธรูปนำไปวางระดับต่ำกว่า หรือนำไปวางระดับ

เดียวกับเทวรูปอย่างถาวร เหล่านี้มีกรรมดำติดตัวไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งนั้นครับ

วิบากของการวางของสูงไว้ในที่ต่ำ คือจะทำให้เป็นผู้ต่ำต้อย ทำให้เป็นผู้ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม และทำให้เป็นผู้มียศต่ำในสถานทั้งปวง

วิบากจะเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเจตนาไปในทางหนึ่ง ๆ มากน้อยเพียงใด

เป็นผู้ต่ำต้อยหมายถึงเกิดในตระกูลต่ำ ไม่มีหน้าตา หรือมีแต่เรื่องควรอับอายขายหน้า แค่ใครรู้นามสกุลเข้าก็แอบหัวเราะเยาะกัน อะไรทำนองนั้น ส่วนการ

เป็นผู้ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม หมายถึงเกิดมามีลักษณะบางอย่างที่ชวนให้นึกดูถูก เช่นตัวเตี้ยไม่สมส่วน หรือดูโง่ทึบทั้งๆที่อาจคิดอ่านได้ไม่ต่างจากคน

อื่น แต่กลับไม่มีใครเชื่อถือ แม้ออกความเห็นในที่ประชุม คนก็มองเป็นความเห็นอันไม่ควรแก่การพิจารณา และการเป็นผู้มียศต่ำในสถานทั้งปวง หมายถึงการ

ทำดีไม่ขึ้น ทำนานเท่าไหร่ก็แป้กอยู่ที่ขั้นนั้น ไม่มีใครอยากเหลียวแลส่งเสริมสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าในการงาน หรือมักโดนจัดไปอยู่ท้ายแถวตอนคัดตัวเสมอ ๆ


หากในชาติที่วางของสูงไว้ในที่ต่ำ มีใจคิดหมิ่นแถมท้ายเข้าไปด้วย ก็จะยิ่งเคราะห์ร้ายหนักเข้าไปใหญ่ เช่นเจ้าของร้านหนังสือบางราย รับนิตยสารธรรมะมาช่วย

วางขายอย่างเสียไม่ได้ จงใจยัดๆไว้ด้านล่างๆให้ลูกค้ามองเห็นลำบาก

เขาเกิดเมื่อใดจะติดกรรมประเภททำดีไม่มีใครเห็น แต่ในทางตรงข้าม ถ้าใครส่งเสริม ผลักดัน หรือใช้อำนาจหน้าที่ในการทำสื่อธรรมะหรือพระพุทธรูปให้อยู่

ในที่สูง ในที่งดงามเจริญหูเจริญตา ก็จะได้อานิสงส์ในทางตรงกันข้ามรุนแรงปานกัน คือจะเป็นผู้เกิดในตระกูลที่มีเกียรติ เป็นผู้ได้รับการยกย่องกว้างขวาง และ

เป็นผู้ขึ้นสูงง่ายในสถานทั้งปวงครับ


บางลัทธิของบางศาสนา หรือบางท้องถิ่นในบางกาล จะไม่อนุญาตให้มีรูปเคารพ ส่วนหนึ่งก็อาจจะมีเหตุผลง่ายๆทำนองนี้เอง คือพอใจรู้เข้าไปแล้วว่าเป็นของสูง

แต่ถ้าตนไม่นับถือ ก็อาจปฏิบัติในทางลบหลู่หรือดูหมิ่นถิ่นแคลนในทางใดทางหนึ่ง เป็นบาปเป็นกรรม เป็นภาพบาดตาไม่ชวนทัศนานัก



http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare048.htm

2

กรรมที่ทำบนอินเตอร์เน็ต

โดยดังตฤณ
 

ถาม ? การเขียนข้อความหรือนำเสนอเนื้อหาอะไรผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝง ถือเป็นกรรมหรือไม่? เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ไม่มีใครเห็นหน้าเรา
ไม่มีใครได้ยินเสียงเรา เหมือนเราไม่มีตัวตน


ตอบ - ผมเห็นว่าคำถามนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังนึกว่าการก่อกรรมเป็นเรื่องที่ต้องโชว์ตัว โชว์เสียง หรืออย่าง

