แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ~@เสน่ห์เอ็ม@~

หน้า: 1 2 3 4 5 [6]
4996
ตะกรุดหอมเชียงก็ทันนะครับ .....พุทธคุณดี ประสบการณ์เยอะครับ

4997
สวัดดีครับ ยินดีต้อนรับนะครับ  กระผมมีนามว่าเอ็ม ครับ  :011:

4998
ใครว่างๆ ก็ไปทำบุญกับหลวงพ่อท่านได้นะครับ .... เงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นกุศล หมด ครับ
เห็นว่าท่านกำลังรวบรวมเงิน ไป สร้างวัดที่ ต่างจังหวัดอยู่ครับ ....ท่านใดจะร่วมทำบุญ ...ก็อนุโมธนาด้วยนะครับ ตามศรัทธา
ขอบคุณทุกข้อมูลจากพี่สิบทัศ ครับ   :053:

5001
สุดยอดครับ ... ผมเคยเห็นแต่เนื้อ 3 กษัต  ของหลวงพ่อไสว
อะครับ  มีบุญตาได้เห็นรุ่น 1 แล้ว อิอิ

5002
สุดยอดครับ ขอบคุณพี่สิบทัศมาก ครับ  :015:

5003
สายวัดดอน ยายหอมเก่งๆ ทั้งนั้น ครับ ตั้งแต่
หลวงพ่อเงิน  วัดดอนยายหอม
หลวงพ่อแช่ม   วัดดอนยายหอม
หลวงพ่อพูล  วัดไผ่ล้อม
หลวงพ่อดุเหว่า  วัดวังน้ำขาว
หลวงพ่อสมพงษ์  วัดใหม่ปีนเกลียว
หลวงพ่ออวยพร  วัดดอนยายหอม
จำได้มีแค่นี้อะครับ ..... พระทุกรูปทุกชื่อ  ล้วนแต่เป็นเกจิ สุดยอดทั้งนั้นครับ ที่ชาวนครปฐมและที่อื่นต่างยอมรับ ครับ
ประสบการณ์ ก็มีให้เห็นกันมากมาย ครับ

5004
ไม่ลองถามหลวงพี่ญาดูหละครับ หุหุ

5005
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

5006
ขอบคุณครับ เป็นจริงตาม พุทธทำนาย แน่นอน ครับ
เราจงทำความดี เพื่อให้บุญส่งชาติให้ไปเกิดตรง อีก 2449 ปีต่อจากนี้เพื่อได้ฟังคำเทศ ของพระองค์ผู้ทรงพระเจริญ
และทำให้เรารู้การเข้าถึงนิพพาน อย่างที่จริงได้ในที่สุด  สาธุ

5007
บทความ บทกวี / ตอบ: ครั้ง 1 ในชีวิต
« เมื่อ: 19 ก.ค. 2551, 05:21:06 »
ดีและครับ

5008
บทความ บทกวี / ตอบ: อ่านซิ ดีมาก ๆ
« เมื่อ: 19 ก.ค. 2551, 05:14:20 »
ขอบคุณครับ ...... ดีมากครับได้ข้อคิดครับ (ยอดเยี่ยมเลย ครับเรื่องนี้   :053:)

5009
มีปลอม ครับ .. ยิ่งช่วงดังๆ ปลอมเกลื่อน ครับ .....ตะกรุดทุกวัด ทุกสำนัก ปลอมเยอะมาก

5010
ประสบการณ์การวัตถุมงคลของหลวงพ่อครับ  สดๆร้อนๆ จากเมื่อวานนี้เอง ครับ  แคล้วคลาดสุดยอดครับ
รถเฉี่ยวไปนิดเดียวเอง ครับนึกว่าชนซะแล้ว  ..........เกือบไป ครับ   :075:

5011
ขอบคูณพี่สิบทัศ กับพี่โจมากครับ

5012
ไม่ทราบว่าที่ไหน อะครับ ใครเคยเห็นพระขุนแผนพิมนี้บอกด้วย ครับ
ภาพไม่เค่ยชัดนะครับ เนื่องจากก้องไม่อยู่เลยใช้โทรศัพถ่ายก่อง
ขอบคุณล่วงหน้า ครับ




ด้านหลังคล้ายๆเหมือนลายผ้าเลย ครับ

5013
โห สุดยอดพระทางใต้ ..... ขอบคุณพี่สิงค์ดำมาก ครับ ที่นำของดีมาให้ชม ขอบคุณอย่างสูง ครับ

5014
เข้ามาชม ครับ ไม่รู้เหมือนกัน ครับ  ต้องรอถามพี่สิบทัศครับสายตรง
แต่สวยดีครับ   :053:

5015
มีหลายตัวเลยนะครับ อิอิ

5016
ขอบคุณครับพี่สิงค์ดำ สำหรับน้ำใจ ครับ

5017
 อยากได้หมูทองแดงมั่ง ครับ  :002:

5018
ผมชอบของหลวงปู่ดี วัดพระรูปครับ เมตตาคงกระพัน นั้นสุดยอด
โดยเฉพาะ พระผงสุพรรณ โดน 4 นัดไม่เข้ามาแล่ว

5019
ดีครับ ขลังดีครับ

5020
ถ้าน้ำมันไม่แน่อาจขอได้ครับ ..... แต่ปกติแล้ว ต้องเป็นไปตามแบบของวัดบางพระก่อน ครับ
แต่บางทีก็อาจจะขอได้ ลองดูครับ

5021
ขอบคุณพี่หอมเชียงมาก ครับ หลวงพ่อสง่าเก่งมาก ครับ
มีเหรียญอยู่รุ่นนึงของท่าน ที่นำไปหลอม แต่ไม่ละลาย ครับ

5022
สุดยอดไปเลย ครับ  อึดดีนะครับ ที 3 พานเลย หุหุ

5023
ใช่ครับพี่ก๊อต ผู้รู้ รู้ได้เฉพาะตัว

5024
ดีครับ สาธุ
อย่าแต่อ่านจนผ่านตา จนชีวาสิ้นมิได้ทำ 

5026
ขอบคุณพี่สิบทัศมากครับ

5027
ขอบคุณครับ

5029
การเกิด สุริยุปราคา  น่าจะเหมาะแก่การปลุกเศก กะลาตาเดียวเกะพระราหูนะครับ

5030
จากข้อข่าว
นักดาราศาสตร์ เผย! เกิดปรากฎการณ์สุริยุปราคา เต็มดวง วันทมี่ 1 ส.ค. นี้ มองเห็นได้ในหลายประเทศ ขณะที่ไทยมองเห็นได้ในบางส่วน ให้มองด้านทิศะตวันตก ด้านโหรส.ว.ทำนายอีก ดาวอังคารทับดาวเสาร์เล็งดาวมฤตยู ทายบ้านเมืองเกิดวิกฤตเปลี่ยนแปลงสูงสุด

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 16 ก.ค.   นายวรวิทย์   ตันวุฒิบัณฑิต นักดาราศาสตร์ภูมิปัญญาท้องถิ่น กล่าวที่หอดูดาวบัณฑิต  ตลาดบางบ่อ อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ว่า  ในวันที่ 1 ส.ค. นี้ จะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคามองเห็นได้เต็มดวงในต่างประเทศหลายประเทศ และเห็นได้บางส่วนในประเทศไทย  สำหรับการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว เกิดจากการเรียงตัวในแนวระนาบเดียวกันของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก เกิดในช่วงกลางวันโดยเงามืดของดวงจันทร์บังโลกหากโลกโคจรผ่านเงามัวของดวงจันทร์ เราเรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน แต่หากโลกโคจรผ่านแกนของเงามืดของดวงจันทร์เราเรียกว่าสุริยุปราคาเต็มดวง?

นายวรวิทย์  กล่าวต่อว่า

สำหรับสุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ในหลายประเทศได้แก่  แคนาดา  รัฐเซีย  มองโกลเลีย  และทางตอนเหนือของจีน  ส่วนในประเทศไทยนั้นมองเห็นได้เป็นจันทรุปราคาบางส่วน สามารถเห็นปรากฏการณ์นี้ทั่วประเทศทุกภาค  โดยช่วงเวลาที่เกิดปรากฏการณ์โดยเฉลี่ยในประเทศไทยเริ่มตั้งแต่เวลา 17.58 น. เป็นต้นไป โดยจะเริ่มมองเห็นบนท้องฟ้าทางด้านทิศทิศตะวันตกตั้งแต่เริ่มปรากฏการณ์จนอาทิตย์ลับขอบฟ้า อันจะเป็นประโยชน์แก่การศึกษาด้านดาราศาสตร์

?ในการชมปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ห้ามมองด้วยตาเปล่าโดยเด็ดขาดเนื่องจากจะเป็นอันตรายต่อดวงตา การชมใช้แผ่นกรองแสงจากดวสงอาทิตย์ หรือใช้กระจกที่รมควันอย่างหนาจึงจะปลอดภัย แต่จะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพียงเฉพาะช่วงก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้ 2 นาทีที่แสงอ่อนลงแล้วเท่านั้น? นายวรวิทย์กล่าว

ด้านนายบุญเลิศ  ไพรินทร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.ฉะเชิงเทรา หรือฉายาโหร ส.ว.กล่าวว่า

? อิทธิพลสุริยุปราคา มีอิทธิพลทางดาราศาสตร์เช่นกันแต่น้อยกว่าอิทธิพลดวงดาว  ที่ขณะนี้ดาวอังคารโคจรทับดาวเสาร์และเล็งดาวมฤตยู ที่ล้วนเป็นดาวบาปเคราะห์ ส่งผลร้ายกับดวงโลกและดวงเมือง ดาวพฤหัสบดีที่ให้คุณเดินวิปริตถอยหลังให้คุณไม่ได้  จะเป็นช่วงวิกฤตแก่บ้านเมืองอันเกิดการเปลี่ยนแปลงสูงสุดในขณะนี้  จนถึงวันที่ 9 ส.ค. 51ที่พอบรรเทาแต่ยังวิกฤต


?จะต้องผ่านพ้นถึง 16 ก.ย. 51 สถานการณ์ด้านต่าง ๆ จะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และจะดีเรื่อย ๆ ไปในระหว่างตั้งแต่เดือน มี.ค. ? เม.ย. 52 เป็นต้นไป? นายบุญเลิศกล่าว

ที่มา มติชนออนไลน์

http://news.hunsa.com/detail.php?id=10552

5031
วันนี้ไปทำบุญที่พุทธมณฑล มาลืมถาม25 ศ ว ครับ  โทษทีคราวหน้าถามให้ครับ
ตอนนี้ที่มี เหลือแต่ เนื้อชิน กับเนื้อดิน และก็เหรียญ ครับ
ไปเช่า ธรรมจักรบูชามา ผมอยากทราบว่า ออกปีไหนครับ
สร้างเมือใด ..... ขนาดเล็กอะครับ 200

5032
ขอบคุณครับ

5034
งามมากๆครับ

5035
นมัสการครับ เร็วๆนี้จะเอาโต๊ะทำงานไปถวายท่าน
ดีและเลย ครับ อนุโมธนาด้วย ครับ

5036
ถูกต้อง ครับ พี่โจรสลัด ....กลัวเสริม มา เฉยๆ นี่ จิปวดหัวเยย

5037
วางแบบแล้ว เดี๋ยวหนุมาน กับ เสือมาเอง ครับ

5038
สาธุ สาธุ อนุโมธามิ

5039
ปลุกเสกกุฎิไหนครับ หลวงพ่อท่านใดปลุกเสกบ้าง

ถ้าจำไม่ผิด มีหลวงพ่อสำอางค์  หลวงปู่แผ้ว หลวงปู่แย้ม  หลวงพ่ออั๊บ
ท่านอื่นจำไม่ได้  เคยอ่านผ่านๆอะครับ
ผิดพลาดไงขออภัยด้วย

5040
ผ้ายันต์พระสีสะแลงแงง 100 บาทครับผม
ตอนนี้ยังมีอยู่ปะครับ พี่โจ

5041
วัดท้องไทร กับ วัดสามง่าม ยังไม่เคยไปเลย ครับ แหะๆๆ มีโอกาศว่าจะไปดู
ขอบคุณข้อมูลพี่สิบทัศมากครับ

5042
ข้อมูลแน่น ครับ ... หลวงน้าต้อย ท่านเป็นอาจารย์ ของหลวงพี่ตี๋ที่ผมรุ้จักครับ
หลวงพี่ตี๋เล่าให้ฟัง ท่านเก่งมาก ครับ .....ประสบการณ์ ด้านคงกระพันเจอมาละครับ

5044
ชอบยันต์พระพรหม 4 หน้ามาก ครับ สวยงามจริงๆ

5045
น่าจะสักนะครับ หุหุ พระท่านคงไม่ได้ไปไหนหลอกครับ ยิ่งช่วงเข้าพรรษา
ส่วนยันต์ ผมไม่รู้ครับ ว่าชื่อเรียกว่ายันต์อะไร 

ผิดพลาดไง ขออภัยด้วย

5046
เห็นพิธีดีพอสมควร ครับ มีลองกีดแขนด้วยใบมีดโกนด้วย ครับ หุหุ

5047
ถ้าต้องเลือก เลือกเมตตา สีแดงครับ

เมตตาน่ะครอบคลุมอยู่แล้วครับ ใครที่คิดจะทำร้ายก้อจะเมตตาเรา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ

จิงป่าวล่ะ
เมตตาดี ครับ ...แต่เมตตามากไปหน่อย จนแฟนชาวบ้านเขามาเมตตาเราก็แย่นะครับ 55+
อาจทำให้ เจ้าของแฟน ที่มาเมตตาเรา ...ไม่เมตตากับเราก็ได้นะครับ 5555+

5048
ไปดูที่พุทธมณฑล และไปถาม คนที่ให้เราเช่าอะครับ 
แต่ผมเห็นคน แถวกระทุ่มแบน นิยมพระ 25 ศ ว มาก ครับ
ไงลองไปดูครับ .... แต่ถ้าชอบผมชอบเนื้อดิน อิอิ
จำนวนที่สร้าง หลักล้าน   เหรียญ
เสริมหรือป่าว ผมไม่รู้ครับ .. แต่พี่ๆในบอร์ด บอกว่าน่าจะเสริม ครับ อิอิ
แต่หากเสริม แต่ช่วงปี 16 ก็ต้องมีการปลุกเศกใหม่ ซึ่งช่วงปี 16 เกจิอาจารย์เก่งๆก็ยังอยู่ทั้งนั้น
เช่นหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อเต๋ หลวงปู่โต๊ะ  ...และอีกหลายท่าน ครับ
ยังไงก็แขวนได้หายห่วง
อยากรู้เสริมหรือไม่ ลองไปถาม ท่านมหาแย้ม วัดไร่ขิงดิครับ เจ้าคณะพุทธมณฑล(รูปปัจจุบัน) หุหุหุหุหุ

(ผมไม่ใช่เซียนพระ ดูพระเปง ไม่รุ้ว่าแท้ หรือปลอม หรือเสริมป่าวอิอิ)เป็นแค่คนที่นิยมชมชอบวัตถุมงคลเท่านั้นเอง

5049
[/URL]

[bgcolor=#00f5ff] เทพเจ้าแห่งความเมตตา วัดดอนยายหอม[/bgcolor]

5052
เห็นด้วยตามพี่สิบทัศครับ

5053
งามมากๆ ครับ

5054
น่าสนใจมากครับ

5056
ข้อมูลดี ครับ ถูกต้อง ครับ  แต่ทางแห่งพระนิพพาน ..คือทางแห่งการหลุดพ้นทุกข์อันแท้จริง
แต่การสัก หรือ หาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็มักจะมากับอุบายที่ทำให้คนเราเป็นคนดีได้ครับ

5057
ขอบคุณครับ

5059
ขอบคุณครับ นำของดีมาให้ดูกันอีกแล้ว

5060
หลวงพ่อ สง่า วัดบ้านหม้อไง คร๊าบ

5061
อย่าลืม ให้เคดิต ของเวปที่เอามาด้วนนะครับ หากไม่ได้พิมเอง ขอบคุณครับ
ขอบคุณข้อมูลมาก ครับ

5063
สุดยอดครับ แต่แร่เกาะล้าน ดูคล้ายๆ โครตเหล็กไหลของ วัดถ้ำแฝดเลยนะครับ หุหุ

5064
วัดอะรัยครับ

คือไร อะครับ ........
แต่ถ้า 10 ทัศ หมายถึง ชาติของพระพุทธองค์ ที่ทรงบำเพ็ญเพียรบารมี 10 ชาติ ก่อนจะมา
ตรัสรู้ นะครับ ...แต่จริงๆ พระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญ มาหลายชาติมาก ครับ


ชาติที่ 1 เตมีย์ชาดก เพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
ชาติที่ 2 ชนกชาดก เพื่อบำเพ็ญวิริยบารมี
ชาติที่ 3 สุวรรณสามชาดก เพื่อบำเพ็ญเมตตาบารมี
ชาติที่ 4 เนมิราชชาดก เพื่อบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
ชาติที่ 5 มโหสถชาดก เพื่อบำเพ็ญปัญญาบารมี
ชาติที่ 6 ภูริทัตชาดก เพื่อบำเพ็ญศีลบารมี
ชาติที่ 7 จันทชาดก เพื่อบำเพ็ญขันติบารมี
ชาติที่ 8 นารทชาดก เพื่อบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
ชาติที่ 9 วิทูรชาดก เพื่อบำเพ็ญสัจจบารมี
ชาติที่ 10 เวสสันดรชาดก เพื่อบำเพ็ญทานบารมี

5065
กลัวผีครับ ไม่ฟังครับ 555+

5067
ไม่รู้ครับ เข้ามาชม ครับ

5068
เพิ่มเติม ครับ
จากสนามพระ วิภาวดี นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 22 มกราคม 2549 คับ
ภาพเหรียญพระหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม พิมพ์เข่าลอย





องค์นี้สวย ครับ
ขอขอบคุณ  http://www.thaiblades.com/forums/showthread.php?t=7978

5069
สุดยอดดีครับ แต่ไกล จัง ครับ หุหุ

5070
ทวนกระทู้เก่ามาอ่านกัน ครับ ...... ขอบคุณ สำหรับข้อมูล ครับ ดีจริงๆ
แต่เรื่องเสือผาด ... สุดท้ายก็โดนล้อมจับ(ไม่ได้ยิงตัวตาย)ที่ ทุ่งแถวดอนยายหอมและประหารชีวิตโดยการตัดคอและเสียบประจารใว้ แถวองค์พระปฐมเจดีย์ด้วย โดยการล้อมจับ และเอาของออกจากตัวก่อนประหาร ที่พบมีเหรียญหลวงพ่อเงิน กับผ้ายันต์
ผมเคยเห็นรูป ... ศรีษะที่ถูกตัด และเสียบ กับไม้เพื่อประจาร ครับ ........ในหนังสือ เรื่อง สุดยอดคนดัง หรือไรสักอย่างนี่แหละครับ จำไม่ได้
หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ  เพราะผมอ่านมาจากหนังสืออีกที นึง 

(แต่สุดท้าย ก็หนีไม่พ้นเวรกรรมอยู่ดี ต่อให้มีของดีแค่ไหนก็ตาม)

หลวงพ่อเงินท่านมีเมตตา มาก ครับ ไม่แบ่งชั้นวรรณณะ แต่งอย่างใด
ไม่ว่าจะเป็นโจร คนจน  คนรวย ล้วนแค่  หลวงพ่อท่านมองทุกคนเท่าเทียม
กันหมด ครับ
 ท่านเป็นเทพเจ้าผู้มีเมตตา จริงๆ ครับ
ปัจจุบัน ท่านก็มีศิษที่ยังมีชีวิตอยู่ที่วัด คือท่านหลวงพ่ออวยพร (หลานหลวงพ่อแช่ม แท้ๆ)
เคยไปกราบมาและครับ เมตตา จริงๆ  ส่วนทานด้านคงกระพัน แคล้วคลาด  เมตตา โชคลาภ
คงไม่ต่างจากอาจารย์ผู้ ที่มอบวิชาให้มากนัก ทั้งหลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อแช่ม
(คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ได้ว่า  วัตถุมงคล วัดดอนยายหอม เป็นอีก 1 ในความนิยมที่ไม่แพ้ใคร ของคนนครปฐมเลยครับ)
โดยเฉพาะ เหรียญรุ่นแรก รุ่น 2  และรุ่นปี 2500  เหรียญโก๋  10 ทัศ ล้วนมีประสบการณ์ แก่ผู้ใช้มากมาก ครับ

5071
ไปช่วงเช้า ก่อน 8 โมง  ถ้าให้แน่ ไปหลัง 6 โมงดีกว่า ครับ
เพราะหลวงปู่รับแขกหลัง 6 โมงเย็น

5072
สวยดีครับ ขอบคุณครับ ที่นำมาให้ชม

5074
สักเพื่อไรเหรอครับ สงสัยท่าจกลัวผี นะ 
วัดบางพระไม่มีครับ ไม่เคยเหง ...
แต่ ตามร้านสักเครื่องน่าจะมีนะ อิอิ ...แบบพวกกราฟฟิกอะ

5075
ปลุกเพื่ออะไร ครับ  .....???
อย่าไปปลุกพระท่านเลยนะครับ ท่านจะจำวัด

5077
เหรียญนี้ สุดยอด จริงๆ ครับ หลวงพ่อพูล ท่านก็เก่งมาก

5078
สุดยอดอีกแล้วครับ พี่น้อง

5079
ครับ ท่าน peachsama  สมัยนี้ คนไม่ได้มองที่ศรัทธา แต่มักมองที่ราคากับค่านิยม ครับ
ซึ่งของดีดังเงียบก็มีเยอะแยะครับ .......คนมักไม่แขวน มักแขวนไรที่ดังๆๆ
ดูตัวอย่าง เช่น จตุคาม มะก่อนปั่นกันโหดมากเรื่องราคา แต่ตอนนี้ ค่านิยมตกไปเยอะครับ
แต่คนที่ศรัทธาก็แขวนกันอยู่ เพราะเขาไม่ได้มอง ที่ค่านิมยม ครับ
เหมือนสมัยก่อน สมเด็จวัดปากน้ำดังมากรุ่น4กับ6 ราคาสูง ด้วย ปัจจุบัน เหลือหลักร้อยเท่านั้น
แขวนไรก็ได้ครับ อยู่ที่ใจศรัทธา อย่าไปมองค่านิมยม ครับ
ไงก็ขอให้โชคดี ครับ 

5080
ดีครับ อยู่กุติ ใหญ่อะครับ สี ขาวๆ มีรูปหล่ออยู่หน้ากุตติ
ไงลองถาม คนแถวนั้นก็ได้ครับ
หลวงพี่ญาเก่งมากมาย ครับ ท่านดุแต่ใจดี ครับ
ไปสักอย่างใส่ชุดนักเรียนไปนะครับ หุหุ

5081
ธรรมะ / ตอบ: " สาระจากพระสูตร "
« เมื่อ: 11 ก.ค. 2551, 05:42:46 »
ขอบคุณครับ

5082
สักน้ำมันก็ดี ครับ เข้ารับราชการได้
ไม่เจ็บเท่าไหร่หลอกครับ แถมเร็วด้วย สักน้ำมันไม่เหมือนหมึก
หมึกจาเจ็บกว่า .....   
ก็ลองนั่งรถ เมย์ดูก็ได้ครับ ช้าหน่อย แต่ประหยัดกว่าเยอะ
จะสักน้ำมัน หลวงพี่ติ่ง ก็เมตตา ครับ ไปหาท่านได้ครับ

5083
วันนี้ไป วัดดอนยายหอมมาละครับ เจอหลวงพ่อด้วยครับ ดีใจมากๆเลย ครับ
หลวงพ่อท่านใจดีมาก ครับ ... เสียดาย ครับ ไม่เจอพี่เก่ง หุหุ
แต่ถึงยังไง วันนี้ดีใจสุดๆเลย ได้เจอหลวงพ่อ นึกว่าท่านไม่อยู่ซะแล้ว
 ไปถึง ท่านแจก พระให้เลย ครับแถมได้ของดีมาอีกครับ  ..............มีโอกาศอยากไปอีกแน่ ครับ

5084
มนัสการ ครับ เยี่ยม ครับ

5086
ของหลวงพ่ออุ้น เหนียว ครับ ไม่ธรรมดาจริงๆ

5087
ผี จะไปกลัวทำไม เราไม่ได้ไปทำไรเขา สิ่งที่น่ากลัวคือ ผีไก่ ผีหมู ผีปลา ที่อยู่ในท้องเรามากกว่า....



ผีทะเลน่ากลัว กว่า ครับ 5555555+++

ถ้าเจอจริงๆ ผมว่าแผ่เมตตาดีกว่า ครับ ...เมตตาค้ำจุนโลก
คาถาชินบัญชร คุ้มคลองได้ครับ แต่ผีมะหาย ลองและ ครับ หุหุ

5089
รอ ออกจากวัด ห้วยอยู่ครับ อยากได้รุ่น 111 ปีวัดห้วยจรเข้

5092
สวยงามมากมายครับ

5093
สุดยอดครับ แน่นอน จริงๆ

5094
สุดยอดครับ เหรียญนี้โดน ใจมาก ครับ

5095
ผมว่าผีน่าจะกลัว พี่มากกว่า นะครับ 55555++

5096
เยี่ยม ครับ  ....ทองคำซะด้วย  :053:

5097
ขอบคุณข้อมูล ขากพี่สิบทัศมากครับ
ยุคสมัยเปลี่ยนอะไร ก็เปลี่ยนครับ
ระวังนะครับเวลาลองไม่เป็นไร แต่พอเจอจริงๆเข้า ไม่มีเหลือ หุหุ

ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ใจศรัทธา ครับ

แต่ผมว่าลองให้งูเห่าฉกนี่น่ากลัวนะครับ 55555

5099
สุดยอดครับ ขอบคุณครับ

5100
แหล่มเลยครับ ขอบคุณครับ

5101
พี่สิบทัศแน่น เหมือนเคย ครับ

5102
ดีครับท่าน น่าจะเป็นของหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นะครับ ในภาพมองไม่ค่อยเห็นโค้ดกงจักร แต่น่าจะดีครับท่าน

โทษที ครับ แหะๆ

5103
เห็นด้วยกับพี่ อชิตะ ครับ

5104
ไม่เคยเหง  ส่วนดูแท้หรือไม่ ผมดูไม่เปงครับ 555++
ส่วนมากจะเหงแต่ ปี 14 เปงส่วนใหญ่ ครับ กะตะกรุด
แต่หลวงพ่อสุดเหนียว ครับ ...จากประสบการณ์เพื่อนๆ ที่แขวนมา

5105
สวยครับ ท่านโจร น่าจะเปงของหลวงพ่ออวยพรนะครับ  ไงลองถามพี่สิบทัศละกันครับ  :053:

5106
สายเมืองกาญนี่เอง ครับ สวยดีครับ  เยี่ยมๆๆครับ ขอบคุณ

5107
เปลี่ยนจาก บทสวด เปงคาถาบูชาดีกว่ามะครับ  (-_-'')

5108
แบบ นี้เคยเหง ครับ แต่จำมะได้และ ว่าเห็นที่ไหน อิอิ

5109
จุดเทียน 1 คู่ [2 เล่ม] ธูป 4 ดอก แล้วว่า 'พระคาถาโองการวัวธนู 7 จบ + คาถาวัวธนู 4 จบ'
ในวันแรกที่นำเข้าบ้าน และทุกวันพระใหญ่ คือ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ หากต้องการเพิ่มความขลัง ควรบูชาเพิ่มในวันเสาร์
และอังคาร จะทำให้วัวมีฤทธิ์มาก เพราะเป็นวันแข็ง สำหรับการบูชาใน 2 วันนี้ไม่ต้องสวดคาถาโองการวัวธนู
สวดแค่คาถาวัวธนูอย่างเดียว
[]คาถาโองการวัวธนู [เป็นภาษาลาว จากคัมภีร์หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง]สวด 7 จบ
อมโคโน งัวทะนู ผู้หน้ายาว กว้างศอก   ตาปอก ฮอบเขาเสมน   กูผาบสาม แผ่นฟ้าก็ตก   กูผาบหก แผ่นฟ้าก็อ่อนค้อมมา
สู่สมพานกูทั้งค่าย บ่อทำฮ้ายแก่กูสู   ชาวเมืองบนแลลุ่มฟ้า ถ้วนหน้าให้มาถวาย  ตัวกูมาก บ่อให้ยาก หมู่ทาสาทาสี
ให้กูมีไซทุกค่ำซ้าว ให้กูได้เป็นเจ้า ไผจักเจ้าให้มาโลมเลี้ยงกู  ให้อ่อนอ่อนฮ้อยท่อนท้าวมาถวายกูยียาบ
กูจักผาบแพ้สับพะหมู่ศัตรู  งัวทะนูเป็นวัสสุโพลาด   อาจพาบแพ้เท่าซึงซม   ภูอมกูจะให้นก นกก็ฮ้อง  อมกูจะให้ฆ้อง
ฆ้องก็ดัง  อมกูจะให้คน คนก็ฮ้องซักไซ่คิดถึงกู  ซาวซมภูฮักฮูบกูสู่คน ฮูป  ปู่กูให้แทนเมืองสมพานเซืองคงขอบพัยฟ้า
หมู่มนตรี  ให้เขาอ่อนหากู ดังซ้างอ่อนขอ ให้อ่อนหากู ปานปอแสนน้ำอม โฟเฟ้าอมโพเจ้าเข่าสู่โพโซ   อมเมตตัยยะ
มาเป็นครูกู   กูจักปุกงัวทะนูให้ลุก รักษาลือซา  อมสวาหะ ฯ
[]คาถาบูชาวัวธนู สวด 4 จบ
อมอุดเทตะยัง สะนะทิ   อมงัวทะนู ลูกแม่เฒ่า รักษาเจ้าจงดี  ผีสางสะเด็ดหนี ขวักคว้าน  อมโคโน มะหาโคโน
อมโคโส มะหาโคโส  สันทะ สันทิ จันติ  อมมะหา หิริโอตัปปะมัมปันโน  สัปปุริสาโลเก เทวะธัมมาติอุจจะเร
เวทาสากุ กุสาทาเว  ทายัสสะ ตะทะสา  ทิกุกุ ทิสาสา   กุตะกุ ภูตะพุ  โคสวาหะ โสตถิเต โหนตุ   ชัยยะ มังคะลานิ ฯ
[]คาถานี้ใช้กับรุ่นเล็กที่พกติดตัวได้ ใช้ในทางเมตตามหานิยม สวด 9 หรือสวด 108 จบ ทุกวันขึ้น 8 ค่ำ
และวันขึ้น 15 ค่ำ
สุวัณณะมุกขะวา จะงังมะ   ทูสังปิยายันติ มะนุสสา   จะเอกัง ปิยังเอหิฯ
>วิธีนี้ใช้ได้กับทุกสำนัก การเซ่นไหว้วัวธนู ท่านให้หาหญ้าคาเจ็ดก้านหรือ 7 ใบ แต่ละใบต้องทำการขมวดปลาย
ขณะขมวดปลายนั้นให้กลั้นหายใจด้วย แล้วท่องพระคาถาอุปคุตมัดมาร ปมของทุกก้านให้เสกด้วยคาถานี้ทั้ง 7 ใบ
ถวายพร้อมน้ำเปล่า น้ำเปล่านี้เมื่อลามาแล้ว อย่าทิ้ง ใช้ประพรมหน้าร้านขายของดีนัก หากป่วยไข้ขอมาดื่มกินจะหายเช่นกัน
[]ตอนให้หญ้า คาถาอุปคุตมัดมาร ว่า
'อิมัง อังคะพันธะนัง อธิฏฐามิ'
[]คาถาวัวธนูเฝ้าบ้าน
นะภาเวนุ นะภาเวนุ   เวทาสากุ กุสาทาเว   ทายัสสะ ตะทะสา  ทิกุกุ ทิสาสา   กุตะกุ ภูตะพุ  โคสวาหะ โสตถิเต
โหนตุ ชัยยะมังคะลานิ        นุภานะเวนะ นุภานุเวนะ   เวภานะนุ เวภานะนุ   ภานะนุเว ภานะนุเว  นะนุเวภา นะนุเวภา
นะภาเวนุ นะภาเวนุ ฯ
เสกพระคาถานี้ทำน้ำมนต์รดบนหลังวัวธนู แล้วรองน้ำนั้นเอาไว้ แล้วนำน้ำที่ได้ไปประพรมรอบบริเวณบ้าน
จากนั้นเมื่อออกจากบ้าน ก็บอกกล่าวแก่วัวธนูให้เฝ้าบ้านให้
สวดให้น้ำให้หญ้า และก็อธิษฐานขอสิ่งที่ตั้งใจในทางสุจริต จะสำเร็จทุกประการ
 
 (http://www.jatukamthailand.com/wizContent.asp?wizConID=436&txtmMenu_ID=7)

5110
5 แถวนี้เป็นยันต์ 5 แถว ต่อจาก ยันต์ นะ นะครับ   

5111
สวยดีครับ ที่ของไหน ครับ ....

5112
น่าเลื่อมใสมาก ครับ ขอกราบมนัสการด้วย ใจ ครับ

5113
9 ยอดผมเคยเหงหลายรูปแบบ มาก ครับ อิอิ
แล้วแต่หละสายอจารย์ ครับ

5114
รบกวนครับ ทำมัยจิ้งจก ถึงมีคุณทางด้านโชคลาภ เมตตา มหาอุตครับ

น่าจะเมตตา โชคลาภนะครับ และก็แคล้วคลาด
เพราะเขาเล่ากันว่า ...จิ้งจก 2หาง คือผู้มีบุญมาเสวยชาติ
เปงจิ้งจก ครับ หรือเขาเรียกกันพญาจิ้งจก อิอิ

5115
ธรรมะ / ตอบ: " สาระจากพระสูตร "
« เมื่อ: 06 ก.ค. 2551, 09:47:39 »
ขอบคุณครับ

5116
หงะ เขาก็เขียนอยู่นะครับ ว่ายันต์หอมเชียงอ่า อิอิ

5118
ขอบคุณครับ มาเพิ่มเติมกันอีกแบ้ว

5121
ขอขอบคุณ
http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday02&content=15120

5122
[bgcolor=#6200ff]238654......เลขที่ออกสลากกินแบ่งรางวัลที่ 1 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา สร้างความฮือฮาให้กับ ชาวนครปฐมเป็นอย่างมาก ซึ่งนักแสวงโชคทั้งหลายพากันรับทรัพย์จากเจ้ามือทั้งบนดินและใต้ดิน กับตัวเลข 54

...บางกระแสว่าหวยที่ออกเป็นเลขมงคล บางความเชื่อก็ว่ามาจากเลข อิทธิพลของดวงดาวในราศีองค์พ่อปู่ชูชก ของหลวงพ่อสมพงษ์ ธีรธัมโม วัดใหม่ปิ่นเกลียว ถนนมาลัยแมน หน้ามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม จังหวัดนครปฐม

ด้วยนวางค์แห่งดาวพฤหัสบดี (5) กับดาวพุธ (4) เข้ามาเล็งลัคนา จึงทำให้เลข 2 ตัวนี้เด่น ในช่วงที่ผ่านมา ใครๆ เข้าไปกราบชูชก ก็ได้รับคำบอกเล่านี้จึงเอาไปเป็นเลขเด็ด แล้วก็ได้โชคได้ลาภกัน ตามประสงค์จริงๆ...มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่

...รุ่งขึ้นในวันที่ 2 จึงมีผู้คนเอา เครื่องแก้บนไปสักการะกันจนแน่นขนัดบริเวณวัดใหม่ปิ่นเกลียว อันเป็นการบ่งบอกถึงระดับแห่งศรัทธา

O O O

หลวงพ่อสมพงษ์ ธีรธัมโม เจ้าอาวาสวัดใหม่ปิ่นเกลียว ผู้สร้างและปลุกเสกเครื่องรางพ่อปู่ ชูชก จนโด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว แต่ละวันจะมีผู้เดินทางไปสักการบูชามิได้ขาด และก็จะได้อะไรๆตามประสงค์ อย่างเช่นบางคนมี ลูกหนี้ ทวงเท่าใดก็ไม่ได้เงินคืน เมื่อมากราบสักการะแล้วขอ เอารูปจำลองไปบูชาที่บ้าน ไม่นานที่คิดว่าหนี้สูญก็กลับได้คืนอย่างไม่น่าเชื่อ

หรือแม้แต่ทำมาค้าขายที่ฝืดเคือง เมื่อบูชาพ่อปู่ชูชก ก็ทำให้ทำมาค้าคล่องอย่างไม่น่าเชื่อ มากๆราย หลายๆเหตุการณ์สะสมมากเข้า ความเลื่อมใสจึงพอกพูน

อาจารย์นพ โพธิรักษ์ โหรใหญ่ไทยรัฐ ผู้ เข้าไปสัมผัสบอกว่า...เป็นความเฉลียวฉลาดของเจ้าอาวาสวัดใหม่ปิ่นเกลียว ที่สร้างและเรียกศรัทธาเข้าวัดโดยการเอาชูชกเป็นตัวนำ ซึ่งได้ทั้งปริศนาธรรมและปรัชญาสอนใจแก่พุทธศาสนิกชน

แล้วก็ได้ขยายความต่อว่า....ในทศชาติชาดกนั้นชูชกถือว่าเป็นกำลังสำคัญ ที่ทำให้ทานบารมีของพระเวสสันดรมีพลังสูงส่ง บรรลุผลได้ ประสูติเป็นพระพุทธเจ้า

O O O

ชูชกมีดวงเกิดที่ถือว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว ห่อทอง ดวงเสาร์ร่วมราหูกุมลักษณ์.... เป็นดวงของเย็น เป็นผู้ที่มีกายเย็น วาจาเย็น (สุภาพ) จิตใจเย็น ผู้ที่ มีลักษณะเช่นนี้จะ เป็นผู้ที่มีเงินทอง ซึ่งเป็นของกายสิทธิ์ไหลเข้ามาแล้วไม่ไหลออก จึงร่ำรวยมั่นคง...ไม่เหมือนกับ ผู้ที่ดวงชะตารุ่มร้อน เงินทองก็ไม่อยากจะอยู่ด้วย

และในแผ่นดวงของชูชก ดวงดาวอาทิตย์ พุธ ศุกร์ เล็งลัคนากันถือว่าเป็นศุภ แม้ว่า รูปร่างหน้าตาหรืออายุมาก แต่มักจะ ได้อะไรสวยๆงามๆเป็นคู่ครอง และคู่ครอง จะซื่อสัตย์ไม่คิดนอกอกนอกใจ อย่างเช่นที่ได้นางอมิตดามีอายุคราวลูก แต่ก็ยังรักและรับใช้ชูชกอย่างไม่หน่ายแหนง

...ฉะนั้น ถ้าใครอยากได้ภรรยาสวยจะต้องบูชาชูชก เพราะต้องอาศัยดวงของ ชูชกเข้ามาค้ำชู... อาจารย์นพ โพธิรักษ์ กล่าวสรุป แล้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี (ที่ อยากได้ภรรยาสาวสวย...!!)

O O O

กับความขลังของชูชกที่ได้รับศรัทธา เมื่อเวลามีคนมาแก้บนเขาจะเอา ข้าวหลาม เป็นหลัก แล้วก็จะมี กล้วยน้ำว้าสุก (ที่เอาข้าวหลามนั้น คงจะเป็นเพราะว่าในอดีตชูชกต้องเดินทางไกล เป็นประจำ การที่จะนำข้าวหลามติดตัวเป็นเสบียงมันสะดวกดี หรือว่าที่นครปฐม สินค้าหลักของฝากคือข้าวหลาม เมื่อนำมาบวงสรวงก็จะได้ระบายสินค้าท้องถิ่น)

หรือที่ทันสมัยหน่อยก็มีบ้างที่เอา ขนมเค้ก หรือ โดนัท มาแก้บน ทางวัดบอกก็ใช้ได้เช่นกัน

แต่ตามปกติทางวัดจะจัดเครื่องสังเวยให้ พร้อมดอกไม้ ธูปเทียน ใครที่เดินทางไปด้วยมือเปล่าก็ใช้บริการของวัดได้ โดยทางวัดมิได้เรียกร้องเงินทองแต่ประการใด.....

...พอตกเย็นเครื่องสังเวยเหล่านี้ ทางวัดก็จะจัดนำไปบริจาคต่อให้กับผู้ที่ยากไร้ ได้กินกัน เรียกว่าทำบุญแล้วยังได้ทำทานต่อ...จึงไม่จำกัดว่าจะเป็นประเภทใด จะเป็นไทย ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น อิตาลี พ่อปู่ชูชกรับได้หมด

O O O

กับพลังศรัทธาที่สร้างความเลื่อมใส เจ๊เล็ก ?ชวลี สงวนพันธ์? เป็นรายหนึ่งที่เข้ามา พึ่งบารมีและเลื่อมใสต่อพ่อปู่ชูชกมาก เธอเล่าว่า ก่อนหน้านี้ไม่เชื่อในเรื่องเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมงคลแต่อย่างใด ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการขายลอตเตอรี่มา 6 ปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่องค์พระปฐมเจดีย์ หรือที่ตลาดนครปฐม ตระเวนมาทั่วหมด

วันหนึ่งฝันว่ามีคนแก่ๆเอาเหรียญอันใหญ่ๆมาให้ บอกว่าให้ สวมติดคอไว้ พอตื่นขึ้นมาก็คิดว่าจะไปหาเหรียญตามฝันที่ไหนได้ แล้ว สายๆของวันนั้นเพื่อน จึงชวนไปขายลอตเตอรี่ที่วัดใหม่ปิ่นเกลียว พอถึงวัดก็เห็นรูปปั้นพ่อปู่ชูชก คิดในใจว่าใช่เลย



แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าเป็นจริงอย่างฝันก็ให้มีโชคดี (ทั้งๆที่ตนเองไม่มีความเชื่อ) แล้วก็เป็นจริง ในงวดนั้น สลากตกค้างอยู่ 4 ใบ ไม่มีใครซื้อ แม้ว่าจะขายลดราคาก็ไม่มีใครเอา....

...และก็อย่างไม่น่าเชื่อ สลากทั้ง 4 ใบถูกรางวัลทุกใบ ทั้งๆที่เลขไม่เหมือนกัน จึงศรัทธาต่อพ่อปู่ชูชกตั้งแต่บัดนั้น....แล้วปักหลัก ขายอยู่หน้าศาลพ่อปู่ชูชกเป็นต้นมา

...ซึ่งก็ได้ปรนนิบัติ ทำความสะอาด มีโอกาส บูชาเครื่องสังเวยเป็นกิจประจำ...นำเครื่องสังเวยไปทำทานต่อ...!!!

และ ผู้ที่ซื้อลอตเตอรี่จากเจ๊เล็กจะไม่ ผิดหวัง มักจะโดนรางวัลกันเป็นประจำ แต่ตัวเจ๊เล็กเองถูกเพียงครั้งเดียว แล้วไม่มีกรายใกล้อีกเลย .....ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรพ่อปู่ชูชกจึง
[/bgcolor]

5124
(ขอขอบคุณข้อมูลจาก นสพ.ไทยรัฐ)

5125
เที่ยววัดดังกราบพระดี หลวงพ่อสมพงษ์ ; วัดใหม่ปิ่นเกลียว - 2/9/2548

เที่ยววัดดังกราบพระดี หลวงพ่อสมพงษ์; วัดใหม่ปิ่นเกลียว
++ หนึ่งในพระเกจิอาจารย์เมืองนครปฐม

หลวงพ่อสมพงษ์ ธีรธมฺโม เจ้าอาวาสวัดใหม่ปิ่นเกลียว อ.เมือง จ.นครปฐม เจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน จ.นครปฐม นับเป็นพระเถระสำคัญรูปหนึ่ง ที่มีศิษยานุศิษย์ให้ความเคารพนับถือทั่วทุกทิศ

นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส พ.ศ.2510 เป็นต้นมา ได้พัฒนาสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับวัดใหม่ปิ่นเกลียว ตลอดทั้งชุมชนใกล้เคียง มีผลงานการพัฒนาวัดการสร้างและบูรณะถาวรวัตถุต่างๆ งานสาธารณูปการ งานส่งเสริมเผยแผ่ศาสนาและงานสนับสนุนส่งเสริมการศึกษา งานสังคมสงเคราะห์ต่างๆ เป็นที่ยอมรับของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วไป

ทำให้ท่านได้รับการยกย่องประกาศเกียรติคุณ เช่น ได้รับการพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ โดยสถาบันราชภัฏนครปฐมเป็นผู้เสนอเข้ารับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ในฐานะเป็นพระสงฆ์นักพัฒนาชุมชนและสังคม เมื่อ พ.ศ.2540 และต่อมากรมการศาสนาเสนอชื่อเข้ารับพระราชทานเสาเสมาธรรมจักร ในฐานะพระสงฆ์ผู้มีผลงานส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในงานสัปดาห์วิสาขบูชา พ.ศ.2542

หลวงพ่อสมพงษ์ ธีรธมฺโม เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2479 ตรงกับวันเสาร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 1 ปีชวด ที่บ้าน ต.หันคา อ.หันคา จ.ชัยนาท โยมบิดามารดา ชื่อนายบัว นางกลุ่ม พวงสุข บรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2499 ณ วัดท่ากฤษณา ซึ่งเป็นวัดตั้งอยู่ในถิ่นกำเนิด มีพระครูสรชัยวิชิต เจ้าอาวาสวัดท่ากฤษณา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสำราญ วัดราษฎร์ศรัทธาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระปลัดประไพ วัดท่ากฤษณา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมสอบได้นักธรรมชั้นเอกที่สำนักเรียนวัดพระงาม จ.นครปฐม และสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค สำนักเรียนวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร

ตำแหน่งหน้าทางคณะสงฆ์ที่ได้รับ พ.ศ.2510 เป็นเจ้าอาวาสวัดใหม่ปิ่นเกลียว พ.ศ.2512 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน จ.นครปฐม พ.ศ.2513 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2514 เป็นเจ้าคณะอำเภอกำแพงแสน จ.นครปฐม สมณศักดิ์ปัจจุบัน เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษที่พระครูปราการลักษาภิบาล

หลวงพ่อสมพงษ์ เป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทั้งในด้านพระปริยัติธรรมและการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน การบำเพ็ญเพียรจิตภาวนาวิชาโหราศาสตร์ และไสยเวทวิทยาคม ได้ใช้วิชาความรู้ดังกล่าวพัฒนาวัดจนกระทั่งวัดใหม่ปิ่นเกลียวเป็นวัดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางชุมชน เป็นศูนย์รวมในการประกอบศาสนกิจและเป็นแหล่งส่งเสริมอาชีพชุมชน โดยสงเคราะห์ประชาชนให้เข้ามาใช้บริเวณวัดนำผลิตภัณฑ์และสินค้าพื้นเมืองมาจำหน่าย

อุโบสถของวัดใหม่ปื่นเกลียว ได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ประดิษฐานไว้ทั้งสองข้าง ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง ขนาดใหญ่มีพุทธลักษณะสวยงามมาก เป็นที่เจริญศรัทธาของสาธุชนทั่วไป ที่ฐานพระประธาน จารึกพระนามย่อ ญสส.ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ วัดบวรนิเวศวิหาร

จุดเด่นอีกประการหนึ่งของอุโบสถหลังนี้คือมีภาพเขียนประวัติความเป็นมาของตำนานพญากง พญาพาน เป็นภาพเขียนอนุรักษ์งานจิตรกรรมสืบสานภูมิปัญญาไทย เป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย

หลวงพ่อสมพงษ์ ได้สร้างถาวรวัตถุต่างๆ ไว้ภายในวัดใหม่ปิ่นเกลียวหลายอย่างด้วยกัน นับตั้งแต่อุโบสถ ศาลาการเปรียญ ฌาปนสถาน ศาลาบำเพ็ญกุศล กุฏิสงฆ์ ห้องน้ำห้องสุขา ถนนหนทางภายในและบริเวณรอบๆ วัด ขณะนี้กำลังดำเนินการสร้างกำแพงด้านหน้าของวัด และวิหารหลวงพ่อนิมิตมงคล

นอกจากนั้น หลวงพ่อสมพงษ์ท่านได้ให้ความสนใจเรื่องการศึกษาอย่างมาก จึงส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาของพระสงฆ์สามเณรตลอดทั้งเยาวชน โดยเปิดสำนักเรียนธรรมศึกษาที่วัดใหม่ปิ่นเกลียว จัดบรรพชาสามเณรภาคเรียนฤดูร้อนต่อเนื่องกันทุกปี รวมทั้งงานอื่นๆ ที่ท่านได้บำเพ็ญเพียรต่อเนื่องกันมาตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

วัตถุมงคลของหลวงพ่อสมพงษ์ที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ เครื่องรางชูชกเพิ่มพูนทรัพย์ รูปหล่อลอยองค์ชูชก ผ้ายันต์ชูชก เครื่องรางชูชก หลวงพ่อสมพงษ์ รุ่น 1 พ.ศ.2544 ราคาค่านิยมอยู่ในราคาหลักพันแก่ๆ ถึงหมื่นบาท เพราะประสบการณ์ปาฏิหารย์เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกภูมิภาค

ขณะนี้กำลังเปิดให้บูชาเครื่องรางชูชกเพิ่มพูนทรัพย์ มีทั้งเหรียญเนื้อผงพุทธคุณผสมว่าน 108 รูปหล่อชูชกลอยองค์ และผ้ายันต์ชูชก

หลวงพ่อสมพงษ์ เป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมจากหลวงพ่อดัด วัดท่าโบสถ์ และหลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร จ.ชัยนาท เมื่อท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระงาม จ.นครปฐม จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเงินท่านให้ความเมตตาอบรมสั่งสอนแนะนำวิชาความรู้ต่างๆ และได้อนุญาตให้หลวงพ่อสมพงษ์ใช้อักขระเลขยันต์มาสร้างเป็นเหรียญเสาร์ 5 รุ่น 1 พ.ศ.2512 เหรียญหลวงพ่อสมพงษ์ รุ่น 1 อธิษฐานจิตปลุกเสกโดยหลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อเที่ยง วัดม่วงชุม หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ฯลฯ



5126
ขอบคุณครับ

5128
แหล่มเลย อยากได้นางพิม มั่งอะครับ

5129
ขอขอบคุนพี่น้องชาวบางพระทุกคนนะครับ.........ต้นน้ำลูกบางพระคิดถึงนายนะตุ้ย
กุเอ็มเว้ย  เวง ตอนเกณทหาร ยังเจอกันหยุ่หลัดๆๆ  .....
ที่พูดหมายถึงตุ้ย มานไปเกณทหาร อะ มานมาหาที่บ้าน
ส่วนมุงกะกะรูเนี่ยนะ ไม่เปง ไง ใบดำเฟ้ย

5130
แน่นเลย ครับ พี่สิบทัศ อิอิ

5131
พระเจ้า.. น้องโจรฯ ได้เปลี่ยนอักขระใหม่จนถูกตามพจนานุกรม บัณฑิตราชยสถาน แล้ว 

ไม่มีใครใหญ่กว่าต้นงิ้ว

พี่ไปแซว เขาไม ครับ 5555+

5132
รุ่นเสาร์ 5 ซะด้วยนะครับ 
 ... ไงต้องรอถามพี่สิบทัศมาตอบ ครับ เขาเก่งจริง
และรูปใหญ่มากโหลด ช้ามากๆ ครับ เหอๆๆ

5133
สงสัยพี่สิบทัศนี่มีทุกรุ่นเลยนะครับ แน่น จริงๆ :053:
ประสบการณ์หลวงพ่อเงิน ผมเคยแขวน ครับ สมัยเรียนปี 1
และโดนลุม ครับ เจอไปหลายดอก ครับ ...ช้ำนิดหน่อย ครับ
แต่ไม่มีแผล สักหยด ปกติหัวหน้าจะแตก ....... (โดนแบบหนักมากอะครับ ช้ำใน)
และอีกหลายๆครั้งบู้แหลกว่าได้ ครับ ....ทั้งแคล้วคลาด  จากอาวุธ  ต่างๆ
โดนมาหลายรูปแบบ ครับ สุดยอด จริงๆ ทั้งปืน มีด
เรื่องเหนียวสุดๆครับ ส่วนหลวงพ่อแช่ม ก็ไม่ธรรมดา ครับ
มารุ่นของหลวงพ่ออวยพร ก็มิต่าง จากอาจารย์ สักเท่าไหร่เลย
สายนี้ผม ว่าสุดยอด ครับ .....พระดี ในจ.นครปฐม

ประสบการณ์ ....แน่น ครับ ..... :053:

5134
คาถาอาคม / ตอบ: คาถาปลุกผีลุก
« เมื่อ: 02 ก.ค. 2551, 11:15:20 »
อิอิ ครับพี่สายัน เคยได้ยินมาว่าที่วัดห้วยพลู ก็เคยปลุกผีกัน รายละเอียดไม่ทราบมากนัก ( เพราะเกิดไม่ทัน ) ท่านหอมเชียงน่าจะพอมีข้อมูลอยู่บ้างนะครับผมว่า ไม่มากก็น้อย
ไปปลุกกันทำไมอะครับ เขาจาหลับจานอน 555++ (ล่อเล่งน่า)

5135
อ่าครับ ขอบคุณครับ อิอิ น้องผู้หญิงเสื้อม่วงที่จัดพานหน้ากุฏิหลวงพี่แป๊ว น่ารักดีนะครับ หุหุ
ขอบคุณครับพี่ สิบทัศข้อมูลแน่นเหมือนเดิม
(แถมมีเหล่สาวอีกนั่นแน่ 55+)ไม่ธรรมดา ครับ นับถือ
เห็นกล้ามแล้ว คงไม่ต้องสักหมัดธนูนะครับ อย่างนี้ 5555++ 

5136
ขอบคุณครับ หลวงพี่ญาใจดี แต่ก็ดุนิ๊ดนึง ครับ อิอิ
ส่วนพระอาจารย์ต้อยเก่งเหมือนกัน ครับ ..

