แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ~เสน่ห์ต้นน้ำ~

หน้า: [1]
3
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
๙. ห้ามตั้งกระทู้ที่มีเนื้อหา ไปในทางโฆษณาบอกประกาศ เพื่อส่อเจตนาในทางซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนใดๆ ทั้งสิ้น (ปรับปรุง: ๓๑ ก.ค. ๕๒)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30858.0

4
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=27639.0

5
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
กระทู้ซ้ำครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30677.0

6
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=12305.0

10
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.

ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=11754.0

11
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
กระทู้ซ้ำครับ กระทู้ที่คุณตั้งครั้งแรกอยู่เหมือนเดิมครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30447.0

12
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
รบกวนครับห้ามตั้งกระทู้ซ้ำ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30445.0

13
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14028.0

16
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
เนียนจริงๆๆ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30384.0

20
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=19483.0

22
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
กระทู้เก่าแล้วครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=17537.0

23
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
กระทู้ซ้ำ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30310.0

25
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28093.0

28
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=25668.0

29
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รูปภาพสายอื่นๆ.

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30164.0

31
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=3778.0

32
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รวมสมาชิก (มิตรไมตรี).
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=5171.0

33
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รูปภาพสายวัดบางพระ.
ตั้งกระทู้ให้ตรงหมสดหมู่ด้วยครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30099.0

34
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=7478.0

36
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=4534.0

37
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รูปภาพสายวัดบางพระ.
ขออนุญาตตั้งกระทู้ให้ตรงหมวหมู่หน่อยครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=30072.0

39
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=2686.0

41
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รูปภาพสายวัดบางพระ.
รบกวนตั้งกระทู้ให้ตรงหมวดหมู่ด้วยครับท่านสมาชิก ไม่ต้องรีบ รักษากฎกันนิดนึงครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29974.0

43
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1408.0

44
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=6057.0

45
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รูปภาพสายวัดบางพระ.
ตั้งกระทู้ให้ตรงหมสดหมู่ด้วยครับ เพื่อง่ายต่อการจัดเก็บและค้นหา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29948.0

46
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รูปภาพสายอื่นๆ.
ตั้งกระทู้ให้ตรงหมดหมู่ด้วยครับ เพื่อสะดวกต่อการจัดเก็บ และค้นหา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29944.0

48
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=5418.0

49
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รูปภาพสายวัดบางพระ.
รบกวนตั้งกระทู้ให้ถูกหมวดหมู่ด้วย เพื่อง่ายต่อการค้นหา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29819.0

50
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=5039.0

53
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด รูปภาพสายวัดบางพระ.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28287.0

55
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=5494.0

56
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
กระทู้ซ้ำกัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29711.0

57
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=8944.0

59
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
กระทู้ซ้ำกัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29461.0

60
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด หัวข้อ,..กระทู้ที่ถูกลบ.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=17319.0

61
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ห้ามโพสวัตถุมงคลที่ไม่ใช่ของวัดบางพระ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29452.0

63
สงกรานต์

เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี

พิธีสงกรานต์
เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข

ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริม จนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ

การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

ตำนานนางสงกรานต์

ตามจารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย

ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน

ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกิน..พธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้

ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกา พระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะ ก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ

จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหม แห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์ แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้

1. ถ้าวันอาทิตย์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์ เสด็จมาบนหลังครุฑ
2. ถ้าวันจันทร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง (น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (เสือ)
3. ถ้าวันอังคารเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (หมู)
4. ถ้าวันพุธเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (ลา)
5. ถ้าวันพฤหัสบดีเป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (ช้าง)
6. ถ้าวันศุกร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (ควาย)
7. ถ้าวันเสาร์เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (นกยูง)

สำหรับความเชื่อทางล้านนานั้นจะมีว่า

1. วันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี
2. วันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา
3. วันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี
4. วันพุธ ชื่อ นางมันทะ
5. วันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ
6. วันศุกร์ ชื่อ นางริญโท
7. วันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี

อ้างถึง:
ขอบคุณข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

64
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.

ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=5372.0

66
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
๑๑. การตั้งกระทู้ใดๆ ที่เกี่ยวกับการเชิญชวนประชาสัมพันธ์ หรือโฆษณาบอกประกาศ รวมถึงบริจาคทำบุญในลักษณะต่างๆ ให้ส่งข้อความ (pm) แจ้งรายละเอียดไปที่  Contact Us เพื่อตรวจสอบก่อน เมื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้วเห็นว่าสมควร ทางทีมงานจะเป็นผู้ตั้งกระทู้ให้เอง หากสมาชิกมีการตั้งกระทู้เองทีมงานขอลบทิ้งทั้งหมด (ปรับปรุง: ๓๑ ก.ค. ๕๒)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29354.0

68
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ชมรูป ชมภาพ ชมวีดีโอ.

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29243.0

70
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=6828.0

73
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
๑๑. การตั้งกระทู้ใดๆ ที่เกี่ยวกับการเชิญชวนประชาสัมพันธ์ หรือโฆษณาบอกประกาศ รวมถึงบริจาคทำบุญในลักษณะต่างๆ ให้ส่งข้อความ (pm) แจ้งรายละเอียดไปที่  Contact Us เพื่อตรวจสอบก่อน เมื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้วเห็นว่าสมควร ทางทีมงานจะเป็นผู้ตั้งกระทู้ให้เอง หากสมาชิกมีการตั้งกระทู้เองทีมงานขอลบทิ้งทั้งหมด (ปรับปรุง: ๓๑ ก.ค. ๕๒)
๑๐. เพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคลและเพื่อป้องกันเหตุไม่พึงประสงค์อันจะเกิดขึ้น ดังนั้นห้าม วางเบอร์โทรศัพท์ วางลิงค์ อีเมล์ ที่อยู่ โดยเด็ดขาด (เพิ่มเติม: ๓๑ ก.ค. ๕๒)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29137.0

74
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
๑๑. การตั้งกระทู้ใดๆ ที่เกี่ยวกับการเชิญชวนประชาสัมพันธ์ หรือโฆษณาบอกประกาศ รวมถึงบริจาคทำบุญในลักษณะต่างๆ ให้ส่งข้อความ (pm) แจ้งรายละเอียดไปที่  Contact Us เพื่อตรวจสอบก่อน เมื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้วเห็นว่าสมควร ทางทีมงานจะเป็นผู้ตั้งกระทู้ให้เอง หากสมาชิกมีการตั้งกระทู้เองทีมงานขอลบทิ้งทั้งหมด (ปรับปรุง: ๓๑ ก.ค. ๕๒)
๑๐. เพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคลและเพื่อป้องกันเหตุไม่พึงประสงค์อันจะเกิดขึ้น ดังนั้นห้าม วางเบอร์โทรศัพท์ วางลิงค์ อีเมล์ ที่อยู่ โดยเด็ดขาด (เพิ่มเติม: ๓๑ ก.ค. ๕๒)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29138.0

75
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
๘. ไม่อนุญาตให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ในการการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านกระดานสนทนาเว็บไซต์ วัดบางพระ (ปรับปรุง: ๓๑ ก.ค. ๕๒)

๙. ห้ามตั้งกระทู้ที่มีเนื้อหา ไปในทางโฆษณาบอกประกาศ เพื่อส่อเจตนาในทางซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนใดๆ ทั้งสิ้น (ปรับปรุง: ๓๑ ก.ค. ๕๒)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=29134.0

81
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ชมรูป ชมภาพ ชมวีดีโอ.
รบกวนท่านสมาชิกตั้งกระทู้ให้ตรงหมวดหมู่ด้วยครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28932.0

83
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1723.0

86
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ชมรูป ชมภาพ ชมวีดีโอ.
รบกวนตั้งกระทู้ให้ตรงหมวดหมู่ด้วยครับ เพื่อง่ายต่อการค้นหา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28758.0

87
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
กระทู้ซ้ำกันครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28623.0

88
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=12693.0

90
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
ห้ามโพสวัตถุมงคลที่ไม่ใช่ของวัดบางพระ
๑๐. เพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคลและเพื่อป้องกันเหตุไม่พึงประสงค์อันจะเกิดขึ้น ดังนั้นห้าม วางเบอร์โทรศัพท์ วางลิงค์ อีเมล์ ที่อยู่ โดยเด็ดขาด (เพิ่มเติม: ๓๑ ก.ค. ๕๒)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28554.0

91
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
กระทู้นี้ได้เคยตั้งไปแล้ว ห้ามตั้งกระทู้ซ้ำกันครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28540.0

92
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28537.0

94
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ชมรูป ชมภาพ ชมวีดีโอ.
รบกวนตั้งกระทู้ให้ตรงหมวดหมู่นะครับ เพื่อง่ายต่อการค้นหา ตอนนี้ย้ายไปไว้หมวดที่ถูกต้องให้แล้วครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28521.0

95
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.

ขอความร่วมมืองด ตอบกระทู้ที่มีอายุเกิน120วัน
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=8243.0

97
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.
๘. ไม่อนุญาตให้มีการแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ในการการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านกระดานสนทนาเว็บไซต์ วัดบางพระ (ปรับปรุง: ๓๑ ก.ค. ๕๒)

๙. ห้ามตั้งกระทู้ที่มีเนื้อหา ไปในทางโฆษณาบอกประกาศ เพื่อส่อเจตนาในทางซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนใดๆ ทั้งสิ้น (ปรับปรุง: ๓๑ ก.ค. ๕๒)

๑๐. เพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคลและเพื่อป้องกันเหตุไม่พึงประสงค์อันจะเกิดขึ้น ดังนั้นห้าม วางเบอร์โทรศัพท์ วางลิงค์ อีเมล์ ที่อยู่ โดยเด็ดขาด (เพิ่มเติม: ๓๑ ก.ค. ๕๒)

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28315.0

98
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ผู้ดูแลบอร์ด.

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28297.0

100
หัวข้อนี้ได้ถูกย้ายไปบอร์ด ชมรูป ชมภาพ ชมวีดีโอ.
ตั้งกระทู้ให้ตรงหวดหมู่ด้วยครับ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=28251.0

102
วันที่ ๒๗ ส.ค. ๒๕๕๕
เรียนเชิญ ศิษยานุศิษย์ และผู้ที่เคารพนับถือ
รดน้ำหลวงปู่อั๊บ ถึงเวลา ๑๕.๔๙ น.

เวลา ๑๖.๐๐ น. รับพระราชทานน้ำหลวง
โดยมี เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม รองเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
และ นายอนุชา สะสมทรัพย์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส

มีการสวดพระอภิธรรม เป็นเวลา ๑๐๐ วัน

ฝากประชาสัมพันธ์โดย คุณ cotton8088

103
วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นครั้งแรกได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ จึงถือได้ว่าวันนี้เป็นวันเริ่มต้นประกาศพระพุทธศาสนาแก่ชาวโลก และด้วยการที่พระพุทธเจ้าทรงสามารถ แสดง เปิดเผย ทำให้แจ้ง แก่ชาวโลก ซึ่งพระธรรมที่ทรงตรัสรู้ได้ จึงถือได้ว่าพระองค์ได้ทรงกลายเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ คือทรงสำเร็จภารกิจแห่งการเป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็น "สัมมาสัมพุทธะ" คือทรงเป็นพระพุทธเจ้าผู้สามารถแสดงสิ่งที่ทรงตรัสรู้ให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ซึ่งแตกต่างจาก "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ที่แม้จะตรัสรู้เองได้โดยชอบ แต่ทว่าไม่สามารถสอนหรือเปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ด้วยเหตุนี้วันอาสาฬหบูชาจึงมีชื่อเรียกว่า "วันพระธรรม"
วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่ท่านโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมสำเร็จพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลคนแรก และได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสมบทเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระศาสนา และด้วยการที่ท่านเป็นพระอริยสงฆ์องค์แรกในโลกดังกล่าว พระรัตนตรัยจึงครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก ด้วยเหตุนี้วันอาสาฬหบูชาจึงมีชื่อเรียกว่า "วันพระสงฆ์"งนั้น วันอาสาฬหบูชาจึงถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธศาสนาดังกล่าว ซึ่งควรพิจารณาเหตุผลโดยสรุปจากประกาศสำนักสังฆนายกเรื่องกำหนดพิธีอาสาฬหบูชา ที่ได้สรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันอาสาฬหบูชาไว้โดยย่อ ดังนี้

1.เป็นวันแรกที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา
2.เป็นวันแรกที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมจักร์ ประกาศสัจจธรรม อันเป็นองค์แห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ
3.เป็นวันที่พระอริยสงฆ์สาวกองค์แรกบังเกิดขึ้นในโลก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รับประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ในวันนั้น
4.เป็นวันแรกที่บังเกิดสังฆรัตนะ สมบูรณ์เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

   
ที่มา วิกิพีเดีย

104
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 12 สิงหาคม
« เมื่อ: 27 ก.ค. 2555, 12:49:24 »
:114: :114:สวัสดีครับ พี่น้องทุกๆท่าน :114: :114:

ตามหัวข้อที่กระผมได้ตั้งขึ้นมานั้น เกี่ยวกับเรื่อง วันที่12 สิงหาคม 2555 นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชน

มพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ (วันแม่แห่งชาติ ) คงมีเพื่อนๆสงสัยว่า 12 สิงหาที่วัดมีงาน

อะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับหลวงปู่ หรือวัดบางพระอย่างไร บางท่านอาจทราบแล้ว บางท่านอาจยังไม่ทราบ

ที่เกี่ยวข้องก็คือเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระอุดมประชานาถ หรือ หลวงปู่เปิ่น ฐิตคุโณ เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำ

นครชัยศรี
ซึ่งทางวัดบางพระได้จัด ทำบุญถวายภัตตาหารเพลต่อเนื่องทุกๆปี  ถึงแม้หลวงปู่ท่านจะละสังขาร

ไปแล้วก็ตาม  เนื่องในโอกาสวันที่12สิงหาคม 2555 นี้ ขอน้อมรำลึกถึงหลวงปู่เปิ่น ด้วยวัตถุมงคลชุดนี้ครับ








ขอบคุณป๋าเอกครับ :114:

105
เรียนเชิญร่วมงานพิธีไหว้ครู หลวงพี่ญา วัดนางเหลียว จังหวัดลำปาง วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555






ฝากประชาสัมพันธ์ โดย ท่าน wongrad

106
http://www.youtube.com/watch?v=TVIgKfItIk4


ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ



ขออนุญาตครับ

107
พรุ่งนี้ วัดตะเคียน จัดพิธีอาบน้ำเพ็ญ เสกเสือจันทร์เพ็ญยันต์กลับ สนใจขอเชิญ ตามศัทธา

http://www.pantown.com/board.php?id=39149&area=4&name=board3&topic=1034&action=view

 ฝากประชาสัมพันธ์โดย ท่าน โยคี  ครับ

108


ขอให้มีความสุขมากๆนะจ๊ะ บารมีหลวงปู่เปิ่น บารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองนะจ๊ะ รวยๆๆๆ

109
ธรรมะ / ธรรมมะจากหลวงปู่ดูลย์
« เมื่อ: 21 พ.ค. 2554, 01:17:31 »

หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพเมื่อ 31 มีนาคม 2521

ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่า
พุทโธเป็นอย่างไร หลวงปู่เมตตาตอบว่า

เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออก
ความรู้อะไรทั้งหลายทั่งปวงอย่าไปยึด
ความรู้ที่เราเรียนกับตำราหรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย
ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็ภาวนาให้มันรู้

รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบจะรู้เอง
ต้องภาวนาให้มากๆ เข้า
เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง
ความอะไรๆ ให้มันออกจากจิตของเรา

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนี่แหละเป็นความรู้ลึกซึ้ง ที่สุด
ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละมันดี
คือจิตมันสงบ ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว

อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ที่จิต
แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง
ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธอยู่นั่แหละ

แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา
เราจะได้รู้จักว่าพุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง
...เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย


: หลวงปู่ฝากไว้
: พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

ขอบคุณ http://www.kammatan.com :054:

110
๕. ห้ามตั้งกระทู้ใดๆ ที่มีข้อความ เนื้อหาซ้ำๆ กัน หลายๆ กระทู้ และหรือตอบกระทู้ ที่เข้าข่ายการปั่น การปั๊ม หรือขุดกระทู้เก่าๆขึ้นมาตอบโดยไม่มีเหตุจำเป็น(กระทู้ที่ไม่มีการตอบข้อ ความ มามากกว่า ๑๒๐ วัน)(ปรับปรุง: ๑๐ ส.ค. ๕๒)




ฝาก กฎ กติกาให้อ่านกันนิดนึงครับ ช่วงนี้เริ่มมีสมาชิกใหม่ๆขุดกระทู้เก่าๆขึ้นมาตอบ รบกวนท่านสมาชิกด้วย

ครับ
:054:

111



สุขสันต์วันเกิดครับป๋าเอกขอให้มีความสุขมากๆครับ 21;

112
พระวิจิตร (วัดปรินายก) และ ผู้การเสือ ได้รวบรวมปัจจัยถวาย พระอาจารย์ต้อย ได้ 31,000 บาท

(สามหมื่นหนึ่งพันบาท)

ขออนุโมทนาบุญแก่ลูกศิษย์  หลวงพ่อเปิ่น ทุกท่าน

ที่ร่วมทำบุญ มีความกตัญญูต่ออาจารย์ และในครั้งนี้


เชื่อแน่บุญกุศลนี้มากมายจะส่งผลให้ทุก ท่านและครอบครัวมีแต่สิ่งดีๆเข้ามาจนเต็ม(บารมี)
[/color]

                                                        :114: ขออนุโมทนาบุญในครั้งนี้ด้วยครับ :114:

113






ด้วยสมาชิกหลายท่านแสดงเจตจำนงค์ต้องการมีส่วนร่วมในการถวายปัจจัยชว่ยอาการอาพาธ

ของลพ.ต้อย

คณะศิษย์ ลพ.เปิ่น ประชุมหารือกัน โดยมี ลพ.ญา มอบล็อคเก็ต

ลพ.เปิ่น
(รุ่นพิเศษ) จำนวน100องค์ และ ลพ.นันต์ ได้มอบวัตถุมงคลให้

อีก100 ชิ้น และ ลพ.ต้อย ได้ครอบครูลง นะหน้าทอง(ตำหรับ ลพ.เปิ่น) ให้กับ

"ผู้การเสือ" ได้ดำเนินการในเรื่องนี้

"ผู้การเสือ" จะมาวันเสาร์ที่ 11 ธค.นี้ ตั้งแต่ช่วงเช้า ลงนะหน้าทอง ,สวดโภชฌงค์ ให้แก่

ผู้เจ็บป่วย,ทำน้ำมนต์,ผูกสายสินธุ์,เขียนยันต์พระ
เจ้า16พระองค์

ล็อคเก็ต ลพ.เปิ่น บูชา 200 บาท , ตระกรุด(ตัวผู้-ตัวเมีย ลงพระเจ้า16พระองค์) บูชา 200 บาท

มีอย่างละ100อัน รวบรวมเงินทั้งหมด(รวมวัตถุมงคลของ ลพ.นันต์ 100 ชิ้น)

ถวาย ลพ.ต้อย โดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ...

ขอเชิญมาด้วยความเคารพรัก----ขอบคุณครับ

114
เวทีสำหรับน้องๆนักเรียนมาโชว์ความสามารถ





พี่ ~เสน่ห์ที~กับ ~เสน่ห์ ต้นน้ำ~


คุณ~เสน่ห์กวาง~กับพี่~เสน่ห์เอ~














วันวานยังหวานอยู่ของพี่ที



ขออภัยในบางลีลา พรุ่งนี้มีเรียนเช้า นอนแล้วครับฝันดี
:114: :114: :114:

115


30 ตุลาคม 2553 เริ่มการแข่งขันเรือยาว ตั้งแต่เวลา 10.30 น. เป็นต้นไป

31 ตุลาคม 2553 ถวายผ้ากฐิน ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป



มหรสพสมโภช ชมฟรี ภาพยนต์ชนโรง คอนเสิร์ตลูกทุ่ง และตลกชั้นนำของเมืองไทย

ขอบคุณพี่~เสน่ห์เอ~ สำหรับรูปภาพครับ



116
สวัสดีครับพี่ๆน้องๆเพื่อนๆสมาชิกชาวเว็ปบอร์ดวัดบางพระทุกๆท่านครับ  :027:

เนื่องจาก หลวงพี่นันต์ ท่านมีดำริจะทำหนังสือเกี่ยวกับ หลวงปู่เปิ่น

จึงอยากขอความร่วมมือจากทุกๆท่านที่มีข้อมูลในเชิงลึก เกี่ยวกับวัดบางพระ หลวงปู่หิ่ม หลวงปู่เปิ่น

 รวมทั้งภาพถ่ายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการทำหนังสือ เช่นภาพลายยันต์ลายมือหลวงปู่หิ่ม ภาพยันต์ลายมือหลวงปู่เปิ่น  

ภาพวัตถุมงคลเฉพาะตัวต่างๆที่หลวงปู่หิ่ม หลวงปู่เปิ่นท่านสร้างไว้เป็นการเฉพาะคน ที่อาจจะได้จัดเก็บไว้เป็นส่วนตัว

ซึ่งสิ่งเหล่านี้หาชมได้ยากยิ่ง


และท่านใดมีข้อคิดเห็นเสนอแนะ ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการจัดสร้างหนังสือเล่มนี้ ก็ขอเชิญครับ

ขอบคุณครับ





:114: :114: :114:                                                                      :114: :114: :114: :114:

ปล. ขอแบบจริงจังนะครับ



117
แจ้งให้สมาชิกทราบถึง เรื่องการวางลิงค์เว็ปไซด์ต่างๆในช่องลายเซ็นต์ของท่าน

หรือในข้อมูลส่วนตัวของท่าน ห้ามวางลิงค์เว็ปไซด์ที่เกี่ยวกับการโฆษณาขายของ

หรือเว็ปลิงค์ที่เกี่ยวกับการพนันทางออนไลน์ต่างๆ รวมถึงเว็ปลิงค์ที่ผิดศีลธรรม

เมื่อตรวจพบจะถูกแบนสมาชิกทันที

 

118

หลวงพ่อเปิ่น พระผู้มีแต่ให้

หลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระผู้ศักดิ์สิทธิ์      ชนทั่วทิศศรัทธาบารมี

โบสถ์วิหารสร้างไว้ได้พร้อมกัน           กุฎินั้นสร้างต่อมาน่าชื่นชม

โรงเรียนวัดบางพระหลวงพ่อสร้าง        อุปกรณ์ทุกอย่างมากล้นคนนิยม

มีคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทันสมัย          ช่วยเด็กไทยก้าวหน้าการศึกษา

มีรายการแข่งขันการกีฬา                  เด็กทั่วหน้าไร้ทุกข์สุขอุรา

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดบางพระ             หลวงพ่อสะสมของเก่าให้ลูกหลาน

ได้พบเห็นของแท้งามผลงาน             ของโบราณเหนือสิ่งใดได้เปรียบปราน

วิทยาลัยอาชีพบางแก้วฟ้า                 จากศรัทธามหาชนตนเลื่อมใส

การศึกษาก้าวหน้ากว่าสิ่งใด               จากดวงใจหลวงพ่อนี้ที่ห่วงใย

บ้านพักคนชราท่านช่วยเหลือ              จิตเอื้อเฟื้อผู้ยากไร้ไม่ขัดสน

เป็นที่พึ่งยามยากของคนจน                บุญมากล้นเย็นฉ่ำใจเหมือนสายชล

สะพานหลวงพ่อเปิ่นท่านสร้างไว้           ข้ามฝั่งได้สะดวกรวดเร็วยิ่ง

ท่านเหมือนเทพประทานพรได้พักพิง      ไม่ทอดทิ้งชนทั้งหลายทั้งชายหญิง

ท่านไ้ด้สร้างโรงพยาบาลรักษาโรค          ช่วยทุกข์โศกโรคภัยไข้เจ็บหาย

ท่านตรากตรำทำงานมาจากใจกาย          จุดมุ่งหมายชนไร้ทุกข์สุขสบาย

หลวงพ่อปฎิบัติวิปัสนากรรมฐาน              เป็นบันไดสู่นิพานในภพหน้า

ด้วยมานะอดทนทุกดวลา                      พลังเวทย์คุ้มค่าช่วยด้วยเมตตา

พระเครื่องรุ่นแม่พระธรณี                      ช่วยให้ชีวิตนี้สุขสมหมาย

บูชาท่านจะมีสุขไร้ทุกข์ยาก                   เป็นของฝากช่วยอุดหนุนอุ่นใจกาย

สามสิบ มิ.ย. พ.ศ. สี่ห้า                       เศร้าอุราท่านจากไปในภพหน้า

บารมีท่วมท้นคนศรัทธา                        ท่านใฝ่หาให้ศิษย์ไว้นี้มีบูชา

ท่านเป็นพ่อพระของประชาชน                 ศิษย์ทุกคนกตัญญูรู้คุณท่าน

กราบอำลาครั้งสุดท้ายสายสัมพันธ์            ขอยืนยันสร้างความดีนี้ทุกวัน

ทานศีลสมาธิท่านสั่งสอน                       ศิษย์ตั้งใจทำคำท่านสอน

แม้ชีพท่านลับแล้วไม่อาทร                     ทุกบทตอนศิษย์จำได้ท่านให้พร

หลวงพ่อเปิ่นอยู่ภพไหนในสวรรค์              ทุกคืนวันศิษย์ซึ้งใจได้พบท่าน

ขอบารมีจิตสงบสมใจพลัน                       พบท่านนั้นด้วยนิมิตสู่นิพาน


เนื่องในวันที่12สิงหาคมนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่เปิ่น ศิษย์ ขอน้อมรำลึกถึงพระเดชพระคุณพระอุดมประชานาถ(หลวงพ่อเปิ่น) วัดบางพระ นครปฐม

ขอบพระคุณผู้แต่งคำกลอนนี้ ขอบพระคุณนิตยาสารย้อนรอยกรรม :114:

ขอบพระคุณรูปภาพจากพี่บางแก้วฟ้านะครับ :054:

119


ธรรมะเย็นใจ : สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่  เป็นครู  เป็นพ่อแม่

 

มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก

 

สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่มีลูก

 

เมื่อลูกทำผิดจริง ๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก

 

สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี

 

มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว

 

และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม

 

แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

 

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง

 

จึงจะเกิดประโยชน์เป็นการสอน

 

ถ้าเราสังเกตุดู บางครั้งใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน

 

แต่ความเป็ฯจริงแล้วเราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา

 

สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ

 

เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกัน นั่นคือโกรธ

 

ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือ สอน

 

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด

 

อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน

 

อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ  ไว้ก่อน

 

พยายามอบรมใจตนเองว่า

 

ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง

 

ชอบจับผิดแต่คนอื่น


มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา

 

เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม

 

ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน

 

ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร

 

ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน

 

ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร
เรามักทุ่มใจ ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

 

อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดี ยินร้าย

 

พยายามรักษาใจเย็น  ใจดี ใจกลาง ๆ

 

ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเขา

 

แต่ความรู้สึกของเรามักจะมากกว่าเขา

 

และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลยน่ากลัวจริง ๆ

 

สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโหว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก

 

ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม....ก็อาจจะไม่

 

เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ

 

อย่าเชื่อความรู้สึกให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลาง ๆ ไว้

อย่าเชื่อความรู้สึก

 

อย่าเชื่ออารมณ์

 

อย่ายินดียินร้าย



ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ  เควสโก

 วัดสุนันทวนาราม

บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี


จากหนังสือเหตุสมควรโกรธ....ไม่มีในโลก


ขอบพระคุณเว็ป http://atcloud.com/stories/55182

:017:ช่วงนี้อากาศร้อนเลยเอาธรรมะเย็นใจมาฝากครับ :017:

120
"ผู้การเสือ" แจ้งข่าวด่วน...

โปรดดู UBC ช่อง Discovery

เสาร์ ที่ 30 มกราคม 2553 รายการ . ตามล่ารอยสัก...Thailand (Tatto Hunter)ช่ิอง10เวลา20.00น

1. มี "หลวงพี่นันต์" แสดงนำ,อุ่นเครื่องวันไหว้ครูปีนี้ 27 กพ 53 เราเป็น Family เดียวกัน

2.ดูรูปหายาก "ครูเทพ" ถูกชนล้มหงายทั้งยืน

3.ภควา+มหามงคล ฉบับวันไหว้ครู ลพ.เปิ่น กุมภาพันธ์นี้ มีจำหน่ายที่ 7-eleven ครับ

121


ใช้ระบบไฮดรอลิกยก เป็นครั้งแรกของโลก
ฮือ ฮาย้ายพระอุโบสถทั้งหลังที่กรุงเก่า วัดโตนดเตี้ยวัดเก่าแก่อยุธยาใช้เครื่องมือไฮเทคย้ายโบสถ์ทั้งหลังมีน้ำหนัก ถึง 500 ตัน หลังพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา มีพระดำริให้บูรณะวิหารวัดโตนดเตี้ย ซึ่งเป็นวิหารโบราณอยู่ในเส้นทางเดินทัพของพระเจ้าตากสิน ซึ่งเมื่อบูรณะแล้ววิหารจะมีขนาดกว้างขึ้นทำให้ชิดโบสถ์เกินไปจึงต้องย้าย โบสถ์ให้ห่างไปอีก 7 เมตร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยเข้าไปควบคุมการย้ายด้วยเครื่องมือไฮดรอลิก ใช้เวลา 2 เดือนยกโบสถ์ทั้งหลังไปตั้งอยู่บนคานเหล็ก อีก 2 เดือนกับการเชื่อมโบสถ์กับฐานรากใหม่

เมื่อเวลา 09.09 น. วันที่ 9 ม.ค. นาย วิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา และนางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกอบ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นประธานกดปุ่มเดินกระแสไฟฟ้าและระบบไฮดรอลิกเพื่อเคลื่อนย้ายพระอุโบสถ ของวัดโตนดเตี้ย ต.อุทัย อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีน้ำหนัก 500 ตัน ให้เคลื่อนไปทางทิศเหนือในระยะทาง 7 เมตร โดยการเคลื่อนย้ายพระอุโบสถครั้งนี้ มีการว่าจ้างบริษัท ฟีเนสส์ ซอยล์ เทดดิ้ง จำกัด ซึ่งมีนักวิชาการจากมหาวิทยาธรรมศาสตร์เป็นที่ปรึกษาและควบคุมการดำเนินการ เคลื่อนย้ายพระอุโบสถด้วย

พระครูเกษมพัฒนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดโตนดเตี้ย กล่าวว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณเป็นวัดที่สำคัญในเส้นทางทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ขณะตีฝ่าวงล้อมข้าศึกออกไปรวมไพร่พลเพื่อมากอบกู้กรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา มีพระดำริบูรณะวิหารวัดโตนดเตี้ย ซึ่งปลูกสร้างติดพระอุโบสถ โดยให้คงสภาพรูปแบบโครงสร้างทางโบราณสถานของวิหารไว้ ทำให้วิหารที่บูรณะมีขนาดกว้างยาวกว่าเดิมเล็กน้อยและมาอยู่ชิดกับพระอุโบสถ หลังใหม่มากจนเกินไป

“การบูรณะวิหารเก่ามีผลให้เกิดอุปสรรคในการ ประกอบพิธีทางศาสนาและสภาพภูมิทัศน์ไม่สวยงาม จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายพระอุโบสถให้ห่างจากพระวิหารที่บูรณะเสร็จแล้ว ซึ่งได้เริ่มดำเนินการสำรวจใต้ฐานพระอุโบสถเพื่อยกพระอุโบสถทั้งหลังขึ้นราง เหล็กและมาเริ่มย้ายในวันนี้ และต้องย้ายไปในระยะทาง 7 เมตร โดยทางอบจ.จัดสรรงบประมาณมาสนับสนุนจำนวน 4.9 ล้านบาท” พระครูเกษมพัฒนาภรณ์กล่าว

นายธเนศ วีระศิริ รองเลขาธิการวิศว กรรมสถานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การย้ายพระอุโบสถในลักษณะไกลถึง 7 เมตรแบบนี้ ถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทยหรือในโลกก็ได้เช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้มีแต่การยกพระอุโบสถให้สูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งไม่มีการเคลื่อนย้ายในระยะไกลแบบนี้ โดยก่อนหน้านี้ใช้เวลา 2 เดือนในการสำรวจฐานล่างและดำเนินการยกพระอุโบสถขนาดน้ำหนัก 500 ตันขึ้นทั้งหลังให้ไปตั้งอยู่บนคานเหล็กที่ทำติดล้อวางวางบนรางเหล็กจำนวน มาก

นายธเนศ กล่าวว่า ทีมงานกำหนดจุดเคลื่อนย้ายห่างไป 7 เมตรทางทิศเหนือ โดยได้ไปทำคานและตอม่อใหม่สำหรับรองรับน้ำหนักพระอุโบสถไว้แล้ว โดยวันนี้มีการเคลื่อนย้ายพระอุโบสถผ่านระบบไพฟ้าที่เดินกำลังด้วยเครื่อง ไฮดรอลิก ซึ่งได้มีการนำนักศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่กำลังศึกษาวิชาการด้าน นี้มาศึกษาดูงานด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อย้ายพระอุโบสถมาในจุดที่กำหนดแล้ว จะต้องใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนในการต่อเชื่อมพระอุโบสถกับฐานชุดใหม่และตบแต่งให้สมบูรณ์


ที่มา ข่าวสด www.mthai.com

122
เชิญชมบรรยากาศได้เลยครับ

พลุไฟประกอบเพลงสวยงามมาก


ภาพไฟสวยๆทีประดับประดาตามต้นไม้






สู้เพื่อพ่อครับ สู้ๆๆ


ขอบคุณคุณตำรวจด้วยนะครับที่ให้บริการประชาชนมีเต้นโชว์ด้วย อิอิ


ขอขอบคุณตากล้องส่วนตัวด้วยนะครับ



123
ประวัติวันลอยกระทงของไทย

เชื่อเป็นการขอขมาเจ้าแม่คงคา


 

          วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

 

          ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

 

ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

 

          ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบอลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า "ยี่เป็ง" หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)

 

          - จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"

 

          - จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง

 

          - ภาคอีสานจะตบแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า "ไหลเรือไฟ"

 

          - กรุงเทพฯ จะมี งานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว7-10วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง

 

          - ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน

 

          นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

 

ประวัติ

 

          เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

 

          ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี

ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"


 

 

ความเชื่อเกื่ยวกับวันลอยกระทง

 

          - เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ

 

          - เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย

 

          - เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ

 

          - ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารได้

 

 

ที่มา http://www.thaihealth.or.th/node/6494

124
บทความ บทกวี / มองต่างมุม
« เมื่อ: 21 ต.ค. 2552, 08:30:14 »


จุดเริ่มต้นของความคิดที่ดี
เกิดจากการมีมุมมองที่แตกต่าง
แต่ไม่แตกแยก

การยอมรับ
และปรับเปลี่ยนมุมมองเข้าหากัน
คือ วิธีการหนึ่งที่ก่อให้เกิดความสามัคคี

มุมมองที่แตกต่าง
อาจทำให้เราเห็นมุมอื่น ๆ ได้หลายมุม
มุมมองทางความคิด
อาจทำให้เราเห็นมุมมองที่หลากหลาย

มุมมองที่มองต่างมุม
หากเรานำส่วนที่แตกต่าง
มาสมานฉันท์ทางความคิด
ย่อมก่อให้ความคิดมีพลังที่ยิ่งใหญ่
ที่จะเป็นกลไกไขไปสู่ความสำเร็จ
และความสงบสุขในสังคมต่อไป

หากเปรียบมุมมองทางความคิด
เหมือนกับสับปะรด
ก็จะทำให้เราเห็นว่า
รอบ ๆ ตัวของเรานั้น
ยังมีมุมมองที่แตกต่างมากมาย

ในความเหมือน..
อาจมีความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ่อนอยู่

ในความแตกต่าง
อาจมีความเหมือนกันได้มาก
ถ้าเราสังเกตดูให้ดี

ในชีวิตจริง
ก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
สิ่งใดที่เราเคยชิน
เรามักจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง

แต่พอเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ
ก็จะทำให้เราเห็นความแตกต่าง

เพราะฉะนั้น
ความคิด..อารมณ์..ความรู้สึก
ย่อมเกิดความแตกต่างอย่างแน่นอน

แต่ถ้าเรารวมเอาอารมณ์..ความรู้สึก
บวกกับความคิดที่ดี
ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล

หนึ่งอารมณ์
บวกความรู้สึก
คูณด้วยพลังความคิด
ผลลัพธ์ที่ได้ นั้นก็คือ..
หนึ่งพลังใจแห่งความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่..


ที่มา http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=1041

125
ตะลึง ต่อหัวเสือ เฝ้ายามวัดกำจัดมารศาสนา!!



ป้องกันบรรดาหัวขโมยที่เข้ามาขโมยของมีค่า โดยเฉพาะพระเก่า และเงินบริจาคภายในวัด

วันนี้ (19 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า ที่วัดวังคำ บ้านนาวี หมู่ 15 ต.สงเปลือย อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ พระภิกษุสงฆ์ ลูกศิษย์ และชาวบ้านได้เลี้ยงต่อหัวเสือไว้หลายรัง เพื่อทำหน้าที่คอยเป็นยามเฝ้า และป้องกันบรรดาหัวขโมยที่เข้ามาขโมยของมีค่า โดยเฉพาะพระเก่า และเงินบริจาคภายในวัด จึงรีบเดินทางไปสำรวจพบว่า วัดดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้กับแนวเทือกเขาภูพาน ซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากชุมชน มีพระภิกษุ และสามเณรจำพรรษาอยู่ประมาณ 10 รูป ภายในวัดพบรังของต่อหัวเสืออาศัยอยู่ตามกุฏิ ชายคาศาลาการเปรียญ และโบสถ์ ประมาณ 20 รัง แต่ละรังมีตัวต่อหัวเสืออาศัยอยู่เต็มรัง

จากการสอบถาม นายเอื้อน ปั้นศรี อายุ 67 ปี มัคนายกวัดวังคำ เล่าว่า วัดวังคำได้เริ่มก่อสร้างมาหลายสิบปีแล้ว ถือเป็นวัดเก่าแก่ประจำอำเภอเขาวง ภายในวัดมีวัตถุโบราณ เช่น พระพุทธรูป พระเครื่อง และเงินบริจาค รวมถึงของมีค่าต่าง ๆ ที่ได้มาจากประเทศลาว และอยู่ในท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่หมายตาของมารศาสนา และกลุ่มมิจฉาชีพที่จ้องจะมาลักลอบขโมยเอาไปขาย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเคยมีโจรเข้ามาขโมยของมีค่า และเงินบริจาคภายในวัดไปแล้วหลายครั้ง แม้จะหาวิธีป้องกันหลายวิธีแต่ก็ไม่สามารถป้องกัน หรือจับขโมยได้ จึงตัดสินใจนำต่อหัวเสือมาปล่อยเลี้ยงไว้ภายในบริเวณวัด เพื่อป้องกันกลุ่มโจรที่จะเข้ามาขโมยของมีค่า ในช่วงแรกมีต่อหัวเสืออยู่เพียงไม่กี่รัง ต่อมาชาวบ้านรวมทั้งผู้ที่เข้ามาทำบุญได้นำต่อหัวเสือมาปล่อยเลี้ยงไว้เพิ่มขึ้น จนปัจจุบันมีต่อหัวเสืออาศัยอยู่ในวัดแห่งนี้แล้วไม่ต่ำกว่า 20 รัง

นายเอื้อน กล่าวว่า ก่อนที่ชาวบ้านจะนำต่อหัวเสือมาปล่อย จะเลือกรังต่อที่กำลังสร้างใหม่ ๆ ขนาดพอเหมาะ และนำสำลีไปอุดทางเข้าของรัง เพื่อไม่ให้ตัวต่อบินออกมาได้ โดยจะต้องทำในเวลากลางคืน ไม่เช่นนั้นจะถูกต่อต่อยได้ จากนั้นนำมาแขวนไว้ที่กุฏิ อุโบสถ ศาลาการเปรียญ หรือสถานที่ที่ต้องการให้ต่อหัวเสือเฝ้า แล้วเอาสำลีออก ซึ่งต่อหัวเสือก็จะอาศัยอยู่ และสร้างรังของตัวเองให้ใหญ่ขึ้นอยู่นั่นต่อไป อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกใจ และมหัศจรรย์อย่างมาก เพราะต่อหัวเสือทั้งหมดทุกรังจะไม่ทำอันตรายชาวบ้าน หรือผู้ที่เข้ามาทำบุญภายในวัด ยกเว้นผู้ที่เข้ามาขโมยของ หรือผู้ที่เข้ามาโดยไม่หวังดี สร้างความเสื่อมเสียให้กับวัด จะถูกต่อหัวเสือรุมต่อยได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน จึงทำให้พุทธศาสนิกชน ผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาทำบุญภายในวัด และเข้ามาดูต่อหัวเสือจำนวนมาก

ด้าน พระครูจรัญ ขันติปาโร เจ้าอาวาสวัดวังคำ กล่าวว่า เดิมที่มีโยมคนหนึ่งเข้ามาทำบุญเพื่อสืบชะตา โดยมีความเชื่อว่า ถ้านำต่อหัวเสือมาถวายวัด จะเป็นการต่ออายุให้ยืนยา และหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้น จึงได้นำต่อหัวเสือมาถวาย และปล่อยไว้ในวัด 1 รัง จากนั้นไม่นานก็มีชาวบ้านต่างพากันนำต่อหัวเสือมาเลี้ยงในเขตวัดมากขึ้น ปัจจุบันนี้มีอยู่ประมาณ 20 รัง ซึ่งทางวัดเห็นว่า ต่อหัวเสือทำหน้าที่คอยเป็นยามช่วยปกป้องสิ่งของในวัดไม่ให้ถูกขโมยไป จึงได้ปล่อยเลี้ยงต่อหัวเสือไว้ โดยให้ทำรังตามกุฏิ ชายคาศาลา และสถานที่เก็บรักษาของมีค่าต่าง ๆ นอกจากต่อหัวเสือจะทำหน้าที่เป็น รปภ.รักษาของมีค่าแล้ว วัดยังเป็นสถานที่อนุรักษ์พันธุ์ต่อหัวเสืออีกด้วย อย่างไรก็ดี พระภิกษุ และสามเณรที่อาศัยในกุฏิ ตลอดจนผู้เข้ามาทำบุญ ต่างไม่เคยถูกต่อหัวเสือทำร้าย แต่หากใครที่เข้ามาในวัดอย่างประสงค์ร้าย ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม จะถูกต่อหัวเสือรุมต่อยจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด.