น้อยก็ต้องมีชื่อแซ่ของเจ้าตัวปรากฏเป็นที่รับรู้เสียก่อน ความเข้าใจดังกล่าวนั้นคลาดเคลื่อนนะครับ กรรมนั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา

ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่าใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว

สำหรับกรรมที่ทำอยู่ในใจจริงๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคุณเองคนเดียวนั้น เรียกว่า ?มโนกรรม? สำหรับมโนกรรมนั้นจะสำเร็จสมบูรณ์เต็มขั้นในทันที

ที่ตั้งใจคิดและมีความยินดีกับความคิดนั้น หากจะพูดว่ามโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็คงได้ ตัวอย่างเช่นคุณคิดจะด่าเขา

แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรมอันเป็นอกุศล มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์

ขึ้นมา

แต่หากคลื่นความคิดแรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร

ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้หมด พูดง่ายๆว่า ?ภาษา? นั่นเองคือเครื่องมือก่อวจีกรรมของมนุษย์

ฉะนั้นคุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้ว

หนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน เจตนาเกิดขึ้นที่จิตของคุณ กรรมก็เกิดที่

จิตของคุณเช่นกัน เพราะกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าบุคคลคิดแล้วจึงก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ


อินเตอร์เน็ตเปิดโอกาสให้เราเห็นอะไรหลากหลายจริงๆ แม้แต่การทำงานของกรรม อย่างเช่นที่ผมรู้จักหลายๆคน เห็นกรรมทางวาจาของเขาในเบื้องต้น

แล้วได้เห็นพัฒนาการหรือความเสื่อมทรามทางจิตใจในเวลาต่อมา เป็นไปตามวิธีคิดเขียนให้ดีให้ร้ายแก่ผู้อื่น

ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติด

มากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมี

ปลายมากขึ้นเรื่อยๆ

บอกได้เลยครับว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้

เพราะอะไร? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆว่า ?ไอ้โง่? ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียง

อกุศลของตัวเอง แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ?ไอ้โง่? ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำ

อกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมา

ก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้


ผมเห็นแล้วนึกเสียดายครับ หลายคนยังเป็นเด็ก และมีความสนุกที่จะขีดเขียนข้อความฝากไว้ในอินเตอร์เน็ตด้วยความคึกคะนอง บางทีไม่รู้ตัวเลยว่าเอาอนาคต

มาทิ้งเสียด้วยการสนทนาแบบไร้หน้าไร้เสียงนี่เอง

โอกาสก่อกรรมในยุคไอทีของพวกเรานี้ มีได้เป็นร้อยเป็นพันเท่ามากกว่ายุคอื่นครับ กระดิกนิ้วง่ายๆไม่กี่ที ผลอาจใหญ่หลวงยิ่งกว่าพยายามพูดในห้องประชุม

ใหญ่หลายๆอาทิตย์เสียอีก หากจิตตั้งไว้ดีแล้วก็สบายตัวไป แต่หากจิตยังตั้งไว้ในมุมมืด อย่างนั้นก็คงน่าเป็นห่วงหน่อยล่ะ


ที่มา http://win-win.bloggang.com/

3

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6571 ข่าวสดรายวัน


สักหมู

เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์


การสักลายบนตัวคน คงจะดูธรรมดาไปในสายตา วิม เดลวอย ศิลปินชาวเบลเยียม

ตะแกจึงต้อนหมูผิวสีชมพู เนื้อนุ่ม ในฟาร์มกรุงปักกิ่งมาสักซะ
 

มีทั้งลายดอกไม้ การ์ตูนดิสนีย์ แม้กระทั่งโลโก้หลุยส์ วิตตอง

ใครสนใจเอาหมูไปให้สัก เรตแพงสุดอยู่ที่ 5.5 ล้านบาท

เห็นแล้วเสียวแทนหมูเนาะ..ว่ามั้ย

หน้า 7







http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TURObWIzSXpNekkxTVRFMU1RPT0=&sectionid=TURNd05nPT0=&day=TWpBd09DMHhNUzB5TlE9PQ==

4

?....ปู่ฤาษี คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหาเพื่อนบอกว่าท่านเก่งญาติของเพื่อน สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่านก็เป็นคนเรียกกลับมา ทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา
ไม่ไปมีใหม่อีกเลย....? ย้ำ!!!............ อ่านจนจบถึงจะอึ้งๆๆๆๆๆๆ

หมายเหตุ : เรื่องจาก Forward Mail เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน แต่ควรอ่านให้จบ!!!!!