5137
ผมชอบจิ้งจก 2 หาง ครับ อิอิ

5138
ไม่รู้ครับ ไม่เคยลอง .....อยากได้เหมือนกัน ครับ แต่รอผมสั้นก่อง อิอิ
พี่สิบทัศ นำรูปภาพสุดยอดมาอีกและครับ ขอบคุณครับ

5140
ขอบคุณครับ

5141
เหอๆๆๆๆๆๆๆๆ  ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล

5142
ขยาย ศิล ข้อ 3 กาเมสุมิจฉา(การประพฤติผิดในกาม)
การผิดลูกเขาเมียใคร หากกระทำเพราะโลภอยากเสพกามจนหน้ามืด
หรือ ล่วงละเมิดทางเพศเพื่อให้เกิดความเจ็บใจ หรือหลงเชื่อแนวคิดวิปริต
เช่นนำสาวพรหมจรรย์มาข่มขืน แล้วทำให้ผู้นั้นไปสวรรค์
หรือ ล่วงเกินเพศโดยไม่ยินยอม ทั้งใจและกาย ก็ตาม
หากเมื่อเสพแล้ว ทำมามากแล้ว ย่อมเป็นสัตว์ให้ไปนรก ในกำเนิดสัตว์
ดิริฉาน ในเปรตวิสัย วิบากกรรมแห่งข้อกาเม อย่างเบาสุด
จะมีกรรมซึ่งมีศัตรูให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

(ขอบคุณจากหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน )
อ่าครับ ขอบคุณครับท่าน แน่นจริงๆครับ นับถือ

ขอบคุณครับ พี่สิบทัศ แน่นกว่าผมเยอะครับ

5143
สุดยอดจริงๆ ครับ  :053:

5144
ขยาย ศิล ข้อ 3 กาเมสุมิจฉา(การประพฤติผิดในกาม)
การผิดลูกเขาเมียใคร หากกระทำเพราะโลภอยากเสพกามจนหน้ามืด
หรือ ล่วงละเมิดทางเพศเพื่อให้เกิดความเจ็บใจ หรือหลงเชื่อแนวคิดวิปริต
เช่นนำสาวพรหมจรรย์มาข่มขืน แล้วทำให้ผู้นั้นไปสวรรค์
หรือ ล่วงเกินเพศโดยไม่ยินยอม ทั้งใจและกาย ก็ตาม
หากเมื่อเสพแล้ว ทำมามากแล้ว ย่อมเป็นสัตว์ให้ไปนรก ในกำเนิดสัตว์
ดิริฉาน ในเปรตวิสัย วิบากกรรมแห่งข้อกาเม อย่างเบาสุด
จะมีกรรมซึ่งมีศัตรูให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

(ขอบคุณจากหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน )

5145
สุดยอดครับ  ขอให้ท่านโจรประสบความสำเร็จในการขอขมาลาโทษนะครับ
และขอให้เดินทางปลอดภัย ครับ

5147
คาถาอาคม / ตอบ: คาถาปลุกผีลุก
« เมื่อ: 30 มิ.ย. 2551, 05:57:50 »
ขอบคุณครับพี่สายัณ  แต่ผมคงไม่กล้านำไปใช้ ครับ หุหุ

5148
ขอให้ได้ไวๆ เช่นกัน ครับ  ท่าน Link

5149
หลวงปู่ทิมสุดยอดครับ
และอีกท่านนึง คือหลวงปู่แย้ม ศิษหลวงพ่อเต๋ ครับ ไม่ธรรมดา จริงๆครับ

5150
ขอบคุณพี่อชิตะเช่นกัน ครับ .................
ที่สำคัญของการเป็นคนดี อีกอย่างนึง ครับ
คือ 1. การที่ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ครับ
 2. และการไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  ทั้ง2อันนี้ก็สำคัณนะครับ อิอิ
อยู่ในหลักของการเป็นคนดีเหมือนกัน
ส่วนเรื่อง ขึ้นค่อม ในความคิดผมเลี่ยงได้ควรเลี่ยง ครับ
พื้นๆเบสิกก็พอแล้ว อย่าไปลูกเล่นอะไรมากเลย ครับ 555+

5151
ขอบคุณครับพี่สายัณ สุดยอดครับ

5152
อะไร ควรเว้นได้ก็ควร ต้องดูเหตุผลด้วย นะ
แต่ไม่ใช่ไม่ถือเลย ...........
หากมันจำเป็นจริงๆ ก็ควร แล้วแต่เหตุผล

ถ้าเคร่งมาก ....ก็อย่ารอดใต้สะพานลอยเวลาไปไหนมาไหนสิครับ
งั้นก็อยู่แต่บ้านสิ
คิดสิครับสะพานลอย อาจมีผู้หญิงกำลังมีประจำเดือนอยุ่บนสะพาน
แล้วเราไปรอด ก็เสื่อม สิครับ ................. (ไม่หลอก)
อย่าคิดมาก ครับ แค่เป็นคนดี ก็พอ
แล้วอะไร หละ คือคนดี แล้วคิดว่าท่านๆเป็นคนดี หรือยัง ?
แล้วคนดีคืออะไร ...ไปหาเหตุผลในตัวท่านเอง ครับ
การจะดูคนอื่น ควรดูตัวเราเอง ก่อน ....ตัวเราเองดีหรือยังหนอ 

ส่วนการถือศิลก็ดีกับตัวท่านเอง ถือได้ก็ดี อานิสงอยู่กับตัวท่าน ไม่ได้อยู่กับผู้อื่นเลย
ถือได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ขอให้ถือก็ยังดี  ถ้าดีมากๆ ก็ให้ได้ทั้ง 5 ข้อ
ถ้าหากมีความสามารถถือได้ 8 ข้อก็จะดี ก็ขึ้นอยุ่กับตัวท่านเอง ครับ


5154
เหรียญเต่าท่านนี่เน้นด้านทำมาหากินครับ
คือมีแต่โชคลาภเงินทองมาก
ส่วนเรืองแคล้วคลาด คุ้มครองตัวนี่ก็สุงด้วยเช่นกัน
ถือเคล็ดที่ว่า เต่าเป็นสัตว์อายุยืน
แถมมีกระดองเป็นเครืองป้องกันอันตรายต่างๆครับ
หลวงปู่หลิวท่านมีเชื้อสายชาวจีน ท่านจึงสร้างพระเครื่องรูปเต่าขึ้นมา
เพื่อให้ศิษย์ได้บูชาเป็ฯสิริมงคลครับ

ขอบคุณครับ แต่เต่า ก็อยุ่ในเรื่อง พระเจ้า 5 พระองค์ด้วย ครับ
(ไม่เพียงแต่ของจีนเท่านั้น ในศาสนาพุทธก็มีความสำคัญครับ)
เป็นสัตว์ศักสิทธิ์ ที่พระโพธิสัตว์ลงมาเสวย ชาติเป็นเต่า
อยู่ในชาตินึง ครับ  ......จึงมีความเป็นศิริมงคลสูง ครับ

5155
วัดนี้ผ่านบ่อยๆ ครับ ไมรู้ว่ามีของดีด้วย
ขอบคุณพี่สิบทัศมาก ครับ

5156
ขอบคุณครับ หลวงพ่อชุ่ณห์ท่านดุ แต่ก็ใจดี ครับ
ท่านเป็นอาจารย์อีกท่านนึง สำหรับสายกรรมฐาน ที่ผมเรียน
เป็นกรรมฐาน +การเคลื่อนไหว(โยคะ)

5157
55555++ -ขอบคุณสำหรับเรื่อง ขำๆ ครับ

5158
ขอบคุณข้อมูล ครับ ผมกลัวผีเลยไม่ได้มาทางนี้เลย
ส่วนตัวผมชอบกรรมฐาน ครับ

5159
มองมะเหงรูปครับ รูปไม่แสดง ครับ แก้ไขด้วย ครับ
ขอบคุณครับ

5160
สุดยอด ครับ ของดีราคาไม่แพง ครับ

5161
ขอบคุณที่ความรู้ครับ ........ ส่วนเรื่องกุมาร ผมไปอ่านเจอมา ครับ
ในความรู้ผมยังน้อย ครับ ..........ไงก็ขอขอบคุณสหรับทุกข้อมูลนะครับ

5162
สุดยอดครับพี่สิบทัศ อิอิ

5164
ลูกเหรอครับ น่ารักดีนะครับ อิอิ
ส่วนเรื่องสักผมว่า ตามที่ท่านพี่โจรสลัดบอกแหละดีและครับ
น้ำมันดีกว่า เมตตา แคล้วคลาดดีกว่า

5165
ในความคิดของผม ครับ อยู่ที่ใจ
หากเราขับรถรอดใต้สะพานลอย ก็คงเสื่อมหมดแล้ว 
สมัยนี้สะพานเยอะแยะเต็มไปหมด  โหแย่เลย
ผมว่าไม่เสื่อม หลอกครับ 
สายพุทธคุณ  มิเสื่อมง่ายๆหลอกครับ อยู่ที่ใจมากว่า
ถ้าพวกไสย์เวท พวกของมนดำ แค่เอาผ้าถุงแม่คุมก็เสื่อมและครับ(สำหรับคนที่โดนของนะ)
ส่วนข้อห้ามก็เป็นอุบาย ให้เราเป็นคนดี ไม่ทำผิดศิล ครับ

......ของทุกอย่างอยู่ที่ใจ ครับ ..........

5166
ขอขอบคุณพี่สิบทัศ ครับ แน่น เหมือนเคย

5167
รุ่นไม่เค่ยรู้ครับ ...แต่สำหรับผมนะครับ
หลวงปู่หลิว ดีทุกด้าน ครับ เด่นทางโชคลาภ และโภคทรัพ ครับ
แต่เรื่อง คงกระพัน ก็ไม่ธรรมดา ครับ .............เมตตาก็ดีครับ
สังเกตุ คนแถวในตลาดนครปฐม แขวนแต่หลวงปู่หลิว ครับ
ไปดูได้ครับ   ......... :053:

5168
ดีครับ ขอบคุณ

5170
จาดไปครับพี่สิบทัศ.........
ได้ครับพี่โจร แต่ไม่เค่ยสวยนะ 5555++

5171
ถ.ถ.ถถ.ถ.ถ.ถ........ถูกต้องนะครับพี่โจร 555+

5172
เหลาได้ 2 อันและครับพี่โจร เดี่ยวเค่ยไปเอาปลุกเสกอีกที ขอบคุณครับ 555

5173
ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล ดีๆๆ

5174
มีอีกข้อ ฝากถามๆเพื่อนๆพี่ๆๆน้องๆๆ ด้วยนะครับ
ผมถามคนแก่ ว่า ทำไมไปเวลาไปงานศพต้องติดก้านใบไม้ทับทิม ไปด้วย
เขาบอกว่า เอาใว้กัน คุณไสย์ ของไม่ดีเข้าตัว ครับ ......
(นำเคร็ดมาฝากกันจากคนแก่ๆพื้นที่วัดไร่ขิง)

คราวนี้ผมมี ต้นทับทิมตายพราย คือยืนตายทั้งต้นอะครับ 
จะเอาไปทำไร ช่วยแนะนำมาหน่อยนะครับ อิอิ 

5175
ผมไปอ่านเจอเลยเก็บมาฝากพี่น้องกัน ครับ
หากลง ซ้ำช่วยเตือน และ แจ้งด้วยนะครับ  ขอบคุณครับ


ตำนานกุมารทอง

          กุมารทอง  คืออะไร กุมารทองนั้นก็คือเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่งที่มีวิญญานของเด็กสิงสถิตอยู่  และสามารถแสดงตัวให้คนในบ้านเห็นหรือในยามที่เจ้าของบ้านไม่อยู่  ซึ่งกุมารทองนี้ให้ได้ทั้งโชค ทั้งเมตตา และยังเป็นมหาเสน่ห์ได้อีกด้วย

          กุมารทองเป็นผีเด็กที่ตายในท้องพร้อมกับแม่ ผู้ที่มีคาถาอาคมจะใช้คาถาอาคมแหวะเด็กออกจากท้องของศพผู้เป็นแม่  แล้วนำไปประกอบพิธีย่างในโบสถ์  หน้าพระประธานในเวลากลางดึกพร้อมกับบริกรรมคาถาไปขณะย่างนั้น  เมื่อย่างจนแห้งดีจะนำมาปิดทองให้ทั่วทั้งตัว  จึงเรียกว่า กุมารทอง  แล้วนำมาเก็บรักษาไว้ในที่อันควร  ให้อาหารกุมารทองกินทุกวันอย่างคนปกติ  ตามที่เล่ากันมานั้น วิญญาณกุมารทองจะสามารถปรากฏกายให้ผู้ที่สร้างกุมารทองเห็น  และสามารถทำตามคำสั่งของผู้ที่สร้างกุมารทองได้ทุกอย่าง  ความสามารถนั้นไม่ใช่ความสามารถของเด็กที่ยังไม่เกิด แต่จะสามารถทำได้เหมือนเด็กที่โตแล้ว  ผู้มีคาถาอาคมจึงพยายามหากุมารทองไว้ใช้

กำเนิดกุมารทอง

       กุมารทองนั้นเป็นของขลังที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล  เป็นที่นับถือคุ้นเคยของคนรุ่นปู่ย่า  แม้กระทั่งในทุกวันนี้ความเชื่อในเรื่องกุมารทองนั้นก็ยังคงเป็นที่นิยมกันอยู่  โดยจะเห็นได้จากการที่ร้านค้าหรือผู้ประกอบกิจการต่างๆ มักจะมีหุ่นกุมารทองตั้งไว้บูชาไว้ด้วยความเชื่อที่ว่ากุมารทองนั้นจะสามารถเรียกลูกค้าให้เข้าร้าน  หรือให้โชคลาภแก่ผู้เลี้ยงอีกด้วย 

          กุมารทองจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นได้กล่าวถึงกำเนิดของกุมารทองไว้ตอนหนึ่งว่า ขุนแผนจับได้ว่านางบัวคลี่เมียของตนคิดวางยาพิษเพื่อจะฆ่าตน จึงได้ลงมือฆ่านางบัวคลี่ แล้วจึงผ่าท้องของนางเพื่อเอาบุตรชายภายในท้องนั้นมาทำเป็นกุมารทอง  โดยทำพิธีในย่างศพเด็กและปิดทองคำเปลวจนกระทั่งกลายเป็นผีกุมารทอง แล้วใส่ห่อผ้าไว้  กุมารทองจัดได้ว่าสำคัญกับขุนแผนมาก เพราะกุมารทองนั้นก็เป็นบุตรคนหนึ่งของขุนแผนเช่นเดียวกัน

         เหตุที่กุมารทองนั้นถูกจัดให้เป็นของวิเศษอย่างหนึ่งนั้น  สันนิษฐานได้ว่าได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยขุนแผนซึ่งอยู่ในยุคกรุงศรีอยุธยา และได้รับสืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ แต่การสร้างกุมารทองนั้นไม่สามารถทำแบบขุนแผนได้เนื่องจากผิดทั้งกฎหมาย และศีลธรรม

ตำนานกุมารทองเพชรฆาต

 กุมารทองนั้นมี 2 ประเภทคือ กุมารทองที่มีฤทธิ์ทางด้านทำร้ายศัตรู และอีกประเภทคือด้านเมตตามหานิยม กุมารทองประเภทแรกนั้นจะมีความดุร้ายอยู่มาก แบ่งได้เป็น 4 ชนิดด้วยกัน คือ 1.เพชรมั่น 2.เพชรดับ 3.เพชรคง 4.เพชรสูญ  กุมารทั้ง 4 ชนิดนี้ เรียกโดยรวมว่า "เพชรภูติงาน" หรือ "เพชรปราบ" มีไว้สังหารหรือทำร้ายศัตรูโดยเฉพาะ  ตามตำรากล่าวไว้ว่าการสร้างกุมารทองชนิดนี้จะใช้การอัญเชิญของพวกผีตายโหงหรือปีศาจให้มาสถิตอยู่ในหุ่นกุมารทอง ซึ่งแต่ละชนิดนั้นจะมีวิธีการทำร้ายศัตรูที่ต่างกันไป กุมารทองเพชรสูญจะมีฤทธิ์ในการทำให้คนกลายเป็นบ้า กุมารทองเพชรคงและเพชรมั่นนั้นจะดีในทางด้านเฝ้าบ้านเรือนด้วยการฆ่าคนแปลกหน้าที่มาบุกรุกบ้าน  สิ่งที่ปราบกุมารทองเพชรมั่นได้นั้นได้แก่วัวธนูที่ทำจากไม้ไผ่หามผี แต่กุมารทองเพชรคงจะมีฤทธิ์สูงกว่ากุมารทองเพชรมั่นเพราะสามารถเอาชนะได้หรือแม้กระทั่งที่ทำจากครั่ง สิ่งที่เดียวที่จะหยุดได้คือวัวธนูทองแดง ยิ่งไปกว่านั้นกุมารทองเพชรคงยังมีอำนาจในการไล่ตามศัตรูได้ในขณะที่กุมารทองเพชรมั่นจะอยู่แต่ภายในอาณาเขตบ้านเท่านั้น  กุมารทองเพชรดับเป็นเพชรฆาตเลือดเย็นที่สามารถหักคอศัตรูอย่างรวดเร็วฉับพลันเหมือนนักฆ่ามืออาชีพมีไว้สำหรับปลิดชีวิตศัตรูโดยเฉพาะ กุมารทองจำพวกนี้ยังคงนิยมอยู่ในเฉพาะนักไสยเวทย์มนต์ดำที่เก่งกล้าหรือแถบเขมรและอิสลาม ไม่ได้นิยมในหมู่นักสะสมเครื่องรางทั่วไป

กุมารทองโชคลาภเมตตามหานิยม

          กุมารทองอีกประเภทหนึ่งนั้นมีไว้เฝ้าบ้าน เรียกลูกค้า เป็นเมตตามหานิยม ไม่มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ  โดยทั่วไปนั้นผู้บูชาจะตั้งชื่อเอง  โดยจะตั้งชื่อที่เป็นมงคล เรียกทรัพย์ต่างๆ  กุมารทองชนิดนี้จะไม่มีความดุร้ายสามารถเลี้ยงกันได้ทุกคนไม่มีอันตรายเหมือนอย่างกุมารทองทองชนิดข้างต้น

            กุมารทองด้านเมตตาที่สร้างโดยอาจารย์รุ่นเก่าที่ขึ้นชื่อว่าขลังได้แก่หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม แต่ปัจจุบันนี้คือหลวงพ่อแย้มซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อเต๋  กุมารทองทางเมตตานี้จะมีความศักดิ์สิทธิ์ในด้านของการเฝ้าบ้าน เรียกลูกค้า

วิญญาน 3 ชนิด

       การสร้างกุมารทองนั้นแบ่งออกหลักๆเป็น 3 วิธีการสร้างคือ
       1. สร้างด้วยดิน 7 ป่าช้าผสมผงพรายกุมาร ผงพรายกุมารนั้นคือผงที่ได้จากการเอากระดูกเด็กมาป่นละเอียดผสมกับผงอิทธิเจและปถมัง กุมารประเภทนี้จะเฮี้ยนและแรงที่สุด  แต่มีทั้งคุณและโทษภายในตัว วิญญานที่เชิญลงมานั้นมักเป็นวิญญานในป่าช้า หรือเป็นวิญญานเด็กที่ติดอยู่กับผงพรายกุมารนั่นเอง  กุมารประเภทนี้ต้องเซ่นไหว้ให้ดี และหากเวลาผ่านไปนานวันวิญญานภายในตัวกุมารก็สามารถโตขึ้นได้

     2. การสร้างด้วยเนื้อดินหรือเนื้อไม้แล้วเชิญญานเทพลงมา  กุมารประเภทนี้มักจะไม่ค่อยแสดงตัวเหมือนอย่างแรก เพราะเป็นเทพไม่ต้องเสพอาหารหยาบ ปกติมักปลุกเสกรวมกับพระเครื่อง เช่น กุมารทองของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม

      3. สร้างด้วยไม้ตายพราย ที่นิยมนั้นมักจะสร้างด้วยเนื้อไม้รักซ้อมตายพรายและไม่มะยมตายพราย เพราะถือว่าไม้ตายพรายนั้นเป็นไม้เทพสถิต มีความขลังอยู่ในตัวแม้ไม่ต้องปลุกเสก เมื่อได้ไม้ชนิดนี้มานั้นอาจารย์ผู้เสกจะประจุอาคมพระเวทย์ จิต ตั้งธาตุ หนุนธาตุ เรียกอาการ 32 เรียกนาม จนเกิดเป็นวิญญานอุบัติขึ้นมา วิญญานที่เกิดขึ้นมานั้นจะเรียกว่าพราย คือไม่รู้จักโต พรายพวกนี้จะไม่ทำร้ายผู้ใด แต่ถ้าขาดการดูแลจะอ่อนกำลังและสลายไปในที่สุด

การนำกุมารทองเข้าบ้าน

       ก่อนนำกุมารทองเข้าบ้านนั้นเราจะต้องจุดธูป 16 ดอก บอกพระภูมิเจ้าที่ว่าให้เปิดทางให้แก่กุมารทองที่เรานำมาเลี้ยง  ถ้าหากภายในบ้านเรามีกุมารทองอยู่ก่อนแล้วให้เราทำการจุดธูปหรือบอกปากเปล่าว่าจะเอาพี่หรือน้องมาอยู่ด้วย และเรายังต้องสอนกุมารในทางที่ดีอีกด้วยเพราะเค้าเป็นเด็กยังไม้รู้อะไรดีไม่ดี

การบูชากุมารทอง

            กุมารทองเป็นของขลังที่วิเศษในตัว การบูชานั้นทำโดยการตั้งเครื่องบูชา ประกอบด้วยข้าวปากหม้อ ไข่ต้ม น้ำแดง ขนมหวาน นอกจากนี้หากว่าบนสิ่งใดไว้ก็ให้ตอบแทนตามสิ่งที่บนมาเช่น ให้ของเล่น หรือให้สร้อยทอง ตามที่เราได้บนเอาไว้  สำหรับการถวายนั้นให้เราตกลงกับกุมารทองเอาว่าเราสะดวกวันไหน เช่นเราตกลงกับกุมารทองไว้ว่าจะถวายข้าวทุกๆวันพระเราก็ต้องให้เค้าทุกๆวันพระ เพราะกุมารทองเป็นกายทิพย์ถือเรื่องสัจจะเป็นสำคัญ แต่ถ้าหากไม่มีเวลาให้เราบอกเค้าไว้ว่า เวลาไปไหนก็ให้ไปด้วยกันกินอะไรก็กินด้วยกัน

คาถาบูชากุมารทอง (นะโม 3 จบ)

"นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ จะภะกะสะ จิเจรุนิ

นะออแอ โมออแอ พุทออแอ ธาออแอ ยะออแอ

มะอะอุ พุทธะสังมิ อิติกุมาโร ประสิทธิเม



ขอขอบคุณเคดิต http://xzce.saiyaithai.org/xzce/data/0008-1.php ด้วยครับ :015:

5176
ลูกอมนี้ปี45ใช่มั้ย
ผมเคยมี เห็นแล้วช้ำ
เดี๋ยวไปเอาคืนดีกว่า
เห็นแล้วตัดใจไม่ขาดนึกเสียดายขึ้นมาทันที

55555+ ผมมีความคิดเหมือนพี่เลย ครับ 5555
แต่ไม่กล้า ครับ 55555++

5178
ต้องถามพระหรืออาจารย์ที่สร้างตะกรุด
ควรแขวนที่ไหน ครับ ................

แต่การสร้างตะกรุดของเกจิยุคก่อน
ล้วนมีอุบายให้คนเป็นคนดีทั้งนั้น ครับ ............

5179
สาธุ แปลว่า ดีแล้ว 
สาธุครับ ขอบคุณครับ

5180
พิมพระปิดตาคล้ายๆ แบบ พิม ของ
หลวงพ่อแก้ว เลยนะครับ อิอิ

5181
ผมเห็นนะครับ คนแขวนพระเต็มคอเลย พระดีๆทั้งนั้น
โดนยิงตาย .......มีเยอะแยะครับ
บางคนแขวนพระปลอมองค์เดียว .....กับยิงไม่เข้า
แปลก ดีนะครับ ................
ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของแต่ละท่าน ครับ
จะแขวนกี่องค์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเราศรัทธา ครับ

ดูตัวอย่างเพื่อนผมได้ พระ ดีๆเต็มคอเลย
เจอ .38 ทะลุ ท้อง ซะงั้น ..........

แขวนอะไร ก็ดี ขึ้นอยู่กับเราต้องเป็นคนดีด้วย

5182
หลวงปู่ทวดดีทุกด้าน ..... ครับ
แต่ที่แน่นอน หลวงปู่ทวด จะแท้หรือไม่แท้
เพียงแค่เป็นรูปท่านเท่านั้นแขวนใว้กับตัว
จะไม่มีวันตายโหง ครับ ..................

อีกอย่างทางทหารชายแดนภาคใต้ แขวนหลวงปู่ทวด โดนอาก้ายิงไม่เข้ามาและครับ
และตำรวจ จ.นครศรี โดนไวรุ่น รุมฟัน ก็ไม่เข้าเช่นกัน ครับ
เมือ่ก่อนมีข่าวออกบ่อยๆ ครับ .......   

เทพเจ้าของภาคใต้ก็ว่าได้ ครับ

5183
ไปทำหล่น ใว้แถวไหนหรือ ป่าว ครับพี่ 55555

5184
ตะกรุดหลวงปู่เจือ มหารูด ไม่ควร คาดเอว ครับ
เพราะเปงรุปพระพุทธเจ้า บาปกรรมนะครับ อิอิ

5186
ราหูหลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ หรอครับผมไม่ค่อยได้เห็นเลย

ส่วนมากจะเหนแต่หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง ราหูท่าน ทรงเสมาอ่ะครับ

Ps. หลวงพ่อน้อย ของแท้ๆ ถึงยุคจริงๆ หายากมากๆๆ

ใช่ครับ กะลาตาเดียว แกะ พระราหู ของ หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ ครับ ด้านหลังให้ชมครับ

ของหลวงพ่อพุฒ แทนหลวงพ่อน้อย ได้ครับ ไม่มีปัญหา
ของหลวงพ่อน้อยปลอมเยอะครับ
ขนาดในหนังสือพระ ยัง ..... เหอๆๆๆ

5187
ยันต์ 7 ยอด นี่รู้สึกจะเป็น ยันต์นะ และล้อมด้วย
หัวใจพระฉิมพลี นะครับ คือ นะ ชา ลิติ
และจะมีอีกขระ อื่นอีก
คล้ายๆกับรูปยันต์ของพี่คุมกฏ หรือป่าว ครับ อิอิ ไม่แน่ใจ

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยละกัน อิอิ

5188
คาถาอาคม / Re: คาถาชินบัญชร
« เมื่อ: 25 มิ.ย. 2551, 11:33:48 »
คาถานี้สุดยอดครับ เป็นคาถาที่อาราธนา พระต่างๆ และสิงศักสิทธิ์มาคุ้มคลอง
ขอบคุณครับ
หากเราไม่มีเวลาท่อง  เราท่องแบบย่อก็ได้ครับ
?ชินะ บัญชร ระปะริตตัง มังรัก ขะตู สัพพายา?
แต่ควรท่อง เต็มจะดีกว่า
หากเรากำลังเดินทางและสังหรใจในทางไม่ดี
ใช้คาถาแบบย่อได้ครับ เดินทางปลอดภัย ผมลองมาแล้ว ครับ

5189
ของดีเหมือนเคยเลยนะครับพี่สิบทัศ แน่นอน จิงๆ

5190
ผมกลัวผีครับ 555555  :095:

5191
พี่โจรสลัด แน่นอนจริงๆ ครับ อิอิ

5192
จอมโจรสมัยก่อน สักเสือเผ่น หนี ตำรวจได้ครับ อิอิ
แต่สุดท้ายหนีกรรม ไม่พ้น ครับ 

5193
คนแคะขี้มูก เท่ดี  ครับ 555555555   :095:

5194
งามมาก ครับ สุดยอด

5195
มารอะไร มิร้ายกาจเท่ามารในใจเรา
หากเราชนะมารในใจเราได้ เราก็สามารถชนะมารอื่นได้เหมือนกัน

พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ

(สัจจะเป็นสิ่งสำคัญ คนเราควรคิดก่อนพูด มิฉะนั้นแล้วจะเสียใจ)

5196
ขอให้เดินทางปลอดภัย นะครับ  และมีโชคดั่งใจหวัง

5197
ธรรมะ / Re: นับถือด้วยศัทธา
« เมื่อ: 22 มิ.ย. 2551, 09:53:12 »
ขอบคุณครับ ผมนับถือทั้งใจและกาย ครับ
เป็นพุทธบุตร ครับ

5198
รับทราบ ครับ  ขอบคุณครับ  :053:

5199
รู้สึก ว่าไม่มีนะครับ ยันต์มังกร หนะ ........ ผมว่าไม่มีนะ
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย

5200
 :002: ดีแล้ว ครับ 

5201
 :053: เยี่ยม ครับ ขอบคุณ ครับ

5203
ถ้าจะหาเก็บ ช่วงนี้แนะนำเปนเหรียญทองแดง เน้นที่หูเหรียญแตกจะปลอดภัยครับเพราะส่วนใหญ่เหรียญรุ่นนี้หูจะแตก เพราะถ้าเปนกะหลั่ยทองหลังๆไม่เก๊เลย ก็เอาเหรียญทองแดงมาทำกะหลั่ยใหม่ ครับ

ขอบคุณครับ พี่หอมเชียง

5204
 :002: สวยดี ครับ จัดเป็นอีก 1 พิม ของวัดบางพระ ที่นิยม
อาเสี่ย รุ่นนี้ประสบการณ์มากมาย ครับ

5205
 :002: ดีใจ ครับ ศิษวัดบางพระทีทั่วประเทศเลยสาธุ  :054:

5206
ขอบคุณครับ  :053:

5207
ม่ายมีไร จะให้ต้น เพื่อนรัก มากมาย
ก็ขอให้ ประสบความสำเร็จ กับการงานและหน้าที่ ดีขึ้นนะเพื่อน
ขอให้บารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณพ่อแม่ คุณครูอาจารย์
จึงคุ้มคอง .....สาธุ  :002:
ไงแวะมาบ้าน ได้นะ อยู่บ้านตลอด ไม่เจอกันนาน ...........
ตุ้ย เพื่อนเราไปเกณทหาร อยู่กลมสัตทหารบก ไงแวะไปเยี่ยมมานมั่ง

ขอให้โชคดีและกานเพื่อน

5208
 :002: จัดก็ดี ครับ สรุปวันไหน ก็บอกด้วยนะครับ  .....

5209
หลวงพ่อพุฒ ศิษสาย หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง กับหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง

สุดยอด ครับ พี่สิบทัศ เปิดกรุมาเล่ยๆนะครับ รอชมอยู่

5210
เจ็บมั้ยครับ แล้วหมึกกับน้ำมันอันไหนเจ็บกว่ากันรบกวนด้วยครับ :086:

สักกี่ครั้งๆ ก็ว่าเจ็บ เหมือนกันหมด เข็มจิ้มเนื้อก็เจ็บเปนธรรมดา

หมึกก็ค่อนข้างเจ็บกว่าน้ำมันนิดหน่อย เพราะต้องแทงให้เข้าเนื้อลึกๆหมึกได้ทนนาน

น้ำมัน สักพอเป็นรูปเป็นร่างให้ครบ 32 เท่านั้นไม่ได้ต้องแทงให้ลึกเท่าหมึก? :095:

สำหรับผม ไม่ว่าหมึกหรือน้ำมันก็เจ็บ ครับ พี่ 555 โอย

5211
 :002: ดีแล้ว ครับ  ไปเล่ยๆๆ นะครับ เด๊ยวท่านก็เมตตา จนเต็มหลังแหละครับ อิอิ 

5212
อยากไป จุ๊บ เพ่โจร นะครับ 555555 แต่ไม่มีโอกาศได้ไป
สักวันอาจได้เจอกันคร๊าบ  :095:

5214
 :002:  ขอบคุณครับ สำหรับน้ำใจ ครับ  :015:

5215
ยันต์อักขระ เฑาะ ขัดสมาธิ เป็นยันต์ประจำวัดกลางบางแก้ว ซึ่งใช้จารพระเนื้อดิน ของหลวงปู่บุญ เป็นส่วนใหญ่

ไม่เสมอไป ครับ พระเนื้อดินวัดกลางบางแก้ว? ....ไม่ได้จารยันเฑาะเสมอไป ครับ
ขึ้นอยู่ กับหลวงปู่จาร ครับ ..... บางที จารยันน์นะหรือ พระเจ้า 5 พระองค์ หรือยันต์อุนาโลม
ก็มี ครับ แล้วแต่หลวงปู่จะจาร ..... ไม่จำเป็นต้องเป็นยันต์เฑาะเสมอไป?
แต่ที่เห็นได้บ่อย จะเป็นพิมเจ้าสัว ที่หลวงปู่มักจารยันเฑาะ?

ซึ่งพระเครื่องหลวงปู่บุญนั้น มีหลากหลายพิมมาก ครับ? เยอะแยะๆไปหมด

5216
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / นานไหม
« เมื่อ: 20 มิ.ย. 2551, 12:17:14 »
 :002: ส่วนมากแล้วแต่ท่าน ครับ ...แต่สายวัดบางพระ แล้ว จะมีเก้ายอด สาลิกา 8ทิศ
นอกนั้น ก็แล้วแต่ ท่านจะให้อะครับ ........

5217
:002:? ในตำราของวัดกลางบางแก้ว ....มีหลายยันต์ ครับ? ?.......พุทธคุณแล้วแต่ยันต์นั้นๆ
แต่ที่ใช้ จารเบี้ยแก้ ส่วนมาก จะเป็นยันต์พระเจ้า 5 พระองค์ ถ้าเป็นของหลวงปู่บุญ จะมีจารยันต์เฑาะด้วยครับ

ยันต์พระเจ้า 5 พระองค์ดีทุกด้าน แล้วแต่ตามพระเกจินั้น จะปลุกเสกให้ดีด้านไหน
ส่วนยันต์เฑาะ ก็คง เป็นด้านคงกระพันชาตรี? .....
ซึ่งยันต์เหล่านี้ .......มีมาแต่โบราณ

และอีกยันต์ ของหลวงปู่บุญ คือ ยันต์พญาราชสี เป็นยันต์ที่สุดยอดทางด้านอำนาจ จังงัง และคงกระพัน

และยันต์เทพรำจวน? ...และยันต์เทพรำลึก ก็ดีด้านเมตตามหานิยม? มากๆครับ
และยังมียันต์อื่นๆอีกมากมาย ครับ

ซึ่งในอดีต ....วัดกลางบาวแก้ว? เป้นจุดศูนย์รวมเกจิอาจารย์ต่างๆ อีกมากมาย
เช่น? หลวงพ่อทับวัดทอง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง
หลวงปู่นาค วัดห้วยจรเข้? ?หลวงพ่อเนียม วัดน้อย? และอื่นๆ

เพราะสมัยก่อน หลวงปู่บุญท่านเป้นเจ้าคณะปกคลองถึง 3 จังหวัด
ได้แก่ นครปฐม
? ? ? ? ? สมุทสาคร
? ? ? ? ? สุพรรณบุรี? ?
แล้วหลวงปู่บุญ ท่านยังเป็นพระเถระ ด้านกรรมฐาน
และมีญาณขั้นสูง สามารถ รู้เหตุการล่วงหน้าได้

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย


เกจิอาจารย์สายวัดกลางบางแก้ว? ...เรียงตามลำดับ
1.พระอาจารย์ทอง (อาจารย์หลวงปู่บุญ เก่งมากครับ สามารถสะกดน้ำที่จะเข้ามาท่วมวัดได้)
2.หลวงปู่บุญ
3.หลวงปู่เพิ่ม
4.พระอาจารย์ใบ(พระรูปแรกที่เรียนกับหลวงปู่เพิ่ม)? หลวงพ่อเหว่า(อยู่วัดวังน้ำขาว)
? และหลวงปู่เจือ (ปัจจุบัน วัดกลางบางแก้ว)

ตามคร่าวๆ ครับ ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย? ?

5218
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / นานไหม
« เมื่อ: 19 มิ.ย. 2551, 01:15:31 »
ถ้าจะได้ ท่านก็สักให้เอง แหละครับ ......เชื่อจิครับ  :002:

5219
คาถาอาคม / "รวมโบราณคาถา"
« เมื่อ: 19 มิ.ย. 2551, 01:13:48 »
ขอบคุณครับ :015:

5220
 :002: ขอบคุณครับ ที่แนะนำ

5222
 :002: หลวงพ่อเหว่า ท่านเป็นพระสมาถะ มากๆ ครับ ท่านเก่ง ครับ แต่ดังเงียบๆๆ
ในพื่น ที่ประสบการณ์ดี ครับ ... ท่านยังเป็นศิษหลวงพ่อเงิน และเรียนวิชาจากหลวงพ่อเงิน
พล้อมๆ กับหลวงพ่อแช่ม ด้วย ครับ .... แถมท่านยังไปเรียนวิชา จากหลวงปู่เพิ่มด้วย
และยังได้เรียนวิชา จากหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือด้วย ครับ  .............................
ปัจจุบันละสังขารไปแล้ว สังขารท่านไม่เน่าไม่เปื่อย แต่ทางวัดมิได้เก็บใว้ ครับ
พระราชทานเพลิงศพไปเมื้อ ปี 49 นี้เอง ครับ

5223
 :002: ไม่เป็นหลอก ครับ ....เพราะ หากเป็นคนเป็นไปกันหมดและอะครับ  :095:
แต่ ที่อื่นไม่แน่ ครับ เดี่ยวนี้สำนักสัก ของจริงก็มีน้อย ครับ

มีแต่พวกหาผลประโยชน์เข้า ตัว มีเยอะแยะ ครับ
บางคนก็ไปซื้อหนังสือ มา แล้วก็มาสักก็มี ครับ
คิดเป็นรูป ค่าครู เช่น ยันต์ธรรมดา 99   เสือ 299 หนุมาน 399

พวกนี้สิครับ หน้าเสี่ยงกว่าเยอะเลย   

แต่ของวัดบางพระ มีแต่ทำบุญ ครับ ไร้โรคแถมได้บุญ เฮงๆ รวยๆครับ

5224
 :053: สวย ครับ พี่หอมเชียง ..... ขอบคุณครับ ที่เอามาให้ชม

5225
ขอบคุณท่านสายัณมากนะครับ



คาถาหลวงพ่อฤาษีลิงดำ



คาถาเร่งลาภ


ตั้งนะโม ๓ จบ
? ? ? ? ? ? นาสังสิโม
? ? ? ? ? ? พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ
? ? ? ? ? ? พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม
? ? ? ? ? ? มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม
? ? ? ? ? ? มิเตพาหุหะติ
? ? ? ? ? ? พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
? ? ? ? ? ? วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
? ? ? ? ? ? มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม
? ? ? ? ? ? สัมปะติจฉามิ เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤา ๆ


? ? ? ? ? ? ผู้ใดสวดประจำ จะบังเกิดโภคทรัพย์โชคลาภสม่ำเสมอ


5226
 :002: สวยดีครับ คงเจ็บน่าดูเลย นะครับ ...... ตัวใหญ่มากๆ :053:

ไปให้หลวงพ่อสำอาง หรือหลวงพี่รูปอื่น เป่าให้ใหม่ได้ครับ

ด้านหางาน ผมว่า ไปลงนะหน้าทอง ก็ดีนะครับ.........กับสาลิกาลิ้นทองก็ดีนะครับ

ส่วนยันต์เมตตา หงคู่  สาลิกา  หรือยันต์พุฒซ้อน  แล้วก็ยันต์พระเจ้า 5 พระองค์ก็ดี ครับ

ขอให้ ได้งานดีๆนะครับ .....สาธุ

5227
 :002: แล้วรู้สึกว่า จะเป็นพระปิดตาเนื้อผง ชุดแรกๆ ของหลวงปู่เจือด้วยนะครับ

ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย

5228
แนะนำข้อมูลมาฝากกัน ครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย ครับ
หากท่านไป ไปวัดกลางบางแก้ว และได้แวะไปที่ตู้วัตถุมงคล คงเคยเห็นพระปิดตา
2 สี คือ 1.แดง 2.เหลือง อยุ่ในกล่อง คู่กัน
แต่พระปิดตาคู้นี้ มีความพิเศษ ครับ
ความพิเศษ อยู่ตรงที่ ว่า พระปิดตาชุด นี้ ได้ผสมผงเก่า ของหลวงปู่บุญใว้ด้วย









เมื่อวันที่ ๒๗ ต.ค. ๔๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ พลโท นายแพทย์ธำรงค์รัตน์ แก้วกาญจน์ นำผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ วัดกลางบางแก้ว ที่ประชุมสงฆ์มอบให้ หลวงปู่เจือ ปิยสีโล เป็นผู้รับผ้าพระกฐินพระราชทาน
ในงานนี้ทางวัดได้จัดสร้าง พระปิดตาสุริยะมหาลาภา-จันทรามหานิยม เป็นที่ระลึกขึ้น โดยนำผงเก่าของหลวงปู่บุญมาสร้างแล้วบรรจุ ไม้รัก ไว้ในพระปิดตาสุริยะ ส่วนพระปิดจาจันทรา บรรจุไม้ยม ซึ่งในการนี้หนังสือลานโพธิ์ได้ขออนุญาตสร้าง พระปิดตาผงพุทธคุณสีขาว พิมพ์เดียวกันเรียกว่า พระปิดตาพุทธมหาลาภาขึ้น และร่วมพิธีเสกด้วย เพื่อแจกให้แก่ผู้อ่านในโอกาสครบรอบ ๒๘ ปี ของหนังสือครับ
จัดเป็นของดีที่น่าบู๙ติดตัวอีกหนึ่งรุ่นของหลวงปู่เ จือท่านครับผม

ขอขอบคุณ ข้อมูลจากเวป http://romphosai.com/forums/forum26/thread3422.html มากครับ



5229
ขอบคุณครับ

5230
 :016: เยี่ยม ครับ แน่นอน จิงๆ สวยดี ครับ

5231
 :002: ขอบคุณ ครับ พี่สิบทัศ กับพี่โจรสลัดมากมาก ครับ

5232
 :002: ผมว่าเปลี่ยนก็ดี ครับ ...รุ้สึกว่าเชือก จะฮิพฮอพ ไปหน่อย อะครับ  :095:

5233
ขอบคุณสำหรับเวป และ คาถา ครับ
มีก็มีคาถา ดีๆ นำมาเสนอ ครับ
นะโม 3 จบ
ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่างอย่าง อย่ากินทิ้งกว้าง
เป็นของมีค่า หลายคนเหนื่อยยากลำบากนักหนา
สงสารบรรดาคนอยากคนจน
ในโลกนี้? ?ยังมีคนที่จนยากแสนลำบากอัตคัดและขัดสน
อย่ากินทิ้งกว้าง ตามใจตน สงสารคนอื่นที่เขาไม่มีกิน

แล้วนึกถึง คุณค่าของ ข้าว ครับ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย

หากท่องทุกวัน ผมรับลอง ครับ จะมีสิ่งศักสิทธิ์คุ้มคลอง ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย

ฝากเวป http://www.watprom.iirt.net/index.html ด้วยนะครับ วัดไทยในต่างแดน ครับ  :015:




5237
 :053: ชอบลูกอม ครับ กับเหรียญจัก ครับ

5240
 :002: ขอบคุณครับพี่สิบทัศ เยี่ยมเหมือนเคย ครับ
สำหรับท่านอื่นพิจรณาได้ครับ ผิดถูกไม่ว่ากัน ครับ ......เต็มที่ไปเลย ครับ

5241
 :002: เหมือนเป็นยันต์ฤา ชา นะครับ  กับยันต์ นะทรหดนะครับ
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย ครับ

ยันต์ฤาชา  ดีทางเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด
ส่วนนะทรหด ดีทุกด้าน ครับ

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ

5242
อยากไป จัง ครับ  :053:

5243
 :002: คนไทยให้อภัยกันได้ครับ ....แต่การหยอกกันเล่นบ้าง ครับก็แรงไป ครับ
ถ้าเป็นพระ ......ไปหลอกให้ พระ หรือเณร หรือผู้อื่น ต้องกลัวผี  ต้องอาบัติ ครับ
หรือ การ เอาของไปซ่อน หากเป็นพระ ต้อง อาบัติเช่นกัน ครับ ^ ^''

5244
 :002: พอดี มีคนให้มาอะครับ ช่วยดูให้หน่อยนะครับ ว่า
1. หลวงพ่อเกตุ แท้ใหม ครับ
2. พระพิจิต หรือป่าวไม่รู้ แท้ปะครับ
3. หลวงปู่ทิม ครับ แท้ปะครับ

.....ขอบคุณล่วงหน้านะครับ ..........

5247
ช่วยดูให้ผมทีนะครับ ผมดูไม่เค่ยเป็น ครับ ไงก็ขอบคุณนะครับ
พอดีมีคนให้มา นานแล้ว  หุหุ





5248
 :053: เยี่ยม ครับ ขอบคุณครับ

5249
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / การเดินทาง
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2551, 10:19:26 »
 :004: น้ำมันแพง ต้องทำใจ ครับ   :095: อะไรๆ ก็แพง

5250
 :053: พี่หอมเชียง ของดีเยอะจริงๆ ครับ

5251
 :053: เพิ่มเติมอีกแล้ว ขอบคุณครับ

5252
 :002: ผมเห็นเป็นจุดแดงๆ ครับ   :075:

5253
 :002: ยังมีอยู่นะครับเพียงแต่ว่า เขาไม่เล่น net กับเวปบอร์ดเท่านั้นเอง ครับ

แถวนครชัยศรี ยังมีอยู่ครับ รุ่นลุงๆ แล้ว

5254
 
แต่เขาอาจจะไม่เล่นเวปบอร์ดนะครับ
55+จะมีคนที่ทันหลวงปู่สักให้แล้วเล่นเวบบอร์ดเหลืออยู่มั้ยครับ...?? ถ้ามีก็ขออภัยด้วยครับ
55+จะมีคนที่ทันหลวงปู่สักให้แล้วเล่นเวบบอร์ดเหลืออยู่มั้ยครับ...?? ถ้ามีก็ขออภัยด้วยครับ

มีนะครับ  หลวงพ่อเปิ่นท่าน เพิ่งมรณะภาพเมื่อปี 45 เอง ครับ
และ หากทันท่าน อายุก็น่าจะ 40 UP แล้ว

5255
พี่เต้ย ครับ ...ท่าแม่ผมใส่กางเกง เอาชายกางเกงแทนได้มะครับ  :075:

5257
 :002: รับทราบครับ ขอบคุณครับ ที่ทำหน้าที่ดูแลให้กับพวกเรา

5258
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / การเดินทาง
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2551, 05:25:00 »
รอรถตรงปากทางสาย 4 นั่งรถสาย 83 กรุงเทพนครปฐม มาลงท่านา แล้วรอรถ สายวัดบางพระ มี ครับ ผม
ถ้ามารถส่วนตัวผมอธิบายไม่ถูก ครับ ต้องรอท่านต่อไป

ความจริงมาได้หลายเส้นทางมากครับมาทาง เส้นนครชัยศรีก็ได้ครับ

5259
เกี่ยวกับตะกรุดหอมเชียง เพื่อนผมใช้อยู่  เมาขับรถชนกับ เสาไฟฟ้า รถพังยับ
แต่เพื่อนผมไม่มีลอย อะไรเลย สักนิดไม่เป็นอะไรเลย ครับ
และอีกอย่างในตัวเพื่อนผม มีตะกรุดหอมเชียง วัดบางพระ แค่ดอกเดียว ครับ

ส่วนเรื่อง อื่นต้องรอถามท่านผู้รู้  :053:

5260
เกี่ยวกับตะกรุดหอมเชียง เพื่อนผมใช้อยู่  เมาขับรถชนกับ เสาไฟฟ้า รถพังยับ
แต่เพื่อนผมไม่มีลอย อะไรเลย สักนิดไม่เป็นอะไรเลย ครับ
และอีกอย่างในตัวเพื่อนผม มีตะกรุดหอมเชียง วัดบางพระ แค่ดอกเดียว ครับ

ส่วนเรื่อง อื่นต้องรอถามท่านผู้รู้ครับ

5261
 :002: น่าจะนั่งบนต่อเงิน ต่อ ทอง นะครับ ท่าน

5262
 :002: ถึงสักกราฟฟิคมาแล้วไม่เป็นไร ครับ? ให้ไปวัดบางพระ?
แล้วหลวงพี่ท่านจะสักให้ตามความเหมาะสมไม่มีปัญหา ครับ
ถ้าอยากจะเป่า หรือครอบครู ให้หลวงพ่อสำอาง เป่า และ ครอบให้อีกทีก็ได้ครับ
เพื่อนผมไป สักเครื่อง และ ไปให้หลวงพ่อสำอาง เป่าอีกทีไม่มีปัญหา ครับ

การสักใว้เพื่อป้องกันตัว ในยามคับขัน ครับ หากเราเป็นคนใจเสาะก็ไม่เป็นไรครับ
ผมก็คนใจเสาะ ครับ ....? สักเพื่อป้องกันดีครับ แต่มิใช่สักเพื่อเป็นนักเลง ก็แย่ ครับ

ผมเห็นพวกสักๆ ....แต่เมา แล้ว ชอบท้า ชอบอวด ตายมาเยอะและนะครับ

ของแบบนี้อยู่ที่ใจ กับความศรัทธา ครับ ..............คนดีพระคุ้มคลอง ครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเคยได้ยินว่า มีลูกศิษหลวงพ่อ สักเสือกับหลวงพ่อ และแขวน รุ่น 19 นี่แหละครับ
เมาและ ท้าเพื่อน ปรากฏว่า ฟันไม่เข้า ครับ เพื่อนเลย จับเอามีดแทงทวานหนัก ตาย เลย ครับ หุหุ
หุหุ? ..... ไงก็ คิดให้ดูนะครับ สักเพื่อศรัทธา ไม่ควรสักเพื่อเป็นนักเลง ครับ

ชีวิตนักเลง ไม่ตายก็ติดคุก ครับ ......ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
ส่วนเรื่องสักเมตตา ต้องรอถามท่านอื่น ครับ ....... ผมไม่กล้าแนะนำครับ แต่ว่า นางพิมหลวงพ่ออั๊บ ก็แรงดีนะครับ

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ

5263
 :054: :054: :054: หลวงพ่อท่านเป็นพระ ที่ดีมากๆ อีกองค์นึง ของเมืองไทย ครับ

สาธุ ผมนับถือท่านมาก เช่นกัน ครับ

5264
ธรรมะ / เตือนสติ ครับ
« เมื่อ: 13 มิ.ย. 2551, 10:47:05 »
หากลงซ้ำ ก็ขออภัยด้วยนะครับ กรุณาแจ้งเตือนด้วยนะครับ
สังขารร่างกายต้องตายเป็นผี
อยู่ในโลกนี้ไม่มีแก่นสาร
ทรัพย์สินเงินทองเป็นของสาธารณ์
ไม่ใช่ของท่านลูกหลานต้องลา

อย่ามัวประมาทโอกาสยังมี
อย่าหลงโลกีย์จะมีปัญหา
โลกนี้แท้จริงเป็นสิ่งมายา
เป็นสิ่งลวงตาใช่ว่าจีรัง

สังขารร่างกายอยู่ไม่กี่ปี
ก็ตายเป็นผีไม่มีความหวัง
เกิดแก่เจ็บตายร่างกายผุพัง
ทุกวันเดินทางสู่ยังกองฟอน

จะห้ามไม่ฟังจะรั้งไม่อยู่
เป็นสิ่งสมมติตามพุทธะสอน
อำนาจใดๆอย่าไปวิงวอน
ให้ช่วยเราตอนที่วันสิ้นใจ

สังขารเรานี้เป็นสิ่งที่สังเวช
มันเป็นสาเหตุสังเกตเอาไว้
เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวปวดร้าวอาลัย
หิวอิ่มเกินไปก็อยู่ไม่นาน

หนาวก็จะตายร้อนไปก็จะแย่
ลำบากแท้ๆนี่แลสังขาร
ต้องกินต้องถ่ายทนไปทุกวัน
ดูน่าสงสารคิดกันให้ดี

สังขารร่างกายทั่วไปเน่าเหม็น
มีของกากเดนมองเห็นทุกที
ไหลเข้าไหลออกย้อยยอกมากมี
ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วกัน

น้ำเลือดน้ำหนองล้วนของปฏิกูล
ไหลมาเป็นมูลพอกพูนหลายชั้น
ข้างนอกเน่าเหม็นมองเห็นทุกวัน
อีกข้างในนั้นล้วนขั้นไม่งาม

สังขารร่างกายไม่ใช่ตัวตน
เกิดมาเป็นคนไม่พ้นโดนห้าม
ต้องนอนเปลือยกายให้ไฟลุกลาม
เมื่อเจ้าโดนหามสู่เชิงตะกอน

ผู้ดีเข็ญใจก็ตายเหมือนกัน
อย่าหลงสังขารปลงกันไว้ก่อน
ลูกหลานหญิงชายส่งได้แน่นอน
ก็แค่กองฟอนแล้วย้อนกลับมา

สังขารร่างกายล้วนตายเป็นศพ
ถูกแผ่นดินกลบอยู่ในป่าช้า
หมู่หนอนชอนไชตามไต่กายา
เป็นเหยื่อนกกาหมูหมาในดง

กระดูกเกลื่อนกลาดเรี่ยราดทั่วไป
เอ็นเล็กเอ็นใหญ่ไร้จุดประสงค์
ต้องถูกทอดทิ้งนอนกลิ้งในดง
เป็นป่ารกพงเฝ้าดงกันดาร

กระทำให้แจ้งเจาะแทงตลอด
ให้จิตนี้ปลอดหลุดลอดสังขาร
หยุดความกระหายมุ่งไปนิพพาน
ไม่หลงสังขารทั่วกันด้วยเถิด

จะได้หยุดเกิดมันไม่ประเสริฐ
ตราบใดยังเกิดอยู่ในสงสาร
รีบภาวนาเพื่อละอัตตา
ข้ามพ้นมายาทั่วหน้ากันเทอญฯ

คัดจากหนังสือเผยแผ่ธรรม

5265
ธรรมะ / น้ำมนต์ที่แท้จริง
« เมื่อ: 13 มิ.ย. 2551, 10:40:53 »
 :053: เยี่ยม ครับ ขอบคุณครับ ที่เตือนสติและชี้แนะ

5266
 :053:  สุดยอดจริงๆ ครับ ....น่าสนใจมาก ครับ ขอบคุณครับ  :015:

5267
 :053: เจ๋ง ครับ ความพยายามดี ครับ  ได้ของดีมาเยอะเลย ครับ

5269
 :002: โอเค พลายก็พลาย ครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยและกัน ครับ
ดินโป่ง คือ ดินผีและกัน ครับ โอเค ครับ? ขออภัยด้วยนะครับ? :075:

นานาจิตตัง? ! ครับ

(ผมไม่ถนัดด้านนี้ ครับ กลัวผี ครับ 555 )

มีภาพ ดินโป่ง กับผีเสื้อมาให้ชม ครับ ขอขอบคุณเวป ในรูปเลยนะครับ



ดินโป่งเป็นดินอุดมสมบูรณ์จริงๆ ครับ ค้างคาวยังใช้ดินโป่งกินเพื่อขับพิษด้วยนะครับ
สุดยอดจริงๆ

5270
 :053: โห สุดยอดจริงๆ ครับ ขอบคุณครับที่นำมาให้ชม
สุดยอดครับ เป็นบุญตาจริงๆ ครับ เทพเจ้าแห่งความสำเหร็จ  :054: :054:

5271
 :002: ของหลงพ่อเปิ่นสุดยอดครับ ทั้ง เหนียวทั้ง อำนาจ แถมดุด้วย ครับ สุดยอด  :015:
เพื่อนผมใช้ แต่ผมไม่มีนะครับ .......... 555++

5272
 :053: ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล

5273
 :002: ขอบคุณครับ? :075: ขนาดน้ำมันยังสักได้คมขนาดนี้เลย หลวงพี่แป้วไม่ธรรมดาจริงๆครับ

5275
 :002: ดีและครับ ท่าน รพินทร์  มีบุญครับ ที่ได้ไปหาท่านตอนท่านยังไม่ละสังขาร ครับ
ขอให้บุญบารมีหลวงพ่อจงปกป้องนะครับ

5276
ไม่เป็นไรครับ ...ผมก็ขอบคุณทุกท่าน ที่ได้นำข้อมูลมาให้ชาววัดบางพระ ทุกท่านเลยนะครับ อิอิ

5277
 :002: ดินโป่ง คือแอ่งดินเค็มตามธรรมชาติ เป็นดินที่มีเกลือแร่ต่าง ๆ ปนอยู่ เช่น เกลือโซเดียมคลอไรด์ เกลือแคลเซียม แมกนีเซียม หรือ โปตัสเซียมเป็นต้น ดินโป่งมักเป็นดินเนื้อละเอียด แต่บางแห่งอาจมีกรวด กิน หรือ ทรายปนอยู่ เนื้อดินมีสีดำ หรือแดงลูกรัง หรือขาว เวลา ฝนตกมักมีน้ำขังเป็นตมอยู่ในแอ่งกลางโป่ง สัตว์ป่าที่กินพืชเป็นอาหาร เช่น อีเก้ง กวาง กระทิง ช้าง ฯลฯ ชอบมากินดินโป่งมากเพราะว่าร่างกาย ของสัตว์ป่าเหล่านั้นขาดเกลือแร่ดังกล่าว นอกจากนั้นสัตว์ป่าชนิดที่มีเขายังต้องการเกลือแร่ แคลเซียม ไปบำรุงเขาของมันให้งอกงามและแข็งแรงอีกด้วย


ดินโป่ง เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ครับ ถือเป็นเคล็ด ของเกจิอาจารย์ ครับ
ดินโป่งยังสามารถกินได้ครับ
อีกอย่างเขาว่าดินโป่งเป็นดิน ที่มีเทพปกป้องรักษาอยู่ครับ ไม่ใช่ผีโป่ง แน่ครับ
พี่สิบทัศก็เคยบอกให้ฟัง ครับ?