ที่มา www.sanook.com

126
มนุษย์เราเป็นแค่เพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆบนโลกใบนี้
เพราะฉะนั้น จงอย่าไปกังวลอะไรจนเกินไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่อยู่รอบตัวเรา และจงอย่าไปเก็บรวบรวมปัญหาทั้งหมด
ที่เกิดขึ้นไว้กับตัวเราตลอดไป

จงปล่อยวางเสียบ้าง เพราะว่าเราก็คงไม่สามารถ
ไปแก้ไขปัญหาอะไรต่อมิอะไรได้ซะทั้งหมดหรอก

จงยอมรับและอยู่กับความเป็นจริง
จงอย่าหลอกลวงตัวเอง
เพราะว่าไม่มีทางที่จะสามารถทำได้สำเร็จ
แต่จงหวงแหนเวลาในทุกๆ ขณะ
และจงทำแต่ในสิ่งที่ดี ที่ปรารถนา
และเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
และพยายามที่จะเปิดโลกทัศน์ เปิดใจ ของตนเอง
พร้อมที่จะยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ทั้งความผิดหวัง ล้มเหลว เสียใจ
ที่เกิดขึ้นจากตัวเองและผู้อื่นเป็นผู้กระทำ

จงอย่าได้กังวลเกินไปกับสิ่งที่มารบกวนจิตใจ
จงหวงแหนในสิ่งอันเป็นที่รัก
ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและสงบสุข

จงมีความสุขใจเสมอกับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปแล้ว
เพื่อต้อนรับสิ่งที่กำลังจะตามมาจากการกระทำในวันใหม่
ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี เพลิดเพลินไปกับแสงอรุณ
และมองโลกในด้านสว่างของทุกๆ สิ่งเสมอ


คัดลอกจาก http://www.tamdee.net/note/webboard.php :114: :114:

127
 ร่วมแสดงมุทิตาจิตเนื่องในโอกาสวันคล้ายวัดเกิด พระอาจารย์อภิญญาตรงกับวันที่ 8 ตุลาคม 2552 นี้ครับ

                      

กราบนมัสการหลวงลุงญาครับ :054:

กระผมกราบขอ บารมีหลวงลุงญา ด้วยครับ  

ขอยืมรูปจากพี่ นก 2009 ด้วยนะครับ

128
เนื้อวัวกับหัวคน

อาหงเป็นพ่อค้าที่ขายสินค้าทั้งปลีกและส่ง เดือนหนึ่งจะต้องเดินทางไปภาคอีสานและภาคกลางอย่างน้อย 1 ครั้ง ทุกครั้งที่เดินทางมาที่จังหวัดสุรินทร์ ในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจแล้ว จะนั่งดื่มชาจีนกับเถ้าแก่คนหนึ่งในร้านขายเหล็ก เพื่อพูดคุยกันและเป็นการรอรถเพื่อจะกลับจังหวัดที่ตนอยู่

มีอยู่ครั้งหนึ่งอาหงก็นั่งดื่มน้ำชากับเถ้าแก่เฉินตามปกติและเสวนาเรื่องการค้า จู่ๆ ก็เห็นหนุ่มใหญ่คนหนึ่งท่าทางเป็นคนแข็งแรงร่างกายบึกบึน ชายคนนั้นได้จูงวัวตัวหนึ่งเดินผ่านหน้าร้านที่เถ้าแก้ทั้งสองกำลังดื่มน้ำชาอยู่ เป็นเรื่องแปลกมากเมื่อวัวตัวนั้นเดินผ่านร้านขายเหล็กที่เถ้าแก่ทั้งสองคนกำลังดื่มน้ำชากันอยู่ ก็ไม่ยอมเดินต่อไป ถึงแม้หนุ่มใหญ่คนนั้นจะลากจะจูงอย่างไร วัวตัวนั้นก็ดื้อไม่ยอมเดินท่าเดียว

หนุ่มใหญ่คนนั้นจึงโกรธมากได้เอาเชือกหยาบๆ เส้นหนึ่งเฆี่ยนตีลงไปที่หลังของวัว แต่วัวตัวนั้นก็ยังไม่เดิน อาหงและเถ้าแก่เฉินเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น จึงหยุดดื่มน้ำชาแล้วรีบเดินมาดูที่หน้าบ้านว่ามีอะไรเกิดขึ้น เป็นเรื่องแปลกจริงๆ เมื่อวัวตัวนั้นเห็นเถ้าแก่ทั้งสองเดินออกมาดู วัวตัวนั้นจึงรีบคุกเข่าลงทันที น้ำตาไหลพรากเหมือนกับจะวิงวอนขอให้เถ้าแก่ทั้งสองช่วยชีวิตมันด้วย

อาหงได้มองหน้าเถ้าแก่เฉินแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เถ้าแก่เฉินรู้จักหนุ่มใหญ่คนนี้ดี จึงถามหนุ่มใหญ่คนนี้ว่า “วัวตัวนี้จะเอาไปโรงฆ่าสัตว์หรือ จะขายเท่าไร” ที่เถ้าแก่เฉินถามนั้น ก็เพราะตั้งใจไว้ว่าจะร่วมกับอาหงซื้อวัวตัวนั้นเพื่อเอาบุญ หนุ่มใหญ่จึงตอบว่า

“ตั้งใจจะขายให้โรงฆ่าสัตว์สัก 6,000 บาท แต่ว่าไอ้วัวตัวนี้มันช่างร้ายกาจและดื้อนัก ต้องใช้กำลังมากจึงลากและจูงมันมาด้วยความลำบาก ดังนั้นต่อให้เป็นเงิน 10,000 บาท ก็จะไม่ขาย อยากจะทารุณมันด้วยสองมือของตัวเองจึงจะหายแค้น”

เถ้าแก่เฉินและอาหงก็ถามอีกว่า “วัวตัวนั้นไปทำอะไรให้ คุณถึงได้แค้นหนักหนา”

หนุ่มใหญ่ไม่ตอบ

ต่อมาเถ้าแก่จึงได้รู้ความจริงว่า “แท้จริงวัวตัวนี้มันแก่แล้วไถนาไม่ได้ เจ้าของวัวจึงได้ขายวัวตัวนี้ให้กับหนุ่มใหญ่ด้วยราคา 4,000 บาท หนุ่มใหญ่ตั้งใจจะขายต่อให้โรงฆ่าสัตว์ วัวตัวนั้นมันรู้ชะตากรรมของมันดีมัน จึงไม่ยอมเดินตามหนุ่มใหญ่ไป จึงเป็นเหตุให้หนุ่มใหญ่โกรธแค้นวัวตัวนี้ อยากจะฆ่าวัวตัวนี้ด้วยน้ำมือของมันเอง เถ้าแก่ทั้งสองสงสารวัวตัวนั้นจับใจอยากจะช่วยซื้อ แต่หนุ่มใหญ่ไม่ยอมขาย”

เถ้าแก่ทั้งสองจึงได้มองตากันปริบๆ เพราะช่วยเหลือวัวตัวนั้นไม่ได้ ได้แต่มองดูหนุ่มใหญ่ทั้งลากทั้งจูงวัวให้พ้นจากสายตา วันเวลาผ่านไป 1 เดือน อาหงเดินทางไปเก็บเงินและซื้อสินค้าเพิ่มเช่นเคย อาหงไปหาเถ้าแก่เฉิน เถ้าแก่เฉินเล่าให้ฟังว่า

จำได้ไหมเมื่อเดือนก่อนที่เราตั้งใจจะซื้อวัวตัวนั้น แต่หนุ่มใหญ่ไม่ยอมขายให้ เรื่องของวัวตัวนั้นอันที่จริงแล้ว เมื่อพวกเขาซื้อวัวมาจากเจ้าของเดิมก็อยากฆ่าด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์ พวกเขาอยู่ด้วยกัน 3 คน บ้านอยู่ในชนบท วันหนึ่งได้แต่ซื้อวัวแก่ที่ไถนาไม่ได้แล้วนำมาฆ่าเอง หรือส่งไปที่โรงฆ่าสัตว์ วัวตัวหนึ่งจะขายได้กำไรประมาณ 2,000 - 3,000 บาท บางครั้งพวกเขาก็ช่วยกันฆ่าโดยจูงวัวเข้าไปในป่าแล้วลงมือฆ่า

เมื่อวัวตายเนื้อวัวจะถูกส่งไปขายให้พ่อค้าเนื้อที่ตลาด โดยค่าส่งจะถูกกว่าโรงฆ่าสัตว์เสียอีก การแอบฆ่าวัวเพื่อจะได้กำไรมาก โดยไม่ต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์กำไรอีกทอดหนึ่ง แต่การแอบฆ่าสัตว์ก็ผิดกฏหมายเหมือนกัน ดังนั้นพวกเขานานๆ จะฆ่าสักตัวหนึ่ง เหมือนครั้งนี้เจ้าวัวแก่ตัวนี้มันดื้อไม่ยอมเดินตามหนุ่มใหญ่ไปที่โรงฆ่าสัตว์ มันจึงถูกพวกทั้ง 3 คนคิดจะลงมือฆ่าเอง

2 ใน 3 คนมีนาย ก และนาย ข นาย ก บอกให้นาย ข ไปที่ตลาดบอกกับพ่อค้าว่า “พรุ่งนี้จะมีเนื้อวัวที่ฆ่าเองมาส่งให้” พร้อมกับให้นาย ข ขากลับแวะไปที่ตลาดซื้อเหล้ามาด้วย ยังไม่ทันไปซื้อเหล้า นาย ข ได้เข้าไปร้านเหล้า ดื่มเหล้าไปแล้ว 30 จอก หลังจากนั้นก็มีอาการเมามายเดินโซเซอยู่กลางถนน ต่อมามีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งแล่นผ่านมาแล้วเบียด นาย ข ตกริมทาง มีพลเมืองดีผ่านมาเห็นเข้าจึงได้นำ นาย ข ส่งโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลแล้ว นาย ข ยังไม่หายเมา ไม่มีสติ ส่วนนาย ก ยืนรอนาย ข อยู่ในป่านานแล้วนาย ข ก็ยังไม่กลับมาสักที จึงคิดว่าสงสัย เราจะต้องลงมือฆ่าวัวด้วยตัวเองเสียแล้ว เพราะนี้ก็บ่ายมากแล้วเดี๋ยวค่ำมืดจะไม่สะดวก

นาย ก มีความชำนาญในการฆ่ามาก พอคว้ามีดที่เสียบไว้ในเอวได้แล้ว จึงใช้มืออีกข้างหนึ่งคลำบริเวณลำคอของวัวตัวนั้น แล้วใช้มีดแทงลงไปบริเวณที่วัวถูกแทง ห่างจากลูกคอประมาณ 7 นิ้ว ไม่มีเสียงร้องจากวัวเมื่อถูกแทงก็ล้มลงขาดใจตายทันที นาย ก เรียนรู้การฆ่าวัวจากบรรพบุรุษของตัวเอง เพราะรู้วิธีการดี โดยแทงวัวให้ถูกจุด ชั่วประเดี๋ยววัวตัวนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากลำคอ นาย ก ปล่อยให้เลือดของวัวไหลจนหมด หลังจากนั้น นาย ก ก็จะเอากาละมังที่เตรียมไว้ไปใส่น้ำในลำธาร แล้ววางอยู่บนโขดหินจากนั้นก็จัดการก่อไฟขึ้น

นาย ก ใช้มีดปลายแหลมกรีดเข้าไปในท้องของวัว แล้วล้วงเอาลำไส้ให้ออกมา จากนั้นจึงฟันหัววัว หลังจากนั้นได้เอาไปต้มในกาละมังที่เตรียมไว้ ต่อจากนั้น นาย ก ก็หาต้นไม้ที่ร่มรื่นเอนหลังโดยใช้ไม้หยาบๆ หนุนแทนหมอน แล้วก็หลับไปเพื่อเป็นการรอคอยนาย ข ซื้อเหล้ามา จะได้แกล้มกับหัววัว

วันนั้น นาย ก เหนื่อยมาก พอล้มตัวลงก็หลับไม่รู้เรื่อง สะดุ้งตกใจตื่นกลัวว่าเมื่อกี้ที่ต้มหัววัวอยู่น้ำจะแห้งไปจึงรีบๆ ลุกขึ้นไปดูด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น นาย ก ไม่ทันระวังตัวเท้าไปสะดุดกับไม้หยาบที่ตัวเองใช้หนุนแทนหมอน นาย ก หกล้มหน้าจึงทิ่มไปในกาละมังที่กำลังต้มหัววัวอยู่พอดี ไม่มีเสียงร้องใดๆ จากนาย ก ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงถูกต้มจนเปี่อยอยู่ในกาละมัง

รุ่งเช้าชาวบ้านเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า “ผลกรรมตามสนอง” เพราะว่าเอาหัววัวไปต้ม หน้าก็ถูกทิ่มลงไปในกาละมังด้วย ดังนั้นทุกคนจึงได้รู้ว่าทำกรรมไว้กับผู้ใดกรรมนั้นจะตอบสนองเหมือนเงาตามตัว


มาจาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6046 :089:

129
วิญญาณกตัญญู
โดย ท.เลียงพิบูลย์


จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



เมื่อครั้งสมัยก่อน ข้าพเจ้าเดินทางไปภาคเหนือต้องลงพักสถานีปากน้ำโพ เพื่อความสะดวกจึงพักแรมที่สถานีรถไฟ เวลานั้นชั้นบนของสถานีรถไฟเป็นที่พักแรม รู้สึกว่าโรงแรมแห่งนี้ไม่ค่อยจะมีผู้คนมาพักมากนัก เพราะทุกคนเมื่อลงจากรถไฟก็ข้ามไปพักฝั่งเมือง

นอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีชายอีกผู้หนึ่งอายุมากกว่าข้าพเจ้า การที่มาพักในโรงแรมเดียวกัน ซึ่งมีเราเพียงสองคนเท่านั้น ซ้ำยังเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่มีปัญหาอะไรที่จะไม่หันหน้าเข้ามาสนทนา และทำความรู้จักกันก็ไม่ยากนักแล้วเราก็สนิทสนมกัน ท่าทางของชายผู้นี้เป็นคนดีมีความรู้เป็นคนเปิดเผย คบง่ายเป็นกันเอง ตอนหนึ่งข้าพเจ้าบ่นว่าที่พักมีความสะอาดน้อยกว่าโรงแรมรถไฟทั่วๆ ไป ที่เคยพักมา แล้วเพื่อนร่วมที่พักของข้าพเจ้าบอกว่า

“อย่าไปสนใจอะไรเลยคุณเรื่องที่พัก เมื่อเราออกจากบ้านแล้ว หาความสะดวกความสบายได้ยาก เราพักคืนเดียวเท่านั้น ทนเอาหน่อยอย่าไปนึกอะไร ผมผจญมามากกว่านี้”

แล้วก็เล่าเรื่องผจญต่อเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง ให้เวลาผ่านไปอย่างเพลิดเพลิน แต่ข้าพเจ้าสนใจเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตัดตอนมาเล่าให้ท่านฟัง

เมื่อรถยนต์โดยสารจอดที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง พวกคนโดยสารรีบลง ผมมาในรถโดยสารนั้น ผู้หนึ่งจึงลงมาด้วย เพราะเราต้องเดินทางมาเกือบตลอดวัน ต่างก็ปัดฝุ่นสีแดงที่ติดตามเสื้อผ้าและหน้าแล้ว ผมก็มองดูโรงแรมที่พักเป็นตึกเก่าๆ ปลูกอย่างหนาเทอะทะเอาความแข็งแรงเป็นข้อแรก เอาความสวยงามรองมา คงจะเป็นตึกที่เก่าแก่หลังหนึ่งในจังหวัดนั้น ข้างบนเป็นโรงแรม ข้างล่างเป็นร้านขายอาหารและกาแฟ

ผมเข้าไปนั่งพักแล้วสั่งกาแฟมาถ้วยหนึ่ง มองดูเด็กประจำรถปีนขึ้นไปบนหลังคารถโดยสารเลิกผ้าคลุมออกแก้เอาหีบกระเป๋าเดินทาง ซึ่งผูกไว้กับเหล็กหลังคารถ ยกส่งลงมาข้างล่างแล้วก็เอาไปไว้ในร้านกาแฟ นอกจากผมที่จะพักโรงแรมนี้แล้ว ก็ยังมีชายกลางคนกับภรรยาสาวซึ่งมีอายุอ่อนกว่าสามีประมาณยี่สิบปี ที่จะลงมาพักด้วย ผู้โดยสารพวกอื่นคงจะเป็นชาวเมืองนั้นจึงกลับไปบ้านของตน ผมกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ ส่วนชายสูงอายุผู้นั้นนั่งคอยภรรยาของเขากำลังเข้าห้องน้ำ ผมจึงถามว่า

“คุณจะพักแรมคืนที่นี่เหมือนกันหรือครับ”

ชายผู้มีอายุตอบว่า “ครับ ผมจะพักแรมคืนอยู่ที่นี่ รุ่งขึ้นก็จะเดินทางต่อไป” ขณะนั้นพอดีภรรยาท่านผู้นั้นก็ออกมาจากห้องน้ำ มานั่งร่วมสนทนาด้วย

ทันใดนั้นก็มีจีนไหหลำคนหนึ่งแต่งกายเสื้อผ้าขาวสะอาดเดินออกมาจากข้างในถามว่า “คุณต้องการห้องพักหรือครับ”

ผมเลยบอกไปว่า “หาห้องพักสะอาดดีๆ ให้พักสองห้องซิเถ้าแก่ ห้องหนึ่งสำหรับท่านผู้นี้กับคุณนาย และผมอยู่คนเดียวห้องหนึ่ง”

เถ้าแก่ผู้นั้นบอกว่า “ห้องยังมีเหลือห้องเดียวครับคุณ นอกนั้นเต็มหมด”

ผมจึงบอกว่า “ทำไมโรงแรมใหญ่ๆ จึงมีเหลือห้องเดียว”

เถ้าแก่บอกว่า “มีหลายห้องแต่มีคนเช่าไว้หมดแล้ว”

ผมจึงถามว่า “เมืองนี้ก็เห็นคนไม่มาก ทำไมห้องพักจึงเต็มหมด”

เถ้าแก่ตอบว่า “คนเช่าไว้ตั้ง ๕ ห้อง มีฝรั่งสอง คนไทยสามคน กลางวันเขาไปทำงานในป่า (สำรวจแร่) กลางคืนถึงกลับมานอนเช้าขึ้นออกไป เขาเช่าไว้ตั้งหลายวันแล้วคิดว่าคงจะอยู่สองอาทิตย์”

ผมจึงบอกว่า “เหลือห้องเดียวก็ให้คุณทั้งสองนี้ก็แล้วกัน”

เถ้าแก่ผู้นั้นถามว่า “แล้วคุณจะไปนอนที่ไหนล่ะ”

ผมจึงบอกว่า "คนเดียวไม่เป็นไร จะไปหาพักโรงแรมอื่นก็ได้”

เถ้าแก่เจ้าของโรงแรมบอกว่า “เมืองนี้ไม่มีโรงแรมที่ไหนอีกนอกจากที่นี่”

แต่แล้วเถ้าแก่โรงแรมทำเป็นนึก สักครู่ก็ส่งภาษาจีนพูดกับบ๋อย ผมเห็นเจ้าเด็กบ๋อยนั้นสะดุ้ง และเถ้าแก่บอกกับผมว่า ยังมีห้องหนึ่งห้องต้องทำความสะอาด เพราะไม่มีคนเข้าไปพักนานแล้ว ถ้าคุณจะพักก็ขึ้นไปดูได้

ผมบอกว่า “ตกลงไม่ต้องดู จัดการทำความสะอาดก็แล้วกัน”

เถ้าแก่จึงสั่งบ๋อยให้ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปข้างบน และเอากุญแจไปไขห้องสำหรับผัวเมีย และเอาไปในห้องร้างที่จะให้ผมเข้าไปพักด้วย เมื่อเราขึ้นไปข้างบนมองดูสภาพ ก็เป็นโรงแรมบ้านนอกธรรมดาทั่วๆ ไป สองผัวเมียได้ห้องติดข้างถนนใหญ่ สำหรับผมบ๋อยเดินนำเอากุญแจไปเปิดอีกห้องหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปมาก บ๋อยพยายามไขกุญแจเท่าไรไม่ออกเพราะมือสั่น ผมต้องหยิบกุญแจมาไขเอง เมื่อถือกุญแจก็เห็นสนิมติดมือ จึงรู้ว่าห้องนี้คงไม่ได้เปิดมานานแล้ว เมื่อเปิดออกแล้วเจ้าบ๋อยถามผมว่า “นายจะนอนห้องนี้หรือ” ผมพยักหน้า

บ๋อยจึงพูดว่า “นายเข้าไปก่อนซิ ประเดี๋ยวผมจะไปทำความสะอาดให้”

ผมสังเกตดูรู้ว่าเจ้าบ๋อยคนนี้ลุกลี้ลุกลนชอบกล ผมจึงเข้าไปเปิดหน้าต่างออก ห้องรู้สึกอับๆ เห็นจะเป็นเพราะปิดไว้นาน มองดูสภาพก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก นอกจากมุ้งไม่มีและที่นอนม้วนไว้ สักครู่บ๋อยอีกคนนหนึ่งก็หอบเอาผ้าปูที่นอนหมอนมุ้งขึ้นมาและจัดการเช็ดกวาดทำความสะอาดกันสองคน และคุยกันซุบซิบซึ่งผมไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน

แต่ที่ผิดสังเกตก็เพราะเจ้าบ๋อยสองคนพูดกันแล้วก็หันมาดูหน้าผม แล้วก็หัวเราะกันคล้ายผมเป็นตัวตลกผมไม่รู้เรื่อง เขาหัวเราะผมเพราะอะไร และผมก็ไม่เอาใจใส่เมื่อเช็ดถูปัดกวาด กางมุ้ง ปูที่นอน ใส่ปลอกหมอนเรียบร้อยแล้วก็ไม่เห็นว่ามันผิดกว่าห้องอื่นอย่างไรเลย ทำไมเถ้าแก่เจ้าของโรงแรมจึงไม่บอกแต่ครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเราก็ได้ห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องวิตกว่าจะต้องไปหาที่อื่นนอน

ทราบว่าตามปกติห้องพักไม่ค่อยจะมีคนเต็ม แต่คราวนั้นมีนักสำรวจทั้งไทยและฝรั่ง ๕ คน ได้มาเช่าห้องไว้ จึงทำให้โรงแรมนี้เต็ม เย็นนั้นผมอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็เดินลงมาดูอาหารสั่งอาหาร รู้สึกว่าเมื่อผมลงมานั่ง พวกบ๋อยและคนจีนไหหลำบนโรงแรมนั้นต่างมองผมเป็นตาเดียวกัน ผมต้องก้มหน้าลงดูเสื้อผ้าอาจจะใส่ไม่เรียบร้อยหรือขาด แต่ดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ แล้วก็เลยคิดว่าใครจะดูเราอย่างไรก็อย่าไปสนใจเลย เมื่อผมสั่งอาหารทานเสร็จแล้วก็กลับขึ้นไปนอนพักในห้อง

สักครู่บ๋อยก็เอาตะเกียงเติมน้ำมันมาเสร็จเรียบร้อยขึ้นมาให้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผมสงสัยว่า เพียงเอาตะเกียงขึ้นมาก็ต้องขึ้นมาตั้งสองคน ผมอยากจะให้รู้แน่ จึงสั่งให้บ๋อยเอาบุหรี่ขึ้นมาให้ผมหนึ่งซอง แต่แล้วทำให้ผมสนใจมากขึ้นเพราะเพียงยาซองเดียวก็ยังขึ้นมาให้ผมตั้งสองคน ผมนึกแต่ในใจว่าโรงแรมนี้คงมีสิ่งผิดปกติเป็นแน่เมื่อเข้ามาในห้องที่ผมอยู่ เมื่อบ๋อยออกไปแล้ว ผมก็นั่งคิดสักครู่หนึ่ง จึงใส่กุญแจห้องแต่จุดไฟทิ้งไว้ แล้วก็เดินลงบันไดไปข้างล่างเห็นแสงไฟเจ้าพายุแขวนอยู่กลางห้อง มีพวกจีนไหหลำนั่งคุยกันเสียงดังใต้แสงเจ้าพายุ พอผมเดินลงไปเสียงที่ดังก็ค่อยลงทันที ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ

เถ้าแก่เจ้าของโรงแรมถามว่า “คุณจะต้องการอะไรบ้างครับ”

ผมจึงบอกว่า “อยากได้น้ำชาจีนสักหนึ่งกา บอกบ๋อยเอาขึ้นไปให้ด้วย”


ต่อ ด้านล่าง...

130
ตามที่"ผู้การเสือ"ได้มอบพระมาแจกให้กับเพื่อนสมาชิกกระดานสนทนาวัดบางพระ ขณะนี้ได้หมดเขตส่งรายละเอียดชื่อที่อยู่สำหรับ

จัดส่งพระแล้ว ท่านใดที่ไม่ได้ส่งราย

ละเอียดมาหรือส่งมาไม่ครบถือว่าสละสิทธิ์นะครับ

 ขอบคุณที่ร่วมกิจกรรมกันครับ.เพราะมีสมาชิกส่งมาแค่ชื่อกับเบอร์โทรมาครับ

เพราะตอนนี้ของรางวัลได้ส่งคืนให้ คุณลุง "ผู้การเสือ"ไปแล้ว ครับ

สำหรับท่านที่ทำการลงทะเบียนแล้วส่งชื่อ ที่อยู่ มาให้ผมแล้ว ผมจะทำการจัดส่งไปให้ครับ
:001:

ด้วยความเคารพอย่างสูง ต้นน้ำ... :054:

131
บทความ บทกวี / >>..จนมุม..<<
« เมื่อ: 06 ส.ค. 2552, 06:20:25 »


>>..จนมุม..<<
 

 
ณ มุมใด..มุมหนึ่งของชีวิต..
บ่อยครั้งที่เรา..
มักพบเจอปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต
เกิดความสับสน..วุ่นวาย..
ทำให้เกิดความท้อแท้..สิ้นหวัง..

หากชีวิตของเรา..
มีมุมต่าง ๆ ให้แต่ละคนเลือกว่า..
จะอยู่มุมไหน..มุมใด..

มุมต่าง ๆ ในชีวิต
อาจมีได้หลายมุม..ตั้งแต่ ๒ มุมขึ้นไป..

มุมที่ว่านี้..
คือ..มุมอับกับมุมสว่างของชีวิต..
ที่เรียกว่า..มุมมืด..มุมสว่าง..

หลายคน..
คงได้พบเจอมุมมืดของชีวิตมาแล้ว..
ในยามที่เรา..ท้อแท้..สิ้นหวัง..หมดกำลังใจ..
ปราศจากแสงสว่างในชีวิต..
ชีวิตของเรา..ก็จะเป็นมุมมืดขึ้นมาทันที..

หากแม้นว่า..
ในท่ามกลางของมุมที่มืดมิดนี้..
มีใครสักคนที่จุดไฟ..แห่งกำลังใจ..ให้บ้าง
ก็จะสามารถช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้..
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม..

แต่จะมีใครจะรู้บ้างว่า..
ในช่วงเวลาที่เราอยู่ในมุมมืดของชีวิต
เราจะมีวิธีการค้นพบแสงสว่างได้จากที่ใด..

คำตอบก็คือ..
เราไม่ต้องไปแสวงหาแสงสว่างจากที่ไหนหรอก..
นอกจาก..มุมมืด ๆ ของที่ตรงนั้น..

ณ มุมมืดของชีวิต
เมื่อเวลาที่เรานั่งอยู่ในวงเวียนของความมืดมน
แม้เราลืมตาขึ้น..มองดู..
เราก็จะไม่มีวันเห็นสิ่งต่าง ๆ ในความมืดนั้นได้เลย

แต่ในทางตรงกันข้าม..
ณ มุมมืดของชีวิต..
หากเราลองหลับตา..
มองดูความรู้สึกภายในจิตใจของเรา..
เราจะพบแสงสว่างที่เกิดขึ้น..
จากความสงบในท่ามกลางของความมืดนั้น..ได้อย่างน่าเชื่อ..

บุคคลใด..
ที่มีจิตใจสับสน..วุ่นวาย..
แม้เขาจะยืนอยู่ในที่สว่างกลางแจ้ง..
ก็ไม่สามารถมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้..

แต่เมื่อใด..
ที่ใจของเขาผู้นั้น..สงบภายใต้ความมืดมิด..
แสงสว่าง..คือ..ความสงบจะบังเกิดขึ้นในจิตใจของเขา..
ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตของเขาก็จะคลี่คลายลง..
แสงสว่างแห่งปัญญาจะปรากฏขึ้นมาแทนที่..


ที่มา http://www.dhammathai.org :114:

132
บทความ บทกวี / >> ไข้กิเลส 2009
« เมื่อ: 03 ส.ค. 2552, 12:00:01 »
>> ไข้กิเลส 2009 
 
นับว่าในช่วงปี 2009 นี้
มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราต่าง ๆ มากมาย..

ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-การเมือง
รวมถึง..ไข้หวัดมรณะ 2009..
ซึ่งเป็นที่แตกตื่น..
และหวาดวิตกกังวลไปทั่วทุกสารทิศ

เพื่อความอยู่รอดในการดำเนินชีวิต..แบบเอาตัวรอด..
ให้พ้นจากพิษภัยต่าง ๆ...
จึงทำให้ทุกคนต้องดินร้นหนีเอาตัวรอด...

แต่ในมุมมองที่แตกต่าง..
เราจะพบว่า..
ทุก ๆ วินาทีเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา..
ดังนั้น..ทุก ๆ คนจึงต้องแสวงหา..ที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวใจ..
แสวงหาหนทางและวิธีป้องกันตัว..
เพื่อความอยู่รอด..
และการดำรงชีวิตความเป็นมนุษย์ให้ยาวนานที่สุด..


ธรรมชาติได้สอนให้มนุษย์..
รู้จักที่จะเอาตัวรอด..ในทุก ๆ วิถีทาง..

ในความเป็นจริง..
ไม่ว่าโลกของเราจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร..
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงในจิตใจของคน..
ที่เป็นเชื้อโรคร้าย..
นั่นคือ..โรคกิเลส..(โรคความเห็นแก่ตัว)..

เชื้อโรคร้ายจะมีผลอันตรายถึงเพียงใด..
ที่สำคัญ..เราอย่าให้โรคแห่งความวิตกกังวล..
ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา..
เพราะโรควิตกจะสร้างโรคที่ถาวรให้แก่เรา..

โรคบ้างโรค..บางครั้งรักษา..ก็หาย..
โรคบ้างโรค..บางครั้งรักษาแล้ว..ก็ไม่หาย..
โรคบ้างโรค..เป็นแล้ว..ไม่ต้องรักษาก็หาย...

เพราะฉะนั้น..
ขอให้เรารับรู้ว่า..โรคบางโรค..
เมื่อเป็นแล้ว...ก็พรากชีวิตของเราไปได้แต่ในโลกนี้
แต่โรคที่อันตรายที่สุดในชีวิตของมนุษย์..
ดังที่ได้กล่าวแล้ว..คือ..โรคกิเลส..(โรคความเห็นแก่ตัว)..นี้..
แม้เราตายไปกี่ครั้ง..มันก็ไม่หมดไปจากจิตใจของเราได้..
ถ้ายังไม่บรรลุธรรม..

จงเห็นตัวแก่..(เห็นแล้วปลง)..
ดีกว่า..เห็นแก่ตัว..(เห็นแล้วเอา)..


ที่มาhttp://www.dhammathai.org :054:

133
บทความ บทกวี / ไม้ขอ เหล็กงอ คนคด
« เมื่อ: 26 ก.ค. 2552, 09:59:24 »
ไม้ขอ เหล็กงอ คนคด

ไม้คดเอาไว้ทำขอ
เหล็กโค้งโก่งงอ
ไว้ตกแต่งเป็นเคียวคม

เลือกใช้ให้เหมาะให้สม
ของขอของคม
สำเร็จประโยชน์แก่งาน

คนคดคิดติดสันดาน
แสร้งมาสมาน
เป็นมิตรนั้นอย่าไว้ใจ

เพราะศัตรูที่ยิ่งใหญ่
รู้หน้ารู้ใจ
ไม่ร้ายเท่ามิตรทรยศ

ไม้ขอเหล็กงอคนคด
จงจำกำหนด
คนคดใช้ประโยชน์มิได้

จากส่วนหนึ่งบทกวี ชุด
พ่อฉันเป็นชาวนา
โดย สิริมงคล

ที่มา http://www.dhammajak.net

134
นะโม 3จบ

พุทธัง เพชร คงฆัง ธัมมัง เพชรคงฆัง สังฆัง เพชรคงฆัง

พุทธัง มาเรโส ธัมมัง มาเรโส สังฆังมาเรโส

135
ชื่อนั้น..สำคัญไฉน ??
 

 
คำว่า..ชื่อ..
ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีว่า..
ใช้สำหรับเรียกแทนตัวตนของบุคคลนั้น ๆ
เพื่อความสะดวกในการติดต่อสื่อสาร
และทำให้เข้าใจและจำได้ง่ายว่า..
คน ๆ นั้น ชื่อนั้น..นามสกุลนั้น
คน ๆ นี้ ชื่อนี้..นามสกุลนี้

แต่ชื่อนั้น..สำคัญไฉน ??
ในมุมมองของธรรมะ
ชื่อของแต่ละบุคคลนั้น..
ไม่ได้มีการตั้งชื่อ..ติดป้ายชื่อออกมาตั้งแต่เกิด..
แต่เกิดมาแล้ว..จึงทำการตั้งชื่อเรียกกันในภายหลัง..
ตามหลักความเชื่อของแต่ละบุคคล..

การตั้งชื่อ ? นามสกุล
เป็นการบ่งบอกลักษณะนิสัย..พื้นเพ..
และวัฒนธรรมในท้องถิ่นประเทศนั้น ๆ
ก็จะทำการตั้งชื่อเรียกให้สอดคล้องกันในความนิยมนั้น ๆ

สำหรับประเทศไทยในยุคแรก ๆ
ก็จะอนุรักษ์ความเป็นไทย..
ด้วยการตั้งชื่อเพียงคำสั้น ๆ พยางค์เดียว เช่น
นายขาว, นายเขียว, นายดำ, นายแดง, นายมี, นายมา เป็นต้น

หากเราได้สังเกตดูให้ดี
จะพบว่า..
ชื่อไม่ได้บ่งบอกความดี ? ความเลวของคนได้

หากเราลองถามชื่อของบุคคลทั่วไป..
ก็จะทำให้เราเข้าใจความหมายได้มากขึ้น เช่น
ชื่อ ?รวย? แต่ทำไม..ยังยากจนอยู่..
ชื่อ ?ดี? แต่ทำไม..ยังทำชั่วอยู่..
ชื่อ ?อิ่ม? แต่ทำไม..ยังหิวอยู่..
ชื่อ ?เศรษฐี? แต่ทำไม..ยังเป็นยาจกอยู่..
ชื่อ ?ยิ้ม? แต่ทำไม..ยังหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่..
ชื่อ ?มานะ? แต่ทำไม..ยังเกียจคร้านอยู่..
ชื่อ ?ขาว? แต่ทำไม..ยังตัวดำอยู่..
ชื่อ ?จำ? แต่ทำไม..ยังชอบลืมอยู่..
ชื่อ ?สุข? แต่ทำไม..ยังมีทุกข์อยู่..

จะเห็นว่า..
มีแต่ชื่อดี ๆ ไพเราะทั้งนั้น
แต่ทำไม..ถึงตรงกันข้ามกับชื่อทุกชื่อเลย..

เพราะฉะนั้น..
ชื่อของเรา..ไม่ได้มีส่วนสำคัญในชีวิตของเรา..
จะชื่อดี..ชื่อไพเราะแค่ไหน..
ก็ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อตัวของเราได้

เหมือนคนชื่อ..จน..
เขาตั้งใจทำงาน..ประกอบอาชีพสุจริต..
เขาก็สามารถร่ำรวยเป็นเศรษฐี..มหาเศรษฐีได้..

หรือแม้แต่คนชื่อ..บาป..
ก็ไม่จำเป็นว่า..เขาจะต้องเกิดมาเพื่อทำบาป..ทำชั่ว..
เขาอาจจะเป็นคนดี..ทำดี..คิดดี..พูดดี..
ทำประโยชน์ให้แก่สังคมประเทศชาติได้..

ดังนั้น..
ชื่อไม่สำคัญ...
แต่การกระทำสำคัญกว่า..
จะชื่อดี..หรือไม่ดี..
การกระทำของตัวเรา..
จะเป็นตัวชี้วัดชีวิตของเราด้วยตัวเราเอง..


ที่มาจาก http://www.dhammathai.org/ ธรรมะไทย :114:

136
                                                                  ประกาศจับจากคุณลุง "ผู้การเสือ" ...


ท่านสมาชิกที่ใช้ชื่อว่า "ข้าวหลามตัด" และสมาชิกที่ใช้ชื่อว่า " parthomsak"


ถ้าท่านได้อ่านประกาศฉบับนี้แล้ว กรุณาติดต่อมาทาง Pm ต้นน้ำ ด้วยครับ...   :002:





137
บทความ บทกวี / ธาตุแท้...ของ ???
« เมื่อ: 19 ก.ค. 2552, 11:48:16 »

ลองสังเกตธรรมชาติรอบ ๆ ตัวเรา..
แล้วเราจะพบว่า..
ในธรรมชาติเหล่านั้น..
ได้แฝงปรัชญาข้อคิดในการดำเนินชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี..

น้ำใส..กลายเป็นน้ำขุ่น..
เพราะมีวัตถุอื่นมากระทบ..ก่อกวน..ฉันใด

เปรียบเหมือน..จิตใจของคนเรา..ที่ขุ่นมัว..เศร้าหมอง..
ก็เพราะมีกิเลสมาก่อกวน..หมักหมม..ฉันนั้น

ธาตุแท้ของน้ำ คือ..ความใสสะอาด..
แต่ธาตุแท้ในจิตใจของคน คือ..ความสงบ..

ธาตุแท้ของแฟ๊บ,สบู่ คือ..ชำระความสกปรกภายนอกจิตใจ
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..เพิ่มความสะอาดภายในจิตใจ

ธาตุแท้ของไฟ คือ..เผาไหม้เชื้อเพลิง
ธาตุแท้ของไฟกิเลส คือ..เผาไหม้จิตใจ..
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..ดับกิเลสความเร่าร้อนในจิตใจ..

ธาตุแท้ของลม คือ..พัดพายุนำความเสียหายมาให้..
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..พัดความชุ่มเย็นเข้ามาในชีวิต..

ธาตุแท้ของดิน คือ..ความคงทนไม่หวั่นไหว..
แต่ธาตุแท้ของจิตใจ คือ..ความไม่หวั่นไหวและมั่นคง..

ธาตุแท้ของความจน คือ.. มีไม่พอ
ธาตุแท้ของความรวย คือ..พอไม่มี
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..พอมี พอเป็น พออยู่ พอได้ และพอเพียง

ธาตุแท้ของความทุกข์ คือ.. ทุกข์มันมาก..สุขจึงน้อย..
ธาตุแท้ของความสุข คือ..ทุกข์มันน้อย..สุขจึงมาก..
แต่ธาตุแท้ของธรรมะ คือ..สุขไม่มี ทุกข์ไม่มี ปล่อยวาง..ว่างเปล่า..เบาสบาย

ดังนั้น..
ธาตุแท้ในจิตใจ..ของเรา..ก็เหมือนกัน..จะใสสะอาด..
เบาสบาย..ไม่เป็นทุกข์ได้..
ก็เพราะมีธรรมะชำระล้างจิตใจ..


ขอบคุณ http://www.dhammathai.org/articles/index.php :114:

138
นิสัยบางอย่าง..
ที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะมั่นคงในจิตใจของเรา..
ที่เรียกว่า.. ?สันดรหรือ..สันดาน?

หากเราค้นพบ..
และพยายามลด..ละ..สิ่งที่ไม่ดี..
ที่เรียกว่า..นิสัยเสียบ้าง..นิสัยไม่ดีบ้าง..
ออกจากจิตใจของเรา..
นั่นเป็นการค้นพบจุดจบของลักษณะนิสัยส่วนตัว..

และพยายามแก้ไขปรับปรุง..
เริ่มต้นปรับเปลี่ยนลักษณะนิสัย
ที่แสดงออกในทางที่ดี..อย่างต่อเนื่อง..
จนกลายเป็นนิสัยที่ฝังรากลึก..
ลงในจิตใจและความรู้สึก..

อารมณ์หงุดหงิด..
จะเป็นตัวฟอกจิตใจของเรา..
ให้เฉยแฉะ..อับเฉา..
จนทำให้กลายเป็นลักษณะนิสัย..
ที่ฝังรากลึกลงในจิตใจของเรา..

การที่เราพยายาม..
ฝึกฝน..ระงับ..จิตใจ..
ระงับอารมณ์..ความรู้สึก..หงุดหงิดลงได้..
ก็จะทำให้เราค้นพบว่า..

แท้ที่จริงแล้ว..
ลักษณะนิสัยเฉพาะตัว..
ในทางที่ดีของเรา..
พร้อมที่จะถูกกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก..
ในทางฝ่ายดีอยู่เสมอ..

เพียงเรามีสติ..
ตื่นตัว..รู้และเข้าใจ..อย่างเท่าทัน..
ก็จะทำให้เราปรับเปลี่ยนลักษณะนิสัยที่ไม่ดีได้..

อารมณ์และความรู้สึก..
คือ..หนทางนำเราไปสู่ลักษณะนิสัยที่ไม่ดี
สติ..ตัวตื่นอยู่..รู้คิด..รู้ทำ..
อย่างเข้าใจและเท่าทัน..
จะเป็นตัวแก้ไขปรับเปลี่ยนอารมณ์อันเฉยชาของเรา..
ทำให้เราได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง..


ที่มา http://www.dhammathai.org/articles/index.php :114:

139
บทความ บทกวี / >>..อย่าแพ้..
« เมื่อ: 05 ก.ค. 2552, 08:35:25 »

หลายคน..
มักเกิดความคิด..
และชอบดูถูกตนเองอยู่เสมอ..
?เราไม่เท่าเทียมคนอื่น..
เราสู้คนอื่นไม่ได้..?
จึงยอมแพ้แก่ความคิดของตนเอง..

บ่อยครั้ง..
ที่เรายอมแพ้ใจตนเอง..
เพียงเพราะได้ยินคำพูด..ดูถูก..จากผู้อื่น
จนบางครั้ง..
ทำให้ความตั้งใจของเราลดน้อยลง..

เมื่อใดก็ตาม..
ที่เราต้องประสบกับคำดูถูก..ดูหมิ่น..เหยียดหยาม
จงปรับเปลี่ยนความคิดของเราทันทีว่า..
คำดูถูก..เหยียดหยาม..
คือ..พลังใจให้เราลุกขึ้นสู้..
ต้องสู้..สู้เท่านั้น..จึงจะชนะ(คำดูถูก)..
เรา..ต้องขอบคุณเขา..
ที่ช่วยให้ยาวิเศษกระตุ้นต่อมความท้อแท้..
ในจิตใจของเราให้มีพลังใจ..

?..อย่าแพ้..?
พึ่งท่องบ่นไว้ในใจเสมอ..
เรากล้าที่จะทำใจ..
ให้ยอมรับกับคำดูถูก..ดูหมิ่นเหยียดหยาม..ได้..
ทำตนเองเหมือนกับยอมแพ้ต่อผู้อื่น..
แต่ในทางตรงกันข้าม..
เราอย่ายอมแพ้..อย่าแพ้(ใจ)ตนเอง..
เพราะไม่มีใครจะชนะเราได้..
ถ้าเราไม่ยอมแพ้แก่ใจของตัวเราเอง..

เรายอมแพ้คนอื่น ๆ สักร้อยครั้งพันครั้ง..
ดีกว่าที่จะยอมแพ้ใจตนเอง..แม้ครั้งเดียว..
เราชนะใจตนเอง..เพียงครั้ง..
ดีกว่าชนะผู้อื่นร้อยครั้งพันครั้ง..เช่นกัน..

ท้อได้..แต่อย่าถอย..
ถอยได้..แต่อย่าละทิ้งความเพียร..
จงทนอดและอดทน..เอาชนะฝึกใจตนเอง..
และ...อย่ายอมแพ้..

 
ที่มา http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=885 :114:

140
 
ตามที่คุณลุงผู้การเสือได้มอบพระให้กับสมาชิก2ครั้ง

ที่ผ่านมาปรากฎว่ามีสมาชิกบางส่วนยังไม่ได้แจ้ง

ยืนยันเพื่อขอรับพระดังกล่าวดังรายชื่อต่อไปนี้



ครั้งที่1 พระสิงห์หนึ่ง (ผู้การเสืออายุครบ 60 ปี)

1. 57                           13. 1990             24. 3523             35. 2938
2. 495                         14. 2025             25. 3765             36. ช่างภาพชมรม
3. 634                         15. 2228             26. 3828             37. หญิงลงสาลิกา(ลิ้น)
5. 729                         16. 2490             27. 3837             38. ชายของขึ้นในภาพ#DeKdOy#,
6. 883                         17. 2693             28. 3839             39. ชิน
7. 1007                       18. 2757             29. 3848
8. 1618                       19. 2943             30. 4034
9. 1630                       20. 3077             31. 4178
10. 1635                     21. 3184             32. 4189
11. 1636                     22. 3262             33. 4251
12. 1849                     23. 3267             34. 4275


ครั้งที่ 2 แจกรางวัล พระไพรีพินาศ (95พรรษา) cd + vcd

พระไพรีพินาศ (95 พรรษา)

1. 10                           21. 4124
2. 495                         22. 4185
3. 1325                       23. 4222
4. 1610                       24. 4251
5. 1724                       25. 4329
6. 2308                       26. 4390
7. 2457                       27. 4404
8. 2461                       28. 4412
9. 3077                       29. 4653
10. 3096
11. 3486
12. 3639
13. 3678
14. 3764
15. 3765
16. 3828
17. 3829
18. 3839
19. 3863
20. 4108


พระไพรีพินาศ (95 พรรษา) + cd

1. 1007
2. 1618
3. 1635
4. 3267


พระไพรีพินาศ (95 พรรษา) +vcd

1. 2341
2. 2407
3. 2693
4. 3523


        
             :085:ขอให้สมาชิกที่มีรายชื่อดังกล่าวกรุณาติดต่อยืนยันโดยแจ้งชื่อและนามสกุล

และชื่อสมาชิก พร้อมทั้งเลขที่สมาชิกของท่านโดยส่งข้อความส่วนตัวมาที่ผม

(ต้นน้ำ)ครับ  ก่อนวันที่ 12 สิงหาคม นะครับ  
 :114: :114:

141


อยุธยาพบพระพุทธรูปปาง"พยาบาลภิกษุอาพาธ"พักตร์อ่อนหวานคล้ายเจ้าแม่กวนอิมอุ้มพระสงฆ์ อีกองค์"ปางเรียกรับโชค" เผยเคยมีคนขอโชคลาภถูกรางวัลที่1

วันที่ 24 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่าที่วัดขนอนเหนือ ริมถนนสายเอเซีย หลัก กม.12 ต.บ้านกรด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา มีพระพุทธรูปปางพิสดาร จึงรุดไปตรวจสอบที่วัดดังกล่าว พบพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้านข้างอุโบสถของวัดประดิษฐานอยู่บนซุ้มปูนปั้นทรงไทยยกฐานสูงจากพื้นดินประมาณ 180 เซนติเมตร   ลักษณะของพระพุทธรูปปางพยาบาลอยู่ในท่านั่งเข่าขวาตั้งชัน สูงประมาณ 2 เมตร ไว้ผมมวย มีลักษณะพระพักต์อ่อนหวานคล้ายกับเจ้าแม่กวนอิม ในอุ้งมือมีรูปปั้นพระสงฆ์นอนอยู่ในลักษณะคล้ายกับอาพาธหรือนอนป่วย ที่ฐานชุกวีด้านหน้า เขียนข้อความเป็นปูนปั้นว่า "พระพุทธรูปจริยาปางพยาบาลภิกษุอาพาธ"

 


พระปลัดเนตร โกสโร เจ้าอาวาสวัดขนอนเหนือ กล่าวถึงความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ ว่า เจ้าอาวาสรูปเดิมได้สั่งให้ช่างปั้นชื่อหริ อยู่ที่บ้านหว้า หมู่ 4  ต.บ้านหว้า อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวชมวัดต่างสงสัยเข้ามาสอบถามกันบ่อยครั้ง ซึ่งขณะนี้ทางวัดกำลังอยู่ระหว่างรวบรวมประวัติเพื่อจดบันทึกไว้เป็นประวัติของวัดด้วย เนื่องจากวัดขนอนมีความเป็นประวัติศาสตร์สืบต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ภายในอุโบสถยังมีจิตกรรมฝาผนัง  เล่าเรื่องราวสมัยกรุงศรีอยุธยาที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาไว้เป็นหลักฐานด้วย
 


ด้านนายศิริ ภาคาหาญ อายุ 75 ปี หรือหริ ช่างปั้นพระพุทธรูปปางพยาบาล กล่าวว่า สมัยเป็นหนุ่มอายุประมาณ 30 ปี  พระครูพิศาลวิมลกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดขนอนเหนือ ไปพบภาพพระพุทธรูปปางอาพาธและเห็นว่าแปลกดี จึงได้นำรูปภาพพระดังกล่าวมาให้ปั้น เพื่อให้ชาวบ้านสักการะบูชารักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ชาวบ้านได้ ชาวบ้านก็ศรัทธาเข้ามากราบไหว้บูชาขอบารมีรักษาโรคภัยไข้เจ็บหายได้ เพราะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าผู้มีเมตรามารักษาโรคให้ ระหว่างปั้นได้มีชาวบ้านนำพระเครื่องหลายองค์มาบรรจุไว้ที่เศียรและหน้าอกด้วย แต่ไม่ทราบว่าจำนวนเท่าใด
 


นายศิริ กล่าวอีกว่า หลังจากปั้นพระพุทธรูปปางพยาบาลกลายเป็นที่โจษขานของชาวบ้านแล้ว ในปี 2522 เรื่องดังกระฉ่อนไปถึงพระช่วง อาจินตโน  แห่งวัดบ้านหว้า ถนนสายเอเชีย กม.11 ต.บ้านหว้า อ.บางปะอิน ได้ว่าจ้างให้ตนปั้นพระพุทธรุปปางเรียกรับโชคขึ้นอีก 1 องค์  โดยเจ้าอาวาสวัดบ้านหว้าได้นำเศียรพระพุทธรูปเก่า เนื้อหินทะเลที่ชาวประมงปากอ่าวไทย ลากติดอวนได้มา นำมาให้ตนเองต่อเป็นองค์ เป็น "พระปางเรียกรับโชค" นำไปตั้งประดิษฐานไว้ที่ปากทางเข้าวัดบ้านหว้าริมถนนสายเอเซีย โดยกำหนดให้มือขวาอยู่ในลักษณะกวักมือเรียกเขาหาตัว  ส่วนมือซ้ายปั้นในลักษณะแบมือรับโชค หรือ อุ้มโชคไว้ องค์พระอยู่ในท่ายืนสงบนิ่ง สูงรวม 2 เมตร
 


เมื่อปั้นเสร็จแล้วพบว่าชาวบ้านให้ความสนใจเข้ามากราบไหว้เป็นจำนวนมากเพื่อขอบารมีโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น จนได้มีเศรษฐีถูกหวยรางวัลที่ 1 จังหวัดกำแพงเพชร ทั้งนี้ พอสร้างพระพุทธรูปปางรับโชค เสร็จได้ไม่นานทางวัดบ้านหว้าได้ทำการก่อสร้างอุโบสถหลังใหญ่มูลค่ากว่า 30 ล้านบาทจนแล้วเสร็จเพียงปีเศษ เพราะได้เงินเข้ามาวัดเป็นจำนวนมาก
 
ที่มา มติชน

www.hunsa.com :054:

142
ม้า พยศ ในร่างมนุษย์

การจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างสันติสุขได้ ต้องเป็นคนที่ประกอบด้วยความประพฤติที่ดี ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ
คนที่จะมีความประพฤติที่ดีได้ต้องเป็นผู้ฝึกตน พัฒนาตัว เราอยู่ตลอดเวลา
ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺ เสสุ แปลว่า ในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกดีแล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุด.
ในอัสสาชานิยสูตร อังคุตตรนิกาย ได้เปรียบม้าอาชาไนยซึ่งเป็นม้าพันธุ์ดีของพระราชา ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ กับภิกษุผู้มีธรรม ๘ ประการดังนี้ (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ ข้อ ๑๓ หน้า ๒๓๕ ? ๒๓๖ )
การเปรียบเทียบม้าอาชาไนยกับภิกษุที่ดี
ม้าอาชาไนย ภิกษุที่ดี
๑. เป็นสัตว์มีกำเนิดทั้งฝ่ายแม่ม้าและพ่อม้าดี ๑. ภิกษุผู้มีศีล สำรวมในศีลและศึกษา ข้อปฏิบัติต่างๆ
๒.กินหญ้าสดหรือหญ้าแห้งที่เขาให้อย่างเรียบร้อย ๒. ภิกษุฉันโภชนะที่เขาถวายโดยเคารพ ไม่รังเกียจ
๓.ไม่นอนหมอบทับอุจจาระหรือปัสสาวะ ๓. รังเกียจอกุศลทั้ง ๓ ได้แก่ กายทุจริต วจีทุจริตและมโนทุจริต
๔. มีความสงบเสงี่ยม อยู่ร่วมกันเป็นสุข ๔. เป็นผู้มีความสงบเสงี่ยม
๕. ไม่โอ้อวด พยศคดโกงแก่นายสารถี ๕. เปิดเผย ไม่โอ้อวด พยศคดโกงแก่องค์ศาสดา
๖. สารถีสามารถฝึกได้ ๖. สามารถแนะนำได้
๗. เป็นสัตว์ที่ขนภาระไปได้ ๗. เป็นผู้สำเหนียกในการศึกษา ปฏิบัติ
๘. ทรงไว้ซึ่งกำลัง ๘. เคารพในความเพียร มีความอดทน

จะเห็นว่า การจะฝึกฝนตนได้ในเบื้องต้นต้องมีศีล การที่จะให้บุคคลมีศีลได้นั้น ต้องอาศัยการฝึกอบรมจิต ซึ่งในที่นี้เน้นในเรื่องการปฏิบัติธรรมด้วยการฝึกฝนอบรมจิต เพราะจิตมีความสำคัญมาก เป็นผู้นำแห่งความประพฤติต่างๆ
จิตที่ประกอบด้วยสัมมาทิฐิ เห็นถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรม
อย่าเห็นด้วยกิเลส
 


ขอขอบคุณ http://www.dhammathai.org ธรรมะไทย :054:

143
บทความ บทกวี / สายลมแห่งความสุข..
« เมื่อ: 13 มิ.ย. 2552, 01:57:03 »
สายลมแห่งความสุข..