ฉันกับแฟนคบกันมา 4 ปี มีโครงการจะแต่งงานกันสิ้นปีนี้แต่แล้วจู่ ๆเค้าก็มาบอกว่า ?เราเลิกกัน เค้าไม่ได้รักฉันแล้วตอนนี้เค้าพบคนใหม่ ตลอดเวลาเค้า
หลอกฉันมาตลอดว่ารัก เค้าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่สิ้นปีนี้?

ฉันทำทุกวิถีทางเพื่อจะฉุดรั้งเค้ากลับมา ฉันถามว่าฉันผิดตรงไหนไม่ดีตรงไหน ฉันจะปรับปรุงตัวใหม่ เค้าต้องการอะไรฉันทำให้ได้ทุกอย่างและยอมทุก
อย่างขอเพียงแค่ ?กลับมาเหมือนเดิม?แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือความเฉยชา,หงุดหงิด,รำคาญทำอะไรก็ผิดไปหมด เพื่อนแนะนำฉันให้ ?ไปทำเสน่ห์?

ปกติฉันเป็นคนที่กลัวเรื่องพวกนี้ไม่อยากยุ่งเกี่ยวไม่อยากเข้าใกล้แต่....ณ จุดจุดนี้ไม่ได้แล้ว ความรักบังตาฉันยอมทุกอย่าง ขอเพียงได้เค้ากลับคืนอะไร
ก็ได้สำหรับฉัน ณ ตอนนี้

?ปู่ฤาษี ? คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหาเพื่อนบอกว่า ?ท่านเก่งญาติของเพื่อน สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่านก็เป็นคนเรียกกลับมา ทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา
ไม่ไปมีใหม่อีกเลย?

บ้านปูนชั้นเดียว มีลานจอดรถที่พอจอดรถยนต์ได้ประมาณ10 คัน วันแรกที่ฉันไปมีรถยนต์จอดอยู่3 คัน มองเข้าไปในบ้านมีคนนั่งจนล้นออกมาข้างนอกมี
เสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะเพื่อนพาฉันเข้าไปภาพที่ฉันเห็น ?ชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณ28 ? 29 ปี ผมยาวมีลายสักเต็มตัว นัยต์ตาหวานเยิ้มมือคีบ
บุหรี่พูดไปยิ้มไปปล่อยมุกสนุกสนานทำให้ผู้ที ่เข้ามาหาหัวเราะเป็นระยะๆ นุ่งชุดลายเสือดูดีมีเสน่ห์′ คนนี้เรอะที่เพื่อนบอกว่าเป็นปู่ฤาษีทำไมยังหนุ่ม แต่
ณ วินาทีนั้นความรักบังตาไม่ได้คิดอะไรเพื่อนบอกว่าดี ฉันก็เชื่อโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ในวันข้างหน้าเลย

เราสองคนนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่เข้ามาล็อตแรกก็ออกไปถึงคิวของฉัน เพื่อนแต่งขันธ์ห้า(ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่)พร้อมเงิน 100 บาท ให้ฉัน
เขียนชื่อ-นามสกุลพร้อมที่อยู่ของฉันและของแฟนยื่นให้

5

งากำจัด คืองาช้างที่แตกหักออกมาในขณะที่ช้างยังมีชีวิตอยู่... ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก โบราณท่านจึงถือว่าเป็นของทนสิทธ์ จะพบเห็นได้เมื่อช้างตกมัน ไล่

อาละวาด.... แล้วเอางาแทงกับต้นไม้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวขณะตกมัน   แล้วจะหักคาอยู่กับต้นไม้..ซึ่งแต่ละชิ้นก็ไม่ใหญ่มากนัก...เพราะอย่างดีก็หักแค่ปลาย