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย ครับ

หลวงพ่อเต้า เนื้อดินโป่ง ปี2496 ยังมีให้บูชาอยู่นะครับ  ใครสนใจทางพุทธคุณ
และได้บุญเชิญที่วัดเกาะวังไทรได้ครับ
มีหลายพิม ครับ นางพญา ขุนแผน พระพุทธชินราช ยอดขุนผล
ลองไปทำบุญที่วัดได้ครับ ยังมีเหรียญ ปีต่างๆ และอื่นๆครับ


5278
พอเอ่ยชื่อหลวงพ่อโตนดหลวง คนเกือบทั้งเมืองใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก ในฐานะผู้ทรงวิทยาคุณทางไสยศาสตร์ เป็นที่นับถือของคนทั่วไป มิใช่เฉพาะคนเมืองเพชรฯ ตลอดถึงชาวจังหวัดใกล้เคียง

หลวงพ่อ มีนามเดิมว่า สุข นามสกุล ดีเลิศ เกิดเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๒๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีฉลู บิดาชื่อนายจู มารดาชื่อนามทิม กำเนิด ณ บ้านทับใต้ ตำบลหินเหล็กไฟ แขวงเมืองเพชรบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน 6 คน

การศึกษา

เมื่ออายุ 9 ปี ได้เข้าเรียนหนังสือที่วัดโพธิ์ อำเภอบ้านลาด โดยเป็นศิกย์เจ้าอาวาส หลวงพ่อก็เล่าเรียนจนอ่านออกเขียนได้ และยังได้เรียนหนังสือขอมและบาลีอีกด้วย หลวงพ่อยังรักการต่อสู้ รักในวิชาหมัดมวย กระบี่กระบอง จนต่อมาภายหลังได้มีลูกศิกย์ลูกหาในวิชาเหล่านี้หลายคน

ต่อมา เมื่ออายุ 15 ปี ย้ายไปอยู่ที่บ้านเพลง จังหวัดราชบุรี เป็นระยะหลวงพ่อเป็นวัยรุ่น หนุ่มคนอง จึงชอบเที่ยวเตร่คบเพื่อน ไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน ชอบไปแสดงลิเก ละคร โขนหนัง จนขนาดเป็นครูสอนผู้อื่นได้ ครั้นเมื่อเบื่อการแสดง ลิเก ละคร ฯลฯ ก็เที่ยวเตร่ไปโดยไม่มีจุดหมาย จนไปคบพวกนักเลงอันธพาล จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล และในที่สุดเป็นอาชญากรสำคัญในย่านเพชรบุรี ราชบุรี และสมุทรสงคราม ต้องคอยหลบนี้อาญาบ้านเมือง ซุกซ่อนอยู่ในป่าด้วยความลำบากยากแค้น ครั้นหนึ่งหลบหนี้เข้าไปในป่าจนไม่ได้กินอาหารเลย 3 วัน ตอนนี้เองได้สำนึกตัวได้ว่าตนได้ดำเนินชีวิตผิดทางเสียแล้ว ถ้าไม่กลับตัวย่อมจะได้รับความทุกข์ทรมารทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจเล็ดลอดเข้าอุปสมบท ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 32 ปี

หลวงพ่อบวช ครั้งนั้น ตรงกับวันที่ 12 กรกฎาคม 2452 ณ.วัดปราโมทย์ ตำบลโรงหวี อำเภอบางคนฑี จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีหลวงพ่อตาด วัดบางวังทองเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออุปัชฌาย์ได้จำพรรษาอยุ่ที่วัดปราโมทย์ 4 พรรษา แล้วไปอยู่วัดแก้ว 2 พรรษา จังหวัดราชบุรี และไปอยู่วัดใหม่ 1 พรรษา ต่อจากนั้นก็ออกธุดงค์ไปกับสมาเณรจันทร์ (พระครูจันทร์ ธมฺมสโร) เจ้าอาวาสวัดมฤคทายวัน) หลังจากธุดงค์ไปหลายจังหวัดแล้ว ในที่สุดก็มาถึงตำบลบางเก่า อำเภอชะอำ ขณะนั้นพอดีวัดโตนดหลวงขาดสมภาร ชาวบ้านไปพบหลวงพ่อก็เกิดเลื่อมใส จึงนิมนต์ไปอยู่วัดโตนดหลวง เพื่อให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อ พ.ศ.2548 หลวงพ่ออายุได้ 38 ปี

กรณีจกิจ หลวงพ่อได้บำเพ็ญซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาและบ้านเมืองมีมากมาย เช่นบูรณะวัดโตนดหลวงเดิม ซึ่งชำรุดทรุดโทรมให้ดีขึ้น ยังมีเมตตาจิตสร้างวัดช้างแทงกระจาด วัดท่าขาม และวัดเขาลูกช้าง ในด้านการศีกษาก็ได้ช่วยสร้างอาคารเรียนให้ 3 ครั้ง ในที่สุดก็ได้สมนศักดิ์เป็น พระครูพินิจสุตคุณ

เรื่องอารณ์ขัน ของหลวงพ่อ คุณประสิทธ์ พ่วงพี ได้พบกับหลวงพ่อที่วัดเพรียง ซึ่งนิมนต์หลวงพ่อปลุกเสกวัตถุมงคลเพื่อหาเงินสร้างโรงเรียน เมื่อปี 2498 คุณประสิทธิไปหาหวงพ่อให้กระหม่อม พร้อมด้วยผู้สนใจอีกหลายคน เมื่อหลวงพ่อปลุกเสกเสร็จแล้ว ได้พูดกับผุ้ที่ไปชุมนุมอยู่รอบ ๆตัวหลวงพ่อว่า ?อย่าเชื่อฉันให้มากนักนะ ฉันมันบ้าๆ อยู่? หลวงพ่อพูดพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ ทำให้ทุกคนทั้งขบขันและทั้งยิ่งศัรธาในความถ่อมตนของท่าน

หลวงพ่อเพรียบพร้อมทั้งคุณธรรมและความรู้หลายอย่าง เช่นมีความรู้ในทางแพทย์แผนโบราณ และยังมีความขลังทางวิชาไสยาศาสตร์มาก จนมีผู้เลื่อมในนับถืออยู่ทั่วไป มีข้าราชากรชั้นผู้ใหญ่ของประเทศนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เท่าที่สืบได้ พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เคยไปลงกระหม่อม พ.อ.พระยาศรีสรุสงคราม ได้ไปให้ลงกระหม่อม และนิมนต์ไปร่วมปลุกเสกแหวนมงคล 9 และพระกริ่งยอดหมุด ณ พระอุโบสถ์วัดราชบพิธ ร่วมกับอาจารย์คนสำคัญ ๆ รวม 18 องค์ เมื่อปี 2495 และทางกองทัพบกได้นิมนต์ไปประพรมพระพุทธมนต์ และปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ให้แก่ทหารในคราวสงครามอินโดจีน ครั้งสุดท้ายได้นิมนต์ไปปลุกเสกพระเครื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ

ของขลังของหลวงพ่อ ที่ขึ้นชื่อลือชา มีดังนี้

1. สักยันต์ที่เหนือราวนม ทำให้คงกระพันชาตรี อาวุธมีด ปืน ฟันแทง ยิงไม่ข้า

2. ลูกอม ปืนยิงไม่ออก คนทำร้ายไม่ถูก

3. เหรียญรูปหลวงพ่อ ใช้ทางคงกระพัน รวมทั้งครั่งด้านหลังสำหรับรักษาพวกสัตว์มีพิษ

4. แหวน ใช้ป้องกันอสรพิษและสัตว์ร้าย ต่างๆ

5. ตะกรุด ตะกรุดของหลวงพ่อมีหลายชนิดด้วยกัน คือชนิดเจ็ดดอก สามกษัตริย์ ใช้ทางคงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด ชนิดคลอดง่ายใช้ทางคลอดบุตร ชนิดสาริกา ใช้ทางเมตตามหานิยม

ของขลัง ของหลวงพ่อเท่าที่เล่ามานี้ ใช้ว่าจะมุ่งหมายชักชวนให้ผู้ใดเกิดความเชื่อถือในเครื่องรางของขลังทางไสยศาสตร์ก็หามิได้ แต่เล่าตามที่ได้รู้เห็นมา โดยยังมีประจักษ์พยานหลักฐานตัวบุคคลยืนยังอยู่ ผู้ใดจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแต่สติปัญญาและอารมณ์ของท่าน

อันเรื่องราวของหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวงพ่อ ดังสารธยามานี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า คนทำดีไว้นั้นแม้ชีวิตจะสิ้นแล้ว แต่คุณความดีหาได้สิ้นไปด้วยไม่ และแม้บางคนจะเคยประพฤติไม่ดีมาก่อน แต่ต่อมาก็สำนึกตัวละชั่วกลับประพฤติดีได้ ก็เป็นบุคคลที่ควรแก่ยกย่องสรรเสริญ ดังเช่นหลวงพ่อทางสุข แห่งวัดโตนดหลวง พระดีอีกองค์หนึ่ง

ภาคอภิณญาของหลวงพ่อ ครั้งหนึ่ง ณ วัดท่าขาม มีคนมาขอยาต้มจากหลวงพ่อ บังเอิญยาต้มขนานนั้นต้องลงพระเจ้า 5 พะองค์ในใบมะกาด้วย แต่ใบมะกามาก ท่านจึงให้พระเณร และศิกย์ช่วยกันลง คณะศิกย์และพระเณรก็ช่วยกันลงทีละใบ ท่านรำคาญจึ่งเอ่ยว่า ?ลงอย่างนี้เมื่อไรจะหมด เรียงซ้อน ๆ มาข้าลงเอง ลูกศิกย์ก็ช่วยเรียงใบมะกาซ้อน ๆ กันประมาณ 10 -20 ใบ ท่านลงใบเดียว แต่ปรากฏว่าใบล่าง ๆ ทุกใบติด นะ โม พท ธา ยะ ทั้งหมด นับว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก



เรื่องราวทั้งหมดนี้ คัดมาจากหนังสือวางศิลาฤกษ์อุโบสถ์วัดโตนดหลวง เรียบเรียงโดย ท่านประสิทธิ์ พวงพี


http://www.krusiam.com/community/forum2/view.asp?ForumID=cate00003&PostID=ForumID0012770
เคดิต

5279
สสวัสดีครับ.....สมาชิกใหม่..สดๆๆเลยครับ ขอฝากตัวกับพี่ๆๆทุกท่านครับ..ผมอยู่เพชรบุรี? ชอบสะสมพระเครื่อง
อยากมีความรูด้านนี้? ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ



ลองเข้ามาอ่านบ่อยๆก็ได้ครับ  เวปบอร์ดวังบางพระยินดีต้อนรับ ครับ

ที่เพชร ของดีเยอะครับ ... หลวงพ่อแดง วัดเขาบรรไดอิฐ
                                       หลวงพ่อตัด วัดชายนา
                                       หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง
                                     หลวงพ่อทองสุข วัดโตนดหลวง
รู้แค่นี้แหละครับ มีไรก็แนะนำกันมั่งนะคร๊าบ ขอบคุณคร๊าบ

5280
 :053  ต้องรีบให้พี่สิบทัศ พาไปและครับ งี้ 555555+

5281
 :002:? ของไม่เสื่อม แต่ระวังสมอง จะเสื่อมหนา ......ดีนะผมจับใบดำไปแล้ว ไม่งั้นโดน ตบหัวแน่เลย ครับ 5555

(ของอยู่ที่ใจครับ .....ไม่ใช่ที่หัว ครับ ...ศรัทธา และตั้งใจ ไม่มีวันเสื่อมหลอกครับ )

งั้นคนรอดสะพานลอย ก็คงเสื่อมหมดและสิงั้น 5555555+++

อย่าคิดมาก ครับ อักขระขอม และ ยันต์ ล้วนมีความหมายอยู่นั้นอยู่แล้วไม่มีวันเสื่อมหลอกครับ


5282
 :053: เยี่ยมเลย ครับ ทั้ง 2 แต่ของหลวงพ่อเดิมก็ไม่ธรรมดา ครับ

5283
 :053: นี่ใช่หมึกแดงปะครับ ผมไม่รุ้อะครับ ว่าวัดบางพระมีหมึกแดงด้วย ..... ไงช่วยชี้แนะหน่อยนะครับ

ใครรู้ช่วยแนะหน่อย ครับ ว่า บางพระมีหมึกแดงใหม ครับ

เพราะผมเคยไปแต่กุฏิหลวงพ่อญา กับหลวงพ่อสำอางอะครับ เพราะหลวงพี่แป้วคนเยอะมากมาย

5285
 :002: ครับ  ผมอยากได้ของ หลวงปู่บุญ มากๆ  ครับ มีใครแจกฟรีปะครับ 5555555

5286
ธรรมะ / " มหาสติปัฏฐานสูตร แปล "
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2551, 08:52:57 »
ขอบคุณครับ รออ่านต่อครับ

5287
 :053: สุดยอดครับ มาไกล แต่ใจรัก ครับ ขอให้ท่านประสบความสำเหร็จทุกด้านครับ

บารมีหลวงพ่อเปิ่น และวัดบางพระ คุ้มคลอง ครับ

5288
เหรียญหลวงพ่อวัดไร่ขิง พุ่มข้าวบิณ ครับ ......


5289
เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อเหว่า วัดวังน้ำขาว ศิษหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม และหลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว

เหรียญสภาพใช้ แล้ว นำไปเลี่ยมที่หลังนะครับ



5290
เหรียญจัก ปี 28 มหาอุด หลวงพ่อเต้า หลังหลวงพ่อแช่ม นั่งปืน ครับ ....







5292
 :053: เยี่ยม ครับ

5293
http://www.carabao.net/MusicStation/musicPlay.asp?id=177   แนะนำ เพลง ของพี่ๆ วงคาราบาว ครับ

5294





ขอแจมด้วยนะครับ องค์นี้ รับจากหลวงพ่ออวยพร ตอนไปอบรมกรรมฐาน ที่วัดวังตะกูลครับ

5296
เทียน 1 เล่ม ถึงแม้ เวลาการใช้งานนั้นมินาน แต่ก็มีคุณค่า ในยามที่เรามองไม่เห็น
เหมือนแสงธรรม ที่สอ่งสว่างเราทุกเช้าเย็น? ....
แม้เทียนต้นเล็กยังมีค่ามากมาย .........

เราดูเทียนสิครับ เทียนมีประโยนช์มาก หากเวลาเราไฟดับ หรือไม่มีไฟใช้
สมัยโบรารไม่มีไฟฟ้า ก็ใช้เทียน หรือตะเกียง ในยามมืด เพื่อส่องสว่างนำทาง
แม้เทียน 1 เล่ม เวลาการใช้มินาน แต่ก็มีคุณค่าทำให้ส่องสว่างในความมืดได้

ลองคิดดูหนอ เทียน 1 เล่ม มีคุณค่าและประโยชน์ มาก ถึงแม้การใช้งานมันมินาน
แต่ชีวิตคนเรา ... อายุการใช้งานมากว่าเทียนหลายเท่า แต่มีคุณค่าเหมือนเทียนหรือไม่

เทียนมีคุณค่ามาก ถึงอายุมันจะน้อย
คนมีอายุมาก ...แต่คุณค่าจะเท่าเทียนหรือป่าว
เทียนมันยอมเผาตัวมันเอง เพื่อ ส่องสว่าง เพื่อเกิดประโยชน์

แล้วคุณๆหละครับ เคยทำประโยชน์ และ ความดีให้กับตัวเองและผู้อื่นหรือยัง


5297
 :004: 5555555++   55555   
หากมิใช่คู่กัน  ...... ยังไงก็ มิใช่อยู่ดี ครับ

5298
คือหลวงปู่บุญ ...กับหลวงปู่นาค เป็นพระที่สนิท กัน ครับ  .... และเป็นพระยุคเดียวกัน ครับ

5299
 :002: บทพระปาฏิโมกข์ ไม่สมควร มาสวดหรือท่องเล่น ครับ
เป็นบทสำหรับพระผู้ใหญ่ ซะด้วยซ้ำ? ในช่วงเข้าพรรษา
วันพระใหญ่? จะมีพระผู้ใหญ่มาสวดปาฆิโมกข์ให้ฟัง ครับ
ถือเป็นบทสำคัญและสักสิทธิ์ ..สำหรับพระครับ
ฆาราวาส มิสมควร ครับ ......... เป็นอย่างยิ่ง
และเป็นบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าใช้ด้วย ครับ
..หากผู้สวด ทำเป็นเล่น มี บ้าไปเลยก็มี ครับ

เราศิล 5 หรือศิล 8 ไม่สามารถ เทียบพระสงฆ์ผู้เจริญ ซึ่งถือศิล 227 ข้อได้ครับ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อีกข้อครับ นางพรายมหาเสนห์ ของอ. ทองคำ คงศาสตรา ของเขมร พุทธคุณ แรงมากเรากล้ารับประกันประสบการณ์
พรายก็คือพราย ..... มิใช่พุทธคุณ ครับ ควรเข้าใจ ใหม่นะครับ

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย

5300
ขอขอบคุณ เวป http://www.nakornpathom.com ครับ


http://www.ethaimusic.com/lyrics/357.htm  เพลงเก่า แต่ เพราะ ครับ ลองฟังกันดูนะ

5301
หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้


หลวงพ่อจ้อย วัดบางช้างเหนือ


หลวงพ่อม้วนวัดไทร


หลวงพ่อสุข วัดห้วยจระเข้


หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม



หลวงพ่อใย วัดบางช้างใต้


หลวงพ่อทาวัดพะเนียงแตก



หลวงพ่อเบี้ยว วัดใหม่สุคนธาราม


หลวงพ่อเกิด วัดทัพหลวง


พระอธิการชา วัดสามกระบือเผือก


หลวงพ่อสุบิน วัดวังตระกูล



5302
บทความ บทกวี / " ชวนเตรียมพร้อม "
« เมื่อ: 09 มิ.ย. 2551, 08:33:51 »
 :002:  ขบอคุณครับ

5303
ธรรมะ / " คติธรรม "
« เมื่อ: 09 มิ.ย. 2551, 08:33:30 »
 :002:  ขอบคุณครับ

5304
 :075:? ?เหอๆๆๆๆ ....ไม่เคยใช้ ของเขมร ซะด้วย ครับ? ?........
ไม่นิยมสาย นี้ ครับ .... ต้องรอถามท่านผู้รู้ครับ

5305
  :053:  สุดยอดครับ

5307
 :002: อยากชม ครับ แต่เหรียญ รุ่นแรกหลวงพ่อเปิ่นจริงๆ ออกวัดโคกเขมา ครับ
เห็นว่าหายากพอสมควรครับ ประสบการณ์มากมี

5308
 :002: น่าไปครับ อยุ่แถวบ้านเพื่อน ผมซะด้วย ไงก็จะลากพี่สิบทัศไปให้ได้ครับ  :007:

5309
 :053: หนุมาน เก่งจิงๆครับ

5310
คับ อย่างหลวงตาเผือด วัดมะกอก ตรงขาอ่อนท่านจะลง เพชรพญาธร

เค้าว่าเมตตาแรงนัก

เบี้ยแก้ ของท่านก็สุดยอดเช่นกันครับ? :017:

ครับ เบี้ยแก้ ..... สุดยอดครับ ผมก็ยังอยากได้ใว้สักอันครับ
แต่บุญยังไม่ถึง ครับเลย ยังไม่มี  :002:

5311
 :002: นำเหรียญ หลวงพ่อเติม อดีตลองเจ้าอาวาส วัดไร่ขิง ปี 14 มาให้ชม ครับ
ท่านเป็นเกจิอาจารย์ของ วัดไร่ขิง ในอดีตอีก 1 ท่าน ครับ







ท่านเป็นพระเก่งด้านกรรมฐาน และอาคม ครับ ... คนวัดไร่ขิง รุ่นก่อนๆ รู้กันดี ครับ

(นำภาพมาจากเวปครับ)



5312
 :002:  คล้ายๆพิม พระแร่บางไผ่เลยนะครับ  ...... ยังไงก็ลองถามท่านผู้รู้ครับ แต่เนื้อน่าจะไม่ใช่ครับ พิมคล้ายๆ

5313
 :053:  สวยจริงๆ ครับ โดยเฉพาะล็อคเก็ต

5314
 :002:  ที่ผมเคยเห็นตัวเป็นๆ จะเป็นหางแยก แบบ มี 2หางเลย ครับ ทั้งดุ้น อิอิ ไม่ใช่แบบแยกปลายหาง ครับ
แต่ก็ สุดยอดครับ ที่เก็บภาพมาฝากกัน ไงก็ขอบคุณครับ

5315
ทั้งหมด ที่ ได้ถ่ายมาให้ชม ก็ต้อง ขอบคุณหนังสือหลวงปู่บุญทีได้รวบรวม ความรู้และรุปภาพมาให้ชม ครับ

ทั้งหมด เป็น แค่บางส่วน? นะครับ หากใครสนใจ ก็ลองไปหาดูนะครับ? ?

และหากทั้งหมดนี้ ผิดพลาดประการใด ขอ อภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ

และ ช่วงตรุษจีน ทางวัดกลางบางแก้ว ก็ได้แจกพระเครื่องหลวงปู่บุญ แก่ผู้ที่มาทำบุญนะครับ ลองไปดุนะครับ

สุดท้ายโชคดี ครับ? และ ขอหากผมพิมตกบกพร่องไปบ้าง ..

5319
 :002: ไม่เป็นไร ครับ ทุกท่าน  ......... มาต่อกันเลยนะครับ


 






5321








นำมาจาก หนังสือหลวงปู่บุญ ครับ ..... เป็นผ้ายันต์ ของหลวงปู่ครับ?

5322
คาถาอาคม / "รวมโบราณคาถา"
« เมื่อ: 06 มิ.ย. 2551, 07:27:47 »
อานุภาพพระทั้ง ๓ อย่างนี้ ดุจกำแพงแก้วกันอันตรายทั้งปวง แล้วให้ว่าคาถา ทเยสันตาจนจบ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนจบ พาหุงไปจนจบ แล้วให้ว่าดังนี้อีก กะเตสิกเก กะระณังมหาไชยังมังคะ สังนะมะพะทะ แล้วให้ว่า กิริมิติ กุรุมุธุ เกเรเมเถ กะระมะทะ ประสิทธิแล"

คาถาพระผงสุพรรณ ..... คงเป็นคาถาโบราณนะครับ อิอิ :002:

5324
 :002: มีโอกาศ อยากให้พี่ สิบทัศ พาไปมนัสการจัง

5326
 :053: หลวงพ่อเปิ่นบารมีท่านคุ้มคลอง ครับ? ?เยี่ยมที่สุดเลย
ส่วนตัวผม ก็เคยคากตะกรุดของท่าน โดนยิง ปืนยิงมิออก
เหมือนตายและเกิดใหม่ เช่นกันะครับ? เพราะโดนไล่ยิง?
แบบไล่ตามติดๆ? เชะๆ? (แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุลคลนะครับ)ปืนอาจไม่ดีก็ได้
และตอนเกิดมีคนเห็นเหตุการเยอะครับ? ?

และผมก็ได้มอบตะกรุดดอกนี้ กับเพื่อนรักผม มีอยู่วันนึง มากำลังจะขี่รถออกไปซื้อของ
อยู่ดีๆ เพื่อนมันก็บอกว่า เด๊ยวไปซื้อให้เอง ปรากฏว่า เพื่อนกับรถของมันโดนรถกระบะชนครับ
มันก็มาเล่าให้ผมฟัง ครับ? แคล้วคลาดจิงๆๆ? ?อยู่ดีๆปกติเพื่อนมันไม่เคย ไปแทนอยู่ดีๆ ก็ไปแทน ให้

มาเล่าสู่กันฟัง ครับ

ส่วนเหรียญ หรือ วัตถุมงคลของท่านก็หาไม่ยาก ครับ เพราะท่านสร้าง ใว้เยอะ จิงๆ
(ถ้าไม่นึกถึงค่านิยม หรือราคา แล้ว ผมว่า แขวนได้ทุกรุ่น ครับ ไม่ว่าใหม่หรือเก่า)

5327
โอ้อนิจจา ! ความจริงในสมัยก่อน หนังหน้าผากเสือ จะนำจากเสือที่ตายเองแล้ว
หรือ ตายแบบ ตามธรรมชาติ ครับ เชกเช่น เขี้ยวหมูตัน หรือของทนสิทธิ์อื่นๆ
ขนาดงาช้าง ก็ต้อง หาจากที่ช้างขวิดใว้ตามต้นไม้แล้วหัก เองโดยธรรมชาติ

สมัยนี้ ....ฆ่าและก็เอามา บางที ก็มาถวายพระครับ ท่านก็ไม่รู้
บาปกรรม จริงๆๆ   คนเรา
(อยากได้ของดีแล้วต้องฆ่าสัตว์สร้างกรรม มันจะดีเหรอครับ )

5328
 :017:? พระพุทธเจ้าอยู่สูงสุดและครับ ..... ผมนับถือ พระรัตนตรัย อันเป็นที่พึ่ง ครับ

แต่ ท่านฤาษี ในสมัยก่อน ก็ถือ ศิล 8 บำเพ็ญบารมี อยุ่ในป่า ครับ วิชาอามคมก็ มาจากท่าฤาษีนี่แหละครับ
ล้วนก็มีดีและไม่ดี แล้วแต่ ครับ? ? ?แล้วแต่ฤาษีท่านนั้นจะนำวิชาที่สำเหร็จไปใช้ทางไหน
แล้วแต่ต่างๆนาๆ ครับ .....

แต่ความหลง ในกาม? ในเสน่ห์? ในความอยู่ยงคงกระพัน? ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พ้นทุกข์ครับ
บางทีอาจก่อกรรมขึ้น ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด ไม่ดีและไม่ถูกต้อง .............

คนไทยแปลกครับ มักนับถือสิ่งที่ไม่ควรนับถือ เช่นว่า
มีต้นไม้ ก็ไปกราบไหว้ขอหวย
มีหมูพิการก็มักไปกราบไหว้? ขอหวย
ปลาพันธุกรรม เปลี่ยนสีก็นึกว่าแปลก ไปไหว้กัน
กลุ่มโจรทำชั่ว ปล้นฆ่า แต่มีของดีบ้าง ดังบ้างก็พากันไปชื่นชม

ทำไมสิ่งที่ควรกราบไหว้ ที่ดีๆ ที่ควรสรรเสิญจึงไม่ชื่นชมและเป็นที่พึ่งทางใจกันบ้างหละครับ
พระพุทธเจ้า ท่านสอนให้คนพ้นทุกข์ เป็นผู้ที่ประเสิญที่สุดในโลก ควรน้อมน้อมถึงพระคุณท่าน
พระธรรม? เป็นคำที่ท่านสอนให้ในทางที่ดีๆ ทำไมไม่สรรเสิญ ทำไมไม่จดจำมัวชอบทำแต่ความชั่ว
พระสงฆ์ ท่าน ได้นำคำสอน และแบบ อย่างที่ดี ที่ควรยึดถือ ทำไมกลับไม่สนใจ
(มัวแต่ไปหลง สิ่งไร้สาระ หมูแปลก ปลาแปลก ต้นไม่แปลก โจรทำชั่วกันหละครับ)
.....ลองนึกดูกันนะครับ แปลกจิงหนอ ....
  (ที่กล่าว คือโดยรวม ในสังคมไทย ในปัจจุบัน ครับ)

ศาสนาไม่เสื่อม คนต่างหากที่เสื่อม  รวมถึงสื่อก็เสื่อม สิ่งที่ควรนำมาลงในแง้ดีมิเอามาลง
ชอบเอาด้านลบมาลง เพื่อขายข่าว หาแต่กำไล  แย่ครับ แย่

5329
แล้วมาถึงยุคนี้หละครับ 3 ชายแดนภาคใต้ ก็ต้องดู กันต่อไป ครับ

5330
 :053:? สุดยอดครับ   พวกเวียดกงถึงได้กลัวไง ครับ ของไทยเรามีดีๆทั้งนั้น

5331
บทความ บทกวี / " ชวนเตรียมพร้อม "
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2551, 11:57:48 »
 :053: ขอให้ธรรมจงสถิตอยู่แก่ท่านเทอญ

5332
ธรรมะ / " สาระจากพระสูตร "
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2551, 11:56:00 »
 :017: ขอบคุณครับดีครับ

5333
 :053:  น่าสนใจอีกแล้ว ครับ

5334
 :004: ขำๆ ครับอย่าซีเรียส ศิษวัดบางพระด้วยกันทั้งนั้น ครับ  :080:

5335
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ยันต์จิ้งจก
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2551, 11:44:58 »
 :002: ส่วนมากจิ้งจกจะเป็นทางเมตตา แคล้วคลาด ครับ  ส่วนสำนักที่เคยเห็น คนเป็นอาจารย์ชวน สาย 4

พญาจิ้งจก 2 ห้าง เขาว่ากันว่า เป็นผู้มีบุญ มาเกิดเป็นจิ้งจก ครับ ......... (เขาเลาให้ฟังอีกที ครับ)

ส่วนตัวผม เห็น 2 ครั้ง ครับเป็นๆเลยหุหุ ( ที่บ้าน)  :002:

5336
ผมหมึกแดง กับ ดำ ครับ งงเลย 55555++(   ดำมีนี๊ดนึง)
(ส่วนผมแล้วแต่ท่านจะสักครับ ท่านสักไรให้ผมก็เอาทั้งนั้นแหละครับ )

5337
ธรรมะ / ชายคนหนึ่ง???
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2551, 11:38:49 »
 :053: ดีครับ

5338
 :053: ดีครับ

5339
 :002: ขอบคุณครับ ดีเหมือนกัน แต่อุบากองเป็นโจรลูกครึ่งไทยพม่า ที่ใช้ยามนี้แหกหนีค่าย(คุกไทย) หนีออกมาครับ

5340
สวยดีครับ มีลอยจารด้วย แหล่มเลย  :027:

5341
ในบรรดา "พระปิดตาเนื้อเมฆพัด" ที่มีการสร้างหลายวัดด้วยกันนั้น ก็มีการจัดเข้าเป็นชุดเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อเมฆพัดด้วยเหมือนกัน ซึ่งได้แก่

พระปิดตาหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม

พระปิดตาหลวงปู่จันทร์ วัดบ้านยาง จ.ราชบุรี

พระปิดตาหลวงพ่อปล้อง วัดหลุมดิน จ.ราชบุรี

พระปิดตาหลวงปู่ทิม วัดบางปลา จ.นครปฐม

พระปิดตาหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม

จะเห็นว่าพระปิดตาเนื้อเมฆพัดที่วงการนิยมกันสูงๆ นั้นจะเป็นพระปิดตาที่มีแหล่งกำเนิดในเขต จังหวัดนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียงอีกทั้งพระเนื้อเมฆพัดพิมพ์อื่นๆ ก็มักจะมีการสร้างโดยสำนักต่างๆ ที่อยู่ในละแวกนี้ด้วย

ในบรรดาพระปิดตาเนื้อเมฆพัดด้วยกันแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาบรรดานักเลงพระเขายกให้พระปิดตาหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ เป็นสุดยอดอันดับหนึ่งของพระปิดตาเนื้อเมฆพัดด้วยกันทั้งหมด สมัยก่อนพระปิดตาสำนักนี้มีชื่อเรียกติดปากกันว่า "พระปิดตาห้วยจระเข้" ซึ่งถือว่าเป็นพระปิดตาที่มีประสบการณ์เยี่ยมยอดด้านคงกะพัน กับมหาอุดเป็นที่สุด ส่วนทางเมตตามหานิยมกับโชคลาภก็ไม่เบาเหมือนกัน

เชื่อหรือไม่?


สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง พระปิดตาห้วยจระเข้ได้รับความนิยมสูงกว่าพระสมเด็จวัดระฆังเสียอีก


ทำไมพระปิดตาห้วยจระเข้ถึงได้รับความนิยมกันมากขนาดนั้น?


สมัยก่อนเขานิยมด้วยพุทธคุณเป็นหลัก ไม่ได้นิยมเพราะการเชียร์หรือประชาสัมพันธ์กันเหมือนสมัยนี้
เชื่อหรือไม่?


พระปิดตาห้วยจระเข้นอกจากจะมีพุทธคุณสูงอันเกิดมาจากพลังจิตอันแก่กล้าของผู้ปลูกเสกอย่างหลวงปู่นาคพระเกจิอาจารย์ระดับชั้นปรมารย์แล้ว ยังเป็นพระปิดตาที่สร้างโดยกรรมวิธีอันเข้มขลังสุดยอดอีกด้วย

พระปิดตาห้วยจระเข้เป็นพระปิดตาที่ "ดีนอกและดีใน" คือ ดีทั้งเนื้อหาและการปลุกเสกโดยเฉพาะเนื้อ "เมฆพัด" นั้น ตำราทางไสยศาสตร์เรียกว่า "โลหะธาตุกายสิทธิ์" เป็นโลหะที่สำเร็จขึ้นด้วยกรรมวิธีการนำเอา "แร่ธาตุ" บางชนิดมาหลอมรวมกันในเบ้าโดยมี "น้ำว่าน" บางชนิดเป็นส่วนผสม อีกทั้งมีการบริกรรมคาถาปลุกเสกไปตลอดของการหลอมผสมแร่ธาตุ และซัดด้วยน้ำว่านนี้ เมื่อสำเร็จออกมาจึงเป็นเนื้อโลหะที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว เมื่อนำมาสร้างวัตถุมงคลก็จะยิ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปอีกเป็นพิเศษ

นั่นคือคุณวิเศษของเนื้อเมฆพัดที่สร้างถูกต้องตามกรรมวิธีการสร้างตามตำราของวิชาไสยศาสตร์ ไม่ใช่เนื้อเมฆพัดที่สร้างจากโรงงานเหมือนอย่างทุกวันนี้

วัดห้วยจระเข้ ตั้งอยู่เลขที่ 447 ถนนพิพิธประสาท ด้านหน้าวัดใกล้คลองเจดีย์บูชา ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เดิมมีชื่อวัดว่า วัดนาคโชติการาม ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดใหม่ห้วยจระเข้ ปัจจุบันได้ชื่อเป็นทางการว่า วัดห้วยจระเข้ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดคือ หลวงปู่นาค โชติโก (พระครูปัจฉิมทิศบริหาร) ท่านเป็นผู้สร้างวัดนี้ให้เป็นวัดบริวารขององค์พระปฐมเจดีย์ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

หลวงปู่นาค โชติโก เกิดปี พ.ศ. 2358 (ร.ศ.35) ตรงกับปีกุน จ.ศ. 1177 ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 อุปสมบทเมื่ออายุ 21 ปี ณ พัทธสีมา วัดพระปฐมเจดีย์ ตรงกับปี พ.ศ. 2379 พระอุปัชฌาจารย์ไม่ปรากฏนาม ทราบแต่พระกรรมวาจาจารย์คือ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระปฐมเจติยานุรักษ์ (หลวงปู่กล่ำ) เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ได้รับฉายา "โชติโก"

อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วจำพรรษาอยู่วัดพระปฐมเจดีย์กับหลวงปู่กล่ำ เจ้าอาวาสทั้งสองเป็นสหธรรมิก มีความสนิทสนมกันดี หลวงปู่กล่ำเป็นเจ้าอาวาส ต่อมาหลวงปู่นาคเป็นรองเจ้าอาวาส ช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยดีตลอดมา

ปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดฯแต่งตั้งพระเถระ 4 รูป เพื่อทำหน้าที่รักษาองค์พระปฐมเจดีย์ทั้ง 4 ทิศ


พระครูปริมานุรักษ์ (นวม พรหมโชติ) วัดสรรเพชร รักษาด้านทิศตะวันออก

พระครูทักษิณานุกิจ (แจ้ง ธมมสโร) วัดศิลามูล รักษาด้านทิศใต้

พระครูปัจฉิมทิศบริหาร (นาค โชติโก) วัดห้วยจระเข้ รักษาด้านทิศตะวันตก

พระครูอุตตรการบดี (ทา) วัดพะเนียงแตก รักษาด้านทิศเหนือ

หลวงปู่นาค ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระครูปัจฉิมทิศบริหาร ทำหน้าที่รักษาองค์พระปฐมเจดีย์ด้านทิศตะวันตก และยังดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะมณฑลนครชัยศรี ถ้าเปรียบสมัยนี้เท่ากับรองเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม

หลวงปู่นาค สร้างพระปิดตามหาอุตม์ เนื้อเมฆพัด เมื่อ พ.ศ. 2432 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่หลวงปู่นาคได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ หลวงปู่นาคท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการสร้างเนื้อเมฆพัดมาก การผสมเนื้อแร่ต่างๆ การปั้นพิมพ์ และการเทหล่อองค์พระท่านทำด้วยตัวท่านเอง องค์พระที่ท่านหล่อออกมาสวยงาม ไม่มีรอยตะเข็บ ไม่เป็นฟองอากาศ เนื้อพระเป็นสีดำอมเขียว สีดำเงาคล้ายปีกแมลงทับ สวยงามพิสดาร เนื้อพระผิวตึง สมบูรณ์แบบด้านรูปทรง ว่ากันว่า "หลวงปู่นาค" กับ"หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว" มีความสนิทสนมกัน เป็นสหธรรมิกรุ่นน้อง(หลวงปู่นาค มีอายุมากกว่าหลวงปู่บุญ 35 ปี) และมีการแลกเปลี่ยนวิชาซึ่งกันและกันด้วย โดยหลวงปู่บุญขอเรียนวิชาการสร้างเนื้อเมฆพัดไปจากหลวงปู่นาคส่วนหลวงปู่นาคก็ได้ขอเรียนวิชาอื่นจากหลวงปู่บุญไปเป็นการแลกเปลี่ยน สำหรับหลวงปู่บุญท่านได้ก็สร้างพระเนื้อเมฆพัดขึ้นจำนวนหนึ่ง ซึ่งพระเนื้อเมฆพัดของหลวงปู่บุญที่ท่านสร้างเองลักษณะเนื้อจะเหมือนๆ ของหลวงปู่นาคมากผิดกับเนื้อเมฆพัดพิมพ์กลีบบัว และพิมพ์ปิดตาที่วางตามสนามทั่วๆ ไป ซึ่งเป็นพระที่สั่งทำจากโรงงานมาปลุกเสกทีหลัง

ในการสร้างพระปิดตาของหลวงปู่นาคท่านสร้างหลายครั้งด้วยกัน สร้างไปเรื่อยๆตามแต่จะมีโอกาส พระปิดตาของท่านจึงมีประมาณ 4-5 พิมพ์ นับแล้วพระปิดตาห้วยจระเข้ก็มีอายุร่วมๆ หนึ่งร้อยปีเห็นจะได้

เอกลักษณ์ของพระปิดตาห้วยจระเข้นอกจากจะดูพิมพ์เป็นหลักแล้ว พระปิดตาห้วยจระเข้จะต้องมีการลงเหล็กจารทุกองค์ด้วย ในการลงเหล็กจารนั้นมีเรื่องเล่ากันว่าหลวงปู่นาคท่านนำเอาพระปิดตาที่สร้างเสร็จแล้วไปลงเหล็กจารที่ท่าน้ำข้างๆ วัด โดยท่านจะนำลงไปจารอักขระใต้น้ำ เมื่อจารเสร็จแล้วก็จะปล่อยให้พระปิดตาลอยขึ้นมาเหนือน้ำเองโดยมีลูกศิษย์ที่อยู่บนฝั่งคอยเก็บ ถ้าพระปิดตาองค์ไหนลงจารแล้วไม่ลอยน้ำขึ้นมา แสดงว่าพระปิดตาองค์นั้นไม่มีพลังพุทธคุณ อันอาจจะเกิดอักขระวิบัติจากการจารอักขระก็ได้

การที่พระเกจิอาจารย์ท่านใดสามารถดำลงไปทำวัตถุมงคลใต้น้ำได้นานๆ แบบนี้ ก็แสดงว่าพระเกจิอาจารย์ท่านนั้นสำเร็จวิชากสิณที่สามารถแปลงธาตุน้ำให้เป็นช่องว่างมีอากาศหายใจได้ นอกจากการจรอักขระพระปิดตาใต้น้ำแล้ว หลวงปู่นาคท่านก็มีวิธีการจารอักขระอีกวิธีหนึ่งคือ ท่านจะไปจารที่กลางทุ่งนา หรือในป่าริมคลองที่มีปูอาศัยอยู่มากๆ เมื่อไปถึง และหารูปูเจอแล้ว ท่านก็จะยืนโดยเอาหัวแม่เท้าขวาอุดที่ปากรูปู จากนั้นก็จะกำหนดจิตบริกรรมคาถา และลงเหล็กจารไปพร้อมๆ กัน ขณะนั้นทั่วทั้งทุ่ง และป่าริมคลองนั้นจะเงียบสงัดทันที เสียงนก หรือแมลงร้องจะไม่มีได้ยิน สัตว์ทุกตัวที่อยู่บริเวณนั้นจะหยุดนิ่งชะงักเป็นจังงังกันหมด เมื่อท่านผ่อนคลายกำหนดจิตจากการลงอักขระเสร็จแล้วนั่นแหละ ทุกอย่างจึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ก่อนที่จะกลับหลวงปู่นาคท่านจะทำน้ำมนต์รดที่รูปูนั้นเพื่อเป็นการคลายอาคม หากมิเช่นนั้นปูที่อยู่ในรูจะออกมาไม่ได้ หรือถ้าปูอยู่ข้างนอกก็จะกลับลงรูไม่ได้เหมือนกัน

อักขระที่ท่านใช้คือ "นะคงคา" เป็นตัวหลัก เพราะหลวงปู่นาคสำเร็จ อาโปกสิน วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกจึงหนักไปทางพลังเย็นเร้นเข้มขลังอย่างเอกอุ

จากพิธีกรรมการสร้างอันเข้มขลังนี้เอง จึงทำให้พระปิดตาห้วยจระเข้เป็นจักรพรรดิของพระปิดตาเนื้อเมฆพัดทั้งปวง แต่พระปิดตาห้วยจระเข้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเนื้อเมฆพัดชนิดเดียว แต่ได้มีชนิดที่สร้างด้วย "เนื้อชิน" อีกด้วย ซึ่งพระปิดตาห้วยจระเข้เนื้อชินเป็นแบบ "ชินตะกั่ว" โดยหลวงปู่นาคท่านนำเอาแผ่นตะกั่วมาลงอักขระแล้วหลอมเทเป็นพระปิดตา และลงเหล็กจารด้วยกรรมวิธีการเช่นเดียวกับพระปิดตาเนื้อเมฆพัด กล่าวถึงพระปิดตาห้วยจระเข้เนื้อชินตะกั่วนี้ก็มีการสร้างในยุคแรกๆ เป็นพระปิดตาที่หลวงปู่นาคท่านสร้างขึ้นก่อนที่ท่านจะสร้างเนื้อเมฆพัดได้สำเร็จ แต่ในการเล่นหาพระปิดตาห้วยจระเข้เนื้อชินตะกั่วจะถูกกว่าเนื้อเมฆพัด

พ.ศ. 2441 หลวงปู่นาค โชติโก ได้ย้ายจากวัดพระปฐมเจดีย์ มาสร้างวัดห้วยจระเข้ เพื่อให้เป็นวัดบริวารขององค์พระปฐมเจดีย์ ตามพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งพื้นที่บริเวณนั้นเป็นป่ารก มีสัตว์ป่าชุกชุม ลำห้วยมีจระเข้มาก ริมคลองเจดีย์บูชา อันเป็นคลองประวัติศาสตร์ที่ทรงโปรดฯให้ขุดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2407 เพื่อเชื่อมต่อกับแม่น้ำนครชัยศรี ให้เป็นเส้นทางเสด็จมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ทางชลมารค หลวงปู่นาคใช้เวลา 3 ปี จึงสร้างวัดสำเร็จ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา โดย สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงลงพระปรมาภิไธยด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 โดยให้ชื่อว่า "วัดห้วยจระเข้"

หลวงปู่นาค จัดเป็นพระปรมาจารย์เมืองนครปฐมในสมัยแรก เป็นต้นตำรับพระปิดตาเนื้อเมฆพัด พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อคราวเสด็จประพาสพักแรม ณ พระราชวังสนามจันทร์ จะต้องเสด็จแวะกราบนมัสการหลวงปู่นาคเป็นประจำ และหลวงปู่นาคได้มอบพระปิดตาทั้งสองพระองค์ไว้บูชาคู่พระวรกายด้วย

หลวงปู่นาค โชติโกไ ด้เป็นผู้สร้างวัดห้วยจระเข้ร่วมกับประชาชน ปกครองวัดมานาน 11 ปี ถึงกาลละสังขารเมื่อปี พ.ศ. 2453 ด้วยโรคชรา รวมอายุได้ 95 ปี 74 พรรษา ก่อนที่หลวงปู่นาคท่านจะมรณภาพ ก็ได้ถ่ายทอดวิชาการสร้างพระปิดตาให้กับ "หลวงปู่ศุข" ลูกศิษย์ซึ่งต่อมาหลวงปู่ศุขท่านก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ต่อจากหลวงปู่นาค หลวงปู่ศุขท่านนี้ก็เป็นพระเกจิอาจารย์ของเมืองนครปฐมที่มีชื่อเสียงรุ่นราวคราวเดียวกับ "หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" และ "หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา" ที่มีคนนับถือมากเช่นกัน หลวงปู่ศุขท่านสร้างพระปิดตาเนื้อเมฆพัดพิมพ์แบบเดียวกับหลวงปู่นาคทุกอย่าง เพียงแต่ท่านไม่ได้ลงเหล็กจารเพื่อให้มีความแตกต่างไม่เป็นการวัดรอยเท้าอาจารย์ แต่ก็มีบ้างอยู่เหมือนกันที่มีการเอาพระปิดตาหลวงปู่ศุขมาลงเหล็กจารแล้วหลอกขายเป็นของหลวงปู่นาคเพื่อให้ได้ราคาสูง จึงควรพิจารณารอยเหล็กจารว่าต้องมีความเก่า ถ้าเป็นรอยจารใหม่แต่เป็นพิมพ์เดียวกันก็แสดงว่าเป็นของลูกศิษย์แน่ครับ

โดยส่วนตัวผมเองไม่มี และคงไม่มีวาสนาในการครอบครองครับ เพียงแต่ชื่นชอบกรรมวิธีการสร้างและปลุกเสก และนับถือหลวงปู่นาคครับ 

คัดลอกจากhttp://www.mac.in.th/~pra/index.html ขอบคุณครับ

5343
 :053:  3 เส้น ท่าจะเจ็บนะครับ 555555+

5344
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เข็มทอง
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2551, 02:30:29 »
 :002: ดีครับ ขอบคุณ

5345
ถ้าผมโดน ...น้ำร้อนลวก ร้อน ครับ ไม่คิดก็ไม่ได้ด้วย
แต่เวลา อยู่ขั้วโลกเหนือและใส่เกงในตัวเดียวยืนคงหนาวนะครับ

555555555555555555555555555555555555

5346
 :002: ของดีอีกและครับ

5347
 :002: ผมโหดอยู่และครับ .... 555555++ ส่วนผมโหดกับมดครับ มดอาจกลัว
แต่ไม่รู้คนจะกลัวปะนะครับ  55555++ :057:

5348
 :002: สะสมใว้แน่น จริงๆ ครับ พี่หอมเชียง

5349
ผมขอตอบว่า ...เป็นพระ รูป ปางนั่งสมาธิครับ  :002:

ต้องถามเจ้าของก่อนครับ ว่าเป้นคนแถวไหน จังหวัดอะไร อาจเป็นพระในพื้นที่ก็ได้ครั
บ ซึ่งไม่มีในวงการ หรืออาจจะมีก็ได้

5350
 :054: สาธุครับ พระเกจิ ของไทยอีก 1 รูป ครับ

5351
 :002: ขอให้เจอครับ  (แต่ยากอยู่นะครับ เพราะเยอะเหลือเกิน มีทั้งอยู่ในวงการ และนอกวงการก็มีครับ )รอลุ้นอย่างเดียวครับ อิอิ

5352
 :002: แค่ศรัทธาและนับถือ และมีรูปหลวงปู่อยุ่ในเหรียญ ก็สุดยอดและครับ
แต่ถ้าหากเอาไปจาร .... ก็จะทำเหมือนให้เหรียญมีค่าขึ้น ครับ ทางด้านพาณิชย์
เช่น ... เหรียญที่มีจาร จะดูมีราคาคุณค่ามากว่า เหรียญ ที่ไม่มีจารครับ


อย่าคิดมากเลย ครับ ...อยู่ที่เรา แขวนเพื่ออวดชาวบ้าน
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? หรือแขวนเพื่อศรัทธา ครับ
                                                หรือเจตนาเพื่อพาณิชย์ ครับ

5353
 :002:? แล้วแต่น้ำมัน ที่ใช้สัก ครับ ถ้าเป็นน้ำมันเสื้อโคล่
ง เวลาอากาศร้อนมากๆครับ จะขึ้นเป็นลอยแดงๆจางๆเลย ครับ

ส่วนถ้าใช้น้ำมันงา จะไม่เค่ยมีผล สักเท่าไหร่(แต่งาสมัยก่อนถือเป็นสิ่งศักสิทธ์ครับ)

แต่ถ้าเป็นน้ำมันว่าน ที่เขาแช่ว่านแรงๆใว้ อากาศหนาว เราจะรุ้สึกปวดกระดูกครับ (ต้องว่านตามป่านะครับ จะไปทางคงกระพัน)

แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคล ครับ?
(ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย ครับ )

 :027:

5354
 :002: ดีครับ โหดดีครับ อิอิ

5355
 :002:  ได้ของดีมาอีกแล้วครับ

5356
 :002: ของทุกอย่างมีคุณและโทษเสมอ ครับ

5357
 :004: 555555 ให้เขานอนไปดีและครับพี่ อย่าปลุกมาเลย ครับ เดี๋ยวงานเข้า
ของผมก็มี ครับ .... แต่พิมยันต์นะ จะอีกแบบนึง ครับ

5359
9 ยอดทาง คงกระพัน แค้ลวคลาด ครับ
8 ทิศ เมตตา แค้ลวคลาด ครับ
นะปากกระบอกไม่เคยเห็น ครับ 
แล้วเวกา นี่ ใช่สาลิกาปะครับ เหอๆๆๆๆๆๆๆๆ



5360
 :002: ไม่เคยเห็น ครับ  แต่คนสมัยก่อน ผมเคยเห็นคนสักเป็นแถวๆ นะครับ
แต่จะสักที่แขน ครับ เรียกกระทู้ 5 แถว หรือ 9 แถว
แต่ไม่ใช่ยันต์ หนุนดวงแบบ นี้ แน่ ครับ  วัดบางพระไม่มีนะครับ 

5362
 :054:  สาธุข้าพเจ้าขอน้อมน้อมมนัสการ หลวงพ่อเปิ่น ที่ ลูกเคารพด้วยกาย วาจา ใจ

5363
 :004: ต้นๆ ดูๆๆ ยิ่งโต ยิ่งน่ากลัวอะ 55555   

5364
หลวงพ่อเหว่า วัดวังน้ำขาว ศิษหลวงพ่อเงิน+? หลวงปู่เพิ่ม? ครับ ..... ดัง ตะกรุด +เบี้ยแก้ +รูปหล่อรุ่นแรก +เหรียญรุ่นแรก? :015:

5366
 :002:  ครับดี ครับ ประสบการณ์ ก็มาก มาย ครับ ...