ธรรมชาติแห่งสายลม..
คือ..ให้ความรู้สึกเย็น..
เมื่อพัดมากระทบกับกายของเรา..ฉันใด..

สายลมแห่งความสุข..
ที่เกิดขึ้นในใจของเรา..
ย่อมพัดพาเอาอารมณ์และความรู้สึกที่ดี..
มากระทบสัมผัสใจของเรา..ฉันนั้น..

หากสายลม..
เป็นสายลม..แห่งอารมณ์โลภ..โกรธ..หลง..
สายลมที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา..
ก็คงเป็นสายลมแห่งคลื่นยักษ์ ?สินามิ?
ที่ถาโถมพัดกระหน่ำทำร้ายเรา..แบบตั้งตัวไม่ทัน..

สายลมแห่งความโลภ..
ก็จะพัดพาเอาความอยากต่าง ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด..
ลงในจิตใจของเรา..

สายลมแห่งความโกรธ..
ก็จะพัดพาเอาความอาฆาตแค้น..พยาบาท..
ลงในจิตใจของเรา..

สายลมแห่งความหลง..
ก็จะพัดพาเอาความเห็นผิด..หลงผิด..
คิดผิดจากทำนองคลองธรรม..ลงในจิตใจของเรา..

แต่สายลมแห่งความสุข..
เป็นสายลมที่ปราศจาก..
ความโลภ..ความโกรธ..ความหลง..
ที่พัดพาเอาการแบ่งปัน..การมีเมตตา..การเห็นถูกต้อง..ดีงาม..
เป็นสายลมที่พัดแผ่วเบา..และอ่อนโยน..
กระทบสัมผัสที่หัวใจของเรา..
นั่นจึงชื่อว่า..
เป็นสายลมแห่งความสุข..
ที่มอบความสงบสุขภายในใจของเรา..อย่างแท้จริง..


ขอบคุณเว็ป www.dhammathai.org ธรรมะไทย :054:

144
ไม่แสวงหาการทำบุญ แต่ทำไมถึงได้บุญ

การให้อภัยทานนั้น สามารถทำได้ง่าย ในชีวิตประจำวัน เช่น
ในขณะที่ ขับขี่ยานพาหนะถ้ามีคนมาตัดหน้าหรือ คนข้างหน้า อาจจะ ขับช้า
เราก็จะมีอารมณ์โกรธ นี่แหละคือโทสะ เราก็ควรให้อภัยเถอด เพราะว่า
เป็นการทำทานที่สูงที่สุดนำพุทธศาสนา ถ้ามีคนมาเดินชนเรา
ก็ควรให้อภัยนี่แหละง่าย มาก ๆเลยใช่ไหมกับการให้ทานด้วยวิธีนี้
ไม่ต้องเสียอะไร แถมได้บุญเยอะกว่าทานทั้งปวงอีกด้วย
เห็นไหมว่าเราสามารถเก็บเกี่ยวการทำบุญในชีวิตประจำวันได้
ง่ายอย่างนี้ สมควรที่จะทำ อย่าละเลยในการสร้างความดี
ฉะนั้นจึงควรปฏิบัติ
อีกอย่างถ้ามีการกำหนดอิริยาบทย่อยควบคู่ไปด้วยก็ยิ่งเป็นการสร้างบารมีให้เพิ่มขึ้นไปอีกอ้างจากกระทู้การปฏิบัติธรรมที่ได้บุญเยอะที่สุดในพุทธศาสนา
ที่คุณรสมนได้ตั้งไว้ ถ้าทำตรงนี้ด้วยก็ดีมากๆเลย
เห็นไหมว่าถ้าจะทำความดีไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องหา แค่เก็บเกี่ยวจาก
ชีวิตประจำวันก็ได้บุญแล้ว


ที่มาhttp://www.dhammathai.org ธรรมะไทย
:114:

145
บทความ บทกวี / งึม..งึม..ก็ถึงธรรม..
« เมื่อ: 06 มิ.ย. 2552, 12:41:25 »
งึม..งึม..ก็ถึงธรรม..

อยู่กับทุกข์..ไม่เห็นทุกข์..
อยู่กับธรรม..ไม่เห็นธรรม..
แล้วความดับทุกข์..จะเกิดขึ้นได้ที่ไหน..???

อยู่กับทุกข์..เห็นทุกข์..
อยู่กับธรรม..เห็นธรรม..
ความดับทุกข์..ก็จะเกิดมีขึ้นทันที..

หลายท่าน..อาจจะสงสัยว่า..
งึม..งึม..หมายถึงอะไร ??

>>>?งึม..งึม..
เป็นคำอุทานที่ยากแก่การให้ความหมาย..
ตามความคิด.. ตามทัศนะนิยม..
เพราะเป็นภาษาเฉพาะของกลุ่มภาษาวัยรุ่น..วัยใส..

มองตามรูปศัพท์..
คงอาจจะแผลงมาจากคำว่า..ขรึม..ขรึม..
จนกลายเป็นคำศัพท์แสลงว่า..งึม..งึม..

>>>?งึม..งึม..
เป็นการบ่งบอกถึงอาการที่ยอมรับ..
ว่าใช่..จริงแท้..แน่ทีเดียว..
หรืออาจสื่อในทำนอง..เห็นด้วย..นั่นเอง..
แต่พยายามจะปกปิดความรู้สึกของอาการนั่น ๆ..

การแปลรหัสลับทางภาษา..
ของวัยรุ่นวัยใส..ก็เช่นเดียวกันกับ..
การทำความเข้าใจในภาษาคน-ภาษาธรรม..
เป็นการเปิดประตูหัวใจ..เพื่อต้อนรับแสงธรรมอันสดใส..

ดังที่ท่านอาจารย์ฐะปะนีย์ นาครทรรพ..
ได้ประพันธ์บทกลอนไว้อย่างไพเราะว่า..

คนถึงธรรม ธรรมถึงคน ผลจะเกิด
สิ่งประเสริฐ คือปัญญา คุณค่ายิ่ง
หมั่นใคร่ครวญ ทุกเวลา อย่าประวิง
ใจหยุดนิ่ง สงบซึ้ง จะถึงธรรม ฯ

เหตุนั้น...
การทำความเข้าใจในภาษาต่าง ๆ..
โดยเฉพาะ..ภาษาธรรม..
>>>?จะทำให้เราสามารถเข้าใจ
>>>?ซึ่งอรรถรส-อรรถธรรม..ได้อย่างลึกซึ้ง..

การได้ศึกษาธรรมะอย่างเข้าใจ..
การได้นำหลักธรรมะไปใช้ในการดำเนินชีวิต..
ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนครึ..งึม..งึม..ขรึม..ขรึม..
>>>?เหมือนกับที่บางคนมักเข้าใจผิด..
>>>?เรียกว่า..คนหัวโบราณ..

แต่ธรรมะ..เหมาะสมกับทุกเพศ..ทุกวัย..
ทุกชนชั้น..ทุกศาสนา..ทุกภาษา..
เพราะธรรมะ..
>>>?ทำให้เราเป็นคนทันสมัยอยู่เสมอ..
>>>?สามารถเข้าใจความเป็นไปของชีวิต..ได้มากขึ้น..
>>>?และทำให้เห็นทุกข์...
>>>?พร้อมอยู่กับความทุกข์ได้..
>>>?โดยที่ใจไม่เดือดร้อน..


ขอขอบคุณบทความจาก ท่านที่ใช้นามปากกาว่า ชายน้อย  http://www.dhammathai.org ธรรมะไทย :054:

146
บทความ บทกวี / ชีวิตติดเบรก...
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2552, 01:13:00 »
ชีวิตติดเบรก...
 
ติดเบรกทางความความคิด..
ติดเบรกทางสติปัญญา..
เป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน
หากเราทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ระวัง
ก็อาจจะพลาดพลั้งได้ง่าย
การติดเบรกให้แก่ชีวิต..
จึงเป็นการหยุดรั้ง..หน่วงเหนี่ยวไว้..
ไม่ให้ชีวิตพลาดพลั้ง..
ที่เราเรียกว่า..ไม่ประมาทนั่นเอง..

การติดเบรกให้แก่ชีวิต
สามารถทำได้ ๒ ลักษณะ
คือ..ติดเบรกทางความคิด..
และติดเบรกทางสติปัญญา..

ชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จ
จะสุขหรือทุกข์..
ก็อยู่ที่เราติดเบรกให้แก่ชีวิตหรือเปล่า..
ติดเบรกทางความคิด..
ด้วยการคิดบวก..คิดดี..คิดถูกต้อง..
คิดแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์..คิดพิจารณาไตร่ตรอง..
และติดเบรกทางสติปัญญา

เพราะชีวิตทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกใบนี้..
สิ่งที่ทุกคนปรารถนาและต้องการ..
คือ..ประสบความสุข..
เกลียดกลัวความทุกข์กันทุกคน..

การที่เราติดเบรกทางสติปัญญา
ถือว่า..เป็นการทำชีวิตให้มีคุณค่า..
เป็นการปลูกฝังพัฒนาความคิด..สติปัญญา..
ซึ่งถือว่า..เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิต..
เพราะเมื่อใดชีวิตติดขัด..มีปัญหา..
เราก็จะสามารถใช้สติปัญญา..ใคร่ครวญ..
พิจารณาแก้ไขปัญหาต่อไป..
ก็จะทำให้ชีวิตของเราไม่ติดลบ..เป็นชีวิตที่งดงาม..
ถ้าติดเบรกทางความคิดและสติปัญญา
 
 
 


ขอบคุณhttp://www.dhammathai.org ธรรมะไทย :054:

147
ประวัติ หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก

พระกรรมฐานแห่งเมืองสุพรรณ
วัดทุ่งสามัคคีธรรม อ.สามชุก สุพรรณบุรี


นามเดิมท่านคือสังวาลย์ นามสกุล จันทร์เรือง เกิดเมื่อ จันทร์ เดือน 4 ปีมะโรง (2459) ที่บ้านหนองผักนาก สามชุก สุพรรณบุรี บรรพบุรุษท่านมีอาชีพทำนา แต่โยมบิดาท่านเป็นผู้ที่ได้นำภาพยนตร์มาฉายในอำเภอสามชุกเป็นคนแรก

อุปสมบทครั้งแรก เมื่ออายุครบบวช แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนไม่รู้หนังสือ บทสวดมนต์บางบท ท่านต้องจำจากที่แม่ชีสวดกัน ท่านจึงสวดมนต์ได้แค่อิติปิโส ฯ พาหุง ฯ แม้แต่นะโมก็ต้องต่อเอา ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องลาสิกขาบท ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะลาเลย

ชีวิตสมรส ท่านสมรสกับแม่บาง เมื่ออายุ 26 ปี ในปี 2448 แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ท่านยึดอาชีพทำนาแต่ด้วยเหตุที่ท่านมีสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไรนัก บางครั้งขณะที่ทำงานเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ท่านก็ต้องผลัดกันไถนาโดยอาศัยห้างนาเป็นที่พัก รอจนไข้ลดจึงได้ออกมาทำนาเป็นปรกติ บางทีก็ทำนาไม่ได้ ต้องให้ภรรยาท่านเป็นคนทำ ท่านจึงรับหน้าที่ เป็นผู้ช่วยหุงหาอาหารให้ภรรยาเท่านั้นเอง ท่านได้ทนทุกข์ทรมานกับโรคภัยถึง 2 ปี โดยในระหว่างนั้นท่านได้รับคำแนะนำจากแม่ชีจินตนา ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ให้ทำกรรมฐานเผื่อว่าโรคจะหาย

ความที่ท่านมีโรคภัยนี้เอง จึงได้เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านได้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เห็นภัยที่เกิดจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ขึ้นมา ท่านเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งแม่บางไม่สบาย ท่านก็ได้ช่วยดูแลตามประสาสามี ธรรมดาของคนป่วยย่อมจะต้องมีความอิดโรยเป็นธรรมดาและช่วยตัวเองไม่ได้ ท่านจึงช่วยตักน้ำราดศีรษะให้แม่บาง พอน้ำราดลงบนเส้นผม ไอระเหยที่โดนเส้นผมนั้น ส่งกลิ่นชวนให้น่ารังเกียจ เนื่องจากไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน ทำให้ท่านเกิดสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งว่า ร่างกายของคนเรานี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี เป็นรังแห่งโรค เป็นที่เกิดแห่งทุกข์

ครั้งหนึ่งท่านได้เดินผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ทั้งตัว แทนที่ท่านจะมองเห็นเป็นรูปร่างของตัวท่าน ท่านกลับเห็นเป็นอสุภนิมิต มีโครงกระดูกขึ้นแทน ด้วยตัวท่านเป็นผู้ฝึกทำกรรมฐานอยู่เสมอ จึงทำให้จิตใจที่ได้รับการฝึกฝนอยู่ย่อมเกิดปัญญาเกิดความรู้เห็นขึ้น มีญาณทัศนะปรากฏขึ้น ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ท่านเห็นภัยในสังขารยิ่งขึ้นและเกิดความเบื่อหน่ายที่จะครองเรือนอีกต่อไป การสละจาการครองเรือนจึงได้เกิดขึ้น

ท่านได้บอกกับแม่บาง ให้รู้ถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ที่ท่านจะไปสู่ธรรมวินัยของพระบรมศาสดา เพื่อที่จะทำที่สุดแห่งทุกข์ให้จงได้ ในการจะออกบวชในครั้งนี้ท่านก็ได้ให้พ่อห่วง ผู้เป็นบิดา ให้บอกกับลูกหนี้ทั้งหมดที่เป็นหนี้เป็นสินกับบิดาของท่าน ให้มาประชุมพร้อมกัน และท่านได้ขอร้องพ่อห่วงให้ยกเลิกสัญญาที่ลูกหนี้ทั้งหลายได้กระทำกับบิดาของท่าน ด้วยการฉีกเอกสารทิ้งทั้งหมด นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นในการให้ทาน อันเป็นที่น่าปีติยินดีอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นท่านได้ทำมหาทานอีกครั้ง ด้วยการบอกภรรยาว่า จะขอออกบวชอีกครั้ง ให้แม่บางหาสามีใหม่ได้

การบวชครั้งที่ 2 เมื่อท่านอายุได้ 35 ปี ณ วัดนางบวชอำเภอเดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี เมื่อเวลา 14.45 น. ของวันที่ 27 เมษายน 2494 โดยมี พระครูแขก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์ทองย้อย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการไสว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่าเขมโก

เมื่อท่านอุปสมบทแล้ว ก็ได้เข้าไปปฏิบัติธรรม ณ ป่าช้าวัดบ้านทึง สามชุก ท่านได้อาศัยอยู่ในป่าช้าโดยมีหลวงพ่อมหาทอง โสภโณ ซึ่งเป็นเสมือนครูบาอาจารย์ เป็นผู้ปฏิบัติ ผู้อาวุโส อยู่ด้วย ท่านเป็นผู้มีความรู้ทางด้านปริยัติได้ดีท่านหนึ่ง และท่านได้เป็นผู้แปลข้อศีลที่ว่า การไม่ยินดีรับเงินและทองเพื่อเป็นของตน หรือให้ผู้อื่นเก็บไว้เพื่อตน นับแต่นั้นมาหลวงพ่อสังวาลย์ก็ไม่มีปัจจัยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และที่พระอาจารย์มหาทองท่านได้สอนหลวงพ่ออีกคือ

สมาธิ ภิกฺขเว ภาเวย สมาธิโต ยถาภูตํ ปชานาติ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายพึงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิดเพราะจิตที่เป็นสมาธินั้น ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง

เพียงประโยคนี้เท่านั้น ที่ท่านถือเป็นแนวทางปฏิบัติ มุ่งมั่นกระทำความเพียร อยู่ในป่าช้าตลอดเวลา 5 ปี

ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัตินี้เองทำให้ท่านรู้เห็นตามความเป็นจริง โดยท่านได้ยึดหลักธุดงควัตรตลอดเวลา

หลังจากที่ท่านพระอาจารย์มหาทองได้ละสังขารแล้วท่านจึงได้ออกจากป่าช้า แต่ท่านก็มิได้ละเลยหรือทอดธุระในภาคปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย โดยท่านจะนึกถึงคำของอาจารย์ที่ว่า นักปฏิบัติจะทิ้งการปฏิบัติไม่ได้ จนกว่าจะหมดลมท่านเองก็เป็นเช่นนั้น เมื่อท่านมาอยู่วัดทุ่งสามัคคีธรรม และไปสร้างวัดป่าน้ำตกเขมโก ที่ ด่านช้าง สุพรรณบุรี ท่านก็จะสั่งสอนและเจริญสมาธิภาวนาอยู่เสมอมิได้ขาดเลย

ในระยะเริ่มแรกท่านมีอุปสรรคมากเพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ บางคนถึงกับเข้ามาทำร้ายและขัดขวางการเผยแพร่ธรรมทุกรูปแบบ แต่ในที่สุดท่านก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ และเผยแพร่ธรรมให้ทุกคนรู้จักประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างกว้างขวาง มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจในการปฏิบัติธรรม เข้าห้องกรรมฐานปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 ที่หลวงพ่อแนะนำสั่งสอนได้เป็นอย่างดี หลวงพ่อจึงมีศิษยานุศิษย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย



คัดลอกมาจากhttp://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-sungwarn-hist.htm :054:

148
บทความ บทกวี / ท้อแท้..แพ้ใจตนเอง..
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2552, 11:10:05 »
บ่อยครั้งที่เราตั้งใจ..
ว่า..จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง..
โดยมีความคิดว่า..ถ้ายังไม่สำเร็จ..
เราจะไม่เลิกล้มความตั้งใจ..

มีหลายครั้ง..
ที่เราแพ้ภัยตนเอง..
คือ..การไม่พยายามเอาชนะใจตนเอง..
เพียงเพราะเห็นแก่ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ..
ที่เรียกว่า..ความสุขชั่วครั้ง..ชั่วคราว..

แต่เชื่อหรือไม่ว่า..
การท้อแท้..แพ้ภัยตนเอง..
ย่อมก่อให้เกิดความผิดหวัง..
และเสียใจกับการกระทำของตนเอง..
มามากต่อมาก..

เพราะจิตใจไม่เข้มแข็งพอ..
เราจึงแพ้ภัยตนเอง..
เพราะจิตใจไม่ได้ผ่านการฝึกฝน..
จึงปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์..
และความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ..

จะดีกว่าไหม ??
ถ้าเราคิดจะลงมือทำอะไรสักอย่าง..
หากยังไม่สำเร็จ..
เราจะไม่เลิกความพยายาม..

สาเหตุส่วนใหญ่..
ที่ทำให้เราล้มเหลว..แพ้ใจตนเอง..
เพราะเราชอบความสุขสบายมากเกินไป..
จึงทำให้เกิดความท้อแท้ได้ง่าย..
พอฝืนความรู้สึกบ้าง..
จิตใจก็กระสับกระส่าย..ทุรนทุราย..
วุ่นวานจนดูสับสน..ไปตาม ๆ กัน..

หากเราได้ฝึกฝน..และฝึกฝืน..
จิตใจของเราดูบ้าง..
ย่อมจะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็ง..
และมีกำลังใจมากขึ้น..
ก็จะสามารถเอาชนะปัญหา..และอุปสรรค์ในชีวิตได้..

ขอเพียงอย่ายอมแพ้จิตใจของตนเอง..
ถ้าคิดว่าจะทำสิ่งใด..
ก็จงพยายามทำให้สำเร็จให้จงได้..
ตามที่ใจปรารถนาและต้องการ..
[/size] ขอขอบคุณhttp://www.dhammathai.org/articles/index.phpธรรมะไทย :054:

149
บทความ บทกวี / สุขสดใส..ถ้าใจสงบ..
« เมื่อ: 29 พ.ค. 2552, 10:55:16 »

สุขสดใส..ถ้าใจสงบ..

หากพูดถึงความสุขสดใสในชีวิต..
หลายคนคงปรารถนาและต้องการ..

หลายคนพยายามที่จะแสวงหา..
ความสุขสดใส..
เพื่อมาเติมเต็มในชีวิต..

แต่เชื่อหรือไม่ว่า..
ความสุขสดใสในชีวิต..
เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ..ที่หลายคนมองข้าม..
นั่นคือ..ความสงบภายในจิตใจเท่านั้นเอง..

เราพยายามที่จะแสวงหาสิ่งต่าง ๆ..
เพื่อตอบสนองความต้องการในชีวิต..
แต่ลืมที่จะเติมเต็มความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ..
ที่เกิดจาก..ความสงบ..

เพียงเราสูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ..
ในช่วงขณะใดขณะหนึ่ง..
ที่เราเกิดความรู้สึกท้อแท้..สิ้นหวัง..
เหนื่อยล้า..หมดหวัง..
ลองพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ดู..
เราจะรู้สึกและสัมผัสได้..
กับความสุขสงบภายในชั่วพริบตา..

หลายครั้งที่เราเหน็ดเหนื่อย..
จากเรื่องราวในชีวิต..
ลองหาที่พึ่งภายในจิตใจดูบ้าง..
แล้วเราจะได้พบความสุขสงบภายใน..
เป็นความสุขสดใสในชีวิตที่แท้จริงของเรา..

คงไม่ยากเกินไป..
ถ้าเราจะลองลงมือสร้างความสุขสงบภายในจิตใจ..
เพียงแค่เรามี..ลมหายใจ..

เราก็จะสามารถ..
สร้างความสุข..ความสงบที่ยิ่งใหญ่..
ในชีวิตของเราได้เป็นอย่างดี..

อย่ามัวแต่รอ..
หรือมัวแต่ชักช้า..อยู่ร่ำไป..
จงรีบสร้างความสุขสงบภายในจิตใจของเรา..
เพียงเรามีสติ..และรู้จักใช้ลมหายใจ..เท่านั้นเอง..

เพราะความสุขสงบที่แท้จริง..
ไม่ได้แสวงหาจากที่ไหนไกล ๆ เลย..
แต่เริ่มจากตัวของเราเอง..
เพียงแค่เรามีลมหายใจ..
ความสุข-ความสงบก็จะเกิดขึ้นกับเราได้ทุก ๆ วินาที..


 


ขอบคุณที่มาhttp://www.dhammathai.org ธรรมะไทย :054:

150

ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร :032:
อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป... อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข... หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์... ท่านใดมีทุกข์ ขอให้มันผ่านไปโดยไวครับ.....

เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับ ทั้งสุขและทุกข์ ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่อง การฆ่าตัวตายบ่อยมาก ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ...

การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ควรกระทำหรือไม่ และเราควรจะทำอย่างไรดี

บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่างนั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป

ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป

ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น

เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาดสองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

และเมื่อมองย้อนไป ความทุกข์เหล่านั้นมันก็เท่านั้นเอง เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้ลองใช้เวลานี้ นึกถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์และสุขของเราดู อดีตนั่นแหละที่จะสอนตัวเราในความจริงแห่งธรรมะ ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แต่สอนว่าเมื่อเราพิจารณาได้เอง ว่านี้เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแก่จิตใจจึงค่อยเชื่อ การจะพิจารณาได้อย่างนั้น จะต้องมีประสบการณ์ในความรู้สึก แบบนั้นในอดีตมาก่อน อดีตจึงเป็นธรรมะที่สอนใจได้เป็นอย่างดี

ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด

เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน


ขอบคุณเจ้าของบทความจากhttpwww.dhammajak.net :054:

151
บทความ บทกวี / ข้อคิดในบทกลอน
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2552, 01:53:57 »

ฝั่งทะเลดินฟ้าท่านว่าไว้ว่าห่างไกลกันนักหนา
ธรรมของสัตบุรุษสุดปัญญามีอรรถาลึกล้นใจ
ส่วนว่ธรรมต่ำช้าพาวิบัติของอสัตบุรุษสุดวิสัย
เทียบกับสัตบุรุษนั้นสุดไกลเทียบไม่ได้ยิ่งกว่าฟ้ากีบดิน


ไม่คิดโกงพูดเพ้อเผลอหยิ่งฉลาดยิ่งข่มจิตนิจสิน
ใจมั้นคงทรงธรรมนำชีวินไร้มลทินมัวหมองผองธุลี
ย่อมเจริญเพลินใจในธรรมะพระพุทธะทรงศีลชินสีห์
ทุกคืนวันหมั่นทำแต่กรรมดีย่อมจะมีความสุขทุกเวลา


พระพุทธะองค์ใดในไตรภพรู้แจ้งจบโอฆะละตัณหา
เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาทรงเมตตาชี้แจงแสดงธรรม์
ให้สัตว์โลกทั้งหลายคลี่คลายทุกข์ประสพสุขผ่องใสในสวรรค์
ตลอดพระนิพพานสำราญครันไม่แปรผันสุขเลิศสิ้นเกิดตาย

พรหมจารีไม่นอบนบไม่เคารพเพื่อนกันพลั่นฉิบหาย
เพราะทิฐิมานะไม่ละคลายยังหยาบคลายเพราะตั้งอหังการ์
จึงไกลจากปรมัตถ์สัทธรรมสิ้นเหมือนฟ้าดินไกลกันฉะนั้นหนา
เพราะกระด้างห่างธรรมมินำพาพรหมจารีงามเสื่อมทรามจึงตามมา


บุคคลรู้แจ้งธรรมจงจำไว้จากผู้ไดทั้งสิ้นอย่าหมิ่นหยาม
ต้องเคารพนบนอบหมอบประณามเสมือนพราหมฆ์วันทาบูชาไฟ
ผู้บอกธรรมสอนธรรมร่ำเรียนรู้ก็คือครูอบรมบ่มนิสัย
เราแจ้งธรรมคำสอนจากครูไดต้องกราบไหว้วันทาบูชาคุณ
บุคคลนอนหรือนั่งพลางอาศัยสบายสุขสมร่มขัง
อย่าตัดราณก้านกิ่งให้หักพังอย่าพลาดพลั้งทำลายต้นไม้คุณ
เพราะผู้ทำลายมิตรไม่คิดขามจะเปรียบนามสัตว์อยู่ใต้ถุน
ไม่มีกตัญญูจะรู้คุณก็สิ้นบุญของตนเป็นคนพาล

ชนเหล่าไดสามารถฉลาดล้ำรู้จักธรรมของเก่าท่านกล่าวขาน
รู้ผิดถูกในธรรมคำโบราณรู้ประมาณปฏิบัติระมัดใจ
ประพฤติธรรมความดีเพื่อหนีชั่วระวังตัวตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
สุคติบอกชี้เป็นที่ไปเจริญใจสุขาสถาวร..


 :054:ขอบพระคุณhttp://www.dhammajak.net...ลานธรรมจักร :054:

152

ประวัติ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา
หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

ประวัติ
หลวงพ่อกบ เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ให้ความเคารพ และเลื่อมใสศรัทธา ชีวประวัติของท่านไม่ได้บันทึกไว้ชัดเจน เป็นแต่เพียงการเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ท่านธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่ชายป่าด้านเขาสาริกา เมื่อประมาณปลายปี 2530 โดยที่ไม่มีใครทราบวาท่านมาจากไหน ท่านมีชื่อว่าอะไร และท่านเป็นคนจังหวัดใดหลายคนอยากทราบ ได้พยายามถามท่าน ท่านมักจะตอบว่า ? **จะไปรู้ได้อย่างไร แม้แต่***เอง ***ยังไม่รู้ว่า***เป็นใครมาจากไหน และ***จะไปไหนต่อ ? ซึ่งเป็นคำตอบที่นอกจากจะไม่เข้าใจแล้วยังสร้าง ความงุนงงให้กับผู้ถามเพิ่มขึ้นไปอีก จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทราบประวัติที่แท้จริงของท่าน

ที่มาของนาม ? หลวงพ่อกบ ?
หลวงพ่อกบ จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาสาริกา ผ่านไปหลายปี ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาก ครั้งหนึ่งช่วงออกพรรษาปี พ.ศ.ใดไม่ชัดเจน มีกฐินจากกรุงเทพฯ มาทอดที่วัดภายหลังเสร็จสิ้น จากพิธีถวายกฐิน ญาติโยมจากกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งจำเป็นต้องค้างแรมที่วัด หลวงพ่อท่านเมตตาให้ค้างแรมในกุฏิ คืนนั้นหลายคนนอนไม่หลับ เพราะไม่ได้ทานข้าวเย็น เนื่องจากที่วัดจัดให้มีไม่พอ เวลาผ่านไปประมาณ 3 ทุ่ม ก็บังเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส พลันก็เกิดเมฆดำทะมึนก่อตัวขึ้น สักครู่เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พร้อมฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา สายน้ำไหลเจิ่งนอง ประสานเสียงร้องของกบดังไปทั่ว มองลงไปที่ลานหน้ากุฏิ เต็มไปด้วยกบตัวใหญ่ๆ กระโดดโลดเต้นไปมา ? พวกเอ็งหิวไหมว๊ะ ? เสียงเอ่ยถามของหลวงพ่อ ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน ? หิวขอรับ ? ? ถ้างั้นเอ็งรอเดี๋ยว **จะลงไปแทงกบมาให้พวกเอ็งทำต้มยำกิน ? ว่าแล้วท่านก็คว้าฉมวกลงกุฏิไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามองตามลงไปเห็นหลวงพ่อกำลังใช้ฉมวกทิ่มแทงกบตัวแล้วตัวเล่า อนิจจา!!! ศรัทธาของพวกเขาเริ่มเหือดหายไป แต่ด้วยความหิว คืนนั้นต้มยำกบหม้อใหญ่ก็ถูกกินจนเกือบหมดเช้าวันรุ่งขึ้น มีคนหนึ่งสงสัยว่า ต้มยำกบที่เขากินเมื่อคืนเป็นกบจริงๆ หรือเปล่า เขาจึงย่องเข้าไปดูในโรงครัว เมื่อเปิดฝาหม้อดู เขาก็ต้องผงะ ตกตลึงด้วยความอัศจรรย์ใจ ด้วยว่า สิ่งที่เห็นอยู่ในหม้อหาใช่กบไม่ แต่เป็นยอดกระถิน และใบมะขามอยู่เกือบครึ่งค่อนหม้อ เหตุการณ์นี้ถูกนำมาเล่าต่อๆ กันมาว่า หลวงพ่อท่านสร้างปาฏิหาริย์เสกใบไม้ให้กลายเป็นกบ จนกลายมาเป็นที่มาของนามท่าน ? หลวงพ่อกบ ?
มูลเหตุแห่งความศรัทธา
ด้วยปฏิปทาอันแปลกประหลาดของหลวงพ่อกบ รวมทั้งปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ หลวงพ่อกบ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่น่าฉงน และไม่สามารถหาคำอธิบายได้ เป็นมูลเหตุแห่งความศรัทธา ที่คนทั่วไปเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า หลวงพ่อกบ ท่านเป็นผู้ทรงศีลที่มีฌานสมาบัติขั้นสูง และมีพลังเร้นลับ สามารถทำในสิ่งที่คนทั่วไปยากที่จะเข้าใจได้จึงขอนำเรื่องราวดังกล่าว มาเล่าสู่กันฟังพอสังเขป
ปฏิปทา
ปกติหลวงพ่อกบ จะบำเพ็ญเพียรภาวนาในท่านั่งยองๆ เป็นเวลายาวนานติดต่อกัน คราวละ 7 ? 15 วัน โดยที่ท่านไม่ลุกไปไหนเลย ไม่ฉันอาหาร น้ำ หรือแม้แต่การถ่ายหนักเบา เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งสร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นเข้าใจกันว่า ปฏิปทาอันเหลือเชื่อของท่านเกิดขึ้นได้ เพราะท่านสามารถถอดจิตออกจากกายได้ ทำให้กายไม่รับรู้ต่อสภาพความหิว และความเจ็บปวดใดๆ
- นั่งท่ายองๆ ไม่ว่าจะสวดมนต์ หรือทำกิจวัตรใดๆ และนอนตะแคงขวาเป็นประจำ
- นุ่งสบงเก่าๆ ผืนเดียว ไม่ห่อจีวร ที่คอแขวนลูกกระพรวน
- อยู่แต่ในวัดไม่เคยเดินออกไปไหนเลย
- ใช้น้ำชา และต้มเครื่องเทศเป็นยารักษาโรค ชื่อเสียงของท่านถูกกล่าวขานปากต่อปาก ผู้คนจำนวนมากมารับการรักษาจากท่าน เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงปฏิปทาที่เต็มไปด้วยความเมตตาอย่างสูงของท่าน
ปรากฏการณ์แปลกประหลาด
- มีผู้คนจากจังหวัดต่างๆ มานมัสการ และทำบุญกับหลวงพ่อกบอย่างล้นหลามมิได้ขาดพวกเขาเหล่านั้นรู้จักหลวงพ่อได้อย่างไร ? ทั้งๆ ที่หลวงพ่ออยู่แต่ในวัด และชาวบ้านเขาสาลิกาก็ไม่เคยออกไปแจกซองกฐิน หรือซองผ้าป่าที่ไหนเลย ถนนหนทางเข้าวัดในขณะนั้นก็ยังไม่มี มันเป็นไป ได้อย่างไร ! เมื่อสอบถามดูพวกเขาเหล่านั้นพูดทำนองเดียวกันว่า ได้พบเห็นหลวงพ่อกบไปบิณฑบาตที่บ้านตน ด้วยความศรัทธาจึงพากันติดตามถามหา จนมาพบท่าน และทุกอย่างเป็นจริงตามที่หลวงพ่อกบบอกไว้ทุกประการ
- บ่อยครั้งมีผู้พบเห็นท่านในเวลาเดียวกันถึง 2 แห่ง เชื่อกันว่า ท่านสามารถถอดกายทิพย์ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้
- ?น้ำชา และต้มเครื่องเทศ? สามารถทำให้โรคภัยไข้เจ็บของชาวบ้านหายได้อย่างไร ? เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เป็นไปได้ หรือไม่ ว่า หลวงพ่อกบ ให้พลังจิตช่วยในการรักษา
- พลังเมตตาบารมี ? หลวงพ่อกบ เป็นคนเฉยๆ หากมีคนมานมัสการท่าน ท่านเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาดู ไม่ค่อยโอภาปราศรัยด้วย แต่ก็เป็นเรื่องแปลกทุกคนที่มาหาท่านต่างยอมรับว่า รู้สึกศรัทธา และปลื้มปีติสุข เมื่อได้พบกับหลวงพ่อกบ
มรณภาพ
หลวงพ่อกบ ท่านละสังขารเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2496 ในวันนั้นหลวงพ่อโอภาสีได้ขึ้นมาที่วัด และรับเป็นประธานในงานเผาสรีระของท่าน หลวงพ่อโอภาสีทราบได้อย่างไร ? ชาวบ้านต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า " ไม่มีใครส่งข่าวไปบอกท่าน? เพราะหนทางไกล การคมนาคมสมัยนั้นลำบากมาก ในเรื่องนี้เข้าใจกันว่า หลวงพ่อโอภาสี ท่านคงทราบได้ด้วยฌานเช่นเดียวกัน การละสังขารของหลวงพ่อกบ ยังความโศกเศร้าเสียใจให้กับผู้คนจำนวนมาก
ทุกสิ่ง ทุกอย่างแห่งความดี และความเมตตาอารีของท่านยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเหล่าพุทธศาสนิกชนอย่างไม่มีวันลืม ตราบจนทุกวันนี้




คัดลอกมาจากwww.watthummuangna.com :054:


153
อ่านแล้วได้คิดเยอะ อ่านไม่ถึง 3 นาที แต่อาจมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นอีกทั้งชีวิต

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า แน่นอน
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน

เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา
เพื่อนทั่วไปอ่านแล้วทิ้ง เพื่อนแท้จะส่งต่อๆ ไป
ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย
หากคุณได้รับคือ หมายถึง คุณได้พบเพื่อนแท้แล้ว


คัดลอกมาจาก เว็ป ลานธรรมจักรhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=21388 :054:

154
   เปรตปากสุกร
ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ที่เวฬุวันวิหาร ณ กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงสุกรมุข เปรตให้เป็นเหตุ จึงทรงตรัสเล่าเรื่องที่มีมาแล้วแต่อดีต ความว่า
       
       ในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้บวชเข้ามาในพระศาสนาด้วยความเลื่อมใส ดำรงอยู่ได้ด้วยความเพียรพยายามที่จะสำรวมกาย แต่ไม่รู้จักประมาณ รักษาวาจา ชอบซุบซิบนินทาว่าร้ายแก่เพื่อนภิกษุผู้มีศีลทั้งปวง ใครผู้ใดจะแนะนำสั่งสอนให้ละวาจานั้นเสีย ภิกษุนั้นก็หาได้ยอมละวาจาทุจริตนั้นๆ ไม่
       
       ต่อมา ครั้นภิกษุนั้นตายลง ได้ไปบังเกิดในนรกหมกไหม้อยู่สิ้นเวลานานแสนนาน นับได้หนึ่งพุทธันดรพอดี เมื่อพ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ได้มาบังเกิดเป็นเปรต อดอยากอยู่ ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ เหตุเพราะยังเหลือเศษบาปที่กล่าววาจาทุจริตนั้นอยู่
       
       เปรตภิกษุตนนั้น มีรูปกายสีดังทอง มีปากดุจดังสุกร (หมู)
       
       ขณะนั้น พระมหาเถระนารทะ พักอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ เวลารุ่งเช้าพระเถระเจ้าจึงห่มจีวรถือบาตร เพื่อเตรียมตัวที่จะไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พอเดินมาถึงตีนเขา พระเถระเจ้าจึงได้เห็นเปรต ผู้มีกายรุ่งเรืองดุจดังทอง มีปากดุจดังสุกร จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า
       
       ?ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุใดผิวกายของเธอจึงรุ่งเรืองส่องสว่างไปในทิศทั้งหลายดุจสีทอง แล้วปากของเธอนั้นเล่า ทำไมถึงเหมือนกับปากสุกร เธอได้ก่อกรรมทำบาปอะไรไว้ในปางก่อน?
       
       เปรตนั้นจึงกล่าวตอบพระเถระเจ้าขึ้นว่า ?ข้าแต่พระนารทะเถระเจ้า ร่างกายของข้าพเจ้า มีรูปร่างเหมือนกับร่างกายมนุษย์ทั่วไป แต่เหตุที่มีผิวกายรุ่งเรืองดุจดังทองนั่นเป็นเพราะสมัยที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ในพระศาสนาของพระศาสดา ผู้ทรงนามว่ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใส ดำรงตนที่จะขวนขวายสงบระงับรักษากายด้วยความสำรวม ด้วยอานิสงส์ผลบุญดังนั้น จึงทำให้ข้าพเจ้ามีรูปร่างดุจดังมนุษย์แต่มีสีกายรุ่งเรืองดังทอง
       
       ส่วนเหตุที่ข้าพเจ้ามีปากเหมือนดังปากสุกร เหตุเพราะตอนที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ ไม่ขวนขวายที่จะสงบระงับ ไม่สำรวมวาจาเอาแต่ว่ากล่างนินทาดุด่าว่าร้าย ให้แก่เพื่อนภิกษุทั้งหลายผู้ทรงศีล แม้จะมีผู้ปรารถนาดีคอยแนะนำพร่ำสอน ข้าพเจ้าก็ไม่อาวรณ์ที่จะละวาจาทุจริตนั้นๆ ด้วยเหตุแห่งวจีทุจริตนั้น จึงทำให้ปากของข้าพเจ้ากลายเป็นปากสุกร (ปากหมู) ดังท่านเห็น?
       
       ?ข้าแต่พระนารทะเถระ เมื่อท่านได้เห็นสภาพร่างกาย และปากของข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านจงถือเอาเป็นอุทาหรณ์สอนตนว่า เราจะไม่ทำบาปด้วยปาก อย่าทำเหตุให้ปากต้องลำบาก เพราะกล่าววาจาชั่วหยาบ ถ้าเป็นผู้มีปากกล้า ไม่สงบสำรวม กล่าวว่า วาจาจ้วงจาบผู้ทรงศีล ท่านก็จะมีปากดังปากสุกรเช่นข้าพเจ้านี้?
       
       เมื่อพระนารทะเถระเจ้า ได้สดับวาจาของเปรตปากสุกรจบลง ท่านจึงได้เที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ต่อไป ครั้นกลับจากบิณฑบาตฉันอาหารแล้ว พระเถระเจ้าจึงเข้าไปเฝ้าพระบรมสุคตเจ้า แล้วทูลเรื่องที่ท่านได้เห็นเปรตปากสุกรให้พระพุทธองค์ได้ทรงทราบ
       
       พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ?ดูก่อนนารทะ เปรตตนนั้นเราได้เคยเห็นมาแล้ว? พระพุทธองค์จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแสดงโทษของวจีทุจริต และคุณแห่งวจีสุจริต ให้พระนารทะพร้อมภิกษุทั้งหลายได้ทราบความว่า
       
       วจีทุจริต เหตุที่ทำให้เป็นเปรต ๔ อย่างคือ
       
       พูดเท็จ
       พูดส่อเสียด
       พูดคำหยาบ
       พูดเพ้อเจ้อ
       
       ผู้ประกอบ วจีสุจริต จักมีผลมิให้ตกนรกและมิต้องมาเป็นเปรต มี ๔ อย่างคือ
       
       ไม่พูดเท็จ
       ไม่พูดส่อเสียด
       ไม่พูดคำหยาบ
       ไม่พูดเพ้อเจ้อ
       
       วาจาสุริตของเรา ให้คุณแก่เราได้ วาจาทุจริตของเราก็ให้โทษแก่เราได้เหมือนกัน

คัดลอกมาจาก เว๊ป ธรรมะกับชีวิตhttp:///www.manager.co.th/Dhamma/ :054:

155
เครียดคลายได้ ถ้าใจคอยเป็น
คงไม่มีอะไรที่สามารถบงการระบบประสาทของเรา ได้ฉับพลันเท่ากับเสียงโทรศัพท์ ไม่ว่ากำลังกินข้าว ดูหนัง กำลังนอน หรือสั่งสอนลูกชายจอมซน ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นต้องรีบสาวเท้าหรือคว้ามือไปรับโทรศัพท์ อะไรที่กำลังทำอยู่ ต้องเลิกโดยฉับพลัน แม้จะสำคัญเพียงใดก็ตาม ถ้ามนุษย์ต่างดาวเผอิญหลงมาที่โลกนี้ คงจะงงงวยว่าโทรศัพท์มีอะไรน่ากลัวหรือ คนบนโลกนี้ถึงชอบผลุนผลันไปรับคำบัญชาจากมัน

ที่จริงมนุษย์ต่างดาวเข้าใจผิดทั้งเพ ไม่มีใครกลัวโทรศัพท์หรอก เราทำกันเช่นนั้นอย่างอัตโนมัติ เพียงเพราะไม่อยากคอยให้มันดังหลายครั้ง แต่ก็น่าคิดว่าแทนที่จะปล่อยให้มันกะเกณฑ์เรา ลองให้มันทำตามเกณฑ์ของเราบ้าง เช่น ให้ดังสัก ๓-๔ ครั้ง ถึงค่อยไปรับและไปรับอย่างช้าๆ สบายๆ แทนที่จะเร่งรีบ

ไม่ใช่แต่เพียงเสียงโทรศัพท์เท่านั้น มีอีกหลายอย่างที่เราปล่อยให้มันเข้ามาบงการเรา อย่างเช่นสัญญาณไฟตามสี่แยกจริงอยู่ มันอาจไม่ถึงกับทำให้แขนขาของเรากระตุกทันทีที่มันวาบขึ้น แต่บ่อยครั้งมันก็ไปกระตุกใจเราแทน ทันทีที่เห็นไฟแดงข้างหน้าจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แล้วก็กรุ่นไปตลอด จนกว่าไฟเขียวจะมาปลุกใจเราให้ยินดี

ไฟเขียวเป็นข่าวดี (ถ้าเราเป็นคนขับรถ ไม่ใช่คนข้ามถนน) แต่มันก็ทำให้เราทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือเวลามันยังไม่โผล่มา เราก็กระวนกระวายใจ หรือถึงกับเครียด

แต่ถ้ามองกันจริงๆ แล้ว จะโทษไฟเขียวว่ามาช้าก็ไม่ถูกมันก็มาตามจังหวะของมัน สาเหตุที่เราทุกข์นั้นเป็นเพราะเราใจร้อน หรือคอยไม่เป็นต่างหาก เพียงแค่เรารู้จักคอยไฟเขียวเท่านั้น ความเครียดจากการขับรถจะลดลงไปเยอะเลย ในทำนองเดียวกัน สำหรับคุณที่ไม่รวยพอที่จะมีรถยนต์ส่วนตัว หากคอยรถเมล์เป็น โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นไม่น้อย

ลองมาคิดดูสิ ที่จิตร้อนรุ่มราวกับถูกไฟลนนั้น หลายต่อหลายครั้ง เป็นเราตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเป็นฝ่ายคอย อาจคอยแฟน คอยจดหาย คอยงานเสร็จ หรือคอยคนเห็นคุณค่าของเรา ยิ่งคอยก็ยิ่งทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะสิ่งที่คอยยังมาไม่ถึง แต่ทุกข์เพราะใจเร่งเร้าเผาลนต่างหาก จริงๆ แล้ว ตัวการไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ข้างในต่างหาก

ถ้าเราสามารถฝึกใจให้รู้จักคอยได้ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ ทุกวันนี้คนกรุงมีความเครียดมาก เพราะคอยไม่เป็น และที่คอยไม่เป็นเพราะเคยชินกับความรวดเร็ว ทุกอย่างล้วนแข่งกันเร็ว ไม่ว่ากาแฟ บะหมี่สำเร็จรูป หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า คอมพิวเตอร์ แม้แต่ความเป็นคนเก่ง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนตนแล้ว เพียงแค่ซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ หรือน้ำอัดลมยี่ห้อนั้น ก็สำเร็จผลได้โดยพลัน เร็วอะไรปานนั้น

ชีวิตที่อะไรต่ออะไรได้มาโดยไว ทำให้เราคอยกันไม่เป็น หวังแต่จะให้ทุกอย่างเปิดปุ๊ปติดปั๊บท่าเดียว จนลืมไปว่ายังมีอีกหลายอย่างในชีวิตที่ต้องใช้เวลา หลายอย่างที่ว่านี้ ล้วนมีความสำคัญทั้งนั้น เช่น สุขภาพ ความรู้ ความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งความรัก ถ้าเราคอยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ชีวิตก็มีแต่ความเครียดรุมเร้าหาไม่ก็ได้แค่ของปลอม ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง

ใจที่รู้จักคอยคือกุญแจแห่งความสุขและความสำเร็จ เมื่อสิทธารถะไปขอเรียนวิชาจากอาจารย์เฒ่า เขาได้อ้างคุณสมบัติที่เขาเชื่อว่าเหมาะแก่การเป็นศิษย์ ๑ ใน ๓ ของคุณสมบัติดังกล่าวคือ ?I can wait?