งากำจาย เรียกอีกอย่างว่า งากระเด็น คือ งาของช้างสองเชื่อกที่เข้าต่อสู้กันเพื่อชิงความเป็นใหญ่(จ่าโขลง) หรือแย่งตัวเมียแล้วต่อสู้กัน จนอาจมีปลายงาหัก

แตกกระจาย แล้วจะตกหล่นอยู่กับพื้นดินตามป่า ซึ่งในกรณีนี้ พรานป่าที่มีโอกาสเห็นช้างต่อสู้กัน มักจะคอยเฝ้าดูเพื่อคอยเก็บปลายหรือเศษงาที่อาจมีหล่น

อยู่ แต่ก็คงไม่ทุกครั้งไป


ความแตกต่างของงากำจัด,งากำจาย กับ งาตาย


งากำจัด ,งากำจาย ทั้งสองชนิดจะเรียกว่า งาเป็น...เมื่อผ่านการพกพาติดตัวหรือโดนเหงื่อไคล เนื้อจะฉ่ำใสเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง คล้ายกับสีน้ำผึ้ง ซึ่งจะอ่อน

แก่ไม่เท่ากัน เพราะงานั้นหักในขณะที่เจ้าของงานั้นยังมีชีวิตอยู่ บางคนอาจเรียกว่ายังมีน้ำเลี้ยงแห่งชีวิตอยู่


ต่างจาก งาตาย (งาจากช้างที่ล้มแล้วเลื่อยออกมา) ที่เห็นวางขายกันอยู่ตามร้านเครื่องประดับทั่วไป  งาจะขาวซีด ดูไม่มีชีวิตชีวา แม้บางครั้งเป็นงาแก่ที่ผ่าน

การใช้มา โดนเหงื่อไคลผู้พกพาติดตัว การเหลืองฉ่ำถึงแม้เกิดขึ้น ก็จะไม่เป็นสีน้ำผึ้ง


สรรพคุณของ งากำจัด งากำจาย ซึ่งถือว่าเป็นของทนสิทธิ์ที่หาได้ยากอีกชนิดหนึ่งนั้น  แม้ไม่ผ่านการปลุกเสก ว่ากันว่าเมื่อพกพาติดตัวจะเป็นเสน่ห์และ

มหาอำนาจ แต่เมื่อผ่านพิธีกรรมมาแล้ว สรรพคุณย่อมเพิ่มเป็นทวีคูณ






งาชิ้นนี้ยาวประมาณ ๔ ซ.ม. เจ้าของเก่าอายุ ๘๐ กว่าแต่ตายไปเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว

6
นักโทษประหาร โดย ศ.แสง จันทร์งาม



          เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2508 เรา 3 คน คือ อ.บุพพัณห์ นิมมานเหมินท์ นายกยุวพุทธิกสมาคมเชียงใหม่ ร.อ.เสาร์ สุวิทยาลังการ
อนุศาสนาจารญ์ประจำค่ายกาวิละ และกรรมการยุวพุทธิกสมาคม และข้าพเจ้า ได้รับเชิญจากคุณเชาวน์ เจริญพงษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่
ให้ไปทำการอภิปรายปัญหาไขข้อข้องใจต่างๆ แก่นักโทษ ซึ่งมีจำนวน 900 คนเศษ

          ในเรือนจำนั้น วิธีการอภิปรายของเรา เป็นแบบให้นักโทษถามปัญหา แล้วเราช่วยกันตอบ ปรากฏว่านักโทษสนใจถามปัญหากันมาก ปัญหา
ที่ถามก็มีทุกชนิด แต่เมื่อประมวลดูแล้ว มีเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องผี เรื่องกรรม และเรื่องวิปัสสนาเป็นส่วนมาก เราอภิปรายได้เพียง 4 - 5
ปัญหา ก็ต้องยุติด้วยเวลา ท่ามกลางความเสียดายของบรรดาผู้ต้องขังทั้งหลาย

          ท่านผู้บัญชาการเรือนจำได้เล่าให้เราฟังว่า นักโทษที่อยู่ในเรือนจำนั้น ต้องโทษตั้งแต่ 10 ปี ลงมา ถ้ามีนักโทษเกิน 10 ปี ก็ส่งไปกรุงเทพฯ
ความผิดส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์ ทางการเรือนจำ ให้อาหารและเสื้อผ้า แก่นักโทษ และมีระเบียบบังคับให้กิน นอน ทำงาน เล่น ตามเวลา