5367
 :053:  สวยจริงๆ ครับเนียนๆๆๆ

5368
ขอบคุณพี่ สิบทัศมาก ครับ .... สุดยอดจิงๆ ผมเคยมีโอกาศเจอหลวงพ่ออวยพรครั้งนึงครับ รู้สึกเกิดศรัทธามาก ครับ

ดั่งพระในดวงใจของผม เลย ครับ

5371
ธรรมะ / " สาระจากพระสูตร "
« เมื่อ: 29 พ.ค. 2551, 05:31:55 »
 :053: ดีครับ

5372
 :002:  เป็นครับ ถ้าแมงกะพรุนไฟ โดนตัวเข้า รับรอง  เละ แน่ ครับ 5555++ :004:

5373
ยันต์หมัดธนู ที่ผมเคยเห็น ส่วนมาก จะไม่มีรูปนะครับ เป็นแค่อักขระ หัวใจหมัดหนักเฉยๆๆ?
นักมวยสมัยก่อน ชอบสักกันนักแล ครับ? ...เป็นมาในประเภทของพวกมนดำครับ ทำให้หมัดหนัก ..
. แต่สมัยนี้ไม่รู้นะครับ .... แล้วแต่ยุคแล้วแต่สมัย ครับ? ต้องดูกันต่อไป ครับ

ส่วนขึ้นหรือไม่? คงไม่ขึ้นอะครับ .......... 55555++

ส่วนตัวผม ก็สักที่ราชบุรีเหมือนกันครับ อาจารย์เม้ง สามแยกกระจับ
ท่านเป็นศิษหลวงพ่อเปิ่น และเคยบวชอยุ่วัดบางพระด้วยนะครับ
ไม่ได้อ้างลอยๆ มีรูป และ หลักฐานยืนยัน ครับ อิอิ

(และชอบคำพูด ของพี่เวปมาสเตอร์มากๆครับ  ใช่ครับพูดถูกส่วนมาก ขึ้นกันไม่จริง)
ผมเคยเห็นขึ้นจริงๆ หมูทองแดงนะครับ  เวลาร้องเสียงจะเหมือนหมู
ตาเหลือก  .... วิ่งชน ขอบไม้ แต่ไม่รุ้สึกเจ็บ

ดูง่ายๆ คนขึ้นจะเหมือนไม่มีสติ ส่วนมาก เดี๋ยวนี้ เวลาขึ้น ยังยิ้มอยู่เลย 5555++

น่าคิดนะครับ อิอิ ....

5374
 :002:  ในความคิดของผม รูปพระพุทธเจ้า ถือว่าอยู่สูง สุด และยิ่งใหญ่ ในโลก เหนือ โลก ทั้ง   3
เป็นสิ่งที่ อยุ่สูงสุดแล้ว ในจักรวาลนี้ก็ได้   .......คิดเอาเอง ครับ ว่าสมควร ใหม ครับ ......  :100:

5375
 :004:  ผมไม่ใช่เสี่ยหลอกครับ 5555++ ผมความรู้ยังน้อย ครับ ต้องรอถามท่าน สิบทัศ ดีกว่า ครับ  :075:

5376
:075:? จริงอย่างที่พี่สายัน พูด ครับ เดี๋ยวนี้สื่อ ทำแต่เพื่อหากำไล ขายข่าวโดยไม่นึกถึงศาสนาเลย
ศาสนาไม่เสื่อม ครับ คนตางหาก ที่เสื่อม


แต่ผมจะ แจงเรื่อง ว่าอวดอุตริมนุษย์ธรรม อวดคุณวิเศษ(ที่ไม่มีในตนเอง) อยู่ในศิล หัวข้อปาราชิก คือขาดจาดการเป็นพระ? นะครับ
คือสมัยก่อน สมัยพระพุทธองค์ มีพระกลุ่มนึง อยากสบาย ครับ เลยไปหลอกชาวบ้านว่า ท่านสามารถ
บินได้ สำเร็จอรหันแล้ว .........( แต่ที่จริงยัง ครับ )ชาวบ้านก็เชื่อเลยนำอาหาร และสิ่งของมาถวายพระกลุ่มนั้น
เหมือนการไปหลอกชาวบ้านเพื่อ หาผลประโยชน์เข้าตัวเอง อะครับ
ข่าวก็เลยเข้าหูพระพุทธเจ้า ครับ ...... เลยมีข้อห้าม บรรหยัด ว่าห้ามอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนเอง ครับ

(แต่...หากมี และก็แสดงอภินิหารก็ไม่ผิดครับ ถือว่ามี เช่นพระอรหันสมัยก่อน สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้จริงครับ)
(เช่น พระเถระผู้ยิ่งใหญ่ อย่างพระอานน ท่าน นิพพานกลางอากาศ ครับ )?

..ข้อนี้มีจุดประสงฆ์ ครับ ว่า ทำไปเพื่ออะไร หากทำเพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง ผิดครับ

..แต่หาก เพื่อส่วนรวม และเปลี่ยนแปลงมนุษย์ และ ส่วนรวม ไปในทางที่ดีก็ไม่ผิดครับ

พระสมัยก่อน ที่มียานสูงๆๆ สามารถทำได้จริง ครับ ....ขึ้นอยู่กับยานของพระรูปนั้น ครับ

(ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย ครับ? )

5377
แปลกๆตา ครับ ....... ไงลองถามท่านพี่สิบทัศดีกว่า ครับ  :075:

5378
 :002: ดำดื้อที่ผมเคยเห็น จะเป็น รูปคล้ายๆ คนยกมือ ชี้นิ้ว 2 ข้าง  ส่วนแดงเก ผมเห็นเป็นรูปคล้ายๆคนลำดาบ ครับ ....

ใครมีก็ลองมาโพสรูปได้นะครับ อิอิ

5379
 :053: ตะกรุดลูกอม สุดยอดจิงๆ ครับ ...........  :054: :054: :054:

5380
บทสวดมนต์ / คำขอขมาพระรัตนตรัย
« เมื่อ: 26 พ.ค. 2551, 10:50:13 »
ดีมากครับ ขอให้ธรรมมะ จงคุ้มคองท่าน ครับ

5384
 :015:    เยี่ยม ครับ อันนี้เลย ครับ ที่ผมอยากได้ 555555 +++++

5385
 :063:  ไม่เห็นมีรูปขึ้นเลย ครับ

5386
ไม่เป้นไร ครับพี่ ผมก็ขอโทษด้วยที่บอกช้าไป ครับ  :027:

5387
อย่างพี่ 10 ทัศว่าแหละครับ วิชาที่สามารถใช้จิต อยู่ใต้น้ำได้เปงชั่วๆ โมง เริ่มหายากและครับ ...... ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ทหารใต้ทุกท่านเลยนะครับ

ที่ออกไปรบแทนพวกเราชาวไทย  สู้ๆต่อไปครับ

5388
 :002:  รู้แต่ดำดื้อกับแดงเก อะครับ หุหุ

5389
 :027:  แปลกดี ครับ  หุหุ

5390
 :002: ของท่านดีๆจิงๆ ครับพี่น้อง

5391
น่าสนใจ ทั้งลอย สัก และ  วัตถุมงคล ครับ สุดยอดครับ

5392
 :002: ของเขาดีจิงๆ ครับพี่น้อง

5393
555555555555555++ :004: :004:

5394
 :054: :054: :054: ขอให้หลวงปู่หายเร็วๆ ครับ สาธุ

5395
 :002:  ขอบคุณสำหรับข้อมูล ครับ ....... เยี่ยมอีกแล้ว

5396
:002:? จิงๆ แล้วจะห้อยคู่ หรือคี่ก็ได้ครับ? แล้วแต่เรา ครับ
ส่วนเรื่องห้ามห้อยคู่ เพราะ เวลาห้อยพระ 2 องค์ ดูไม่สวยงามครับ

จิงๆแล้วการห้อย พระ อยุ่ที่การศรัทธา ครับ คนเราชอบไปปรุงแต่งกันไปเอง ครับ

เช่น พระ มา 4 รูป ถือว่าไม่เป็นมงคล? ?บางทีพระจะขึ้นรถ 4 รูป รถก็ไม่รับอีก(บาปกรรมจิงๆ)

ที่จริงแล้ว ไม่เกี่ยวกันหลอกครับ การที่พระ ต้องมี 4 รูปเพราะว่า? 4รูปนั้นครบองค์สงฆ์ครับ
หากพระน้อยกว่า 4 ก็มิสามารถ ทำพิธีกรรมทางศาสนา อย่างสมบูรณ์แบบได้ครับ
ต้อง มีครบ 4 รูป หรือเกินกว่า ถึงจะทำพิธีใดๆได้สมบูรณ์ครับ? ........บางทีงานมงคล
หรืองานพุทธาพิเศก ใช้พระ แค่ 4 รูป สวดบทพุทธธาพิเศกก็มี ครับ

เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดมาก อย่าไปปรุงแต่ง อะไรเรา คิดว่าเป็นมงคลก็เป็นมงคล ทั้งนั้นแหละครับ
อะไรที่คิดว่าไม่ก็ไม่ .....อยู่ที่ตัวเรา ครับ? ?


(ของแบบนี้อยู่ที่ใจ ครับพี่น้อง )

5397
 :002:  ขอบคุณพี่สิบทัศ มาก ครับ สำหรับข้อมูล

5398
โทษที ครับ ลืมบอกพอดีเมื่อวานรีบ ครับ ท่านเสด็จมาเมื่อวานนี้แหละครับ เหอๆๆๆ โทษที ครับ

มะวาน ใครที่ไปวางดอกไม้จัน แจกพระเนื้อระฆังหล่อโบราณ ปี 38-39 ฟรี ครับ
พล้อมหนังสือ 1 เล่ม ครับ? ?......โทษที ครับ ที่บอกช้า

(และเมื่อวานได้เกิดปติหารอีกแล้ว ครับ ท่าน เมื่อวานตอนเย็นๆ ฟ้ามามืดครึ้ม
เหมือนฝนจาตกหนัก แต่ก็ได้มืดอยุ่อย่างนั้น เป็นชั่วโมงๆ ก็ไม่มี ฝนสักหยดตกมาสักเม็ด
เป็นที่น่ามหัศจรรย์ แก่ชาววัดไร่ขิง เป็นอย่างยิ่ง ครับ? สรุปเมื่อวานบริเวณใกล้เคียงตก
แต่วัดไร่ขิง ที่ไม่ตก ครับ แถมก่อนหน้านั้น เกอดพระอาทิตย์ทรงกดด้วย ครับ )
 :054: :054: :054: :054: :054:

5399
เชิญชาวบ้านพี่น้อง ร่วมงาน พระราชทานเพลิงศพ สังขาร หลวงพ่อ  ณ วัดไร่ขิงด้นะครับ ตั้งแต่เวลา 15.00 เป็นต้นไป ครับ

5400
 :016: สุดยอด ครับ เกจิ อาจารย์อีก 1 ท่านที่น่านับถือ คร๊าบ  :053:

5401
สำหรับตัวผมไม่กินฟัก น้ำเต้า อาหารในงานศพ อาหารเส้นผี อาหารว่ายเจ้า และอื่นๆแบบคนโบราณเข้าถือครับ บางอย่างอาจทำไม่ได้เพระสมัยนี้ตึก- สะพานมันเยอะแต่อะไรที่ผมทำได้ผมก็จะทำ? แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใจเรา ว่าเราศรัทธาในครูบาอาจารย์ของเราแค่ไหน นั้นและคือสิ่งสำคัญ? (แต่สำหรับพี่ๆเพื่อนๆน้องๆคนอื่นผมไม่รู้) :090:? ? :093: :093: :093: :093: :093:


สวยดี ครับ แฮะๆๆๆ ของ colt ปะครับ รุ่นนี้มะเคยเหง ครับ รุ่นไรเหยอครับ  ผิดพลาดประการใดขอบคุณ ครับ
ผมนักนิยม  ของ colt  ครับ

5402
หลวงพ่อเต๋ ศิษ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ครับ ..... สุดยอดครับ คงกระพัน เมตตา หายห่วง ครับ

5403
 :002:  ขอบคุณครับ ดีมากๆครับ แต่ผมไม่กล้าฝัง ครับ กลัวเจ็บครับ  :004: 555

5404
 :053: สวยดีครับ

5405



ยอดขุนพลพิม พุทธกวัก เนื้อผงพุทธคุณว่าน108? ครบ ของหลวงพ่อขันธ์ ครับ รุ้สึกว่า หลวงพ่ออุตตามะ กับ หลวงพ่อพูนวัดไผ่ล้อม ปลุกเศกใว้ด้วยนะครับ
ถ่ายไม่เค่ยชัดนะครับ? (ผิดพลาดประการใดขอภัยด้วยนะคร๊าบ )? ?แต่องค์นี้ทันหลวงพ่อขันธ์ แน่นอน ครับ เพระทางวัด ไม่ได้สร้างเพิ่ม
เป็นของที่ปลุกเศก ใว้ตอน อัญเชิญ พระประธานของหลวงพ่ออุตตามะ ในโบส ครับ ......?
หรือใครจะไปสักการะ สังขาร ของหลวงพ่อขันก็ได้ครับ อยู่ในโลงแก้ว ศาลาข้างพระอุโบสถหลังใหม่ ครับ ..... ซึ่งด้านโชคลาภก็ดีมากมาย ครับ
เพราะเจ้าของค่าย เพลงดัง ก็เป็นลูกศิษหลวงพ่อขันธ์ ครับ

5406
 :002:? ด้วยความยินดี ครับ ....หากใครไม่ได้ไป เข้าค่าย ..... แต่ก็สามารถไปทำบุญที่วัดได้ครับ เงินทุกบาททุกสตาง เข้าวัดหมด ครับ
ผมเห็น กระเบื้อง ที่ปูหน้าเสาธง ครับ มีคนบริจาก เพียงคนละ 20 บาท ต่อ 1 แผ่น ตอนนี้ เป็น พื้นกว้าง สวยงาม มาก ครับ
ใครอยากไปทำบุญ ก็ไปได้นะครับ? ในวัดมี อุโบสถ 2 หลัง ครับ หลังเก่าแบบมหาอุด หลังใหม่สวยงามมาก ครับ
ภายในเป็นรูป เกี่ยวกับพระเจ้า? 10 ชาติ กับ พระเจ้า 5 พระองค์ ครับ สวยงามมาก ...................
และใครจะทำบุญผ้าห่อศพก็มีนะครับ ....
(ส่วนท่านใด ชอบวัตถุมงคล ก็ไปทำบุญได้นะครับ องค์ละ 20 บาท ทุกพิม ครับ ได้ของดี อิ่มกุศล ครับ )

จากนครปฐม ไปแค่นิดเดียว ครับอยู่ซ้ายมือ ถึงก่อนวัดโบส ครับ ผม .............

5407



พระอาจารย์ สเตนฟาน ครับ  รูปนี้ท่านก็สุดยอดครับ มากับความรู้ และความสนุก ครับ  :016:

5408
สวยดี ครับ เยี่ยมเลย  :002:

5409
นานาจิตตัง ครับ  จะแขวนอะไร จะใช้อะไรก็อยุ่ที่ใจ ครับ ....  :002:

5410
น่าจะห้ามกินมะเฟือง มะไฟ น้ำเต้า แค่นั้น นะครับ อิอิ

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย !

5411
สำหรับ ท่านที่ชอบวัตถุมงคล ทางวัดมีพระ ยอดขุนผล มี 5 พิมของหลวงพ่อขันธ์ได้ปลุกเศกใว้  ร่วมทำบุญองค์ละ 20 บาทเท่านั้น ครับ ประสบการณ์มากมาย ครับ? แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา

5412

ภาพจากในเวป


ภาพนำมาจากในเวป


พระอาจารย์ชินจังเงะ (ที่ปรึกษากลุ่มผม ครับ ) ท่านสอนกรรมฐาน ครับ และเป็นครูสอนกรรมฐาน สำหรับผู้ที่มาเข้าค่ายทุกคน ครับ? :015:


พระอาจารย์อองลี เวลาที่ท่านสอน ได้ทั้งความสนุก และสาระความรู้ ครับ? :015:

5413
รวมรูป กิจกรรม ณ วัด? วัดพระศรีอารย์



รูปหลวงพ่อขันธ์ อดีตเจ้าอาวาส สังขารท่านไม่เน่าไม่เปื่อย


พระหยก


พระประธานในโบส



พระอุโบสถ 100 ล้าน ทรงคุณค่า สวยงาม มาก ครับ

5414
วัดพระศรีอารย์ มีอายุประมาณ ๒๖๐ ปี เป็นวัดเก่าแก่สร้าง มาแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา เดิมวัดพระศรีอารย์ ชื่อ วัดสระอาน สันนิษฐานว่า วัดพระศรีอารย์ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อ ประมาณปี ๒๒๗๕ ซึ่งแต่ก่อนเป็นวัดสร้างยังไม่มี พระภิกษุ มาอยู่จำพรรษา เป็นวัดเก่าที่มีมาช้านาน มีผู้พบอุโบสถก่ออิฐ ถือปูน ขนาดกว้าง ๔ เมตร ยาว ๙ เมตร เป็น อุโบสถมหาอุด มีทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว มีสระน้ำโบราณอยู่คู่กับ อุโบสถด้านทิศเหนือ

ขณะที่ค้นพบมีสภาพเก่าและชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ภายในอุโบสถมีพระประธานที่เก่าแก่ เป็นอิฐเผาถือปูน บริเวณรอบๆ อุโบสถเป็นป่ามีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นปกคลุมอยู่ จนถึงประมาณปี ๒๔๗๕ เริ่มมีพระภิกษุเข้ามาพักจำพรรษา เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ในปี ๒๕๐๐ ได้เปลี่ยนชื่อจาก วัดสระอาน มาเป็น วัดพระศรีอารย์

วัดศรีอารย์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนตลอดมา และได้สร้าง อุโบสถหลังใหม่ขึ้น เป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า มีความวิจิตรตระการตา ประดับด้วยลายปูน ปั้นในรูปลักษณ์ต่างๆ อย่างงดงาม มั่นคง อย่างลงตัวทั้งหลัง

อุโบสถทองคำร้อยล้านก่อสร้างเมื่อปี ๒๕๑๐ โดย พระครูสิริพัฒนกิจ (หลวงพ่อขันธ์ กนฺตธโร) อดีตเจ้าวัดพระศรีอารย ์ เป็นผู้ริเริ่ม และได้รับ พระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ การก่อสร้าง อุโบสถครั้งนี้ เพื่อใช้เป็น สถานที่ประกอบพิธีกรรมของภิกษุสงฆ์ อีกทั้ง ยังเป็น กาาแสดงถึงมรดกของไทย ด้านศิลปกรรม และจิตรกรรม

อุโบสถทำจากคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดกว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๔๐ เมตร ประดับด้วยลวดลายรูปปั้น เป็นฝีมือช่างพื้นบ้าน อุโบสถหลังใหม่นี้ไม่มี แบบสำเร็จรูป เป็นการสร้างตามแบบที่หลวงพ่อขันธ์ ต้องการ และที่ สำคัญไม่มีการตอกเสาเข็ม เพราะ ในสมัยนั้น การก่อสร้างในต่างจังหวัด ยังไม่มีการ ตอกเสาเข็ม เพียงแต่นำหินมาถมและเทคานรองรับเพื่อสร้างตัวอุโบสถได้เลย

ช่างผู้รับงานก่อสร้างเป็นคนบ้านพระศรีอารย์ ส่วนแรงงานเป็นการลงแรงของคนในชุมชน และใกล้เคียง การก่อสร้าง?

ส่วนมากทำในเวลาที่ว่างจากงานประจำของชาวบ้าน กระทั่งในปี ๒๕๑๗ เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ชาวบ้านหวั่นวิตกว่า อุโบสถที่อยู่ระหว่าง ก่อสร้างจะพังลงมา เพราะไม่มีเสาเข็ม แต่หลัง จากน้ำลดลงแล้ว ไม่ปรากฏความเสียหายใดๆ

การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงระยะหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อขันธ์มรณภาพ พระครูวิทิตพัฒนโสภณ (สง่า ฐานิสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดพระศรีอารย์ รูปปัจจุบันได้เป็นผู้สานต่องานทั้งหมด

ต่อมา นายประเสริฐ อรชร ได้เข้ามารับช่วงการก่อสร้างต่อ จึงได้ดำเนินการเทคานรอบตัวอาคาร อีกครั้ง เพื่อความมั่นคง

การก่อสร้างในสมัยที่นายประเสริฐเข้ามารับงานนี้ เป็นการตกแต่งเพื่อความสมบูรณ์มากกว่า เพราะโครงสร้างของอาคาร ได้เสร็จก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น งานใหญ่ที่สำคัญคือ การติดลายปูนปั้นต่าง ทั้งภายในและรอบนอกอุโบสถ

ส่วนพระประธานในอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะพม่า สร้างด้วยหยกขาวทั้งองค์ โดยมี หลวงพ่ออุตตมะ (พระราชสังวรอุดม) วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี เป็นประธานในการอัญเชิญ มาประดิษฐานไว้ ณ อุโบสถร้อยล้านหลังนี้ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๖

ภายในติดกระจก ลงรักปิดทองบานประตู หน้าต่าง แกะสลักเรื่อง พุทธประวัติ ฝาผนัง แต่งแต้มด้วย จิตรกรรม เรื่องพระมหาชนก พระเจ้า ๕ พระองค์ พระประธานในอุโบสถ สร้างจากหินหยกขาว ซึ่งหลวงพ่อ อุตตมะ แห่งวัดวังวิเวการาม จ.กาญจนบุรี เมตตาอธิฐานจิต อัญเชิญมา จากประเทศพม่า มาประดิษฐานที่ประเทศไทย ณ อุโบสถวัดพระศรีอารย์

และการก่อสร้างอุโบสถทองคำร้อยล้าน วัดได้รับการถวายประตูอุโบสถจาก นายเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ ประธานบริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นทุกปีนายเกรียงไกรก็จะมาช่วยงาน ที่วัดพระศรีอารย์เป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม ประชาชนที่มาชมอุโบสถทองคำร้อยล้านแห่งนี้แล้ว ยังจะมีโอกาสได้กราบสักการะร่าง ของหลวงพ่อขันธ์ที่ ไม่เน่าเปื่อยอยู่ในโลงแก้วอีกด้วย ผู้สนใจสอบถามเส้นทางไปวัดพระศรีอารย์ หมู่ ๙ ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โทร.๐-๓๒๒๓-๒๕๙๕, ๐-๓๒๒๓-๑๓๕๑, ๐-๑๗๖๓-๗๖๘๘



ใครที่เคยเข้าค่ายมาแล้ว คงจะรู้ดี ว่าเป้นค่ายที่ดีมาก ถึงมากที่สุด ที่ทำให้เราเข้าใจถึงหลักคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์

ขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสดคมชัดลึกครับ





5415
คาถาอาคม / คาถามหาอุด หลวงพ่อปาน
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2551, 05:29:07 »
 :002:  ผมก็ใช้ ครับ   ท่องกลับไป กลับมา อุดปืนดีนักแล ครับ ....  :053:

5416
ผมก็ไมได้ไป ครับ จุกธูปบอก ก็ได้ครับ แต่ทางที่ดี ไปจะดีกว่า ครับ ผม

5417
สวยครับ ยันต์ของหลวงพี่ญาจะเล็กๆ ครับ และสักเร็วมาก ... ผมก็สักกับหลวงพี่ญา ที่หัวไหล่ขวาเหมือนกัน ครับ สุดยอดดี

5418
สวยดี ครับ เยี่ยมไปเลย ครับ ร่วมทำบุญเท่าไหร่ ครับ :)

5419
 ;)  ขอบคุณคร๊าบยอดเยี่ยม จิงๆๆ

5420
 ;) สุดยอดมากมาย ครับ อลังการงานสร้าง จิงๆ ครับ ขอบคุณครับ เข้าตากรรมการครับงี้

5421
 ;) มีของดี ?มาให้ชมอีกแล้ว ครับ พี่น้อง อิอิ

5422
สวยมาก ครับ ผมอยากได้ เม็ดยาจินดามณีมากเลย ครับ อิอิ ;)

5423
 ;) อยู่ที่คน ครับ บางคนอยากเหงแต่ไมได้เหง บางคนไม่อยากเห็น แต่ชอบเห็น ครับ

5555555++ แล้วแต่คน ครับ ..... ดีแล้ว ครับ บูชาดีๆนะครับ ได้คุ้มคองเรา ::)

5424
 ;) สวยดีครับ ....

5425
อีก 1 เหรียญ ที่น่าสนใจมากๆครับ
ข้อมูลจากเวป
http://board.palungjit.com/showthread.php?p=965600

5426
โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

?คนสมัยนี้เป็นทุกข์เพราะความคิด? ธรรมะสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งทำนองเซ็น มักออกจากปากของหลวงปู่ดูลย์อยู่เสมอ โดยนิสัยท่าน ไม่ใช่คนพูดพร่ำเพรื่อแต่เดิม คำสอนแบบเซ็นจึงดูจะถูกใจท่านนัก
สมัยท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ยังทรงสังขารอยู่นั้น มือขวาก็เป็นท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม และมีมือซ้ายชื่อท่านอาจารย์พระมหาปิ่น ปัญญาพโล ทั้งสององค์นี้นับว่าแบ่งเบาภาระในการอบรมหมู่คณะแทนท่านได้มาก แต่ถึงกระนั้นท่านพระอาจารย์มั่นก็ยังมีศิษย์ที่เชี่ยวชาญกัมมัฎฐาน พอจะสั่งสอนหมู่เพื่อนแทนท่านได้อีกองค์หนึ่ง
พระดูลย์ อตุโล คือชื่อของท่านองค์นั้น
คนสนใจก็จะทราบ คนไม่สนใจก็จะไม่ทราบเลยว่า หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก จ.สุรินทร์ และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดถ้ำข้าม จ.สกลนคร ผู้ลือนาม แท้จริงต่างก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่ดูลย์มาก่อนทั้งนั้น เมื่อฝึกฝนพื้นฐานจนชัดเจนลงตัว หลวงปู่ดูลย์จึงส่งไปถวายตัวกับทานพระอาจารย์มั่น เพื่ออบรมขั้นสูงต่อไป
นอกจากนั้นก็ยังมี หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน วัดวชิราลงกรณ์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ผู้ทรงอภิญญาเป็นอัศจรรย์ กับ พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ ฆราวาสผู้เคร่งธรรม อีกสองท่านที่เป็นศิษย์ของหลวงป่ดูลย์เช่นกัน ท่านเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของวงศ์กัมมัฎฐานจริงๆ
วัตถุมงคลที่ออกในสมัยหลวงปู่ดูลย์ยังมีชีวิตอยู่นั้น ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งที่ท่านก็ปรารภอยู่เสมอว่าไม่ใช่นิสัยท่านเลย ก็ความเมตตาเต็มออกหรอกที่ทำให้ท่านต้องทำ
เมื่อมีคนถามท่านว่า ?พระรุ่นไหนของหลวงปู่ที่ดังที่สุด?
ท่านตอบทันทีว่า ?ไม่มีดัง?
ผมคิดแง่ดีไปว่า ถ้าถูกส่องด้วยลูกโม่ หรือแม็กนั่มจุมีจุดเท่าไรก็ตาม
คง ?ไม่ดัง?
สมัยผมเรียนอยู่โรงเรียนประจำจังหวัดชลบุรี ผมรู้จักกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษท่านหนึ่ง คุยกันไปคุยกันมาก็มาลงที่เรื่องพระ เมื่อผมขอดูสร้อย ก็เป็นพระปรกใบมะขามเนื้อทองคำ องค์น่ารักองค์หนึ่ง ด้านหลังมีตัวขอมว่า ?พุทโธ? แขวนรวมอยู่กับลูกอมชานหมากหนึ่งลูก
อาจารย์ท่านว่า พระปรกนั้นเป็นของหลวงปู่ดูลย์ แต่ลูกอมนั้นเป็นของหลวงปู่สาม
?อื้อฮือ! ทำไมได้ของดีขนาดนี้ละครับ? ผมถาม
ท่านตอบว่า ?เพราะพ่อครูสร้างเอง และท่านทั้งสององค์ก็มาบ้านบ่อยๆ? ผมก็ตาโตไปเท่านั้น
นั่นเป็นเหตุให้ผมได้ไปนั่งตรงหน้าคุณพ่อของอาจารย์ เพื่อจะถามถึงกระบวนการสร้างพระปรกใบมะขาม แต่กลับได้ของแถมคือ เรื่องเหรียญ 8 รอบ เพราะ ?ป๊า? เป็นคนสร้างอีกเหมือนกัน





?ป๊า? เล่าว่า สนิทกับหลวงปู่ดูลย์มากเคารพท่านที่สุด เมื่อป๊าเห็นว่าหลวงปู่จะมีอายุครบ 8 รอบ ในปี พ.ศ. 2526 จึงของอนุญาตสร้างเหรียญกับเขาบ้าง ซึ่งหลวงปู่ก็อนุญาตให้ทำ
ป๊าจึงกลับมาติดต่อกับช่างมือ 1 ของไทยคือ นายช่างเกษม มงคลเจริญ ถึงราคาจะสูงแต่ก็ยอม เพราะเป็นผลงานเหรียญรูปเหมือนครั้งแรกที่ป๊าทำเลยอยากให้งานออกมาดีที่สุด
เมื่อช่างเกษมออกแบบเหรียญหลวงปู่ดูลย์เสร็จ ก็โทรตามป๊าให้ไปดูว่าเป็นไปตามความต้องการหรือยัง ป๊าเห็นแบบแล้วก็ตกลง ช่างเกษมจึงแกะบล็อกทันที ครั้นบล็อกเสร็จ ป๊าก็ไปดูอีก และบอกให้ช่างเกษมทดลองปั๊มเหรียญตัวอย่างออกมาดู ปกติการปั๊มเหรียญตัวอย่างเขาก็จะใช้ตะกั่วเป็นตัวลองพิมพ์ เพราะราคาถูก และเนื้อนิ่ม ย่อมจะติดรายละเอียดในพิมพ์ได้คมชัดที่สุด




เหรียญ 8 รอบ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (ด้านหลัง)

แต่ป๊ากลับให้ช่างเกษมลองพิมพ์ด้วย ?ทองคำ? เพราะทองก็นิ่มเหมือนกัน เมื่อเหรียญตัวอย่างมาแล้ว ป๊าก็รีบเดินทางขึ้นวัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ เพื่อเอาเหรียญไปถวายให้หลวงปู่ได้พิจารณา
ในกุฎิหลวงปู่ ป่าเอาเหรียญในกล่องถวายให้หลวงปู่ดู ท่านเอื้อมมือมาหยิบเหรียญทองคำตัวอย่างโดยลักษณะการเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือขวาคีบเหรียญด้านบนและด้านล่างขึ้นมาดู ท่านมองอยู่ไม่กี่กะพริบตาก็ส่งคืน ป๊าเรียนถามท่านว่า
?มีอะไรต้องแก้ไขไหมครับหลวงปู่?
ท่านตอบเนิบๆ
?ไม่ต้องแก้ไขอะไรแล้ว ทำมาเลย?
ป๊าก็เลยเดินทางกับมายังโรงงานของนานช่างเกษม พลางนำเหรียญ 8 รอบตัวอย่างซึ่งหลวงปู่ดูแล้วให้ช่างเกษมทำการยุบใหม่ เพราะเหรียญตัวอย่างนั้นหนาเกินไป หากว่าปั๊มเหรียญทองคำตัวจริงออกมาด้วยความหนาเท่านั้นจะเปลืองมาก
ช่างเกษมเอาเหรียญทองคำใส่เบ้าหลอมรวมกับทองคำอื่นๆ และแล้วเหตุอัศจรรย์ก็พลันเกิด... เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงก็แล้ว 2 ชั่วโมงก็แล้ว เหรียญหลวงปู่ดูลย์เหรียญนั้นยังไม่ยอมละลาย ไม่...แม้แต่จะบิดงอด้วยความร้อนอันสูงลิบ ในขณะที่ทองอื่นกลายเป็นน้ำไปหมดแล้ว
ทั้งป๊า ทั้งช่างต่างตะลึงงันดูปรากฏการณ์พิศวงนี้อยู่จนขึ้นชั่วโมงที่ 3 ป๊าจึงตัดสินใจขอธูปช่างมา 3 ดอก จัดแจงจุดแล้วหันไปยังทิศที่ตั้งของวัดบูรพาราม เอ่ยปากขอขมาว่า ที่ต้องหลอมเหรียญหลวงปู่ในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะจะอวดดีฝืนคำหลวงปู่ที่ว่า ?ไม่ต้องแก้ไข? แต่อย่างใด แต่มันเป็นความจำเป็นเพราะเหรียญหนาเกินไป ค่าใช้จ่ายจะสูงมาก ขอหลวงปู่โปรดเมตตา พอปักธูปแล้ว ป๊าก็ไปดูที่เบ้าหลอม ไม่เล่าก็เดาถูกนะว่า...
เหรียญละลายไปในพริบตา
มันน่าอัศจรรย์ใจไหมล่ะ หลวงปู่ยังไม่ได้เสกได้เป่าอะไรเลย เพียงหยิบขึ้นมาพิจารณาแล้วบอกว่า ?ไม่ต้องแก้ไข? มันก็เป็นประกาศิตขนาดหลอมไม่ละลาย แล้วถ้าท่านตั้งใจแผ่เมตตาอธิษฐานจิตให้เล่า จะสักแค่ไหน !!
ผมเลยไล่เก็บเหรียญนี้สนุกไป เพราะในเมืองชลมีเหรียญ 8 รอบ เพ่นพ่านให้พบบ่อยๆ เนื่องจาก ?คลัง? อยู่ไม่ไกล แค่ร้านข้าวเป็ดท่าเกวียนเท่านั้นเอง
ป๊าสร้าง เหรียญทองคำทั้งหมด 31 เหรียญ, เหรียญเงินลงยา 14 เหรียญ,เหรียญเงินบริสุทธิ์ 2,000 เหรียญ และเนื้อทองแดง 20,000 เหรียญ
ประสบการณ์ของเหรียญนี้มีอยู่ไม่น้อย ผมไม่เล่าไม่บอกหรอกนะ ลองหาแขวนดูเองเถิด เผื่อจะมีประสบการณ์เอง แล้วจะได้มาเล่าให้ผมฟัง ใครที่อยากได้ มาเที่ยวเมืองชลสิครับ มองหาในสนามพระตัวเมืองชลก็คงจะพบหรอก
ขออวยพรให้คนมีศรัทธาครับ...

5427
ชาละวันกุมภีจระเข้แสนดีอยู่ในถ้ำธารา? ;D

55555+++ เพลงเพราะเนอะครับ 

จรเข้สวยดี ครับ ....... เยี่ยมเลย  หน้าจะสักสีข้างนะครับ อิอิ

5428
 ;) มะเปงไรครับ

5429
 ;) ขบอคุณท่านโจ้มาก ครับ แต่ผมจะไปหาจากไหนอะครับ นั่น 555+ ไงก็ขอบคุณครับ

5430
เชิญท่านใดที่ทีใจศรัทธาหลวงปู่ แผ้ว ปวโร ไหวครู้ วันที่15พ.ค. เวลา 09.09 น. ณ
วัดประชาราษฎร์บำรุง (วัดรางหมัน) ต.รางพิกุล อ.กำแพงแสน จ.นครปฐมครับ
โยนิมนพระ 108 รูปมาร่วมพิธี และแจกวัตถุมงคล และร่วมทำบุญ ด้วย ครับ

5431
ของดีดี แต่ใจไม่ศรัทธา ยิงกี่นัดฟันกี่ทีก็เข้า ครับ? :058:

จริงอย่างที่พี่โจรสลัดพูดนะครับ .... อยู่ที่ความศรัทธา ครับ (อยากให้แน่นอน หาตะกรุดอกใหญ่ๆ คาดสพายบ่าสิครับ 555แน่นอน)

5432
สมัยก่อน ดอกละ 150 เอง ครับ หอมเชียง 100 พล้อมใส่หลอดแล้ว มีแบบสามห่วงด้วยนะครับ 150 เอง ครับ
แต่ตอนนี้ ของขึ้น ครับ อะไร ก็แพง ขนาด ของยังแพงขึ้นอะครับ ต้อง ทำใจ ครับ 

5433
 ;) ดีครับ ข้อมูลดีครับ ขอบคุณมาก ครับ  ;)

5434
สวยดี ครับ แต่คนละแบบ กับของวัดบางพระ ครับ แต่ผมก็ว่าดีนะครับ อิอิ :)

5435
มีด้วยหรือนี่ คงหมั่นไส้กันมั๊งครับ อย่าไปคิดมาก (ถ้ามาถีบหลังเราค่อยมาคิดจะดีฝ่าครับ) ;D ;D ;D

พี่สิบทัศพูดถูก ครับ ... บางคนก้ขึ้นจริง บางคนก็ไม่จริง ครับ ลองพิจณากันเอง ละครับ
ศิษเดียวกัน ไม่ควรหาเรื่องกัน ครับ ไม่ดี ครับ เฉกเช่น  กินข้าวหม้อเดียวกันยังจะกัดกันอีกแบบนี้อะครับ 5555555555 ;D

5437
อ่อ ...ส่วนใหญ่ ตะกรุดเป็นเครื่องราง ที่มีพุทธคุณทาง อยู่ยงคงกระพัน และ แคล้วคลาด ครับ สังเกตุจาก เสือใน สมัยก่อน ไม่ว่าจะ เสือฝ้าย เสือมเห เสือดำ ล้วนแต่ มีตะกรุด และ ลายสัก
เสือ ส่วนใหญ่ เค้าจะไม่ค่อยใส่พระเครื่อง เนื่องจาก เวลาพวกเค้าไปปล้น หรือ ทำอะไร พระจะไม่คุ้มครอง เลยต้องใช้เครื่องรางครับ เพราะ เครื่องรางจะออกไปทาง ไสยศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ .... ตะกรุดนี้ ชื่อก็บอกว่า สิงห์เหนือเสือใต้ ดุๆอย่างนี้ เป็นคงกระพันครับ? :075: :075: :075: :075:


เอ ๆ แล้ว เวลา พระเกจิ เวลาท่านจารย์ตะกรุด ยันต์ ที่ตะกรุด นั้น ไม่ได้เกี่ยวกับ พระตรงไหน เอ่ย
ยันต์ ส่วนใหญ่ คือเอาอักขระ หรือ? คำย่อ ของ พระรัตนตรัย หรือพระเจ้าทุกๆพระองค์
เป็นส่วนใหญ่นะครับ? เช่น มะอะอุ อิสวาสุ พุทธสังมิ และ นะโมพุทธายะ หรือพระเจ้า 16 10 26 และต่างๆ
ซุ่ง ดูๆ แล้วก็เกี่ยวกับพระ? ทั้งนั้นอะครับ นอกเสียจากจะลงหัวใจ สัตว์ หรือเทพต่างๆ
หรือธาตุก็ดี .........
คงไม่มีใครเอา ของ เกี่ยวกับผี ที่พวกเล่นของดำ มาใช้สร้างหลอกนะครับ เพราะ พระท่านเป็นผู้สร้าง

อีกอย่างเสือ ใบ แขวนพระ ครับ ........ ลองไปศึกษาประวัติดูดีๆสิครับ? (แขวนหลายองค์ด้วย)

อีกอย่าง ...คุณไสย์? หรือ ของมนดำต่างๆ ... ล้วน แต่ เป็นการ บูชา ผี วิญญาณ ผีตายโหง ที่มีจิตแรงกล้า
หรืออาจจะเป็นเทวดา ที่อยู่บนพื้นโลก ซึ่งเทวดา ก็มีทั้งดีแล้ว ไม่ดี

เทวดามีหลายขั้นหลายประเภท ลองไปศึกษา ครับ เช่นรุกขเทวดา? หรือเทวดา ตามป่า


ส่วนคาถา นั้น เกี่ยวกับพุทธคุณชัว ครับ ไม่ใช่ไสยเวทแต่อย่างใด


ปล. ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย ครับ

?

5438
อะครับ ใจเย็นๆ? เมืองไทยเรามีกดหมายนะครับ ใจเย็นๆ ครับ สู้ๆต่อไปนะครับ

ใครไปทำเขาใว้ สัก วัน ก็ต้องโดน กลับ ........ จำใว้นะครับ

คิดจะไปทำร้ายเขา สักวันเขาก็มาทำร้ายเรา เวรกรรมมันมีจริงนะครับ (ผมโดนมาแล้ว)

ส่วนตัวผม มากับใจไปกับใจ ครับ สิ่งศักสิทธิ์ คุ้มคลองเราได้จิง ครับ แต่ ควรพึ่งตัวเองบ้าง ถึงจาดี ครับ ผม
(ช่วยตัวเองก็คือ การไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุคคลประเภทนี้ ใครมาหาเรื่อง ก็อดทนใว้ครับ อย่าไปยุ่ง แต่ถ้ามันมาทำเราเป็นผมก็ไม่ยอม ครับ 555)


 :004:

5439
ผมมีโครงการจะไป วัดเขียนเขต  จ.ปทุม ครับ แถวนั้น มีไรน่าสนมั่ง ครับ ช่วย
แนะนำหน่อย ครับขบอคุณครับ

5441
 ;)  ขอบคุณ ครับ เยี่ยมเลย

5442
ถึงตัวผมไป ไม่ได้แต่ใจ ผมก็ขอไปอยุ่ที่ นั่น ด้วยความเคารพและ บูชา ด้วย ครับ :)

5443
โชคดีนะครับพี่ โจรสลัด? คนเราไม่มีใครทำอะไรถูกไปหมด หรือ ผิดไปซะหมดหลอกครับ
คนเราต้องมีทั้งผิดและ ถูก เพราะของแบบนี้ เป็นของ คู่กัน ครับ
บางที เราทำไรผิด โดยมิได้ตั้งใจก็มิเปงไร ครับ ............ ถือว่าคนไทยให้อภัยกันได้ครับ :) :025:

ส่วนตัวผมเองก็มีอะไรผิดพลาด เหมือนกัน ครับ ก็ขอให้ผู้รู้ ช่วยชี้แจง ด้วย ครับ

5444
บทธรรมจักร เป็นบทแรกที่พระพุทธเจ้าท่านทรง ตรัสแก่พระอานนท์ ครับ
เป็นบทอันศักสิทธิ์มาก ครับ
ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย


ด้วยความเคารพครับ
? ??
? ปัญจวัคคีย์? ครับ
เป็นนักบวช ห้าท่านที่ติดตามพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้
? ?




โทษทีครับ จำผิดครับ ขอบคุณครับ

5445
บทธรรมจักร เป็นบทแรกที่พระพุทธเจ้าท่านทรง ตรัสแก่พระอานนท์ ครับ
เป็นบทอันศักสิทธิ์มาก ครับ
ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย

5446
ขอบคุณครับ ที่นำความรู้มา ให้ ครับ
 ;) ยอดเยี่ยมจริงๆ ....

5447
จริงๆ แล้วอาจจะมี ก็ได้ใน ป่า ลึก ส่วนที่ เห็นๆ กันอยุ่ทุกวัน ก็น่าจะพระเกจิสร้าง
หรือไม่ก็คนสร้าง เพื่อหาผลประโยชน์ เข้าตัวเอง
เหมือน ดั่งเช่นช้างน้ำที่ดังๆ พอพิสูจ แล้ว ว่าไม่ใช่ก็เงียบไป
....โชคดีครับ...

5448
รับทราบ ครับ ขอบคุณครับ

5449
ที่จริงแล้วทั้ง 2 บทเป็นเพียงคาถาที่ไว้ใช้ บูชา หลวงปู่ มากกว่าคราบ.....ยังไม่ถึงกับว่าจะเป็นคาถาที่ใช้สำหรับปลุก? ของ ซะที่เดียวคราบ....แต่ก็ถือว่าเป็น คาถา ที่ดีมีไว้สวดบูชา...หลวงปู่? คราบ คาถาบทนี้ รองไปอ่านดูได้ที่......แท่นฐานรูป หลวงปู่ ที่ทางเข้า วัดบางพระ คราบ.....ถูกต้องที่สุด ไม่มีผิดพลาด.....



ผมก็ว่างั้น ครับ? ;) (แล้วทำไมต้องปลุกให้ขึ้นด้วยหละครับ เหอๆ ไม่เข้าจาย ของแบบนี้อยู่ที่ใจมากกว่า ครับ )

5450
เยี่ยมครับ สุดยอดเลย หากภาวนาทุกวัน  ดีแน่นอน ครับ  แต่ถ้าให้ดี ควรสวด อิติปิโส กับพาหุง จะสุดยอดมาก ครับ
ขอบคุณพี่เวปมาส มากครับ 

5451
เวปธรรมมะ ครับ

http://www.luangpor.com/  เวป ธรรมมะ  ของหลวงพ่อ ฤาษีลิงดำครับ ......แนะนำครับ  :015:

http://www.fungdham.com/song.html


5452
พระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช

อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก

ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ

พ.ศ. ๒๔๘๑ เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียนบาลี ต่อมา สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคาราม หลังจากนั้นได้เป็นรองเจ้าคณะ ๔ วัดประยูรวงศาวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค และย้ายไปอยู่อีกหลายวัด

พ.ศ. ๒๕๑๑ จึงมาอยู่วัดท่าซุง บูรณะซ่อมสร้างและขยายวัดท่าซุง จากเดิมมีพื้นที่ ๖ ไร่เศษ จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ ๒๘๙ ไร่

พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ "พระสุธรรมยานเถร"

พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"

มรณภาพ
ตุลาคม ๒๕๓๕ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น.

ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ

ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล , สร้างโรงเรียน , จัดตั้งธนาคารข้าว , ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่างๆ เพื่อปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร , ยา , อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ

ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติกาย , วาจา , ใจ , ในทาน , ในศีลและในกรรมฐาน ๑๐ ทัศ และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนกว่า ๑๕ เรื่อง และบันทึกเทปคำสอนกว่า ๑,๐๐๐ เรื่อง นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรม เทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุกๆ ปี

ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า ๓๐ วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า ๖๐๐ ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก , หนังสือมูลกัจจายน์ และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ไตร

ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ งานของศูนย์ฯ รวมทั้งการแจกเสื้อผ้า , อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน , การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ , การส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย , การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน , การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่างๆ ฯลฯ

นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับ เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง


ข้อมูล : เว็บศิษย์หลวงพ่อ http://www.sitluangpor.com/

5453
 :) ครับ ของแบบนี้ไม่แน่ ครับ อยู่ที่ใจครับ

5454
 ;) ขอให้โชคดีครับ

5455
 :) หากท่านจะเรียนรู้คาถา ต่างๆ ควรเข้าใจ ความหมายคาถานั้นๆ ก่อน?
แล้วเค่ยนำมาใช้ .... จึงจะดี ครับ


...ปล. วันนี้ท่านท่องคาถา แล้ว ท่านรู้หรือยัง ว่าคาถาที่ท่านท่องนั้นแปลว่าอะไร มีความหมายอย่างไร

สวัดดีครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุข

5456
 :) พระไตรปิฎก? หรือคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์ ที่เป็นคำสั่งสอนของท่าน ก็มีการถูกเปลี่ยนแปลงบางเรื่อง
บางเล่ม อาจไม่เหมือนกัน ... บางทีมีการเติม หรือแปล ความหมายเป็นอื่น? ซึ่งบางทีไม่ตรงกับคำสั่งสอน
อยากรู้จริงเห็นธรรมจริง? ท่านต้องอ่านและรู้ และใช้พิจณาให้ถูกต้องด้วย กับหลักความเป็นจริง
พระพุทธองค์ ทรง สอนให้เราเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่สร้างเวร สร้างกรรม
ไม่ยึดติดวุตถุสิ่งของ? ไม่ทำจิตใจให้เป็นทุกข์กับสิ่งที่เกิด?

หากสนใจ? อยากรู้ธรรมมะ ลองไปอ่านหรือ หาข้อมูลเกี่ยวกับพระพุทธประวัติ ท่านจะได้รู้ และศรัทธาในพุทธองค์

เฉกเช่น? การแบ่งแยกนิกาย ของศาสนาพุทธ พระองค์ไม่ได้ทรงบอก ให้แบ่งแยก กัน?
ปัจจุบัน นิกาย ใหญ่ๆ ของไทยเรา มี 2 นิกาย
ซึ่งจริงๆแล้วพุทธองค์ไมได้ทรงสั่งสอน ให้แบ่งแยก? ?
แต่ให้ ปติบัติธรรม ที่พระองค์สอน เพื่อเป็นแนวทาง ในการหลุดพ้นทุกข์ทั้งปวง

ผมมีเวปธรรมะ ดีๆ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ลองฟังท่านเทศดูนะครับ
(ส่วนตัวผมรุ้สึกดีมากๆครับ )

ได้ที่เวป? http://www.luangpor.com/? ?

ข้าพเจ้าขอนับถือ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตลอดทุกชาติเทอญ

5457
เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก เคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของ "ตะกรุด" ที่คนเก่าๆ บางท่านก็ออกเสียงเป็น "กะตรุด" ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องราวด้านคงกระพันชาตรี เรียกว่าตีรันฟันแทงไม่เข้า อะไรประมาณนั้น

อันที่จริงแล้ว "ตะกรุด" เป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ผูกพันกับคติความเชื่อในสังคมไทยมาช้านาน โดยเฉพาะในการรบทัพจับศึกเข้าสู่สนามรณรงค์สงคราม ตะกรุดจะติดตัวติดตามแบบไปไหนด้วยช่วยกันรบ

?ตะกรุด? ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความนิยมประเภทเครื่องรางของพระเกจิอาจารย์ แต่ละยุคสมัยคงไว้ซึ่งความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ดีในทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ป้องกันภยันตรายภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งด้านเมตตามหานิยม ค้าขาย โชคลาภ

"ตะกรุด" ในความเข้าใจทั่วไปมักจะหมายถึงการนำโลหะแผ่นบางๆ อาจจะเป็น ทองคำ เงิน นาก ตะกั่ว หรือโลหะธาตุผสมอื่นๆ มาลงอักขระเลขยันต์โดยโบราณาจารย์ซึ่งจะใช้เหล็กจารเขียนพระคาถาผูกขึ้นเป็นมงคล ก่อนที่จะม้วนให้เป็นแท่งกลม โดยมีช่องว่างตรงแกนกลาง สำหรับร้อยเชือกติดตัวไปไหนต่อไหน

บางครั้งจะพบตะกรุดที่ทำจาก ใบลาน ตัดเป็นแผ่นก่อนแช่น้ำแล้วนำมาม้วนเป็นทรงกลม

บางคณาจารย์ก็มีตำรับลับเฉพาะ เช่น อาจจะถักด้วยเชือก หญ้า หรือด้ายมงคล แล้วนำไปจุ่มหรือชุบรัก แต่จะทำกรรมวิธีใดก็ตาม ประเด็นหรือประโยชน์ใช้สอยของตะกรุดโบราณในระยะแรกๆ อยู่ที่จะต้องร้อยเชือกหรือผูกได้ทั้งสองด้าน

หากเป็นดอกเดียว เราเรียกว่า "ตะกรุดโทน" หากเป็นสองดอกจะเป็น "ตะกรุดแฝด" หรือเป็นโลหะ ๓ ชนิด ที่เรียกว่า "สามกษัตริย์"

แล้ววิธีใช้ตะกรุดน่ะ ทำยังไงล่ะครับ

อย่างแรกเลยใช้เชือกหนังร้อยรูตรงกลางแล้วห้อยคอ อีกอย่างก็ใช้คาดสะเอว โดยดอกตะกรุดจะขนานกันไปในแนวนอน ไม่เกะไม่กะ แต่ไม่ใช่ร้อยรูตรงโคนแล้วห้อยด่อกแด่กอย่างห้อยปลัดขิก

นอกจากนี้บางสำนักยังสร้างตะกรุดจากวัสดุอื่นอีก อาทิ ไม้ไผ่ ซึ่งมีทั้ง ไผ่ตัน และ ไผ่รวก เช่น ตะกรุดของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม ตะกรุดของหลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู จ.ลพบุรี

บางสำนักก็นำ "ชันโรงใต้ดิน" มาอุดด้านที่กลวง กลายเป็นเครื่องรางของขลังอันศักดิ์สิทธิ์

บางครั้งยังพบว่ามีการทำตะกรุดจาก หนังสัตว์ เช่น หนังเสือ หนังเก้ง อีกด้วย

จะเห็นว่าบรรดาวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังอันเกิดจากฝีมือคนโบราณในอดีตนั้น ล้วนแล้วแต่มีความหมายและแฝง "นัย" ของภูมิปัญญาผู้คนในอดีตทั้งสิ้น

ตะกรุดก็เช่นเดียวกัน เรามักพบหลักฐานเกี่ยวกับการ "ใช้" ตะกรุดและเครื่องรางในงานวรรณคดีไทยหลายต่อหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน ที่จะครบเครื่องเรื่องของขลังชนิดเต็มสูบ มีพระเครื่อง พระภควัมบดี วัตถุมงคล และวัตถุอาถรรพณ์ต่างๆ อาทิ ดาบฟ้าฟื้น กุมารทอง ผ้าประเจียด เสื้อยันต์ ลูกสะกด หอกสัตตโลหะ ตะกรุด เรียกว่าจาระไนกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วล้วนแสดงให้เห็นถึง ความเชื่อ และ ภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษไทยแต่โบราณทั้งสิ้น

แล้วมันเป็นความเชื่ออีท่าไหน และแสดงภูมิปัญญาไทยยังไงกันล่ะ กับสิ่งที่เราๆ ท่านๆ เรียกกันว่า "ตะกรุด" เนี่ย มาว่ากัน เรื่องความเชื่อ ก่อน เวลาคนจะไปรบทัพจับศึก ถ้าหากได้พกพาวัตถุที่เราเชื่อว่าเป็นมงคล ในอันที่จะป้องกันอันตรายได้ มันก็ทำให้ใจเราเนี่ยฮึกเหิม ไอ้จะไปนั่งแอบๆ ซ่อนๆ อยู่กลางช้างศึกม้าศึกพวกประดาศัตรูทั้งหลายมันคงจะยอมหรอก เวลาจะออกรบรู้สึกเหมือนกับจะต้องไปตายแน่ๆ ขอโทษครับ...ท่าทางมันจะรอดกลับมายาก

ดังนั้นวัตถุมงคลเช่น "ตะกรุด" ที่ได้รับการจารพระคาถาบนโลหะอันวิเศษ และผ่านพิธีการปลุกเสกก็จะเป็นที่พึ่งทางใจอย่างสำคัญมากถึงมากที่สุด

แล้วคนที่มันมีกำลังใจเนี่ย ทำอะไรมันก็มักจะสำเร็จ เรียกว่า กำลังใจดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

เรื่อง ตะกรุด กับ ภูมิปัญญาไทย น่ะ ผมมาเข้าใจแจ่มแจ้งแทงตลอดเมื่อเห็น พระบรมราชานุสาวรีย์ ของ องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ประทับนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ใน มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก นี่เอง

เหตุผลก็เพราะที่พระรูปขององค์สมเด็จฯ ท่านคล้องไว้ด้วยตะกรุดดอกโตๆ เรียงเป็นแนวยาวพาดพระอังสะ ในลักษณาการเฉียงลงถึงบั้นพระองค์ พูดง่ายๆ ก็คือ มีสายตะกรุด ๑๖ ดอก คล้องเป็นแนวยาวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โบราณเรียกกันว่า "ตะกรุดโสฬส"

พระองค์ท่านไม่ได้คล้องเส้นเดียวนะครับ พระองค์ท่านสะพายตั้ง ๒ เส้น แล้วตะกรุดโบราณน่ะครับท่านผู้อ่าน ไม่ใช่ตะกรุดดอกเล็กดอกน้อย เรียกว่าเป็นโคตรตะกรุดมากกว่า แต่ละอันใหญ่โตมโหฬาร และที่เชื่อได้แน่ๆ ก็คือตะกรุดที่ยาวใหญ่และหนามาร้อยเรียงกันแขวนออกรบ ไม่ว่าจะคล้องคอ หรือคาดเอว ก็คงไม่ต่างอะไรกับเกราะที่จะคอยป้องกันอาวุธมีคม ประเภทดาบ ง้าว มีด หรืออะไรต่อมิอะไร หากฟันมาโดนตะกรุดพอดี ผลก็คือฟันยังไงก็ไม่เข้าครับ เห็นไหมเล่าครับ ความสำคัญของตะกรุดผลิตผลของภูมิปัญญาไทย

บรรดาเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษนิยมสร้าง "ตะกรุด" เพื่อป้องกันอันตราย และ "ตะกรุด" ก็มีพัฒนาการเรื่อยมาจากดอกใหญ่หนาสำหรับการออกศึกสงคราม ก็ค่อยๆ ลดขนาดลง หรือใช้วัสดุประเภทไม้สร้าง บางทีก็จัดทำเป็นดอกเล็กๆ ในลักษณะเครื่องรางติดตัวหรือสามารถตอกฝังเข้าไปในร่างกายได้

ตะกรุดของเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงก็มีตัวอย่าง เช่น ตะกรุดนเรศวรปราบหงสา ของ หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ จ.สมุทรสงคราม ตะกรุดหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท และ ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง กรุงเทพฯ เป็นต้น

นี่แหละครับ ความสำคัญของตะกรุดที่มีมาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน

นำมาจากเวป http://www.komchadluek.net/column/pra/2006/03/13/01.php

5458
มีบทความ มานำเสนอ ครับ 555+

มีความรัก ไม่มีเธอ ก็ไร้ค่า
มีธรรมมะ แต่ไม่ปฏิบัต ก็ไร้ผล
มีความสามรถ ไม่ขยันก็อับจน
เกิดเป็นคนไม่ทำความดี ก็ไม่ได้ดีเอย ...