ในชีวิตประจำวัน เรามีโอกาสมากมายที่จะฝึกใจให้รู้จักคอย เช่น ล้างมืออย่างช้าๆ นั่งโต๊ะแล้วค่อยเปิดจดหมาย อ่านหนังสือพิมพ์ ทำงานให้เสร็จเป็นอย่างๆ หรือตามลมหายใจขณะรอรถเมล์ หรือจะเริ่มต้นด้วยการทำใจสงบขณะที่โทรศัพท์ดัง ต่อเมื่อสิ้นเสียงสัญญาณครั้งที่ ๓ จึงค่อยรับก็เข้าทีดี [/color]

คัดลอกมาจาก http://www.dhammajak.ne ลานธรรมจักร :114: :054:

156
กบหูหนวก
เจ้ากบน้อย ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขัน
ปีนขึ้นไปบนยอดเสาเพื่อหาผู้นำของฝูง
เมื่อการแข่งขันได้เริ่มขึ้น กบตัวที่หนึ่ง ก็ปีนขึ้นไป
พวกฝูงกบข้างล่างก็ตะโกนขึ้นมาว่า ไม่สำเร็จหรอก เสานั้นมันสูงเกินไป
พอพูดไม่ทันจบประโยค กบตัวแรกก็รู้สึกเหนื่อยและท้อจนตกลงมา

กบตัวที่สอง ก็พยายามปีนขึ้นไป สักพักฝูงกบก็ตะโกนอีกว่า มันยากเกินไป
ไม่มีใครทำได้หรอก ไม่นานกบตัวนั้นก็ตกลงมาอีก
จนถึงตัวที่ สาม สี่ ห้า ก็เป็นเช่นเดิม
จนถึงกบตัวที่สุดท้าย มันตั้งหน้าตั้งตาปีนขึ้นไปสูงขึ้นสูงขึ้น
ฝูงกบข้างล่างยังตะโกนเหมือนเช่นเดิมว่า ลงมาเถอะ ไม่มีใครทำได้หรอก
แต่กบตัวนี้ยังปีนขึ้นไปปีนขึ้นไป จนในที่สุดมันก็ปีนไปถึงยอดเสาได้

เพื่อนๆอยากรู้ไหมคะว่าทำไมกบตัวนี้ถึงสามารถปีนถึงยอดเสา
ไม่เหมือนกบที่ตกลงมาตัวแล้วตัวเล่า
ที่ปีนไปได้เพราะมันหูหนวกไม่ได้ยินเสียงที่เพื่อนพ้องกบตะโกนเรียกให้ลงมา

นิทานเรื่องนี้จึงบอกให้รู้ว่า

คำพูดนั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถจะดึงความฝัน ความหวัง
ความปรารถนาในหัวใจ ของคนเราให้สูญสิ้นหมดไปได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ควรที่จะเลือกเก็บแต่คำพูดที่ทำให้หัวใจเราชุ่มชื่น
และเลือกละเลยคำพูดที่ทำให้กำลังใจเราเหือดแห้งหมดหวัง
และเหนือสิ่งอื่นใด หากมีความหวังเกิดขึ้นแล้ว
ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพและเป็นตัวของตัวเองค่ะ



คัดลอกมาจากhttp://www.dhammajak.net/book/index.php :054:

157
แจ้งกำหนดงานไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่นประจำปี2553
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553
กำหนดเวลาเดิม
แจ้งมาเพื่อให้ทราบโดยทั่วหน้ากัน

ปล.ทราบข่าวมาจากที่วัดโดยหลวงพี่ที่วัดท่านฝากแจ้งข่าวมาครับ
 :001:

158
 :045: :045:โปรดอย่าถามว่า......มันเป็นเวลานานเพียงใด
โปรดอย่าถามว่า......จะเหนื่อยเพียงไร
โปรดอย่าถามว่า......จะเจ็บปวดเพียงใด
แต่จงถามว่า..........หลังจากนี้เราจะทำอะไรต่อไป
:059: :059:


คัดลอกมาจาก...หนังสือจากโลกสู่ธรรม

159
  ถ้าทำได้แล้วจะรวยไม่รู้จบ
1.จ่ายให้กับตัวเองก่อนอย่างซื่อสัตย์ 1ใน10ส่วน ของเงินที่หามาได้ทุกครั้ง
2.จงควบคุมรายจ่ายเท่าที่จำเป็น
3.จงลงทุนที่เราถนัดหรือมีที่ปรึกษา
4.จงใช้เงินต่อเงินในอสังหาริมทรัพย์
5.จงคืนหนี่สิน และมีน้ำใจ
6.บอกกับตัวเองว่า เราเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
7.จงทักทายทุกคนด้วยความรักจากใจจริง
สร้างเพื่อน สร้างบารมี มีคนรู้จักมาก
8.อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆล้มแล้วต้องสู้
9.ทำงานอย่างมีเป้าหมายไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
10.ลงมือทำแบบมืออาชีพถ้าทุกคนลองปฎิบัติกันดูอาจจะรวยไม่รู้ตัวก้อได้รวยแบบซื่อสัตย์สุจริตไม่ต้องคดโกงใคร



อ้างอิงจากหนังสือ จากโลกสู่ธรรม

160

หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน ) อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น (2445-2525)

หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต นามเดิม ผาง ครองยุติ

เกิด วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2445 ตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 9 ปีขาล ณบ้านกุดกะเสียน ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมมารดา บิดา 3 คน คือ

1. นางบาง ครองยุติ

2. นายเสน ครองยุติ

3. นายผาง ครองยุติ

โยมบิดาชื่อ ทัน

โยมมารดาชื่อ บัพพา


         เมื่ออายุได้ 20 ปี (พ.ศ.2465) ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ตามประเพณีลูกผู้ชายชาวไทย และทดแทนพระคุณบิดามารดา สังกัดคณะมหานิกาย ณ วัดเขื่องกลาง บ้านเขื่องใน ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพระครูดวน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ศึกษาพระธรรมวินัย มีความรู้พอสมควร เมื่อบวชได้ 1 พรรษา จึงได้ลาสิกขาจากสมณเพศ ครั้นอายุได้ 23 ปี ได้แต่งงานมีครอบครัวกับนางสาวจันดี สายเสมา คนบ้านแดงหม้อ ต.แดงหม้อ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี อยู่ด้วยกันมา 21 ปี ไม่มีบุตร มีแต่บุตรบุญธรรม

         ต่อมาเมื่ออายุได้ 43 ปี จึงได้ชวนกันกับภรรยาออกบวช ภรรยาได้บวชเป็นแม่ชี ท่านได้มอบสมบัติทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้แก่นางหนูพาน ผู้เป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ส่วนตัวท่านได้เข้าอุปสมบทอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ในคณะมหานิกายเช่นเดิม ที่วัดคูขาด บ้านศรีสุข ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพระครูศรีสุตตาภรณ์ (ตื๋อ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ไม่ปรากฎ หลังจากบวชแล้วได้จำพรรษาที่วัดคูขาด บ้านศรีสุข อ.เขื่องใน จ.อึบลราชธานี แต่ท่านได้เข้าศึกษาอบรมพระกรรมฐาน อยู่ในสำนักวัดป่าวารินชำราบ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม (เจ้าคุณพระญาณวิศิษฎ์) และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล และได้ทำการญัตติกรรมในคณะธรรมยุติ เมื่ออายุได้ 47 ปี ณ วัดบ้านโนนหรือวัดทุ่ง โดยมีพระครูพินิจศีลคุณ (พระมหาอ่อน เจ้าคณะอำเภอเขื่องใน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาจันทร์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2491 แรม 2 ค่ำ เดือน 7 ปีชวด ซึ่งเป็นการอุปสมบทเป็นครั้งที่ 3 ของท่าน

         หลวงปู่ผาง ได้ปฏิบัติฝึกอบรมกรรมฐานอยู่ในสำนักท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พอสมควรแล้วก็ได้ออกธุดงค์ ปฏิบัติกรรมฐานไปวิเวกโดยลำพัง และได้เข้าอบรมอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านนามน จ.สกลนคร ได้พอสมควร ก็ท่องเที่ยววิเวกไปแต่ผู้เดียวในป่าเขา จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาหลายปี

         ต่อมาในปี พ.ศ.2492 ได้มาพักจำพรรษาที่วัดป่าบัลลังก์ศิลาทิพย์ บ้านแทน ต.บ้านแท่น อ.ชนบท จ.ขอนแก่น จำพรรษาได้ 1 พรรษา พอออกพรรษาแล้วท่านจึงได้เดินธุดงค์ไปทางอำเภอมัญจาคีรี ชาวบ้านโสกใหญ่ บ้านดอนแก่นเฒ่า บ้านโสกน้ำขุ่น ได้พร้อมใจกันมานิมนต์หลวงปู่ ไปพักภาวนาที่เชิงเขาภูผาแดง อ.มัญจาคีรี ชาวบ้านเรียกสถานที่นั้นว่า ?ดูน? เนื่องจากมีน้ำไหลออกมาจากภูเขาตลอดปี ชาวบ้านแถวนั้นถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพระรูปใดเข้าไปอยู่ได้ และที่ตรงนี้เองที่ตรงกับที่ท่านเห็นในสมาธินิมิตทุกประการ ท่านจึงได้ชวนชาวบ้านสร้างเป็นวัด ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกว่า ?วัดดูน? ตั้งแต่นั้นมา หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ?วัดอุดมคงคาคีรีเขต? แปลว่า วัดที่อุดมไปด้วยน้ำและมีภูเขาเป็นเขต ตั้งแต่พ.ศ.2493 ท่านจึงได้จำพรรษาอยู่ที่วัดดูนนี้เรื่อยมา และก็ได้เดินธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ได้ผจญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้มาอย่างดี จึงกล่าวว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติและพระสุปฏิปันโนอย่างแท้จริงได้องค์หนึ่ง

         ในปี พ.ศ.2505 หลวงปู่ได้สร้างวัดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ที่บ้านแจ้งทับม้า ต.นางาม อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่นตั้งอยู่ห่างจากวัดอุดมคงคาคีรีเขตไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 4 กิโลเมตร ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า ?วัดป่าพัฒนาคีรี หรือวัดบ้านแจ้ง? มีเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่

         พ.ศ. 2505 ? 2507 ระยะทางที่สามแยกปากทาง จากถนนระหว่างอำเภอมัญจาคีรี ? อำเภอแก้งคร้อ ไปวัดอุดมคงคาคีรีเขต ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นเส้นทางเล็ก ๆ แคบ ๆ คดเคี้ยว การคมนาคมไม่สะดวก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนลำบากมาก หลวงปู่จึงได้ประชุมชาวบ้านทุกหมู่บ้านที่ถนนผ่าน เพื่อช่วยพัฒนาตัดถนนใหม่ให้มีเส้นทางให้ได้มาตรฐาน ขนาดกว้างพอควร และที่ประชุมยอมรับมติที่หลวงปู่ปรารถนาและแนะนำ หลังจากมีมติทำถนนใหม่แล้ว ชาวบ้านทุกหมู่บ้านก็ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาจนกระทั่งแล้วเสร็จ โดยหลวงปู่ได้อยู่เป็นประธานตลอด โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐแต่ประการใด ปัจจุบันเป็นเส้นทางสำคัญของชาวบ้านในการคมนาคมเพื่อการเกษตรขนส่งและอื่น ๆ

         ในปี พ.ศ. 2507 ทางวัดอุดมคงคาคีรีเขตได้รับความร่วมมือจาก กรป.กลาง กรุงเทพฯ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่จังหวัดอุดรธานี ได้นำหน่วยงานดังกล่าวพัฒนาเส้นทางไปวัดอุดมคงคาคีรีเขต เป็นถนนขนาดกว้างประมาณ 10 เมตร ยาว 12 กิโลเมตร ลงหินลูกรังตลอดเส้นทาง และต่อมา วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2523 หลวงปู่ได้มีหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อของบประมาณทำถนนเส้นดังกล่าวเป็นถนนลาดยาง ซึ่งทางราชการก็ได้อนุมัติ และก็ได้ทำเป็นถนนลาดยางในเวลาต่อมา ซึ่งก็ได้ใช้ประโยชนต่าง ๆ ดังเช่นที่ปรากฎในปัจจุบัน

         พ.ศ. 2511 เมื่อท่านพระครูโอภาสสมณกิจ เจ้าคณะอำเภอชนบท จ.ขอนแก่น วัดป่าธรรมวิเวก ได้ก่อสร้างอุโบสถ ท่านพระครูฯและคณะสงฆ์ พร้อมด้วยทายกทายิกาชาวชนบท ได้กราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่ผางมาจำพรรษาที่วัดป่าธรรมวิเวกแห่งนี้ เพื่อเป็นประธานในการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ได้เมตตารับเป็นประธานด้วยดี และช่วยอุปถัมภ์มาตลอด เริ่มตั้งแต่อนุญาตให้จัดสร้างเหรียญรุ่นแรกของท่าน เพื่อนำรายได้สมทบทุนสร้างอุโบสถ กระทั่งอุโบสถวัดป่าธรรมวิเวกเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกประการ หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ออกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ และก็ได้สร้างสาธารณะสถานไว้ในพระพุทธศาสนามากมาย จึงเป็นที่รู้จักและเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั่วไป

         พ.ศ. 2523 หลวงปู่ผาง ได้เมตตารับเป็นประธานอำนวยการสร้าง ?พระธาตุขามแก่น ศิโรดม? หน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับพ่อค้า ประชาชน ภาคราชการ เอกชนทุกหมู่เหล่า เพื่อร่วมฉลองสองร้อยปีกรุงรัตนโกสินทร์ และในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2525 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จทำพิธีเปิดพระธาตุขามแก่น ศิโรดม ให้ประชาชนได้สักการะบูชา

         ปัจจุบัน พระธาตุขามแก่น ศิโรดม ถือได้ว่าเป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมือง ได้สร้างเสร็จทันเแลืมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2525 พอดี ทางจังหวัดได้กำหนดให้มีงานนมัสการพระธาตุขามแก่น ศิโรดม เป็นงานประจำปีของจังหวัด ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม ของทุกปี

ทอดผ้าป่าผ้าไหมสามัคคี เมื่อวันที่ 21 พฤศจิายน พ.ศ.2524 หลวงปู่พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ทายก ทายิกา และคณะศิษยานุศิษย์ ได้พร้อมใจกันจัดผ่าป่าสามัคคดี ?ผ้าไหมไตรจีวร? ไปทอดถวาย 3 วัดด้วยกันคือ

         1. ทอดถวายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ

         2. ทอดถวายสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวธฺฒโน ป.ธ.9 วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเพทฯ ซึ่งต่อมาท่านได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

         3. ทอดถวายพระพรหมมุนี (สนั่น จนฺทปชฺโชโต ป.ธ.9) วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาท่านได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระมหามุนีวงศ์

การไปทอดผ้าป่าสามัคคีของหลวงปู่ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ท่านปรารภจะทำมานานแล้ว ซึ่งเป็นการจัดผ้าป่าไปทอดถวายครั้งแรกในชีวิตของท่าน และก็ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน

มรณภาพ

         ต่อมาวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 หลวงปู่ได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เนื่องจากพบว่าหลวงปู่เริ่มเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร

         23 กุมภาพันธ์ 2525 หลวงปู่ได้มารับการรักษาที่โรงพยาบาลนี้ ด้วยอาการอ่อนเพลีย เนื่องจากมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร และยังพบว่ามีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจตายเพิ่มขึ้นด้วย

         16 มีนาคม 2525 คณะศิษย์ได้นิมนต์กลับวัด หลังจากหลวงปู่กลับถึงวัดได้ไม่กี่วัน ก็มีอาการอาเจียน ฉันอาหารและน้ำไม่ได้ ปัสสาวะน้อย และแล้ว

         ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2525 หลวงปู่ได้ละสังขารในตอนบ่ายนั้น เวลา 16.45 น. ด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ 80 ปี (34 พรรษา) นับเป็นการจากไปของพระ
สุปฏิปันโน ผู้มีคุณธรรมอันเลิศรูปหนึ่ง ที่ไม่ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ หรือติดในโลกธรรมแต่ประการใด ดังคำที่ท่านพูดไว้ว่า

?มีชื่อไม่อยากให้ปรากฎ มียศไม่อยากให้ลือชา มีวิชาไม่ให้เรียนยาก? แต่คุณธรรมและปฏิปทาของท่านยังเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนมิรู้ลืม ท่านยังเป็นพระในดวงใจของคณะศิษยานุศิษย์ไม่เสื่อมคลาย ตราบนานเท่านาน จึงได้จัดพิธีพระราชทาน เพลิงศพไว้อาลัยแด่หลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 24 มีนาคม 2528 เวลา 16.00 น. คณะศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชนทั่วไปจากทั่วทุกสารทิศได้หลั่งไหลกันมาจากทุกภาคของประเทศไทย เพื่อร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ ?หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต?

มาจากwww.itti-patihan.com :005:

161
        สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นราชินีกุลพระองค์หนึ่งที่พสกนิกรรักและศรัทธามากด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดเจน เช่น การที่พระองค์ท่านทรงดำรงพระองค์ง่ายๆเรียบง่าย แย้มพระสรวลง่ายจนทำให้ผู้พบเห็นพลอยสบายใจและมีกำลังใจ แต่เบื้องหลังพระอริยาบถสบสบายๆนั้น สมเด็จพระเทพฯเป็นเจ้านายที่ทรงงานหนักและทรงมีพระราชกรณียกิจหลากหลายเกินพรรณา ถึงกระนั้นพระองค์ทรงมีพระอารมณ์ขันที่ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังอย่างเบิกบานไม่รู้สึกอึดอัด
     ดร.บุษกร กาญจนจารี  อดีตพระอาจรย์ที่ปรึกษาของสมเด็จพระเทพฯเเล่เรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับสมเด็จพระเทพฯเล่าว่า เวลาอยู่คณะท่านสนุกมากค่ะ เช่นทรงฟังเล็คเชอร์ไปแล้วก็ทรงวาดการ์ตูนสมุดของท่านจะเต็มไปด้วยการ์ตูนทรงวาดเป็นหน้าอาจารย์ก็มี เช่น อาจารย์ฉลวย ซึ่งขึ้นชื่อว่าดุมากทรงวาดหน้าอาจารย์ แล้วก็ทรงวาดการ์ตูนต่างๆ นกฮูก สนู้ปปี้ เป็นต้น
 ขณะทรงรับการศึกษาอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ สมเด็จพระเทพฯทรงเป็นที่รักของเหล่านิสิตอาจารย์เพราะพระองค์ท่านทรงมีน้ำพระทัยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเหล่ามิตรสหาย รุ่นพี่รุ่นน้องหรือแม้กระทั่ง
นักการภารโรงหรือแม้แต่เด็กชายที่ขายขนม เพียงทราบว่าพวกเขาไม่สบายท่านก็ส่งคนตามไปถึงบ้าน ไปสืบหาบ้านพาไปรักษา เด็กคนหนึ่งเป็นสารพัดโรคท่านก็ทรงรับไว้ในพระราชูปถัมปภ์
  ท่านทรงใช้ชีวิตเหมือนนิสิตธรรมดา เช่นวิ่งจากตึกหนึ่งไปอีกตึกหนึ่ง ห้องทรงประทับส่วนพระองค์ทรงประทับเป็นพียงห้องเล็กๆ ในหลวงทรงมีรับสั่งผ่านทางอธิบดี มาถึงท่านคณบดีว่าไม่โปรดให้ถวายการต้อนรับเป็นพิเศษ หากไม่มีการจัดห้องเล็กๆและธรรมดาถวายเลยก็จะมีผู้ไป คอยมุงชมพระบารมีกันจนไม่มีบรรยากาศส่วนพระองค์และเพื่อให้ทานมีที่ทรงพระพระอักษรเงียบๆ
             รุ่นน้องคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จพระเทพฯทรงซื้อฝรั่งดองเทียมมี่ประจำ เทียมมี่จะเก็บเงินที่ทรงซื้อไว้บูชาส่วนแขกขายถั่วทานโปรด รับสั่งให้ร้องเพลงให้ฟังก่อนไม่งั้นไม่ทรงซื้อ อาบังก็ร้องไม่ยอมหยุด              เจออารย์ท่านใดสมเด็จพระเทพฯทรงไหว้ทุกคนทรงมีพระอารมณ์ขันมากมายอาจารย์บางคนเกรงพระบารมีจึงคอยหลบท่าน ท่านก็ทรงวิ่งดักหน้าดักหลังทรงไหว้จนได้
       

คัดลอกมาจากคอลัม วังวนชีวิต ของดารณี สุนทรนนท์
จากหนังสือ ย้อนรอยกรรม ของคุณอาทรงพล มากชูชิต (ศิษย์วัดบางพระ)

162
คาถาอาคม / อยากรู้จริงๆ
« เมื่อ: 16 เม.ย. 2552, 11:30:06 »
อยากรู้คาถา ลิงจับหลัก ของ หลวงปู่แล
อยากรู้คาถา ขุนกระบี่บูชาครู วัดบางพระ
ใครทราบเมตตาหน่อยเถอะครับอยากทราบเหลือเกิน
:054:

163

นารีผล
นารีผล หรือมักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่า นารีผล ขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา

     ข้าพเจ้า เคยได้ยินเรื่องเล่าถึงนารีผล ในใจก็ใคร่อยากชมดูอยู่เหมือนกัน แต่จนใจ เราไม่มีตาทิพย์ ไม่มีฤทธิ์ จึงมิอาจไปชมดูได้... จึงได้แต่ตั้งจิตอธิษฐาน ขอเห็นในนิมิตฝันก็ยังดี... เมื่อจิตเป็นสมาธิดี เกิดนิมิตขึ้น ก็ได้เห็นนารีผลจริงๆ แต่เป็นนารีผล ที่มีใครไม่ทราบเด็ดมาจากต้นแล้ว นั่นคือข้าพเจ้า ไม่ได้เห็นต้นนารีผล เห็นเพียงร่างนารีผล ที่นอนเปลือยเปล่าอยู่พื้นหินแห่งหนึ่ง เท่านั้น... แต่นิมิต ก็คือภาพนิมิต ไม่ใช่ความจริง ไม่เหมือนเห็นด้วยตาจริง เชื่อถือไม่ได้...



     ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า     

     เมื่อประมาณหลายหมื่นปีก่อน ครั้งที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี พร้อมด้วยบุตร ๒ คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ถูกเนรเทศจากนคร ได้เดินทางสู่ป่าหิมพานต์ และบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น

     ที่ป่าหิมพานต์ มีสัตว์ป่ามากมายอันตรายรอบด้าน ทว่า สัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อได้รับเมตตาจิตจากพระเวสสันดร ก็คลายความดุร้ายลง กลายเป็นมิตร ... นอกจากสัตว์ป่าทั้งหลายแล้ว ก็ยังมีดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ทั้งหลายอาศัยอยู่ หรือไปมาอยู่เรื่อยๆ  พระนางมัทรี ผู้มีรูปร่างโสภา บางครั้งออกหาอาหาร หาผลไม้ตามลำพังคนเดียว หากนักสิทธิ์ วิทยาธร ตลอดถึงฤๅษี มาพบเข้า อาจตบะแตก แล้วล่วงศีลได้...

     ท้าวสักกะเทวราช ซึ่งเป็นพระอินทร์ เล็งเห็นเหตุร้ายนี้แล้ว เพื่อเป็นการป้องกัน พระองค์จึงเนรมิต ต้นไม้วิเศษ ไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึงถิ่นแดน อันเป็นที่พำนักของพระเวสสันดรและนางมัทรี รวม ๑๖ ต้น

     ต้นไม้วิเศษนี้ ออกผลซึ่งมีรูปร่างเหมือนสตรี ผลโตเต็มที่ จะมีทรวดทรงปานสาวงามแรกรุ่น แต่ผิวพรรณ ทรวดทรงองค์เอว รูปร่างหน้าตา งดงามปานเทพธิดา...

     ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย...

     เมื่อเหล่านักสิทธิ์ วิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล... เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้ ... เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี.... การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้....

     นี่คือด่านป้องกัน ไม่ให้ใครไปล่วงศีลกับพระนางมัทรี และเทพธิดาที่จุติไปเกิดที่นารีผล แต่ละนางก็ไปด้วยกรรมของตน มิได้บังคับไปแต่อย่างใด

     แม้ว่า พระเวสสันดร พระนางมัทรี จะเสด็จออกจากป่าเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผล ก็ยังคงมีอยู่ในที่นั้น ตราบเท่าทุกวันนี้ ยังมีดอกหอมกรุ่น มีนารีผลห้อยระย้าอยู่ดังเดิม แม้ลูกที่หมดอายุขัยจะร่วงหล่นเหี่ยวเฉาไป ลูกใหม่ก็ขึ้นมาแทนที่ไม่ได้ขาด

     ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่... หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี

     และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา

     นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้นมาเก็บเอาไป


--------------------------------------------------------------------------------


 

มีเรื่องราวในอรรถกถาเกี่ยวกับนารีผลตอนหนึ่งว่า

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัต  เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์  ณ  กาสิกรัฐ  เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในสรรพศิลปศาสตร์แล้วบวชเป็นฤๅษี  มีมูลผลาผลในป่าเป็นอาหาร  ยังอัตภาพให้เป็นไปในป่ากว้าง.  ครั้งนั้น  แม่เนื้อตัวหนึ่ง  เคี้ยวกินหญ้าอันเจือด้วยน้ำเชื้อ  ในสถานที่ปัสสาวะของพระดาบสนั้นแล้วดื่มน้ำ.

      และด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง  มันมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส  จนตั้งครรภ์  นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมไปไหน  เที่ยวอยู่ใกล้ ๆ อาศรมนั่นเอง.  พระมหาสัตว์กำหนดดูก็รู้เหตุนั้นทั่วถึง  ต่อมา  แม่เนื้อคลอดบุตรเป็นมนุษย์.  พระมหาสัตว์จึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ด้วยความรักใคร่ว่าเป็นบุตร  ตั้งชื่อให้ว่า  อิสิสิงคกุมาร  ในเวลาต่อมา  พระมหาสัตว์   จึงให้อิสิสิงคกุมารผู้รู้เดียงสาแล้วบวช  ในเวลาตนชราลง ได้พาดาบสกุมารนั้นไปสู่นารีวัน  (ป่านารีผล)  กล่าวสอนว่า

       ลูกรัก  ขึ้นชื่อว่าสตรีเช่นกับดอกไม้เหล่านี้ มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้   สตรีเหล่านั้นย่อมยังชนผู้ตกอยู่ในอำนาจตน   ให้ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงได้    ไม่ควรที่เจ้าจะไปสู่อำนาจของสตรีเหล่านั้น ดังนี้แล้ว

       ครั้นในเวลาต่อมา    ก็ทำกาลกิริยา  เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ฝ่ายอิสิสิงคดาบส  เมื่อประลองฌานกีฬาก็พักอยู่ในหิมวันตประเทศ ได้เป็นผู้มีตบะกล้า เป็นผู้มีอินทรีย์อันชำนะแล้วอย่างยวดยิ่ง   

     ครั้งนั้นพิภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหว  ด้วยเดชแห่งศีลของพระดาบส   ท้าวสักกเทวราช ทรงใคร่ครวญดูก็ทราบเหตุนั้น   ทรงพระดำริว่า   พระดาบสนี้จะพึงยังเราให้เคลื่อนจากความเป็นท้าวสักกะ    เราจักต้องส่งนางอัปสรคนหนึ่ง ให้ไปทำลายศีลของเธอ  ดังนี้แล้ว   ทรงพิจารณาเทวโลก ทั้งสิ้น    ในท่ามกลางเหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งของพระองค์  มิได้ทรงเห็นใครอื่นซึ่งสามารถ ที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสได้  นอกจากนางเทพอัปสร  ชื่ออลัมพุสาผู้เดียว  จึงรับสั่งให้นางมาเฝ้า แล้วทรงบัญชาให้ทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสนั้น

       นางอลัมพุสาเทพอัปสรนั้น  เข้าไปหาอิสิสิงคดาบสนั้น   ซึ่งประกอบความเพียรในกลางคืนแล้ว   สรงน้ำแต่เช้าตรู่  ทำอุทกกิจเสร็จแล้ว     ยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลาหน่อยหนึ่ง  จึงออกมากวาดโรงไฟอยู่     นางยืนแสดงความงาม ของหญิงอยู่ข้างหน้าของพระอิสิสิงคดาบสนั้น?

     นางอลัมพุสา แสดงมายาหญิงเย้ายวน จนดาบสหนุ่มหลงใหล.. และในที่สุด ดาบสหนุ่มก็ถูกทำลายศีล...

อ้างอิงมาจากhttp://sitantara.50webs.com/lablae/plablae08.html


164

ประวัติความเป็นมาไทยทรงดำ
กลุ่มชนชาวไทดำ มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองจุไท ดังกล่าวไว้ในพงศาวดารเมืองไลว่า ? เมืองที่พวกผู้ไทดำอยู่นั้น คือเมืองแถงหนึ่ง เมืองควายหนึ่ง เมืองตุงหนึ่ง เมืองม่วยหนึ่ง เมืองลาหนึ่ง เมืองโมะหนึ่ง เมืองหวัดหนึ่ง เมืองซางหนึ่ง รวมเป็น 8 เมือง เมืองผู้ไทขาว 4 เมือง ผู้ไทดำ 8 เมืองเป็น 12 เมือง จึงเรียกว่าเมืองสิบสองผู้ไท แต่บัดนี้เรียก สิบสองจุไท ?
                  (อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.promma.ac.th/supaporn/unit5/p3_1_1.htm )
เขตสิบสองจุไท บริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง ในเวียดนามภาคเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของ ไทดำ ไทแดง และไทขาว เมื่อ ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนาม ได้เรียกชนเผ่าที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำดำว่า ไทดำที่เรียกว่าไทดำ เพราะชนดังกล่าวนิยมสวมเสื้อผ้าสีดำซึ่งย้อมด้วยต้นห้อมหรือคราม แตกต่างกับชนเผ่าที่อยู่ใกล้เคียงเช่น ไทขาวที่นิยมแต่งกายด้วยผ้าสีขาว และไทแดงที่ชอบใช้ผ้าสีแดงขลิบตกแต่งชายเสื้อ


ชาวไทยดำอยู่ที่เมืองแถงหรือแถน แต่เดิมเป็นเมืองใหญ่ของแคว้นสิบสองจุไท ปัจจุบันคือจังหวัดเดียนเบียนฟู อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว (แคว้นล้านช้าง) ทิศเหนือติดกับตอนใต้ของประเทศจีน
การอพยพและการตั้งรกรากในไทย ชาวไทดำอพยพเข้ามาตั้งรกรากในไทยถึง 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีที่โปรดให้ไปตี เมืองเวียงจันทร์ได้ในปี พ.ศ. 2321 ดังได้กล่าวไว้ในประวัติชาติไทยว่า "แล้วปีรุ่งขึ้นโปรด ฯ ให้ยกกองทัพไปตีเมืองหลวงพระบาง ไปตีเมืองทัน เมืองม่วย เมืองทั้ง 2 นี้เป็นเมืองของไทซ่งดำ ตั้งอยู่ในเขตแดนญวนเหนือ แล้วพาครัวไทเวียง ไทดำ ลงมากรุงธนบุรี ในเดือนยี่ ไทซ่งดำให้ไปอยู่เพชรบุรี " ต่อมารัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 2378 ก็ได้นำครอบครัวชาวไทดำเข้ามาอยู่ในไทยอีก ดังบันทึกของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีกล่าวไว้ เมื่อคราวเป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2430 ไว้ว่า ? พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาธรรมา ฯ ยกกองทัพขึ้นมาเมืองถึงเมืองแถง จัดราชการเรียบร้อยแล้วได้เอาครัวเมืองแถงและสิบสองจุไทซึ่งเป็นไทดำลงมากรุงเทพ ฯ เป็นอันมาก เพราะขืนไว้จะเกิดการยุ่งยากแก่ทางราชการขึ้นอีกครั้ง แล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้า ฯ ให้พวกไทดำเหล่านั้น ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองเพชรบุรี จนได้ชื่อว่า ลาวซ่ง   จากหลักฐานการอพยพเข้ามาในไทยทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นว่าไทดำหรือไทยทรงดำ มาตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นแห่งแรกและจากคำบอกเล่าจากชาวไทยทรงดำเอง ก็บรรยายว่า เดินอพยพมาจากถิ่นฐานเดิมโดยทางเรือ มาตั้งถิ่นฐานที่ตำบลท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม ซึ่งเป็นบ้านชายทะเล ชาวไทยทรงดำไม่ชอบภูมิประเทศแถบนั้น จึงได้ย้ายถิ่นฐานมาเรื่อย ๆ จนถึงแถบอำเภอเขาย้อย ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นป่าเขาเหมือนกับถิ่นฐานเดิมจึงได้ตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น ต่อมาชาวไทยทรงดำก็ได้ย้ายถิ่นฐานไปทำมาหากินในที่อื่นๆ เช่น นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี พิจิตร ชุมพร และสุราษฎร์ธานี แต่ชาวไทยทรงดำในจังหวัดต่าง ๆ เหล่านั้นจะบอกที่มาเป็นแหล่งเดียวกันว่า มาจากจังหวัดเพชรบุรี



 

สารานุกรมไทยดำล้ำค่าของกลุ่มนักศึกษา โครงการเรียนรู้ร่วมกันสร้างสรรค์ชุมชน กล่าวถึงไทยดำไว้ว่า ไทยดำหรือไตดำ (Tai Dam, Black Tai) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ผู้ไทยดำ ไทยทรงดำ โซ่ง ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง เรียกอย่างไรคงไม่ผิด เพราะเป็นที่เข้าใจถึงกลุ่มชนเดียวกัน กลุ่มชนชาวไทยดำมีชื่อเรียกตนเองว่า "ไต" - ผู้ไต - ผู้ไตดำ (หรือไทยดำ)

ความหมายของคำว่า"ไต" คือกลุ่มชาติพันธุ์คนไทยสาขาหนึ่งที่มีความเป็นอิสระ คำว่า "ดำ" หมายถึงการแต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มสีดำ ชื่อเรียกขานในนาม "ไทยดำ" จึงมีความหมายโดยรวม ว่ากลุ่มชาติพันธุ์คนไทยสาขาหนึ่งในบรรดาหลายชนเผ่า ที่แต่งกายด้วยสีดำนั่นเอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยดำด้วย ไทยดำได้ถูกอพยพเข้าสู่ดินแดนของประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ใน พ.ศ.2322 เมื่อกองทัพไทยไปตีเวียงจันทน์ แล้วกวาดต้อนไทยดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ส่งไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม เมืองเพชรบุรี

ต่อมาได้กวาดต้อนเข้ามาเพิ่มเติมอีก ในสมัยรัชกาลที่ 1 ใน พ.ศ.2335 และสมัยรัชกาลที่ 3 ใน พ.ศ.2381 ก่อนจะย้ายมาตั้งถิ่นฐานบริเวณหนองปรงในปัจจุบัน และถือว่าแผ่นดินหนองปรงนี้ คือบ้านเกิดเมืองนอนของชาวไทยดำ มีการสืบเชื้อสายมาหลายชั่วอายุคนจนถึงปัจจุบัน และได้กระจายกันอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี ชุมพร และสุราษฎร์ธานี

ในสปป.ลาว ไทดำได้อพยพเข้าสู่หลวงน้ำทาในปี พศ.2438 เพราะเกิดศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างบรรดาหัวหน้าของไทดำกลุ่มต่าง ๆ ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในหลวงน้ำทาที่บ้านปุ่งบ้านทุ่งดี บ้านทุ่งอ้ม บ้านน้ำแง้นและบ้านทุ่งใจใต้ ต่อมาเกิดความไม่สงบในสิบสองจุไทขึ้นอีก เนื่องจากศึกฮ่อซึ่งเป็นพวกกบฏใต้เผงที่ถูกทางการจีนปราบปรามแตกหนีเข้ามาปล้นสะดม และก่อกวนอยู่ในเขตสิบสองจุไท ทำให้ชนเผ่าไทดำอพยพจากเมืองสะกบและเมืองวา แขวงไลเจา เข้าตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านปุ่งบ้านนาลือและบ้านใหม่ ในปี พ.ศ.2439 เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงได้กระจายกันออกไปตั้งหมู่บ้านอยู่ทั่วเขตทุ่งราบหลวงน้ำทา ของสปป.ลาว


ชาวไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง ซึ่งมีบรรพบุรุษและถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ที่เดียนเบียนฟู ประเทศเวียตนาม ย้ายเข้ามาตั้งถิ่น ฐานในแถบเมืองเพชรบุรี เป็นที่แรกในประเทศไทย เมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว กลุ่มที่ย้ายมาอยู่ในเมืองไทยนี้เป็นกลุ่มที่อาศัย อยู่ในประเทศลาว คนไทยแต่ไหนแต่ไรมาจึงเรียกชนกลุ่มนี้โดยใช้คำนำหน้าว่า ?ชาวลาว? ซึ่งที่มาของชื่อชนกลุ่มนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ บ้างก็ว่ามาจาก ?ไทสง? อันเป็นภาษาในสิบสองจุไท หมายถึงคนที่อาศัย ตามป่าเขา ต่อมาเพี้ยนเป็น ไทยโซ่ง แต่บ้างก็ว่าน่าจะเป็น ซ่วง ซึ่งมาจากคำว่า ?ซ่วงก้อม? อันเป็นคำเรียกกางเกงผู้ชาย (มีลักษณะขายาวแคบ สีดำ) จึงเรียกกันว่า ?ลาวซ่วงดำ? หรือ ?ลาวโซ่ง? ภายหลังด้วยเหตุผลทางการปกครอง จึงเรียกว่า ?ไทยโซ่ง? หรือ ?ไทยซ่วงดำ? และ ?ไทยทรงดำ?
แต่สำหรับเจ้าของวัฒนธรรมพึงพอใจที่จะให้ใคร ๆ เรียกว่า ?ไทยโซ่ง? หรือ ?ไทยทรงดำ? มากกว่า เพราะ มีความรู้สึกผูกพันและกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความเป็นไทย

คนไทยดำมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ภาษาไทดำจัดอยู่ในตระกูลภาษาไท (Tai Language-Family) กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ เช่นเดียวกับภาษาไทยและภาษาลาว สำเนียงพูดของคนไทยดำแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกันไปบ้างแต่ก็ไม่มาก ลักษณะตัวอักษรมีความสวยงามคล้ายกับอักษรลาวและอักษรไทยบางตัว

ชาวไทดำมีความเชื่อว่าตนสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษดั้งเดิม 2 ตระกูลคือ ตระกูลผีผู้ท้าวที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นเจ้านาย ชนชั้นปกครอง และตระกูลผีผู้น้อย สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสามัญ ชาวไทดำนับถือผีและมีการบวงสรวงผีเป็นประจำ โดยจะทำ "กะล่อหอง" เอาไว้ที่มุมหนึ่งในบ้านเพื่อใช้เป็นที่เซ่นไหว้บูชาผีบรรพบุรุษ สำหรับในการประกอบพิธีกรรมไทดำจะถือว่าผีผู้ท้าวนั้นมีศักดิ์สูงกว่าผีผู้น้อย ผู้น้อยจะต้องให้ความเคารพยำเกรง แต่สำหรับการดำเนินชีวิตนั้นทั้งสองตระกูลสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเสมอภาค

การอพยพของชาวไทดำ (ผศ.มนู อุดมเวช แห่งคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี บรรยายเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2548 เวลา 13.30-15.30 น. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรจัดการบรรยายเรื่อง ?ประวัติศาสตร์ไทดำในประเทศไทย?การบรรยายครั้งนี้ เป็นการนำเสนอผลการวิจัย ?ประวัติศาสตร์ชาวไทดำในประเทศไทย? ของ ผศ.มนู ซึ่งได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของชาวไทดำในประเทศไทย ความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของชุมชนไทดำ โดยเน้นช่วงเวลาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ.2540 วิธีการศึกษาใช้หลักฐานเอกสารและการสัมภาษณ์ประกอบกัน)

การอพยพของชาวไทดำ
            บรรพบุรุษของชาวไทดำในประเทศไทย ส่วนใหญ่เข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี สมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตามลำดับ โดยเข้ามาด้วยอำนาจบังคับของกองทัพสยาม ที่กวาดต้อนชาวไทดำมาไว้ที่เพชรบุรี 3 ครั้ง
           ในช่วง พ.ศ.2350-2400 ชาวไทดำได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ภายในจังหวัดเพชรบุรีก่อน หลังจากนั้นจึงเริ่มการอพยพไปอยู่ในพื้นที่อื่น กล่าวคือ ในช่วงปี พ.ศ.2400 มีการอพยพไปอยู่ที่สุพรรณบุรี, ในปี พ.ศ.2420 มีการอพยพไปทางนครปฐม ต่อมาในราว พ.ศ.2440 มีการอพยพครั้งใหญ่จากเพชรบุรีไปอยู่ที่ชุมพร ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี นครสวรรค์ และในช่วง พ.ศ.2460 มีการอพยพใหญ่อีกครั้งจากนครปฐม สุพรรณบุรี และเพชรบุรี ไปยังนครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก ส่วนในช่วง พ.ศ.2469-2475 มีการอพยพเป็นครั้งคราว ไปสุโขทัย ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก กาญจนบุรี นครปฐม นครสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีการอพยพข้ามมาจากประเทศลาวเข้ามาทางจังหวัดเลยด้วย
            จากการวิจัยพบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวไทดำอพยพ คือ ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและภัยแล้ง ชาวไทดำจำนวนมากอพยพจากภูมิลำเนาเดิมเพื่อไปหาที่ดินทำกินใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม โดยไม่คำนึงถึงปัญหาความห่างไกลจากเส้นทางคมนาคมหรือภูมิลำเนาเดิม
ผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ไม่มีหลักฐานหรือบันทึกของรัฐที่แสดงถึงการรับรู้เรื่องราวการอพยพเนื่องจากความทุกข์ยากของชาวไทดำเลย ทั้งที่เป็นกระบวนการที่กินเวลายาวนานนับร้อยปี แสดงให้เห็นว่ารัฐขาดการเอาใจใส่ต่อคนกลุ่มนี้

เศรษฐกิจของชุมชนไทดำ
             เดิมชุมชนไทดำเป็นชุมชนพึ่งตนเองในทางเศรษฐกิจ ทำนาเป็นอาชีพหลัก แม้จะอพยพไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ชาวไทดำก็ยังคงทำนาอยู่ แต่อาจเปลี่ยนไปเพาะปลูกพืชอย่างอื่นนอกเหนือจากข้าว ที่ผ่านมามีแนวโน้มว่าชาวไทดำจะอพยพไปอยู่ในที่ดินที่ห่างไกลความเจริญออกไปเรื่อยๆ ทำให้ได้รับความยากลำบากเนื่องจากอยู่ห่างไกลเส้นทางคมนาคมและตลาด วิธีการได้มาซึ่งที่ดินใหม่ของผู้อพยพชาวไทดำ มีตั้งแต่การซื้อด้วยทุนเดิม ซื้อด้วยทุนที่สะสมอดออมขึ้นใหม่ แลกด้วยวัตถุสิ่งของต่างๆ ไปจนถึงการหักร้างถางพง จับจองที่ดินที่ยังไม่มีเจ้าของ

             ชาวไทดำนิยมผลิตเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ด้วยตนเอง งานหัตถกรรมที่โดดเด่นคือ การผลิตเสื้อผ้า ซึ่งเริ่มตั้งแต่การปลูกพืชเลี้ยงไหมเพื่อผลิตเส้นใยและทอผ้าเอง กล่าวได้ว่างานผลิตเสื้อผ้านั้นเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวไทดำ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันกิจกรรมการผลิตเสื้อผ้าของชาวไทดำเริ่มจางหายไป เนื่องจากมีเสื้อผ้าราคาถูกจากโรงงานเข้ามาจำหน่ายมากขึ้น นอกจากนี้ ชาวไทดำยังสนใจประกอบอาชีพอื่นๆ นอกภาคเกษตรมากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้น่าจะเป็นอิทธิพลของการศึกษาและการสื่อสารที่พัฒนาขึ้น

ปัจจัยพื้นฐานของชีวิตไทดำ
              ชาวไทดำโดยทั่วไป มีความผูกพันกับเครือญาติและชาวไทดำด้วยกันเองค่อนข้างสูง วิถีชีวิตของชาวไทดำในรอบปีมีระบบที่แน่นอน เช่น เดือนอ้ายเป็นฤดูเก็บเกี่ยว, เดือน 4-5 ว่าง, เดือน 6 เตรียมการเพาะปลูก, เดือน 7-12 ทำนา
              ชาวไทดำมีภาษาของตนเอง ซึ่งมีศัพท์แสงแตกต่างจากภาษาไทยภาคกลางมาก ทั้งยังมีตัวอักษรของตนเอง อันเป็นสมบัติเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้กันแถบลุ่มน้ำแดง-ลุ่มน้ำดำในเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันภาษาเฉพาะของไทดำกำลังถดถอย โดยเฉพาะการอ่าน-เขียนที่เริ่มไม่ค่อยมีผู้รู้แล้ว


ที่อยู่อาศัยของชาวไทดำ

          เป็นเรือนเครื่องผูก มีขดกุดบนหลังคาเหนือจั่ว มุงแฝกหรือหญ้าคา ใต้ถุนสูง ส่วนเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ในชีวิตประจำวันก็ผลิตเอง โดยใช้ไม้ไผ่รวกเป็นหลัก
           อาหารการกิน ชาวไทดำนิยมรับประทานข้าวเหนียวกับปลา ซึ่งมีการนำมาแปรรูปแบบต่างๆ เช่น ปลาร้า ปลาส้ม นอกจากนี้ยังนิยมดื่มเหล้ากันมาก
            เครื่องนุ่งห่ม เดิมชาวไทดำจะผลิตเสื้อผ้าเอง มีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้าใช้เอง การแต่งกายในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันบ้าง เครื่องแต่งกายหลักคือ ?เสื้อฮี? ซึ่งเป็นเสื้อแขนสั้น และโพกผ้าเปียว นอกจากนี้ผู้หญิงไทดำในอดีตยังแต่งผมด้วยการ ?ปั้นเกล้า? ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น แต่ปัจจุบันมีแต่ผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไปเท่านั้นที่ยังปั้นเกล้าอยู่ (มีการสาธิตวิธีการปั้นเกล้าโดยผู้หญิงไทดำให้ชมด้วย) ส่วนการทอผ้า ชาวไทดำก็เลิกทอมาตั้งแต่ พ.ศ.2490-2500 เป็นต้นมา