        ภายในเรือนจำมีห้องสมุด มีการเปิดสอนวิชาชั้นประถมศึกษา ให้แก่นักโทษที่สนใจสมัครเรียน นับว่าทางเรือนจำได้เอาใจใส่ต่อสวัสดิการ และ
การบริการแก่ผู้ต้องขังเป็นอย่างดี ทำให้ผู้ต้องขังมีความสะดวกสบายตามสมควรแก่อัตตภาพ

       แต่แม้จะมีความสบายกาย นักโทษทุกคนก็หาได้ลืมไม่ว่า ตนเป็นผู้ต้องขัง ไร้อิสรภาพ ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของทุกคน ข้าพเจ้าสังเกตเห็นผู้ต้อง
ขังทั้งนั้นมีหน้าตาหม่นหมอง ไร้ราศี ขาดแววแห่งความสุขสดชื่น

       แม้จะยิ้มด้วยความพอใจต่อวาทะของผู้อภิปรายบางท่าน ก็เป็นการยิ้มแหยๆ เฉพาะที่มุมปาก ไม่ใช่การยิ้มอย่างเบิกบานทั่วใบหน้า ทุกคนปรารถนา
อย่างแรงกล้าที่จะออกไปให้พ้น จากเนื้อที่ 2 ไร่เศษ แวดล้อมด้วยกำแพงสูงทั้ง 4 ด้านนั้น เฉพาะอย่างยิ่ง อยากออกไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น ของภรรยา
และบุตรซึ่งตั้งตาคอยอยู่ทางบ้าน
       
       เมื่อได้เห็นสภาพของนักโทษแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความสงสารอย่างจับใจ สงสารเพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความทุกข์ ข้าพเจ้าได้ปรารภกับ อ.บุพพัณห์ว่า
ถ้าเป็นไปได้ เราควรหาทางเข้ามาทำธรรมสงเคราะห์ แก่นักโทษเหล่านี้เป็นการประจำ เพราะเขาเหล่านี้เป็นคนป่วย ที่กำลังต้องการยาอย่างแท้จริง การเผย
แผ่ธรรมะในเรือนจำ เป็นการยิงลูกศรถูกเป้าหมาย เพราะการเผยแผ่มีจุดประสงค์สำคัญ คือ ทำคนชั่วให้เป็นคนดี

        เรือนจำอาจถือได้ว่าเป็นที่อยู่ของคนชั่ว ถ้าเราสามารถกลับจิตกลับใจเขาได้แม้เพียง 4 - 5 คน ก็จะเป็นมหากุศลและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ
ศาสนาอย่างมาก เราไปเทศน์ไปแสดงปาฐกถาที่อื่น ล้วนแต่คนดีๆ มาฟังทั้งนั้น คนเหล่านี้แม้จะไม่ได้ฟังเทศน์เลย เขาก็จะไม่ทำชั่ว เป็นการวางยาแก่คน
ไม่ป่วย อ.บุพพัณห์เห็นด้วย และจะติดต่อกับผู้บัญชาการเรือนจำ เพื่อดำเนินการต่อไป
         
         ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าก็เกิดความสนใจในคนประเภท ที่เรียกกันว่า นักโทษและเรือนจำ วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสจึงได้ไปเยี่ยมเรือนจำมหันต
โทษอีกแห่งหนึ่ง และได้พบเห็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์น่าสนใจเหลือล้ำ
ยิ่งกว่าที่พบเห็นมาแล้วในเรือนจำกลางเชียงใหม่



7
ธรรมะ / ปล่อยวางได้จริงหรือ
« เมื่อ: 17 ก.ย. 2551, 07:57:18 »


หลวงปู่ตื้อ อลจธรรมโม   วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม


หลวงปู่ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย , จิตใจของท่านเป็นคนจริง

คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ

ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว

อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อท่านเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมมาสน์ที่

ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า


?หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ?


?อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม?


?อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่?


หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า


?อีตอแหล!?


สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้

หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน


เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน


นี่ละ...คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ


http://www.aurseeyou.net/forum/index...e;topic=8793.0

8

ถาม? ถ้าจำเป็นต้องโกหกบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ กฎแห่งกรรมถือว่าหยวนๆให้บ้างไหม?