55555555++++++++++? ;D

5459
 :)  ห้ามนำ ตะกรุด ไปใช้ในทางที่ผิดครับ เช่น กินเข้าไป คร๊าบ อันตรายคร๊าบ
55555 (ล้อเล่ง คร๊าบ ขำๆ คร๊าบ ) ;D

5460
 ;D ลองไป ถามท่าน สิคร๊าบ ทำไม ถึงมาอยุ่นี่คร๊าบ ถามไม่ดีระวังมีไรลอยตามหลังมานะคร๊าบ 5555 ++

5461
 ;) ดีคร๊าบ อิ่มบุญอิ่มกุศลคร๊าบได้ของดีกันไปคร๊าบ...โชคดีคร๊าบ
อย่าลืมไปไหว้พระร่วง .... ที่องค์พระปฐม นะคร๊าบบ ขอบคุณคร๊าบ

5462
ขอบคุณครับ

5463
 ;) ขอบคุณสำหรับข้อมูล ครับ เยี่ยมเหมือนเคยเลย ครับ

5465
 ;) ลองไปกราบหลวงพ่อ และ ลองถามท่านดูสิครับ? ?? ?;D? ?55555555+
เผื่อจะได้รู้ว่าใช้ไง? 555+

5466
บทความ นี้แสดงถึง หลวงปู่แผ้วอยู่ไหน ครับ ใครที่อยากไปกราบ ลองอ่านบทความนี้ครับ

วันนี้ ได้ขับรถเพื่อจะไปกราบหลวงปู่ เพราะว่าเป็นวันงานที่วัดพอดี ก็ให้เพื่อนติดรถไปด้วยสองคน ก็ไปที่วัด บรรยากาศวันนี้ดูเงียบเหงา เนื่องจากอาจจะเป็นวันศุกร์ ก็เลยเดินไปที่ส่วนเช่าบูชาพระ ร่วมทำบุญมา1องค์ คราวนี้หลวงปู่ท่านก็ไม่ได้อยู่ที่วัดกำแพงแสนอีก ฮือๆ แต่จากการสอบถามหลวงพ่อในกุฎิท่านบอกว่าหลวงปู่ไปจำวันที่วัด...หมัน ห่างจากนี้ไป ประมาณ 4 โล แต่ก็ได้ยินบางท่านว่า ไปตอนนี้ก็อาจจะไม่ได้พบ แต่เราก็รีบตัดสินใจขับไป เพราะคิดว่ายังไงวันนี้ต้องไปกราบหลวงปู่ให้ได้ ก็ไปถึงวัดนั้น หลวงปู่ท่านจำวัดอยู่ ฮ่าๆ ก็เลยได้สวดมนต์108จบ พร้อมกับสัพเพถวายหลวงปู่ และได้ต่อบุญโดยการร่วมสร้างพระอุโบสถ และไปจับจอบผสมปูน คือเขากำลังสร้างซุ้มวัดอยู่ จึงได้บุญหลายต่อเลย อิอิ รอหลวงปู่ประมาณ ถึง 3 โมงท่านก็ออกมาจากกุฎิด้านใน จึงได้กราบหลวงปู่สมใจแล้ว ท่านรดน้ำมนต์ให้ด้วย เย็นฉ่ำ ได้ดูที่เหรียญที่ท่านสร้างด้านหลังเป็นรูปพระพรหมด้วย ฮ่าๆ จึงเข้าใจว่าทำไมต้องมากราบท่าน อิอิ จบข่าว
ถ้าใครอยากจะไปกราบหลวงปู่ ให้ไปที่วัดนี้ได้นะ ให้เริ่มจากที่วัดกำแพงแสนนะ หันหน้าออกจากประตูวัดแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอสะพาน ให้ไปทางซ้ายอีกประมาณ 4 กิโล ก็จะเจอวัด...หมัน พอดีผมจะชื่อวัดไม่ค่อยได้ อิอิ

ข้อความนี้นำมาจากเวป http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?p=65299

5468
ชอบเสือ ครับ สวยดี ครับ...แต่ท่าจะให้ดี อยู่ที่หน้าอก จะสวยกว่านะครับ? ;)

หลวงพี่แป้วท่านก็เป็นอีก 1 ในวัดบางพระที่เก่ง สุดยอดเหมือนกันครับ
สมัยก่อนผมไปวัด ใครจะสักกับท่าน ต้องไปกวาดลานวัดก่อนครับ
ดีครับ เยี่ยม เลย ได้ทั้งของดี ได้ทั้งบุญกุศล

5469
เท่าที่ทราบ โดนยิงตาย ตอน ของอยู่ที่ตัวด้วยนะครับ ดวงชะตาถึงคลาดแล้ว
เคยออกรายการ ทาง ช่องนึง พาไปพิสูจ เกี่ยวกับตี๋ใหญ่
รู้สึกคนที่ยิง จาเปงเพื่อน...ของตี๋ใหญ่ แล้วหักหลังตี๋ใหญ่
เพราะตำรวจ บอกว่า หากฆ่าตี๋ใหญ่ได้ ..จลดโทษให้ทั้งหมด


5470
ขอร่วมใว้อาลัย และแสดงความเคารพ ครับ

5471
 ;) ของแบบนี้อยู่ที่ใจกับตัวเรา ครับ ... แม้จะแขวนพระ ที่ไม่ผ่านการปลุกเสกใดๆ แต่พระก็คือพระ ครับ คุ้มคลองคนดีอยุ่แล้ว

แขวนที่การศรัทธา ครับ ?มิใช่ องค์นู้นเมตตา องค์นี้เหนียว องค์นี้มหาอุต ถ้าจะเอาให้ครบ ก็แขวนซะทุกองค์เลยสิครับ

หนักคอแย่เลย 55555++ ?แขวนองค์เดียวก็พอ ครับ ศรัทธาองคืไหน ก็แขวนองค์นั้น
หรือชอบ แขวนหลายๆ องค์ ก็แล้วแต่ ท่าน ครับ

แต่ผมจะบอกว่าคนไม่ดี แขวนพระ แท้ๆ ดีๆ ยังตายกันมาเยอะครับ ถ้าคนเรามันจะตาย 555++

เคยได้ยินเสี่ยดัง แคล้วธนะกุล ปะครับ แขวนพระ ดีๆเต็มคอเลย แต่เปงคนไม่ดี
เลยโดนยิง พรุนเลย ............ (พระทุกองค์มีพุทธคุณ หมดแหละครับ พระก็คือพระ)

ทำดี คิดดี พูดดี ....สร้างบุญกุศล ?แล้วจาดีเอง

5472
ร่วมใวอาลัย และแสดงความเคารพ ด้วย ครับ 

5473
ขุนแผนเคลือบ กรุ อยุทธยา ครับ 555555555+++++
 หรือวัดบ้านกร่าง วัดพระรูปก็ดี ครับ
แต่ของแท้ หายาก แพงหน่อยนะครับ 55555+++  ;D

5476
 ;) วัตถุมงคล อยู่ในกุฏิหลวงพ่อ ครับ .... ถ้าหลวงพ่ออยู่ ก็เจอท่าน แล้วก็ให้ท่านเป่าตะกรุดอีกทีได้ครับ
หลวงพ่อท่านใจดี ครับ .. แถมมเมตตา ถ้าด้านค้าขายก็ดี นะครับ อิอิ ตะกรุดดอกไม้ทอง

5478
สุดยอดครับ เยี่ยม สุดๆ ครับ ... ผมให้ 5 ดาวเลย ครับ  :)

5479
สีผึ้ง สีปาก สิครับ หรือไม่ก็ไปลงสาลิกา ลิ้นทอง ดู ครับ อิอิ  ;)

5480
จงเชื่อและศรัทธา แต่อย่างมงาย 
อะหนึ่ง เราไม่ทำความดีเลย หรือไม่ทำอะไรด้วยตัวเองเลยเราก็แย่
มัวแต่พึ่งของ  อย่างเดียวก็ไม่ได้
อยากรวย แต่ไม่ทำงาน มัวแต่รอบุญวาสนา  พึ่งของขลังก็แย่
อยากมีคู่ ใช่ว่า มีของดี เขาจะรัก หากเข้ากันไม่ได้เขาก็ไป  อยู่ที่บุญ ที่ทำกันมาว่ามีแค่ไหน
บางคน แต่งงานมีลูก แล้ว ก็ยังเลิกได้ นับประสาไรกับคุ่รัก ทั่วไป แล้วแต่เวรแต่กรรม
จึงยึดมั่นในความดีเทิด ทุกสิ่งทุกอย่าง เปงที่พึ่งทางใจ และเครื่องยึดเหนี่ยว
อยากรวย ก็ต้อง ขยัน ทำงาน เก็บออม
อยากมีแฟนดี ก็ต้อง คิดดี พูดดี ทำดี เลือกคนที่ดี 
และท่านจะประสบความสำเร็จ

5481
ของหลวงพ่อตัด ก็ดี ครับ ขุนแผน กับเพชรพญาธร แล้วก็ปลักขิก ของหลวงพ่อตัด ครับ เมตตา

5482
ที่วัดไม่หน้าจะมี นะครับ แต่มีลูกศิษสายฆาระวาส มีอยู่ครับ แต่ลืมชื่อไปแล้ว ครับ แหะๆ
ช่วงแรกๆหลวงพ่อไสว สัก ครับ แต่ตอนหลังๆไม่ได้สักแล้ว ครับ
เพราะเคยเหงพระท่านนึง สัก ยันต์ นะหน้าคน ครับ บอกลูกศิษหลวงพ่อไสว
ท่านสักให้ ครับ แต่ลืมชื่อไปและครับ

5483
ตะกรุดดอกไม้ทอง หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน อยุทธยา ...? เมตตานำหน้า
เมตตาคุณณัง อะระหัง เมตตา

หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน ถือเป็นเกจิอีกรูปหนึ่ง
ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการทำตะกรุด
โดยตะกรุดของท่านมีชื่อว่า "ตะกรุดดอกทอง"
แต่เพื่อความไพเราะ ท่านจึงได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น
"ตะกรุดดอกไม้ทอง"

ตะกรุดดอกไม้ทองเป็นตะกรุดที่มีพุทธคุณเด่นทางด้านเมตตา
มีเรื่องเล่ากันว่า ในแถบบางบาล อยุธยามีลูกศิษย์ของท่านคนนึง
ทำตะกรุดตกบนพื้นและหญิงสาวข้างบ้านก็ได้เก็บมาคืนชายหนุ่มผู้นี้

ตั้งแต่นั้นมาหญิงสาวก็เกิดหลงไหลชายหนุ่มอย่างมากมาย
พ่อของฝ่ายหญิงเห็นอาการแล้วเหมือนคนโดนของ
จึงพาไปหาหลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา อยุธยา ท่านมีชื่อเสียง
ทางด้านการแก้คุณไสย แต่ท่านก็ยังแก้ไม่หาย จนทราบภายหลังว่า
สาเหตุเกิดจากตะกรุดดอกไม้ทองของหลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
หลวงพ่อเมี้ยนจึงได้ถามถึงวิธีการแก้กับหลวงพ่อพูน และหลังจาก
แก้ได้แล้ว หญิงสาวคนนี้ก็ไม่มีอาการดังกล่าวอีกเลย

หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน ได้เรียนวิชาการทำตะกรุดดอกไม้ทองนี้
มาจากหลวงพ่อสนั่น วัดเสาธงทอง จ.อ่างทอง ซึ่งท่านบอกว่า
ถ้าทำดีๆ ตะกรุดท่านสามารถอยู่ปืนได้ ซึ่งประสบการณ์เรื่องยิงไม่ออก
ก็มีให้เห็นกันมาแล้ว โดยเป็นเหตุการณ์ที่ลือลั่นที่อำเภอบางไทรมาแล้ว
เรื่องมีอยู่ว่ากระเป๋ารถประจำทาง ถูกคนร้ายดักปล้นรถ โดยนายคนนี้
ก็ฮึดสู้ เอากระบอกตั๋วตีแสกหน้าคนร้าย แตกหงายเก๋งไป คนร้ายอีกคน
ก็กระหน่ำยิง โดยมาทราบภายหลังว่าเป็นปืนขนาด 11 มม. ยิงไม่ออก!!

กระเป๋ารถก็หันกลับมาสู้ พร้อมด้วยคำด่าแม่ ปัง!! คราวนี้กระสุนโดนเข้าที่แขน
คนร้ายตกใจวิ่งหนีไปกันหมด แต่ก็มีคนนึงโดนจับได้คาหนังคาเขา
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โด่งดังมาก ที่สถานีตำรวจบางไทรในยุคนั้น

ซึ่งกระเป๋ารถคนนี้ก็ใช้ตะกรุดดอกไม้ทองของหลวงพ่อพูน วัดบ้านแพนอยู่
เลยทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อพูนโด่งดังมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันนี้หลวงพ่อท่าน
ก็ยังอยู่ และก็ยังทำตะกรุดดอกไม้ทองนี้อยู่ด้วย ใครสนใจก็แวะไปกราบท่านได้ครับที่วัดบ้านแพน อยุธยานี่เอง

สำหรับท่านที่ชอบเรื่องราวเหล่านี้
แน่นอนอาจารย์ก็ได้มีข้อห้ามในการใช้ของของท่านอยู่ด้วยหลักๆ คือ
ห้ามด่าพ่อล่อแม่ และห้ามผิดลูกผิดเมีย ดังนั้นถ้าใช้ของของอาจารย์ไหนก็แล้วแต่
ควรจะเคร่งครัดปฏิบัติตามกฏข้อห้ามที่อาจารย์ได้สั่งมาด้วยครับ

ผมเคยอ่านเจอว่าใครที่ไม่ปฏิบัติตามกฏข้อห้าม ของไม่เสื่อม แต่ของจะไม่คุ้มครอง

เคดิตจากเวป http://www.thaiblades.com/forums/archive/index.php/t-8747.html

5484
ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย

แล้วของหลวงพ่อเต้า หละเสริม หรือป่าว? ผมว่า ของหลวงพ่อเต้าดีนะครับ? ...? ผมแขวนอยู่
ถ้าเสริมก็ไม่เปงไร ครับ เพราะผมศรัทธา ในหลวงพ่อเต้า
และถือว่าได้ทำบุญกับวัดด้วย ครับ

แต่เท่าไปดุที่วัดมา พระพิม หลายพิม ปี 2496 บางพิมมีไม่ถึง 100 องค์ด้วยซ้ำ ครับ
แต่ละพิม ก็ มีไม่มากอะครับ .... 

5485
เหรียญ ไม่หน้าทัน หลวงพ่อสร้างนะครับ อิอิ ;)

5486
ผมว่าเหรียญ 25 พุทธศตวรรษ มีเสริม แน่ ครับ 555
ของสนามพระ เสริมเต็มเลย ครับ 5555
แต่ที่พุทธมณฑล ไม่น่าเสริม นะครับ ดูจากความเก่าพอได้ครับ
เพราะ เหรียญ สร้างออกมา ตั้ง 2 ล้านกว่าเหรียญ 5555
แต่ที่สร้าง ออกใหม่ ก็คงเปงของสนามพระอะครับ 5555555


5487
เสริม ครับ ผม ว่า ปี 2500 พระ 25 พุทธศตวรรษ ก็สุดยอดครับ ของ พุทธมณฑล พิธีใหญ่มากๆ
และราคาไม่สูง สร้างเยอะ ตอนนี้ ที่ พุทธมณฑล ก็ยังมีให้บูชา อยู่ครับ อิอิ

5488
บ้านผมรู้จัก วัดนนี้ ตั้งแต่ หลวงพ่อ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านยังไม่มรณะภาพอะครับ
วัดนี้ดีเหมือนกัน ครับอยู่บนเขาด้วย บรรยากาศดี ครับน่าไปเที่ยว
? วิชาสาวน้ำตาเทียน เป็นของ หลวงพ่อสัมฤทธิ์
ที่หลวงพ่อวัชระ สืบทอด มาอะครับ ดีเลย เยี่ยม
แถมวัดนี้ดังเรื่อง เหล็กไหลด้วยนะครับ อิอิ?
ส่วนสังขาร หลวงพ่อก็น่าจะยังอยู่ที่วัดอะครับ ไม่ได้ไปนานแล้วเหมือนกัน
หลังสุดที่ไป สังขารหลวงพ่อ ยังมีอยู่ให้ไหว้นะครับ สังขารท่านไม่เน่าไม่เปื่อย ครับ
ส่วนวัดนก รู้สึกว่าจัดงานบ่อย มากๆครับ แต่ก็ดีครับ
ชาวกรุงเทพ ฝั่งธนบุรี และใกล้เคียง ได้ไม่ต้องไปไกล ดีเหมือนกันครับอิอิ

5489
พิธีครอบมงกุฎพระเจ้า

พระอาจารย์ วัชระ เอกวัณโณ

? ?ศิษย์เอกหลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมภีโร? ? ?

สาวน้ำตาเทียนสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าเคราะห์กรรม ล้างอาถรรพณ์



ถ้าเอ่ยชื่อ "วัดถ้ำแฝด" ตั้งอยู่ที่ ต.เขาน้อย อ. ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ใครๆ ก็รู้จัก เป็นวัดที่เรียกได้ว่าเป็น เจ้าตำแหน่งแห่งเหล็กไหล ที่มีผู้คนหลั่งไหลไปมากมายในแต่ละวัน

? อิติปิโสวิเสเสอิ? ?
? อิเสเสพุทธนาเมอิ? ?
? อิเมตังพุทธตังโสอิ? ?
? อิโสตังพุทธปิติอิ? ?

นี่คือสุดยอดพระคาถาเอกของโลกที่มีชื่อว่า "มงกุฏพระเจ้า" และเป็นพระคาถาที่เกี่ยวพันธ์กับวัดถ้ำแฝดมาช้านาน บ้างก็ว่ามงกุฏพระเจ้าก็สุดแต่จะเรียกกันไป แต่บรมครูอาจารย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซาบซึ้งแก่ใจกันดีว่า เป็นคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารอัศจรรย์เป็นพระคาถาครอบจักรวาลสารพัดนึกทีเดียว

? ? ? ? ? วัดถ้ำแฝด เดิมมีเจ้าอาวาสชื่อ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมฺภีโร" ท่านเป็นคนจังหวัดมหาสารคาม ท่านเป็นพระธุดงค์ เคยอยู่ป่าอยู่เขาบำเพ็ญจิตบำเพ็ญสมาธิ อยู่กับความสงบวิเวกท่านจึงรักที่จะพำนักอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร

? ? ? ? ? ชีวิตในป่าดงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้พบสิ่งเร้นลับได้พบยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมมากมายและหลวงพ่อได้มีโอกาสศึกษาวิชาเวทย์มนต์ต่างๆ? ? ? ? ?

? ? ? ? ? หนึ่งในสุดยอดวิชาที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้ทุ่มเทศึกษาจนรู้จริงและทำได้นั่นเป็นวิชาที่หลวงพ่อร่ำเรียนมาเพื่อช่วยหมู่มนุษย์ให้อยู่เย็นเป็นสุขนั่นคือ

? ? ? ? ? วิชาสาวน้ำตาเทียน? ? ? ? ? ?

? ? ? ? ? ?วิชา "สาวน้ำตาเทียน" เป็นวิชาที่ต้องใช้อำนาจคาถาอาคมอำนาจจิตที่แน่วแน่ด้วยสมาธิ เพ่งจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเรียกว่า? "เอกัคคตาจิต"

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ด้วยอำนาจแห่งอาคมขลังและอานุภาพดวงจิตที่เพ่งสู่ดวงเทียนที่กำลังลุกติดเป็นไฟหยาดหยดน้ำตาเทียนลงสู่บาตรน้ำมนต์ซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้า

? ? ? ? ? ? แล้วท่านเคยสังเกตไหมว่าตามปกติแล้วน้ำตาเทียนที่หยุดลงไปในน้ำแล้วมันจะแข็งและจับกลุ่มกันเป็นหย่อมๆ หยดๆ หรือเป็นเกล็ดทันที

? ? ? ? ? ? ที่หลวงพ่อสาวขึ้นมาจะยืดยาว ยิ่งดึงสาวขึ้นมายิ่งยาวเป็นการเสริมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง

? ? ? ? ? ? แต่ น้ำตาเทียนที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์? ค้มฺภีโร เพ่งด้วยอานุภาพจิต ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์พอหยดลงไปโดนน้ำมนต์ในบาตรแทนที่จะจับตัวแข็งเป็นเกล็ดกลับอ่อนนุ่มเป็นเนื้อเหลว และหลวงพ่อท่านก็หยิบสาวขึ้นมาเป็นมงคลได้อย่างน่ามหัศจรรย์

? ? ? ? ? ? และที่อัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้น หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เมื่อนำยอดวิชาส่วนน้ำตาเทียนมาเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงบารมี และแก้อาถรรพณ์ให้แก่ญาติโยมและสาธุชนที่ศรัทธาทั่วไป

? ? ? ? ? ? คือการสาวน้ำตาเทียนจากในบาตรน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสายขึ้นมาวนรอบศีรษะของผู้เข้ารับการสะเดาะเคราะห์เสริมบารมี คนที่ดวงดีไม่มีเคราะห์ชะตาไม่ขาดไม่หักเห น้ำตาเทียนส่วนใครชะตาขาดหรือมีเคราะห์และชีวิตที่หักเหด้วยฤทธิ์อาถรรพณ์ ต่างๆ มาครอบงำอย่างใดอย่างหนึ่งน้ำตาเทียนที่ท่านค่อยๆ สาวขึ้นมาจากบาตรน้ำมนต์จะขาดทันที และไม่ยาวอีกด้วย นั่นแสดงถึงเจ้าของดวงชะตานั้น ดวงไม่ดีมีเคราะห์? ? ? ? ? ?

? ? ? ? ? ?หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา แก้อาถรรพณ์ ให้มีดวงชะตาเข้มแข็งหมดเคราะห์พ้นจากสิ่งเร้นลับ ครอบงำต่างๆ ด้วยอำนาจจิตด้วยอานุภาพอาคมมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์

? ? ? ? ? ?นี่คือที่มาสุดยอดของวิชาสาวน้ำตาเทียนจากในบาตรน้ำมนต์ขึ้นมาวนรอบลงบนศีรษะนั้นเรียกว่าวิชา "ครอบมงกุฏพระเจ้า" อันเป็นสุดยอดวิชาอาคมสุดยอดพระคาถาเอกของโลกที่ได้กล่าวมาแต่ข้างต้น? ? ? ? ? ?

? ? ? ? ? ?มีคนจำนวนมากที่ได้รับความเมตตาจากวิชาครอบมงกุฏเจ้าสาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงเสริมบารมีจนถึงต่อดวงชะตาอายุที่ขาดด้วยแรงฤทธิ์อาถรรพณ์ของหลวงพ่อสัมฤทธิ์สงเคราะห์แก้ไขให้ จนหมดเคราะห์ หมดทุกข์มีชีวิตที่ดียืนยาว? ? ?


? ? ? ? ? ?พระอาจารย์วัชระ เอกวณฺโณ เป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาสาวน้ำตาเทียน ครอบมงกุฏพระเจ้าจากหลวงพ่อสัมฤทธิ์ คมฺภีโร ทุกอย่างจนหมดสิ้น

? ? ? ? ? ? จากปากต่อปาก ความสงบแน่นิ่งเยือกเย็น สายตาทอดต่ำตลอดเวลามีบุคลิกลักษณะที่มั่นคงในวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมา พระอาจารย์วัชระ เอกวณฺโณ เป็นที่ประทับใจทุกๆ ท่าน ทุกอิริยาบถอันนุ่มนวล ปราศจากการเสแสร้ง? ขณะทำพิธีสาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์เสริมดวงบารมีให้ผู้มีเคราะห์กรรมที่มาเข้าทำพิธีจำนวนมากคนแล้วคนเล่าท่านมีเมตตาช่วยเหลือไม่มีเบื่อหน่ายแต่อย่างใด? ? ? ? ? ?

? ? ? ? ? ? ท่านสมแล้วกับศิษย์เอกของยอดพระเกจิอาจารย์เจ้าตำรับสาวน้ำตาเทียนและเจ้าตำรับเหล็กไหลตาแรด อันเลื่องลือมีเมตตามีความเย็นที่สัมผัสได้ มีอานุภาพจิตเป็นหนึ่งอันแน่วแน่มั่นคงมั่นใจมีวิชาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากบูรพาจารย์อันเก่งกล้า? ? ? ? ?

? ? ? ? ? ? พระอาจารย์วัชระได้รับการแต่งตั้งจากทางการคณะสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถ้ำแฝด สืบแทนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ที่ได้ถึงแก่มรณะลง ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านอาจารย์วัชระได้ขจรขจายเลื่องลือ ด้วยวิชาสาวน้ำตาเทียนที่ท่านได้ช่วย ผู้คนมานับไม่ถ้วน

? ? ? ? ? ? ค่าสะเดาะเคราะห์เพียงน้อยนิด ด้วยจำนวนเหรียญเท่าอายุ กับเสริมดวงขึ้นไปอีก 9 บาท เป็นการหนุนดวงชะตาบารมีให้สูงขึ้น ก้าวหน้าอีกต่อไปอันจะเรียกว่าเป็นการบูชาครูก็ว่าได้นั่นคือ การทำบุญสะเดาะเคราะห์ล้างอาถรรพณ์นั่นเอง

? ? ? ? ? ? วัดถ้ำแฝด ยังคงเป็นที่พึ่งทางกาย ทางใจแก่สาธุชนทั้งหลายไม่ว่าจะยากมีดีจนไม่จำกัดไม่ปิดกั้น พร้อมที่จะปัดเป่าเคราะห์กรรมให้ทุกท่านมีชีวิตมีดวงชะตาที่สว่างไสวไม่ให้มืดมน? ? ? ? ? ?

? ? ? ? ? ? ณ ท้ายนี้จึงกล่าวได้ว่า พระอาจารย์วัชระ เอกวัณฺโณ ท่านเป็นที่พึ่งในการปัดเป่าอาถรรพณ์สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงบารมี ให้มีสุข ความร่มเย็นได้อย่างแน่นอนหรือจริงเท็จอย่างไรให้ท่านลองไปพิสูจ น์ดู

ที่มาจากเวป http://www.watthamfad.com/Index_TH.htm  ลองเข้าไปอ่านได้ครับ

5490
กรรม หมา ตายเลย เหรอครับ น่าสงสาร หมาจัง - -''

5491
ดีครับ สวย ครับ

5493
สำหรับในความคิดเห็นส่วนตัวของผม นะครับ พระดีๆ ราคาไม่สูง ที่วัดยังมีอยู่
ก็ คง ของหลวง พ่อเต้า วัดเกาะวังไทร จ. นครปฐม ครับ
ปี2496? ? ?ประสบการณ์ดี พระดี แถมหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมปลุกเสก+อฐิฐานจิตให้ด้วย

มีหลายพิม ครับ? ลองไปดู ประวัติ ท่านได้ที่ บอร์ดพระเกจิภาคกลางนะครับ
หลวงพ่อเต้า เป็นศิษเอก หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง
หลวงพ่อเงิน สุดยอดเกจิอาจารย์ ของ จ.นครปฐม

สุดยอดที่สุด และครับ ...แถมได้ทำบุญ กับวัดด้วย ...บูชาได้ที่วัดครับ ของเก่าเก็บ พุทธคุณเยี่ยม ครับ

http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,3934.0.html

5494
ถ้าคาถา  ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก ต้อง ของพี่ สิบทัศ ครับ
นำมาจากหลวงพ่อเงิน ดี จิงๆครับ
คาถา ฟันไม่เข้า เวลาฟันกันก็อย่าเข้าไปให้เขาฟัน
ยิงไม่ออก เวลา ยิงกัน อย่าออกไปให้เขา ยิงสิ

สาธุๆๆๆ สุดยอด ที่ สุดครับ

5495
เคดิต
 http://www.dharma-gateway.com/monk-home-hist-index-page.htm

5497
เนื่องจาก ประวัติหลวงพ่อเงิน มีคนนำมาลง แล้ว ในกระทู้บางส่วน นะครับ เลยมิได้นำมาลงใน ในกระทู้นี้

 
พระครูเกษมธรรมนันท์ (แช่ม ฐานุสฺสโก)
วัดดอนยายหอม
ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

ชื่อเดิม :
? แช่ม อินทนชิตจุ้ย
 
ชาตะ
 วันพุธที่ ๖ มีนาคม ๒๔๔๙ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย ที่บ้านหมู่ที่ ๑ ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายเนียม และนางอ่ำ อินทนชิตจุ้ย
 
อุปสมบท :
 ที่อุโบสถวัดดอนยายหอม ในวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ โดยมีพระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้วยจรเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูทักษิณานุกิจ (เงิน) วัดดอนยายหอม เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระครูวินัยธร (ใย) วัดบางช้างใต้ เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า "ฐานุสฺสโก"
 
การศึกษา :
 ในด้านพระปริยัติธรรม หลวงพ่อแช่ม สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จากนั้นได้หันมาศึกษาด้านการปฎิบัติ โดยได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และพระเวทวิทยาคมต่างๆจากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม และพระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้วยจรเข้
 
สมณศักดิ์ :   
 - ปี พ.ศ. ๒๕๐๖   เป็นพระครูฐานานุกรมของพระราชธรรมาภรณ์ (เงิน) ในตำแหน่งพระครูปลัดแช่ม
 
 
 - ปี พ.ศ. ๒๕๑๒   เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนา ที่ พระครูเกษมธรรมานันท์
 
 
 - ปี พ.ศ. ๒๕๑๖   เป็นพระอุปัชฌาย์
 
 
 - ปี พ.ศ. ๒๕๒๐   เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม
 
 
 - ปี พ.ศ. ๒๕๒๔   ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก วิปัสสนา พัดพุฒตาลขาว ในราชทินนามเดิม
 
ผลงานด้านการพัฒนา :
 สมัยที่หลวงพ่อเงินยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อแช่มเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง สำคัญของหลวงพ่อเงินในการพัฒนาสร้างสรรค์สาธารณประโยชน์ต่างๆ มากมาย เมื่อหลวงพ่อเงินมรณภาพไปในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ หลวงพ่อแช่ม ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของหลวงพ่อเงินต่อไป
 
 
 ๑. การบูรณปฎิสังขรณ์เสนาสนะ กุฎิสงฆ์ และถาวรวัตถุต่างๆในวัดดอนยายหอม
 
 
 ๒. เป็นประธานอุปถัมภ์ในการสร้างวัดตะแบกโพรงสามัคคีธรรมที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
 
 
 ๓. สร้างโรงเรียนหลวงพ่อแช่มอุปถัมภ์ (ฉิมเกตุ อ่อนอุทิศ) ที่ตำบลคลองจินดา อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม
 
 
 ๔. สร้างตึกคนไข้ ๔ ชั้น ที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
 
 
 ๕. จัดหาทุนสร้างหอประชุมอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
 
ชื่อเสียงกิตติคุณ :
 เชื่อกันว่าหลวงพ่อแช่มสำเร็จเตโชกสิณตั้งแต่พรรษายังน้อย บางคนเชื่อว่าท่านสำเร็จฌานอภิญญามีพลังจิตเข้มขลัง ปรากฏการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็คือ สามารถอธิษฐานจิตปลุกเสกจนน้ำมนต์เทไม่ออก วัตถุมงคลต่างๆที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสก มีพุทธคุณครบเครื่องทุกๆด้าน แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ เมตตามหานิยม ปัจจุบันวัตถุมงคลชุดสำคัญๆของท่านเริ่มเป็นที่นิยมและสะสมกันมากขึ้น นอกจากพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆแล้ว น้ำพระพุทธมนต์ แป้งเจิม มงคลสวมคอ การผูกหุ่นพยนต์ และสาริกาลิ้นทอง เป็นวิชาเฉพาะตัวที่หลวงพ่อทำได้ขลังยิ่งนัก
 
มรณภาพ :
 วันพฤหัสบดีที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ รวมสิริมายุได้ ๘๗ ปี พรรษา ๖๗


อริยเมตตาแห่งดอนยายหอม

หลวงพ่อแช่ม ฐานุสสฺโก
โดย....อำพล เจน

ที่มา http://www.suankhung.com/index.php?l...524186&Ntype=6



นักเลง 2 ชีวิต ละแวกภาษีเจริญ

นักเลงเบิ้ม และนักเลงไก่

ชื่อเบิ้มและไก่บนถนนสายที่ปูด้วยมีดและปืน ให้ถามไถ่คนแถวนั้นเป็นที่รู้จักหมด

คนทั้งสองโลดแล่นอยู่บนถนนดุ โดยมีทั้งความรุ่งเรืองและตกต่ำ คงไม่ต้องบอกว่าเขาทั้งสองคนเป็นนักเลงประเภทไหน คุมบ่อน คุมซอย หรือเป็นมือปืนอาชีพรึเปล่าดีกว่า แต่ว่าวันตกอับแห่งชีวิตนักเลงก็มีมาถึง วันเข้าตาจน สุดตรอก ไม่มีที่จะถอย ห้วงทุกข์สุดขีดที่คนทั้งสองร่วงดิ่งลงสุดกู่ ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าคืออะไร มันเป็นทุกข์อันยิ่งใหญ่ที่นักเลงทุกคนล้วนเคยประสบ

ทุกข์อันนั้นแหละที่ทำให้นักเลงเบิ้มและนักเลงไก่นึกถึงพระ นึกถึงวัด นึกถึงบุญกุศลที่ตนเองไม่มีหรือมีน้อย

ทว่าการนึกถึงพระนั้นก็เป็นการนึกที่ไม่ออก นึกไม่เห็นว่าพระมีอยู่ที่ไหน

พระรูปใดจะแก้ทุกข์ให้ได้ ที่นึกออกคือนึกเห็นแต่ ?อาจารย์เบิ้ม? เพื่อนสนิท คนชื่อเดียวกัน แต่ไม่มีอะไรเหมือนกัน

อาจารย์เบิ้มเคร่งธรรม นักเลงเบิ้ม และไก่เคร่งปืน

สวนทางกันอย่างนี้

อาจารย์เบิ้มรับทุกข์ที่คนทั้งสองระบายใส่เสียเต็มปรี่และสนองปรารถนาคนทั้งสองโดยยินดีในฐานเพื่อน คิดถึงพระที่จะช่วยคลี่คลายทุกข์ให้สหายผู้อมทุกข์ ถ้าหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ยังไม่สิ้น ก็แค่เดินข้ามคลองไป แต่ท่านผู้เป็นอาจารย์ก็สิ้นไปแล้ว

?ไปดอนยายหอม? อาจารย์เบิ้มบอก ?วัดดอนยายหอมมีหลวงพ่อแช่มอยู่ทั้งคน?

 วัดดอนยายหอม ประมาณปี 2531 หลวงพ่อแช่ม หรือพระครูเกษมธรรมนันท์ มีอายุได้ 82 ปี แข็งแรง บึกบึน หน้าแดง ล่ำใหญ่กว่าทุกวันนี้ ซึ่งมีอาพาธ เหน็ดเหนื่อย และผอมลงอย่างเป็นตรงกันข้าม

ท่านนั่งบนตั่งหน้าห้องพักในกุฏิใหญ่ เป็นที่เดิมที่ท่านนั่งรับคนผู้มีศรัทธา

มากราบโดยไม่เคยเปลี่ยน ท่านมองดูนักเลงเบิ้มและไก่ที่คลานเข้ามากราบแล้วร้องอวยพรแปลกประหลาดว่า

?ยมฑูตทั้ง 4 รักษา?

แปลกไปจากที่เคยอวยพรใครต่อใครว่า พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา

อวยพรพิสดารแล้วก็หันไปร้องสั่งลูกศิษย์ให้เอาตะกรุดโทนมาเร็ว ๆ เอามาคาดใส่เอวให้คนทั้งสองด้วยมือท่านเอง

?อย่าถอดนะ? ท่านสำทับลงไปอีก

รดน้ำมนต์ให้อีกหนึ่งชุด รดแล้วก็สั่งนักเลงเบิ้มและนักเลงไก่ให้ไปเอารูปหล่อบูชาของหลวงพ่อเงินคนละองค์ คนทั้งสองนอกจากจะเอารูปหล่อบูชาหลวงพ่อเงินแล้ว ยังพ่วงรูปหล่อบูชาของหลวงพ่อแช่มมาด้วยอีกคนละองค์ และนำมาวางตรงหน้าท่าน เพื่อท่านจะได้เจิมแป้งอธิษฐานจิตเป็นพิเศษอีกครั้ง ท่านเห็นแล้วก็กล่าวว่า

?นี่รูปหลวงพ่อเงิน อาจารย์ฉัน ท่านเสียอายุ 87 นี่รูปฉัน หลวงพ่อแช่ม อายุ 82 เอาไปไว้ที่บ้าน อย่าวางสูงกว่าพระพุทธรูปนะ?

งวดนั้นหวยออกทั้งบ่นและล่าง 87 และ 82 นักเลงเบิ้มถูกทั้งบนล่าง เต็งโต๊ดเบ็ดเสร็จเป็นเงิน 2 แสนกว่าบาท นักเลงไก่ถูกเท่าไหร่ไม่ทราบชัด คนทั้งสองย้อนกลับไปดอนยายหอมอีกครั้งหนึ่ง ถวายเงินหลวงพ่อแช่ม 2 หมื่นบาท

หลังจากกลับออกจากวัดครั้งนั้น คนทั้งสองไม่มีวันกลับไปอีกเลย

นักเลงเบิ้มป่วยตาย

นักเลงไก่เป็นอัมพาต

อาจารย์เบิ้มบอกกับผมว่า ?ชะตาคนทั้งสองล่อแหลมต่อการตายโหง หลวงพ่อท่านช่วยได้แค่นี้ นั่นเพราะยมฑูตทั้ง 4 รักษา เป็นคำอวยพรบอกใบ้ให้ทราบถึงวาระแห่งกรรมของเขาทั้งสองคน

4 ปีต่อมา

ผม คุณกมล เอกุมโนชัย และคุณสุวิทย์ เกิดพงษ์บุญโชติ เดินทางไปกราบหลวงพ่อแช่มด้วยกันในวันที่ 10 กรกฎาคม 2535 เพื่อจุดประสงค์ 2 อย่างคือ เพื่อขออนุญาตสร้าง ?เหรียญหยดน้ำมนต์มงคล? ของหลวงพ่อแช่ม สำหรับแจกแก่ผู้อ่านหนังสือศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อถวายพระเครื่องจำนวน 300 กว่าองค์ ที่ผมรับธุระจากเพื่อนผู้มีจิตศรัทธาสร้างถวายนำไปถวายแทน

ระหว่างเดินทาง คุณสุวิทย์ แสดงความประหลาดใจแก่ผมคำหนึ่งว่า

?คุณอำพลอยู่ไกลถึงอุบลฯ แต่คุณมากราบพระถึงนครปฐม?

ผมอยากบอกว่า หลวงพ่อแช่ม คือพระในดวงใจอีกรูปหนึ่งของผม ใครไปกราบท่านแล้วจะรักและเคารพท่านทุกคน ผมเชื่อเช่นนั้นและเห็นท่านเป็น ?อริยเมตตา? อย่างแท้จริงอีกรูปหนึ่ง ที่ยากจะพบเห็นได้ง่ายในทศวรรษนี้

ท่านเป็นพระเถระที่เข้าพบง่ายที่สุด ไม่มีทศกัณฐ์หรือปีเตอร์กันเป็นบริวาร ไม่มีความพิเศษให้กับใคร ทุกคนเสมอกันหมด ไม่มีชั้นวรรณะเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน ไม่มีนายพล เศรษฐี หรือคนเข็ญใจอยู่ตรงหน้าท่าน

ตรงนั้นคือสถานที่เดียวที่ผมเห็นความเสมอภาคของมนุษยชน

ใครไม่เชื่อ ให้ไปพิสูจน์ความจริง

ทำไมผมรักและเคารพหลวงพ่อแช่ม ผมไม่สามารถจะตอบให้ถึงใจได้

ความเงียบงันอ้ำอึ้งจึงเป็นคำตอบสำหรับคำถามเชิงปรารภของคุณสุวิทย์

ระหว่างเดินทางไปวัดดอนยายหอม ผมเล่าเรื่องนักเลงเบิ้มและนักเลงไก่ให้คุณกมลและคุณสุวิทย์ฟังด้วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เรื่องที่ได้เล่าไป ไม่ได้หวังว่าจะเล่าเพื่ออะไร เป็นไปเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น

เราได้กราบหลวงพ่อแช่มง่าย ๆ ไม่มีพิธีการเยิ่นเย้อ เพียงถอดรองเท้าไว้หน้าประตูกุฏิก็ถึงตัวท่านทันที และไม่มีสิทธิพิเศษ หรือเป็นอะไรที่ดูพิเศษกว่าใครเมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน

เราก้าวเข้าไปสู่แดนแห่งความเสมอภาค

?โชคดี โชคดี?

อวยพรก่อนแล้วสะบัดแส้น้ำมนต์ใส่ศีรษะพวกเรา คำทุกคำของท่านล้วนแต่เป็นไปในทางเมตตา ปรารถนาจะให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขเสมอกัน คำร้ายน้อยหนึ่งจากปากท่านไม่เคยมีใครได้ยิน

เราได้เสพพลังเมตตาที่แผ่ให้จนอิ่มใจพอแล้ว จึงได้ทำจุดประสงค์ที่ตั้งใจให้บรรลุและบรรลุโดยง่ายทุกประการ

หนังสือศักดิ์สิทธิ์จะมี ?เหรียญหยดน้ำมนต์มงคล? ของหลวงพ่อแช่มแจกเป็นที่ระลึกในไม่ช้านี้

ขณะนั้นมีสตรีวัยประมาณ 50 ปี เข้ามากราบท่านด้วยสีหน้าอมทุกข์ และกราบเรียนท่านว่าถูกโกงเงินไป 8-9 แสนบาท และขอให้ท่านช่วยบันดาลให้ผู้คดโกงนำเงินมาคืน

หลวงพ่อก็เฉยอยู่

เธออ้อนวอนร้องขอความกรุณาให้ท่านช่วย เงินนับล้านเป็นทุกข์อันยิ่งใหญ่ของเธอ แต่ไม่มีใครเข้าใจได้ดีกว่าตัวหลวงพ่อเองว่าทำไมท่านจึงเฉยอยู่ นั่นอาจหมาย ความว่าท่านช่วยไม่ได้ หรือไม่มีหวังจะได้เงินคืนท่านจึงเฉยก็ไม่รู้

ที่สุดท่านปรารภว่า

?เรามันโง่เอง อย่าว่าแต่โยมเลย ฉันเป็นพระยังล่อนเหลือแต่กระดูก เขามาบอกว่าจะเอาพระไปก่อน แล้วจะนำเงินมาถวาย 2 หมื่น ก็หายเข้ากลีบเมฆ นี่มันเป็นเวรของเราที่ทำให้เราต้องไปเชื่อเขา?

ความทุกข์มากมายกอดกำดวงใจเธอจนหมดสิ้น ไม่มีที่เหลือพอจะทำความ เข้าใจในธรรมะง่ายๆ ที่หลวงพ่อปลอบ เธอจึงคงยืนกรานให้หลวงพ่อช่วยต่อไปไม่ หยุดยั้ง ท่านก็ปลอบประโลมด้วยคำพูดที่เปี่ยมเมตตา ยากจะถ่ายทอดให้เห็นซึ้งได้ เหมือนพ่อปลอบใจลูกว่างั้น

พอดีมีใครคนหนึ่งบูชารูปหล่อหลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อแช่ม แล้วยกมาถวายให้ท่านเจิมแป้ง ท่านเห็นก็เอะอะว่า

?นี่หลวงพ่อเงิน คิดถึงท่าน ระลึกถึงท่านแล้วเงินไหลมาเทมา นี่รูปฉันหลวงพ่อแช่ม มีแต่แช่มชื่นเบิกบาน หลวงพ่อเงินท่านเสียอายุ 87 ฉัน 86 ยังรู้สึกว่าหนุ่มปร๋ออยู่เลย ต่อไปจะเป็นฉันแล้วก็จะเท่ากัน?

ท่านเจิมแป้งให้แล้วก็คว้าแส้น้ำมนต์สะบัดรดใส่หญิงผู้เต็มไปด้วยความทุกข์ ใบหน้าท่านอมยิ้มและกล่าวด้วยว่า

?โดนเขาโกงเงินเลยไปฟ้องปู่ ฟ้องปู่?

อีกครู่หนึ่งมีผู้บูชาพระเครื่องของท่านมาถวายท่านเจิมแป้ง ท่านกล่าวว่า

?พระเครื่องฉันหมากัดไม่เข้า ปืนยิงไม่เป็นไร? ใบหน้าของท่านมีรอยยิ้มและกล่าวต่อไปอีกว่า ?หมากัดเราก็ไม่เข้าไป ปืนก็อย่าใส่ลูก ใส่แต่แก๊ป?