ปัจจัยระดับสูงของชีวิตไทดำ
           ปัจจัยระดับสูงที่แสดงถึงความเป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมเฉพาะของชาวไทดำ ได้แก่
การศึกษาและอักษร สมัยก่อนชาวไทดำได้รับการศึกษาน้อยมาก เพราะยากจน และโรงเรียนตั้งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ชาวไทดำมีอักษรบันทึกวัฒนธรรม เช่นที่ปรากฏใน ?คำขับเขยบอกทาง? (เพื่อบอกทางไปเมืองแถงแก่วิญญาณ), ขับขึ้นบ้านใหม่ ความรู้ต่างๆ มีการถ่ายทอดกันในครอบครัว แต่ปัจจุบันผู้ที่อ่านอักษรไทดำได้กำลังหมดไป
          ดนตรี การขับร้อง และการละเล่น ใช้แคนและการปรบมือเป็นพื้นฐาน มีเพลงสุดสะแนน เวียง พู่จำดอก และเกริงสร้อย ลีลาแคนมีทั้งแคนแล่น และแคนเดิน การ ?ขับ? ใช้ในโอกาสรื่นเริง ?ว่า? เป็นการร่ายกึ่งมีทำนอง ใช้ในพิธีกรรม ในวัฒนธรรมของชาวไทดำนั้น ดนตรี การขับร้อง และการละเล่นจะปะปนผสมผสานกันอยู่มากใน ?อิ้นกอน? ช่วงเดือน 5
การหาคู่ครอง ตามแบบแผนเดิม ชาวไทดำมักหาคู่ครองด้วยการไป ?อิ้นกอน? ในเดือน 5 ซึ่งเป็นกระบวนการที่ฝ่ายชายจะไปเล่นลูกช่วงตามหมู่บ้านต่างๆ ที่มีหญิงสาวคอยเล่นด้วย โดยฝ่ายชายมักจะไปค้างแรมคืนต่างหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งเดือน 5 นอกจากนี้ ชายและหญิงไทดำยังมีโอกาสพบปะกันใน ?ข่วง? (ลานบ้าน) อันเป็นที่ตำข้าว ปั่นด้าย ฯลฯ ของบ้านที่มีลูกสาว ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายชายไปคุยได้ หากรักชอบกันก็จะนำไปสู่การแต่งงานในที่สุด
       ศาสนา การนับถือผีเป็นเรื่องสำคัญตามประเพณีไทดำ โดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษนั้นเป็นสาระสำคัญที่นำไปสู่ประเพณีและพิธีกรรมอื่นๆ ในวัฒนธรรมชาวไทดำ เช่น ประเพณี ?ปาดตง? และพิธี ?เสนเฮือน? (เซ่นเรือน) ซึ่งกระทำทุก 3 ปี หรือ 5 ปี นอกจากนี้ ทุกบ้านยังมี ?กะล้อห่อง? และมีการ ?หน็องก้อ? ทุกครั้งที่ดื่มเหล้า คือให้ผีบรรพบุรุษดื่มก่อน อาจกล่าวได้ว่า ความผูกพันกับบรรพบุรุษนั้นเป็นแก่นของวัฒนธรรมไทดำเลยทีเดียว
         นอกจากนี้ชาวไทดำยังมีความเชื่อเรื่องขวัญ เมื่อเกิดความเจ็บป่วย จะมีการทำพิธีเรียกขวัญ หรือเสนขวัญ โดยมี ?แม่มด? เป็นผู้ทำพิธี ทำหน้าที่ต่ออายุ และแก้ไขการกระทำต่างๆ ที่ผิดผี อันเป็นสาเหตุให้เกิดความเจ็บป่วย


ความเปลี่ยนแปลง            ชาวไทดำประกอบอาชีพทำนามาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีความถนัดในการทำเกษตร และได้รักษาอาชีพในแนวทางนี้มาตลอด แม้ว่าพื้นที่บางแห่งที่ไม่สะดวกแก่การทำนา จะมีการเปลี่ยนไปทำไร่ ทำสวน และเลี้ยงไก่บ้างก็ตาม ทั้งนี้ผู้วิจัยมองว่า คุณสมบัติเด่นของชาวไทดำคือ ความสามารถในการเรียนรู้ และความทรหดอดทนต่อความยากลำบาก
ปัจจัยพื้นฐานของชีวิตในชุมชนไทดำ ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมสมัยใหม่ เช่น เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ปัจจุบันชาวไทดำก็ซื้อหาจากท้องตลาด เนื่องจากราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาและแรงงานมากมายไปในการจัดหาวัสดุจากธรรมชาติมาจัดทำขึ้นเอง ทำให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในส่วนนี้ของชาวไทดำกำลังสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย
           ส่วนปัจจัยระดับสูงของวิถีชีวิตไทดำ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงอัตลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ คือ ความผูกพันที่มีต่อผีบรรพบุรุษนั้น ยังคงดำรงอยู่ในฐานะแก่นของวัฒนธรรมไทดำ กระนั้นก็ตาม บริบทสังคมที่เปลี่ยนไปก็ทำให้วัฒนธรรมบางอย่าง เช่น กระบวนการหาคู่ครอง การเดินทางเพื่อ ?อิ้นกอน? ค่อยๆ จางหายไป
          ในช่วงท้ายของการบรรยาย ผู้วิจัยเสนอว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่น่าจะมีการศึกษาอย่างละเอียดต่อไป เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมของชาวไทดำในประเทศไทยกับชาวไทดำลุ่มแม่น้ำแท้หรือแม่น้ำดำ ภูมิปัญญาและเทคโนโลยีพื้นบ้านของไทดำ ภาษาและอักษรของไทดำ คติความเชื่อและสัมพันธภาพในชุมชนไทดำ เป็นต้น

อำเภอเขาย้อยจังหวัดเพชรบุรี

มีกลุ่มชนไทยทรงดำอยู่อย่างหนาแน่น โดยจากรายงานด้านประชากรของอำเภอเขาย้อยมี
      - ไทยทรงดำ 70 %      - ไทย 14 %
      - ลาวเวียง        3 %      - จีน 10 %
      - ลาวพวน        3 %
ไทยทรงดำหรือลาวโซ่งซึ่งจะอาศัยอยู่ในตำบลห้วยท่าช้าง หนองปรง ทับคาง เขาย้อย บางเค็ม หนองชุมพล และหนองชุมพลเหนือ ซึ่งยังมีการอนุรักษ์ประเพณีเก่าแก่ของไทยทรงดำไว้มาก อาทิเช่น
      1. เล่นลูกช่วง (เล่นคอน) หรือรำแคน นิยมเล่นในเทศกาลตรุษสงกรานต์
      2. การเสนเรือน คือ การทำบุญให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
      3. การแต่งงาน เป็นประเพณีของไทยทรงดำ มีการแต่งกายชุดใหญ่ของไทยทรงดำ
      4. ประเพณีการทำงานศพ จะทำพิธีแบบไทยทรงดำทุกคน
เยี่ยมเรือนเยือนเหย้าชาวไทยทรงดำไทย มีวัฒนธรรมที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การแต่งกาย ทรงผม ภาษา บ้านเรือน อาหาร และการประกอบ อาชีพ รวมไปถึงความเชื่อที่สืบ ทอดกันมานาน ก่อให้เกิดพิธีกรรมและประเพณีที่น่าสนใจมากมายแม้ในกระแสวัฒนธรรมจากภายนอกที่หลั่งไหลเข้าทดแทนวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับชาวไทยทรงดำ วัฒนธรรมหลายอย่างหาได้สูญสลายไปตามกระแสไม่ แต่ยังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างน่าประทับใจ เช่น ภาษา การแต่งกาย งานประเพณีและการดำรงชีวิตที่สมถะเรียบง่ายแบบดั้งเดิม ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ชาวไทยทรงดำพึงพอใจและดำรง รักษา ไว้อย่างภาคภูมิ

อ้างอิงมาจากhttp://www.thaisongdumphet.is.in.thเว๊ปไซด์ ไทยทรงดำ
ปล.พอดีผมมีเชื้อสายไทยทรงดำมาจากแม่ผมเลยอยากลงประวัติไทยทรงดำเผยแผ่เพื่อให้ทราบกันครับ :002:

165
วัดช้างล้อม
 
 ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองเกือบกึ่งกลางตัวเมืองศรีสัชนาลัย บริเวณที่ราบด้านเชิงเขาพนมเพลิงด้านทิศใต้ โบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ประธานทรงลังกาตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ ประตูด้านหน้าและประตูด้านหลังเป็นทางเข้าออก ส่วนประตูด้านข้างก่อเรียงอิฐศิลาแลงปิดไว้เป็นประตูตัน

 

          เจดีย์ประธานทรงลังกา ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีช้างปูนปั้นเต็มตัวประดับโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 9 เชือก (ยกเว้นด้านหนึ่งซึ่งเป็นบันไดทางขึ้นมีเพียง 8 เชือก) และที่มุมมีช้างขนาดใหญ่ประดับอีก 4 เชือก รวมเป็น 39 เชือก ช้างเชือกใหญ่ที่อยู่มุมเจดีย์เป็นช้างทรงเครื่องมีลวดลายปูนปั้นประดับที่คอ และข้อเท้าสวยงามกว่าช้างที่ฐานสี่เหลี่ยม ระหว่างช้างปูนปั้นที่ฐานนั้นจะมีเสาประทีปศิลาแลงสลับเป็นระยะ ด้านหน้าช้างแต่ละเชือกจะมีพุ่มดอกบัวตูมปูนปั้นวางตั้งอยู่  
 

  

          ช้างปูนปั้นที่วัดช้างล้อมเมืองศรีสัชนาลัยมีลักษณะเด่นกว่าช้างปูนปั้นที่วัดอื่นๆ คือ ยืนเต็มตัวแยกออกจากผนัง มีขนาดสูงใหญ่กว่าช้างจริง นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า วัดช้างล้อมนี้น่าจะเป็นวัดเดียวกันที่กล่าวในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า ในปี พ.ศ. 1892 พ่อขุนรามคำแหงมหาราชให้ขุดเอาพระธาตุขึ้นมาบูชาและเฉลิมฉลอง หลังจากนั้นจึงฝังลงกลางเมืองศรีสัชนาลัย และก่อพระเจดีย์ทับลงไป
 

          ด้านหน้าเจดีย์ประธานมีบันไดขึ้นสู่ลานประทักษิณ เหนือฐานประทักษิณมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 20 ซุ้ม แต่คงเหลือเพียงองค์เดียวด้านทิศเหนือ เหนือบริเวณองค์ระฆังขึ้นไปเป็นบัลลังก์ก้านฉัตรประดับด้วยพระรูปพระสาวกปางลีลาปูนปั้นแบบนูนต่ำจำนวน 17 องค์
 

          โบราณสถานภายในวัดที่ยังคงปรากฏอยู่ คือ วิหารที่อยู่ด้านหน้าเจดีย์ประธาน นอกนั้นเป็นวิหารขนาดเล็ก 2 หลัง และเจดีย์รายอีก 2 องค์
 
ที่มา.....จากเว๊ปจังหวัดสุโขทัย
 
http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/srinatcl.htm

166

เมืองศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
       ชื่อเมืองศรีเทพ ดูจะเป็นชื่อใหม่ของประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะมีการเอ่ยถึงไม่แพร่หลายนักเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ๆอย่างสุโขทัย ลพบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา และ นครศรีธรรมราช ในพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช มีบันทึกว่า ? ในปี พ.ศ. 2100 พระยาละแวก เจ้ากรุงกัมพูชา ยกทัพมาทางเมืองนครราชสีมา มาตีหัวเมืองชั้นใน ทางตะวันออก ขณะนั้นพระนเรศวรฯเสด็จลงมาเฝ้าสมเด็จพระปิตุราชอยู่ที่อยุธยา โปรดให้พระศรีถมอรัตน์ กับพระชัยบุรี คุมพลไปซุ่มในดงพญากลาง และพระนเรศวรเสด็จขึ้นไปยังเมืองชัยบาดาล ยกกองทัพตีเขมรแตกพ่าย ?

      ชื่อของ พระศรีถมอรัตน์ เป็นชื่อเดียวกับใน พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งรวบรวมเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเมืองเพชรบูรณ์ โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงชื่อเมืองศรีเทพ ว่ามีชื่อปรากฏในทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมืองต่างๆที่ทางราชการให้คนเชิญตราไปบอกข่าวสิ้นรัชกาลที่ 2 ยังเมือง สระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์ จึงเป็นการยืนยันว่าเมืองศรีเทพ เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำป่าสัก โดยในช่วงหนึ่งจะมีชาวบ้านเรียกชื่อเมืองนี้ว่า ? เมืองอภัยสาลี?? และตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดคือ พระศรีถมอรัตน์ เหมือนกับชื่อในสมัยพระนเรศวร และชื่อนี้ยังเป็นชื่อภูเขาเล็กๆลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณเมือง คือเขาถมอรัตน์ เช่นกัน






      เมืองศรีเทพ ที่ถูกซ่อนอยู่ในป่าทึบ เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีอาณาเขตมากกว่า 2 พันไร่ มีภูมิทำเลที่ตั้งที่ถูกเลือกอย่างชาญฉลาดจากผู้ปกครองเมืองในสมัยนั้น จะเห็นว่ารอบอาณาบริเวณที่ตั้งของเมืองซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของอำเภอศรีเทพ ในปัจจุบันเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำป่าสักผืนใหญ่ มีเพียงเขาเล็กๆเพียงไม่กี่ลูกเท่านั้นในบริเวณนั้น พื้นที่เช่นนี้เหมาะสำหรับการเพาะปลูกสำหรับชาวเมือง โดยอาศัยน้ำจากแม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเล็กๆที่เป็นสาขาของแม่น้ำป่าสักในการยังชีพและขนส่งสินค้าไปต่างเมือง

      จากแผนที่ยุทธศาสตร์ ครั้งรัชการของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จะเห็นว่า ที่ตั้งของเมืองศรีเทพ ( เขียนว่า ? สีเทพ?) ตั้งอยู่กึ่งกลางของประเทศในสมัยนั้น เมืองนี้จึงเป็นศูนย์กลางการเดินทาง จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก และจากทิศเหนือไปทิศใต้ เมืองนี้จึงน่าจะเป็นศูนย์กลางการเดินทางมาค้าขายของชนชาติต่างๆ ดังจะเห็นจากประติมากรรมศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งเขมร และ อินเดีย

      เมืองศรีเทพต่างจากเมืองอื่นในลุ่มแม่น้ำภาคกลางตรงที่ไม่ได้ตั้งอยู่ติดแม่น้ำ แต่อยู่ห่างจากแม่น้ำไปทางทิศตะวันออกพอประมาณ เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากผู้ตั้งเมืองรู้ถึงธรรมชาติของพื้นที่ดีว่า ในฤดูน้ำหลากทุกปี น้ำจะไหลบ่าลงมาจากทางเหนือและจะท่วมบ้านเมืองหากตั้งอยู่ติดแม่น้ำ จะเห็นว่าแม้ในปัจจุบัน ( ก่อนการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) แม่น้ำป่าสักก็ยังคงท่วมพื้นที่นี้ทุกปี แต่แม้จะท่วมหนักสักเพียงใด ก็มาไม่ถึงที่ตั้งของเมืองศรีเทพแห่งเก่านี้เลย






      ความที่อยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำ เมืองนี้จึงจำเป็นต้องขุดสระน้ำ เพื่อเก็บกักน้ำไว้ให้ชาวเมืองได้ใช้ นี่คือเหตุผลที่เราพบเห็นสระน้ำมากกว่า 70 แห่งในเมืองโบราณที่ถูกค้นพบ สระน้ำเหล่านี้จึงน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยเริ่มตั้งเมือง






      จากการสำรวจ พบว่าเมืองนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ มีคูน้ำรอบปราการเมือง 2 ชั้น ภายในเมืองนอกจากสระน้ำ ยังมีปรางค์ และ เทวสถาน ทั้งใน และรอบนอกเมือง เมื่อมีการเปรียบเทียบงานศิลปะที่พบ และพิสูจน์อายุของสิ่งก่อสร้างทางวิทยาศาสตร์ พบว่าอิฐ และไม้ที่คงอยู่มีอายุราว 800 ถึง 1000 ปี






      นับเป็นความโชคดีที่ เทวสถานส่วนใหญ่สร้างขึ้นด้วยหินและศิลาแลง แม้จะถูกทำลายด้วยกาลเวลา แต่ก็ยังคงหลงเหลือบางส่วนให้เราได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งปรากฏเมืองนี้อยู่ในประเทศไทย หากจะลองคิดเปรียบเทียบช่วงเวลากับอายุของเมืองนี้ จะเห็นว่า หากเมืองนี้มีอายุ 800 ปีขึ้นไป เมืองศรีเทพจะมีอายุมากกว่า กรุงศรีอยุธยา และสุโขทัย จึงน่าจะอยู่ในสมัยก่อนหรือเริ่มต้นประวัติศาสตร์ ซึ่งก็สัมพันธ์กับลักษณะของประติมากรรม ที่พบอันเป็นศิลปะในยุคของอารยะธรรมเขมร และบางส่วนเป็นศิลปกรรมของ อารยะธรรมทวาราวดี ที่พลัดกันเข้ามามีอิทธิพลเหนือเมืองนี้

      ดังนั้น เมื่อในพงศาวดารที่บันทึกในสมัยพระนเรศวร ที่กล่าวถึงพระศรีถมอรัตน์ กับพระชัยบุรี จึงน่าคิดได้ว่า พระศรีถมอรัตน์ ท่านนี้น่าจะเป็นเจ้าเมืองศรีเทพ ในยุคที่เมืองนี้ได้ตั้งมาแล้ว กว่า 400 ปี ( เพราะกรุงศรีอยุธยา มีอายุประมาณ 425ปี ) แต่อาจเป็นไปได้ว่า เมืองศรีเทพ ในยุคนั้นอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่ในสถานที่ที่พบนี้ แต่อาจจะเคลื่อนย้ายไปอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เพราะดูจากซากเทวสถานที่พบในเมืองโบราณ ล้วนเป็นศิลปะคนละยุคสมัยกับอยุธยา






      นับเป็นความโชคดีที่เมืองโบราณนี้ได้ถูกค้นพบ แม้จะมีการลักลอบขุดสมบัติ และของมีค่า อันจะเป็นหลักฐานในการค้นหาประวิติศาสตร์ไปขาย แต่ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่ใช้เป็นหลักในการค้นหาคือสิ่งก่อสร้าง ที่สร้างด้วยอิฐ หิน เหล็ก หรือแม้แต่เศษไม้เพียงไม่กี่ชิ้น ที่ยังคงสภาพ ให้เห็น

      สันนิฐานว่า เมืองศรีเทพที่ยิ่งใหญ่นี้ เดิมนับถือลัทธิศาสนาฮินดู ซึ่งมาจากทางอินเดีย โดยจะเห็นการสร้างสถูปและปรางค์ ด้วยหินในบริเวณที่เป็นใจกลางเมือง (คล้ายกับศิลปะของเขมรที่นครวัด) ซึ่งถือเป็นเขตสำคัญทางศาสนา ( คล้ายส่วนที่เป็นที่ตั้งของ พระบรมหาราชวัง และวัดพระแก้ว ในปัจจุบัน) ส่วนรอบๆเมืองซึ่งเป็นทั้งตั้งของบ้านเรือนของประชาชน ที่อาศัยส่วนใหญ่ถูกสร้างด้วยไม้ ซึ่งถูกกักร่อนทำลายให้ผุพังไปตามกาลเวลาจนหมด เหลือให้เห็นเป็นเพียงที่ราบรอบเทวสถาน และสระน้ำ ของชุมชนเท่านั้น

      ความที่เมืองศรีเทพมีอายุยาวนาน ( ศรีเทพ 800 ปี กรุงศรีอยุธยา 420 ปี กรุงเทพฯ 250 ปี ) จึงมีการเปลี่ยนแปลงด้านการปกครอง ศาสนา และวัฒนธรรมขึ้นหลายครั้ง ดังจะเห็นว่า นอกจากเทวรูปในศาสนาฮินดูแล้ว ยังมีการพบหลักฐานทางพุทศาสนาลัทธิมหายานอีกด้วย ซึ่งคาดว่าคงเข้ามาในระยะหลังก่อนการล่มสลายของชุมชน






      จากการขุดค้นหลักฐาน พบว่าใต้สถูป และปรางค์ ที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานรูปเคารพทางศาสนา มีการฝังรูปสลักหินซึ่งเป็นรูปของพระศิวะ พระอาทิตย์ และรูปเคารพอื่นๆในศาสนาฮินดูไว้ โดยครั้งหนึ่งรูปเคารพเหล่านี้ได้ถูกประดิษฐานไว้ในพระปรางค์ และศาสนสถานเหล่านั้น แต่ภายหลังเมื่อพุทธศาสนาได้เข้าในในชุมชน จึงมีการนำพระพุทธรูปเข้ามาไว้แทนที่รูปเคารพเหล่านั้น หลักฐานที่มีค่าที่ค้นพบคือพระพุทธรูปที่ทำจากสัมฤทธิ์ที่มีรูปลักษณ์ต่างจากพระพุทธรูปในยุคอยุธยา และโบราณวัตถุที่ทุกคนจะต้องถ่ายรูปเมื่อมาเที่ยวชมคือ ? ธรรมจักร? ที่สลักด้วยหิน ที่มีลวดลายโบราณงดงามมาก






      จากสิ่งก่อสร้าง และอาณาเขตที่ยิ่งใหญ่ของเมืองศรีเทพ ทำให้สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณกำลังคน และกำลังศรัทธาที่ใช้ในการก่อสร้าง อาคารและศาสนสถานเหล่านี้มั่นคงยากแก่การล่มสลาย ทำให้ไม่สามารถบอกได้เลยว่า เมืองนี้เสื่อมสลายไปด้วยเหตุใด






      จากการสำรวจไม่พบการถูกทำลายโดยสงคราม และเมื่อเปรียบเทียบการเสื่อมสลายของเมืองนี้ คล้ายกับเมืองขนาดใหญ่ของเขมรคือนครวัด นครธม ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าได้รับความกระทบกระเทือนจากการเสื่อมสลายของอาณาจักรเขมร ที่ทำให้เส้นทางค้าขายกับเขมรที่เคยรุ่งเรือง เนื่องจากเป็นเมืองศูนย์กลางการเดินทางค้าขาย กลับซบเซาลง แต่ก็เป็นเหตุผลที่ไม่น่าทำให้เมืองนี้ต้องเสื่อมสลายไป เพราะแม้การค้าขายจะซบเซา แต่เมืองก็น่ายังสามารถอยู่ต่อไป และควรมีการพัฒนาต่อเนื่องไปในยุคหลัง จะไม่หยุดลงที่ยุคเดิมเหมือนเมืองถูกทิ้งร้างไปโดยฉับพลัน

      เหตุผลใหญ่ที่มีการคาดเดา จากสภาพสิ่งแวดล้อม ที่ไปสอดคล้องกับนิทานพื้นบ้านที่กล่าวถึงคือ โรคระบาดของชุมชน ซึ่งก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะเป็นไปได้สูง ว่าจะเกิดโรคระบาดร้ายแรงในเมืองนี้ เนื่องจากเมืองศรีเทพ เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ที่มีผู้เดินทางมาจากต่างแดน หรือต่างประเทศอยู่เสมอ จึงเป็นเหตุให้มีการแพร่ขยายของโรคภัยที่มากับคนต่างถิ่นได้อย่างง่ายดาย อีกทั้ง แม้เมืองศรีเทพจะอยู่ใกล้แม่น้ำป่าสัก แต่ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่มีน้ำไหลผ่านโดยตรง การใช้น้ำในการบริโภคของชาวเมือง อาศัยน้ำจากคูและสระหรือบ่อน้ำภายในเมือง ซึ่งกลายเป็นแหล่งระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ อันเป็นเหตุแห่งการล้มตาย และเคลื่อนย้ายของผู้คนไปยังที่อื่นอย่างกะทันหัน เมืองศรีเทพจึงถูกทิ้งร้างให้หยุดประวัติศาสตร์ของตัวเองไว้ในป่ารกนับร้อยปี

      เมืองโบราณชื่อศรีเทพ ที่เรามาพบในวันนี้ น่าจะเป็นเมืองศรีเทพในยุคแรกก่อนประวัติศาสตร์ แต่เมืองศรีเทพที่เราเห็นชื่อในพงศาวดารประวัติศาสตร์ กรุงศรีอยุธยา น่าจะเป็นบริเวณเมืองศรีเทพที่ตั้งขึ้นใหม่ในบริเวณใกล้เคียงที่เก่า ซึ่งเกิดขึ้นหลังการอพยพออกมาตั้งเมืองเล็กเมืองน้อยหลายแห่งในบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก ในยุคสุโขทัยและอยุธยา

      เท่าที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่องที่เล่าแบบย่อจากความเข้าใจของตัวเอง ด้วยภาษาที่ง่ายเพื่อให้คนยุคเดียวกันได้เข้าใจความเป็นมา โดยอาศัยความรู้จากหนังสือหลายเล่ม คิดว่าหากท่านที่อยากไปชม ? เมืองศรีเทพ? จะได้อ่านไว้บ้างก่อนไปสถานที่จริงก็จะได้ประโยชน์บ้าง สำหรับโบราณสถานภายในเมืองศรีเทพ ที่จะได้พบมีมากมาย ซึ่งขอสรุปให้ทราบย่อๆ ก่อนไปฟังจากวิทยากรผู้ดูแลดังนี้


โบราณสถานและสถานที่สำคัญในอุทยานฯ


       ศูนย์บริการข้อมูล เป็นอาคารจัดแสดงโบราณสถาน และนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเมืองโบราณศรีเทพ ภายในประกอบด้วยห้องประชุม หรือบรรยายสรุปก่อนการเข้าชมนิทรรศการ
       ปรางค์สองพี่น้อง ลักษณะเป็นปรางค์ 2 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีประตูทางเข้าทางเดียว จากการขุดแต่งทางโบราณคดี พบทับหลังที่มีจำหลักเป็นรูปพระอิศวรอุ้มนางปารพตีประทับนั่งอยู่เหนือโคอศุภราช ลักษณะของทับหลังและเสาประดับกรอบประตูเป็นสิ่งกำหนดอายุของปรางค์ โดยอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เป็นศิลปะขอมแบบบาปวนต่อนครวัด และมีการสร้างปรางค์องค์เล็กเพิ่ม โดยพบร่องรอยการสร้างทับบนกำแพงแก้วที่ล้อมรอบปรางค์องค์ใหญ่ และยังมีการก่อปิดทางขึ้นโดยเสริมทางด้านหน้าให้ยื่นออกมา และก่อสร้างอาคารขนาดเล็กทางทิศเหนือเพิ่มขึ้น
       ปรางค์ศรีเทพ เป็นสถาปัตยกรรมแบบศิลปะเขมรหันหน้าไปทางทิศตะวันตก สร้างด้วยอิฐและศิลาแลง ฐานล่างก่อด้วยศิลาแลงเป็นฐานบัวลูกฟักแบบเดียวกับสถาปัตยกรรมเขมรทั่วไป เรือนธาตุก่อด้วยอิฐ ในการขุดค้นบริเวณนี้ พบชิ้นส่วนทับหลังรูปลายสลักอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างเพิ่มหลังจากโบราณสถานเขาคลังใน ต่อมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 มีการพยายามจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่แต่ไม่สำเร็จ โดยสันนิษฐานจากการค้นพบชิ้นส่วนทิ้งกระจัดกระจาย ระหว่างปรางค์สองพี่น้องและปรางค์ศรีเทพมีกำแพงล้อมรอบและมีอาคารปะรำพิธีขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แสดงให้เห็นถึงลักษณะการวางผังในรูปของศาสนสถานศิลปะเขมรแบบเดียวกับที่พบในภาคอีสานของประเทศไทย
       โบราณสถานเขาคลังใน ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมือง สร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 11-12 ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ผังเมืองและศิลปะการก่อสร้างมีลักษณะคล้ายเมืองทวารวดีอื่น ๆ ได้แก่ นครปฐม และเมืองโบราณคูบัว มีการใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง ที่ฐานมีรูปปูนปั้นบุคคลและสัตว์ประดับเป็นศิลปะแบบทวารวดี เชื่อกันว่าเป็นที่เก็บอาวุธและทรัพย์สมบัติจึงเรียกว่า "เขาคลัง"
       ศาลเจ้าพ่อศรีเทพ อยู่บริเวณด้านในประตูแสนงอน (ประตูด้านทิศตะวันตก) ศาลเจ้าพ่อศรีเทพเป็นศาลที่เคารพสักการะของชาวบ้านทั่วไป โดยทุกปีจะมีงานบวงสรวง ในราวเดือนกุมภาพันธ์ วันขึ้น 2-3 ค่ำ เดือน 3
นอกจากโบราณสถานดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีโบราณสถานย่อย ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทิศใต้ของเขาคลังในพบโบสถ์ก่อด้วยศิลาแลง มีการพบใบเสมาหินบริเวณใกล้หลุมขุดค้น และพบโบราณสถานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสมัยทวารวดี ซึ่งได้มีการก่อสร้างทับในระยะที่รับเอาศาสนาพราหมณ์เข้ามา แสดงให้เห็นว่าบริเวณเมืองชั้นในเดิมน่าจะเป็นเมืองแบบทวารวดี และมีการสร้างสถาปัตยกรรมเขมรในระยะหลังเพิ่มขึ้น
      นอกจากนี้ทางทิศใต้ยังพบอาคารมณฑปแบบทวารวดีขนาดใหญ่ และมีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเทวาลัยประมาณต้นศตวรรษที่ 18 แต่ยังไม่สำเร็จ เช่นเดียวกับปรางค์ศรีเทพ นอกจากนี้ยังพบสระน้ำโบราณ เรียกว่า สระแก้ว อยู่นอกเมืองไปทางทิศเหนือ และยังมี สระขวัญ อยู่ในบริเวณเมืองส่วนนอก ทั้งสองสระนี้มีน้ำขังตลอดปี เชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ และมีการนำไปประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน

      หากต้องการเดินทางไปเที่ยว เมืองศรีเทพอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ 130 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 21 เส้นสระบุรี-หล่มสัก ถึงหลักกิโลเมตรที่ 102 แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2211 ไปอีกประมาณ 9 กิโลเมตรจะเห็นป้ายบอกทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพอยู่ด้านขวามือ รถโดยสารประจำทาง มีทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศออกจากสถานีขนส่งหมอชิต กรุงเทพฯ มาลงที่ตลาดอำเภอศรีเทพ (บ้านกลาง) แล้วต่อรถรับจ้างเข้าสู่อุทยานฯ

      อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00?16.30 น. อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 30 บาท รถยนต์นำเข้าอุทยาน คันละ 50 บาท สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมเป็นหมู่คณะและต้องการติดต่อวิทยากรบรรยาย ติดต่อโดยตรงได้ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ 67170 โทร. 0 5682 0122, 0 5682 0123

      หลังจากเขียนบทความนี้จบ ป้าก็บังเอิญลงมายืนอยู่ที่หน้าตึกที่ทำงาน มองขึ้นไปบนยอดตึก คิดถึงเวลาในอีก1 พันปีในอนาคต??? หากยังมีโลกนี้อยู่ คนในยุคนั้นอาจขุดพบตึกนี้ และอาจพบโบราณวัตถุที่สร้างด้วยไฟเบอร์ หรือพาสติก ที่เมื่อเปิดดูจะพบว่ามีหน้าจอสี่เหลี่ยมสีดำ มีอักษรภาษาไทยดึกดำบรรพ์เขียนไว้ที่ขอบจอ แสดงชื่อเจ้าของวัตถุนี้ และหากสามารถอ่านได้ ก็จะพบว่าชื่อที่เขียนไว้ เป็นชื่อของป้าLily นั่นเอง


       ข้อมูลอ้างอิงจาก
       หนังสือ ? เมืองศรีเทพ? ของกรมศิลปากร
       www.tat.or.th
ที่มาwww.suanlukchan.com

167
พี่น้องชาวบางพระมีวิธีดูแลตนเองยังงัยบ้างเวลาไปเล่นน้ำสงกรานต์เพื่อให้ปลอดภัยแก่ตนเองและทรัพย์สิน :069: :059:


168


ประเพณีสงกรานต์
ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงาม ฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนคำว่า ?สงกรานต์? มาจากภาษาสันสฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนไทยมาช้านาน

การย้ายของพระอาทิตย์เข้าไปจักรราศีใดราศีหนึ่ง จะเป็นราศีใดก็ได้ แต่ความหมายที่คนไทยทั่วไปใช้ หมายเฉพาะวันและเวลา ที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายนเท่านั้น

 ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์
กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐี สบประมาทในความมีทรัพย์มาก
แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไร จึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรม ท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจน แต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ

นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนา จนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ ?ธรรมบาล? ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร
เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ


?ท้าวกบิลพรหม? ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ปัญหานั้นมีว่า

1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด
2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด
3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด

 

เ มื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัด วันตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า ?พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน? นกสามีก็ตอบว่า ?พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้? นางนกถามว่า ?ปัญหานั้นว่าอย่างไร? นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง

ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน

 
ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง 7

ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรร
มบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบ 365 วัน โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วจึงกลับไปเทวโลก

 

169
นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ

The 7 Habits of Highly Effective People

ประพันธ์โดย Steven Covey เป็นหนังสือที่

              ได้รับความนิยมอย่างมากต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 15 ปี และถูกจ าหน่ายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่มผู้แต่งได้กล่าวถึงนิสัย 7 ประการของผู้ที่ประสบความส าเร็จ แผนที่ในการด าเนินชีวิตเพื่อไปสู่

ความส าเร็จ และวิธีการยกระดับคุณภาพจิตใจ เป็นต้น มีใจความส าคัญ ดังต่อไปนี้ก่อนที่จะกล่าวถึงนิสัยทั้ง 7 ประการ ผู้แต่งได้ให้แง่คิดว่ามนุษย์มีสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอยู่ 3 อย่างคือ มีสามัญส านึกรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีพลังจิตดังนั้น การเอาใจใส่และหมั่นฝึกฝนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้จนกลายเป็นนิสัย จะทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ผู้แต่งได้กล่าวว่า กรอบในการมองโลก(Paradigm) หรือนิสัยของคนเรานั้นส่วนใหญ่จะถูกปลูกฝังมาจากการสั่งสอนของคนรอบข้าง การใช้ชีวิตในสังคม และจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และด้วยความเคยชินท าให้คนเรานั้นไม่เคยฉุกคิดว่ามุมมองที่มีอยู่นั้นถูกต้องหรือเหมาะสมหรือไม่ จึงก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและไม่เข้าใจผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาเพราะเอาความคิดของตนเองเป็นตัวตัดสิน ดังนั้น ผู้แต่งจึงแนะน าให้หยุดทบทวนแนวความคิดมุมมองและคติธรรมในใจที่เคยยึดถือตลอดมาว่า สิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้วจริงหรือ ให้พิจารณาตามความเป็นจริงสิ่งไหนคิดผิดให้คิดใหม่แก้ไขที่ต้นเหตุ เมื่อเข้าใจตนเองจึงจะเข้าใจผู้อื่นได้ นอกจากนั้นผู้แต่งยังเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความส าเร็จได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการมีสมองข้างขวาที่ทรงประสิทธิภาพสามารถควบคุมการท างานของสมองด้านซ้ายได้ สมองข้างขวามีหน้าที่เตือนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี การมีจินตนาการ และการมีอารมณ์และความรู้สึก ดังนั้น การฝึกใช้จินตนาการและมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นการพัฒนาการท างานของสมองด้านขวาได้เป็นอย่างดี

กฎข้อที่ 1. นิสัยรู้และเลือก (Be Proactive)

           การรู้และเลือกคือการมีสติตามตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองก าลังท าอะไรอยู่ และผลที่เกิดจากการกระท านี้คืออะไร รู้ว่าขณะนี้ตัวเราก าลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด สถานการณ์ปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้น มีผลอะไรต่อตัวเราบ้าง และเรามีการตอบสนองต่อสิ่งที่ก าลังเผชิญอย่างไร ตอบสนองด้วยกิริยาใดด้วยอารมณ์แบบไหน ปกติแล้วมนุษย์มีอารมณ์หลักอยู่สามอารมณ์คือ สุข ทุกข์ และเฉย ๆ หากเรารู้เท่าทันอารมณ์เราจึงจะรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ เมื่อรู้แล้วเมื่อเห็นแล้วจึงจะเลือกท าในสิ่งที่ถูกต้องได้ คนเรามีสิทธิ์ที่จะก าหนดชีวิตของตนเองแต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักปล่อยให้ชีวิตด าเนินไปตามกระแสสังคม ถูกฉุดกระชากไปตามอารมณ์และการกระท าของผู้อื่นเช่นเมื่อได้รับค าชมก็ดีใจ ได้รับค าต าหนิก็เสียใจ หรือคนพูดไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ เป็นต้น เราเอาพฤติกรรมของเราไปขึ้นกับการกระท าและความคิดของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา สรุปแล้วชีวิตนี้เป็นของใครกันแน่ ดังนั้นหากเรารู้จักเลือก รู้จักหยุดคิดก่อนที่จะตอบสนอง เราจึงจะมีชีวิตที่เป็นของเราจริง ๆ และจะเลิกโทษผู้อื่น เลิกโทษโชคชะตาเทวดาฟ้าดิน และจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง เมื่อนั้นจิตจึงจะนิ่งสงบไม่กระเพื่อมไปกับสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบ จิตจึงมีพลังสามารถท าการใหญ่ได้ การจะมีสติตามทันอารมณ์ได้นั้นจิตต้องมีความสงบหรือมีสมาธิในระดับหนึ่ง ซึ่งท าได้โดยการ การสวดมนต์ หรือทำสมาธิ เป็นต้น

กฎข้อที่ 2. สร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ (Begin with the End in Mind)

                 การมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตอนนี้ อีก 5 ปี 10 ปี หรือในบั้นปลายชีวิตเราอยากจะมีชีวิตแบบใด เมื่อมีเป้าหมายเราจะรู้ว่าตอนนี้ควรท าสิ่งใด ตอนนี้ก าลังยืนอยู่ตรงจุดไหน จะต้องไปอีกไกลเท่าไร และไปด้วยวิธีใดบ้างจึงจะบรรลุเป้าหมาย จะท าให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันมีคุณค่าและไม่น่าเบื่อเป้าหมายจะเป็นตัวก าหนดพฤติกรรมต่างๆ ของเรา เป้าหมายที่ดีจะต้องชัดและต้องสร้างเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจตลอดเวลาและการสร้างเป้าหมายต้องมาจากสิ่งที่เราชอบจริง ๆ ไม่ใช่ท าตามกระแสสังคมและที่ส าคัญเป้าหมายนั้นต้องพอที่จะเป็นไปได้ นอกจากนั้นเป้าหมายในที่นี้ผู้แต่งยังหมายถึงภาพพจน์ที่เราต้องการให้คนอื่นจดจ าเราได้นั้นเป็นแบบใด เช่นหากเราตายไปตอนนี้เราอยากให้ทุกคนจดจ าเราได้ในแบบใด เป็นต้น

กฎข้อที่ 3. ท าสิ่งที่ต้องท าก่อน (Put First Things First)

           การทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจ าวัน จะต้องเลือกท าในสิ่งที่น าพาเราไปสู่เป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก และทำอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ตรงจุดไหนอีกไกลเท่าไร และเรามาถูกทางหรือไม่ มีเส้นทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นหรือเปล่า หรือเราก าลังเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้สาระ เป็นต้น ในการประเมินแต่ละครั้งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จะต้องซื่อสัตย์ ใช้สติ และไม่เข้าข้างตัวเอง นอกจากนั้นควรเลือกท าสิ่งที่ไม่เร่งด่วนแต่สำคัญในชีวิตก่อน คนส่วนใหญ่มักเลือกท าในสิ่งที่เร่งด่วนก่อนเสมอ โดยลืมนึกไปว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตหรือไม่ จงอย่าท าตามสิ่งที่สังคมก าหนด แต่ให้เลือกท าในสิ่งที่เรากำหนดเอง และผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่า การวางแผนท าสิ่งใดต้องวางแผนในระยะยาวอย่าวางแบบวันต่อวัน เพื่อจะได้งานเป็นกรอบเป็นก า และต้องหัดมอบหมายงานให้กับคนที่ไว้ใจได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญและตรงตามเป้าหมายในชีวิตได้มากขึ้น

กฎข้อที่ 4. การรู้จักแบ่งผลปันประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย (Think Win/Win)

               ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น คนในครอบครัว เจ้านายลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า เป็นต้นทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน การไม่คิดถึงตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง นั่นคือการรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และควรหลีกเลี่ยงการกระท าที่ท าให้ผู้อื่นเดือดร้อนสิ่งเหล่านี้รู้ได้โดยการมองย้อนเข้าหาตัวเองว่าหากเป็นเราเจอแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร และนอกจากการเข้าใจผู้อื่นแล้วผู้แต่งได้กล่าวถึงบุคลิกลักษณะที่น่าคบหาสมาคมและน่าเชื่อถือคือต้องปากกับใจตรงกัน รู้จักรักษาคำพูด มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคง สงบนิ่ง ใจกว้าง และมองโลกในแง่ดี และที่ส าคัญในฐานะผู้บริหารหากต้องการให้คนในองค์กรได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ควรจะจัดระบบขึ้นมารองรับเช่นคนที่ตั้งใจท างานก็ควรจะมีรางวัลหรือโบนัส เป็นต้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและทุกฝ่ายในองค์กรได้รับประโยชน์เท่ากันอย่างแท้จริง

กฎข้อที่ 5. การพยายามเข้าใจผู้อื่นมากกว่าให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา ( Seek First to Understand,Then to Be Understood)

                ส่วนใหญ่แล้วมนุษย์มักชอบพูดให้ผู้อื่นฟังมากกว่าฟังที่คนอื่นพูด ดังนั้น เมื่อไม่มีใครยอมฟังใครปัญหาจึงเกิดขึ้น การฟังอย่างตั้งใจและพยายามที่จะเข้าใจผู้อื่นแทนที่จะให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา อีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจากเรา และเกิดความผ่อนคลายลงในระดับหนึ่งและจะยอมรับฟังความคิดเห็นจากเราด้วยในที่สุด การเป็นผู้ฟังที่ดีและพยายามที่จะเข้าใจอีกฝ่าย เช่น ขณะนั้นเขารู้สึกอย่างไร และเขาพูดไปเพื่ออะไร เป็นต้น จะท าให้มองเห็นประเด็นของปัญหาได้อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด แต่ผู้แต่งได้ให้ข้อคิดไว้ว่า การฟังนั้นต้องฟังอย่างมีสติ อย่าฟังจนเคลิ้มและต้องมีจุดยืนในตัวเองด้วยผู้แต่งได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจจะช่วยลดอคติที่มีต่ออีกฝ่ายได้และจะไม่เกิดการตัดสินคนจากคำพูดเพราะขณะนั้นจิตใจจะมีความเมตตาไม่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ นอกจากนั้นหากต้องการพูดแสดงความเห็นอกเห็นใจ ก่อนพูดควรถามความรู้สึกของตนเองก่อนว่าในเวลานี้ควรพูดหรือไม่ ควรพูดแค่ไหน และควรพูดอย่างไรจึงจะเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

กฎข้อที่ 6. การสร้างทีมเวิร์ค (Synergize)

            การสร้างทีมเวิร์คให้เกิดขึ้นภายในองค์กรเป็นหน้าที่ของผู้บริหารคือการดึงเอาศักยภาพของลูกน้องแต่ละคนมาผสมผสานกันอย่างลงตัว และสามารถเปลี่ยนความขัดแย้งให้กลายเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ในฐานะผู้บริหารต้องมองปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งให้เป็นเรื่องปกติ แต่ให้คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นผลงานได้ นอกจากนั้น การบริหารลูกน้องจ านวนมาก ๆ จะใช้วิธีเดียวกันหมดไม่ได้เพราะแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ในฐานะเจ้านายจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะรู้ได้ว่าคนไหนต้องใช้วิธีใดก็ต้องเริ่มจากการรู้จักตนเองก่อนเมื่อรู้จักตนเองจึงจะรู้จักผู้อื่นและต้องพยายามเข้าใจว่าอีกฝ่ายก าลังรู้สึกอย่างไรด้วย จึงจะสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้อย่างทันท่วงทีผู้แต่งได้ให้ข้อคิดในการท างานเป็นทีมคือ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความถ่อมตน จงคิดว่าทุกคนย่อมมีข้อดีในแต่ละด้าน ไม่มีใครดีกว่าใคร หากคิดเช่นนี้อัตตาตัวตนก็ไม่เกิด การท างานเป็นทีมจึงจะสมบูรณ์

กฎข้อที่ 7. การเพิ่มพลังชีวิต (Sharpen the Saw)

             ว่าด้วยวิธีการพักจิต และเพิ่มพลังเพื่อพร้อมที่จะต่อสู้กับชีวิตต่อไป มีวิธีการ ดังนี้

1. ออกก าลังกายอย่างสม่ าเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์

2. หัดสร้างมโนภาพอยู่ตลอดเวลา ต้องอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้

3. มีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

4. เข้าใจและรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ และสร้างความสงบภายใน

จากนิสัยแห่งความส าเร็จทั้ง 7 ประการ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถสรุปเป็นใจความสั้น ๆ

ได้ว่า Steven Covey ให้ความส าคัญในเรื่องการใช้สมองข้างขวา การใช้จินตนาการ การมีความคิด

ริเริ่มสร้างสรรค์ การมีหลักคุณธรรมในการด ารงชีวิต และการสร้างแผนที่ชีวิต

170
1เมษายน..วันเกิดคุนkaitip

ขอให้หยกมีความสุขมากๆๆๆนะ รวยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :008: :009:

171
ธรรมะ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
                                                                    ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

พระเถระฝ่ายกัมมัฎฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙

หลังฟังโอวาทและข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่นๆ แล้วหลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า....

                                                    "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
                                                 ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
                                                             จิตเห็นจิต เป็นมรรค
                                                   ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ."