ผมไม่ได้มีหน้าที่พิทักษ์กฎแห่งกรรมนะครับ คงไม่อาจเป็นตัวแทนธรรมชาติหยวนหรือไม่หยวนให้คุณ ๆ ได้สักแค่ไหน เอาเป็นว่าตัดสินใจ

อย่างไรก็ขอให้รู้อยู่ว่าตัวเองมีความละอายติดจิตติดวิญญาณแค่ไหนก็แล้วกัน ขอให้พิจารณาตามจริงว่าแม้เราจะไม่โกหกเป็นประจำ แต่ลง

ถ้าได้เริ่มต้นออกจากจุดสตาร์ทแล้ว ก็มักจะเหมือนเราก้มหัวให้ใครเขาใช้ ถูกใช้ได้ครั้งหนึ่งก็จะอ่อนแอลงนิดหนึ่ง พอเขาใช้อีกเราก็อาจจะ

ยอมก้มหัวอีก ในที่สุดหัวเราก็อ่อนลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นขี้ข้าตัวมุสาไปเต็มยศ นี่แหละ ผมสรุปว่าที่มาของการโกหกใหญ่ก็คือการโกหก

เล็ก ๆ นั่นเอง โดยเฉพาะถ้าโกหกเล็ก ๆ โดยปราศจากความละอาย



แรงขับดันให้โกหกมักมาจากคำว่า ?จำเป็น? หรือ ?หลีกเลี่ยงไม่ได้? มันอยู่ที่เราตัดสินใจเลือก ถ้าใช้ความฉลาดกันจริงๆก็อาจไม่จำเป็นต้อง

?โกหกเต็ม ๆ? หรอก หลาย ๆ เรื่องเราเอาความจริงส่วนที่ไม่เสียหายมาพูดได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องพูดทั้งหมดในทุกเรื่องอยู่แล้ว



ขอให้สังเกตจากชีวิตประจำวันว่าคำพูดนั้นดิ้นไปได้เรื่อย ๆ ครับ ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่ใจเล็งอีกอย่างหนึ่ง จิตคิดพูดของคนในโลกมักเบี่ยง

เบน ไม่เป็นไปเพื่อการเห็นตามจริง แต่เป็นไปเพื่อตัวตน เป็นไปเพื่อให้คนอื่นเห็นเราตามที่เราอยากให้เขาเห็น


ลองฝึกฝนดู ใจเล็งอย่างไรปากพูดตามนั้น ก่อนพูดก็ทำตัวเป็นนายคำพูด สั่งให้เกิดแต่คำพูดที่เป็นประโยชน์ หรือก่อให้เกิดผลกระทบด้าน

ลบน้อยที่สุด เมื่อคิดก่อนพูดบ่อยเข้า ชีวิตจะลงตัวไปเอง ความจำเป็นต้องโกหกจะค่อยๆหายไปจากชีวิตเราจนกระทั่งไม่เหลือเลยจนได้

แหละน่า ธรรมชาติเขาไม่ใจไม้ไส้ระกำกับคนตั้งใจดีมีใจจริงหรอกครับ



http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare008.htm


9
ถาม? ได้ยินว่าแค่โกหกก็ต้องตกนรกแล้ว โทษหนักเกินไปหรือเปล่า? ในเมื่อชีวิตประจำวันของคนเรานั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงการพูดเท็จอย่างนี้

การโป้ปดมดเท็จนั้น เมื่อใครเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังให้มีกำเนิดในนรก ในดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุด

ย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ พอลองดูอย่างละเอียดรอบคอบก็จะพบว่ามีเงื่อนไข

ของการไปนรกเพราะมุสาวาทอยู่ นั่นคือเสพจนติด เพาะเลี้ยงตัวโกหกจนมันเติบโตขึ้นเป็นนิสัยถาวร ปั้นน้ำเป็นตัวบ่อยเสียจนชินชาหน้าไม่อาย

เมื่อเล็งเข้าไปที่จิตใจของผู้สร้างสมนิสัยโป้ปดมดเท็จจนเคยตัว จะเห็นว่ามีความดำมืด มีความบิดเบี้ยวเลอะเลือน และที่ธรรมชาติเขาพิพากษาไว้