วันนี้หลวงพ่ออารมณ์ดีเป็นพิเศษ

และใครจะเชื่อได้ว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

งวดวันที่ 1 สิงหาคม ตัวล่างออก 87 ผมซื้อล็อตเตอรี่ 86 ไม่ถูก

งวดวันที่ 16 สิงหาคม ผมคิดถึงคำว่าที่ ?ต่อไปฉัน? ผมตาม 86 อีก 2 คู่ เลยได้เงินมาเป็นค่าขนมจังเบอร์

ใครก็อย่าแจ้นไปหาท่านเพราะเรื่องหวยเลย เพราะว่าท่านไม่ใช่พระใบ้หวย ที่ถูกนั้นเป็นวาสนาของแต่ละคนเอง

แหม...แต่ว่าท่านให้แม่นเหมือนจับวางจริง ๆ

คนถูกก็มีวาสนาน้อย ๆ แค่นั้น

 

5498
เคดิต http://www.dharma-gateway.com/monk-home-hist-index-page.htm

5499
ใครอยากชม ประวัติ หลวงพ่อโต ย่อ แบบการ์ตูน ไปดูในเวป http://www.fungdham.com/vdo/vdo.html นะครับ
หัวข้อ การ์ตูนนิทานชาดก และประวัติพระอริยสงฆ์
คลิปการ์ตูนนิทานชาดกสนุก ๆ นับสิบ ๆ เรื่อง และการ์ตูนประวัติพระอริยสงฆ์ อาทิ สมเด็จโต, หลวงปู่ทวด, หลวงปู่มั่น, หลวงพ่อจรัญ

5501
ชีวประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหฺมรงฺสี)
จากบันทึกของ
มหาอำมาตย์ตรี พระยาทิพโกษา (สอน โลหนันทน์)



ตอนที่ ๑



ความนำ

คำปรารภและอนุมานสันนิษฐานว่าประวัติเรื่องความเป็นไปของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ครั้งในรัชกาลที่ ๔ กรุงเทพฯ นั้น มีความเป็นมาประการใด เพราะเจ้าพระคุณองค์นี้ เป็นที่ฤๅชาปรากฏ เกียรติศักดิ์เกียรติคุณเกียรติยศ ขจรขจายไปหลายทิศหลายแคว มหาชนพากันสรรเสริญออกเซ็งแซร่กึกก้องสาธุการ บางคนก็บ่นร่ำรำพรรณ ประสานขานประกาศกรุ่นกล่าวถึงบุญคุณสมบัติ จริยสมบัติของท่านเป็นนิตยกาลนานมา ทุกทิวาราตรีมิรู้มีความจืดจาง

อนึ่ง พระพุทธรูปของท่านที่สร้างไว้ในวัดเกตุไชโย ใหญ่ก็ใหญ่ โตก็โต วัดหน้าตักกว้างถึงแปดวาเศษนิ้ว เป็นพระก่อที่สูงลิ่ว เป็นพระนั่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ดูรุ่งเรืองกระเดื่องฤทธิ์มหิศรเดชานุภาพ พระองค์นี้เป็นที่ทราบทั่วกันตลอดประเทศแล้วว่า เป็นพระที่มีคุณพิเศษสามารถอาจจะดลบันดาลดับระงับทุกข์ภัยไข้ป่วยช่วยป้องกันอันตรายได้ จึงดลอกดลใจให้ประชาชนคนเป็นอันมาก หากมาอภิวิวันทนาการ สักการบูชาพลีกรรม บรรณาการเส้นสรวงบวงบล บางคนมาเผดียงเสี่ยงสัตย์อธิษฐาน ก็อาจสำเร็จสมปณิธานที่มุ่งมาตร์ปรารถนา จึงเป็นเหตุให้มีสวะนะเจตนาแก่มหาชนจำนวนมากว่าร้อยคน คิดใคร่รู้ประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆษิตาราม บ้างก็คืบเที่ยวสืบถามความเป็นไปแต่หลังๆ แต่คราครั้งดั้งเดิมเริ่มแรก ต้นสกุลวงศ์เทือกเถาเหล่ากอ พงษ์พันธุ์ พวกพ้อง พื้นภูมิฐาน บ้านช่อง ข้องแขว แควจังหวัด เป็นบัญญัติของสมเด็จนั้นเป็นประการใด

นานมาแล้วจะถามใครๆ ไม่ได้ความ หามีใครตอบตรงคำถามให้ถ่องแท้ จึงได้พากันตรงแร่เข้ามาหา นายพร้อม สุดดีพงศ์ อ้อนวอนให้รีบลงมากรุงเทพฯ ให้ช่วยเข้าสู่เสพย์ษมาคม ถามเงื่อนเค้าเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) จึงนายพร้อม สุดดีพงศ์ ตลาดไชโย เมืองอ่างทอง จึงได้รีบล่องลงมาสู่หา ท่านพระมหาสว่าง วัดสระเกษ นมัสการแล้วยกเหตุขึ้นไต่ถาม ตามเนื้อความที่ชนหมู่มากอยากจะรู้ จะดูจะฟังเรื่องราวแต่คราวครั้งต้นเดิมวงษ์สกุล ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้นเป็นฉันใด ขอพระคุณได้สำแดงให้แจ้งด้วย

ที่นั้นมหาสว่าง ฟังนายพร้อมเผดียงถาม จึงพากันข้ามฟากไปวัดระฆัง ขึ้นยังกุฏิเจ้าคุณพระธรรมถาวร (ช้าง) อันเป็นผู้เฒ่าสูงอายุศม์ ๘๘ ปี ในบัดนี้ยังมีองค์อยู่ ทั้งเป็นผู้ใกล้ชิด ทั้งเป็นศิษย์ทันรู้เห็น ทั้งเคยเป็นพระครูถานาของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง เคยอยู่ตั้งแต่เล็กๆ เมื่อเป็นเด็กเป็นชั้นเหลน

นายพร้อมจึงประเคนสักการะ ถวายเจ้าคุณพระธรรมถาวรแล้วจึงได้ไถ่ถามตามเนื้อความที่ประสงค์

ฝ่ายเจ้าคุณพระธรรมถาวร ท่านจึงได้อนุสรณ์คำนึงนึกไปถึงเรื่องความ แต่หนหลัง ท่านได้นั่งเล่าให้ฟังหลายสิบเรื่อง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่น่าควรคิดพิศวงมาก ลงท้ายท่านบอกว่า อันญาติวงศ์พงษ์พันธ์ ภูมิฐานบ้านเดิมนั้น เจ้าของท่านได้ให้ช่างเขียนเขียนไว้ที่ผนังโบสถ์วัดอินทรวิหาร บ้านบางขุนพรหม พระนคร ล้วนแต่เป็นเค้าเงื่อนตามที่สมเด็จเจ้าโตได้ผ่านพบทั้งนั้น ท่านเจ้าของบอกใบ้สำคัญด้วยกิริยาของรูปภาพ ขอจงไปทราบเอาที่โบสถ์วัดอินทรวิหารนั้นเถิด

ครั้น ม.ล. พระมหาสว่าง เสนีวงศ์ กับนายพร้อม สุดดีพงศ์ ฟังพระธรรมถาวรบอกเล่าและแนะนำจำจดมาทุกประการแล้วจึงนมัสการลาเจ้าคุณพระธรรมถาวรกลับข้ามฟากจากวัดระฆัง รุ่งขึ้นวันที่ ๑๖ กรกฎาคา พ.ศ. ๒๔๗๓ จึงขึ้นไปหารท่านพระครูสังฆรักษ์เจ้าอธิการ วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม แล้วขออนุญาตดูภาพเรื่องราวของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตามคำแนะนำของเจ้าคุณพระธรรมถาวรวัดระฆังบอกให้ดูทุกประการ

ส่วนท่านพระครูสังฆรักษ์ เจ้าอธิการก็มีความเต็มใจ ท่านนำพาลงไปในโบสถ์พร้อมกันแล้ว เปิดหน้าต่างประตูให้ดูได้ตามปรารถนา

นายพร้อมจึงดูรูปภาพ ช่วยกันพินิจพิจารณา ตั้งแต่ฉากที่ ๑ จนถึงฉากที่ ๑๒ นายพร้อมออกจะเต็มตรอง เห็นว่ายากลำบากที่จะขบปัญหาในภาพต่างๆ ให้เห็นความกระจ่างแจ่มแจ้งได้ นายพร้อมชักจะงันงอท้อน้ำใจไม่ใคร่จะจดลงทำยืนงงเป็นงันงันไป

ม.ล.พระมหาสว่าง รู้ในอัธยาศัยของนายพร้อมว่าแปลรูปภาพไม่ออก บอกเป็นเนื้อความเล่าแก่ใครไม่ได้ นายพร้อมอึดอัดตันใจสุดคาดคะเนทำท่าจะรวนเรสละละการจดจำ ม.ล.พระมหาสว่างจึงแนะนำให้นายพร้อมอุตสาห์จดทำเอาไปทั้งหมดทุกตัวภาพ ไม่เป็นไร คงจะได้ทราบสิ้นทุกอย่าง คงไม่เหลวคว้างเหลือปัญญานัก ฉันจะช่วยดุ่มเดาดักให้เด่นเด็ดจงได้ ฉันจะคิดค้นรัชสมัยและพระบรมราชประวัติและราชพงศาวดาร เทียบนิยาย นิทานตำนานต่างๆ ตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่บอกเล่าสืบกันมา เรื่องนี้คงสมมาตร์ปรารถนาอย่าวิตก ฉันจะเรียบเรียงและสาธกยกเหตุผลให้เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายให้สมความมุ่งหมายใคร่รู้ ในเรื่องประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์

แต่ข้อสำคัญเกรงว่าจะช้ากินเวลาหลายสิบวัน เปรียบเช่นกับช่างไม้ทำช่อฟ้า จำต้องนานเวลาเปลืองหน้าไม้ ช่างต้องบั่นทอนผ่อนไปจนถึงแงงอนกนก ของที่ต้องการเปรียบเทียบเท่าที่ตำนานของสมเด็จนี้ กว่าจะเรียงความถูกตามที่ร่างข้อต่อตัดถ้อยคำที่เขินขัด ก็ต้องขุดคัดตัดทอนทิ้ง หรือความขาดไม่พาดพิงพูดไม่ถูกแท้ ก็ตกแต้มแถมแก้แปลให้สอดคล้องต้องกับความจริง สืบหาสิ่งที่เป็นหลักมาพักพิงไม่ให้ผิด สืบผสมให้กรมติดเป็นเนื้อเดียว ไม่พลำพลาด ถึงจะเปลืองกระดาษเปลืองเวลา ฉันไม่ว่าไม่เสียดาย หมายจะเสาะค้นขวนขวายหาเรื่องมาประกอบให้ จะได้สมคิดติดใจมหาชน จะได้ทราบเรื่องเบื้องตนและเบื้องปลาย โดยประวัติปริยายทุกประการ

นายพร้อม สุดดีพงศ์ ได้ฟังคำบริหารอาษาของ ม.ล. พระมหาสว่างรับแข็งแรง จึงเข้มขมัดจัดแจงจดเพียรเขียนคัดบอกเป็นตัวหนังสือมาพร้อม ทุกด้านภาพในฝาผนังทั้ง ๑๒ ฉาก แล้วก็ละพากันกลับมายังวัดสระเกษ ต่อแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ศกนี้มา พระมหาสว่างก็ตั้งหน้าตรวจตราเสาะสืบหาและไต่ถาม ได้เนื้อความนำจดลงคนพงศาวดาร รัชกาลราชประวัติบั่นทอนตัดให้รัดกุม ไม่เดาสุ่มมีเหตุพอความไม่ต่อใช้วิจารณ์ เป็นพยานอ้างตัวเองไปตามเพลงของเรื่องราวที่สืบสาวเรียงเขียนลงเอาที่ตรงต่อประโยชน์ ไม่อุโฆษป่าวร้องใคร ไม่หมิ่นให้ธรเณนทร์ โดยความเห็นจึงกล้าเล่า ดังจะกล่าวให้ฟังดังนี้

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านให้ช่างเขียน เขียนเรื่องของท่านไว้ในฝาผนังโบสถ์วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม ดังนี้ เขียนเมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองว่างว่างไม่มีคน มีแต่ขุนนางขี่ม้าออก เขียนวัดบางลำพูบนผนังติดกับเมืองกำแพงเพชร เขียนบางขุนพรหม เขียนรูปเด็กอ่อนนอนหงายแบเบาะอยู่มุมโบสถ์วัดบางลำพู เขียนรูปนางงุดกกลูก เขียนรูปตาผลว่าพระผล เขียนรูปอาจารย์แก้ววัดบางลำพูกำลังกวาดลานวัด เขียนรูปนายทอง นางเพ็ชร นั่งยองยอง ยกมือทั้งสองไหว้พระอาจารย์แก้ว เขียนรูปพระอาจารย์แก้วกำลังพูดกับตาผลบนกุฏิ เขียนรูปเรือเหนือจอดที่ท่าบางขุนพรหม จึงต้องขอโอกาสแก่ท่านผู้อ่านผู้ฟัง ด้วยข้าพเจ้าตรวจดูภาพทราบได้ตามพิจารณาและคาดคะเนสันนิษฐาน แปลจากรูปภาพบนนั้นคงได้ใจความตามเหตุผลต้นปลายของสมเด็จพระพุฒาจารย์ )โต) วัดระฆัง ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

แต่ครั้งเดิมเริ่มแรก ต้นวงศ์สกุลของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์นี้ ตั้ง คฤหสถานภูมิสำเนา สืบวงศ์พงศ์เผ่าพืชพันธุ์พวกพ้อง เป็นพี่เป็นน้องต่อแนวเนื่องกันมาแต่ครั้งบุราณนานมา ณ แถบแถวที่ใกล้ใต้เมืองกำแพงเพชร เป็นชนชาวกำแพงเพชรมาช้านาน ครั้นถึงปีระกา สัปตศก จุลศักราช ๑๑๒๗ ปี (พ.ศ. ๒๓๐๒) จึงพระเจ้าแผ่นดินอังวะภุกามประเทศ ยกพลพยุหประเวสน์สู่พระราชอาณาเขตร์ประเทศยามนี้กองทัพพม่ามาราวี ตีหัวเมืองเอกโทตรีจัตวา ไล่รุกเข้ามาทุกทิศทุกทาง ทั้งบกทั้งเรือทั้งปากใต้ฝ่ายเมืองเหนือและทางตะวันตก เว้นไว้แต่ทิศตะวันออก หัวเมืองชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นโท ต่อรบต้านทานพม่าไม่ไหว ก็ต้องล่าร้างหลบหนี้ ซ่อนเร้นเอาตัวรอด ราษฎรก็พากันทอดทิ้งภูมิสถานบ้านเรือน เหลี่ยมลี้หนีหายพลัดพรากกระจายไป คนละทิศคนละทางห่างห่างวันกัน ในปีระกาศกนั้นจำเพาะพระยาตาก (สิน) เจ้าเมืองกำแพงเพชรกี้หาได้อยู่ดูแลรักษาเมืองไม่ มีราชการเข้าไปรับสัญญาบัตร เลื่อนที่เป็นพระยาวชิรปราการ แล้วยังมิได้กลับมา พอทราบข่าวศึกพม่า เสนาบดีให้รอรับพม่าอยู่ในกรุงนั้น ครั้นทัพหน้าพม่ารุกเข้ามาถึงกรุง พระยาวชิรปราการก็ต้องกุมพลรบพุ่ง ต้านทานรบรับทัพพม่า พม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยานั้นไว้ กองทัพพม่ามาล้อมกรุงเก่าคราวนั้นเกือบสามปี

ครั้นถึงปีกุนนพศก จุลศักราช ๑๒๒๙ (พ.ศ. ๒๓๑๐) ถึง ณ วันอังคารเดือนห้า แรมเก้าค่ำ เวลาบ่าย ๓ โมงเย็น พม่าจึงนำปืนใหญ่เข้าระดมยิงพระมหานคร พระมหานครก็แตก เสียแก่พม่าในวันอังคาร เดือนห้า ขึ้นเก้าค่ำ ปีกุนศกนั้น

ฝ่ายพระยาวชิรปราการเจ้าเมืองกำแพงเพชร ได้ถือพล ๕๐๐๐ ช่วยป้องกันพระมหานคร ครั้นเห็นว่าชาตากรุงขาด ไม่สามารถจะต่อสู้พม่าได้ ก็พาพล ๕๐๐๐ นั้น ฝ่าฟันหนีออกไปทางทิศตะวันออก ข้ามไปทางพเนียดคล้องช้าง เดินทางไปเข้าเขตเมืองนครนายก แล้วข้ามฟากไปแย่งเอาเมืองจันทบุรี ตีได้แล้วก็เข้าตั้งมั่นบำรุงพลพาหนะละเลียงเสบียงอาหาร สรรพศาสตราวุธยุทธภัณฑ์ไว้พร้อมมูลบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งตัวเป็นเจ้า ชาวเมืองเรียกว่าพระเจ้าตาก ตั้งอยู่เมืองจันทบุรีก๊กหนึ่งในคราวนั้น

ครั้นถึงปีชวด สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๓๐ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๑) พระเจ้าตาก (สิน) ได้ยกพลโยธิแสนยากรเป็นกองทัพ เข้าบุกบั่นรบทัพพม่าตั้งแต่เมืองปาใต้ฝ่ายตะวันตกวกเข้าตีกองทัพพม่ามาถึงกรุงเก่า กองทัพพม่าสู้มิได้ก็แตกฉานล่าถอยขึ้นไปทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ แล้วก็เข้าชิงเอากรุงเก่าคืนจากเงื้อมมือพม่าข้าศึกได้แล้ว ลอยขบวนลงมาตั้งราชธานีที่เมืองธนบุรี ตำบลที่วัดมะกอกนอก เหนือคลองบางกอกใหญ่ ใต้คลองคูวัดระฆังโฆษิตาราม ทรงขนานนามเมืองว่ากรุงธนบุรี พระนามาภิธัยว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี แต่ปีชวดศกนั้นมา

จึงหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ออกไปตั้งคฤหสถานบ้านเรือนครอบครองทรัพย์สมบัติอยู่ ณ บ้านอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ได้เข้ามาพร้อมด้วยเอกะและน้องแลบุตรทั้ง ๔ เข้ามารับราชการในพระเจ้ากรุงธนบุรีๆ ได้ตั้งให้หลวงยกกระบัตรเป็นที่พระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา ถือศักดินา ๑๖ๆๆ ไร่ จึงตั้งคฤหสถานบ้านเรือนอยู่เหนือพระราชวังหลวง ใต้วัดบางหว้าใหญ่ (คือวัดระฆังในบัดนี้) ในปีชวดศกนั้นเอง พระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชทานเกียรติยศเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าพิมายมีชัยชำนะกลับลงมา ทรงพระกรุณาเลื่อนขึ้นเป็นที่พระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางกรมพระตำรวจซ้าย ทรงศักดินา ๓๐๐๐ ไร่ ครั้นถึงปีขาลโทศก ๑๑๓๒ ปี (พ.ศ.๒๓๑๓) พระเจ้ากรุงธนบุรีรับสั่งให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ ถืออาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพยกกองทัพไปปราบเจ้าพระฝาง เมืองสวางคบุรี ตีกองทัพเจ้าพระฝางแตก จับตัวเจ้าพระฝางได้ พร้อมทั้งช้างพังเผือกกับลูกดำ จับตัวพรรคพวกและช้างลงมาถวาย ส่วนพระยาอภัยรณฤทธิ์รั้งหลังเพื่อจัดการบ้านเมืองฝ่ายเหนือป่าวร้องให้อาณาประชาราษฎรที่แตกฉานซ่านเซ็น ให้รวมเข้ามาเป็นหมวดหมู่ตั้งอยู่ดังเก่า ตามภูมิลำเนาเดิมของตน ที่ขัดขวางยากจนก็แจกจ่ายให้ปันพอเป็นกำลังสำหรับตั้งตัวต่อไปภายหน้า เมื่อขณะนี้เองชาวเมืองเหนือจึงได้พากันนิยมสวามิภักดีต่อท่านพระยาอภัยรณฤทธิ์ รักใคร่สนิทแต่คราวนั้นเป็นต้นเป็นเดิมมา เมื่อกองทัพกลับแล้ว พวกราษฎรเมืองเหนือบางครัว จึงได้พากันมาอยู่ในกรุงเก่าบ้าง เมืองอ่างทองบ้าง เมืองปทุมบ้าง เมืองนนทบุรีบ้าง เมืองพระประแดงบ้าง ในกรุงธนบุรีบ้าง ในบางขุนพรหมบ้าง ต่างจับจองจำนองที่ดินซื้อหา ตามกำลังและวาสนาของตนๆ เป็นต้นเหตุ ที่มีผู้คนคับขันขึ้นทั้งในกรุงและหัวเมืองแน่นหนาขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นลำดับมา

ส่วนพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงเลื่อนที่ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ขึ้นเป็นพระยายมราชเสนาบดีที่จตุสดมภ์ กรมพระนครบาล ทรงศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่ พรรษายุกาลได้ ๓๔ ปี ในปลายปีขาลศกนั้นเอง พระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระกรุณาโปรดเลื่อนที่เจ้าพระยายมราชขึ้นเป็นเจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายก อรรคมหาเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย ทรงศักดินา ๑๐๐๐๐ ไร่

ครั้นถึงปีเถาะตรีศก จุลศักราช ๑๑๓๓ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๔) พระเจ้ากรุงธนบุรีมีรับสั่งโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพถืออาชญาสิทธิ์ต่างพระองค์ ยกกองทัพใหญ่ออกไปปราบปรามเมืองเขมรกัมพูชาประเทศก็มีชัยชนะเรียบร้อยกลับมา ได้รับพระราชทานรางวัลพิเศษ

ครั้นถึงปีมะเมีย ฉศก จุลศักราช ๑๑๓๖ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๗) มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพถืออาญาสิทธิ์ ยกกองทัพใหญ่ขึ้นไปล้อมเมืองเชียงใหม่ที่พม่ารักษาอยู่นั้น พม่าซึ่งรักษาเมืองเชียงใหม่ ได้ความอดอยากยากแค้นเข้า ก็พากันละทิ้งเมืองเชียงใหม่เสียแล้วหนีไปสิ้น ก็ได้เมืองเชียงใหม่โดยสะดวกง่ายดาย ในปลายปีมะเมีย ฉศกนั้นเอง อะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพพม่าอายุ ๗๒ ปี เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ในพระเจ้ามังระกรุงอังวะ ครั้งนั้นพระเจ้าอังวะมีพระโองการรับสั่งให้อะแซหวุ่นกี้ถืออาญาสิทธิ์ยกทัพใหญ่ เดินกองทัพเข้ามาถึงด่านเมืองตาก แล้วให้พม่าล่ามถามนายด่านว่า พระยาเสืออยู่รักษาเมืองหรือไม่ นายด่านตอบว่าพระยาเสือไม่อยู่ยังไม่กลับ

อะแซหวุ่นกี้จึงหยุดกองทัพหน้าไว้นอกด่าน แล้วประกาศว่าให้เจ้าเมืองเขากลับมารักษาเมืองเสียก่อน จึงจะยกเข้าตีด่าน เลยเข้าตีเมืองพิษณุโลกทีเดียว (เขียนตามพงศาวดารพม่า)

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงทราบข่าวข้าศึก จึงกรีฑาทัพหลวงขึ้นไปรักษาเมืองพระพิษณุโลกไว้ แล้วให้หากองทัพกลับจากเมืองเชียงใหม่ ครั้นเจ้าพระยาสุรสีห์ทราบว่ากองทัพมาอยู่ปลายด่านเมืองตาก และทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกรีฑาทัพหลวงขึ้นมาประทับอยู่เพื่อป้องกันรักษาเมืองพิษณุโลกด้วย จึงรีบยกกองทัพกลับ ครั้นถึงเมืองพิษณุโลกแล้วเข้าเฝ้าถวายบังคม เจ้าพระยาจักรีอยู่จัดการเมืองเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้เลยตั้งข้าหลวงไปพูดจาปลอบโยนชี้แจงแนะนำเจ้าเมืองแพร่ เจ้าเมืองน่าน เจ้าเมืองลำปาง เจ้าเมืองลำพูน เป็นต้นเหล่านี้ ยอมสวามิภักดิ์ต่อกรุงเทพฯ ขอพึ่งพระบารมีโพธิสมภารเป็นข้าขอบขัณฑสีมาสืบไปตลอดกาลนาน เจ้าพระยาจักรีจึงได้เลิกทัพพาเจ้าลาวและพระยาลาวทั้งปวง ลงมาถึงเมืองพิษณุโลก เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพร้อมกัน ณ เมืองพิษณุโลกนั้น

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงพระโสมนัสนัก จึงพระราชทานฐานันดรศักดิ์จ้าวลาว พระยาลาวทั้งปวงนั้น ให้กลับขึ้นไปรักษาเมืองดังเก่า แล้วจึงพระราชทานรางวัลเป็นอันมากแก่เจ้าพระยาสุรสีห์นั้นได้ออกไปรักษาด่านหน้าเมืองตากโดยแข็งแรงกวดขันมั่นคงทุกประการ

ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพใหญ่พม่า ทราบว่าเจ้าพระยาเสือกลับมาแล้ว ออกมารักษาด่านอยู่ จึงสั่งให้มังเรยางู แม่ทัพพม่าเข้าตีด่าน ฝ่ายทหารรักษาด่านต้านทานทหารพม่าไม่ไหวก็ร่นเข้ามา กองทัพพม่าก็ตีรุกเข้าไปแล้วตั้งค่ายมั่นลงภายในด่านถึง ๓๐ ค่าย

ฝ่ายเจ้าพระยาจีกรีทราบว่า กองทัพเจ้าพระยาสุรสีห์เสียด่านร่นเข้ามา จึงกราบบังคมทูลรับอาสาช่วยเจ้าพระยาสุรสีห์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระโองการรับสั่งว่า "ข้าก็อยากเห็นความคิดสติปัญญาของเจ้าและฝีมือของเจ้าว่าจะเข้มแข็งสักเพียงใด ข้าจะขอดูด้วย จงรีบออกไปช่วยสุรสีห์เถิด"

เจ้าพระยาจักรีกราบถวายบังคมลา ออกมาจัดขบวนทัพพร้อมสรรพ์ แล้วยกออกไปถึงค่ายเจ้าพระยาสุรสีห์ แล้วจึงเจรจาว่า "เจ้าถึงแม้ว่าจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็จริงอยู่ แต่เจ้าเป็นขุนนางบ้านนอก อะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่านั้น เขาเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหลวงพม่า ทั้งเขากอรปด้วยความคิด สติปัญญาเยี่ยมยิ่งอยู่ ความรู้ก็พอตัว พี่จะรบเอง" ต่อแต่นั้นมา เจ้าพระยาจักรีก็จัดทัพออกรุกรับรบพุ่งกับกองทัพอะแซหวุ่นกี้เป็นหลายครั้ง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ล่วงวันและเวลาช้านานมา จนถึงเดือนห้าเดือนหก ปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗ ปี (พ.ศ. ๒๓๑๘) เป็นปีที่ ๘ ในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี

ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่า ก็คิดขยาดระอิดระอา ทั้งทางเมืองพม่าก็ชักจะวุ่นวายขึ้น ทั้งเสบียงอาหารก็บกพร่องจวนเจียนไม่พอจ่าย จึงคิดเพทุบายถามว่า "ใครผู้ใดออกมาเป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการ" ทหารไทยบอกไปว่า เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพ อะแซหวุ่นกี้จึงประกาศหย่าทัพ ขอดูตัวแม่ทัพไทย

เวลานั้นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จทอดพระเนตรอยู่ในค่ายนั้นด้วย ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นกิริยาท่าทางสุภาพองอาจ และท่วงทีรูปโฉมของเจ้าพระยาจักรีเมื่อออกยืนทัพรับอะแซหวุ่นกี้คราวนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระเกษมสันต์โสมนัสปราโมทย์ถึงกับออกพระโอษฐรับสั่งชมว่า "งามเป็นเจ้าพระยากษัตริย์ศึกเจียวหนอ" แต่นั้นมานามอันนี้ จึงเป็นนามที่แม่ทัพนายกองแลทหารทั้งปวง พากันนิยมเรียกว่า เจ้าพระยากษัตริย์ศึกแต่คราวนั้นมา ในกองทัพพม่าก็พลอยเรียกว่า เจ้าพระยากษัตริย์ศึก ตลอดไปจนถึงทางราชการฝ่ายพม่า ก็ได้จดหมายเหตุลงพงศาวดารไว้ว่า เจ้าพระยากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพฝ่ายไทย ได้รบกับอะแซหวุ่นกี้แม่ทัพพม่าที่เมืองพระพิษณุโลก เมื่อปีมะเส็งถึงปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗ ปี ครั้นเมื่อทอดพระเนตรแลทรงชมเชยแล้ว ก็ยาตรากระบวนออกยืนม้าหน้าพลเสนา ณ สนามกลางหน้าค่ายทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายอะแซหวุ่นกี้ ก็จัดกระบวนแต่งตัวเต็มที่อย่างจอมโยธา ออกยืนอยู่หน้ากระบวน ณ กลางสนาม หน้าค่ายทั้งสองฝ่ายเช่นเดียวกัน (ตอนดูตัวนี้ความพิสดารมีแจ้งอยู่ในพระราชพงศาวดาร) ครั้นอะแซหวุ่นกี้ ได้เห็นเจรจาชมเชย พูดจาประเปรยตามชั้นเชิงพิชัยสงคราม แล้วก็นัดรบต่อไป แต่อะแซหวุ่นกี้คิดจะล่าทัพถอยกลับกรุงอังวะเป็นอย่างมากกว่าจะคิดแข็งใจรบเอาเมืองพิษณุโลก แต่แตกแล้วก็ร่นถอยล่าไปออกทางด่านพระเจดีย์ ๓ องค์ทำกิริยาท่าทางเหมือนจะไปชิงเอาเมืองกำแพงเพชร ทำให้ฝ่ายไทยต้องแบงออกเป็นหลายกองติดตามพม่า ก้าวสกัดหน้าตีวกหลังตามเชิงกลยุทธ ฝ่ายสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็เสด็จกลับเข้ากรุงธนบุรี ป้องกันพระราชธานีต่อไป

ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีนั้น ครั้นส่งเสด็จแล้ว จึงจัดกองทัพออกติดตามสกัดจับพม่าตีรุกหลังพม่าแตกฉานเป็นหลายทัพ จับได้รี้พลช้างม้าเป็นอันมาก ทั้งตัวเจ้าพระยาจักรีเองก็ยกทัพหนุนไปด้วย จนถึงเมืองกำแพงเพชร แล้วจัดการพิทักษ์รักษาเมืองโดยกวดขัน ส่วนตัวท่านเจ้าพระยาเองก็ออกขี่ม้าสำรวจตรวจตรากองทัพน้อยๆทั่วไป เพราะใส่ใจต่อหน้าที่ราชการจนพม่าไม่กล้าหาญชิงเอาเมืองเหนือใต้ ต้องหนีออกไปทางด่านชั้นนอก พ้นเขตแดนสยาม กองทัพไทยไล่จับพม่าที่ล้าหลังได้ไว้เป็นกำลังราชการเป็นอันมาก ทัพอะแซหวุ่นกี้ล่าทัพออกพ้นประเทศอาณาเขตสยามในคราวนี้ตามกำหนดมีว่าเดือน ๗ ปีมะแม สัปตศก จุลศักราช ๑๑๓๗ ปี

ครั้งนั้นเจ้าพระยาจักรี ตั้งทัพอยู่ ณ เมืองกำแพงเพชร เวลาเช้าวันหนึ่งออกลาดตระเวนกองทัพทั้งปวงเพื่อบัญชาการ และชักม้าวกลัดเพื่อตัดทาง ม้าก็เลยพาท่านเข้าป่าฝ่าพงจำเพาะมายังบ้านปลายนาใต้เมืองกำแพงเพชร เป็นเวลาเย็น จึงแลเห็นโรงหนึ่งตั้งอยู่ปลายทุ่งนา เจ้าคุณแม่ทัพผู้นั้นจึงได้ชักม้าไปถึงโรงนั้นไม่เห็นมีคนผู้ใหญ่อยู่ได้ เห็นแต่หญิงสาวตนหนึ่งเดินออกมา เจ้าคุณแม่ทัพผู้นั้นจึงบอกแก่นางสาวคนนั้นว่า ข้ากระหายน้ำ เจ้าจงตักน้ำมาให้ข้ากินสักขันเถิด นางสาวคนนั้นจึงวิ่งด่วนเข้าไปในห้อง หยิบได้ขันล้างหน้าใบหนึ่งแล้วจ้วงตักน้ำในหม้อกลั่น แล้วล้วงไปหักดอกบัวหลวงในหนองน้อยข้างโรงนั่นสองสามดอก แล้วฉีกกลีบเด็ดเอาแต่เกสรบัวโรยลงไปในขันน้ำนั้นจนเต็ม แล้วนำส่งให้บนหลังม้า เจ้าคุณทัพรับเอามาเป่าเกสรเพื่อแหวกหาช่องน้ำแล้วต้องเอาริมฝีปากเบื้องบนเม้มเกสรไว้ แล้วดูดดื่มน้ำจนหมดขันด้วยอยากกระหายน้ำ ครั้นดื่มน้ำหมดแล้ว เจ้าคุณแม่ทัพจึงถามนางสาวคนนั้นว่า เราอยากกระหายน้ำสู้อุตสาห์บากหน้ามาขอน้ำเจ้ากิน เหตุไฉนจึงแกล้งเราเอาเกสรบัวโรยลงส่งให้เรากินน้ำของเจ้าลำบากนัก เจ้าแกล้งทำเล่นแก่เราหรือ

นางสาวคนนั้นตอบว่า "ดิฉันจะได้คิดแกล้งท่านนั้นก็หาไม่ ที่ดิฉันเอาเกสรบัวโรยลงในขันน้ำให้เต็มนั้น เพราะดิฉันเห็นว่า ผากแดดแผดลมเหนื่อยมา และกระหายน้ำด้วย ก็เพื่อป้องกันเสียซึ่งอันตรายแห่งท่าน เพื่อจะกันสำลักน้ำและสะอึกน้ำ และกันจุกแน่นแห่งท่านผู้ดื่มน้ำของดิฉัน ถ้าท่านไม่มีอันตรายในการดื่มน้ำแล้ว น้ำจะได้ทำประโยชน์แก้กระหายแห่งท่าน ดิฉันจะพลอยได้ประโยชน์เพราะให้น้ำแก่ท่าน ท่านสมปรารถนาแล้วก็จะเป็นบุญแก่ดิฉัน เหตุนี้ดิฉันจึงโรยเกษร" เจ้าคุณแม่ทัพฟังคำนางสาวตอบอย่างไพเราะอ่อนหวาน ถ้อยคำที่ให้การมานั้นก็พอฟัง จึงลงมาจากหลังม้าแล้วถามว่า "ตัวของเจ้าก็เป็นสาวเต็มเนื้อแล้ว มีใครๆมาหมั้นหมายผูกสมัครรักใคร่เจ้าบ้างหรือยัง" นางสาวบอกว่า "ยังไม่เห็นมีใครๆ มารักใคร่หมั้นหมายดิฉัน และดิฉันก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวบอกใครว่าเป็นสาว มัวแต่หลบซ่อนตัวอยู่ ด้วยบ้านเมืองเกิดยุ่งนุ่งถุงมานานจนกาลบัดนี้ จึงมิได้มีใครเห็นว่าดิฉันเป็นสาว" เจ้าคุณทัพว่า "ถ้ากระนั้นเราเองเป็นผู้ที่ได้มกเห็นเจ้าเป็นสาวก่อนคน เจ้าต้องยอมตกลงเป็นคู่รักของเรา เราจะต้องเป็นคู่ร่วมรักของเจ้าสืบไป เจ้าจะพร้อมใจยินยอมเป็นคู้รักของเราโดยสุจริตหรือว่าประการใด"

นางสาวตอบว่า "การที่ท่านจะมาเป็นคู่รักของดิฉันนั้น ก็เป็นพระเดชพระคุณยิ่งอยู่แล้ว แต่ทว่าการจะมีผัวมีเมียกันตามประเพณีนั้น ดิฉันไม่ทราบเรื่อง จะว่าประการใดแก่ท่านก็ไม่มีอะไรจะว่า เรื่องการผัวการเมียนั้น ท่านต้องเจรจากับผู้ใหญ่ขึงจะทราบการ" เจ้าคุณแม่ทัพถามว่า "ผู้ใหญ่ของเจ้าไปไหน" นางสาวตอบว่า "ไปรดน้ำถั่วจวนจะกลับแล้ว" เจ้าคุณแม่ทัพขยับเดินเข้าให้ใกล้ นางสาวไพล่วิ่งปรู๋ออกแอบที่หลังโรงเลยไม่เข้าหา ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็ต้องนั่งเฝ้าโรงคอยท่าบิดามารดาของนางสาวต่อไป จนเกือบตะวันตกดินจวนค่ำ

ฝ่ายตาผล ยายลา กลับมาถึงโรงแล้ว เจ้าคุณแม่ทัพได้เห็นแล้ว จึงยกมือขึ้นไหว้ตายายก็น้อมตัวก้มลงไหว้ตอบ ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็ก้มลงไหว้ให้ต่ำลงไปอีก ตายายก็หมอบลงไปไหว้อีก ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็หมอบไว้อยู่อย่างนั้น ต่างคนต่างหมอยตัวกันอยู่นั่น ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายยายแกเป็นคนปากเร็ว แกนึกขันและประหลาดใจแกจึงเปิดปากถามออกไปก่อนว่า "นี่เป็นขุนนางมาแต่บางน้ำบางกอก เหตุไฉนจึงมาหมอบกราบไหว้ข้าเจ้า เป็นชาวบ้านนอกเป็นชาวทุ่งชาวป่า เป็นคนยากจน ท่านจะมาหมอบไหว้ข้าเจ้าทำไม" เจ้าคุณแม่ทัพบอกว่า "ฉันมาสมัครเข้ามาเป็นลูกเขยท่านทั้งสอง จ้ะข้ะ"

ยายถามว่า "ท่านเห็นดีงามอย่างไร เห็นลูกสาวฉันเป็นอย่างไร ท่านจึงจะมายอมตัวเป็นลูกเขยเล่า" เจ้าคุณแม่ทัพว่า "ฉันเห็นบุตรสาวท่านดีแล้ว พอใจแล้ว จึงเข้ามาอ่อนน้อมยอมตัวเป็นลูกเขยท่าน" ท่านเจ้าคุณแม่ทัพเล่าถึงกาลแรกมาขอน้ำและนางเอาเกสรบัวโรยลงและได้ต่อว่า นางได้โต้ตอบถ้อยคำน่าฟังน่านับถือ จึงทำให้เกิดความรักปราณีขึ้น และตั้งใจจะเลี้ยงดูจริงๆ จึงต้องทนอยู่คอยท่า เพื่อจะแสดงความเคารพและขอเป็นเขย ขอให้แม่พ่อมีเมตตากรุณาเห็นแก่ไมตรีที่ได้มาอ่อนน้อมพูดจาโดยเต็มใจจริงๆ ตามวาจาที่ว่ามานี้ทุกอย่าง "ขอพ่อแม่ได้โปรดอนุญาตยกนางสาวลูกนั้นให้เป็นสิทธิ์แก่ฉันในวันนี้" ยายตาแกร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า "โอตายจริง ข้าเจ้าเป็นคนยากจนข่นแค้นและต่ำศักดิ์ ทั้งผ้าผ่อนที่หลับที่นอนก็เหม็นตืดเหม็นสาบ ทั้งเครื่องเย่าเครื่องเรือนก็ขัดขวาง ทั้งถ้วยชามรามไหทีดีงามก็ไม่มี ฉิบหายป่นปี้แต่ครั้นบ้านเมืองเกิดยุ่งนุงนังหลายครั้งหลายครามาแลตัวนางหนูเล่าก็ยังไม่เป็นภาษา ทั้งจริตกิริยาก็ยังป่าเถื่อน ไม่เหมือนชาวใต้ จะใฝ่สูงเกินศักดิ์เกินสมควรไปละกระมังพ่อคุณ"

เจ้าคุณแม่ทัพว่า "ข้อนั้นพ่อแม่อย่ามีความวิตกหวาดกลัวอะไรเลย ข้อสำคัญก็คือ แม่พ่อยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ฉันเด็ดขาดแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของฉันฝ่ายเดียว ตามที่แม่พ่อยกขึ้นเป็นทางปรารมภ์นั้น เป็นธุระของฉันหมดทุกอย่าง ขอแต่ว่าอย่าเกี่ยงงอนขัดขวางดิฉันเลย"

ยายลา ตาผล ขอทุเลาถามเจ้าตัวว่า "มันอยากมีผัวหรืออย่างไรไม่ทราบ" แล้วก็ออกไปตามหาที่หลังโรง ตายายพูดกับลูกสาว ลูกสาวพูดกับพ่อกับแม่ได้ยินแต่กระจู๋กระจี๋กระเส่าๆ กระซิบกระซาบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กลับมา แล้วนั่งลงถามว่า "ในเวลานี้ท่านก็มาแต่ตัวกับม้าตัวหนึ่ง ถ้าหากว่าดิฉันทั้งสองพร้อมใจยกอีงุดลูกสาวฉันให้เป็นเมียท่าน ท่านจะจัดการประการใดแก่ดิฉันเพื่อให้เป็นมงคล จงว่าให้ดิฉันฟังก่อนเถิดเจ้าข้ะ"

เจ้าคุณแม่ทัพถอดแหวนออกจากนิ้วแล้วบอกว่า "แหวนวงนี้มีราคาสูง ถ้าว่าท่านบิดามารดายินยอมพร้อมใจ ยกแม่งุดให้เป็นเมียเป็นสิทธิ์แก่ฉันแล้ว ฉันจะยกแหวนวงนี้ ตีราคาทำสัญญาให้ไว้เป็นสินถ่าย ๒๐ ชั่ง คิดเป็นทุนเป็นค่าของหมั้นขันหมากผ้าไหว้อยู่ใน ๒๐ ชั่ง ทั้งค่าเครื่องเย่าเครื่องเรือนเบี้ยเลี้ยงค่าเลี้ยงค่าดู ค่าเครื่องเส้นวักตั๊กแตนเสร็จในราคา ๒๐ ชั่ง ด้วยแหวนวงนี้" สองตายายได้ฟังดีใจ เต็มใจ พร้อมใจ ตกลงยกลูกสาวให้ตามปรารถนา เจ้าคุณแม่ทัพก็จัดแจงยืมพานปากกระจับทองเหลืองมาแล้วเขียนสัญญาถ่ายแหวนแล้วเอาใบตองรองก้นพานแล้ววางแหวนที่ว่านั้นลงบนใบตองรองในพาน เชิญเข้าไปคุกเข่าส่งให้ตายายๆ ก็ให้ศีลให้พร เป็นต้นว่า ขอให้พ่อมีความเจริญด้วยลาภยศ ให้เป็นเจ้าคนนายคนเถิด แล้วจัดแจงหุงข้าว ต้มแกง พล่ายำ ตำน้ำพริก ต้มผัก เผาปลา เทียบสำรับตามป่าๆ แล้วเชิญให้อาบน้ำทาดินสีพอง ยายตาก็อาบน้ำ ลูกสาวก็อาบน้ำ ตาตักน้ำให้ม้ากิน พาไปเลี้ยงให้กินหญ้า ครั้นเจ้าคุณแม่ทัพอาบน้ำทาดินสีพองแล้ว ลูกสาวทาขมิ้นแล้ว ยายก็ยกสำรับปูเสื่อลำแพน แล้วเอาผ้าขาวม้าปูบนเสื่อลำแพน ยายเชิญเจ้าคุณแม่ทัพให้รับประทานอาหาร

ยายตาก็รับประทานพร้อมกัน นางงุดนั้นให้กินภายหลัง ครั้นรับประทานอาหารแล้วต่างคนนั่งสั่งสนทนากัน ครั้นเวลา ๔ ทุ่ม จึงพาลูกสาวออกมารดนำรดท่า เสร็จแล้วก็ส่งมอบหมายฝากฝังตามธรรมเนียมของชาวเมืองกำแพงเพชรอันเคยทำพิธีมาแต่ก่อน

ส่วนเจ้าคุณแม่ทัพรับตัวแล้ว ก็หลับนอนอยู่ด้วยนางงุดในกระท่อมโรงนาจนรุ่งสางสว่างฟ้าแล้ว ตื่นขึ้นอาบน้ำ รับประทานอาหารแล้วก็ลาตายายขึ้นม้ามาบัญชาการที่กองทัพ พอเวลาค่ำสั่งการเสร็จสรรพแล้ว ห่อเงิน ๒๐ ชั่งมาสู่โรงบ้านปลายนาถ่ายแหวนคืนสัญญาแล้วก็หลับนอน เช้ากลับค่ำไป เป็นนิยมมาดังนี้ แม่ทัพนายกองทั้งปวงจะได้ล่วงรู้และร่ำลือให้อื้อฉาวก็เป็นอันว่าหามิได้ แต่บุตรชายของเจ้าคุณแม่ทัพซึ่งนอนอยู่ในค่ายมีอายุ ๘ ขวบโดยปี จะรู้ก็เข้าใจว่าไปดูแลตรวจตราบัญชาการ แต่เป็นดังนี้นานประมาณเดือนเศษ ตามสังเกตรู้ว่านางงุดตั้งครรภ์ ต่อแต่นั้นก็เพียงแต่ไปมาถามข่าว

ครั้นมีท้องตราหากองทัพกลับ เจ้าคุณแม่ทัพก็ไปล่ำลาและสั่งสอนกำชับกำชาโดยนานับประการ จนนางเข้าใจราชการตลอดรับคำทุกประมาร แล้วท่านก็คุมทัพกลับกรุงธนบุรี

ครั้นนางงุดได้แต่งงานแล้ว เมื่อเดือนแปด ปีมะแม สัปตศก แล้วก็ตั้งครรภ์ เมื่อครรภ์ยังอ่อนๆอยู่นั้น นางงุดไปปรึกษาหารือด้วย ตาผล ยายลา ผู้เป็นบิดามารดาว่าจะคิดการขึ้นล่องค้าขายกรุงธนบุรีและเมืองเหนือนั้น ครั้นคนทั้งสามปรึกษาตกลงเห็นชอบพร้อมใจกันแล้ว คนทั้งสามจึงได้รวบรวมเงินต้นทุนที่ได้ไว้ ปันส่วนออกเป็นค่าเรือ ค่าสินค้า ค่ารองสินค้า ค่าจ้างคน ค่าซ่อมแซมอุดยาเรือ มั่นคงเรียบร้อยแล้ว จึงละโรงนานั้นเสีย ส่วนนาและไร่ผักก็ให้เขาเช่าเสียแล้ว พากันลงอยู่ในเรือใหญ่ จัดการซื้อสินค้าบรรทุกเรือนั้นเต็มระวาง

ครั้นถึงกำหนดล่องกรุงธนบุรี จึงเรียกคนแจวออกเรือ ล่องลงมาถึงบ้านบางขุนพรหม ฝั่งตะวันออกแห่งกรุงธนบุรีแล้ว เข้าจอดเรืออาศัยท่าหน้าบ้านนายทอง นางเพียน บางขุนพรหม เป็นคนเคยอยู่เมืองเหนือแต่ก่อน และนายทองนางเพียนได้ลงมาอยู่บางขุนพรหม ครั้นตาผลจัดการจอดเรือเรียบร้อยแล้ว จึงผ่อนสินค้าขายส่งจนหมดลำ จึงจัดซื้อสินค้าบางกอกและสินค้าเมืองปักษ์ใต้ บรรทุกเรือตามระวางแล้ว พอถึงวันกำหนดจึงแจวกลับขึ้นไปปากน้ำโพจำหน่ายในตลาดเมืองเหนือ ตั้งแต่เมืองนครสวรรค์ขึ้นไป จนถึงเมืองกำแพงเพชร ครั้นคนทั้งสามซื้อและขายหมดเสร็จแล้วก็กลับบรรทุกสินค้าเมืองเหนือกลับล่องเรือลงมาจอดท่าหน้าบ้านนายทอง นางเพียน บางขุนพรหม ค้าขายโดยนิยมดังนี้ ล่วงวันและราตรีมาถึงเก้าเดือน ได้กำไรมากพอแก่การปลูกเรือนแล้ว จึงเหมาช่างไม้ให้ปลูกเป็นเรือนแพสองหลังแฝด มีชานสำหรับผึ่งแดดพร้อมทั้งครัวไฟ บันไดเรือนบันไดน้ำ จำนองที่ดินลงในถิ่นบางขุนพรหมเหนือบ้านนายทอง นางเพียนขึ้นไปสัก ๔ ว่าเศษ เพื่อเหตุจะได้อาศัยคลอดลูกและใช้ผูกพักผ่อนหย่อนสินค้า เห็นเป็นการสะดวกดีที่สุด

ครั้นถึง ณ วันพุธ เดือนหก ปีวอก อัฏฐศก จุลศักราช ๑๑๓๘ (พ.ศ. ๒๓๑๙) นางงุดปั่นป่วนครรภ์เป็นสำคัญรู้กันว่าจะคลอดบุตร จึงจัดแจงห้องนางงุดให้เป็นที่คลอดบุตรโดยฉับไว บนเรือนที่ปลูกใหม่บางขุนพรหมนั้น ครั้นได้ฤกษ์งามยามดี นางงุดก็คลอดบุตรเป็นชายที่ล่ำสัน หมู่ญาติมิตรก็ได้มาพร้อมกันช่วยอภิบาลบำรุงรักษาพยาบาล

ครั้นบุตรนั้นเจริญวัฒนาการประมาณได้สักเดือนเศษ ญาติมิตรพากันมาสังเกต ตรวจตราจับต้อง ประคองทารกน้อยขึ้นเชยชม บางคนคลำถูกกระดูกแขนเห็นเป็นแกนกระดูกท่อนเดียวกัน ก็พากันเฉลียวใจโจทย์กันไปโจทย์กันมา ครั้นช้อนทารกขึ้นนอนบนขาเพื่อจะอาบน้ำจึงพากันเห็นปานดำที่กลางหลังอยู่หนึ่งดวง ต่างคนต่างก็ทักท้วงกันไปทายกันมาพูดไปต่างๆ นานาเป็นวาจาต่ำบ้างสูงบ้างเป็นความเห็นของคนหมู่มาก ทักทายหลายประการ จึงทำความรำคาญให้แก่นางงุดไม่สบายใจ เกรงไปว่าวาสนาตัวน้อย จะไม่สามารถคอยเลี้ยงลูกคนนี้ยาก นางงุดถึงออกปากอ้อนวอนบิดา นายทองและนางเพียน ให้ช่วยสืบเสาะดูให้รู้ว่าพระสงฆ์องค์เจ้ารูปใดอยู่วัดไหนที่อย่างดีมีอยู่บ้างในแถวนี้ เห็นพระสงฆ์ที่ดี มีศีลธรรมวิชาภูมิรู้ปฏิบัติเคร่งครัดอยู่ในวัดใด ขอได้ช่วยพาบุตรไปถวายเป็นลูกท่านองค์นั้นในวัดนั้นด้วยเถิด

นายทอง นางเพียนจึ่งพากันนิ่งนึกตรึกตราไปทุกวัน ในแถบนั้นจึงคิดถึงหลวงพ่อแก้ว วัดบางลำพูบน จึงบอกแก่นายผลว่า หลวงพ่ออาจารย์แก้ววัดบางลำพูบนนี้ท่านดีจริง ดีทุกสิ่งตามที่กล่าวมานั้น ทั้งเป็นพระสำคัญเคร่งครัด ปริยัติ ปฏิบัติก็ดี วิชาก็ดี มีผู้คนไปมานับถือขึ้นท่านมากถ้าพวกเราไปออกปากฝากถวายเจ้าหนูแก่ท่าน เห็นท่านจะไม่ขัดข้อง เพราะท่านมีอัธยาศัยกว้างขวางดี เมื่อคนทั้ง ๔ นิ่งปฤกษาหารือตกลงเห็นพร้อมใจกันแล้ว จึงได้พากันลงเรือช่วยกันแจวล่องมาวัดบางลำพูบนเมื่อเวลาบ่าย ๔ โมงเย็น ถึงแล้วก็พากันขึ้นวัด นางงุดอุ้มเบาะลูกอ่อนพาไปนอนแบเบาะไว้มุมโบสถ์วัดบางลำพู ตอนข้างใต้หน้ากุฏิพระอาจารย์แก้ว แล้วนายทองนางเพียน จึงไปเที่ยวตามหาพระอาจารย์แก้ว เวลาเย็นนั้นท่านพระอาจารย์แก้วเคยลงกระทำกิจกวาดลานวัดทุกๆ วันเป็นนิรันดรมิได้ขาด

นายทอง นางเพียน มาหาพบหลวงพ่อ กำลังกวาดลานข้างตอนเหนืออยู่ นายทอง นางเพียนจึงทรุดตัวลงนั่งยองยอง ยกมือทั้งสองขึ้นประนมไหว้ แล้วออกวาจาปราสรัยบอกความตามที่ตนประสงค์มาทุกประการ ฝ่ายหลวงพ่ออาจารย์แก้ว ฟังคำทำนายนางเพียนแล้วตรวจนิ้วมือ ดูรู้ฤกษ์ยามตามตำรา ท่านจึงพิงกวาดไว้ที่ง่ามต้นไม้แล้วก็มาขึ้นกุฏิ ออกนั่งที่สำหรับรับแขกบ้านทันที

ตาผล นางงุด ก็ประคองบุตรน้อยขึ้นกุฏิ เข้ากราบกรานพระอาจารย์แก้ว แล้วจึงกล่าวคำว่า กระผมเป็นตาของอ้ายหนูน้อย อีแม่มันนั้นเป็นลุกสาวของกระผมๆ กับอีแม่มันมีความยินยอมพร้อมใจกันยกอ้ายหนูน้อยถวายหลวงพ่อเป็นสิทธิขาดแต่วันนี้ ขอหลวงพ่อได้โปรดปรานีโปรดอนุเคราะห์ รับอ้ายเจ้าหนูน้อยเป็นลูกของหลวงพ่อด้วยเถิดภ่ะค่ะ ครั้นกล่าวคำเช่นนั้นแล้ว จึงพร้อมกันอุ้มเบาะทารกขึ้นวางบนตักหลวงพ่อพระอาจารย์แก้ว แล้วก็ถอยมานั่งอยู่ห่างตามที่นั่งอยู่เดิมนั้น

ฝ่ายพระอาจารย์แก้ว ตั้งใจรับเด็กอ่อนไว้แล้ว ท่านก็ตรวจตราพิจารณาดู ท่านก็รู้ด้วยการพิจารณา รู้ว่าเด็กคนนี้มีปัญญาสามารถทั้งเฉลียวฉลาดในการร่ำเรียนทั้งประกอบด้วยความเพียรและความอดทน ทั้งจะเป็นบุคคลที่เปรื่องปราชญ์อาจหาญ ทั้งจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญวิทยาคม ทั้งจะมีแต่คนนิยมฤๅชาปรากฏ ทั้งจะเป็นคนกอรปด้วยอิสริยศบริวารยศมาก ทั้งจะเป็นคนประหลาดแปลกกว่าคน ทั้งจะเจริญทฤฆชนม์มีอายุยืนนาน ครั้นพระอาจารย์แก้วตรวจวิจารณ์ชะตาราศีแล้ว จึงผูกข้อมือเสกเป่าเข้าปากนวดนาบด้วยนิ้วของท่าน เพื่อรักษาเหตุการณ์ตาลทราง หละ ละลอก ทรพิศม์ ไม่ให้มีฤทธิมารบกวนแก่กุมารน้อยต่อไป แล้วท่านก็ฝากให้นางงุดช่วยเลี้ยง กว่าจะได้สามขวบเป็นค่าจ้างค่าน้ำนมข้าวป้อนเสร็จปีละ ๑๐๐ บาท แล้วท่านก็ประกาศสั่งซ้ำว่า อย่าให้มารดากินของขมและของเผ็ดร้อน และของบูดแฉะเกรงขีระรสธาราจะเสีย แล้วท่านก็กำชับสั่งนายผลให้เอาใจใส่ระไวระวังคอยเตือน อย่าให้นางแม่มันเล่นเล่อเหม่อประมาท คอยขู่ตวาดนางแม่มันอย่าให้กินของแสลงตามที่เราห้ามจงทำตามทุกประการ

ฝ่ายตาผล นางงุด พนมมือรับปฏิญาณแล้วกราบกรานลา รับเบาะลูกน้อยมาแล้วลงกุฏิ พากันมาลงเรือปู้แหระ ช่วยกันแจวแชะแชะมาจนถึงเรือใหญ่ท่าหน้าบ้านบางขุนพรหมแล้วก็รออยู่พอหายเหนื่อย จนอายุเด็กเจริญขึ้นได้ ๓ เดือน จึงหาฤกษ์โกนผมไฟในเดือน ๙ ปีวอก ฉศกนั้น ครั้นกำหนดวันฤกษ์แล้วจึงนายผลออกไปวัดบางลำพูบน นิมนต์ท่านพระอาจารย์แก้ว แล้วขอเผดียงสงฆ์อีก ๔ รูป รวมเป็น ๕ รูป เข้ามาเจริญพระปริตรพุทธมนต์ในเวลาเย็น รุ่งขึ้นฤกษ์โกนผมไฟ แล้วนิมนต์รับอาหารบิณฑบาตร

ครั้นนายผลทราบว่า พระอาจารย์ทราบแล้วจึงนมัสการลากลับมา เที่ยวบอกงานและจัดหาเครื่องบูชา เครื่องใช้สอย โตกถาดภาชนะ ทั้งเครื่องบุดาดอาสนะพร้อมแม่ครัว เมื่อถึงวันกำหนด พระสงฆ์มาพร้อม จึงเผดียงขึ้นสู่โรงพิธีบนเรือนแพที่ปลูกใหม่นั้น แล้วพระสงฆ์ก็เริ่มการสวดมนต์ ครั้นสวดมนต์แล้ว พระสงฆ์กลับแล้วจึงจัดการเลี้ยงดูกัน

ครั้นรุ่งเช้าพระสงฆ์มาพร้อมนั่งอาสน์ จึงนำเด็กออกมาฟังพระสวดมนต์ พระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาแล้วโกนผมไฟกันไปเรื่อย แล้วจัดอาหารบิณบาตรอังคาสแก่พระสงฆ์แล้ว พระสงฆ์ทำภัตกิจ อนุโมทนาแล้วกลับ จึงจัดการประพรมเย่าเรือนจุณเจิมเรือและเรือนเสร็จ

ครั้นจัดการทำบุญให้ทานเสร็จแล้ว พักผ่อนพอหายเหนื่อยจึงจัดสรรพสินค้าเมืองปักษ์ใต้ได้เต็มระวางแล้วจึงออกเรือไปเมืองเหนือ จำหน่ายสินค้า ก็จัดรองสินค้าเมืองเหนือมาจำหน่ายในบางกอก กระทำพานิชกรรมสัมมาอาชีวะอย่างนี้เสมอมา ก็บันดาลผลให้เกิดหมุนภูลเถามั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้นหลายสิบเท่า พ่อค้าแม่ค้าทั้งปวงก็รู้จักมักคุ้นมากขึ้นเป็นลำดับมา ตาผล ยายลา นางงุด จึงได้ละถิ่นถานทางเมืองกำแพงเพชรเสียลงมาจับจองจำนองหาที่ดินเหนือเมืองพิจิตรปลูกคฤหาสถานตระหง่านงามตามวิสัยมีเรือนอยู่ หอนั่ง ครัวไฟ บันไดเรือน บันไดน้ำ โรงสี โรงกระเดื่อง โรงพักสินค้า โรงเรือน รั้วล้อมบ้าน ประตูหน้าบ้าน ประตูหลังบ้าน ได้ทำบุญให้ทานที่วัดใหญ่ในเมืองพิจิตรนั้น จึงได้มีความชอบชิดสนิทกับท่านพระครูใหญ่ วัดใหญ่นั้น มีธุระปะปังอันใดก็ได้สังสรรค์ไปมา ทายกแจกฎีกาไม่ว่าการอะไร มาถึงแล้วไม่ผลัก ยินดีรักในการทำบุญการกุศล เลยเป็นบุคคลมีหน้าปรากฏในเมืองพิจิตรสืบไป

ท่านพระครูใหญ่วัดใหญ่ในเมืองพิจิตรนั้นท่านองค์นี้ดีมากในทางความรู้วิชาอาคมก็ขลังมาก วิชาฝ่ายนักเลงต่างๆ พอใช้ เป็นที่เคารพยำเกรองของหมู่นักเลงขยั้นเกรองกลัวท่านมาก ท่านพระครูใหญ่วัดใหญ่พระองค์นี้ เชี่ยวชาญชำนาญรอบรู้ในคัมภีร์มูลประกรณ์ทั้ง ๕ คัมภีร์หามีผู้เปรียบเทียบเท่าท่านในเมืองนั้นในคราวนั้นมิได้ ใช่แต่เท่านั้นท่านขลังในอาคมทางอยู่ยงคงกระพันชาตรีทางภูตทางผีทางปีศาจก็เก่งพร้อม ห้ามเสือห้ามจรเข้ ห้ามสัตว์ร้ายก็ได้ เสกเป่าให้คนและสัตว์ร้ายอ่อนเพลียเสียกำลัง ยืนงงนั่งจังงังก็ทำได้ พระสงฆ์ในเมืองพิจิตรเกรองกลัวท่านมากตลอดแขวงตลอดคุ้ม ไม่มีวัดไหนล่วงบัญญัติกัตติกสัญญาณาบัติเลย ทั้งเจ้าเมืองกรมการก็ยำเกรมขามท่านพระครูวัดใหญ่มาก ใช่แต่เท่านั้น ท่านกอรปด้วยเมตตากรุณาอนุกูล สัปปุรุส อุบาสิกา สานุศิษย์ มิตรญาติ สงเคราะห์อนุเคราะห์ อารีอารอบทั่วไป มีอัธยาศัยกว้างขวาง เผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลคนที่ ควรสงเคราะห์ ไม่จำเพาะบุคคล ข่มขี่ขัดเกลากิเลสด้วยไม่โลภโมห์โทสันต์ ขันติธรรมก็พอใช้ วินัยก็พอชม มีผู้นิยมสู่หามาไปมิได้ขาด ทั้งฉลาดในข้อปฏิสัณฐาน การวัดก็จัดจ้านเอาใจใส่ การปฏิสังขรก็เข้าใจปะติประต่อก่อปรุงถาวร วัตถุกรรมแนะนำภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา ให้รู้จัดกิจถือพระพุทธศาสนาให้กอรปด้วยประสาทะศรัทธามั่นคง จำนงแน่ในพระรัตนตรัยหมั่นเอาใจใส่สอนศิษย์ให้รู้ทางประโยชน์ดี