คัดลอกมาจาก..webธรรมะในหัวใจ

172
ก่อนอื่นนั้น
1. เราจะต้องคิดก่อนว่าเราจะเลี้ยงเค้าเพื่ออะไร ถ้าคุณตอบว่าอยากเห็นเค้ามากระโดดโลดเต้นเหมือนในละครก็ อย่าเลี้ยงเลยครับ
2. คุณพร้อมที่จะดูแลและเลี้ยงเค้ามั้ย ถ้าไม่พร้อมก็ อย่าเลี้ยงครับ
3. การเลี้ยงกุมารนั้นเรื่องสัจจะเป็นสำคัญนะ บอกว่าให้ตอนไหนก็ต้องให้ตอนนั้น
4. ถ้าทำตามทุกๆข้อที่ผมกล่าวมาได้นั้น เริ่มเลี้ยงได้เลย  เมื่อคุณสมบัติผ่านแล้วต่อไปคือ
1. คิดดูว่าจะเลี้ยงกุมารเทพ หรือพราย
2. เมื่อคิดออกแล้วให้คุณศึกษาหาวัดหรือสำนักที่มีการสร้างเสกกุมารทองขึ้นมา และที่สำคัญเราต้องศรัทธาในอาจารย์ผู้สร้างและองค์กุมารทองที่บูชานั้นด้วย เพราะศรัทธาเป็นแรงที่ทำให้เกิดปาฏิหารย์ 3. ศึกษาวิธีการบูชาของแต่ละสำนักที่เราจะไปนำกุมารทองมา
ปล. บางท่านอาจจะใช้วิธีซื้อหุ่นกุมารทองมาแล้วนำไปให้สำนัก หรือวัดท่านผูกกุมารทองให้ อันนั้นก็แล้วแต่ความชอบครับ
 
กุมารเทพ
ข้อดี
1. เราไม่ต้องเซ่นเลี้ยงด้วยอาหารหยาบ
2. ไม่ให้โทษแก่ผู้เลี้ยงเมื่อเราไม่ได้เซ่นดูแล
3. หน้าตาจิ้มลิ้ม (อันนี้ไม่เกี่ยว แต่ลูกของผมบอกมา)
ข้อเสีย
1. เมื่อบนบาลอะไรแล้วได้ผลช้าหน่อย
2. ไม่ค่อยแสดงฤทธิ์เดชให้เห็น



กุมารพราย
ข้อดี
1. แสดงฤทธิ์บ่อยๆ
2. ได้ผลเร็วเมื่อบนบาลแล้ว
ข้อเสีย
1. ต้องเซ่นเลี้ยงด้วยอาหารหยาบอย่างขาดมิได้ (ยกเว้นบางตำหรับ)
2. หากขาดการเซ่นเลี้ยงแล้วอาจให้โทษแก่ผู้เลี้ยงได้(ยกเว้นแต่อาจารย์ผู้สร้างนั้นกำกับมาดี)

ขั้นตอนเมื่อเราได้กุมารมาแล้ว
1. เมื่อเราได้กุมารมาแล้วให้เราจัดการตั้งชื่อให้กับเขา โดยแบ่งได้ดังนี้
1.1 ชื่อที่เน้นโชคลาภ เช่น ทองมา เรียกทรัพย์ พูลเงิน พูลทอง ทองไหลมา เป็นต้น
1.2 ชื่อที่เน้นทางดุดัน เฝ้าบ้าน แคล้วคลาด เช่น ชัย เพชรมั่น คง กล้า แกร่ง เป็นต้น
2. ก่อนนำเข้าบ้านให้ทำตามนี้
2.1 หาที่ตั้งให้เหมาะสมโดย ไม่อยู่สูงกว่าพระ หรือ ต่ำติดพื้น และไม่ควรหันหน้าไปทาง ทิศตะวันตก
2.2 จุดธูปกลางแจ้ง 12 ดอก บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางดังนี้
ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวแด่ พระภูมิ เจ้าที่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย ผีเหย้า ผีเรือน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่
อยู่ภายในสถานที่ แห่งนี้ วันนี้ข้าพเจ้าได้นำ เจ้า...... เข้ามาเลี้ยงภายในบ้าน เพื่อให้เจ้า..... เฝ้าทรัพย์สิน ให้โชคให้ลาภ
ขอให้ พระภูมิเจ้าที่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเปิดทางให้เจ้า.... เข้ามาอยู่อาศัยในบ้านได้สะดวกด้วยถิด
2.3 เมื่อทำการเปิดทางให้กับเจ้ากุมารลูกของคุณแล้ว ให้นำกุมารมาตั้ง ณ ที่ที่เตรียมไว้แล้วจุดธูปบอกกุมาร โดย พราย 1 ดอก เทพ 5 ดอก ว่า
เจ้ากุมารทองของพ่อเอ๋ย ต่อไปนี้เจ้าชื่อ ..... และต่อไปนี้คนนี้คือพ่อของเจ้า พ่อจะเรียกเจ้าว่า ..... มาอยู่ที่บ้าน
ให้ช่วยกันดูแลบ้านเฝ้าบ้านให้ดี ช่วยกันทำมาหากินนะ แล้วพ่อจะซื้อของเล่นให้ เวลาพ่อไปไหนก็ไปกัน เวลาพ่อกินอะไรก็กินกันนะ ไม่ต้องรอให้พ่ออนุญาติ อยากได้อะไรอยากกินอะไรมาบอกพ่อนะ(หากมีกุมารอยู่แล้วให้กล่าวเพิ่มว่า เจ้า...(ชื่อกุมารองค์เดิม).... วันนี้พ่อนำ น้องเค้ามาอยู่ด้วยนะ อยู่ด้วยกันก็รักกันนะช่วยกันดูแลบ้าน หาเงินหาทองอย่าทะเลาะกันนะ)

ทุกๆวันพระให้เรานำข้าวปลาอาหาร หรือขนม หรือผล ไม้ ดอกไม้ มาบูชา เค้าแล้วบอกกล่าวเค้าว่าให้ช่วยกันหาเงินหาทอง เฝ้าบ้านดูแลคนในบ้าน ขาดเหลืออะไรบอกพ่อนะ


สำนึกของผู้ที่เลี้ยงกุมารทอง
1. คุณต้องระลึกไว้เสมอว่ากุมารนั้นคือลูกของคุณ เสมือนคนจริงๆ
2. หมั่นหาของเล่นขนมมาให้เค้า
3. หมั่นคุยกับเค้า
4. หากเบื่อแล้วคิดจะเลิกเลี้ยง นั้นควรนำเค้าไปปล่อยโดยให้ผู้ที่มีพลังจิต หรือพระปลดปล่อยเค้าไป
หมายเหตุ คุณลองคิดว่าคุณเบื่อลูกคุณแล้วคุณขายลูกคุณสิ มันคืออะไร
สุดท้ายนี้ขอให้คนที่รักกุมารทองทุกๆคนนั้น มีกุมารทองน่ารักๆ เก่งๆกันทุกคนเน้อ

173
ประวัติพี่จุกกุมารเทพ(แบบย่อๆครับ)
วัดสวนหลวง จ.สมุทรสงคราม คนเฒ่าคนแก่เล่ากันมาจากรุ่นทวด รุ่นปู่ รุ่นต่อรุ่นแล้วว่าวัดนี้มีอายุการสร้างมาประมาณ180-200ปี มีอดีตเจ้าอาวาสคือ ลพ.ปึก เกจิอาจารย์ผู้มีเมตตาและแก่กล้าวิชาอาคมแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง กาลเวลาผ่านพ้นไปหลายสิบปีจึงมีพระคุณเจ้ารูปหนึ่งได้รับการแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่ว่างลงเพื่อให้ถูกต้องตามประเพณีและดูแลปกครองพระลูกวัด

หลังจากท่านได้มาดำรงตำแหน่ง ท่านได้พิจารณาสิ่งก่อสร้างที่จำเป็นในการประกอบศาสนกิจของพระสงฆ์และชาวบ้านในบริเวณวัดได้มาประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา ท่านมองดูแล้วเห็นว่าสิ่งก่อสร้างต่างๆเช่นอุโบสถ,กำแพงแก้ว,เมรุเผาศพ,กุฏิพระ,ศาลาการเปรียญ ฯลฯ ที่มีอายุนับร้อยปีได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปมาก เห็นควรจะต้องมีการบูรณซ่อมแซมกันครั้งใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินหลายล้านบาท ท่านจึงได้อธิษฐานต่อหน้าพระประทานในอุโบสถเพื่อขอพรให้ท่านชี้ทางสว่างในการดำเนินการครั้งนี้ให้สำเร็จ

คืนหนึ่งก่อนจะจำวัดลพ.ท่านสวดมนต์ไหว้พระหน้าโต๊ะหมู่บูชาและนั่งสมาธิตามปกติ จนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนตอนนั้นจิตของท่านกำลังสงบนิ่ง พลันได้ยินเสียงเด็กมาเรียกท่านอยู่ไม่ไกล เสียงดังมาจากด้านโต๊ะหมู่บูชา ท่านจึงค่อยๆเพ่งมองผ่านแสงเทียน มองเห็นเด็กผมจุกผิวดำไม่สวมเสื้อ มีลูกประคำห้อยคอกำลังยืนมองท่านอยู่ เด็กคนนั้นพูดต่อไปอีกเป็นทำนองว่ามีของดีอยู่ในวัดนี้แล้วจะกลัวอะไร พร้อมกับรับปากว่าจะช่วยหาทุนในการก่อสร้างและบูรณและปฏิสังขรณ์วัดจนสำเร็จ

ท่านจึงถามออกไปว่า?หนูจุกเอ๋ย จะเสร็จไปได้อย่างไรกัน ต้องสร้างอีกหลายอย่างโดยเฉพาะอุโบสถเพียงอย่างเดียวต้องใช้เงินเป็นล้าน ไหนจะศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ หอระฆัง เมรุเผาศพและอีหลายอย่าง แล้วอาตมาจะไปหาปัจจัยที่ไหนมาสร้างวัดหล่ะหนูจุก?
เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น??

เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น??
เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น?? เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น??

เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น??

คาถาบูชาพี่จุกกุมาร
จุดธูป 9 ดอก ตังนะโม 3 จบ

กายะพุทโธ นามะพุทโธ สุญญะพุทโธ

นิมิตพุทโธ อะระหังพุทโธ ภะคะวาติ

(อธิษฐานตามแต่จะขอ) [/color]


ปล.

พี่จุกทุกองค์ชอบน้ำแดง ขนมหวานไทยๆเช่นทองหยิบ ทองหยอด ของเล่นจะถวายหรือไม่ถวายก็ได้ (พี่เขาบอกเขาโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ)


เอาภาพและประวัติมาจากชมรมคนรักกุมารทองครับ

174
บทความ บทกวี / ทุกข์ได้แต่อย่าท้อ
« เมื่อ: 27 มี.ค. 2552, 11:11:47 »
ปกติแล้วมนุษย์เราทุกคนมักจะคุ้นเคยกับคำว่า ?ทุกข์? ด้วยกันทั้งสิ้น จนดูเหมือนว่าความทุกข์นั้นจะกลายเป็น ? มิตรในเรือน  เพื่อนในใจ?   ของมนุษย์แต่ละคนด้วยซ้ำไป


                     นิยามของคำว่า ความทุกข์  ก็คือ  สิ่งที่ทนได้ยาก


       สิ่งที่กายสังขารทนได้ความเจากจนเกิดทุกข์ เช่น  ความเจ็บป่วย ความอดอยากยากจน ความหิวโหยความง่วงเหงาหาวนอน และความอ่อนแอไม่แข็งแรง เป็นต้น  ส่วนสิ่งที่จิตใจทนได้ยากจนเกิดทุกข์เช่น ความโกรธ ความโศกเศร้าเสียใจ ความผิดหวัง อาฆาต ความไม่เข้าใจ และความอิจฉาริษยา  ความทุกข์ทั้งหลายที่กล่าวนั้นมีโอกาสแห่งการเกิดสูงมากจนยากที่จะป้องกันหรือเ&shy;หลี่ยงหลบมันได้ง่ายๆ ที่สำคัญคือ แม้ทุกข์จะเริ่มที่กายแต่สุดท้ายใจก็มักจะพลอยทุกข์ไปตามกายด้วยเสมอ             


                    เมื่อรู้ว่าทุกข์ที่ตรงไหนเราก็ต้องแก้ไขที่ตรงนั้นโดยทำความเข้าใจ ?ความจริงที่แท้จริง?ว่าหากมีใครสักคนแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดๆที่ไม่ถูกต้องต่อ&shy;ตัวเราจนทำให้เกิดความทุกข์ที่ในใจและกระบวนการที่จะดับความทุกข์นั้นก็คือ


          1.คนที่เป็นผู้กระทำต่อเราเป็นเพียง ผู้สร้างเงื่อนไข ให้เราเท่านั้น เราต้องยอมรับให้ได้ว่าในสังคมมนุษย์อื่นๆล้วนเป็นผู้สร้างเงื่อนไขให้กับเราได&shy;้ทั้งสิ้น มีทั้งด้านบวกคือการคิดดี ทำดี พูดดีต่อเรา และด้านลบก็เป็นพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามอยู่ทุกเวลา   หากคนอื่นหยิบยื่นเงื่อนไขด้านบวกให้เราก็จะไม่มีปัญหาเพราะเราสุขใจใช่หรือไม่   แต่ถ้าใครสักคนหยิบยื่นเงื่อนไขด้านลบที่เราไม่ชอบใจมาให้ เราก็จะเกิดทุกข์ใจขึ้นมาทัน
                    2.เหตุแห่งทุกข์ในใจก็คือ  จิตของเราเอง  ไม่ใช่ใครอื่น  มนุษย์เราทุกคนเวลาเกิดทุกข์จากการกระทำของคนอื่นมักจะคิดเหมือนกันก็คือ   โทษคนอื่นว่าเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ของตนทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นการคิดเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง   แท้แล้วคนอื่นคือผู้สร้างเงื่อนไขแต่จิตใจเราต่างหากที่มันก่อร่างสร้างรูปของท&shy;ุกข์ขึ้นมาเอง   ถ้าใครทำไม่ดีต่อเรา หากจิตใจเรา  วางเฉย   ด้วยการ          รับรู้แต่ไม่รับเอา คือรับรู้ว่าเขาสร้างเงื่อนไขด้านลบที่เราไม่ชอบใจมาให้ โดยที่เราจะไม่สั่นไหวอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของจิตใจไปทางด้านลบตามเงื่อนไขที&shy;่เขาหยิบยื่นมาให้เสียอย่างความทุกข์ในใจมันก็จะไม่เกิดขึ้นมาดังที่กล่าวมนี้น&shy;่าจะเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่า ตัวการอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ใจหรือสุขใจไม่ใช่ใครอื่นหรอก  จิตใจเรานี่เอง?.ใช่หรือไม่


          3.ถ้าต้องการปลดเปลืองความทุกข์หรือดับทุกข์ จะต้องกระทำที่จิตใจตนเองเท่านั้นถ้าต้องการดับทุกข์ที่ในใจเราต้องใช้สติปัญญา&shy;เข้าถึงความจริงที่แท้ที่กล่าวมาทั้ง 3 ประการให้กระจ่างเสียก่อนสิ่งที่ว่ายากก็จะกลายเป็นง่ายไปในทันที


                  ความทุกข์ทั้งปวง  เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา


                   เพราะว่าเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือ เราจะต้องเข้าถึงการใช้สิ่งที่เรียกว่า สติปัญญา ของสมองของตนให้จงได้ เพื่อสร้างความแตกต่างจากสัตว์โลกทั้งหลายนั่นเอง  เราจึงถูกกำหนดให้เป็นผู้สร้างเงื่อนไขและผู้รับเงื่อนไขทั้งด้านลบและด้านบวกก&shy;ับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันชั่วชีวิตเพราะเงื่อนไขทั้งหลายคือ  บททดสอบทั้งสติปัญญาและจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์เงื่อนไขทั้งหลายชวนให้มนุษย์&shy;แต่ละคน ต้องขบคิดต้องพิจารณาเพื่อการตัดสินใจและแก้ไขกันในระหว่างวันซึ่งมีทั้งปมปัญห&shy;าตั้งแต่เล็กๆน้อยๆไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆจึงไม่มีมนุษย์คนไหนที่ตั้งแต่เกิดจนตายไ&shy;ม่เคยเผชิญกับปัญหาใดๆในชีวิต


                 ดังนั้นหากเรามีความรู้สึกว่า  ปัญหาที่เรียกว่า ความทุกข์   มันเข้ามาเยี่ยมเยียนชีวิตประจำวันของเราค่อนข้างมากให้คิดเสียว่าเรากำลังโชคด&shy;ีกว่าคนอื่นที่มีเงื่อนไขยากๆมากมายที่คุณจะได้ใช้มายกระดับสติปัญญา  เพื่อพัฒนาความฉลาดของเรา     และท้ายสุดนี้เมื่อใดที่เรากำลังเผชิญปัญหา  ก็จงอย่าทุกข์ใจ  ให้รีบใช้โอกาสนั้นค้นหาสติปัญญาให้พบจะดีกว่า


                  ?ความทุกข์ซึ่งเป็นแขกที่เรามิได้รับเชิญ แต่มันก็พร้อมที่จะเข้ามาเป็นแขกในชีวิตเราได้ทุกวันเวลาตลอดชั่วชีวิตนี้ โดยที่เราจะไม่สามารถปฏิเสธหรือหลบเลี่ยงมันได้เลย?


                    ?  ถ้าเราไม่ปฏิเสธความทุกข์  เราจะไม่ทุกข์  ถ้าเรายอมรับความจริงของความทุกข์นั้นได้ เราก็จะอยู่กับความทุกข์นั้นอย่างมีความสุข?


                   ?  บางครั้งเราก็รู้สึกโกธร  แต่ความโกธรของเราส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เจ็บที่ตัวแต่เจ็บที่กายแต่เป็นเพราะว่าเร&shy;าเจ็บที่หัวใจของเราต่างหาก?


                    ? คำว่า ? ยอม? คนที่ไม่รู้จักคำนี้มักจะเป็นทุกข์เสมอ ชีวิตในแต่ละวันที่ผันผ่านจึงหาความราบรื่น หรือราบเรียบกับคนอื่นไม่ได้?


                    ?  ถ้าเรามีสุขสุดๆแล้ว  เราต้องไม่หลงระเริง ถ้าเราสุขแล้ว เราต้องไม่ลืมตัว          เพราะว่าเดี๋ยวก็มีทุกข์ตามมา นี่เป็นเรื่องธรรมดา?


..................................................................


"การรู้ซึ้งคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ในวันนี้คือสิ่งที่สำคัญ ขอให้ความทุกข์ที่ผ่านมาแล้ว...เป็นบทเรียนอันมีค่าที่จะทำให้เราเติบโตอย่างคน&shy;ที่รู้เท่าทันความทุกข์" [/size
]

จาก เว๊ปธรรมะสวัสดี..........

175
กลอนการงานราบรื่น

ใครชอบ ใครชัง ชั่งเถิด

ใครเชิด ใครชู ชั่งเขา

ใครด่า ใครบ่น ทนเอา

ใจเรา ร่มเย็น นั้นเป็นพอ..
:009: :009:

176
เยาวชนไทยฤาถูกต้องตามพุทธทำนาย

    ทุกครั้งที่เราทำกรรมดี ด้วยกาย วาจา และใจ เรียกว่า กุศลกรรม จิตใจเราก็สะสมนิสัยอ่อนโยนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นต้นว่า สร้างคุณงามความดี ตอบแทนพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ ทำให้จิตใจเต็มไปด้วยคุณธรรม คือความกตัญญูกตเวที เช่นเดียวกัน หากเราส่งความปรารถนาดีแก่บุคคลอื่น แก่สรรมสัตว์ที่มีชีวิต จิตใจเราก็มีความสุภาพอ่อนโยน มีเมตตาธรรมเพิ่มมากขึ้นอีก ยิ่งมีการฝึกสติ ฝึกอบรมจิตใจให้มีสมาธิ โดยการเจริญภาวนา ก็จะบังเกิดทำให้เรามีสติปัญญา เฉลียวฉลาด หากปฏิบัติทุกวันหรือทุกคืน สะสมบุญญาบารมีไว้ อำนาจวาสนาดี ๆ ก็จะบังเกิดแก่เราเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

        สามีภรรยา ก่อนนอนหมั่นสร้างคุณงามความดีด้วยการไหว้พระสวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนา อุทิศส่วนบุญกุศลให้กับบิดามารดา ญาติมิตรที่ล่วงลับไปประพฤติปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตใจก็เติมเปี่ยมไปด้วย คุณธรรม เทพบุตร เทพยดา ก็อยากลงมาปฏิสนธิ และเมื่อคลอดออกมาอยู่รอดเป็นทารก ก็ย่อมจะต้องมีคุณธรรมเหมือนพ่อแม่ กล่าวคือ เป็นคนดีมีความกตัญญูกตเวที มีเมตตาธรรม และมีสติปัญญาสูง เมื่อเจริญเติบโตขึ้นมา ก็เป็นยาวชนที่ดี เป็นประชาชนที่ดี และเป็นพลเมืองดีของสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง ไม่สร้างความทุกข์ใจแก่พ่อแม่ ไม่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่สังคม ผู้รู้หรือบัณฑิตให้การยอมรับสรรเสริญ คุณงามความดี พ่อแม่ก็มีความชื่นใจ ภูมิใจ แต่ความเป็นจริงของสังคมในยุคปัจจุบันนี้ เยาวชนไทยฤาจะถูกต้องตามพุทธทำนายกระมัง เพราะเยาวชนเปลี่ยนไป ต่างประพฤติผิดแผกไปจากขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของชาติ เช่น

เรียนโดด - ไม่สนใจการศึกษาเล่าเรียน

เกาะอก - คิดว่าตนเองเป็นคนนำสมัย

สายเดี่ยว - ถือว่าตนเองล้าสมัย ย้อนยุค

เอวลอย - เข้าใจตนเองว่าเป็นคนล้ำสมัย

เที่ยวดึก - ติดอบายมุข

ส้นตึก - ไม่สำรวจตนเองชอบลัทธิเอาอย่าง

มือเติบ - ไม่มีงานทำผลาญเงินพ่อแม่

ใจแตก - พากันหลงแสงสีสิ่งแวดล้อม

แหกคอก - ไม่ยึดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม เสียสาวเมื่ออายุยังน้อย

                        นอกครู - ชอบลบหลู่ครู อาจารย์ ว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้

ไม่อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ - เห็นพ่อแม่เป็นหัวหลักหัวตอ

แลตอ - ชอบปิ้นปอก กลับกลอก ยอกย้อน เถียงคำไม่ตกฟาก

         ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าประเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิต (ฝัน) ประหลาด ๆ ก็สะดุ้งตกพระทัยตื่นจากพระบรรทม คิดรำพึงถึงเหตุร้ายจะบังเกิดขึ้นต่าง ๆ นานา ครั้นพอสว่าง จึงได้ตรัสถาม ?ปุโรหิตาจารย์? ก็ได้รับคำแนะนำให้ทำการในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สังคมและไร้สาระ พระนางมัลลิกาได้ทราบ จึงทูลแนะนำให้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อขอให้พระองค์ทรงทำนาย และก็ได้รับคำทำนายจากพระพุทธองค์ ขอยกเรื่องในฝันมาเป็นบางข้อเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เข้ากับยุคสังคมไทยปัจจุบัน

         พระเจ้าประเสนทิโกศล ฝันว่า ?ต้นไม้ทั้งหลาย พองอกได้คืบหนึ่ง หรือศอกหนึ่งก็มีดอกและมีผล? พระพุทธองค์ทำนายว่า ?ในกาลข้างหน้า สมัยหนึ่งเด็กหญิงจะมีราคะดำฤษณา ไปสู่อำนาจบุรุษ แต่เด็ก ๆ มีครรภ์และมีบุตร ทั้งที่มีวัยยังไม่สมบูรณ์?ปัญหามีท้อง หาผู้ที่รับผิดชอบไม่ได้ ที่เราเรียกกันว่า ?มารหัวขน? คลอดลูกแล้วก็นำไปทิ้งตามถังขยะ บางคนก็โยนลงทางหน้าต่าง บางคนดีหน่อยนำไปวางไว้หน้าบ้านคนอื่น ปล่อยให้มดตอมไต่ สุดที่จะเวทนา สภาสังคมสงเคราะห์ก็รับภาระเลี้ยงดูไปก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เราต้องมาวิเคราะห์กันหน่อยว่า ทำไมเยาวชนจึงเป็นแบบนี้

๑. ขาดการอบรมสั่งสอนด้วยคุณธรรม

- ไม่ไหว้พระสวดมนต์

- พ่อแม่ไม่สนใจพาลูกเข้าวัด

- ไม่อบรมสั่งสอนคุณสมบัติผู้ดี

- ขาดวัฒนธรรมหล่อหลอม

                                                ๒. ถูกหยามเหยียด

                                                - ยากจน

- ปัญญาไม่ดี

- ยากไร้ทางด้านวัตถุ คับแค้นทางด้านจิตใจ

- สังคมดูถูก

- ถูกสังคมหยามเหยียดด้วยสายตา แสดงอาการน่ารังเกียจ

                                              ๓. เกลียดผู้ใหญ่

- พ่อแม่ทะเลาะกัน

- พ่อแม่ชอบดื่มสุรา

- พ่อแม่หย่าร้าง

- ผู้ใหญ่ชอบเล่นการพนัน

- ผู้ใหญ่ไม่เป็นแบบอย่างที่ดี

- ผู้ใหญ่กลายเป็นผู้ล้มละลาย

- ผู้ใหญ่ชอบเบ่งบารมีแผ่อิทธิพล

- ผู้ใหญ่ชอบอิจฉาเรื่องยศฐานบรรดาศักดิ์

- ผู้ใหญ่ระดับชาติหรือนักการเมืองคดโกง

                                               ๔. เรียกร้องความสนใจ

- พ่อแม่เอาแต่งานสังคมสงเคราะห์

- พ่อแม่ไม่ค่อยกอดลูก

- พ่อแม่ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูก

                                             ๕. ไม่ศรัทธาผู้บริหารประเทศ

- ผู้บริหารบ้านเมืองไม่ทำตนเป็นคนทุ่มเท

- ผู้บริหารไม่เสียสละเพื่อชาติ

- ผู้บริหารส่วนมากยอมสละชาติเพื่อชีพ

- ผู้บริหารเห็นแก่ตัว แบ่งพรรคแบ่งพวก

จึงเห็นได้ว่า เยาวชนของชาติเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมยุคโลกาภิวัฒน์คอยมุ่ง

จะบริโภควัตถุนิยม หันหลังให้กับจิตนิยม สังคมไทยจึงพิกลพิการเช่นนี้ พฤติกรรมที่เยาวชนแสดงออก

๑. มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ

๒. พากันหันหน้าเสพกาม

๓. ชอบเลียนแบบตามดารา

๔. บ้าการพนัน

๕. ติดเพศสัมพันธ์

๖. เหหันเป็นกระเทย

๗. ละเลยต่อศีลธรรม

๘. นำพาแต่สิ่งชั่วร้าย

๙. สร้างความหนักใจให้พ่อแม่ ครู อาจารย์

๑๐. ชอบเป็นอันธพาลครองเมือง

หลายคนอาจจะแย้งว่า ไม่จริง ๆ เยาวชนดี ๆ มีถมไป ทำไมไม่นำมากล่าว ก็เหมือนการเขียนข่าว เขียนธรรมดา ๆ มันก็ไม่ดัง ไม่สะใจคนอ่าน ช่างเถอะ?.. เรามาวิเคราะห์กันต่อไปว่าทำไมหนอ เยาวชนไทยไม่สร้างสรรค์ อาจจะเป็นเพราะว่า

๑. ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ

๒. ครอบครัวสามารถพึ่งพากันได้ตลอดชีวิต

๓. เมืองไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ

๔. ภัยของธรรมชาติมีน้อย จึงขาดการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ

๕. คนไทยชอบดูถูกตนเอง แต่กลับบูชาชาวตะวันตก

๖. ชอบหลงตนเองกับภาพเก่า ๆ เงาเดิม ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

๗. คนไทยเชื่อฝีมือคนไทยยาก แต่เชื่อฝรั่งง่าย

๘. ผู้คนขอกันกินง่าย

๙. มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

๑๐. กระบวนการศึกษาชอบเลียนแบบฝรั่ง

๑๑. การศึกษาไม่เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธศาสนา กล่าวคือ

- สุตะ ไม่ชอบฟัง

- จินตะ คิดไม่เป็น

- ลิขิตะ เขียนไม่เป็น ขี้เกียจบันทึก

- ปุจฉา ไม่กล้าแสดงออก เอาเขาว่า

๑๒. คนไทยชอบมีคนรับใช้ในบ้าน

๑๓. ไม่กระตุ้นความคิด อะไรก็ได้ ง่าย ๆ

เมื่อเยาวชนไทย หรือคนไทย ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ จึงปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปตามกระแสของสังคม ความเสื่อมก็ครอบงำเยาวชน

๑. ยกพวกตีกัน

๒. ไล่ฆ่าไล่ฟันกันตามหน้าสถานศึกษาอย่างป่าเถื่อน

๓. การรวมเพื่อนแข่งขันมอเตอร์ไซค์ยามค่ำคืน

๔. ดึกดื่นไม่นอน ชอบลักเล็กขโมยน้อย

๕. จ้องคอยคิดจะเที่ยวเตร่ไปวัน ๆ

๖. ขยันในด้านการมั่วสุมทางเพศ

๗. เป็นเหตุพากันดื่มสุราของมืนเมา

๘. ชอบรุมเร้าส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพคิด

๙. คิดไม่เป็น

๑๐. เป็นพวกมิจฉาทิฎฐิ (เห็นผิดเป็นชอบ)

ดังนั้น ทุกสถาบันของสังคมไทย โดยเฉพาะสถาบันครอบครับ สถาบันการศึกษา และสถาบันศาสนา ต้องมีการร่วมมือกันช่วยแก้ปัญหาของสังคม โดยปฏิบัติภารกิจดังกล่าวให้มีการประสานสอดคล้องมีขอบเขตแนวทางป้องกัน

๑. ปลูกจิตสำนึกให้รู้คุณค่าของตนเอง

๒. สอนให้รู้จักคุณค่าของคนอื่น

๓. มุ่งเน้นอบรมให้เห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก

๔. แนะนำให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน

๕. คอยช่วยเหลือผู้ต้อยโอกาสกว่าตน

๖. บอกให้รู้จักแบ่งปันความสุขของคนแก่คนอื่น

๗. มีเมตตากรุณาต่อบุคคลอื่น

๘. หยิบยื่นช่วยเหลือสังคม

๙. อบรมด้านคุณธรรมทางศาสนา

๑๐. ให้การศึกษาอย่างทั่วถึง

๑๑. คิดถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคม

นอกจากนี้ เยาวชนทั้งชายทั้งหญิง จะต้องสำรวมระวังตนเอง มีแนวทางการดูแลตัวเองเป็นสำคัญ ขอหยิบยกแนวทางสำหรับการดูแลตนเองของเยาวชนทั้งชายทั้งหญิง

แนวทางการดูแลตนเองของเยาวชนชาย

๑. อย่าพึ่งยาเสพติด

๒. อย่าเป็นมิตรกับคนชั่ว

๓. อย่าทำตัวดื้อรั้น

๔. อย่าขยันเที่ยวเตร่

๕. อย่าเกเรกับเพื่อนบ้าน

๖. อย่าเกียจคร้านการทำกิน

๗. อย่าดูหมิ่นพ่อแม่

๘. อย่าทำแน่ว่าไม่ตาย

๙. อย่างทำลายวัฒนธรรม

๑๐. อย่าสุขสำราญจนลืมชาติ

 แนวทางการดูแลตนเองของเยาวชนหญิง

๑. อย่านุ่งกระโปงสั้น

๒. อย่าดื้อรั้นลองยา

๓. อย่าพึ่งพาคนแปลกหน้า

๔. อย่าคบหาเพื่อนไม่ดี

๕. อย่าหลีกหนีพ่อแม่

๖. อย่าพ่ายแพ้ความฟุ่มเฟือย

๗. อย่าเฉื่อยแฉะเที่ยวเตร่

๘. อย่าเกเรไม่กลับบ้าน

๙. อย่าเผาผลาญเงินทอง

๑๐. อย่ามัวแต่มองเพื่อนชาย
:009:

177
บทความ บทกวี / ดอกหญ้ากับแมลงปอ
« เมื่อ: 24 มี.ค. 2552, 10:47:52 »

ดอกหญ้า กับ แมลงปอ

ส่วนหนึ่งเล็ก ๆ...
จากมุมที่บางครั้งไม่อาจมองเห็น...
เพราะขาดความใส่ใจ...

ดอกหญ้าดอกน้อย ๆ ....
ซึ่งดูจะไร้ค่าและความหมาย...
เติบโตเพื่อแตกดับ...
ไปตามวัฏฏะของชีวิต...
แต่ในความไร้ค่าของสายตาหนึ่ง...
กลับมีคุณค่าต่ออีกสายตาหนึ่ง...

แมลงปอตัวน้อย...
สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ...
ซึ่งดูจะไร้ค่าและความหมาย...
เติบโตเพื่อแตกดับ...
ไปตามวัฏฏะของชีวิต...
แต่ในความไร้ค่าของสายตาหนึ่ง...
กลับมีคุณค่าต่ออีกสายตาหนึ่ง...

ดอกหญ้า กับ แมลงปอ ...
ต่างมีสายตา...
ที่มองเห็นคุณค่าของกันและกัน...
ต่างเป็นสิ่งเล็ก ๆ ...
ที่ดูคล้ายจะไร้ค่าและความหมาย...
แต่สองสิ่งเล็ก ๆ นี้...
ต่างเห็นคุณค่าและความหมายของกันและกัน...
เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน...
มิได้หมายทำลายล้างกันและกัน...

นี่คือ...
สิ่งที่เราหวังจะได้...
สัมพันธภาพอันดีงาม...

178

ประวัติ "อาจารย์เฮง ไพรยวัล" จากจารึกที่เก็บกระดูกอาจารย์เฮง ณ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา เขียนไว้ว่า "เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ สิริอายุ ๗๕ ปี"


พื้นเพท่านเป็นคนบ้านหันตรา จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาท่านเป็น นายตำรวจ หรือผู้ตรวจการณ์คุก โดยบิดาส่งไปเรียนที่ปีนัง สิงคโปร์ แต่เรียนไม่สำเร็จ ท่านเป็นคนชอบเรียนวิชาไสยศาสตร์ ได้ท่องเที่ยวเล่าเรียนมาแต่ทางภาคใต้ ท่านอาจารย์เฮงเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับ พระยาเพชรปรีชา มีเพื่อนฝูงเป็นเจ้าพระยาหลายคน

เมื่อท่านเดินทางกลับมายังภูมิลำเนา คือ จ.พระนครศรีอยุธยา คราวเมื่อท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่านให้ความสนใจศึกษาตำรับตำราทางไสยศาสตร์ อันว่าด้วยเวทมนตร์คาถา อักขระเลขยันต์ จากจารึกวัดประดู่โรงธรรมอย่างแตกฉาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัย สมเด็จพระพันรัต วัดป่าแก้ว หรือใน รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘) นั้น รวบรวมสรรพวิทยาไสยศาสตร์ โดยจารึกไว้ที่ วัดประดู่โรงธรรม นี้อย่างพร้อมสรรพ

ตำรับวัดประดู่โรงธรรม เป็นแม่บทของตำราที่ว่าด้วย เวทมนตร์คาถาและอักขระเลขยันต์ ที่มีปรากฏและเล่าเรียนสืบต่อมาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์เฮงนั้น ท่านเรียนรู้ตาม คำภีร์รัตนมาลา อย่างแตกฉาน และเจนจบมาก

หลังจากที่ ท่านอาจารย์เฮง สึกจากการอุปสมบทแล้ว ท่านกลับมาครองเพศฆราวาส เริ่มปรากฏชื่อเสียงเกียรติคุณกระเดื่องดัง ทางเป็นพระอาจารย์ของท่าน เริ่มต้นด้วยการเป็น อาจารย์สัก ก่อน

หลวงปู่สี เล่าว่า ครั้งกบฏบวรเดช ในสมัยรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๗๖) มีนายทหารและข้าราชการมาให้ท่านสักเป็นจำนวนมาก และจากการที่ท่านอาจารย์เฮง ตั้งพิธีสักที่วัดหันตรานั่นเอง

ครั้งนั้น ท่านอาจารย์เฮง จำเป็นต้องอาราธนาพระสงฆ์มาสวดพุทธมนต์ในพิธีสักนั้นด้วย ในสมัยนั้น (พ.ศ. ๒๔๗๖) ในท้องที่ จ.พระนครศรีอยุธยา หาพระที่สวดพุทธมนต์และพุทธาภิเษกพิธียากมาก ยกเว้น ท่านอาจารย์สี วัดสะแกเท่านั้น เพราะท่านอาจารย์สีเคยลงมาศึกษาอยู่ที่สำนักวัดเลียบ จ.พระนครศรีอยุธยา และมีความเจนจบในเรื่องนี้อยู่

สืบต่อมาเมื่อท่านอาจารย์เฮง จะประกอบพิธีกรรมครั้งใด จำต้องมาอาราธนาท่านอาจารย์สีไปร่วมพิธีทางฝ่ายสงฆ์อยู่เสมอ

โดยพื้นฐานและฐานะของท่านอาจารย์เฮงนั้น จัดว่าเป็นผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ท่านมีบ้านเป็นหลักแหล่งอยู่ที่ทุ่งหันตรา มีไร่นา และมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่วังน้อย เมื่อท่านมีลูกศิษย์ลูกหาทางกรุงเทพฯ มากขึ้น เพื่อความสะดวกในการประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา จึงเชิญท่านมาเช่าบ้านอยู่ที่สวนมะลิ และย้ายมาอยู่ที่ห้องแถวหน้าสมาคม วาย.เอ็ม.ซี.เอ วรจักร จนกระทั่งสงครามมหาเอเชียระเบิด ท่านจึงอพยพขึ้นไปอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ดังเดิม

*** ตอนสมัยที่ท่านเข้ามาพระนครนั้น เป็นสมัยยุคนักเลง และ อั้งยี่เฟื่องฟู... พวกที่คอยขย้ำกันอยู่ในเมืองกรุงก็มี เก้ายอด หลวงพ่อหรุ่น , พวกยันต์แดง อ.เฮง , สามล้อถีบวัดสามจีน และ พวกลูกศิษย์สาย หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา พ่อแก้ว คำวิบูลย์

สมัยนั้น อ.เฮง จอดเรืออยู่หน้าวัด เชิงเลน (วัดบพิธภิมุข)... สักกันจนตำรวจต้องไปขอร้องให้เลิกสัก..เพราะลูกศิษย์ลูกหาไปเป็นโจรกันเยอะเหลือเกิน ปราบก็ยาก เนื่องจากคงกระพันนั้นเป็นเลิศทีเดียว...
อ.เฮง ท่านเป็นเลิศในหลายๆด้าน ทั้งไสย ทั้งศิลป์ และท่านยังเป็นเพื่อนซี๊ปึก กับ ครูเหม เวชกร... ครั้งนึง ครูเหม ออกปากว่า.. "..หน้าพรหม ไม่มีใครเขียนให้เห็นได้ทั้งสี่หน้า ที่ อ.เฮงคนเดียว ที่เขียนได้.."

ท่านสร้างวัตถุมงคลไว้มากครับ แต่ขอยกตัวอย่างชิ้นนึงคือเหรียญพรหม4 หน้า อ.เฮง มีหลายรูปแบบ ทั้ง หน้าโล่ห์ ทรงกลม ข้าวหลามตัด... เป็นที่นิยมมานาน ของแท้นั้นหาดูไม่ง่ายนัก...แต่นับวันยิ่งจะสูญหาย และหาคนเป็นได้น้อยลง ...ที่จะว่ากันวันนี้ ก็จะเป็นเหรียญนิยมที่เรียกว่าเหรียญโล่ห์ และรูปนำมาให้ชมกันวันนี้ เป็น "เหรียญโล่ห์เงิน หน้าทอง" ... โดยองค์พรหมจะเป็นทองคำ ยึดติดกับพื้นเหรียญด้วยวิธีตอกตาไก่ และจะมีรอยจารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่สำคัญที่ด้านหลัง กึ่งกลางเหรียญจะลงไว้ด้วยยันต์ "จักรเพชร" หรือ "ยันต์ภา" นั่นเอง โดยการผูกยันต์ภาต่อกันเป็นรูปวงกลม โดยรอบจะมี ตารางตรนิสิงเห . เม อะ มะ อุ , นะ ทรงธรณี รวมทั้งยันต์ห้าด้วย...ลงจารไว้อย่างสวยงามทีเดียว

เหรียญพรหม ของท่าน อ.เฮงนั้น หลายท่านเคยตั้งข้อกังขาว่า พิธีจะครบหรือไม่...ยืนยันครับว่า ครบ ท่าน อาจารย์ผูกพิธีทั้งพุทธ และ พาร์ม อย่างครบถ้วน โดยทางพิธีพุทธนั้น มีหลวงปู่สี วัดสะแก เป็นประธานทุกครั้ง

เครื่องรางชุด "พระมหาพรหมธาดา" นี้ มีดีทุกอย่าง อาราธนาอธิษฐานเอาได้เลย ใช้ได้ทางเมตตา และป้องกันตังแบบครอบจักรวาล เป็นมหาอุด คงกระพัน มีเรื่องเหตุเพทภัย ให้อาราธนาดังนี้ "โอม จัตุรพักตรพรหมา นะมามิหัง" แล้วจะรอดปลอดภัยทุกประการ ด้วยจิตที่ยึดมั่น ใจมั่น

 replyanchalit wrote on Oct 3, '08
ดูพศ.ปีเกิดของท่านแล้ว เรียกได้ว่ายุคเดียวกับ อาจารย์จาบ สุวรรณ ฆราวาสผู้เป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานของวัดประดู่ทรงธรรม เลย

อ.เฮง 2428-2502 (ราว 75 ปี)
ก๋งจาบ 2426-2501 (ราว 75 ปี)

อาจารย์เฮง ในปัจจุบันชื่อเสียงโด่งดังกว่า เพราะท่านสร้างเครื่องรางของขลัง ตกทอดมาถึงทุกวันนี้
ส่วน ก๋งจาบ ท่านใช้ความรู้ความสามารถสงเคราะห์ไปตามเรื่องในสมัยนั้น คงมีแค่ว่าท่านเป็นอาจารย์กัมมัฏฐานวัดประดู่ฯ เป็นผู้รักษาหลวงพ่อปานตอนถูกบังฟัน เป็นเพื่อนกับหลวงพ่อปาน เป็นอาจารย์ของพระเกจิในยุคต่อมา เช่นหลวงพ่อเทียมวัดกษัตฯ หลวงพ่อกี๋วัดหูช้าง หลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน ท่านคงจะไม่ได้สร้างเครื่องรางอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

เหมือนหลวงพ่อสมัยโบราณที่ท่านสร้างเครื่องรางของขลัง ก็จะดังเป็นตำนานมาถึงปัจจุบัน ส่วนท่านที่เก่งเป็นที่นับถือของชาวบ้านแต่ไม่ได้สร้างเครื่องรางอะไรออกมา ก็เงียบหายไปตามกาลเวลา

 replyanchalit wrote on Oct 3, '08
อีกบทความนึงครับ...............

ประวัติ อาจารย์เฮง ไพรวัลย์
จากจารึกที่เก็บกระดูกอาจารย์เฮง ณ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา เขียนไว้ว่า "เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ สิริอายุ๗๕ ปี พื้นเพท่านเป็นคนบ้านหันตรา จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาท่านเป็น นายตำรวจ หรือผู้ตรวจการณ์คุก โดยบิดาส่งไปเรียนที่ปีนัง สิงคโปร์ แต่เรียนไม่สำเร็จ ท่านเป็นคนชอบเรียนวิชาไสยศาสตร์ ได้ท่องเที่ยวเล่าเรียนมาแต่ทางภาคใต้ ท่านอาจารย์เฮงเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับ พระยาเพชรปรีชา มีเพื่อนฝูงเป็นเจ้าพระยาหลายคน เมื่อท่านเดินทางกลับมายังภูมิลำเนา คือ จ.พระนครศรีอยุธยา คราวเมื่อท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่านให้ความสนใจศึกษาตำรับตำราทางไสยศาสตร์ อันว่าด้วยเวทมนตร์คาถา อักขระเลขยันต์ จากจารึกวัดประดู่โรงธรรมอย่างแตกฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัย สมเด็จพระพันรัต วัดป่าแก้ว หรือใน รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘) นั้น รวบรวมสรรพวิทยาไสยศาสตร์ โดยจารึกไว้ที่ วัดประดู่โรงธรรม นี้อย่างพร้อมสรรพ ตำรับวัดประดู่โรงธรรม เป็นแม่บทของตำราที่ว่าด้วย เวทมนตร์คาถาและอักขระเลขยันต์ ที่มีปรากฏและเล่าเรียนสืบต่อมาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์เฮงนั้น ท่านเรียนรู้ตาม คำภีร์รัตนมาลา อย่างแตกฉาน และเจนจบมาก หลังจากที่ ท่านอาจารย์เฮง สึกจากการอุปสมบทแล้ว ท่านกลับมาครองเพศฆราวาส เริ่มปรากฏชื่อเสียงเกียรติคุณกระเดื่องดัง ทางเป็นพระอาจารย์ของท่าน เริ่มต้นด้วยการเป็น อาจารย์สัก ก่อน หลวงปู่สี เล่าว่า ครั้งกบฏบวรเดช ในสมัยรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๗๖) มีนายทหารและข้าราชการมาให้ท่านสักเป็นจำนวนมาก และจากการที่ท่านอาจารย์เฮง ตั้งพิธีสักที่วัดหันตรานั่นเอง ครั้งนั้น ท่านอาจารย์เฮง จำเป็นต้องอาราธนาพระสงฆ์มาสวดพุทธมนต์ในพิธีสักนั้นด้วย ในสมัยนั้น (พ.ศ. ๒๔๗๖) ในท้องที่ จ.พระนครศรีอยุธยา หาพระที่สวดพุทธมนต์และพุทธาภิเษกพิธียากมาก ยกเว้น ท่านอาจารย์สี วัดสะแกเท่านั้น เพราะท่านอาจารย์สีเคยลงมาศึกษาอยู่ที่สำนักวัดเลียบ จ.พระนครศรีอยุธยา และมีความเจนจบในเรื่องนี้อยู่ สืบต่อมาเมื่อท่านอาจารย์เฮง จะประกอบพิธีกรรมครั้งใด จำต้องมาอาราธนาท่านอาจารย์สีไปร่วมพิธีทางฝ่ายสงฆ์อยู่เสมอ
โดยพื้นฐานและฐานะของท่านอาจารย์เฮงนั้น จัดว่าเป็นผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ท่านมีบ้านเป็นหลักแหล่งอยู่ที่ทุ่งหันตรา มีไร่นา และมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่วังน้อย เมื่อท่านมีลูกศิษย์ลูกหาทางกรุงเทพฯ มากขึ้น เพื่อความสะดวกในการประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา จึงเชิญท่านมาเช่าบ้านอยู่ที่สวนมะลิ และย้ายมาอยู่ที่ห้องแถวหน้าสมาคม วาย.เอ็ม.ซี.เอ วรจักร จนกระทั่งสงครามมหาเอเชียระเบิด ท่านจึงอพยพขึ้นไปอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ราว พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๔๘๕ การย้ายครอบครัวในครั้งนั้น ท่านซื้อเรือต่อ หรือเรือข้าวขนาดย่อมลำหนึ่ง ติดเครื่องยนต์แล่นขึ้นไปเป็นการสะดวกในการสัญจร ขณะนั้นที่ถนนหนทางอยู่ในสภาพกันดาร การคมนาคมทางน้ำดูจะมีความสำคัญมาก ภายในเรือของท่านใช้เป็นที่อาศัย ซึ่งพร้อมมูลไปด้วยปัจจัยในการดำรงชีวิต อย่างมีความสุขสบาย นึกจะโยกย้ายหรือท่องเที่ยวไป ณ ที่แห่งใด ก็ย่อมได้ตามความประสงค์ เขาว่าท่านเป็นคนร้อนวิชา อยู่ไม่เป็นที่ จึงชอบท่องเที่ยวไปในถิ่นที่ต่างๆ และจะวนเวียนมาจอดที่ต้นสะตือ วัดสะแก เป็นประจำ เป็นสถานที่ที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านจะไปพบหาท่านได้ที่นั่น อาจารย์เฮง อุปสมบท ๒ ครั้ง ครั้งแรกที่วัดสุวรรณคาราราม จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าใจว่าท่านคงจะอุปสมบทเมื่ออายุครบบวชตามประเพณี แต่ในครั้งหลังท่านมาบวชอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ท่านบวชที่ วัดพระญาติการาม โดยมี หลวงพ่อกลั่น ธรรมโชติ เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาศิลปะวิทยายุทธมาจากหลวงพ่อกลั่นหลายแขนงเหมือนกัน เช่น วิชาฝังเข็ม สำหรับวิชา สักยันต์ ๙ เฮ ชาตรีนั้น ทราบมาว่าเมื่อท่านท่องเที่ยวอยู่ทางภาคใต้ เคยศึกษามากับแขกก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็อาจจะมาเรียนเพิ่มเติมกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม อีกก็เป็นได้ การอุปสมบทของท่านอาจารย์เฮงกับหลวงพ่อกลั่นนั้น เข้าใจว่า ท่านบวชเพื่อประสงค์จะศึกษาวิทยายุทธพุทธาคมกับหลวงพ่อกลั่น
วัดพระญาติการาม ในยุคนั้น หลวงพ่อกลั่นท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก โดยปกติท่านปรมาจารย์ด้านพุทธาคมนั้นมักจะมีอุปนิสัยห้าวหาญ เด็ดเดี่ยว มั่นคง ไม่โลเล จึงทำด้านอาคมขลัง สำหรับท่านอาจารย์เฮง นอกจากท่านจะมีอุปนิสัยดังกล่าวแล้วอย่างพร้อมมูล ท่านยังมีความเป็นอัจฉริยะ ในด้านการช่างอย่างอัศจรรย์หลายประการ อาทิ การวาดเขียนภาพต่างๆ การแกะสลัก การกลึง เป็นต้น ซึ่งท่านจะได้สัมผัสจากภาพ พระพรหม ซึ่งอัญเชิญมาปรากฏ ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นภาพฝีมือท่านอาจารย์เฮง และยังมีมงคลวัตถุในลักษณะต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก เหรียญพรหมรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ที่อยู่ในแวดวงนักนิยมสะสมเหรียญคงจะพบเห็นอยู่บ่อยๆ เพราะเหรียญพรหมเหรียญนี้ เป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดี อีกทั้งในแวดวงพระเครื่องมีการจัดประกวดกันอยู่บ่อยๆ

179

พระร่วงโรจนฤทธิ์
"พระร่วงโรจนฤทธิ์" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดนครปฐม เป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป มีชื่อเต็ม คือ "พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธ ราชปูชนียบพิตร" ตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 12 ตุลาคม พุทธศักราช 2466
แต่ประชาชนทั่วไป เรียกขานว่า "หลวงพ่อพระร่วง" หรือ "พระร่วงโรจนฤทธิ์"

ประวัติพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์

เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ทำด้วยทองเหลืองหนัก 100 หาบ ศิลปะสุโขทัย สูง 12 ศอก 4 นิ้ว ประทับยืนบนฐานโลหะทองเหลืองลายบัวคว่ำบัวหงาย ทำวงพระพักตร์ตามยาว พระหนุเสี้ยม นิ้วพระหัตถ์ พระบาทไม่เสมอกัน ห้อยพระหัตถ์ซ้ายลงข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ขวายกตั้งขึ้น ยื่นไปข้างหน้า มีพระอุทรพลุ้ย บ่ายพระพักตร์สู่ทิศเหนือ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระยุพราช เสด็จฯ ประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ ในปีพ.ศ.2451 ได้ทอดพระเนตรพระพุทธรูปโบราณเป็นอันมาก แต่มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่เมืองศรีสัชนาลัย (สุโขทัย) กอปรด้วยพระลักษณะงามเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย แต่ชำรุดมาก เหลืออยู่แต่พระเศียร พระหัตถ์และพระบาท

จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญลงมากรุงเทพฯ แล้วให้ช่างปั้นสถาปนาขึ้นมาบริบูรณ์เต็มพระองค์ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีเททองหล่อ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2456 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ โดยมีผู้ออกแบบ คือกรมหลวงนเรศร์วรฤทธิ์ (พระองค์เจ้ากฤษฎาภินิหาร)

จากนั้นได้อัญเชิญมาสู่จังหวัดนครปฐม เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2457 ทางรถไฟ ประดิษฐาน ณ พระวิหารด้านทิศเหนือ องค์พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จนถึงปัจจุบัน

เมื่อครั้งอัญเชิญพระร่วงโรจนฤทธิ์ มาประดิษฐานยังองค์พระปฐมเจดีย์ฯ จำเป็นต้องแยกชิ้นมาประกอบเข้าด้วยกันที่จังหวัดนครปฐม เสร็จเป็นองค์สมบูรณ์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2458

หลังจากรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต ตามความในพระราชพินัยกรรมของพระองค์ระบุว่า ให้บรรจุพระอังคารของพระองค์ไว้ใต้ฐานพระร่วงฯ ที่องค์พระปฐมเจดีย์ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2469 จึงได้ทำพิธีบรรจุพระบรมราชสรีรังคาร ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตามพระราชประสงค์

มีความเชื่อว่า พระร่วงโรจนฤทธิ์ โปรดหรือชอบลูกปืน โดยต้องแก้บนด้วยการยิงปืน แต่ต่อมาเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จึงใช้จุดประทัดแทน และอีกอย่างที่เป็นของโปรด (ตามความเชื่อของชาวบ้าน) คือ ไข่ต้ม และไม่ใช่ไข่ต้มธรรมดาต้มสุกแล้วต้องชุบสีแดงที่เปลือกไข่หลังต้มแล้ว ก่อนนำมาแก้บน

ในการบนบานขอพรหรือขอความสำเร็จต่างๆ จากองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ ชาวบ้านทั้งชาวไทยชาวจีนในนครปฐมเป็นที่ทราบกันทั่วไปที่ผ่านมาเคยเห็นมีผู้มาแก้บนด้วยไข่ต้มนับร้อยนับพันใบก็มี

คำกล่าวบูชาพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่แปลแล้วมีว่า "พระพุทธรูปพระองค์ใด ซึ่งมีอภินิหารไม่น้อย มีพระพุทธลักษณะอันงดงามผุดผ่อง พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทร มหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงถวายพระนามว่า "พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธราช ปูชนียบพิตร" เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประดิษฐานมาอยู่ ณ วิหารมณฑลด้านทิศเหนือ แห่งองค์พระปฐมเจดีย์ ควบเวลาถึงกว่า 92 ปี (ปัจจุบัน) ได้แผ่พระบารมีปกเกล้าไปยังพุทธศาสนิกชนทั่วทุกทิศ ปานประหนึ่งว่า พระพุทธองค์ ทรงสถิตประทับยืนอยู่ ณ นิโรธาราม ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ ทรงโปรดพระประยุรญาติทั้งสองฝ่าย ให้คลายจาก มานะทิฐิอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข"

"ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าวันทาพระร่วงโรจนฤทธิ์พระองค์นี้ ซึ่งเป็นที่นำบุญมาให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ผู้นมัสการอยู่ แม้พระปฐมเจดีย์ใหญ่ใด ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่ประดิษฐานองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ ซึ่งมีปาฏิหาริย์ไม่น้อย งดงามดุจพระจันทร์ในยามราตรี ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าวันทาพระปฐมเจดีย์นี้ ซึ่งเป็นที่นำบุญมาให้แก่ผู้ทัศนาอยู่เสมอ ข้าพระพุทธเจ้าขอนมัสการพระร่วงโรจนฤทธิ์ พระบรมสารีริกธาตุ และองค์พระปฐมเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งควรนมัสการอยู่โดยส่วนเดียว ด้วยเครื่องสักการะคือดอกไม้ไฟอันตั้งอยู่ ณ ทิศทั้งสี่ ในบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ ได้แล้วซึ่งบุญอันใด ด้วย อานุภาพแห่งบุญนั้น ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข เป็นผู้ไม่มีเวร ปราศจากอันตราย เจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมเป็นนิตย์เทอญ"

สำหรับวัดพระปฐมเจดีย์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร ซึ่งอาณาจักรที่ตั้งสองสิ่งสำคัญอยู่ คือ องค์พระปฐมเจดีย์ และพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ตั้งอยู่ในตำบลพระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 56 กิโลเมตร เป็นปูชนียสถานเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในไทย

ทั้งนี้ องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีลักษณะโครงสร้างเป็นพระเจดีย์ใหญ่รูประฆังคว่ำปากผายมหึมา โครงสร้างชั้นในเป็นไม้ซุงรัดด้วยโซ่เส้นมหึมา ก่ออิฐถือปูนประดับด้วยกระเบื้องปูทับประกอบด้วยวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น

พระปฐมเจดีย์สูงจากพื้นดินถึงยอดมงกุฏ 120.45 เมตร ฐานโดยรอบวัดได้ 235.50 เมตร

เส้นผ่าศูนย์กลาง 56.65 เมตร จากปากระฆังถึงสี่เหลี่ยมสูง 18.30 เมตร สี่เหลี่ยมด้านละ 28.10 เมตร ปล้องไฉน 27 ปล้อง เสาหาร 16 ต้น คตพระระเบียงรอบกำแพงแก้วชั้น 562 เมตร กำแพงแก้วชั้นในโดยรอบ 912 เมตร ซุ้มมีระฆังบนลานองค์พระปฐมเจดีย์ 24 ซุ้ม

ส่วนงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ จัดขึ้นเป็นประจำ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชั่วไปในจังหวัดนครปฐมและทั่วราชอาณาจักร ได้ร่วมกันบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และร่วมกันบริจาคทรัพย์บำรุงรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ให้มั่นคงสืบเป็นประเพณี
ที่มา...จากข่าวสด
[/color]

180

พญานาคผู้มาใส่บาตร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ครั้งหนึ่งท่านพักอยู่ที่ วัดห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ สังเกตเห็นว่า ในบรรดาทายกทายิกาที่มาฟังเทศน์หรือใส่บาตรถวายจังหันทุกวันนั้น มีชายคนหนึ่งที่ดูแปลกกว่าคนอื่น

คือถึงจะนุ่งห่มแต่งกายอย่างชาวบ้านธรรมดา แต่ก็ดูภูมิฐานและสำรวมกว่าคนทั่วไป มีดอกไม้กับอาหารคาวหวานมาใส่บาตรทุกวัน สำหรับอาหารทุกชนิดที่เขานำมานั้น แม้จะมองดูเป็นอาหารพื้นเมืองทั่วไป มีปลา มีผัก น้ำพริก หรือแกง ตามปกติ แต่สังเกตว่า ระยะนี้อาหารที่ท่านฉันนั้นมีรสชาติพิเศษ อย่างไรก็ดีท่านก็ไม่แน่ใจว่า อาหารที่มีรสชาติพิเศษนั้นจะเป็นอาหารจากที่ชายผู้นั้นถวายหรือไม่ เพราะเมื่อพระรับถวายจังหันแล้ว ท่านก็จัดลงบาตรรวม ๆ กันไป จะเป็นอาหารจากสำรับใด ถ้วยใด ของโยมคนไหนก็ไม่ได้จดจำไว้


ธรรมดาพระธุดงคกรรมฐาน ท่านจะมีโอภาปราศรัยกับญาติโยมเป็นปกติ ครั้งนี้ ท่านพูดคุยธรรมดา แล้วก็ถามถึงโยมคนที่ว่านี้ เออ...เป็นใคร อยู่บ้านไหน เป็นญาติของใคร ท่านมาคราวก่อน ๆ ไม่เคยเห็น

ชาวบ้านแถบนั้นซึ่งคุ้นเคยกับท่าน เคยปรนนิบัติพระธุดงค์มานาน ต่างก็นึกขึ้นได้ว่า หลวงปู่หมายถึงผู้ใด แต่ก็ไม่อาจจะตอบท่านได้ว่าเป็นใคร มาแต่ไหน ได้แต่พูดกันว่า เออ...จริงซี นึกได้แล้ว เห็น ๆ เหมือนกัน นึกว่าเป็นญาติกับคนนั้น คนนั้นก็ว่า นึกว่าเป็นญาติกับคนโน้น คนโน้นก็คิดว่ามากับคนนี้

รวมความว่า ไม่เคยเห็นกันมาก่อน เห็น ๆ อยู่ แต่เวลากลับไม่ทราบว่ากลับไปบ้านที่ไหน กับใคร และเมื่อไร

วันสุดท้าย หลวงปู่ปะหน้าชายแปลกหน้านั้น นำดอกไม้และอาหารมาถวายจังหันเช่นเคย ท่านถาม เขาก็ตอบว่า บ้านโยมอยู่แถวนี้เอง ตอบยิ้ม ๆ แล้วก็ถอยไปนั่งรอระหว่างท่านฉันอย่างสงบเสงี่ยม ปกติระหว่างพระป่าฉันจังหันนี้ ชาวบ้านก็มักจะนำอาหารที่ถวายแล้วและเหลือจากที่พระนำลงบาตรแล้ว มาตักแบ่งแจกกันรับประทานเป็นกลุ่ม ๆ แต่ชายผู้นั้นมิได้ร่วมวงรับประทานกับกลุ่มใคร เขาคงนั่งอยู่คนเดียวอย่างสำรวมอาการ วันนั้นหลวงปู่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ คอยสังเกตอาการของเขาอยู่เงียบ ๆ

ท่านฉันเสร็จ ให้พร เมื่อเห็นเขาเก็บของ กราบลา ท่านรออยู่พอไม่ให้น่าเกลียด แล้วก็ลุกตามไป ดูว่าเขาจะกลับไปทางใด

ปรากฏว่า พอลับจากศาลา เขาก็เดินหายลงไปในสระน้ำหน้าวัด..!!
ชายคนนั้นคือ นาคมาณพ นั่นเอง.....!

ท่านเล่าว่า พญานาคนั้นมีฤทธิ์มาก เป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง เขาสามารถเนรมิตกายได้ต่าง ๆ กัน ท่านเคยถามเขาว่า ต้องการอะไร เขาก็เรียนท่านว่า วิสัยพญานาคนั้นมีความเคารพผู้ทรงศีลผู้ทรงคุณธรรม มนุษย์ผู้เป็นกัลยาณชนปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นไร พญานาคก็ปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นนั้นเหมือนกัน ในกาลก่อน พระพุทธเจ้าสมัยเสวยพระชาติเป็นนาค มีนามว่า พระภูริทัตต์ ก็ยังสู้บำเพ็ญบารมี รักษาศีล บำเพ็ญทานภาวนาจนตัวตาย ในกาลปัจจุบัน กลิ่นศีลอันบริสุทธิ์ของพระคุณเจ้าหอมนัก หอมทั้งใกล้ หอมทั้งไกล หอมทวนลม หอมไปไกล พวกเขาก็ขอโอกาสมาทำบุญถวายทานแด่พระคุณเจ้า เพื่อเป็นการเพิ่มพูนบารมีของตนสืบไปบ้าง

ท่านถามถึงการเนรมิตกาย เพราะเคยเห็นพญานาคในรูปจำแลงต่าง ๆ หลายครั้งหลายหนแล้ว เขากราบเรียนว่า การเนรมิตกายของพญานาคนั้นง่ายดายมาก จะให้เป็นอย่างไรก็ทำได้ทั้งนั้น

เขาก็เลยเนรมิตกายถวายให้ท่านดู โดยเตือนว่า นี่เป็นภาพนิมิตทั้งนั้น...เขาหายตัวไปจากที่นั้น ครู่เดียวก็กลายเป็นมาณพหนุ่มน้อยเข้ามาหา ประเดี๋ยวก็เป็นชายชราเดินงก ๆ เงิ่น ๆ เข้ามาหา บัดเดี๋ยวก็หายไป แล้วกลับเป็นหญิงสาวสวย หายไปอีกครู่หนึ่ง ปรากฏว่า กลับมาเป็นเสือใหญ่น่าเกรงขาม กำลังเยื้องย่างเข้ามา จากร่างเสือกลายเป็นพรานขมังธนู ถืออาวุธเข้ามา พญานาคเรียนท่านว่า การเนรมิตกายนั้นไม่ยากเย็นอะไร เพียงคิดก็เปลี่ยนไปได้ตามต้องการ จะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นมนุษย์ จะเป็นคนเดียวหรือหลายคน แต่ละคนต่างแสดงอากัปกิริยาต่างกันก็ได้ ถ้าเป็นสัตว์ อาจเป็นตัวเดียว หรือหลายตัว ทั้งอาจเป็นสัตว์ต่างชนิดกันก็ได้ เช่น เห็นเป็นภาพ ทั้งช้าง ทั้งเสือพร้อม ๆ กัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นนาค ๒ ตัว หากเป็นพญานาคตัวเดียว จำแลงกายเป็นสัตว์ ๒ อย่าง ๒ ร่างกัน

เขาสามารถเนรมิตกายได้อย่างน่าพิศวง และรวดเร็วทันใจมาก
ท่านเล่าถึงการแปลงกายของพญานาคว่า เราได้ปะมาแล้วทุกอย่าง...เป็นงูตัวน้อย ๆ ผ้าขาว ผู้หญิง เสือ มนุษย์ ...กษัตริย์...สารพัด
ท่านเล่าว่า สำหรับรูปกายที่เป็นพญานาคจริง ๆ นั้น ท่านก็เคยเห็นอยู่ รูปร่างเหมือนกับที่เขาทำไว้ตามโบสถ์ตามวิหารนั้นเช่นเดียวกัน มีหงอน สามหงอนบ้าง ห้าหงอนบ้าง เจ็ดหงอนบ้าง ครั้งหนึ่งท่านเคยเห็นมาด้วยกันคู่สองผัวเมีย ทั้งพญานาคและนางนาคผู้เป็นภริยา

แต่บางทีเขาก็เข้ามาหาท่านในร่างของมนุษย์ แต่งตัวด้วยเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ มีข้าราชบริพารเฝ้าแหนแวดล้อมมาดังขบวนเสด็จของพระราชา
เคยเรียนถามท่านว่า ?พญานาคตัวจริงใหญ่ขนาดไหน? ท่านตอบว่า?ใหญ่มาก?
ขณะนั้นเรากำลังอยู่กันหน้าโรงครัว จึงเรียนถามว่า ?ใหญ่เท่าโรงครัวนี้ไหม? ท่านว่า?ใหญ่กว่าอีก?

พวกเราอีกคนถามเสริมว่า?ใหญ่เท่าศาลานี้ไหม? ท่านบอกยิ้ม ๆ ว่า ?ใหญ่มากกว่าก็ได้ เล็กกว่าก็ได้ แล้วแต่เขาจะแสดงให้เห็น?
?ลำตัวเล่าเจ้าคะ ยาวแค่ไหน?


คัดลอกมาจากWWW.PALUNGJIT.COM

181
น้ำใจหรือน้ำตาถ้าเลือกได้
มนุษย์
อุบัติเพิ่มหรือหลุดจากโลกหล้า
เพียงเพื่อพบพึ่งพรากจากเวลา
เพียงผ่านพรายสายน้ำตาแห่งอาดูร

ชีวิตมนุย์
สมมุติสูงสุดจากจุดศูนย์
เลิศเลอสูงค่าน่าเทิดทูน
ใช่ตระกูลสูงส่งจากองค์อินทร์

ชีวิตมนุษย์
สมมุติสูงสุดใช่สุดสิ้น
ยากจนต้อยต่ำย่ำติดดิน
มาแบ่งบิ่นบอกค่าราคาใคร

แต่...ทว่ามนุษย์
สมมุติสูงสุดกว่าค่าไหน
ดีเลวบริสุทธิ์ใช่อื่นใด
คือค่าไซร้แห่งกรรมกระทำเอง

ดังนั้นมนุษย์
มองให้ผ่านผาดผุดสมมุติเพ่ง
เข้าให้ถึงปรมัตถ์สะบัดเพลง
แล้วบรรเลงคุณค่าราคาธรรม

ทำดีตอนเป็นเป็นได้น้ำใจ
โดยเกื้อกูลห่วงใยไร้สูงต่ำ
ทำดีตอนตายใครได้ทำ
มีแต่ลูกหลานทำด้วยน้ำตา

ใช่ไหม เราเหล่ามนุษย์
อุบัติเพิ่มหรือหลุดจากโลกหล้า
เพียงเพื่อพบพึ่งพรากจากเวลา
เพียงผ่านพรายสายน้ำตาแห่งอาดูร[/
size] :090:

182
บทความ บทกวี / คำตอบจากฟ้า
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 10:14:58 »
คำตอบจากฟ้า
ขอถามฟ้า พระเจ้าข้าฯ วอนช่วยตอบ

กราบนบน้อม วันทา มาแจ้งไข
แท้จริงนั้น ชีวิตนี้ คืออะไร
ถึงยากเย็น เข็นใจ เป็นหนักหนา 
 พระเจ้าข้าฯ ท่านตอบมา ว่าชีวิต
คือลิขิต แห่งวัฏฏา น่าสงสาร
เกิดกายา ด้วยธรรมมา ปรากฏการณ์
อยู่เพื่องาน หน้าที่ วิถีตน
เกิดด้วยกฏ ตายด้วยกฏ มิปดเจ้า
อย่าโง่เขลา มัวโทษข้า ว่าขีดเขียน
หากชีวิต เฝ้ารอคอย และติเตียน
เจ้ามิเพียร ก็มิเห็น ในเส้นทาง
บุญไม่ทำ กรรมก็ก่อ อย่าขอพร
แม้วิงวอน สักเท่าไร ไม่เห็นผล
หากทำดี มีบุญนำ คอยค้ำจน
อันกุศล จะก่อเกื้อ ทุกเมื่อเอย...... 

183
พระป่า

พระภิกษุในพระพุทธศาสนาแบ่งออกได้เป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายคันถธุระ และฝ่ายวิปัสสนาธุระ ฝ่ายคันถธุระ ศึกษาพระปริยัติธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดความรอบรู้ในหลักธรรม เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ และสั่งสอนผู้อื่นต่อไป พระภิกษุฝ่ายนี้เมื่อศึกษาแล้วจะเกิดปัญญาที่เรียกว่า สุตตามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้จากภายนอกโดยการฟังการเห็นเป็นต้น ส่วนใหญ่พระภิกษุฝ่ายคันถธุระ มักจะอยู่ที่วัดในเมืองหรือหมู่บ้าน เพื่อความสะดวกในการแสวงหาความรู้เพื่อตนเองจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ และได้ใช้ความรู้นั้น ๆ สั่งสอนผู้อื่นได้ง่าย ได้บ่อยครั้งและได้เป็นจำนวนมาก จึงเรียกพระภิกษุฝ่ายนี้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นฝ่ายคามวาสี หรือพระบ้าน


           อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าฝ่ายวิปัสสนาธุระ นำเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จริงจังโดยเน้นที่การฝึกจิตในด้านสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญาในลักษณะของภาวนามยปัญญา อันเป็นความรู้ที่แท้จริงตามหลักของพระพุทธศาสนา เป็นปัญญาที่เกิดจากภายในผุดเกิดขึ้นเองเมื่อได้ปฏิบัติสัมมาสมาธิ จนถึงระดับหนึ่งคือ จตุตถฌานแล้วกระทำในในให้แยบคายน้อมไปไปสู่ที่ใต้ต้นวิชชาสาม ซึ่งจะเป็นความรู้ตามความเป็นจริงในระดับหนึ่ง ตามกำลังความสามารถของผู้ปฏิบัตินั้น ๆ อันเป็นหนทางนำไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผลดังกล่าวจำเป็นต้องหาที่สงบสงัด ห่างไกลต่อการรบกวนจากภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้นพระภิกษุฝ่ายนี้จึงออกไปสู่ป่าเขา แสวงหาสถานที่ เพื่อให้เกิดสัปปายะแก่ตนเองที่จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างได้ผล จึงเรียกพระภิกษุฝ่ายนี้ว่า ฝ่ายอรัญวาสี หรือพระป่า หรือพระธุดงค์

           ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุทุกรูปจะเป็นพระป่า พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำชับให้ภิกษุสาวกของพระองค์ ให้ออกไปสู่โคนไม้ คูหาหรือเรือนร้าง เพื่อปฏิบัติสมาธิภาวนา

           พระพุทธเจ้าประสูติในป่า คือที่ป่าลุมพินีวัน ณ เขตติดต่อแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ตรัสรู้ที่ใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ในป่าริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เขตกรุงสาวัตถี แคว้นมคธ ทรงแสดงพระปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงกรุงพาราณสี และเข้าสู่ปรินิพพานที่ป่าในเขตกรุงกุสินาราย ตลอดระยะเวลา ๕๑ ปี พระพุทธเจ้าได้ทรงจาริกไปสั่งสอนเวไนยสัตว์ และเสด็จประทับอยู่ในป่า เมื่อมีผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาสร้างวัดถวายก็จะสร้างวัดในป่า เช่น เชตวัน เวฬุวัน อัมพวัน ลัฏฐิวัน ชีวกัมพวัน มัททกุจฉิมฤคทายวัน อันธวัน และนันทวัน เป็นต้น คำว่าวันแปลว่าป่า พระพุทธองค์จะประทับอยู่ในวัดดังกล่าวตอนช่วงพรรษา ปีหนึ่งไม่เกินสี่เดือน นอกจากนั้นจะเสด็จจาริกนอนตามโคนไม้ตามป่า

พระป่าของไทย
           พระป่าของไทย หมายถึงพระที่อยู่ตามธรรมชาติเช่นเดียวกับ พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นผู้ที่บรรพชาอุปสมบทถูกต้องครบถ้วนตามพระธรรมวินัย ไม่ผิดกฏหมายของบ้านเมือง บวชด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างเปี่ยมล้นและบริสุทธิ์ใจในบวรพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วก็มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียร ตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อให้บรรลุธรรม อันนำไปสู่การพ้นจากวัฏสงสาร ทำให้พ้นจากกองทุกข์ อันเป็นจุดหมายอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา

           ในสมัยสุโขทัยต่อเนื่องมายังสมัยอยุธยา เรามีพระภิกษุฝ่ายคามวาสี เน้นทางด้านคันถธุระ และฝ่ายอรัญวาสีเน้นทางด้านวิปัสสนาธุระ ดังจะเห็นได้ในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งที่กระทำสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแม่ทัพพม่า ได้ชัยชนะ แต่แม่ทัพนายกองหลายคนกระทำการบกพร่องได้รับการพิจารณาโทษ สมเด็จพระนพรัตน์แห่งวัดป่าแก้วและคณะ ได้เสด็จมาแสดงธรรมเพื่อให้ทรงยกโทษประหารแก่ แม่ทัพนายกองเหล่านั้น โดยยกเอาเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธองค์ผจญพญามาร ในคืนวันที่ จะทรงตรัสรู้มาเป็นอุทาหรณ์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปิติโสมนัส ซาบซึ้งในพระธรรมที่สมเด็จพระนพรัตน์วัดป่าแก้ว ทรงแสดงยิ่งนักตรัสว่า "พระผู้เป็นเจ้าว่านี้ควรหนักหนา" และได้ทรงพระราชทานอภัยโทษประหารแก่แม่ทัพนายกองเหล่านั้น

           จะเห็นว่าสมเด็จพระนพรัตน์วัดป่าแก้ว เป็นพระภิกษุฝ่ายอรัญวาสี จึงได้ชื่อนี้ และอยู่ที่วัดป่า แต่ก็มิได้ตัดขาดจากโลกภายนอก เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์สมควรที่จะออกมาสงเคราะห์ฝ่ายบ้านเมือง หรืออาจจะกล่าวโดยรวมว่า ฝ่ายศาสนจักรสงเคราะห์ฝ่ายอาณาจักร ท่านก็สามารถกระทำกิจนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก ดังนั้น พระภิกษุสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีผู้ปฏิบัติวิปัสสนาธุระ จะต้องมีความรู้ทางคันถธุระเป็นอย่างดีมาก่อน จะได้ปฏิบัติวิปัสสนาธุระได้อย่างถูกต้องตรงทาง คุณสมบัติข้อนี้ได้มีตัวอย่างมาแล้วแต่โบราณกาล

           ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีพระภิกษุที่เป็นแบบอย่างของพระป่าในปัจจุบัน เป็นที่รู้จักกันดีคือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส กรุงเทพ ฯ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทั้งสามท่านมีกิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือ ในดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ทั้งในประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศพม่า สำหรับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นพระภิกษุที่มีศิษย์เป็นพระป่ามากที่สุดสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ท่านได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ และมรณภาพ เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๙๖ นับจากปี พ.ศ.๒๔๖๐ จนมรณภาพท่านได้ออกสั่งสอนศิษย์เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงสุด โดยเน้นภาคปฏิบัติที่เป็นจิตภาวนาล้วน ๆ ตามแนวทางพระอริยมรรคมีองค์แปด เมื่อกล่าวโดยย่อได้แก่ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

 

ปัจจัยสี่ของพระป่า
           ปัจจัยที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพื่อให้พอเหมาะแก่การดำรงชีวิตอยู่สำหรับการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้สี่อย่าง พระป่าของไทยได้นำมาประพฤติปฏิบัติจนถือเป็นนิสัยคือ

           ๑. การออกเที่ยวบิณฑบาตมาเลี้ยงชีพตลอดชีวิต การบิณฑบาตเป็นงานสำคัญประจำชีวิต ในอนุศาศน์ท่านสั่งสอนไว้มีทั้งข้อรุกขมูลเสนาสนะ และข้อบิณฑบาต การออกบิณฑบาต พระผู้มีพระภาคทรงถือเป็นกิจจำเป็นประจำพระองค์ ทรงถือปฏิบัติเพื่อโปรดเวไนยสัตว์อย่างสม่ำเสมอตลอดมาถึงวันปรินิพพาน

           การบิณฑบาต เป็นกิจวัตรที่อำนวยประโยชน์แก่ผู้บำเพ็ญเป็นเอนกปริยาย กล่าวคือ เวลาเดินบิณฑบาตไปในละแวกบ้าน ก็เป็นการบำเพ็ญเพียรไปในตัวตลอดเวลาที่เดิน เช่นเดียวกับเดินจงกรมอยู่ในสถานที่พักประการหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถในเวลานั้นประการหนึ่ง ผู้ที่บำเพ็ญทางปัญญาโดยสม่ำเสมอ เมื่อเวลาเดินบิณฑบาต เมื่อได้เห็นหรือได้ยินสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาสัมผัสทางทวารย่อมเป็นเครื่องเสริมสติปัญญา และถือเอาประโยชน์จากสิ่งนั้น ๆ ได้โดยลำดับประการหนึ่ง เพื่อตัดความเกียจคร้านของตนที่ชอบแต่ผลอย่างเดียว แต่ขี้เกียจทำเหตุที่คู่ควรแก่กันประการหนึ่ง และเพื่อตัดทิฏฐิมานะถือตน รังเกียจต่อการโคจรบิณฑบาต อันเป็นลักษณะของการเป็นผู้ขอ

           เมื่อได้อะไรมาจากบิณฑบาตก็ฉันอย่างนั้น พอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่พอกพูนส่งเสริมกายให้มาก อันจะเป็นข้าศึกต่อความเพียรทางใจให้ก้าวหน้าไปได้ยาก การฉันหนเดียวในหนึ่งวันก็ควรฉันเถิดแต่พอประมาณ ไม่ให้มากเกินไป และยังต้องสังเกตด้วยว่าอาหารชนิดใดเป็นคุณแก่ร่างกาย และเป็นคุณแก่จิต เพื่อให้สามารถปฏิบัติสมาธิภาวนาได้ด้วยดี

           ๒. การถือผ้าบังสุกุลจีวรตลอดชีวิต ในสมัยพุทธกาล พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญพระมหากัสสปะว่า เป็นผู้เลิศในการทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร

           ผ้าบังสุกุล คือผ้าที่ถูกทอดทิ้วไว้ตามป่าช้า เช่นผ้าห่อศพ หรือผ้าที่ทิ้งไว้ตามกองขยะ ซึ่งเป็นของเศษเดนทั้งหลาย ไม่มีใครหวงแหน พระภิกษุเอามาเย็บติดต่อกันตามขนาดของผ้าที่จะทำเป็นสบง จีวร สังฆาฏิ ได้ประมาณแปดนิ้วจัดเป็นผ้ามหาบังสุกุล ผ้าบังสุกุลอีกประเภทหนึ่งที่เป็นรองลงมา ผู้ที่มีจิตศรัทธานำผ้าที่ตนได้มาด้วยความบริสุทธิ์ไปวางไว้ในสถานที่พระภิกษุเดินจงกรมบ้าง ที่กุฏิบ้าง หรือทางที่ท่านเดินผ่านไปมา แล้วหักกิ่งไม้วางไว้ที่ผ้า หรือจะจุดธูปเทียนไว้ พอให้ท่านรู้ว่าเป็นผ้าถวายเพื่อบังสุกุลเท่านั้น

           ๓. รุกขมูลเสนาสนัง ถือการอยู่โคนไม้ในป่าเป็นที่อยู่อาศัย มหาบุรุษโพธิสัตว์ก่อนทรงตรัสรู้ในระหว่างที่แสวงหาโมกขธรรมอยู่หกปี ก็ได้มีความเป็นอยู่อย่างนี้มาโดยตลอด ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำพระสาวกให้เน้นการอยู่ป่าเป็นส่วนใหญ่ จำทำให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้ากว่าการอยู่ที่อื่น

           ๔. การฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าตลอดชีวิต เป็นการฉันยาตามมีตามได้ หรือเที่ยวแสวงหายาตามป่าเขา อันเกิดตามธรรมชาติเพื่อบรรเทาเวทนาของโรคทางกายเท่านั้น



กิจวัตรของพระป่า
           กิจวัตรที่สำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นแนวปฏิบัติของพระป่า ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำมีอยู่สิบประการคือ
           ๑. ลงพระอุโบสถในอาวาสหรือที่ใด ๆ มีพระภิกษุตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป ต้องประชุมกันลงฟังพระปาฏิโมกข์ ทุก ๑๕ วัน (ครึ่งเดือน)
           ๒. บิณฑบาตเลี้ยงชีพตลอดชีวิต
           ๓. ทำวัตรสวดมนต์ เช้า - เย็นทุกวัน เว้นแต่เจ็บไข้อาการหนัก พระป่าจะทำวัตรสวดมนต์เอง ไม่ได้ประชุมรวมกันทำวัตรสวดมนต์เหมือนพระบ้าน
           ๔. กวาดเสนาสนะ อาวาส ลานพระเจดีย์ ลานวัด และบริเวณใต้ต้นมหาโพธิ ถือเป็นกิจวัตรสำคัญ เป็นเครื่องมือขจัดความเกียจคร้านมักง่ายได้เป็นอย่างดี พระวินัยได้แสดงอานิสงส์ไว้ ห้าประการ คือ หนึ่งในห้าประการนั้นคือ
ผู้กวาดชื่อว่าเป็นผู้ดำเนินตามคำสั่งสอนของพระศาสดา เบื้องหน้าแต่ตายเพราะทำลายขันธ์ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
           ๕. รักษาผู้ไตรครองคือ สังฆาฏิ จีวร และสบง
           ๖. อยู่ปริวาสกรรม
           ๗. ปลงผม โกนหนวด ตัดเล็บ
           ๘. ศึกษาสิกขาบท และปฏิบัติอาจารย์
           ๙. แสดงอาบัติคือ การเปิดเผยโทษที่ตนทำผิดพระวินัยที่เป็นลหุโทษ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งให้ทราบ และสัญญาว่าจะสำรวมระวังมิให้เกิดทำผิดเช่นนั้นอีก
           ๑๐. พิจารณาปัจจเวกขณะทั้งสี่ ด้วยความไม่ประมาท คือ พิจารณาสังขาร ร่างกาย จิตใจ ให้เป็นของไม่เที่ยงถาวรที่ดีงามได้ยาก ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อเป็นอุบายทางปัญญาอยู่ตลอดเวลาในอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน

ธุดงควัตรของพระป่า
           ธุดงค์ที่พระผู้มีพระภาคให้ปฏิบัติเพื่อขจัดกิเลสที่ฝังอยู่ภายใจจิตใจของปุถุชน มีอยู่ ๑๓ ข้อ ดังนี้
           ๑. ปังสุกูลิกังคะ ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
           ๒. เตจีวริกังคะ ถือใช้ผ้าเพียงสามผืนเป็นวัตร
           ๓. ปิณฑปาติกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
           ๔. สปทานจาริกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร เพื่อเป็นความงามในเพศสมณะในทางมรรยาท สำรวมระวังอยู่ในหลักธรรม หลักวินัย
           ๕. เอกาสนิกังคะ ถือการฉันมื้อเดียวเป็นวัตร เพื่อตัดกังวลในเรื่องการฉันอาหารให้พอเหมาะกับเพศสมณะให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย ไม่รบกวนคนอื่นให้ลำบาก
           ๖. ปัตตปิณฑิกังคะ คือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร ฉันเฉพาะในบาตร เพื่อขจัดความเพลิดเพลินในรสอาหาร
           ๗. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ถือการห้ามฉันภัตอันนำมาถวายเมื่อภายหลังเป็นวัตร
           ๘. อารัญญิกังคะ ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
           ๙. รุกขมูลิกังคะ ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร ข้อนี้ตามแต่กาลเวลาและโอกาสจะอำนวยให้
           ๑๐. อัพโภกาลิกังคะ ถือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร ข้อนี้ก็คงตามแต่โอกาส และเวลาจะอำนวยให้
           ๑๑. โสสานิกังคะ ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติให้เหมาะกับเวลาและโอกาส
           ๑๒. ยถาสันถติกังคะ ถือการอยู่เสนาสนะแล้วแต่เข้าจัดให้ มีความยินดีเท่าที่มีอยู่ไม่รบกวนผู้อื่น อยู่ไปพอได้บำเพ็ญสมณธรรม
           ๑๓. เนสัชชิกังคะ ถือการ ยืน เดิน นั่ง อย่างเดียว ไม่นอนเป็นวัตร โดยกำหนดเป็นคืน ๆ ไป

เครื่องบริขารของพระป่า
           เครื่องบริขารของพระป่า ตามพระวินัยกล่าวไว้มีสองชนิด คือ บาตรดินเผา และบาตรเหล็ก ปัจจุบันใช้บาตรเหล็กที่ระบมด้วยไฟ เพื่อป้องกันสนิม

           สบงหรือผ้านุ่ง จีวรหรือผ้าห่ม และสังฆาฏิ เป็นบริขารที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุ ผ้าเหล่านี้พระป่าจะทำกันเองตั้งแต่การตัดเย็บ ย้อมด้วยน้ำแก่นขนุนเรียกว่า ย้อมด้วยน้ำฝาด

           บริขารอื่นนอกจากบริขารแปดแล้ว ก็มีกลดพร้อมมุ้งกลด ในฤดูฝนสามารถใช้แทนร่มในเวลาออกบิณฑบาต นอกจากนี้ก็มีผ้าอาบน้ำฝนใช้นุ่งอาบน้ำ ผ้าอาบน้ำฝนนี้จะใช้หินแดงที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาฝนเป็นสีสำหรับย้อม ผ้าที่ย้อมด้วยหินแดงนี้ จะมีสีแดงเป็นส่วนใหญ่ หินแดงนี้ยังใช้ผสมกับสีแก่นขนุนเพื่อย้อมสบงจีวร และสังฆาฏิได้อีก นอกจากนี้ผ้าปูที่นอน ผ้านิสีทนะสำหรับใช้ปูนั่ง ผ้าอังสะ ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก ย่ามสำหรับใส่ของ เมื่อถึงเวลาออกเที่ยววิเวกตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ ท่านจะซักย้อมผ้าของท่านเพื่อให้สีทนทาน บางทีไปนานสองสามเดือน ก็จะเคี่ยวแก่นขนุนเก็บติดตัวไปด้วย
 

184
เปรตปากเน่า   
กาลเมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงเปรตปูติมุขเปรต (เปรตปากเน่า) ให้เป็นต้นเหตุ แล้วจึงทรงตรัสเทศนาว่า

 กาลเมื่อพระศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกุลบุตร ๒ คน ได้มีศรัทธาออกบวชในพระศาสนา เป็นผู้มีความประพฤติเคร่งครัด มีอาจารมรรยาทดี เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ได้พำนักอาศัยอยู่ในอาวาสที่สร้างอยู่ ณ ชนบทแห่งหนึ่ง

กาลต่อมา มีภิกษุรูปหนึ่ง ได้เดินทางมาจากหัวเมืองที่ห่างไกล ได้มาขออาศัยอยู่ด้วยกับภิกษุผู้ทรงศีลทั้งสองรูปในอาวาสนั้น

พระเถระเจ้าทั้งสอง ก็มีจิตกรุณา อนุญาตให้ภิกษุรูปนั้นได้อยู่อีกทั้งยังทำการดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี

กาลต่อมาภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้น ได้คิดขึ้นมาว่า อาวาสแห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีหมู่ไม้ใหญ่อันให้ร่มเงา อุดมไปด้วยน้ำท่า อยู่แล้วร่มเย็นสบาย อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ชาวบ้านก็มีจิตศรัทธาบริจาคทานสมบูรณ์มิได้ขาด ถ้าเราจักอยู่ต่อไปในอาวาสนี้ คงมิได้รับความยากลำบากใดๆ แต่ก็คงจะมีเหตุให้ไม่สบายใจอยู่ดี เป็นเพราะภิกษุเก่าทั้งสองรูปนั้น ยังคงอยู่ที่นี้ด้วย

ผู้คนชนทั้งหลาย ก็อาจจะคิดได้ว่า เราเป็นศิษย์ของพระเก่าทั้งสอง ลาภสักการะอันเลิศพึงจะมีแก่เราผู้เดียว ก็ต้องแยกแตกแบ่งให้แก่ภิกษุเก่าทั้งสองนั้น กว่าจะมาถึงเราลาภนั้นๆ ก็คงจะเป็นชนิดเลวแล้ว เห็นทีเราจะต้องหาวิธียุแหย่ ให้ภิกษุเก่าทั้งสองแตกแยกทะเลาะวิวาทกัน จะได้ต่างคนต่างไปเสียจากอาวาสนี้

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุเก่าผู้เป็นพระเถระสูงสุด ก็ให้โอวาทแก่ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าตามธรรมเนียม เสร็จแล้วก็กลับไปยังกุฏีของตน

ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็เข้าไปหา แล้วกล่าวว่า ?ข้าแต่พระอาจารย์ผู้เจริญ พระเถระอีกองค์ที่เป็นสหธรรมิกของท่าน มีวิสัยเสแสร้ง แกล้งทำตนเป็นมิตรที่ดีต่อหน้าท่าเท่านั้น เวลาลับหลังก็ติเตียน นินทา พูดจาด่าว่าดุจดังเป็นศัตรูกับท่าน?

พระเถระเจ้าพอได้ฟัง คำพูดของภิกษุอาคันตุกะ จึงกล่าวถามว่า ?เขาว่าอย่างไร?

ภิกษุอาคันตุกะ จึงตอบว่า ?พระเถระผู้เป็นเพื่อนอาจารย์กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นคนชอบโอ้อวด วางอำนาจ ชอบเสแสร้ง มากมายาลวงโลก หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีประจบคฤหัสถ์?

พระเถระผู้มีอายุ ครั้งได้ฟังจึงยิ้ม แล้วกล่าวว่า ?อย่าเลย ขอท่านอย่ากล่าวเช่นนี้ เรารู้ดีว่า เพื่อสหธรรมิกของเรา จะไม่กล่าวเช่นนั้นเป็นแน่ เรารู้จักเขามาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ เป็นผู้เคร่งครัดในศีล ขอท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีกเลย?

ภิกษุอาคันตุกะ พอได้ฟังจึงกล่าวว่า ?ถ้าท่านอาจารย์คิดอย่างนี้ก็ดีแล้ว เป็นการสมควร เพราะคุ้นเคยอยู่ร่วมกันมานาน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้านำมาพูด ก็ด้วยความเคารพรักต่อท่านอาจารย์ ถ้ามิเช่นนั้นจะมาพูดทำไม ข้าพเจ้าก็มิเคยผิดใจกับพระเถระเพื่อนท่าน สักวัน แล้วท่านอาจารย์จะรู้ความจริงเอง?

กล่าวดังนั้นแล้ว ภิกษุอาคันตุกะ ก็เข้าไปหาพระเถระผู้เป็นเพื่อนของอาจารย์ แล้วก็กล่าวยุยงขึ้นว่า ?ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าได้ยินท่านอาจารย์ผู้เป็นสหธรรมมิตรกับท่าน กล่าวตำหนิติว่า ท่านเป็นบุคคลที่มักมาก จิตใจคับแคบ มีมารยาสาไถย ต่อหน้าว่าอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ด้วยความรักเคารพในท่าน ข้าพเจ้าทนฟังเขาตำหนิท่านอยู่ไม่ได้ จึงนำความมาบอกแก่ท่าน จะได้ระวังตน เพราะท่านกำลังจะไว้ใจศัตรู?

ข้างพระเถระ พอได้ฟังภิกษุอาคันตุกะ มากล่าวดังนั้น จึงพูดว่า ?อย่าเลย ท่านอย่ามากล่าวดังนี้เลย เรารู้จักเพื่อนสหธรรมิกรูปนี้ดีมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีกิริยาวาจาเรียบร้อยงดงาม สำรวมระวังอยู่ในศีล เรามิเคยเห็นแม้สักครั้งที่เขาจะประพฤติทุจริต?

ภิกษุอาคันตุกะจึงกล่าวขึ้นว่า ?ไม่เป็นไร ท่านมิเชื่อข้าพเจ้าก็ไม่เป็นไร สักวันหนึ่งความจริงก็จะต้องปรากฏ ที่ข้าพเจ้ามาพูดมาเตือนเพราะหวังดี ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร? กล่าวเช่นนั้นแล้ว ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ก็กลับไปยังที่พักของตน

วันต่อมา ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็แวะเวียนเข้าไปหาพระเถระทั้งสอง แล้วก็พูดจายุแยงใส่ไคร้ให้ทั้งสองผิดใจกัน ทำอยู่เช่นนี้บ่อยครั้ง จนในที่สุด พระเถระทั้งสองต่างฝ่ายต่างคิดว่า ดูท่าเรื่องเหล่านี้คงจะเป็นจริง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดจาซึ่งกัน และไม่ร่วมทำกิจวัตร ไม่สมาคมต่อกัน แม้ที่สุดก็ไม่เคารพนับถือต่อกัน

เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ไม่นานพระเถระทั้งสองก็เก็บบาตรและบริขารออกเดินทางจากวัดไปคนละทาง

ภิกษุอาคันตุกะ ครั้นเห็นว่าแผนการยุแหย่ของตนมีผลสำเร็จ เป้นเหตุให้พระเถระทั้งสองผิดใจกัน จนต่างฝ่ายต่างพากันทิ้งวัดหนีไปเสีย ภิกษุผู้มีความปรารถนาชั่วช้าก็รื่นเริงยินดี พอถึงเวลาเช้าก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงกล่าวถามภิกษุนั้นว่า ?พระเถระทั้งสองไปไหน?

ภิกษุนั้นจึงตอบว่า ?พระเถระทั้ง ๒ ทะเลาะกันทั้งคืนยันรุ่ง แม้เราจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง พอรุ่งเช้าต่างก็เก็บข้าวของหนีออกจากวัดไม่รู้ว่าไปทางไหน?

ชาวบ้านจึงกล่าวว่า ?ถึงพระเถระทั้งสองจะหนีไปแล้ว แต่ขอท่านจงอยู่ในวัดนี้เพื่อที่จะอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้าให้ได้ทำบุญ ฟังธรรม?

ภิกษุผู้คิดชั่วนั้นจึงรับว่า ?ได้ซิโยม อาตมาจะพำนักอยู่ในอาวาสนี้ เพื่อที่จะได้ดูแลรักษาอาวาสของพวกท่านต่อไป?

จำเนียรกาลเนิ่นนานมา ภิกษุนั้นเมื่อได้เป็นใหญ่ในอาวาส อีกทั้งต้องอยู่แต่ลำพังผู้เดียว ก็รู้สึกโดดเดี่ยว หงอยเหงา เศร้าซึม เหตุเพราะวันๆ ก็ไม่มีผู้ใดจะมาพูดคุยด้วย จะเจอหน้าผู้คนก็ตอนไปบิณฑบาต แต่ก็มิได้พูดได้คุย กลับมาวัดฉันอาหารก็ต้องอยู่คนเดียว สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเป็นภิกษุผู้ทรงศีลเจริญธรรมก็ต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เป็นลาภอย่างยิ่ง เพราะจะได้มีโอกาสเจริญภาวนากัมมัฏฐาน แต่ภิกษุรูปนี้หาได้มีความสำรวมในศีลไม่ อีกทั้งยังมิได้เคยเจริญภาวนาใดๆ เลย จิตก็กำเริบกระสับกระส่าย ไม่สามารถหาความสุขจากความสงบได้ คุ้นเคยแต่จะระคนปนอยู่กับหมู่คณะ ครั้นเมื่อขาดหมู่คณะไป ใจก็เศร้าหมอง ทั้งยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมนะตอนพระเถระทั้งสองรูปอยู่อาศัยภายในวัด จึงมีผู้คนไปมาหาสู่ท่านทั้งสองอยู่เนืองนิจ พร้อมทั้งนำลาภสักการะมาถวายให้ท่านทั้งสองอยู่เนืองๆ แต่เวลานี้ ที่นี่ไม่มีพระเถระทั้งสองแล้ว หมู่ชนผู้คนต่างก็พากันหดหาย ไม่มาให้เห็นหน้า ลาภที่เกิดจากหมู่ชนเหล่านั้น ที่เราหวังจะได้เลยพลอยหดหายไปด้วย เรานี่มันซวยจริงๆ นี่ถ้าเราไม่ไปยุแหย่ท่านผู้ทรงศีลทั้งสองให้แตกร้าวกัน แล้วต่างพากันหนีไป ป่านนี้ลาภเหล่านั้นคงจะมากมีแก่เราไปด้วย เราได้ทำผิดเสียแล้ว ดันไปยุแหย่ให้ผู้ทรงศีลทั้งสองแตกกัน แล้วเอกลาภที่หวังจะได้ก็มิได้เกิดแก่เรา ประโยชน์อันใดเราจะอยู่เฝ้าวัดเก่าๆ กุฏิผุๆ

ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามกชั่วช้านั้น เฝ้าครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นจนถึงกับเกิดอาการเศร้าซึมล้มป่วยลง อีกทั้งมิมีผู้ใดคอยดูแล ก็ยิ่งคิดเสียใจว่า เมื่อครั้งที่พระเถระทั้งสองยังอยู่ เราป่วยไข้ไม่สบาย ท่านทั้งสองยังจะคอยช่วยปรนนิบัติ ดูแลช่วยเหลือ บัดนี้เราต้องมานอนป่วยอยู่แต่ผู้เดียว โดยมิมีใครช่วยเหลือเอาใจใส่

ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ จนบังเกิดลมกำเริบขึ้นภายใน ดันหัวใจให้หยุดเต้น ตายลงในที่สุด

ภิกษุนั้นเมื่อตายลงแล้ว ด้วยอำนาจผลกรรมชั่วที่ตนทำ ส่งให้ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี หมกไหม้เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในนรกขุมนั้นเป็นเวลานานแสนนาน

กล่าวฝ่ายพระเถระทั้งสอง ต่างองค์ต่างออกเดินทางรอนแรมไปทั่วครามนิคมชนบท ในที่สุดก็มาพบกัน ณ อาวาสแห่งหนึ่ง และก็พากันทักทายปราศรัย เล่าเหตุทั้งหลาย ที่ได้ฟังมาจากปากของภิกษุ อาคันตุกะผู้ปรารถนาชั่วนั้น ทั้งสองรูป

ครั้นพระเถระทั้งสองได้ทราบความจริงของกันและกันแล้ว ก็ชักชวนกันกลับไปยังอาวาสเดิมของตน

หมู่คนชนชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อได้เห็นพระเถระทั้งสองกลับมาสู่อาวาส ก็พากันยินดี ออกจากบ้านนำเอาเครื่องใช้ น้ำฉัน มาถวายแด่พระเถระที่ตนเคารพเลื่อมใส แล้วก็กล่าวว่า บัดนี้ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้นได้ป่วยตายเสียแล้ว

พระเถระทั้งสอง พอได้สดับข่าวอวมงคลเช่นนั้น ก็บังเกิดธรรมสังเวช เมื่อชาวบ้านพากันกลับไปยังเรือนของตนหมดแล้ว พระเถระทั้งสองก็ชักชวนกันเจริญสติทำสมาธิภาวนา ยังญาณปัญญาให้เกิดเห็นธรรมชาติแท้ของชีวิตและสรรพสิ่งว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ไม่มีใคร สิ่งใดดำรงอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย จิตก็คลายจากความยึดมั่นถือมั่น บรรลุอรหันตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ

ข้างฝ่ายภิกษุผู้ปรารถนาชั่วช้านั้น เมื่อตายแล้วไปตกอยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นเวลาไปตลอด ๑ พุทธันดร จึงได้พ้นจากขุมนรกนั้น แล้วมาบังเกิดเป็นเปรต

ผู้มีรูปกายสีทองเหลืองอร่าม แต่มีปากอันเน่า มีหมู่หนอนชอนไชกัดกินลิ้นและปากร่วงหล่นออกมาจากปากอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปากนั้นมีกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวนไปทั่วกายของเปรตนั้น

 ขณะนั้นพระนารทะเถระเจ้า เดินลงมาจากยอดเขาคิชฌกูฏถิ่นที่พำนัก ระหว่างทางได้มาพบเปรตผู้มีกายเรืองรองดุจทอง เดินวนเวียนไปมา มีหมู่หนอนชอนไชล่วงหล่นลงมาจากปากดุจดังลำธารที่ไหลจากหินผา มีกลิ่นดังเนื้อเน่า พระเถระเจ้าจึงกล่าวถามว่า ?ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุไฉนรูปกายและปากเจ้าจึงมีสภาพดังนี้?