ก็คือหากจิตชุ่มด้วยบาป สกปรกมะล่อกมะแล่กดูไม่ได้ ก็จะต้องมีที่ไปเหมาะกับความสกปรกโสมมของตนเอง

 
อีกประการหนึ่ง ตัวมุสาตัวเดียวมันเหมือนเชื้อโรคร้าย สามารถแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเป็นโรคอื่นได้ไม่รู้จบ จะเปรียบเทียบเหมือนกับเอดส์ที่

เข้าไปทำลายภูมิต้านทานโรคต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ก็ได้ เมื่อใดที่ความละอายถูกทำลายลง เมื่อนั้นคนเราย่อมหมดความยับยั้งชั่งใจที่จะกระทำ

บาป พร้อมจะก่อเวรก่อกรรมได้ทุกชนิด สมดังที่พระพุทธเจ้ามีพระดำรัสคือ เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่แก่ใจ

ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งนั้น ย่อมไม่มี โกหกหนึ่งครั้งคือ สร้างความบิดเบี้ยวให้กับจิตหนึ่งหน สังเกตดูก็ได้ครับ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ครั้งต่อไปลองพูดปด  แบบรู้ทั้งรู้ว่าเรื่องมันไม่จริง พูดเสร็จให้ดูเข้ามาในใจตัวเอง จะเห็นความฟุ้งซ่านจับไม่ติด หรือแม้หากว่าพื้นฐานเป็น

สติเป็นเยี่ยม อย่างน้อยที่สุดคุณจะเห็นความเย็นชาของจิต มีความรู้สึกอยากเย้ยโลก และเห็นว่าการสร้างข้อมูลเท็จได้แนบเนียนคืออำนาจที่แท้จริง

10


ถาม ? บางทีพอได้ยินว่าแค่ยินดี หรืออนุโมทนากับบุญของคนอื่น ก็เป็นผู้ได้ส่วนของบุญแล้ว อย่างนี้อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมมันง่ายนัก

ต้องเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้วจะเข้าใจครับ คือมีอยู่มาก ที่เห็นคนอื่นทำบุญแล้วเกิดความหมั่นไส้ หรือเกิดความขบขัน เห็นเป็นเรื่องงมงาย เสียแรง เสียเวลา เสียทรัพย์เปล่า อย่างนี้นอกจากไม่มีจิตอนุโมทนา ยังมีความคิด คำพูด หรือการกระทำในเชิงเบียดเบียนตามมา เช่น
อย่างเบาสุดคือคิดค่อนขอดไปต่างๆนานา
อย่างกลางคือพูดกระทบกระเทียบเหน็บแนมบั่นทอนกำลังใจคนทำบุญ
อย่างหนักสุดคือเข้ากระทำการกีดขวาง หรือหน่วงเหนี่ยวไว้ไม่ให้ผู้อื่นทำบุญสำเร็จ คงมองง่ายขึ้นแล้วนะครับ

คนเราอยู่ดีไม่ว่าดีก็ทำบาปได้สารพัด แต่จะต้องอาศัยความเข้าใจ หรืออาศัยทุนเดิมเป็นกุศลจิตที่หนักแน่นพอ จึงสามารถยินดีตามในกระแสบุญของคนอื่นได้ไหว พูดง่ายๆถ้าทุนเก่าไม่พอก็ต่อบุญใหม่ไม่ได้ ชาตินี้คุณต้องเป็นผู้ทำบุญมาพอสมควร จนเข้าใจได้ว่าบุญน่ายินดีอย่างไร จึงจะสามารถคล้อยตามกระแสความสว่างอบอุ่นของกุศลจิตผู้อื่นไหว
 
หากไม่เชื่อเรื่องอานิสงส์อันลี้ลับของการอนุโมทนาบุญ ก็ขอให้เชื่อสิ่งที่เห็นประจักษ์ชัดง่ายสุด นั่นคือทันทีที่อนุโมทนา คุณจะเกิดความเบาโล่งสบายหัวอก เหมือนจิตสว่างขึ้น อบอุ่นขึ้น และโน้มน้อมไปสู่การคิดอ่านทำบุญทำกุศลด้วยกาย วาจา ใจด้วยตนเองบ้าง