เมื่อตาผล ยายลา นางงุดจะล่องลงมาค้าขาย ก็ต้องออกไปล่ำลารดน้ำมนต์รับน้ำมาพรมสินค้า และพรมเรือ พรมคนแจว พรมบ้านเรือน เพื่อให้พ้นภัยอันตรายให้ซื้อง่ายขายคล่อง เวลาตาผลนางงุดกลับ ก็ต้องขึ้นสักการะท่านพระครู จึงบันดาลให้มีผู้นิยมรักแรงเข็งขอบไปทั้งเมืองเหนือเมืองใต้ มีคนเกรงใจเชื่อหน้าถือตา เมื่อจะค้าก็ไม่ต้องลงทุนได้ผ่อนทรัพย์ออกไปหมุนหาดอกเบี้ย และปัวเปียเข้าหุ้นกับพ่อค้าใหญ่ๆ ก็ได้กำรงอกงาม ตามประวัติการแห่งพาณิชยกรรม ร่ำมาด้วยประการดังนี้

(เรียบเรียงตามเค้ารูปภาพในฉากที่หนึ่ง คงได้ความเพียงนี้)

เรื่องที่ว่า ตาผล ยายลา นางงุด ค้าขายเกิดหนุนพูลเถา ได้กำไรมั่งมี ถึงกับย้ายถิ่นฐานภูมิลำเนาเดิมมาตั้งหลักฐานอยู่ในแขวงเมืองพิจิตรนั้น เรียงความตามเค้ารูปภาพในฝาผนังเป็นฉากที่ ๒ เจ้าของท่านเขียนเป็นรูปเมืองพิจิตร เขียนรูปเจ้าเมืองพิจิตรกำลังมีงาน เขียนรูปวัดใหญ่ในเมืองพิจิตร เขียนรูปท่านพระครูใหญ่ เขียนรูปสามเณรโตเรียนหนังสือ เขียนรูปสามเณรโตทดลองวิชาที่เรียนจากท่านพระครูใหญ่วัดใหญ่ เขียนบ้านเรือน ตาผล ยายลา นางงุด เขียนหนูโต ๗ ขวบ พิจารณาแล้วลงสันนิษฐาน อนุมานแปลออกจากใบ้ในรูปภาพประวัติฉากที่ ๒ ของท่าน คงได้เรื่องได้ความ ดังจะเล่าสู่กันฟังดังนี้

ครั้นถึงปีขาล จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๔๔ แผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรีสิ้นอำนาจแล้ว เป็นปีที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ขึ้นเถลิงถวัลราชย์ปราบดาภิเษกเปลี่ยนเป็นปฐมบรมจักรีพระองค์แรก และย้ายพระมหานครมาข้างฝั่งตะวันออกแห่งกรุงธนบุรี ตรงหัวแหลมระหว่างวัดโพธิและวัดสลัก เป็นวัดเก่ามากทั้ง ๒ วัด เป็นคราวผลัดแผ่นดินใหม่ ทรงขนานนามพระนครใหม่ว่า กรุงเทพพระมหานครฯลฯ พระบรมราชนามาภิไธยว่า สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ กรุงเทพฯ ทรงตั้งเจ้าพระยาสุรสีห์น้องชาย เป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามหาสุรสีหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงตั้งมเหสีเดิม เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงตั้งสมเด็จพระจ้าหลานเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์เทเวศร์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าภคิเณยราชกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ฝ่ายพระราชวังหลังรับพระราชบัญชา

ฝ่ายหนูโตบุตรชายของนางงุดเมืองพิจิตรนั้น มีชนมายุได้ ๗ ขวบ ครั้นการบ้านเมืองสงบเรียบร้อยเป็นปกติแล้ว นางงุดจึงได้นำหนูโต อายุ ๗ ขวบ นั้นเข้าไปถวายท่านพระครูใหญ่ เมืองพิจิตร ให้เป็นศิษย์เรียนหนังสือไทย หนังสือขอมและกิริยามารยาท และขนบธรรมเนียมการวัด การบ้านการเมือง การโยธา การเรือน การค้าขาย เลขวิธี การของผู้อยู่ การของผู้ไป การรับการส่ง การที่เจ้าจะใช้นายจะวาน การไว้ท่าวางทาง ทำท่วงทำทีสำหรับผู้ลากมากดี ในสำนักนี้ ท่านพระครูใหญ่วัดใหญ่นั้น

ครั้นถึงปีวอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๕๐ อายุหนูโตได้ ๑๓ ขวบ เป็นคราวที่จะทำการโกนจุกแล้ว ตาผล นางงุดจึงรับเข้าพักอยู่ที่บ้าน เพื่อระวังเหตุการณ์ แล้วจึงจัดบ้านช่องค้ำจุนหนุนเตาหม้อ ก่อเตาไฟ ซ่อมบันได เตรียมเครื่องครัวพร้อมกำหนดวันฤกษ์งามยามดี หนีกาฬกิณีตามวิธีโหราจารย์บุราณประเพณีได้วันดีแล้ว ในเดือน ๖ ข้างขึ้น จึงเผดียงท่านพระครูใหญ่พระอาจารย์พระเจ้าอธิการวัด พระฐานา พระที่เป็นญาติและพระที่เป็นมิตรรวม ๑๑ รูป กำหนดวันเวลาแล้วเผดียงสวดมนต์ฉันเช้า และเชิญท่านเจ้าเมืองกรมการผู้ใหญ่ พ่อค้าแม่ค้า คฤหบดี คฤหปตานี เจ้าภาษี นายอากร อำเภอ กำนัน พันทะนายบ้าน นายกองขุนตำบล และคณะญาติผู้ใหญ่ผู้น้อยรอบคอบแล้ว จัดกระจายใบบัวบรรจุขนมของกิจและผลาผลกับปิยจรรหรรมัจฉมังสาหาร เป็นเครื่องไทยทาน ถวายแถมพกตอนเช้า ผ้าไตรจีวรถวายตอนเย็น หาเสภามาขับตลอดกลางคืน หาละครสมโภชในตอนทำขวัญ แล้วบุดาษมุงบัง ปู ปัด จัดตั้งพร้อมทุกสิ่งทุกประการ

ครั้นถึงวันกำหนด พระสงฆ์มา แขกก็มา จัดบุคคลที่สมควรรับรองเชื้อเชิญนั่งลุกตามขนบธรรมเนียมอย่างชาวเหนือในเวลานั้น เริ่มการสวดมนต์ตั้งหม้อเต้าน้ำสังข์มังมี มีดโกนด้ามสามกษัตริย์ บัตรบายศรีมีพร้อมในโรงพิธีบนหอนั่งเป็นที่เอิกเกริก สวดมนต์พระสงฆ์แล้วก็จัดแจงเลี้ยงดูกันอิ่มหนำสำราญ พอตกพลบค่ำ ก็จุดตามประทีปโคมไฟสว่างมีเสภารำต่อไป

ครั้นเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น พระสงฆ์มาพร้อมตามเวลา แขกที่เชิญมานั่งพร้อมตามกำหนดนัด นำหนูโตออกจากเรือน มานั่งในโรงพิธีที่หอนั่ง ฟังพระสงฆ์สวดชัยมงคลคาถาแล้วได้เวลากำหนดฤกษ์ พระสวดชะยันโต ท่านเจ้าเมืองหยิบกรรไกรยกกระบัตรแหวกจุกผูกสามรอบเรียกว่าไตรสิงขร พระสวดถึง (ปัลลังเกสีเส) ท่านเจ้าเมืองลงกรรไกรคีบจุกขาดออกทั้งสามจอบแล้วโกนด้วยมีดด้ามนาค ด้ามเงิน ด้ามทอง เรียกว่ามีดสามกษัตริย์

ถามว่า เหตุไฉนจึงทำกันอย่างนี้

ตอบ เดิมเป็นทางมาตามคัมภีร์ไสยศาสตร์ก่อน

ภายหลังพราหมณ์นำมาเชื่อมกับพุทธศาสตร์ (แต่ผู้เรียบเรียงมีความเห็นว่า ท่านบุราณคณาจารย์คงจะคิดเห็นตามศัพท์ว่า สัพเพเต อันตรายา ฯลฯ ชะรอยท่านจะแปลคำว่า เต ว่า ๓ ท่านจะไม่แปลคำ เต ว่า เหล่านั้น จึงทำ ๓ แหยม เป็นปอยๆ )

ครั้นพนักงานโกนผมที่ศีรษะหนูโตหมดแล้วจึงอุ้มหนูโตออกไปนั่งเตียงเบญจา ท่านเจ้าเมืองรดน้ำมนต์ด้วยสังข์ก่อน แล้วบรรดาแขกที่เชิญมาและคณะญาติมิตรก็ช่วยรดน้ำหลั่นกันลงไป เสร็จการรดน้ำแล้วก็อุ้มหนูโตเข้าเรือนจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อไป

ฝ่ายพนักงานยกสำรับก็ยกมา พวกใส่บาตรก็ใส่ไป เสร็จแล้วก็ยกประเคนพระ พระลงมือฉัน ครั้นพระเสร็จจากภัตตกิจแล้ว เจ้าของงานก็จัดแจงถวายเครื่องไทยทานตามที่จัดไว้และเพิ่มเติมค่าจตุปัจจัยตามควร พระอนุโมทนาแล้วกลับไป

ฝ่ายเจ้างานก็จัดแจงเลี้ยงดูปูเสื่อกันเสร็จ แล้วจึงตั้งระเบียบบายศรี แว่นเวียนแวดล้อมญาติมิตรคนเชิญขวัญก็มานั่ง จึงอุ้มหนูโตออกมานั่งกลางหอนั่งให้คอยฟังคนเชิญขวัญร่ำรำพรรณ พรรณาสิ้นวาระ ๓ จบแล้ว ก็ออกเทียน แว่นที่มีรูปหอยออกก่อน เวียนเป็นทักษิณาวัฏ ๓ รอบแล้ว ผู้อวยพรก็รับมาเศกวิศณุเวทย์มนตราคมน์ เป่าลมแล้วระบายควันดับเทียนนั้นเป่าควันให้กุมารได้รับสัมผัส แล้วผจงผลัดผ้าหุ้มคลุมบายศรี หยิบเครื่องพลี มีกุ้งพล่าและปลายำ สิ่งละคำคุกเข่าป้อน เปิดมะพร้าวอ่อน ช้อนตักน้ำนำให้ซด จุณจันทน์บทกระแจะเจิมเสกส่งเสริมสวัสดี ตามพิธีไสยศาสตร์ พวกพิณพาทย์บรรเลงเพลงครื้นเครงโครม เสียงส่งสำเนียงโห่สนั่น เมื่อทำขวัญกุมารโตเป็นทะโหราดิเรก เป็นเอ้เอกอึกกระธึก ที่ระลึกทั่วไปสำหรับให้เป็นตัวอย่างคนลางบางในภายหลัง จะได้ฟังเป็นการดี ครั้นทำพิธีทำขวัญแล้ว เป็นที่แผ้วผ่องภิญโญ กุมารโตจึงส่งผ้าให้มารดารับไว้ เก็บเข้าไปในเรือนพลัน พวกลงขันยื่นเงินตราให้เสื้อผ้าตามฐานะ ไม่เกณฑ์กะเป็นอัตราเคยมีมาแต่โบราณ

ครั้นการนั้นเสร็จแล้ว โดยสะดวกเรียบร้อยทุกประการ พวกละครรำก็โหมโรงเล่นไปวันหนึ่งจึงเลิกงาน แล้วเลี้ยงดูกันสำราญในเวลาเย็นอีกคราวหนึ่ง ครั้นล่วงมาอีก ๗ วัน นางงุดจึงนำกุมารโตบุตรออกไปมอบถวายท่านพระครูวัดใหญ่ในเมืองพิจิตรอีก แล้วให้ท่านสอนสามเณรสิกขา นาสะนังคะให้รู้ข้อปฏิบัติในวัตรทางสามเณรภูมิต่อไป

ครั้นถึงเดือน ๘ ปีวอกนั้นเอง นางงุดมารดาและคณาญาติใหญ่น้อย ได้จัดบริขารไตรจีวรและย้อมรัดประคดของบิดาที่ได้กำชัดมอบหมายไว้แต่เดิมนั้นเป็นองคะพันธบริขารพร้อมทั้งบาตรโอตะลุ่ม เสื่อมุ้งน้ำมันมะพร้าวตะเกียง กับเครื่องถวายพระอุปัชฌาย์และถวายพระอันดับอีก ๔ องค์ แล้วพากันออกไปที่วัด อาราธนาท่านพระครูให้ประทานบรรพชาแก่กุมารโตและขอสงฆ์นั่งปรกอีก ๔ องค์ รวมเป็น ๕ ทั้งพระอุปัชฌาย์ลงโบสถ์ พระครูก็อนุมัติตามทุกประการ

ครั้นสามเณรโตได้บรรพชาเสร็จแล้ว ก็ตั้งใจเคร่งครัด เกรงต่อพระพุทธอาญา อุตสาห์เอาใจใส่ปรนนิบัติพระอุปัชฌาย์ทุกวันวาร อุตสาห์กิจการงานในหน้าที่ อุตสาห์เล่าเรียนคัมภีร์มูละกัจจายนะปกรณ์ เป็นต้นว่าเล่าสูตรจบเล่าโจทย์จบจำได้แม่นยำดี เรียนบาลีไวยากรณ์ ตั้งแต่สนธิ นาม และษมาส ตัทธิต อุณณาท กริต การก และสนธิพาละวะการ สัททะสาร สันททะพินธุ์ สัททะสาลินี คัมภีร์มูลทั้งสิ้นจบสิ้นบริบูรณ์แม่นยำจำได้ดี ถึงเวลาค่ำราตรีก็จุดประทีปถวายพระอุปัชฌาย์นวดบาทาบีบแข้งขานวดเฟ้น หมั่นไต่ถามสอบทานในการที่เรียนเพียรหาความตามภาษาเด็ก ถามเล็กถามน้อยค่อยๆออเซาะพูดจาประจ๋อประแจ๋ กระจุ๋มกระจิ๋มยิ้มย่องเป็นที่ต้องใจในท่านพระครุอุปัชฌาย์ ท่านเกิดเมตตากรุณาแนะนำธรรมปริยาย ท่านต้องขยายเวทย์มนต์ดลคาถาสำหรับ แรด หมี เสือ สาง ช้าง ม้า มะหิงษา โคกระทิงเถื่อนที่ดุร้าย จระเข้เหราว่ายวนเวียนไม่เข้าใกล้ สุนัขป่า สุนัขไน สุนัขบ้าน อัทธพาล คนเก่งกาจฉกรรจ์เป่าไปให้งงงันยืนจังงัง ตั้งฐานภาวนาบริกรรมทำศูนย์ตรงนี้ฯ ตั้งสติไว้เบื้องหน้าแห่งวิถีจิตต์อย่างนี้ๆ ท่านบอกกะละเม็ดวิธีสอนสามเณรให้ชำนิชำนาญ รอบรู้ในวิทยาคุณคาถามหานิยม เกิดเป็นมหาเสน่ห์ทั่วไป สามเณรโตก็อุตสาห์ร่ำเรียนได้ในอาคมต่างๆ หลายอย่างหลายประการ ออกป่าเข้าบ้านทดลองวิชาความรู้ ในวันโกนวันพระที่ว่างเรียนมูละปกรณ์แล้ว ก็ต้องทดลองวิชาเบ็ดเตล็ดเป็นนิตยกาล จนคล่องแคล่วชำนิชำนาญใช้ได้ดังประสงค์ทุกอย่าง

ครั้นถึงปีจอ โทศก จุลศักราช ๑๑๕๒ อายุสามเณรโตได้ ๑๕ ปี บวชเป็นเณรได้ ๓ พรรษา เล่าเรียนคัมภีร์มูละกัจจายนะปกรณ์จบ เข้าใจไวยากรณ์ รู้สัมพันธ์บริบูรณ์ ครั้นถึงเดือน ๑๒ ปีจอ โทศกนั้น สามเณรโตเกิดกระสันใคร่เรียนคัมภีร์พระปริยัติศาสนาต่อไป

ฝ่ายท่านพระครูได้ฟังคำสามเณรโต เข้ามาร้องขอเรียนคัมภีร์พระปริยัติธรรม อีกท่านก็อั้นอกอึกอักอีก ด้วยคัมภีร์พระปริยัติได้กระจัดกระจายตกเรี่ยเสียหายป่นปี้มาก แต่ครั้งพม่าเข้ามาตีกรุง ซ้ำสังฆราชเรือง เผยอตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ทำให้สมบัติของวัดวาอารามเสียหายหมดอีกเป็นคำรบ ๒ ซ้ำร้ายพวกผู้ร้ายเข้าปล้นพระพุทธศาสนาคว้าเอาพระคัมภีร์ปริยัติ สำหรับวัดนี้ไปจนหมดสิ้นเป็นคำรบ ๓ และวัดแถบนี้ก็หาตำราหยิบยืมกันยาก ถึงจะมีบ้างก็เล็กน้อยสักวัดละผูกสองผูก ก็จะไม่พอแก่สติปัญญาของออสามเณรโต จะเป็นทางกระดักกระเดิก ครั้นกูจะปิดบังเณรเพื่อหน่วงเหนี่ยวชักนำไปทางอื่นก็จะเป็นโทษมากถึงอเวจี ควรกูจะต้องชี้ช่องนำมรรคาจึงจะชอบด้วยพระพุทธศาสนาตามแบบพระอรหันตาขีณาสพแต่ก่อนๆ ท่านได้กุลบุตรที่ดีมีสติปัญญาวิสาระทะแกล้วกล้า สามารถจะทำกิจพระศาสนาได้ตลอด ท่านก็มิได้ทิ้งทอดหวงห้ามกักขังไว้ ท่านย่อมส่งกุลบุตรนั้นๆไปสู่สำนักพระมหาเถระเจ้าซึ่งเชี่ยวชาญต่อๆ ไปเป็นลำดับจนตลอดกุลบุตรนั้นๆ ลุล่วงสำเร็จกิจตามประสงค์ทุกๆพระองค์มา ก็กาลนี้สามเณรโตเธอก็มีปรีชาว่องไว มีอุปนิสัยยินดีต่อพระบวรพุทธศาสนามากอยู่ ไม่ควรตัวกูเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์จะทานทัดขัดไว้

ครั้นท่านดำริเห็นแจ่มแจ้งน้ำใจที่ถูกต้องตามคลองพระพุทธศาสนานิกมณฑลฉะนี้แล้ว ท่านจึงมีเถระบัญชาแก่สามเณรโตดังนี้

เออแน่ะ สามเณรโต ตัวกูนี้มีคัมภีร์มูล กูชอบและกูสอนกุลบุตรได้ตลอดทุกคัมภีร์ แต่กูก็มีแต่คัมภีร์มูลครบครัน เหตุว่ากูรักกูนิยม กูรวบรวมรักษาไว้ ถึงว่าจะขาดเรี่ยเสียหายกระจัดกระจายไป ก็จัดงานซ่อมแซมขึ้นไว้จึงเป็นแบบแผนพร้อมเพรียงอยู่ เพราะกูมีนิสัยรู้แต่เรื่องมูลและไวยากรณ์เท่านั้น แต่คัมภีร์ปริยัติธรรมนั้นเป็นของสุดวิสัยกู กูไม่ได้สะสมตำรับตำราไม่มีคัมภีร์ฎีกาอะไรไว้เลย ในตู้หอไตรเล่าก็มีแต่หอและตู้อยู่เปล่าๆ ถ้าหากว่ากูจะเที่ยวยืมมาแต่อารามอื่นๆ มาบอกมาสอนเธอได้บ้าง แต่กูไม่ใคร่จะไว้ใจตัวกู ก็คงบอกได้แต่ก็คงไม่ดี เพราะกูไม่สู้ชำนาญในคัมภีร์พระปริยัตินัก จะกักเธอไว้ ก็จะพาเธอโง่งมงายไปด้วย เพราะครูโง่ลูกศิษย์ก็ต้องโง่ตาม กูเองก็เป็นเพราะเหตุนี้จึงได้ยอมโง่ แต่ครั้นมาถึงเธอเข้าจะทำให้เธอโง่ตามนั้นไม่ควรแก่กู และว่าถ้าเธอมีศรัทธาอุตสาหะใคร่แท้ในทางเรียนคัมภีร์พระปริยัติศาสนาแน่นอนแล้ว กูจะบอกหนทางให้ กูจะแนะนำไปถึงท่านพระครูวัดเมืองไชยนาท ท่านพระครูเจ้าคณะพระองค์นี้ดีมาก ทั้งท่านก็คงแก่เรียน ทั้งเป็นผู้เอาใจใส่หมั่นตรวจตราสอบสวนศัพท์แสงถ้อยคำบาบาทพระศาสนาเสมอ ทั้งบอกพระบอกเณรเสมอ จึงเรียกว่ามีความรู้กว้างขวางทางคัมภีร์พระพุทธศาสนา อรรถฎีกาก็มีมาก ทั้งท่านเอาใจใส่ตรวจตรารวบรวมหนังสือไว้มาก ถึงนักปราชญ์ในกรุง ท่านก็ไม่หวั่นหวาดสยดสยอง

ถ้าเธอมีความอุตส่าห์จริงๆ เธอก็พยายามหาหนทางไปเรียนกับท่านให้ได้เธอจะรู้ธรรมดีทีเดียว

ฝ่ายสามเณรโตได้สดับคำแนะนำของท่านพระครูผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ดั่งนั้นเธอยิ่งมีกระสันเกิดกระหายใจใคร่เรียนรู้ จึงกราบลาท่านพระครู เลยเข้าไปบ้านอ้อนวอนมารดาและคุณตาโดยอเนกประการ เพื่อจำให้นำไปถวายฝากมอบกับท่านครูจังหวัด วัดเมืองไชยนาทบุรี

ฝ่ายคุณตาผล นางงุดโยมผู้หญิง ฝังสามเณรโตมาออดแอดอ้อนวอนก็คิดสงสารไม่อาจขัดขวางห้ามปรามได้ จึงได้รับคำสามเณรว่าจะนำจะพาไปฝากให้ ขอรอให้จัดเรือจัดคนขัดเสบียงอาการก่อนสัก ๒ วัน จะพาไป สามเณรโตได้ฟังก็ดีใจกลับมาสู่อารามเดิม

ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเย็นๆ นางงุด ตาผลจึงออกไปกราบเรียนบอกความประสงค์สามเณรโตแก่ท่านพระครูสัดใหญ่ทุกประการ แล้วขอลาพาเณรไปส่งตามใจในวันรุ่งเช้าพรุ่งนี้ ท่านพระครูก็ยินดีอนุญาตตามประสงค์ ทั้ง ๒ ผู้ใหญ่นั้นก็ลากลับมาบ้านจัดเรือจัดคนจัดเสบียงอาการไว้พร้อมเสร็จจบริบูรณ์ ครั้นได้เวลารุ่งเช้าสามทเณรโตเข้าไปฉันที่บ้าน ครั้นฉันเช้าแล้วก็ลงเรือแขวออกไปทางแม่น้ำไชยนาทบุรี

(สิ้นข้อความในรูปภาพประวัติสมเด็จโตที่ฝาผนังฉากที่ ๒)

ทีนี้จะได้แปลจากรูปภาพที่ฝาผนังโบสถ์วัดอินทรวิหาร สมเด็จโต ท่านให้ช่างเขียนประวัติของท่าน เมื่อท่านได้ผ่านมาเรียนพระปริยัติธรรมในสำนัก ท่านพระครูหัวเมืองไชยนาทบุรี เจ้าของท่านเขียนไว้ดังนี้

เขียนท่าวัดเมืองไชยนาทบุรี เขียนเรือท่านจอดอยู่ที่ท่าวัด เขียนจรเข้ชึ้นทางหัวเรือของท่าน เขียนคนหัวเรือของท่านนอนหลับ เขียนคนที่สองตกใจตื่นลุกขึ้นโยงโย่ฉุดคนหัวให้ถอยเข้ามาเพื่อให้พ้นปากจรเข้ เขียนคนแจวคนที่สามนั่งไขว่ห้างหัวเราะ เขียนคนบนบ้าน ๓ คน แม่ลูกยายเหนี่ยวรั้งกันขึ้นบ้านเรือน กระโตงกระเตงกระต่องกระแต่งเพื่อหนีจรเข้ เขียนตาผลนายเรือออกมายืนตัวแข็งอยู่ที่อุดเรือ เขียนรูปสามเณรโตเรียนคัมภีร์กับท่านพระครูจังหวัด วัดเมืองไชยนาทบุรี

ผู้เรียบเรียงจึงอนุมาน สันนิษฐานตามลักษณะพร้อมกับเหตุผลแล้วแปลเป็นเรื่อง ความดังนี้

ครั้นคนแจว แจวเรือเป็ดมาสุดระยะทาง ๒ คืนก็ถึงท่าเรือวัดเมืองไชยนาทบุรี จึงได้จอดเรือเข้าที่ท่าในเวลากลางคืน คนแจวเรือจอดเรือเรียบร้อยแล้ว จึงอาบน้ำดำเกล้าแล้วพักนอนในเรือทั้ง ๓ คน

ครั้นเวลารุ่งเช้าสว่างแล้ว เจ้าจระเข้ใหญ่ในน่านน้ำท่านั้น ก็ขึ้นเสือกตัวมาตรงหัวเรือเป็ดของตาผลนั้น คนบนเรือริมตลิ่ง ๓ คน แม่ลูกหญิงผู้ใหญ่ลงอาบน้ำหน้าบันไดแต่เช้า ครั้นเห็นจระเข้ขึ้นจะคาบคนนอนหลับที่หัวเรือใหญ่ จึงพากันตกใจกลัว แล้วร้องบอกกล่าวกันโวยวายขึ้น คนแจวที่ ๒ นอนถัดเข้ามา ได้ยินเสียงคนบนบ้านเรือนนั้นร้องเอะอะโวยวายจึงตกใจตื่นขึ้น เห็นจระเข้ขึ้นที่ตรงหัวเรือลุกขึ้นโยงโย่จับบั้นเอวคนนอนหลับหัสเรือ เพื่อจะให้พ้นจากปากจะเข้ ส่วนคนแจวเรือคนที่ ๓ ก็ตื่นขึ้นนั่งไขว่ห้างหัวเราะ คนบนบ้านที่กำลังหนีจระเข้ขึ้นบันไดผ้าผ่อนหลุดลุ่ยล่อนจ้อน ลูกเด็กหญิงเหนี่ยวขาแม่ นางแม่เหนี่ยวขายาย ยายผ้าลุ่ยหมด ก้าวขาต่อไปก็ก้าวไม่ออก ตาผลอยู่ในเรือก็โผล่ออกมายืนดูอยู่หน้าเรืออุดเฉย จะว่าอย่างไรก็ไม่ว่าดูชอบกล

ฝ่ายสามเณรโตก็ลุกขึ้นนั่งภาวนาอยู่ในประทุนเรือ จระเข้ขึ้นมาแล้วก็อ้าปากไม่ออกจมก็ไม่ลง และไม่วาดไม่ฟาดหางทั้งนั้น ดูอาการอ่อนมาก คนบนบ้านก็งง คนในเรือก็งันอยู่ท่าเดียว

ครั้นเวลาเช้า โยมของสามเณรโต ก็จัดแจงหุงต้มอาหารอยู่ตอนท้ายเรือเป็ดนั้น ครั้นได้เวลาก็จัดแจงเลี้ยงดูกัน ถวายอาหารให้เณรขบฉันเสร็จแล้วพอถึงเวลา ๓ โมงเช้า ก็พาเณรขึ้นจากเรือ เณรเดินหน้า ตาผลตามเณร นางงุดโยมผู้หญิงพากันเดินตามเป็นแถว ขึ้นกุฏิท่านพระครู ครั้นถึงท่านพระครูแล้วต่างคนต่างปูผ้าลงกราบกันเป็นแถว เณรก็ยืนวันทาแล้วลงกราบท่านพระครูแล้วนั่ง

ฝ่ายท่านพระครูเจ้าวัดเมืองไชยนาทบุรี จึงมีปฏิสัณฐานปราศรัยไต่ถามถึงเหตุการณ์ที่มา ถามถึงบ้านช่อง และถามความประสงค์

ฝ่ายตาผลจึงกราบเรียนท่านว่า เณรหลานชายของเกล้ากระผม บวชอยู่ในสำนักท่านพระครูใหญ่ เจ้าคณะวัดใหญ่ ในเมืองพิจิตร ได้ร่ำเรียนบาลีไวยากรณ์ทั้ง ๕ คัมภีร์จบแล้ว เณรใคร่จะเรียนคัมภีร์ใหญ่ต่อไป จึงขอเรียนที่ท่านพระครูวัดใหญ่ แต่ท่านไม่เต็มใจสอนเณรและท่านพระครูวัดใหญ่ได้แนะนำเณรให้ได้มาสู่สำนักพระเดชพระคุณเพื่อเล่าเรียนคัมภีร์ใหญ่กับพระเดชพระคุณแล้วจะมีความรู้ดีกว่าเรียนกับท่านๆ แนะนำมาดังนี้ เณรดีใจเต็มใจใคร่เรียนในสำนักของพระเดชพระคุณ เณรจึงมารบเร้าเกล้ากระผมและมารดาเณร ขอร้องให้เกล้ากระผมเป็นผู้นำมาสู่สำนักพระเดชพระคุณ ในวันนี้เกล้ากระผมพร้อมด้วยมารดาเณร ขอถวายเณรให้เป็นศิษย์เรียนพระคัมภีร์กับพระเดชพระคุณต่อไป

ครั้นกล่าวสุดถ้อยคำแล้วจึงบอกให้เณรถวายดอกไม้ธูปเทียนต่อท่านพระครู ฝ่ายท่านพระครูผู้รู้พระปริยัติธรรมเมืองไชยนาทบุรี จึงรับเครื่องสักการะแล้ว พิจารณาดูเณรก็รู้ด้วยการพินิจพิจารณาว่า สามเณรนี้มีวาสนาบารมีธรรมประจำอยู่ สรรพอวัยวะก็สมบูรณ์โตพร้อมไม่บกพร่องต้องตามลักษณะ ท่านก็ออกวาจาว่า รูปจะช่วยแนะนำเสี้ยมสอนให้มีความรู้ในคัมภีร์ต่างๆ ตามวัยและภูมิของสามเณรดังที่โยมทั้ง ๒ ได้อุตส่าห์มาทางไกล ไม่เป็นไร รูปจะช่วยให้สมดังปรารถนาทุกประการ

ตาผลและนางงุดก็ดีใจ กราบไหว้แล้วมอบหมายฝากฝังทุกสิ่งอัน แล้วถวายกับปิยะจรรหรรมัจฉะมังสาหารทั้งปวงแล้ว พระสมุห์ของท่านก็เรียกคนมายกถ่ายทันที แล้วจัดห้องหับให้พักอาศัยสำราญ ตาผลและนางงุดก็ยกบริขารของสามเณรเข้าบันจุจัดปูอาศน์ เรียบเรียงตั้งไว้ตามตำแหน่งแห่งที่ แล้วออกมากราบลาท่านพระครูลงไปพักในเรือ ค้างคืนคอยปรนนิบัติสามเณรดูลาดเลา การอยู่การขบฉันบิณบาตรยาตรา เห็นว่าสะดวกดีไม่คับแค้นเดือดร้อน พอเป็นที่ไว้วางใจได้แล้ว จึงขึ้นนมัสการลาท่านพระครูกลับมายังบ้าน ณ แขวงเมืองพิจิตร

ตั้งแต่สามเณรโตได้เข้าสู่สำนักท่านพระครูวัดเมืองไชยนาทบุรีแล้ว เป็นปรกติก็หมั่นทำกรณียกิจตามหน้าที่และอนุโลมตามข้อกติกาไม่ฝ่าฝืนชะอ้อนอ่อนน้อมต่อพระลูกวัดมิให้ขัดอัชฌาสัย เพื่อนศิษย์เพื่อนเณรเหล่านั้นก็ประนีประนอมพร้อมหน้าไม่ไว้ท่า ไม่ถือตัว ไม่หัวสูง อดเอาเบาสู้ ระงับไม่หาเหตุแข่งดีกว่าเพื่อนไม่ส่อเสียดสอพลอพร่อย เรียบร้อยหงิบเสงี่ยมเจียมตัว หมั่นเอาใจใส่รับใช้ปฏิบัติท่านพระครูระแวดระวังหน้าหลัง ท่านมีกิจธุระจะไปไหน ก็จัดการสิ่งของที่จะต้องเอาไป ไม่เกี่ยงงอนเพื่อนศิษย์ เวลาท่านจะกลับ ก็รับรองเก็บงำสม่ำเสมอตลอดมา ครั้นถึงเวลาเรียนก็เข้าเรียน ถึงคราวฟังก็ฟัง ตั้งสติสัมปชัญญะ สำเหนียกสำเนาเสมอ เรียนแล้วจดจำตกแต้มกำหนดกฎหมาย กลางคืนก็เข้ารับโอวาทปริยายของท่านพระครู สิ่งใดที่ไม่รู้ก็ถาม รู้เท่าไม่ถึงความก็ซัก ที่ตรงไหนขัดข้องไม่ต้องกันก็หารือ ตามบาฬีที่มีมาในพระคัมภีร์นั้นๆ ถ้าบทไหนบาฐไหนเป็นนิรุติ ไม่ชอบด้วยเหตุผลไม่เข้ากัน เธอก็ยังไม่ลงมติไม่ถือเอาความคิดเห็นความรู้ของตนเป็นประมาณ ตั้งใจวิจารณ์จนเห็นถ่องแท้แน่นอนตามพระบาฬี ในธรรมบททีปะนี ทศะชาติ (๑๐ชาติ) สารตถ์ สามนต์ ฎีการโยชนาคัณฐี ในคัมภีร์พระไตรปิฎกธรรมนั้น ทุกสันทุกเวลาเรียนแปลเป็นภาษาลาวบ้าง แปลเป็นภาษาเขมรบ้าง แปลเป็นภาษาพม่าบ้างตามเวลา ครั้นล่วงมาได้ ๓ ปีเรียนจนถึงแปดปั้นบาฬี สามเณรโตไม่มีอุปสรรคกีดกั้น ไม่มีอาการเจ็บป่วยไข้สะดวกดีทุกเวลาทั้งไม่เบื่อไม่หน่าย นิยมอยู่แต่ที่จะหาความจริงซึ่งยังบกพร่องภูมิปัญญาอยู่ร่ำไป

ครั้นถึงเดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๑๕๕ สามเณรโตมีความกระหายใคร่จะล่องลงมาร่ำเรียนในสำนักราชบัณฑิตนักปราชญ์หลวงบ้าง ใคร่จะเข้าสู่สำนักพระเถระเจ้าผู้สูงศักดิ์อรรคฐานในกรุงเทพพระมหานครโดยความเต็มใจ

ครั้งสามเณรโต อายุได้ ๑๘ ปีย่าง ปลงใจแน่วแน่แล้วในการที่จะละถิ่นฐาน ญาติโยมได้จะทนทานในการอนาถาในกรุงเทพฯ ได้แน่ใจแล้ว จึงได้กราบกรานท่านพระครูจังหวัดบรรยายแถลงยกย่องพิทยาคุณและความรู้ของท่านพระครูเมืองไชยนาทบุรี พอเป็นที่ปลื้มปราโมทย์ปราศจากความลบหลู่ดูหมิ่น ด้วยระเบียบถ้อยคำอันดีพอสมควรแล้ว ขอลาว่าเกล้ากระผมขอถวายนมัสการลาฝ่าท้าวเพื่อจะลงไปสู่สำนักราชบัณฑิตย์ ผู้สูงศักดิ์อรรคฐานให้เป็นการเชิดชูเกียรติคุณของฝ่าท้าวให้แพร่หลายในกรุงเทพฯ ขอบารมีฝ่าท้าวจงกรุณาส่งเกล้ากระผมให้ถึงญาติโยม ณ แขวงเมืองพิจิตรด้วย

ฝ่ายท่านพระครูเจ้าคณะเมืองไชยนาทบุรีได้ฟัง ซึ่งมีความพอใจอยู่แล้วในการที่จะแสวงหาศิษย์ที่ดีมีสาระทะแกล้วกล้าองค์อาจ ฉลาดเฉลียวรอบรู้คัมภีร์ คิดจะส่งศิษย์อย่างดีเข้ากรุงเทพฯ เพื่อช่วยเผยแพร่ให้ความรู้และความดีของท่านนั้นโด่งดังปรากฏแพร่หลายไปในกรุงเทพฯ อนึ่งสามเณรองค์นี้ก็เป็นคนดี มีความรู้กอร์ปด้วยคติสติปัญญา ความเพียรก็กล้าไม่งอนง้อท้อถอยเลย หัวใจก็จดจ่ออยู่แต่การเล่าเรียนหาความรู้ดูฟังตั้งใจจริง ไม่เป็นคนโว่งมซมเซา พอจะเข้าเทียบเทียมเมธีที่กรุงเทพพระมหานครได้ ท่านพระครูเห็นสมควรจะอนุญาตได้ ท่านจึงกล่าวเถระวาทสุนทรกถา เป็นทางปลูกผูกอาลัยแก่สามเณรพอสมควรแล้ว ท่านก็ออกวาจาอนุญาตว่า "ดีแล้ว นิมนต์เถอะจ้ะ" เราขอรอผลัดจัดการส่งสัก ๓ วัน เพื่อเตรียมตัวเตรียมการส่งให้เป็นที่เรียบร้อยตามระเบียบแบบธรรมเนียมการ สามเณรก็กราบถวายนมัสการลามายังกุฏิที่อยู่ แล้วก็จัดการตระเตรียมเก็บสรรพสิ่งเครื่องอุปโภคต่างๆ ส่งคืนเข้าที่ตามเดิม คัมภีร์ที่ยังเรียนค้างอยู่ก็ทำใบยืมๆ ไปเรียนต่อไป สิ่งของที่เหลือบริโภคอุปโภคแล้ว ก็แบ่งปันถวายเพื่อนสามเณรที่อยู่ที่เคยเป็นเพื่อนกันไว้ใช้สรอยพอเป็นทางผูกอาลัยทำไมตรี

ครั้นเวลารุ่งเช้าแล้ว สามเณรโตก็ออกพายเรือสามปั้นบิณฑบาตไปถึงบ้านที่สุดเหนือน้ำและใต้น้ำ สามเณรก็บอกกล่าวล่ำลาแก่ญาติโยมอุปฐากและที่ปวารณาและผู้ที่มีวิสาสะทั่วหน้ากันทั้งสองฝั่ง ที่อยู่บ้านดอนขึ้นไปก็บอกลาฝากขึ้นไปทั่วกัน

ฝ่ายเจ้าพวกเด็กๆ ลูกศิษย์วัดทั้งปวงรู้ว่าหลวงพี่เณรของเขาจะลงไปอยู่บางกอก พวกเด็กทั้งหลายก็พากันเสียดาย ใจเขาหาย เขาทำได้แต่หน้าแห้ง ทำตาแดงๆ เหตุเขามีความคุ้นเคยรักใคร่อาลัยหลวงพี่สามเณรโต เขาเคยกินอยู่สำราญด้วยอาหารเกิดทวีขึ้น เพราะอำนาจบารมีศีลธรรมของสามเณรโต จนเข้าของแปลกประหลาดเหลือเฟือเอื้อเอาใจเขามาช้านานประมาณ ๓ ปีล่วงมา

ฝ่ายแม่รุ่นสาวๆ คราวกันกับพ่อเณร ซึ่งมีใจโอนเอนไปข้างฝ่ายรัก ก็ทำอึกอักผะอืดผะอมกระอักกระอ่วนรัญจวนใจ ด้วยพ่อเณรเธอจะไปอยู่ไกลถึงบางน้ำบางกอก ต่างก็อั้นอันอ้นจนใจไม่อาจออกวาจาห้ามปรามเพราะความอาย รักก็รักเสียดายก็เสียดาย ทั้งความยึดถือมุ่งหมายก็ยังมีอยู่มั่นคงจงใจ ทั้งเกรงผู้หลักผู้ใหญ่จะล่วงรู้ดูแคลน แสนกระดากทำกระเดื่องชำเลืองโฉมพ่อเณรโต แอบโผล่หน้าต่างตามมองแลรอดสอดตามช่องรั้วหัวบ้านแลจนลับนัยน์ตา เสียวซ่านถึงโสกาเช็ดน้ำตาอยู่ก็มี

ฝ่ายพวกเด็กๆ พอกลับถึงวัด เขาก็ตะโกนบอกเพื่อนกันว่า ต่อแต่วันนี้พวกเราจะอดกันละโว้ยๆ

ครั้นพระเณรฉันเช้าแล้ว ท่านพระครูเจ้าคณะจังหวัดจึงเรียกพระปลัดพระสมุห์มาสั่งการว่า แนะพระปลัดจ๋า พรุ่งนี้เธอต้องสั่งเลขวัด ให้เขาจัดเรือเก๋ง ๔ แจว คนแจวประจำพร้อมและจัดเสบียงทางไกลให้พร้อมมูลด้วย ให้พอเลี้ยงกันทั้งเวลาไปและมาด้วย ส่วนเธอและพระสมุห์ช่วยพาสามเณรโตเข้าไปส่งให้ถึงญาติโยมเณร ณ เมืองพิจิตรในวันรุ่งพรุ่งนี้แทนตัวดิฉันด้วย พรุ่งนี้มารับจดหมายส่งของฉันก่อน

ฝ่ายพระปลัด ๑ พระสมุห์ ๑ รับเถระบัญชาแล้วออกมาเรียกร้องกะเกณฑ์เลขวัดสั่งให้จัดเรือจัดเสบียงให้พร้อมทั้งเครื่องต้มเครื่องแกง หม้อน้อยหม้อใหญ่ กระทะ ข้าวเหนียว น้ำตาล มาขามเปียก พริกสด พริกแห้ง หอมกระเทียม ขิง ข่า กระทือ พริกไท ให้พร้อมไว้ เวลาเที่ยงมาแล้วจอดไว้ที่ท่าวัดนี้ตามที่ท่านพระครูสั่ง

ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๓ พระปลัดฉันเช้าแล้วเข้าหาท่านพระครู รับจดหมายแล้วกราบลาออกมา แล้วนัดหมายพระสมุห์และนัดสามเณรโตว่าเที่ยงแล้วลงเรือพร้อมกัน ครั้นถึงเวลาฉันเพลแล้ว ขอแรงศิษย์วัดและเพื่อนเณร ๒-๓ คน ช่วยขนขนบบริขารหีบ ตะกร้า กระเช้า กระบุงที่บรรจุของสามเณรโตลงท่าวัดพร้อมกัน สามเณรโตก็เข้าไปสักการวันทาลาท่านพระครูด้วยความเคารพ

ส่วนท่านพระครูก็ประสิทธิ์ประสาทพรให้วัฒนาถาวรภิญโญภาวะยิ่ง ให้สัมฤทธิ์สมความมุ่งหมาย จงทุกสิ่งทุกประการเทอญ

ครั้นเวลาเที่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พระปลัด พระสมุห์ และสามเณรโต พร้อมคนแจวเรือก็ลงเรือ ได้เวลาบ่ายโมงก็ออกเรือทางแม่น้ำ บ่ายหัวเรือไปเมืองพอจิตรในวันนั้น

ครั้นแจวมา ๒ คืนก็ถึงท่าบ้านสามเณรโต ฝ่ายตาผล ยายลา นางงุด เห็นเรือเป็นเก๋งมาจอดท่าหน้าบ้าน ต่างก็ออกมาดู รู้ว่าท่านปลัด ท่านสมุห์และสามเณรโตมา ก็ดีใจลงไปในเรือต้อนรับและนิมนต์ขึ้นเรือน แล้วขึ้นมาปูอาศน์ ตักน้ำเย็น ต้มน้ำร้อน จัดเภสัชเพลายาสูบใส่พานแล้ว ครั้นพระปลัด พระสมุห์ สามเณรขึ้นมาอาราธนาที่หอนั่ง ประเคนหมาก น้ำ ยาสูบ แล้วก็กราบ

ครั้นพระปลัดเห็นเจ้าบ้านนั่งปรกติเรียบราบแล้วจึงปฏิสันฐาน และนำจดหมาย ของท่านพระครูเมืองไชยนาทบุรี ส่งให้ตาผลๆ รับมาอ่านได้ทราบความตลอดแล้วด้วยความพอใจ เมื่อสนทนาเสร็จจึงพาพระปลัด พระสมุห์และสามเณรออกไปยังวัดใหญ่ เมืองพิจิตรทราบ

ครั้นท่านพระครูอ่านดูรู้ข้อความตลอดแล้ว ก็เห็นดี เห็นชอบด้วย ตกลงก็เห็นดีเห็นงามด้วยกันทั้งครูอาจารย์และคณะยาติโยมพร้อมใจกันหมด ครั้นได้เวลา พระปลัด พระสมุห์ ตาผลและนางงุดก็ลาท่านพระครูใหญ่กลับมาบ้าน แล้วก็จัดแจงอาหารเลี้ยงพระเลี้ยงเณร และคนแจวเรือจนอิ่มหนำสำราญแล้วทั้ง ๓ เวลา ส่วนพระปลัดและพระสมุห์เมื่อได้ทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาเสร็จและสมควรแก่เวลา ก็ลาเจ้าล้านๆ ก็จัดการส่งพระปลัดและพระสมุห์ให้กลับไปยังวัดเมืองไชยนาทบุรี

ส่วนทางบ้านเมื่อได้กำหนด นางงุดก็จัดเรือจัดคนจัดลำเลียงสเบียงอาหารจัดของแจกให้ของฝากชาวกรุงเทพฯ ทั้งของถวาย ของกำนัลท่านผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ลงบรรทุกในเรือเรียบร้อยเสร็จแล้ว ก็เกณฑ์ตาผลให้เป็นผู้นำพร้อมด้วยคนแจวส่งสามเณรไปกรุงเทพฯ แต่ต้องให้แวะนมัสการบูชาพระพุทธชิณราชในวันกลางเดือน ๑๒ นี้ก่อน และพ่อต้องอ้อนวอนขอหลวงพ่อชิณราชให้ช่วยคุ้มครองกำกับรักษาส่งพ่อเณรอย่าให้มีเหตุการณ์ และอย่าให้ป่วยไข้ได้เจ็บอย่าให้มีภัยอันตราย ตั้งแต่วันนี้จนตราบเท่าจนเฒ่าจนแก่ และขอให้เณรร่ำเรียนลุสำเร็จจงทุกสิ่งทุกประการ กับขอบารมีหลวงพ่อชิณราชช่วยปกป้องกันศัตรูหมู่อันธพาล อย่าผจญและอย่าเบียดเบียนพ่อเณรได้ ขอพ่อจงแวะไหว้บูชาอ้อนวอนว่าตามคำสั่งข้านี้อย่าหลงลืมเลย

ฝ่ายตาผลรับคำลูกสาวแล้ว ก็ลงเรือออกเรือจากท่าหน้าบ้าน และให้แจวออกทางแม่น้ำพิษณุโลก ล่องมาหลายเพลาก็มาถึงวัดพระชิณราชในวันขึ้น ๑๔ เดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๑๕๕ ปีนั้น

ครั้น ณ วันที่ ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ศกนั้น ตาผลนิมนต์สามเณรโตขึ้นไปโบสถ์พระชินราช เดินปทักษิณรอบแล้ว เข้านมัสการทำสักการะบูชา สามเณรยืนขึ้นวันทาแล้วตั้งสักการะ โดยสักกัจจะเคารพแก่พระพุทธชิณราช ตาผลจึงพร่ำพรรณาถวายเณรแก่พระชิณราชและวิงวอนขอฝาก ขอความคุ้มครองป้องกัน ขอให้พระพุทธชิณราชบันดาลดลส่งเสริมแก่สามเณรตามคำนางงุดโยมของเณรสั่งมาทุกประการ

ครั้นทำการเคารพสักการบูชาแก่พระพุทธชิณราชเสร็จแล้ว ก็กราบลาพาสามเณรโตมาลงเรือแจวล่องมา ๒ คืนก็ถึงหน้าท่าวัดบางลำภูบน กรุงเทพฯ ตอนเวลาเช้า ๒ โมง แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๑๕๕ เป็นปีที่ ๑๒ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงเทพพระมหานคร

ตาผลชาวเมืองกำแพงเพชร ซึ่งถอยลงมาตั้งถิ่นฐานภูมิลำเนาอยู่เหนือเมืองพิจิตรได้นำสามเณรโตผู้หลานอันเป็นลูกของนางงุดลูกสาว สามเณรโตนั้นมีอายุย่างเข้า ๑๘ ปี ตาผลผู้เป็นตา จึงได้นำพาสามเณรโตขึ้นไปมอบถวายพระอาจารย์แก้ววัดบางลำภูบน พระนคร ตาผลได้เล่าถึงการเรียนของสามเณรโตจนกระทั่งถึงท่านพระครูจังหวัดเมืองเหนือทั้ง ๒ อาราม มีความเห็นชอบพร้อมกันที่จะให้ลงมากรุงเทพ เกล้ากระผมจึงได้นำสามเณรโตมาสู่ยังสำนักของหลวงพ่อ เพื่อหลวงพ่อจะได้ทำนุบำรุงชี้ช่องนำทาง ให้สามเณรดำเนินหาคุณงามความดีมีความรู้ยิ่งในพระมหานครสืบไป

ฝ่ายพระอาจารย์แก้วทราบพฤติการณ์ ตามที่ตาผลเล่า ก็เกิดความเชื่อ และเลื่อมใสในสามเณรโต และมีความเห็นพ้องด้วยกับท่านพระครูทั้ง ๒ จังหวัด สมจริงดังที่พยากรณ์ไว้แต่ยังนอนแบเบาะ และได้รับเป็นลูกไว้ จึงนึกขึ้นได้ถึงเงินที่ได้ลั่นวาจาว่าจะจ้างแม่มันเลี้ยงปีละ ๑๐๐ บาท ๓ ปีหย่านมเป็นเงินค่าจ้าง ๓๐๐ บาท จึงให้ศิษย์ที่เป็นไวยาวัจจกรหยิบเงินมา ๓๐๐ บาท ส่งมอบให้ตาผลเพื่อฝากไปใช้ให้นางงุดเป็นค่าน้ำนมข้าวป้อน ๓ ปี เงิน ๓๐๐ บาท

ตาผลน้อมคำรับเอาเงิน ๓๐๐ บาท มากำไว้สักครู่ เมื่อจวนจะลากลับ จึงพร่ำพรรณนามอบฝากเณรโดยอเนกประการ แล้วถวายเงิน ๓๐๐ บาทนั้นคืนหลวงพ่อแก้ว แล้วถวายอีก ๑๐๐ บาทเป็นค่าบำรุงเณรสืบไป แล้วก็ลาท่านอาจารย์แก้วไปเยี่ยมญาติพี่น้อง ณ บางขุนพรหมต่อไป

ฝ่ายพระอาจารย์แก้ว จึงจัดห้องหับให้สามเณรอยู่บนหมู่คณะวัดบางลำพูบนวันนั้นมา เวลาเช้าก็ลุกขึ้นบิณฑบาตร และสำรับกับข้าวของฉันในคณะอาจารย์แก้วนั้นอุดมล้นเหลือไม่บกพร่อง ทั้งบารมีศีลและธรรมที่สามเณรโตประพฤติดี ก็บันดาลให้มีผู้ขึ้นถวายเช้าและเพลและที่ปวารณาก็กลายเป็นโภชนะสับบายของโยคะบุคคลทุกเวลา

ฝ่ายพระอาจารย์แก้วเมื่อเห็นเวลาฤกษ์ดีแล้ว จึงได้นำสามเณรโตไปฝากพระโหราธิบดี, พระวิเชียร กรมราชบัณฑิต ให้ช่วยแนะนำสั่งสอนสามเณรให้มีความรู้ดีในคัมภีร์ พระปริยัติธรรมทั้ง ๓ ปิฎก พระโหราธิบดี, พระวิเชียรก็รับและสอนตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

พระโหราธิบดี พระวิเชียร อยู่บ้านหลังวัดบางบำภูบน เสมียนตราด้วงบ้านบางขุนพรหม ท่านขุนพรหมเสนา บ้านบางขุนพรหม ปลัดกรมนุท บ้านบางลำภูบน เสมียนบุญและพระกระแสร ทั้ง ๗ ท่านนี้เป็นคนมั่งคั่งหลักฐานทั้งมีศรัทธาความเชื่อมั่นในบวรพุทธศาสนา เมื่อได้เห็นจรรยาอาการของสามเณรโต และความประพฤติดี หมั่นเรียนเพียรมาก ปากคอลิ้นคางคล่องแคล่วไม่ขัดเขินเคร่งครัดดี รูปร่างกายก็ผึ่งผายองอาจ ดูอาการมิได้น้อมไปทางกามคุณ มรรยาทเณรก็ละมุนละม่อม เมื่อร่ำเรียนธรรมะในคัมภีร์ไหนก็เอาใจใส่ไต่ถามให้รู้ลักษณะ จะเดินประโยคอะไร ก็ถูกต้องตามในรูปประโยคแบบอย่าง ถูกใจอาจารย์มากกว่าผิด ท่านทั้ง ๗ คนดั่งออกนามมานี้พร้อมกันเข้าเป็นโยมอุปฐากช่วยกันอุปถัมภ์บำรุง หมั่นไปมาหาสู่ที่สัดบางลำพูเสมอ และสัปปรุษอื่นๆ ต่างก็เลื่อมใสใส่บาตร์อย่างบริบูรณ์ บางคนก็นิมนต์แสดงธรรมเทศนา ถึงฤดูหน้าเทศน์มหาชาติตามวัดแถวนั้น คนก็ชอบนิมนต์สามเณรโตเทศน์ หิมพานบ้าง เทศน์ทานกัณฑ์บ้าง เทศน์วันประเวศน์บ้าง เทศน์ชูชกบ้าง เทศน์จุลพนบ้าง เทศน์มหาพนบ้าง เทศน์กุมารบรรพบ้าง เทศน์มัทรีบ้าง เทศน์สักกะบรรพบ้าง เทศน์มหาราชบ้าง เทศน์ฉกษัตริย์บ้าง เทศน์นครกัณฑ์บ้าง ตกลงเทศน์ได้ถูกต้องทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ทำเสียงเล็กแหลมก็ได้ ทำเสียงหวานแจ่มใสก็ได้ ทำเสียงโฮกฮากก็ได้ กลเม็ดมหาพนและแหล่สระแหล่ราชสีห์ ว่ากลเม็ดแพรวพราว ที่หยุดที่ไป ที่หายใจขึ้นลงเข้าออกสนิททุกอย่างทุกกัณฑ์ กระแสเสียงเสนาะน่าฟังทุกกัณฑ์ ทำนองเป็นหมดไม่ว่ากัณฑ์อะไรเทศน์ได้ทุกกัณฑ์ จังหวะก็ดีเสมอ แต่สามเณรโตมิได้มัวเมาหลงใหลในการรวยเรื่องเทศนามหาชาติ และมิได้มัวเมาหลงใหลด้วยอุปัฏฐากมาก เอาใจใส่แต่การเรียนการปฏิบัติทางเพลิดเพลินเจริญสมณธรรมเป็นเบื้องหน้า จึงได้เป็นที่รักที่นับถือของท่านโหราธิบดี, พระวิเชียร, เสมียนตราด้วง, ปลัดกรมนุท, ขุนพรหมเสนา, และท่านขรัวยายโหง, เสมียนบุญ, พระกระแสร, ท่านยายง้วน และใครต่อใครอีกเป็นอันมากจนจดไม่ไหว