 เปรตภิกษุอาคันตุกะนั่น จึงกล่าวตอบว่า ?อดีตสมัยพระศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่าพระกัสสปะ ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา ออกบวชปฏิบัติในพระธรรมคำสอนพระบรมศาสดา เหตุนี้จึงทำให้กายของข้าพเจ้ามีสีเรืองรองดังทอง ครั้นต่อมาเกิดความประมาทมัวเมา หลงอยู่ในลาภสักการะและเกียรติภูมิ จึงได้กระทำกรรมชั่วด้วยการกล่าววาจายุแหย่ พระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม ๒ รูป ผู้เป็นสหายกัน ให้แตกแยก แล้วหนีออกจากอาวาสที่ข้าพเจ้าต้องการจะครอบครอง ด้วยเห็นแก่ลาภที่จะบังเกิดแก่ข้าพเจ้าคนเดียว

เมื่อพรเถระทั้งสองไปแล้ว ลาภมิได้เกิดดังปรารถนา เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเสียใจจนล้มป่วยแล้วตายลงในที่สุด

กรรมอันนั้น นำพาข้าพเจ้าไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในอเวจีสิ้นเวลา ๑ พุทธันดร ครั้นพ้นจากนรกขุมนั้นแล้ว เศษกรรมอันนั้นยังส่งผลให้ข้าพเจ้าเป็นเปรตผู้มีรูปกายและปากดังที่ท่านผู้เจริญได้เห็นในเวลานี้นี่แหล่ะ

เปรตนั้นจึงกล่าววาจาสุภาษิตแก่พระมหาเถระนารทะ ต่อไปว่าท่านผู้เจริญได้รู้เห็นรูปกายและปากของข้าพเจ้าดังนี้แล้ว โปรดจงจำนำเอาไปอบรมสั่งสอน มหาชนคนทั้งหลายว่าอย่าทำกรรมชั่วด้วยปาก อย่างใช้ปากเป็นเหตุให้พาตนไปบังเกิดในนรก อย่างสร้างความทุกข์ทรมานด้วยปากของตนเลย มิเช่นนั้นจะมีสภาพเดียวกันกับข้าพเจ้า

พระนารทะเถระเจ้า พอได้ฟังคำของเปรตปากเน่าดังนั้นแล้ว จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมสุคตเจ้า แล้วเล่าเรื่องทั้งปวงที่ตนได้เห็นได้ฟัง ถวายแด่พระพุทธองค์ให้ทรงทราบ

 พระพุทธองค์ จึงทรงยกเรื่องเปรตปากเน่านั้นให้เป็นเหตุ แล้วทรงโปรดแสดงธรรมสั่งสอนพระภิกษุและประชุมชนทั้งปวงให้ละวจีทุจริต ตั้งมั่นอยู่ในวจีสุจริต คือ งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ งดเว้นจากการพูดคำหยาบ แล้วปฏิบัติวจีสุจริตจะได้รับผลเป็นสุข ไม่ต้องตกนรกเพราะคำพูดของตน


--------------------------------------------------------------------------------

185


 วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณดึกดำบรรพ์มาก เท่า ๆ กับองค์พระธาตุพนม ในตำนานพระธาตุพนมนั้น พระโบราณาจารย์ท่านจดหมายเหตุไว้ว่า พระธาตุพนมสร้างครั้งแรกโดยพญาทั้ง ๕ หัวเมือง พระมหากัสสปะเป็นประธานพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ นำพระอุรังคธาตุจากชมพูทวีปที่กรุงราชคฤห์เพื่อจำพรรษาและทำปฐมสังคายนาพระธรรมวินัยดังนี้
 

        ถ้าถือตามนี้ก็คำนวณได้ว่า สร้างพระธาตุพนมยุคแรก เมื่อพระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานแล้วราวไม่เกิน ๒ เดือน เพราะทำปฐมสังคายนา เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้ ๓ เดือน ( เดือน ๙ เพ็ญ ) สร้างครั้งแรกได้เพียงชั้นเดียว
       ครั้นต่อมาตำนานบอกว่า พระพุทธเจ้าเสด็จนิพพานแล้ว ๗ ปี ๗ เดือน ( ที่จริง ๖ เดือน ) ถึงเดือน ๑๒ เพ็ญ วันพุธพญาอินทร์สั่งให้วิสสุกัมมเทวบุตรลงมาสลักลวดลายพระเจดีย์ให้ละเอียดวิจิตรต่าง ๆ ซึ่งปรากฏในตอนต้นแล้ว และในคืนวันนั้นพญาอินทร์เป็นประธานแห่งเทพทั้งหลายทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่ชนชั้นจาตุมมหาราชขึ้นไป ได้มาชุมนุมกันเฉลิมฉลองตลอดคืนยังรุ่ง ก่อนกลับและเลิกได้มอบให้เทวดา ๔,๐๐๖ พระองค์รวมทั้งหัวหน้าและเทวบุตรผู้มีฤทธิ์อีก ๓ ตน ให้คอยดูแลปกปักรักษาพระบรมธาตุ เหตุนั้นพระธาตุพนมจึงปรากฏว่าศักดิ์สิทธิ์กว่าพระเจดีย์ทั้งหลายอื่นเป็นพิเศษ เรื่องนี้ผู้ใกล้ชิดและผู้เคยไปกราบไหว้บูชาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจตนเอง
   
 
    วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
 
   

          โบราณจึงย่อคัมภีร์อุรังคนิทานให้สั้นแล้วใส่ศักราชเข้าไปว่า พระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานไปแล้วได้ ๗ ปี ปลาย ๗ เดือน เดือน ๑๒ วันพุธ เกณฑ์ฤกษ์ชื่อว่า ?กัตติกา? มีพระมหากัสสปะเถรเจ้าพร้อมด้วยอรหันตา ๕๐๐ ได้นำพระอุรังคธาตุมาบรรจุไว้ในอุโมงค์ มีพญาทั้ง ๕ ได้สร้างไว้ต้อนรับ ดังนี้ คนต่อมาก็เลยถือเอาว่า สร้าง พ.ศ. ๘ ที่จริงใน พ.ศ. ๘ ( ล่วงแล้ว ๗ ปี ๖ เดือนเศษ ) ที่กล่าวนี้เป็นปีฉลองใหญ่เมื่อสลักลวดลายเสร็จต่างหาก พระธาตุได้สร้างมาก่อนนั้นแล้ว

           พระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้ ๕๐๐ ปี พญาทั้ง ๕ ที่สร้างพระธาตุพนมยุคแรกได้จุติมาเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕ ได้เดินทางมาขอความอุปถัมภ์บูรณะพระเจดีย์ธาตุพนมที่เรียกในสมัยนั้นว่า ?อุโมงค์ภูกำพร้า? กับพญาสุมิตธรรมวงศา หรือสุมินทราชกษัตริย์องค์ครองเมืองมรุกขนคร ที่ย้ายจากศรีโคตบูร

           พระเจ้าสุมิตธรรมวงศา ได้ให้พละเอวะอำมาตย์ คุมประชาชนมาถากถางปรับปรุงบริเวณภูกำพร้า ต่อเติมพระเจดีย์ขึ้นเป็นชั้นที่ ๒ ก่อกำแพงรอบทั้ง ๔ ด้าน ย้ายพระอุรังคธาตุจากพื้นล่างขึ้นตั้งไว้ที่บน ตรงปากระฆังคว่ำชั้นบน อันเป็นปากระฆังเดี๋ยวนี้ มียอดและระฆังคงไม่สูงเท่าไหร่ สร้างวิหารให้พระเถระทั้ง ๕ อาศัย ได้แก่ เนินพระอรหันต์ทั้ง ๓ ด้าน คือ เหนือได้แก่หอพระนอน ทิศใต้ได้แก่ เนินหินแลงริมคูรอบพระธาตุข้างกุฏิศิลาภิรัตน์รังสฤษฏิ์ ด้านทิศตะวันตก ได้แก่ วิหารเล็กบนเนินพระอรหันต์ที่ปลูกโพธิ์พุทธคยา ปรับปรุงเป็นลานโพธิ์ และสร้างมหารัตนศาลาไว้หลัง สร้างวิหารและพระพุทธสัมโพธิญาณไว้ด้านหน้า ออกประตูหลังพระธาตุไปท่านจะพบเห็นทันที
            เมื่อเราถือตำนานที่กล่าวมานี้เป็นหลัก ก็จับใจความได้ว่า ในสมัยพญาสุมิตธรรมวงศา เมือมรุกขนคร พุทธศักราชประมาณ ๕๐๐ ปี ได้มีพระภิกษุเถระมาอยู่ภูกำพร้าวัดพระธาตุพนมเป็นครั้งแรก และทางบ้านเมืองอุปถัมภ์ ได้สร้างกุฏิวิหารให้อยู่ ๓ หลัง ๓ ด้านขององค์พระธาตุพนมเป็นครั้งแรก แต่พญาทั้ง ๕ ได้สร้างอุโมงค์ไว้ จะถือว่าเริ่มเป็นวัดแต่นั้นมาก็อาจจะถือได้ แต่ไม่มีเรื่องติดต่อมา
           พญาสุมิตธรรมวงศาเป็นองค์แรกที่สละผู้คน ๗ บ้าน เป็นคน ๓,๐๐๐ คน ให้มาตั้งบ้านโดยรอบพระธาตุในวัดก็คงมีพระภิกษุสามเณรอยู่เฝ้ารักษา แต่ตำนานมิได้กล่าวถึง
           การสร้างวัดพระธาตุพนม สร้างคร่อมองค์พระธาตุ คือ มีวัดทั้ง ๔ ด้าน เรียกหัวหน้าคณะทั้ง ๔ ว่าเจ้าด้านทั้ง ๔ อย่างเจดีย์สำคัญทางลานนาและล้านช้าง คือ พระธาตุลำพูน พระเจดีย์หลวง มักมีวัดตั้งรอบอยู่ทั้ง ๔ ทิศ
           ผู้สร้างครั้งแรกคงเป็นพญาสุมิตธรรมวงศา เชื้อพระวงศ์กษัตริย์ศรีโคตบูรย้ายมาตั้งเป็นเมืองมรุกขนคร เพื่อให้วัดดูแลอุปัฏฐากพระบรมธาตุ และควบคุมข้าโอกาสทั้งหลาย เรื่องวัดพระธาตุพนมยุคแรก ได้เงียบหายไป พร้อมกับการร้างของเมืองมรุกขนคร ประชาชนอพยพขึ้นไปอยู่ทางเหนือ แต่เมืองล่าหนองคายไปจนถึงหนองเทวดาที่เรียกว่า ห้วยเก้าเลี้ยวเก้าคดที่ตั้งอยู่เหนือนครเวียงจันทน์เดี๋ยวนี้

   

 
        ครั้นต่อมาไทยล้านช้างได้โยกย้ายจากเหนือมาสู่ใต้ตามลำแม่น้ำโขง คือ ตั้งอยู่เมืองเซ่า หรือชวา ได้แก่ หลวงพระบางเดี๋ยวนี้ พระองค์ได้ธิดาพญาอินทปัตนคร ( กัมพูชา ) มาเป็นบาทปริจาริกา พระเจ้าตาคือพ่อของนาง ได้ถวายตำนานพระธาตุพนมแด่พญาโพธิสาล พระองค์ได้ทราบเรื่องราวพระบรมธาตุดีแล้ว ก็ให้ความอุปถัมภ์วัดพระธาตุพนมเป็นอันมาด ได้สร้างวิหารหลวงมีระเบียงโดยรอบ หลังคามุงด้วยตะกั่ว ( ดีบุก ) ทั้งสิ้น ได้สละคนเป็นข้าโอกาสเพิ่มเติมที่ขาดตกบกพร่อง สละดินถวายครอบ ๒ ฝั่งแม่น้ำโขง ให้พวกอยู่ในเขตดินแดนส่งส่วยข้าวเปลือกข้าวสารประจำปี บำรุงพระธาตุและได้สละมหาดเล็ก ๒ นาย คือ ข้าซะเองและพันเฮือนหิน ให้เป็นข้าพระธาตุ นำส่งดอกไม้ธูปเทียนเครื่องราชสักการะมาบูชาพระธาตุในวันมหาปวารณาออกพรรษาทุกๆ ปี สมัยพระไชยเชษฐาธิราช โอรสพระเจ้าโพธิสาล ย้ายเมืองหลวงมาตั้งอยู่เวียงจันทน์ ก็ได้เสด็จมาไว้พระธาตุ ตรวจตราวัดวาอยู่เสมอจนสิ้นรัชกาล แต่จดหมายเหตุไม่ได้บันทึกชื่อสมภารไว้เลย
 
   

        ต่อมา พ.ศ. ๒๑๕๗ ปรากฏในศิลาจารึกว่า ?พญานครหลวงพิชิตราชธานีศรีโคตบูรหลวง? ได้แก่เมืองนครเก่าอยู่ใต้เมืองท่าแขกฝั่งประเทศลาวเดี๋ยวนี้ ได้มาบูรณะพระธาตุ ก่อกำแพงชั้น ๒ รอบทั้ง ๔ ด้าน ถือปูนสะทายตินพระธาตุ พระภิกษุผู้รักษาวัดก็คงมีอยู่แต่ไม่ปรากฏชื่อ
           ต่อมา พ.ศ. ๒๒๓๓ - ๔๕ เป็นเวลาที่สมเด็จพระสังฆราชาสัทธัมมโชตนญาณวิเศษ ( ตามจารึกทองคำที่ค้นได้เวลาพระธาตุล้ม) แต่เรียกกันทั่วไปว่า ?เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก? ท่านองค์นี้เป็นพระมหาเถระที่มีพลังจิตสูง เป็นที่เคารพรักของประชาชน ตั้งแต่ราชสกุลลงมาถึงคนสามัญธรรมดาทั่วแผ่นดิน จึงมีชื่อเกิดขึ้นเองเช่นนั้น
          เวลานั้น ในนครเวียงจันทร์ การเมืองปั่นป่วนสับสน ท่านจึงได้นำครัวราษฎรประมาณ ๓,๐๐๐ มาตั้งปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมอยู่ราว ๑๐ กว่าปีจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ คือท่านต่อตั้งแต่ปากระฆังขึ้นไปจนสุดยอด ดังนั้นพระธาตุพนมจึงสูง ๔๓ เมตร ( ดูรูปถ่ายพระธาตุพนมองค์เดิม )
          เจ้าราชครูองค์นี้ได้นำมหัคฆภัณฑ์มีค่าเข้าบรรจุมากที่สุด เพราะมีญาติโยมและคนเชื่อถือมาก มีเจ้าศรัทธาผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยเหลือสร้างผอบสำริดบรรจุของมีค่า มีพระเจดีย์ศิลาและผอบทองคำบรรจุพระบรมอุรังคธาตุและพระสารีริกธาตุ พระพุทธรูปทองคำหนัก ๔,๗ ก.ก. และหนัก ๑๘ ก.ก. เป็นต้น บริจาคร่วมกุศลกับทานเป็นอันมากต่อมาก
       เมื่อบูรณะพระธาตุพนมเสร็จแล้ว ท่านได้พาครอบครัวญาติโยมอพยพลงไปตั้งหลักอยู่ภาคใต้ ตั้งเมืองจำปาศักดิ์ขึ้นเป็นนครหลวงปกครองชาวล้านช้างภาคใต้เป็นครั้งแรก

เข้าใจว่าวัดพระธาตุพนม ท่านคงตั้งลูกศิษย์เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไว้ดูแลรักษาแทนท่าน และปกครองข้าโอกาสทั้งหลาย แต่ตำนานมิได้ระบุไว้ว่าตั้งผู้ใด
       พ.ศ. ๒๓๔๙ - ๕๖ เป็นสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตกอยู่ในรัชกาลที่ ๒ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์มีศรัทธาได้เสด็จมาบูรณะพระธาตุและวัดพระธาตุพนม ร่วมกับพระบรมราชาสุตตา เจาเมืองนครพนม และพระจันทสุริยวงศา ( กิ่ง ) เจ้าเมืองมุกดาหารปรับปรุงบริเวณและสร้างหอพระ ทำถนนปูอิฐตั้งแต่วัดถึงฝั่งโขง กว้าง ๓ เมตร ยาว ๕๐๐ เมตรเศษ ทำฉัตรยกฉัตรใหม่ในปีสุดท้าย
         ในระยะนี้ ที่วัดพระธาตุพนมก็ต้องมีพระผู้ใหญ่เป็นหลักวัดอยู่ ปรากฏตามจารึกของพระจันทสุริยวงศา เจ้าเมืองมุกดาหาร ผู้มาบูรณะโรงอุโบสถว่า ได้ให้ข้าราชการผู้ใหญ่มาปัคคหะ คือ กราบไหว้เจ้าสังฆราชาวัดพระธาตุพนมขอโอกาสปฏิสังขรณ์ ฯลฯ บันทึกมิได้ระบุว่า สังฆราชา ( เจ้าอาวาส เจ้าคณะสงฆ์ ) มีชื่อว่าอย่างไร
         เหตุการณ์ได้ผ่านจากนั้นมานาน จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๔ พระธาตุพนมชำรุดมาก พระครูวิโรจน์รัตโนบล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีองค์แรก ได้มาเป็นหัวหน้าบูรณะซ่อมแซมชำระสะสางเหงื่อไคลพระบรมธาตุให้สะอาดสดใส เพื่อมทองคำประดับยอด และประดับแก้วกระจกที่ปากระฆัง ปรากฏวาพระอุปัชฌาย์ทาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านองค์นี้มีฝีมือช่างปั้นอยู่บ้าง ยังมีเหลือให้เห็นอยู่หลายชิ้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร

         

เป็นพระอารามหลวงชั้นไหน ?
             วัดพระธาตุพนม ได้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิด ?วรมหาวิหาร? เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓
ปูชนีย์ที่สำคัญ ประวัติการสร้างและสมโภช
           พระธาตุพนม เป็นปูชนียะสำคัญยิ่งของวัดและชาติด้วย มีคนรู้จักทั่วประเทศ การสร้างก็สร้างมาแต่พระพุทธเจ้านิพพานแล้วไม่ถึง ๒ เดือน มีการฉลองใหญ่เมื่อเดือน ๑๒ เพ็ญ วันพุธ พุทธปรินิพพานแล้วได้ ๗ ปีกับ ๖ เดือน และบูรณะใหม่มาแล้วอย่างน้อย ๓ ครั้ง จนถึงได้พังลงเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ เวลานี้ได้บูรณะองค์พระธาตุพนมเสร็จแล้ว ยังแต่บริเวณอาคารอื่นโดยรอบ มีการสมโภชใหญ่ประจำปีมาแต่โบราณ คือ แต่เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ ค่ำ จนถึง แรม ๑ ค่ำ เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน เป็นงานชั้นเอกใหญ่ยิ่งมโหฬารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พระนามและประวัติพระประธานในพระอุโบสถและพระวิหาร
           พระประธานในพระวิหาร พระนามว่า ?พระพุทธมารวิชัยศาสดา? เข้าใจว่าสร้างแต่สมัยพระเจ้าโพธิสาลราช นครหลวงพระบาง เสด็จมาสร้างพระวิหารหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๐๗๓ - ๒๑๐๒ เมื่อสร้างวิหารใหญ่เข้าใจว่าได้หล่อพระประทานไว้ประจำเลย เพราะสืบแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ก็บอกว่า เห็นประจำอยู่ในพระวิหารหอพระแก้วตั้งแต่ก่อนเกิด ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ เจ้าอาวาสได้ให้ช่างสร้างนาค ๗ เศียรแบบขอมประดับ ดูสวยงามมาก แต่เวลานี้พระธาตุล้มทับพังแล้ว คงเหลือแต่พระประทานไม่เป็นอันตราย เวลานี้ทางศิลปากรไดลงรักปิดทองและกั้นฉัตร ๕ ชั้นไว้กลางแจ้งบนฐานพระวิหาร หลังคาและผนังพระวิหาร กรมศิลปากรรื้อจะสร้างใหม่
        พระประทานในพระอุโบสถ เป็นพระปางมารวิชัยเหมือนกัน แต่มีขนาดย่อมกว่าพระประทานในพระวิหาร มีพระนามว่า ?พระองค์แสนศาสดา? เป็นพระประจำอุโบสถมานานแล้ว ที่ฐานมีจารึกเลขศักราชไว้ดังนี้ ? ศักราชได้ ๘๖๔ ตัว ? ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๓๕ ถึงปีมะแมนี้ได้ ๔๘๗ ปีแล้ว ที่ฐานมีห่วงสำหรับหาม เข้าใจว่าแต่โบราณคงเอาออกแห่เวลาตรุษสงกรานต์ พระพักตร์นูน จมูกโด่งงาม พระองค์เกลี้ยงเกลา ไม่ทราบประวัติว่าหล่อที่ไหน ใครสร้าง ดูพระพุทธลักษณะและฝีมือช่างเป็นนักปราชญ์ชั้นสูงสร้าง
         ส่วนโรงอุโบสถนั้น สร้างมานานแล้ว ต่อมา พ.ศ. ๒๓๔๙ - ๕๖ คราวเจ้าผู้ครองเวียงจันทน์ลงมาบูรณะวัดพระธาตุพนม ปรากฏตามจารึกว่า พระจันทสุริยวงศา เมืองมุกดาหาร ได้ปฏิสังขรณ์สร้างอุโบสถไว้เป็นพุทธบูชาเป็นส่วนของท่านโดยเฉพาะด้วย ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๙ ท่านพระครูศิลาภิรัต เจ้าอาวาส พร้อมด้วยหลวงพิทักษ์พนมเขต ( ท้าวสีกะทูมจันทรสาขา ) นายอำเภอธาตุพนม ลูกหลานเหลนของพระจันทสุริยวงศา ได้รื้อโรงอุโบสถเก่าที่ชำรุดสร้างใหม่ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๐ พระเทพรัตนโมลี ขอทุนฉลอง ๒๕๐๐ มาบูรณะโรงอุโบสถใหม่ คือ รื้อหลังคาแปลงเป็น ๓ ชั้น เพิ่มฝาผนังขึ้น ขยายหน้าโบสถ์ออกอีก ๗ เมตร ทำช่องประตูหน้าต่างใหม่ทุกห้อง ประตูหน้า ๓ ช่อ เป็นซุ้มกรอบประตูหน้าต่างประดับลวดลายดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

186
ในปัจจุบันนี้ เมืองไทยเราได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมทางตะวันตกมาถือเป็นขนบประเพณีปฏิบัติกันอยู่ในสังคมโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นประการหนึ่ง คือ การกำหนดให้วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์เป็น ?วันแห่งความรัก? หรือ ?วันวาเลนไทน์? ซึ่งดูจะไม่สอดคล้องกับชีวิตคนไทยที่ส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชน รวมทั้งศาสนาอื่นๆ ที่มิใช้ศาสนาคริสต์ และดูจะมีความหมายสำคัญเป็นพิเศษสำหรับเด็กวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ไปจนถึงหนุ่มสาวที่มีความต้องการทางเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ และวัยที่เหนือกว่าซึ่งยังครองความเป็นโสดโดดเดี่ยวอยู่ รูปหัวใจและดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งมีความหมายหรือเป็นสัญญลักษณ์แทนความรัก จึงได้ถูกนำออกเผยแพร่ในรูปบัตรที่สื่อความรู้สึกจากหัวใจของตน โดยจัดพิมพ์จำหน่ายเป็นพิเศษในวันนี้ ด้วยราคาที่ค่อนข้างแพง ทั้งยังมีการนำออกเผยแพร่ทางโครงข่าย Internet อีกส่วนหนึ่งด้วย

ในทางพระพุทธศาสนา ท่านได้จำแนกเรื่องความรักไว้เป็นสองประเภท คือ

๑. ความรักที่เกิดจากกามฉันทะ คือ ความเร่าร้อน ความกระหาย ที่อยากจะได้ในสิ่งที่ตนพึงปรารถนา หากได้ตามใจปรารถนาแล้ว ผู้นั้นก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสุขทั้งกาย และใจ ถ้าต้องประสบกับความผิดหวัง จิตของผู้นั้นจะมีแต่ความโทมนัส เศร้าโศกเสียใจ บังเกิดเป็นความทุกข์กายติดตามมา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายซูบซีดเศร้าหมอง เบื่อโลก เบื่อชีวิต เบื่องานเบื่อการ มีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ขาดสติสัมปชัญญะ หาทางเบียดเบียนคู่ต่อสู้ด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นการผิดศีล หากยังไม่สมปรารถนาอีก บางคนก็อาจจะคิดสั้นก่ออกุศลกรรม สร้างทุกข์โทษให้แก่ตัวเอง คือ การอัตตวินิบาตกรรม และหรือ แก่ผู้อื่นด้วยวิธีการอื่นๆ เท่าที่อกุศลเจตนาจะพาไป

ถึงแม้ว่า ความรักในลักษณะนี้จะมีส่วนดี คือ ช่วยสร้างสรรค์ความสุขกายสบายใจให้แก่ผู้ที่ประสบความสำเร็จก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องพึงระมัดระวัง ตั้งสติมั่นควบคุมให้อยู่ในขอบเขตมิให้เกินเลยไปจนถึงขั้นแปรสภาพเป็นความหลง หรือ โมหะ ตามคำพังเพยที่ว่า ?ความรักทำให้ตาบอด? ทั้งจะต้องรีบเร่งสร้างฐานที่แข็งแกร่งรองรับ คือ ความเข้าใจระหว่างกัน ไว้ตั้งแต่ต้น มิฉะนั้นแล้ว ความรักนี้ก็จะแปรสภาพเป็นความหึงหวง ขาดสติเกิดโทสะ ซึ่งล้วนแต่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่นำไปสู่การก่อกรรมทำเข็ญเป็นอกุศลกรรมส่งผลเป็นทุกข์โทษให้แก่ตนได้ โดยที่มนุษย์ยังเป็นสัตว์โลกที่ต้องข้องเกี่ยว สัมผัสรับรู้อยู่กับอารมณ์ต่างๆ อยู่เป็นประจำวัน จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากจะได้มีการศึกษาและปฏิบัติตามสัจจธรรมคำสอนของพระบรมศาสดามากเพียงพอ จนบังเกิดความรู้ ความเข้าใจว่า สื่อสำคัญที่มีส่วนสร้างสรรค์ มีบทบาท มีอิทธิพลสำคัญที่สร้างอารมณ์รัก ความพึงพอใจขึ้นนี้นั้น ได้แก่ อายาตนะทั้งห้า คือ การรับเอารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ คือ ?อนิจจัง? หรือ ความไม่เที่ยงแท้คงทนถาวร กาลเวลา อายุขัย และวัยที่เปลี่ยนไป มีส่วนที่จะบั่นทอนความรัก ความต้องการในลักษณะนี้ลงไปตามลำดับ หากไม่มีความผูกพัน ความเข้าใจระหว่างกัน ความห่วงใยเอื้ออาทรที่ได้สะสมกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่เป็นจุดเริ่มต้นมากเพียงพอ ความเบื่อหน่าย เบื่อหน้าย่อมจะเกิดขึ้นได้ ชีวิตคู่จึงมีอันต้องล่มสลายลงไปก่อนเวลาอันสมควร และเมื่อชีวิตต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความทุกข์ย่อมจะเกิดขึ้นมาแทนที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรักในลักษณะนี้จึงไม่มีความ จีรังยั่งยืน คงทนถาวร

อย่างไรก็ตาม ความรักในลักษณะนี้เป็นความรักที่เกิดตามธรรมชาติที่เป็นการลำบากยากยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นผล หรือ วิบากของกรรมที่ได้มีขึ้นในอดีตชาติภพ ที่เรียกว่า ?บุพเพสันนิวาส? จึงผูกพันให้กลับมาเกิดร่วมกัน ได้พบ และมีจิตรักใคร่ลึกซึ้งผูกพันต่อกัน โดยไม่เลือกความแตกต่างในเรื่องชาติ ศาสนา ฐานะ วัย และวงศ์ตระกูล การมีสติยึดมั่นอยู่ในหลักการของความเข้าใจระหว่างกันดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยเหลือให้สามารถหลีกเลี่ยง ขจัดปัดเป่าปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้

๒. ความรักที่เกิดจากเมตตา ซึ่งมีอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์โดยทั่วถ้วนหน้า โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น วัย เวลา สถานที่ และสามารถแผ่กระจายไปได้ทุกหนทุกแห่งอย่างไม่มีขอบเขต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตวิญญาณของมนุษย์ตั้งแต่ต้น ยกเว้นผู้ที่มีความพิการทางสมองซึ่งไม่สามารถกระตุ้นจิตวิญญาณให้เกิดอารมณ์ในลักษณะนี้ขึ้นได้

คำว่า ?เมตตา? หมายถึง ไมตรี ความรัก ความปรารถนาดี ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจดีต่อกัน ความใฝ่ใจ หรือต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ ทั้งหลาย เมตตาจัดเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งทำให้มองกันในแง่ดี หวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟัง และเจรจากันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ยึดเอาความเห็นแก่ตัว มีอคติ คือ ความโกรธ ความเกลียด เป็นที่ตั้ง

ตามหลักพระพุทธศาสนาถือว่า เมตตาเป็นองค์ธรรมลำดับแรกที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็นพรหม หรือ พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผู้ที่ประเสริฐยิ่ง ผู้ที่ได้สามารถพัฒนาจิตของตนให้ฝังแน่นอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ได้มากเพียงใด ย่อมมีโอกาสจะพัฒนาจิตของตนให้ก้าวเข้าสู่องค์ธรรมอื่นๆ ได้โดยง่าย ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้

ผู้ที่มีเมตตาจิตไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ย่อม เกื้อกูลสร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์ธรรม คือ ศีล ทำให้เกิดสติระลึกรู้ว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูกได้มากยิ่งขึ้น ผู้ที่มีความเมตตา ปรารถนาจะช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ ย่อมเกื้อกูลให้เกิดความกรุณาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่มีความทุกข์โดยมิได้หวังผลตอบแทน คือ การให้ทานในลักษณะต่างๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารราคะกิเลส คือ ความโลภ ได้เป็นอย่างดี

ผู้ที่มีมุทิตาจิต คือ ผู้ที่มีความชื่นชมยินดี หรือ อนุโมทนาเมื่อเห็นบุคคลอื่นมี ความสุข ย่อมสามารถดับกิเลส คือ ความอิจฉาริษยา ซึ่งเกิดจากโทสะ คือ ความโกรธ และ โมหะ คือ ความหลง ลงได้ สำหรับอุเบกขาธรรมนั้น จะทำหน้าที่เสมือนเกราะ หรือ กำแพงปราการ ที่ขวางกั้นมิให้สิ่งต่างๆ ที่ผ่านทวารต่างๆ เข้ามากระทบถึงจิตได้ จิตจึงได้รับการพัฒนาให้อยู่ในสภาพเป็นกลาง ไม่สั่นสะเทือนหวั่นไหว เป็นอิสระ สงบนิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว คือ วางเฉย ไม่รับรู้ในอารมณ์อื่นๆ ซึ่งเท่ากับอาสวกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้ถูกดับลงจนหมดโดยสิ้นเชิง ความเป็นอวิชชา หรือ ความไม่รู้ จึงถูกดับลง และเท่ากับเป็นการตัดวงจรชีวิต คือ ปฏิจจสมุปบาท ให้ขาดสะบั้นลงไป

ความรักที่เกิดจากความเมตตาจึงมีอยู่ในจิตใจของทุกคน นับตั้งแต่การปฏิสนธิซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต จนถึงวันจุติที่เป็นวันสิ้นอายุขัย เป็นความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างญาติพี่น้องมิตรสหาย ระหว่างบุพพการีกับลูกหลาน ระหว่างครูอาจารย์กับศิษย์ ระหว่างหัวหน้า หรือ ผู้ใหญ่ในชุมชน กับ ผู้อ่อนอาวุโสกว่าในชุมชนนั้น รวมทั้งระหว่างสามีซึ่งถือว่าเป็นผู้นำของครอบครัว กับภรรยา และบริวารในครัวเรือน เป็นต้น ความรักในลักษณะนี้จะสร้างความห่วงใยเอื้ออาทร สามารถพัฒนาปลูกฝังลึกในจิตใจให้เจริญเติบโตขึ้นได้โดยง่าย จัดเป็นความรักที่มีความถาวร และสมบูรณ์อยู่ในตัว และเป็นความรักที่เสริมสร้างความสุขทางกายใจ และสร้างสันติสุขให้แก่มวลชนทั้งปวงได้อย่างแท้จริง

กล่าวโดยสรุป ความรักซึ่งเกิดจากความเมตตาเป็นความรักที่สร้างความสุขให้ได้อย่างแน่นอน เป็นความรักที่สร้างขึ้นได้ไม่ยากทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ต้องลงทุนลงแรงเพราะเป็นการนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่แล้วในตัวมาพัฒนา ส่วนผู้ที่ยังอยู่ในวัยรัก ยังมีความปรารถนาพึงพอใจในกามตัณหา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปนั้น หากได้มีการพัฒนาความรักแบบเมตตาขึ้นควบคู่กันไปตั้งแต่ต้น ย่อมสามารถพัฒนาจิตของตนให้เข้าสู่ความมีสติ สมาธิ และปัญญาได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องถ่วงดุลป้องกันมิให้เกิดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากความรักที่เกิดจากกามฉันทะได้เป็นอย่างดี

187
ที่เอาชนะแมนยู4-1ยอมรับคับแพ้จิงๆๆ 05; 42; 23;

188
 


 ประวัติหลวงพ่อพระนอนจักรสีห์

   "หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ " เป็นรูปของพระพุทธเจ้าปางไสยาสน์เทศนาปาฏิหาริย์ แก่อสุรินทราหู ผู้เป็นยักษ์ เพื่อลดทิฎฐิของอสุรินทราหูที่ถือว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตร่างกายให้ใหญ่กว่ายักษ์ "หลวงพ่อพระนอน" จึงเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาว สร้างโดยท้าวอู่ทอง มีความยาว ๓ เส้น ๓ วา ๒ ศอก ๓ คืบ ๗ นิ้ว ( ๔๗.๔๐ เมตร ) พระเศียรชี้ไปทางตะวันออก หันพระพักต์ไปทางทิศเหนือ มีความงดงามอย่างมาก

   มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า สิงหพาหุมีพ่อเป็นสิงห์พอรู้ความจริงคิดละอายเพื่อนว่าพ่อเป็นสัตว์เดรัจฉานจึงฆ่าสิงห์ตาย ภายหลังรู้สึกตัวกลัวบาปและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงสร้างพระพุทธรูป โดยเอาทองคำแท่งโต ๓ กำมือ ยาว ๑ เส้น เป็นแกนขององค์พระ เป็นการไถ่บาปและพระพุทธรูปมีอยู่ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชามาหลายชั่วอายุคน จนองค์หลวงพ่อพระนอนได้พังทลายลงเป็นเนินดิน กาลนานต่อมา ท้าวอู่ทอง ได้นำพ่อค้าเกวียนผ่านมาทางนี้ แล้วพบแกนทองคำฝังอยู่ในเนินดิน และทราบเรื่อง สิงหพาหุ เกิดความเลื่อมใสและเห็นเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จึงชักชวนพ่อค้าเกวียนก่อสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้น โดยใช้ทองแท่งทองคำที่พบนั้นเป็นแกนองค์พระ จน พ.ศ. ๒๒๙๗ และ พ.ศ. ๒๒๙๙ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เสด็จมานมัสการและซ่อมแซมองค์พระพร้อมทั้งได้สร้างพระวิหาร พระอุโบสถ และเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นใหม่ พ.ศ.๒๔๒๓ และ พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เสด็จมานมัสการ และวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลปัจจุบัน ได้เสด็จมานมัสการพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์

   จึงนับได้ว่า " หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ " เป็นปูชนียวัตถุที่ทรงไว้ซึ่งปาฏิหาริย์ล้ำค่า เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะแม้แต่การสร้างองค์หลวงพ่อพระนอนในครั้งที่ ๒ ก็ยังไม่ทราบเวลาที่แน่นอน แต่องค์พระยังสมบูรณ์ขนาดนี้ จะป่วยการกล่าวไปใยถึงประวัติในการสร้างครั้งแรกที่ทรุดโทรมลงจนมีสภาพเป็นเนินดินธรรมดา ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด


           


   เพราะเหตุนั้น " หลวงพ่อพระนอนจีกรสีห์ " จึงเป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนให้การเดินทางมากราบไหว้บูชา เพื่อเป็นพุทธานุสสติ ในอันจะน้อมนึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เสมอมาไม่เคยขาดมานานแสนนานแล้ว และเพื่อให้สมพระเกียรติของ " หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ " และการเป็นอารามหลวงชั้นตรี ชนิด วรวิหาร " ท่านเจ้าคุณพระเมธีปริยัติโยดม " จึงได้วางแนวทางในการพัฒนาพระอารามออกเป็น เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส เขตฆราวาส

   นอกจากนี้ ทางวัดก็ยังมีนโยบายที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งปริยัติ ปฏิบัติแก่พระภิกษุสามเณร ตลอดถึงพุทธศาสนิกชนให้มีความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธศาสนา 

189
วันนี้วันแดงเดือดอ่ะคับ แมนยู-ลิเวอร์พลู  ท่านว่าใครจะชนะส่วนผมแฟนผีอยู่แว้ว


190
หาดทรายรี จ.ชมพร  ตำหนักหลังใหม่ เพิ่งกลับมาถึงก้อนำมาให้ชมเลย







พระตำหนักหลังเก่าคับ



หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า


สิ่งที่เสด็จเตี่ยฝากไว้เพื่อเตือนใจลูกหลานไทย


คาถาบูชาเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร



วัตถุมงคล



จบการเดินทางคับไปตั้งแต่วันที่9-12มีนาคมคับ กลับถึงบ้านเช้าวันที่13อ่ะคับ


191
ดีจัยจังคับที่ได้เจอพวกพี่ๆน้องชาวบ้างพระขอบคุนพี่ศักดา(ชลาพุชะ)ที่มอบวัตถุมงคลให้เดินทางกลับบ้านดีๆนะคับ...ขอบคุนพี่เก่งพี่ปอมากๆขอบคุนมากๆ
ขอบคุนพี่นน(โองการยันต์นะรังสี)คับที่กรุณามอบพระให้ผมและอีกหลายๆคน...พี่ปีโป้ เจ็โชว พี่กุ้ง พี่โจ้ พี่เด็กดอย นายตระกรุด ขอบคุนเอ็มที่ซื้อบุหรี่ให้แล้วก้อทิ้งเราให้กลับคนเดียวนะจำไว้ ขอบคุนคุณลุงผู้การเสือด้วยคับที่นำผ้ายันต์มาแจก
พี่เอ บางแค น้องโจ ขอบคุนพี่ชินด้วยคับ พี่nontaburi และทุกๆท่านที่ไม่เอ่ยนามผมอาจจะลืมชื่ออ่ะคับ
สุดท้ายขอบคุนคุนหยก(Kaitip)ขอบคุนนะคับสำหรับความน่ารักของคุนคุนน่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุนเว็ปวัดบางพระด้วยคับที่ทำให้พวกเราได้รู้จักกัน :090:
แต่ขอโทดด้วยนะครับที่ไม่ได้ไปร่วมงานตอนเย็น

192
วันนี้มีนักข่าวจากต่างประเทศมาถ่ายด้วย






เจอพี่ชลาพุชะด้วยพี่ศักดาและคนะมานอนค้างที่วัดกันเลยปักหลักยาวสักกับหลวงพี่ตูนอยู่





ปิดท้ายด้วยพี่เอบางแค



วันนี้เห็นพี่เอบอกว่าเจ้โชวจะมาว่าจะรอเจอซะหน่อยแต่ก้อกลับบ้านก่อนเอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจอกันนะ

193
ต้องไปสอบอีกอาจารย์ทามไมถึงทามกับผมอย่างนี้อ่ะสอบวันอื่นก้อได้อ่ะทามไมต้องวันงานครอบครูด้วย...เซ็งๆๆๆๆๆๆๆๆๆที่ซู๊ด 41;

194
ผมก้ออาศัยเดินห้างอาบน้ำบ่อยๆอ่ะ...ก้ออยากจะรู้อ่ะคับว่ามีวิธีคลายร้อนกันอย่างไร...แหม....ขำๆๆนะคับแก้เครียด :009:

195
ผมดีจัยมากอ่ะเพราะผมทั้งพ่อทั้งลุงครอบครัวผมเป็นศิษย์วัดบางพระหมดเลย ลุงก้อสักกับหลวงปู่ พ่อก้อสัก ผมดีจัยที่บ้านย่าอยู่ห้วยพลูซึ่งใกล้มากๆผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับหลวงปู่สมัยเพิ่งหัดเดินซึ่งผมได้นั่งอยู่บนตักหลวงปู่แล้วหลวงปู่ท่านเมตตาเป่ากระหม่อมให้ผมพ่อเล่าให้ฟังอ่ะคับ พ่อผมก้อรอดตายเพราะวัตถุมงคลของหลวงปู่มาเยอะแล้ว พ่อบอกว่าเป็นลูกพ่อต้องมีพระหลวงปู่ติดตัวทุกคน
ผมรักทุกคนในวัดบางพระเคารพพระอาจาย์ทุกท่านมากๆๆ ถ้าชาติหน้ามีบุญอย่างนี้อีกผมขอเกิดมาเป็นศิษย์วัดบางพระแล้วรู้จักทุกๆคนอย่างนี้ตลอดทุกๆชาติครับ......ต้นน้ำ 23;

196
หลวงปู่ดินเป็นศิษย์หลวงปู่หิ่มเหมือนกันคับแต่หลวงปู่ดินท่านเน้นทางเมตตาพอดีผมได้จากลงผมเองลุงบอกหายากมากครับ ขนาดลูกอมของท่านเข็มฉีดยายังฉีดไม่เข้าเลย


197
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / หลังผมเอง
« เมื่อ: 17 ก.พ. 2552, 04:59:43 »


ฝีมือหลวงลุงญา กับ หลวงพี่นัน มีหลวงพี่แป๊วด้วยครับคือยันต์7ยอด

198
พระกรุวัดเงินคลองเตยคับ


สมเด็จวัดไร่ขิง2514พิมพ์กลาง


ด้านหลัง

199
รบกวนหน่อยนะคับ

200
พอดีผมไปเจอตะกรุดข้อมือเสือของปลอมวางขายตามแผงตลาดนัดเยอะเลยครับพวกทำเลียนแบบเยอะเลยเราควรจัดการยังไงดีอ่คับ

201
ต้นเองนะเอ็มเอาเบอร์เอ็มมาด้วยเบอร์ต้น087813XXXXนะเพื่อน


***เพื่อความปลอดภัยในตัวท่านเอง แจกเบอร์ ขอเบอร์ ขอเป็นการขอผ่าน ส่งข้อความ (pm) จะดีกว่านะครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก... เว็บ... และ ทีมงานครับ

202
28 มิถุนายนนี้ครับผม.............ต้นน้ำลูกบางพระ :002:

203
 :010:ขอความกรุนาด้วยนะครับ

204
คิดถึงทุกคนมากไม่มีเวลาว่างเพราะติดเรียนแต่ยังไปที่วัดบ่อยบ่อยไม่รู้ทุกคนคิดถึงผมมั้งเปล่า :070:

205
ผมอยากรู้จักคุนKaitipครับติดต่อผมด้วยนะ0878139331ต้นน้ำ :005:

206
เริ่มเวลา9.00-1600 น.ครับในงานรอรับแจกหลวงพ่อวัดไร่ขิงรุ่นพิเศษกันนะครับมีจำนวนจำกัด :015:

207
 :090:12สิงหาคมนี้อย่าลืมไปวัดบางพระกันนะครับวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่เปิ่นครับ เจอกันที่วัดทักกันได้นะครับ

208
ขอทราบคาถาตระกรุดวัดชายนาครับ

209
ใครมีคาถาตะกรุดวัดชายนาบ้างครับ

210
ทำไมข้อห้ามในการสักยันต์ถึงห้ามกิน น้ำเต้ามะเฟืองหละครับขอความกรุณาด้วยครับ

212

ตะกรุดนี้พ่อผมได้มาตอนพ่ออายุ17ผมได้จากพ่อตอนอายุ17เหมือนกันติดตัวผมตลอดครับ

213
อย่าลืมรูปหลวงปู่นะพี่เอเก็บไว้ด้วยนะ4รูป

214
สั่งจองกันได้นะครับวันที่19 พฤษภาคม 2550นี้ ที่ วัดไร่ขิง,ธนาคารออมสิน, ธนาคารไทยพานิชย์ ทุกสาขา รายได้นำไปสร้างอาคารอเนกประสงค์โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยาปลุกเสกโดยเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ 3 วัน3คืน หลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระก็ร่วมปลุกเสกด้วยนะครับ วันสั่งจองรับ ผ้ายันต์จตุคาม ฟรี


      รุ่นแรกครั้งแรกของวัดไร่ขิง :053:

215
พระอุดมประชานาถ

วันที่5 ธันวาคม 2537

โดยนายต้นน้ำ :006:
เจอที่วัดทักกันได้นะครับ :004:

หน้า: [1]