แต่ถ้าอนุโมทนาแบบแห้ง ๆ อนุโมทนาไปสงสัยไป อย่างนี้คุณจะไม่เห็นผลทันใจ แล้วก็อาจจะถึงขั้นทำกุศลไม่ครบองค์ คือใจขาดโสมนัส ขาดความหนักแน่น ขาดความสว่างเป็นกุศลจิตเต็มดวงครับ


http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare044.htm

11

กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณีสิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เป็นศีลข้อที่ ๓ หมายถึง ให้เว้นจาก
การละเมิดความรักคือในสามีและภรรยาของบุคคลอื่น ยินดีเฉพาะสามีและ ภรรยาของตนเอง
อย่างไรก็ตามครั้งหนึ่ง หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระป่าพระกรรมฐานชื่อดังในอดีต
ได้เทศน์ให้แพทย์หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นสูตินรีแพทย์มีใจความตอนหนึ่งน่าสนใจว่า

"มาเล่นตลกให้หลวงปู่ดู เมื่อชาติก่อนเขาเป็นผู้ชายรูปหล่อ มีเมียมากนับไม่ถ้วน
ชาตินี้มาเกิดเป็น ผู้หญิง (ทอม)แต่แอบปกปิดไว้ เธอไม่แต่งงาน ตัดผมสั้น ไม่แต่งหน้า
ต้องมาดูแลรักษาช่องคลอดผู้หญิงเป็นการชดใช้กรรมเก่า ซึ่งเป็นแค่เศษกรรม
ที่ทำบาปกับช่องคลอดผู้หญิงไว้มากพอสมควร"

การล่วงเกินทางเพศหญิงอีกหลายลักษณะซึ่งโทษก็หนักเบาต่างกัน
ขณะเดียวกัน บางชาติอาจกระทำความดีกรรมก็ลดหย่อน ผ่อนลงให้เบาขึ้น
ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานของการผิดศีลข้อสามพอสรุปได้ดังนี้




12

        กะลาที่เป็นวัตถุมงคลธรรมชาติที่มีดีมีเทพรักษาอยู่ในตัวก็คือ กะลาตาเดียว จะมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ที่ผิดแผกไปจากธรรมชาติของกะลาทั่วไปก็คือ จะมีปากที่เป็นรูงอกหน่อหนึ่งรูและก็จะมีตาส่วนที่บุ๋มลงไปเพียงหนึ่งตาเท่านั้น  โดยจะมีเส้นสาแหรกแบ่งกะลาออกเป็นสองส่วน  กะลาชนิดนี้เป็นวัตถุมงคลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้ยังไม่นำมาทำพิธีกรรมก็สามารถใช้ได้แล้วแต่ไม่ดีมากนัก แต่ถ้าหากนำมาแกะเป็นรูปพระราหูแล้ว เข้าพิธีปลุกเสกผ่านพิธีกรรมที่ถูกต้องแล้วจะเป็นของขลังที่ส่งพลานุภาพให้กับผู้บูชาได้สมปรารถนาทุกปราการ แต่การที่จะหากะลาตาเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร เพราะว่ากะลามะพร้าวทั่วไปเป็นร้อยเป็นพันลูกจึงจะเจอสักลูกสองลูกถ้าผู้ใดเจอก็นับว่าโชคดีของผู้นั้นไป ผู้รู้จะใช้กะลาตาเดียวตัดครึ่งใบ นำส่วนที่มีตาเดียวไว้ใช้ตักข้าวสารหุงกิน เพื่อความอุดมสมบูรณ์ในการทำมาหากินให้กับครอบครัว  ไม่มีคำว่าอดอยากสมบูรณ์ทุกอย่างในการทำมาหากินประกอบอาชีพทุกๆอาชีพ



ภาพประกอบเรื่อง

13
ห้องพระพุทธคุณ ๕๖


อิ     อิฏโฐ  สัพพัญญุตัญญานัง     อิจฉันโต  อาสะวักขะยัง
    อิฏฐัง  ธัมมัง  อะนุปปัตโต     อิทธิมันตัง  นะมามิหัง

หน้า: [1]