ครั้นถึงเดือนห้า ปีขาล ฉศก จุลศักราช ๑๑๕๖ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงเทพพระมหานครฯ พระชนมายุกาลแห่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ย่างขึ้นได้ ๒๘ พรพรรษาโดยจันทรคตินิยม อายุสามเณรโตก็ได้ ๑๘ ปีบริบูรณ์ในเดือน ๕ ศกนั้น

จึงท่านพระโหราธิบดี, พระวิเชียร, เสมียนตราด้วง ได้พิจารณาเห็นกิริยาท่าทาง และจรรยาอาการสติปัญญาอย่างเยี่ยมแปลกกว่าที่เคยได้เห็นมาแต่ก่อน ทั้งมีรัดประคดหนามขนุนคาดด้วย จะทักถามและพยากรณ์เองก็ใช่เหตุ จึงปรึกษาเห็นตกลงพร้อมกันว่าควรจะนำเข้าถวายตัวแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรให้ได้ทรงทอดพระเนตร อนึ่งพระองค์ท่านก็ทรงโปรดพระและเณรที่ร่ำเรียนรู้ในธรรมทั้ง ๒ คือ คัณถธุระและวิปัสสนาธุระ บางทีพ่อเณรมีวาสนาดีก็อาจจะเป็นพระหลวง เณรหลวงก็ได้ ครั้นท่านขุนนางทั้ง ๓ ปฤกษาตกลงเห็นพร้อมใจกันแล้ว จึงแนะนำให้สามเณรโตให้รู้ตัวว่า จะนำเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ในวันเดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ศกนี้เป็นแน่

ฝ่ายสามเณรรู้ตัวแล้ว จึงเตรียมตัวสุผ้าย้อมผ้า และสุย้อมรัดประคดหนามขนุนของโยมผู้หญิงให้มานั้น ซึ่งโยมผู้หญิงกระซิบสั่งสอนเป็นความลับกำกับมาด้วย ฟอกย้อมรัดประคดสายนั้นจนใหม่เอี่ยมดี

ครั้นถึงวันกำหนด จึงพระโหราธิบดี, พระวิเชียร, และเสมียนตราด้วงได้ออกมาที่วัดบางลำภู เรียนกับท่านอาจารย์แก้ว ให้รู้ว่าจะพาสามเณรโต เข้าเฝ้าถวายตัวแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรฯ พระอาจารย์แก้วก็อนุมัติตามใจแล้วท่านจึงเรียกสามเณรโต มาซ้ำร่ำสอนทางขนบธรรมเนียมเดินนั่ง พูดจากับจ้าวใหญ่นายโตใช้ถ้อยคำอย่างนั้นๆ เมื่อจะทรงถามอะไรมาก็ให้มีสติระวังระไว พูดมากเป็นขี้เมาก็ใช้ไม่ได้ พูดน้อยจนต้องซักต่อก็ใช้ไม่ได้ ไม่พูดก็ใช้ไม่ได้ พูดเข้าตัวก็ใช้ไม่ได้ จงระวังตั้งสติสัมปชัญญะไว้ในถ้อยคำของตน เมื่อพูดอย่าจ้องหน้าตรงพระพักตร์ เมื่อพูดอย่าเมินเหม่ไปทางอื่น ตั้งอกตั้งใจเพ็ดทูลให้เหมาะถ้อยเหมาะคำ ให้ชัดถ้อยชัดคำ อย่าหัวเราะ อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากล้า จงทำหน้าให้ดี อย่ามีความสะทกสะท้าน จงไปห่มผ้าครองจีวรให้เรียบร้อย ไปกับคุณพระเดี๋ยวนี้

สามเณรโตน้อมคำนับรับเถโรวาทใส่เกล้าแล้ว ไปห้องครองผ้า คาดรัดประคดเสร็จแล้ว จุดธูปเทียนอาราธนาพระบริกรรมภาวนาประมาณอึดใจหนึ่ง แล้วก็ออกเดินมาหาพระโหราธิบดี พระวิเชียร เสมียนตราด้วง ท่านทั้ง ๓ จึงนมัสการลาพระอาจารย์แก้ว แล้วพาสามเณรโตลงเรือแหวด ๔ แจว คนแจวก็ล่องลงมาจอดที่ท่าตำหนักแพหน้าพระราชวังเดิม แล้วนำพาสามเณรขึ้นไปบนท้องพระโรงในพระราชวังเดิม ณ ฝั่งธนบุรีใต้วัดระฆังนั้น

ฝ่ายพนักงานหน้าท้องพระโรง นำความขึ้นกราบทูลว่า พระโหราธิบดี พาสามเณรมาเฝ้า จึงเสด็จออกท้องพระโรง ทรงปราศรัยทักถามพระโหราธิบดี พระวิเชียร และเสมียนตราด้วงแล้ว ได้ทรงสดับคำพระโหราธิบดีกราบทูลเสนอคุณสมบัติของสามเณรขึ้นก่อน เพื่อให้ทรงทราบ

จึงทอดพระเนตรสามเณรโต ทรงเห็นสามเณรโตเปล่งปลั่งรังสีรัศมีกายออกงามมีราษี เหตุด้วยกำลังอำนาจศีละคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณหากอบรมสมกับผ้ากาสาวพัตร์ และมีรัดประคดหนามขนุน อย่างของขุนนางนายตำรวจใหญ่ คาดเป็นบริขารมาด้วย

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงฯ พระองค์นั้น ทรงพระเกษมสันต์โสมนัสยิ่งนัก จึงเสด็จตรงเข้าจับมือสามเณรโตแล้วจูงให้มานั่งพระเก้าอี้เคียงพระองค์ แล้วทรงถามว่าอายุเท่าไรฯ ทูลว่า ขอถวายพระพรอายุได้ ๑๘ เต็มในเดือนนี้ฯ ทรงถามว่า เกิดปีอะไรฯ ทูลว่า ขอถวายพระพรเกิดปีวอกอัฐศกฯ รับสั่งถามว่า บ้านเกิดอยู่ที่ไหนฯ ทูลว่าขอถวายพระพรฯ บ้านเดิมอยู่ใต้เมืองกำแพงเพชร แล้วย้ายลงมาตั้งบ้านอยู่เหนือเมืองพิจิตร ขอถวายพระพรฯ รับสั่งถามว่า โยมผู้ชายชื่ออะไรฯ ทูลว่า ขอถวายพระพร ไม่รู้จักฯ รับสั่งถามว่า โยมผู้หญิงชื่ออะไรฯ ทูลว่า ขอถวายพระพร ชื่อแม่งุดฯ รับสั่งถามว่า ทำไมโยมผู้หญิงไม่บอกตัวโยมผู้ชายให้เจ้ากูรู้จักบ้างหรือฯ ทูลว่า โยมผู้หญิงเป็นแต่กระซิบบอกว่าเจ้าของรัดประคดนี้เป็นเจ้าคุณแม่ทัพขอถวายพระพร

ครั้นทรงได้ฟัง ตระหนักพระหฤทัยแล้ว ทรงพระปราโมทย์เอ็นดูสามเณรยิ่งขึ้น จึงทรงรับสั่งทึกทักว่า แน่ะ คุณโหรา เณรองค์นี้ ฟ้าจะทึกเอาเป็นพระโหรานำช้างเผือกเข้ามาถวาย จงเป็นเณรของฟ้าต่อไป ฟ้าจะเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงเอง แต่พระโหราต้องเป็นผู้ช่วยเลี้ยงช่วยสอนแทนฟ้า ทั้งพระวิเชียรและเสมียนตราด้วง ช่วยฟ้าบำรุงเณร เณรก็อย่าสึกเลยไม่ต้องอนาทรอะไร ฟ้าขอบใจพระโหรามากทีเดียว แต่พระโหราอย่าทอดธุระทิ้งเณรช่วยเลี้ยง ช่วยสอนต่างหูต่างตาช่วยดูแลให้ดีด้วย และเห็นจะต้องย้ายเณรให้มาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราชมี จะได้ใกล้ๆ กับฟ้า ให้อยู่วัดนิพพานารามจะดี (วัดนิพพานาราม คือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์เดี๋ยวนี้)

ครั้นรับสั่งแล้ว จึงทรงพระอักษรเป็นลายพระราชหัตถเลขามอบสามเณรโตแก่สมเด็จพระสังฆราช (มี) แล้วส่งลายพระราชหัตถเลขานั้นมอบพระโหราธิบดีให้นำไปถวาย พระโหราธิบดีน้อมเศียรคำนับรับมาแล้วกราบถวายบังคมลา ทั้งพระวิเชียรและเสมียนตราด้วง สามเณรโตก็ถวายพระพรลา แล้วก็เสด็จขึ้น

ฝ่ายขุนนางทั้ง ๓ ก็พาสามเณรลงเรือแจวข้ามฟากมาขึ้นท่าวัดมหานิพพานารามตามคำสั่ง พาเณรเดินขึ้นบนตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (มี) ครั้นพบแล้วต่างถวายนมัสการ พระโหราธิบดีก็ทูลถวายลายพระราชหัตถเลขาแก่สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ คลี่ลายพระหัตถออกอ่านดูรู้ความในพระกระแสรับสั่งนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้พระครูใบฎีกาไปหาตัวพระอาจารย์แก้ว วัดบางลำภูบน ซึ่งเป็นเจ้าของสามเณรเดิมนั้นขึ้นมาเฝ้า ครั้นพระอาจารย์แก้วมาถึงแล้วจึงรับสั่งให้อ่านพระราชหัตถ์เลขา พระอาจารย์แก้วอ่านแล้วทราบว่าพระยุพราชนิยมก็มีความชื่นชอบ อนุญาตถวายเณรให้เป็นเณรอยู่วัดนิพพานารามต่อไป ได้รับนิสัยแต่สมเด็จพระสังฆราชด้วยแต่วันนั้นมา

สามเณรโตนั้นก็อุตส่าห์ทำวัตรปฏิบัติแก่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และเข้าเรียนคัมภีร์พระปริยัติธรรม จนทราบสันธวิธีของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าจนชำนิชำนาญดี และเรียนกับพระอาจารย์เสมวัดนิพพานารามอีกอาจารย์หนึ่งด้วย

ครั้นถึงเดือน ๖ ปีมะเส็ง นพศก จุลศักราช ๑๑๕๙ เป็นปีที่ ๑๖ ในรัชกาลที่ ๑ กรุงเทพพระมหานครฯ จึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงพระคำนวณปีเกิดของสามเณรโต เป็นกำหนดครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ควรอุปสมบทได้แล้ว จึงรับสั่งให้พระโหราธิบดีกับเสมียนตราด้วงมาเฝ้า แล้วทรงรับสั่งโปรดว่า พระโหราฯต้องไปบวชสามเณรโตแทนฟ้า ต้องบวชที่วัดตะไกร เมืองพิษณุโลก แล้วทรงมอบกิจการทั้งปวงแก่พระโหราธิบดี พร้อมทั้งเงินที่จะใช้สอย ๔๐๐ บาท ทั้งเครื่องบริกขารพร้อม และรับสั่งให้ทำขวัญนาค เวียนเทียนแต่งตัวนาคอย่างแบบนาคหลวง การซู่ซ่าแห่แหนนั้นอนุญาตตามใจญาติโยมและตามคติชาวเมือง แล้วรับสั่งให้เสมียนตราด้วงแต่งท้องตราบัวแก้วขึ้นไปวางให้เจ้าเมืองพิษณุโลก ให้เจ้าเมืองเป็นธุระช่วยการบวชนาคสามเณรโต ให้เรียบร้อยดีงาม ตลอดทั้งการเลี้ยงพระเลี้ยงคน ให้อิ่มหนำสำราญทั่วถึงกัน กับทั้งให้ขอแรงเจ้าเมืองกำแพงเพชร เจ้าเมืองพิจิตร เจ้าเมืองพิชัยและเจ้าเมืองไชยนามบุรี ให้มาช่วยกันดูแลการงาน ให้เจ้าเมืองพิษณุโลกจัดการงานในบ้านในจวนนั้นให้เรียบร้อยและให้ได้บวชภายในข้างขึ้นเดือน ๖ ปีนี้ แล้วแต่จะสะดวกด้วยกันทั้งฝ่ายญาติโยมของเณร

รับสั่งให้สังฆการีในพระราชวังบวรวางฎีกาอาราธนาสมเด็จพระวันรัต วัดระฆังให้ขึ้นไปบวชนาคที่วัดตะไกร ให้ขึ้นไปแต่ข้างขึ้นอ่อนๆ ให้สำเร็จกิจบรรพชาอุปสมบทภายในกลางเดือน ให้ไปนัดหมายการงานต่อเจ้าเมืองพิษณุโลกพร้อมด้วยญาติโยมของเณร และตามเห็นดีของเจ้าเมืองด้วย

พระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง รับพระกระแสรับสั่งแล้วถวายบังคมลาออกมาจัดกิจการตามรับสั่งทุกประการ

ฝ่ายข้างญาติโยมของสามเณรโต ทราบพระกระแสร์รับสั่งแล้ว จึงจัดเตรียมเข้าของไว้พร้อมสรรพ แล้วไปนิมนต์ท่านพระอาจารย์แก้ววัดบางลำพูบนให้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ รับขึ้นไปพร้อมด้วยตน แล้วนิมนต์ท่านเจ้าอธิการวัดตะไกรเป็นอนุสาวนาจารย์ จะเป็นวัดไหนก็แล้วแต่สมเด็จพระอุปัชฌาย์จะกำหนดให้ และเผดียงพระสงฆ์อันดับ ๒๕ รูป ในวัดตะไกรบ้าง วัดที่ใกล้เคียงบ้าง ให้คอยฟังกำหนดวันที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์จะกำหนดให้

ฝ่ายพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง จึงจัดเรือญวนใหญ่ ๖ แจว ๑ ลำ เรือญวนใหญ่ ๘ แจว ๑ ลำ, เรือครัว ๑ ลำ คนแจวพร้อม และจัดหาผ้าไตรคู่สวดอุปัชฌาย์ จัดเทียนอุปัชฌาย์คู่สวด จัดเครื่องทำขวัญนาคพร้อมผ้ายก ตาลอมพอก แว่น เทียน ขันถม ผ้าคลุม บายศรี เสร็จแล้ว เอาเรือ ๖ แจว ไปรับสมเด็จพระวันรัต ลาเณรจากสมเด็จพระสังฆราช แล้วนำมาลงเรือ ๖ แจว ส่วนพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง ไปลงเรือ ๘ แจว

เรือสมเด็จพระวันรัตและสามเณรโต เรือพระโหราธิบดี เสมียนตราด้วง ออกเรือแจวขึ้นไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ตามกันเป็นแถวขึ้นไปรอนแรมค้างคืนตามหนทางล่วงเวลา ๒ คืน ๒ วัน ก็ถึงเมืองพิษณุโลก ตรงจอดที่ที่หน้าจวนพระยาพิษณุโลก เสมียนตราด้วงจึงขึ้นไปเรียนท่านผู้ว่าราชการเมืองให้เตรียมตัวรับท้องตราบัวแก้ว และรับรองเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตวัดระฆังตามพระกระแสรับสั่ง

ครั้นท่านพระยาพิษณุโลกทราบแล้ว จึงจัดการรับท้องตราก่อน เสมียนตราด้วงจึงเชิญท้องตราบัวแก้วขึ้นไปบนจวน เชิญท้องตราตั้งไว้ตามที่เคยรับมาแต่กาลก่อน เมื่อเจ้าเมือง ยกกระบัตร กรมการมาประชุมพร้อมกันแล้ว เสมียนตราด้วงจึงแกะครั่งประจำถุงตรา เปิดซองออกอ่านท้องตรา ให้เจ้าเมือง ยกกระบัตร กรมการฟัง ทราบพระประสงค์ และพระกระแสร์รับสั่งตลอดเรื่องแล้ว เจ้าเมืองกรมการน้อมคำนับถวายบังคมพร้อมกันแล้ว เสมียนตราด้วงจึงวางไว้บนพานถมบนโต๊ะแล้วคุกเข่าถวายบังคม ภายหลังแล้วจึงคำนับท่านเจ้าเมือง ไหว้ยกกระบัตร กรมการทั่วไป ตามฐานันดรแลอายุ ท่านเจ้าเมืองจึงลงไปอาราธนาสมเด็จพระวันรัต และสามเณรโตขึ้นพักบนหอนั่งบนจวน กระทำความคำนับต้อนรับเชื้อเชิญตามขนบธรรมเนียม โดยเรียบร้อยเป็นอันดี ผู้ว่าราชการจึงสั่งหลวงจ่าเมือง หลวงศุภมาตรา ๒ นาย ให้ออกไปบอกข่าวท่านสมภารวัดตะไกรให้ทราบว่า สมเด็จพระวันรัตวัดระฆัง มาถึงตามรับสั่งแล้ว ให้ท่านสมภารจัดเสนาศ์ปูอาศนะให้พร้อมไว้ ขาดแคลนอะไร หลวงจ่าเมือง หลวงศุภมาตรา ต้องช่วยท่านสมภาร สั่งหลวงแพ่ง หลวงวิจารณ์ ให้จัดที่พักคนเรือและนำเรือเข้าโรงเรือ เอาใจใส่ดูแลรักษาเหตุการณ์ทั่วไป สั่งขุนสรเลขให้ขอแรงกำนันที่ใกล้ๆ ช่วยยกสำรับเลี้ยงพระเลี้ยงคนในตอนพรุ่งนี้ จนตลอดงาน สั่งพระยายกกระบัตรให้มีตราเรียกเจ้าเมืองทั้ง ๔ ให้มาถึงปะรืนนี้ สั่งหลวงจู๊ให้ขอกำลังเลี้ยงฝีพายบางกอก สั่งรองวิจารณ์ รองจ่าเมือง ให้นัดประชุมกำนันในวันปะรืนนี้ สั่งรองศุภมาตราให้เขียนใบเชิญพ่อค้าคฤหบดี ครั้นเวลาเย็นเห็นว่าที่วัดจัดการเรียบร้อยแล้ว จึงอาราธนาสมเด็จพระวันรัต ออกไปพักผ่อนอิริยาบถที่วัด สบายกว่าพักบ้านตามวิสัยพระ ส่วนท่านเจ้าเมืองพร้อมด้วยเสมียนติดตามส่งสมเด็จพระวันรัต ณ วัดตะไกร และนัดหมายสามเณรโตให้นัดญาติโยมพร้อมหาฤากันใน ๒ วันนี้

ครั้นท่านเจ้าเมืองมาส่งสมเด็จพระวันรัตที่วัดตะไกรถึงแล้ว ได้ตรวจตราเห็นว่าเพียงพอถูกต้องแล้ว จึงสั่งกรรมการ ๒ นายให้อยู่ที่วัดคอยระวังปฏิบัติ แ

5504
ข้อมูลจากเวบวัดบพิตรพิมุข
 http://www.watbopit.com/story_longpoo.html

(จากหนังสือ วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร ประวัติและ เกียรติคุณหลวงปู่ไข่ อินทสโร, พิมพ์ครั้งแรก, กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ,2542)



อินฺทสโรภิกฺขุ (ไข่) หรือที่รู้จักกันดีในหมู่นักสะสมพระเครื่องว่า หลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลน เป็นชาวแปดริ้ว บ้านเกิดอยู่บริเวณ ประตูน้ำท่าไข่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทราในปัจจุบัน หลวงปู่เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2402 ตรงกับขึ้น5 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม เป็นบุตรของนายกล่อม นางบัว จันทร์สัมฤทธิ์ มีพี่น้องกี่คนไม่ปรากฏ

ขณะที่ท่าน อายุ 6 ขวบ(ประมาณ พ.ศ. 2408) บิดาได้นำไปฝากเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน วัดโสธร คือวัดโสธรวราราม จังหวัดฉะเชิงเทราในปัจจุบัน เพื่อให้เรียนหนังสือ ต่อมาจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อได้บรรพชาแล้วก็ได้หัดเทศน์มหาชาติและเทศน์ประชัน

กล่าวกันว่าหลวงพ่อปู่ไข่มีความสามารถในการเทศน์มหาชาติกัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรีได้ไพเราะกังวานจับใจผู้ฟังยิ่งนักแม้ภายหลังเมื่อชราแล้ว ศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิดก็มักจะได้ยินหลวงปู่ทบทวนการเทศน์มหาชาติ ทั้ง 2 กัณฑ์ ในตอนกลางคืนอยู่เสมอๆ

ครั้นเมื่อหลวงพ่อปาน วัดโสธร มรณภาพแล้ว หลวงปู่ไข่ได้ไปอยู่กับพระอาจารย์จวง วัดน้อย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในอำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี จนกระทั่งพระอาจารย์จวงมรณภาพ ขณะนั้นหลวงปู่ไข่มีอายุได้ 15 ปี (ประมาณ พ.ศ.2417)

ตามประวัติกล่าวว่าหลวงปู่ไข่ ได้เดินทางมากรุงเทพฯ ไปอยู่กับพระอาจารย์รูปหนึ่ง (ไม่ปรากฏนาม) ที่วัดหงส์รัตนาราม อำเภอบางกอกใหญ่ ฝั่งธนบุรี เพื่อเรียนพระปริยัติธรรม อีก 3 ปีต่อมา (ประมาณ พ.ศ.2420) หลวงปู่ไข่ได้เดินทางไปอยู่กับพระอาจารย์เอี่ยม วัดลัดด่าน ซึ่งอยู่ที่แม่กลอง จังหวัดสมุทรสาคร และได้เล่าเรียนปริยัติธรรมและพระวินัยจนอายุครบบวช (ประมาณ พ.ศ.2422) จึงได้อุปสมบทที่วัดนี้ โดยมี

พระอาจารย์เนตร วัดบ้านแหลม เมืองสมุทรสงคราม เป็นพระอุปัชฌาย์

พระอาจารย์เอี่ยม วัดลัดด่าน เมืองสมุทรสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พระอาจารย์ภู่ วัดบางกะพ้อม เมืองสมุทรสงคราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

อุปสมบทแล้วได้เดินทางไปเรียนพระกรรมฐานกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง (ไม่ปรากฏนาม) ซึ่งอยู่ที่เชิงเขา แขวงเมืองกาญจนบุรี เรียนอยู่ระยะหนึ่งจึ่งกลับมาอยู่วัดลัดด่านตามเดิม

ต่อมาหลวงปู่ไข่ได้ออกธุดงค์ไปตามสำนักพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งอยู่ที่อำเภอโพธาราม เมืองราชบุรี และเมืองกาญจนบุรี จากนั้นได้กลับมาอยู่ที่วัดลัดด่านอีกระยะหนึ่ง จึงได้ออกธุดงค์ไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์ในถ้ำที่เมืองกาญจนบุรีเป็นเวลาประมาณ 6 ปี (ราว พ.ศ. 2423 - 2429)

ตามประวัติกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า

"ท่านเล่าว่า ระหว่างอยู่ในถ้ำนั้น ตกกลางคืนจะมีสิงห์สาราสัตย์ต่างๆ เข้ามานอนล้อมกอด พอเช้ามืดต่างคนต่างออกไปหากิน ส่วนท่านก็จะออกบิณฑบาตเป็นกิจวัตรประจำวัน (ท่านฉันหนเดียว)

เมื่อท่านศึกษาอยู่ในถ้ำนั้นเป็นเวลานานพอสมควร เห็นว่าจะช่วยเหลือโลกได้บ้างแล้ว ท่านก็เดินธุดงค์ออกจากถ้ำไปในที่ต่าง ๆ โดยไม่ยอมขึ้นรถลงเรือ และไม่มีจุดหมายปลายทาง สุดแต่มืดที่ไหนก็กางกลดนอนที่นั่น เช้าก็ออกเดินธุดงค์ต่อไป

ในระหว่างทางมีราษฎรมาขอความช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เรื่องตกทุกข์ได้ยาก หรือเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเป็นบ้าเสียจริต ท่านมีจิตเมตตาช่วยรักษาให้ตามที่อธิษฐานทุกคน"

หลวงปู่ไข่เดินธุดงค์อยู่ราว ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๒๙ - พ.ศ.๒๔๔๔) เกียรติคุณของหลวงปู่ไข่ได้เลื่องลือเข้ามาถึงกรุงเทพฯ จึงมีผู้นิมนต์มาอยู่ที่วัดบางยี่เรือ ฝั่งธนบุรี เป็นเวลา ๑ ปี จากนั้นหลวงปู่ไข่ก็ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรอีกหลายปี ในที่สุดหลวงปู่ไข่ก็เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง เข้าใจว่าคงราว ๆ พ.ศ.๒๔๕๕ -พ.ศ.๒๔๖๑

การเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ครั้งนี้ หลวงปู่ไข่ได้เลือกจำพรรษาอยู่ที่วัดเชิงเลน หรือวัดบพิตรพิมุขวรวิหาร ทั้งนี้เพราะที่วัดบพิตรพิมุขมีพระภิกษุน้อย และมีคณะกุฏิ ซึ่งใช้เป็นที่เก็บศพ และบางครั้งก็มีชาวบ้านเข้ามาใช้เป็นที่ถ่ายอุจจาระด้วย ดังนั้นคณะกุฏินี้จึงเป็นสถานที่เงียบสงบ ไม่มีใครมารบกวนมากนัก หลวงปู่ไข่จึงเข้ามาอยู่ที่คณะกุฏิในป่าช้าของวัดบพิตรพิมุข สมัยนั้นพระภิกษุรูปใดจะเข้ามาอยู่วัดก็ได้โดยเสรี ไม่ต้องมีบัตรและไม่มีใครตรวจตรา ไม่ต้องขออนุญาต เพียงแต่ถึงคราวเข้าปุริมพรรษา ก็บอกกล่าวเจ้าอาวาสให้รับทราบ เพื่อจะได้จำพรรษาที่วัดนั้น และเมื่อหลวงปู่ไข่มาอยู่ที่วัดบพิตรพิมุขนั้น พระกวีวงศ์ (กระแจะ วสุตตโม ป.ธ.๔) เป็นเจ้าอาวาส

ในระหว่างที่หลวงปู่ไข่จำพรรษาอยู่ ณ วัดบพิตรมุข หลวงปู่ไข่ได้ปฏิบัติทางธรรมและสร้างการกุศลหลายประการ ได้แก่ สอนพระกรรมฐานแก่บรรพชิตและฆราวาส ช่วยอนุเคราะห์แก่ผู้เจ็บไข้ได้ทุกข์ บริจาคทรัพย์ส่วนตัวและชักชวนบรรดาศิษย์และผู้ที่คุ้นเคยให้มาร่วมการทำบุญ เช่น สร้างพระพุทธปฏิมา ซ่อมพระพุทธรูปของเก่าที่ชำรุดหักพังให้ดีขึ้น สร้างพระไตรปิฎก โดยหลวงปู่ไข่ลงมือจารใบลานด้วยตนเองบ้าง ให้ช่างจารขึ้นบ้าง ซ่อมแซมกุฏิที่ชำรุดทรุดโทรมให้ดีขึ้น สร้างกุฏิเป็นห้องแถวไม้ขึ้นอีกหลายกุฏิ ทั้งได้สร้างถนน สระน้ำ ถังรับน้ำฝน ขึ้นภายในบริเวณวัด สร้างแท่นสำหรับนั่งพักภายในคณะกุฏิให้เป็นที่สะดวกแก่พระภิกษุสามเณรที่อาศัยอยู่ในคณะนั้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏว่า เมื่อครั้งหลวงปู่ไข่จำพรรษาอยู่ตามหัวเมือง ก็ได้สร้างและปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ มาแล้วหลายแห่ง

หลวงปู่ไข่เป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในคูณพระรัตนตรัย มีจิตสุขุมเยือกเย็นประกอบด้วยเมตตากรุณา มีจริยาวัตรอัธยาศัยเรียบร้อย เคร่งครัดในทางสัมมาปฏิบัติ เป็นที่เคารพนับถือแก่บรรดาศิษย์และผู้ที่รู้จักคุ้นเคยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็นอันมาก หลวงปู่ไข่เป็นพระที่สมณะใฝ่สันโดษ เจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นนิตย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร บรรดาศิษย์ของหลวงปู่ไข่ได้ป่วยก็มาหา หลวงปู่ไข่ก็จะแนะนำให้ไปซื้อยามาเสกให้กิน เมื่อมีเวลาว่างหลวงปู่ไข่ก็จะสร้างพระ ตะกรุด ธง และเหรียญออกแจกจ่ายแก่บรรดาศิษย์

ราว พ.ศ. ๒๔๗๐ หลวงปู่ไข่เตรียมบาตร กลด และย่ามเพื่อจะออกธุดงค์ แต่บรรดาศิษย์ทั้งที่เป็นข้าราชการ พ่อค้า ได้ปรึกษาหารือกันว่า หลวงปู่ไข่ชราภาพมากแล้ว หากออกธุดงค์คราวนี้ไซร้คงจะไม่ได้กลับมาแน่ จึงได้นิมนต์ยับยั้งไว้ โดยขอให้หลวงปู่ไข่อยู่วิปัสสนากรรมฐานแก่บรรดาศิษย์ต่อไป

หลวงปู่ไข่เริ่มอาพาธด้วยโรคชราตั้งแต่วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๕ ครั้นวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๕ เวลา ๑๓.๒๕ น. ก็ถึงแก่มรณภาพ

ก่อนเวลาที่จะมรณภาพ หลวงปู่ได้ข่มความทุกข์เวทนาอยู่ในเวลานั้น ให้หายไปได้ ประดุจบุคคลที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ แล้วขอให้ศิษย์ที่พยาบาลอยู่ ประคองตัวให้ลุกขึ้นนั่ง และให้จุดธูปเทียนบูชาพระ เมื่อกระทำนมัสการบูชาพระเสร็จแล้วก็เจริญสมาธิสงบระงับจิต เงียบเป็นปกติอยู่ประมาณ ๑๕ นาที ก็หมดลมปราณ

ถึงวาระสุดท้ายศิษย์ผู้คอยเฝ้าพยาบาลอยู่ จึงประคองตัวหลวงปู่ไข่ให้นอนลง รวมอายุได้ ๗๔ ปี พรรษา ๕๔ พรรษา

ตามปรกติที่วัดบพิตรพิมุขไม่มีที่ประชุมเพลิงศพโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้คณะสงฆ์เห็นว่าหลวงปู่ไข่ เป็นพระเก่าแก่ของวัด และมีผู้เคารพนับถือมาก จึงขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำการประชุมเพลิงศพหลวงปู่ไข่ที่บริเวณกุฏิ กำหนดประชุมเพลิงในวันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ เวลา ๑๗.๐๐ น. (คือประมาณ ๑๐๐ วันหลังจากมรณภาพ สมัยนั้น วันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ ๑ เมษายน)

ในวันประชุมเพลิงศพ มีคนมาร่วมงานมากมาย ถึงกับล้นออกไปตามตรอกซอยและถนน พอถึงเวลาเคลื่อนศพเพื่อนำไปขึ้นเชิงตะกอน ทันใดนั้นเอง แผ่นดินบริเวณคณะได้เกิดไหวขึ้น คนตกใจถึงกับออกปากว่า อภินิหารของหลวงปู่มากเหลือเกิน

เมื่อประชุมเพลิง แล้วสัปเหร่อได้จัดการแปรธาตุเก็บอัฐิ บรรดาศิษย์เข้าขออัฐิของหลวงปู่ไปไว้บูชาเป็นจำนวนมาก

5505
เคดิต http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-lew-hist.htm

5507
ประวัติหลวงปู่หลิว  ปณฺณโก

วัดไร่แตงทอง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

 

จากกระทู้ในหัวข้อ บทความสาระน่ารู้  เวป uamulet.com โพสท์โดย คุณ ไทยสมบัติ เมื่อ 14/10/2546

ปฐมวัย 

หลวงปู่หลิว  ปณฺณโก   มีนามเดิมว่า   ?หลิว?   นามสกุล   ?แซ่ตั้ง?   (นามถาวร) บิดามีนามว่า   คุณพ่อเต่ง แซ่ตั้ง   มารดามีนามว่า   คุณแม่น้อย แซ่ตั้ง  ท่านเกิดเมื่อ  วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2448 ขึ้น 11 ค่ำ เดือนอ้าย (ปีมะเส็ง)    ที่หมู่บ้านหนองอ้อ ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกันทังหมด 9 คน เป็นชาย 5 คน เป็นหญิง 4 คน (มีพี่ชาย 1 คน พี่สาว 1 คน มีน้องชาย 3 คน และน้องสาว 3 คน) ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 ของครอบครัว

ครอบครัวของหลวงปู่หลิวอยู่ในชนบท ที่ห่างไกลความเจริญ บิดามารดามีอาชีพหลักคือ ทำนา ต่างคนต่างต้องช่วยกันทำมาหากินกันไปตามสภาวะ หลวงปู่หลิวในวัยเด็กมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิงทนที่จะไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กในวัยเดียวกันแต่หลวงปู่หลิวกลับมองเห็นความยากลำบากของบิดา มารดา และพี่ ๆ จึงได้ช่วยงานบิดา มารดา และพี่ ๆ อย่างขยันขันแข็ง ทำให้หลวงปู่หลิวเป็นที่รักใคร่ของบิดา มารดา ตลอดจนพี่ ๆ และน้อง ๆ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยมีความขยันขันแข็ง ทำให้หลวงปู่หลิวได้เรียนรู้วิชาช่าง ควบคู่ไปกับการทำไร่ ทำนา เพราะบิดานั้นเป็นช่างไม้ฝีมือดีคนหนึ่ง เมื่อเติบใหญ่หลวงปู่หลิว จึงมีฝีมือทางช่างเป็นเลิศ จนเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านทั่วไป

ในบางครั้งหลวงปู่หลิว ท่านต้องไปรับจ้างคนอื่นเพื่อให้ได้เงินมา ท่านต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำงานบางครั้งไปกลับใช้ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา บางครั้งทำให้ท่านถึงกับล้มป่วยไปเลยก็มี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลวงปู่หลิวมีความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรมากมาย (เพราะหลวงปู่หลิวท่านมีลักษณะเด่นอยู่ในตัวคือ ท่านมี ?ความจำ? เป็นเลิศ) นอกจากท่านจะเป็นช่างไม้ฝีมือดีแล้วท่านยังเป็นหมอยาประจำหมู่บ้านหนองอ้อ, ทุ่งเจริญ, บ้านเก่า และละแวกใกล้เคียงไปโดยปริยายใครมาขอตัวยากับท่าน ท่านก็ให้ไปทุกคน

ครอบครัวโดนรังแก 

ในอดีตนั้นเขตภาคกลางโดยเฉพาะ เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม กล่าวกันว่าเป็นแดนเสือ ดงนักเลง มีโจรผู้ร้ายโด่งดังมากมาย คนหนุ่มทั้งหลายกลุ่ม หลายถิ่นต่างตั้งกล่มเป็นโจรผู้ร้ายปล้นจี้สร้างอำนาจอิทธิพลในพื้นที่ของตน คนบางกลุ่มก็ตั้งกลุ่มเพื่อปกป้องคุ้มครองถิ่นของตน ครอบครัวหลวงปู่หลิวเองก็ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มโจร ท่านได้พูดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า   ?โยมพ่อโยมแม่และพี่ชายเป็นคนซื่อ ใจรมาขโมยวัว ขโมยควายก็มิได้ต่อสู้ขัดขืน ทำให้พวกโจรได้ใจทำให้วัดควายและข้าวของที่พยายามหามาด้วยความยากลำบากต้องสูญเสียไป อาตมาจึงเจ็บใจและแค้นใจ เป็นที่สุด แต่ทำอะไรมันไม่ได้? 

ในบางครั้งโจรที่มาปล้นวัวควาย คุณพ่อเต่งและพี่ชายคนโดไม่เคยกล้า ที่จะเข้าขัดขวาง ขอเพียงแต่อย่าทำร้ายบุตรหลานก็เป็นพอ   ?ข้าวของเป็นของนอกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้? 

หลวงปู่หลิวในช่วงนั้นก็เป็นวัยรุ่นเลือดร้อน ก็ทวีความโกรธแค้นมากขึ้น จึงคิดหาวิธีปราบโจรผู้ร้าย อย่างเด็ดขาดให้ได้ อันเป็นการช่วยตนเอง และชาวบ้านให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายต่อไป

เข้าป่าเรียนอาคม

หลวงปู่หลิว ได้ชวนหลานชายผู้เป็นลูกของพี่ชาย และหลานชายผู้เป็นลูกของพี่สาว หนีออกจากบ้านไปแสวงหาอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม ในดงกระเหรี่ยง เพื่อขอเรียนวิชาไสยศาสตร์ เพื่อนำมาปราบโจรผู้ร้าย ที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านแทบทุกวัน ซึ่งหลานชายทั้งสองก็เห็นด้วย  บนเส้นทางอันเป็นป่าเขาดงดิบด้านชายแดนไทย-พม่า มีป่าไม้รกทึบ อากาศหนาวเย็นด้วยจิตใจอันแน่วแน่ เด็กหนุ่มทั้ง 3 จึงรีบเร่งเดินทางให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด

ป่าดงดิบสมัยก่อนนอกจากจะรกทึบแล้ว ยังเต็มไปด้วยไข่ป่าอันน่าสะพรึงกลัว ในระหว่างการเดินทางหลานชายผู้ซึ่งเป็นลูกของพี่ชายเกิดป่วยหนักด้วยโรคไข้ป่า ยารักษาก็ไม่มีเพราะไม่ได้เตรียมมา หลวงปู่หลิวจึงหยุดพักการเดินทางเพื่อรักษาไข้ป่าไปตามมีตามเกิด หลานชายทนความหนาวเหน็บและพิษของไข้ป่าไม่ไหว จึงได้สิ้นใจตายไปต่อหน้าต่อตาของหลวงปู่หลิวผู้เป็นอา และหลานอีกคน

ความรู้สึกในเวลานั้นทำให้พาลโกรธโจรผู้ร้ายมากยิ่งขึ้น ทางหลานชายเมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องของตนต้องมาตายจากไปจึงเกิดขวัญเสียไม่อยากเดินทางต่อไปตามที่ตั้งปณิธานเอาไว้ เพราะเกรงว่าหนทางข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก จึงเอ่ยปากชวนน้าชายกลับบ้าน แต่หลวงปู่หลิวได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะไม่กลับแน่นอน ถ้าไม่สำเร็จวิชา

หลังจากนั้นหลวงปู่หลิว ได้แยกทางกันกับหลานชายมุ่งหน้าสู่ดินแดนกระเหรี่ยง ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ เมื่อไปถึงมีชาวกระเหรี่ยงที่พอพูดไทยได้บ้างก็เข้ามาสอบถาม หลวงปู่หลิวจึงได้บอก ความต้องการให้เขาฟัง

หลวงปู่หลิวโชคดีได้พบอาจารย์หม่งจอมขมังเวทย์ชาวกระเหรี่ยง จึงได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนวิชาอาคมด้วย ท่านใช้เวลาอยู่ในหมู่บ้านั้นนานร่วม 4 เดือน  ถึงจะได้เริ่มเรียนวิชากับอาจารย์หม่ง อาจารย์ชาวกระเหรี่ยงให้ความเมตตาประสิทธิ์ประสาทวิชาให้อย่างเต็มใจ ระหว่างอยู่กับอาจารย์ หลวงปู่หลิวมีความมานะบากบั่นช่วยงานทุกอย่าง จนเป็นที่รักใคร่ของทุกคน สำหรับวิชาที่ได้ร่ำเรียนในขณะนั้นคือวิชาฆ่าคนโดยเฉพาะ เพื่อไปแก้แค้นโจรที่ลักวัวควาย หลวงปู่หลิวอยู่กับอาจารย์ชาวกระเหรี่ยงได้ 3 ปี กว่าจนถึงวัย 21 ปี ก็ศึกษาวิชาอาคมได้อย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเดินทางกลับผู้เป็นอาจารย์ได้กำชับอย่างเด็ดขาดว่าวิชาอาคมต่าง ๆ ที่ประสิทธิ์ประสาทให้ ห้ามใช้จนกว่าจะถูกผู้อื่นทำรังแกทำร้ายอย่างถึงที่สุด เพราะมันเป็นวิชาฆ่าคน ท่านก็รับคำและเดินทางกลับบ้านเกิดด้วยความมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาให้หมู่บ้านของตนจึงเดินทางกลับบ้าน เมื่อได้พบบิดา มารดาแล้ว หลวงปู่หลิวได้ลาท่านไปท่องเที่ยวอีกครั้ง

ใช้ควายธนูปราบโจรขโมยวัว 

ในฤดูฝนปีถัดมา หลวงปู่หลิวได้กลับจากท่องเที่ยว มาช่วยบิดามารดาทำไร่นาที่บ้านเกิดอีกครั้ง วัวควายที่เคยเลี้ยงอย่างระมัดระวัง ก็ปล่อยให้มันกินหญ้าตามสบาย  เขาทำมาหากินได้ไม่กี่เดือนมีเพื่อนฝูงที่สนิทคนหนึ่งแจ้งข่าวให้ทราบว่า โจรก๊กหนึ่งจะเข้าปล้นวัวควายเขาในเร็ว ๆ นี้  หนุ่มหลิวก็เตรียมรับมือทันที   แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเตรียมตัวเช่นไร่   ทุกวันเขาทำตัวปกติมิได้อาทรร้อนใจกับเรื่องที่โจรจะเข้าปล้นกลางวันทำไร่ เลี้ยงควายไปตามเรื่อง ตกเย็นค่ำมืดกินข้าวกินปลาหากไม่มีเพื่อนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเขาก็เข้านอนแต่หัววัน

อีกหลายสิบวันต่อมา  คืนหนึ่งดึกสงัดเป็นวันข้างแรม ท้องทุ่งอันเวิ้งว้างมืดสนิทไร้แสงเดือน ท้องฟ้ามีแต่หมู่ดาวกลาดเกลื่นระยิบระยับไปทั่ว แต่ที่บ้านของหนุ่มหลิว มันเงียบแต่ไม่สงัด ร่างตะคุ่มหลายสายพากันเคลื่อนไหวเข้าใกล้เรือนที่มืดมืดของเขา ร่างเหล่านั้นมุ่งไปที่คอกวัวควายส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคุมเชิงระวังภัยให้กับเพื่อน

ทันใดนั้น กลุ่มโจรที่เข้าไปเปิดคอกถึงกับตะโกนร้องอย่างตกใจ ระคนด้วยความหวาดกลัวแล้วแตกกระเจิงออกคนละทิศละทาง เสียงโวยวายร้องบอกให้เพื่อนหลบหนีดังขึ้นสลับร้องโหยหวนเจ็บปวด

เช้าตรู่ของวันใหม่ ท่านเอาวัวควายออกเลี้ยงตามปกติที่ไร่ แม้ว่ารอบบ้านจะมีร่องรอยเท้าคนย่ำอย่าสับสนและมีรอยเลือดกองเป็นหย่อม ๆ และกระเซ็นไปทั่ว เขาไม่ยี่หระวางเฉย  เพียงแต่ก้มลงหยิบสิ่งหนึ่งที่หน้าคอกสัตว์ มันคือ   รูปปั้นควายดินเหนียว   ซึ่งเลอะไปด้วยเลือดเต็มเขาและหัวของมัน  หรือว่าสิ่งนี้ คือ  ?ควายธนู?   ทำการขับไล่เหล่าโจรร้าย ไม่มีใครรู้นอกจากหนุ่มหลิวเพียงคนเดียว

ข่าวการใช้ควายธนุขับไล่โจรก๊กนั้นแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านและลือกันต่าง ๆ นานาว่าท่านเป็นผู้มีของดี ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายมีมิจฉาชีพคิดอยากลองของ ด้วยการซุ้มรุมทำร้ายด้วยอาวุธนานาชนิด แต่มีด ปืนผาหน้าไม้ที่รุมกระหน่ำไม่สามารถทำอันตรายท่านได้แม้แต่น้อย แถมการที่ท่านสู้แบบไม่ถอยทำให้คนร้ายวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน จากชัยชนะหลายครั้ง หลายหนต่อการรุกรานในรูปแบบต่างๆ สร้างความพอใจให้กับคนในหมู่บ้านบางรายถึงกับยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ แต่ก็มีชาวบ้านบางพวกกับมองว่าท่านเป็นนักเลงหัวไม้

ในที่สุดหลวงปู่หลิวก็ปราบโจรลงอย่างราบคาบ จนโจรหลายคนต้องมากราบขออโหสิ และบางคนก็มาขอเป็นศิษย์  นับแต่นั้นมาชาวบ้านก็มีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องหวาดผวาโจรผู้ร้าย บรรดาโจรผู้ร้ายหลายคนก็ได้กลับตัวกลับใจ ทำมาหากินด้วยความสุจริต อย่างชาวบ้านทั่วไป หลวงปู่หลิวได้กล่าวถึงพวกโจรขโมยวัวควายที่พ่ายแพ้ตนว่า   ?คนเราถ้าอยากจะชนะ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องเอาด้วยคาถา แต่เมื่อเขายอมรับผิด ยอมกลับตัวกลับใจ เราก็ควรให้อภัยแก่ผู้สำนึกผิดเป็นการให้ที่ประเสริฐและได้กุศลด้วย? 

ชีวิตที่ยังไม่เปิดเผย

ภายหลังที่หลวงปู่หลิวได้ปราบโจรเป็นที่เรียบร้อย และชาวบ้านอยู่อย่างสงบสุขแล้ว หลวงปู่หลิวก็ได้กลับมาทำไร่ ทำนาตามปกติ ตอนนี้ท่านได้แยกตัวออกมาทำงานของตัวเอง ท่านทำหลายอย่าง เผาถ่านท่านก็เคยทำ เก็บเห็นเผาะขายก็เคย รับจ้างทำไร่ก็เคย ตอนที่ท่านทำไร่นี่แหละ ท่านไปเจอแม่ม่ายคนหนึ่งชื่อ ?นางหยด?  เกิดชอบพอกันขึ้นมา ก็เลยอยู่กินด้วยกัน และมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งคือ   นายกาย  นามถาวร  ซึ่งเป็นวิถีชีวิตชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่มีความรักเอื้ออาทรต่อกัน

สู่โลกธรรม 

เมื่อหลวงปู่หลิวได้ใช้ชีวิตอยู่กับนางหยด ระยะหนึ่งแล้ว ได้สัมผัสกับกระแสแห่งความวุ่นวายในสังคมมนุษย์ ความโลภ โกรธ หลง อวิชชา ตัณหา ราคะต่าง ๆ หลวงปู่หลิวเริ่มจับตามองความเป็นไปต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังคมทีละน้อย ๆ และความรู้สึกนั้นได้เพิ่มพูนมากขึ้น

จนกระทั่งหลวงปู่หลิวมีอายุได้ 27 ปี ได้เกิดความเบื่อหน่ายสุดขีด ในการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกันตามสภาวะแห่งกิเลสตัณหา ราคะของชีวิตฆราวาส ซึ่งไม่ถูกกับนิสัยที่แท้จริงของตน คือรักความสงบชอบความสันโดษเรียบง่าย จิตใจของหลวงปู่เริ่มเองเอียงไปทางธรรมะธัมโม อยากจะเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา   หลวงปู่หลิวจึงได้ขออนุญาตบิดา มารดา เพื่ออกบวชแสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ท่านทั้งสองก็เห็นดีเห็นงาม ด้วยความปลาบปลื้มเป็นล้นด้น ที่ลูกชายจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

หลวงปู่หลิว ได้เข้าบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาพระอุโบสถ วัดโบสถ์ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี (ประมาณเดือน 7 ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. 2475 ปีวอก) โดยมีหลวงพ่อโพธาภิรมย์ แห่งวัดบำรุงเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่ออินทร์ วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีพระอาจารย์ห่อ วัดโบสถ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า   ?ปณฺณโก?  อ่านว่า ปัน-นะ-โก 

เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่หลิว  ปณฺณโก ได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน เพื่อเล่าเรียนทางพระปริยัติธรรมและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานควบคู่กันไปทั้งยังความสะดวกสบายกว่าที่อื่น ๆ  เพราะมีญาติพี่น้องให้ความอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด

ในพรรษาแรกนั้น หลวงปู่หลิวได้มีโอกาสใช้วิชาช่างช่วยท่านเจ้าอาวาสสร้างศาลาการเปรียญหลังหนึ่งซึ่งใหญ่มากจนสำเร็จ

ต่อมาอีก 4 เดือนท่านได้ช่วยปรับพื้นศาลาเสร็จอีก และยังได้สร้างกี่กระตุก (ที่ทอผ้า) อีก 50 ชุด เพื่อถวายให้กับวัดหนองอ้อ จึงนับได้ว่าหลวงปู่หลิวไม่เคยหยุดนิ่ง ท่านมีพรสวรรค์ทางเชิงช่างเป็นเลิศ จนเป็นที่ยอมรับของครูบาอาจารย์ และญาติโยม ชาวบ้าน เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งภายหลังจะเห็นได้ว่า การก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัดล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของหลวงปู่หลิวทั้งสิ้น

5508
เข้ามา ชม ครับ ...ถ้ากลัวเจ็บ ก็ฉีดยาชาสิครับ ได้ไม่เจ็บ 55555 ;D

5509
นะโมตะสะภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธะสะ

นะโมตัสสะภะคะโต นะครับ พี่ ไม่ใช่นะโมตะสะ 5555 ;D

5510
พระพุทธเมตตา พระธรรมเมตตา? ?พระสังฆเมตตา? ?
ลูกขอความเมตตา ลูกขอเป็นคนดี ตลอดไปเทอญ
...สาธุ
ต่อด้วย เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา
ผมไม่นาน มันก็หงอก และ ล่วงไปตามเวลา
ขน ไม่นานมันก็ล่วง
เล็บ ไม่นาน ก็ดำ ก็ยาว น่าเกลียด
ฟันไม่นาน ก็ล่วง ก็หักไปตามกาลเวลา
หนังไม่ นาน มันก็เหี่ยว  มีน้ำเหลือง และสิ่งเน่าเหม็นอยู่เต็มไปหมด

อันคนเราก็มา ก็ต้อง ตายทุกคน หลีกหนีมันไม่พ้นหลอกความตาย 
แม้แต่ของ ที่รัก ก็ต้องพลัดพลาก สิ่งของใดๆ ในโลก ก็มิสามารถ นำไปด้วยได้
มีแต่ ความดี เท่านั้น ที่ยังคงอยู่ ไม่หายไป บุญกุศลเท่านั้น ที่ติดตามท่านไปได้
จึงพึงแต่ความดี

(คาถานี้ใครภาวนาทุกวัน จะอยู่เย็นเป็นสุข )

5511
 ;D เข้ามาดูเฉยๆ ครับ  ...แต่ขอตอบว่า  ไม่รู้ครับ 55555++++++

5512
 :) อะไรก็ได้ครับ ดีทั้งนั้นแหละครับ ...อยู่ที่เราศรัทธา ครับ ?
แต่ถ้าราคา ไม่แพง พุทธคุณเยี่ยม ?
หลวงพ่อเปิ่นนี่แหละครับ แขวนได้ทุกรุ่น เลย ครับ เยี่ยมมากมาย
ถ้าชอบเก่าๆ หน่อย ก็หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร ครับ สุดยอดไม่แพ้กัน
หลวงพ่อไสว ก็เยี่ยม ครับ
หรือ จะหลวงปู่แผ้ว หลวงพ่อ ตัด ดีทุกๆท่าน แหละครับ
แล้วแต่ ใจเราศรัทธา ครับ ส่วนเรื่อง
ราคากับ ค่านิยม ไม่น่าเป็นปัญหา ครับ
ราคาไม่สำคัญ .....อยุ่ที่ใจเรามากกว่า ครับ อิอิ
ส่วนพระอาวุโส หลวงปู่แย้ม ท่านยังมีชีวิต อยู่ไง ก็ไปกราบท่านได้นะครับ อิอิ

5513
อะครับ พี่ๆ ชาวพี่น้อง วัดบางพระ ขอเชิญ มาร่วมเป็นกำลัง ใจ กับ พี่สิบทัศ ในการสอบ หน่อย ครับ 

ผมก็ขอให้สอบได้ คะแนน ดีๆนะ ครับ โย่วๆๆๆ

เรามาร่วมเป็นกำลังใจ กันหน่อย ครับ อิอิ



สู้ๆๆๆๆๆ

5514
เยี่ยม ครับ พี่สิบทัศ  :) เยี่ยมเหมือนเดิมเลย นะครับ อิอิ

5515
มาและครับ ...... ยันต์5 แถวอักขระไม่แปลก หลอกครับ อยู่ที่การสัก
หรือลายมือแต่ละอาจารย์ครับ ไม่เหมือน กัน 
ก็เหมือน ลายมือคนเราอะ ครับ .....แล้วแต่ ครับ
การเขียนภาษาขอม บางที คนละภาค ยังเขียนไม่เหมือนกันเลย ครับ
แต่ภาษา ขอมยังไง ก็คงเป็นภาษา ขอม ครับ
ถ้าไม่ใช่ จิงๆ ก็ มั่วอะครับ 5555+++
...แต่เท่าที่ดู ก็เปงภาษาขอม ครับ แต่อักขระ จะแปลกๆ เพราะเป็นการสัก
ลายเส้นอักขระ ของแล้ว แต่ท่าน ที่ไม่เหมือนกันมากกว่า นะครับ

5516
 ;D ขอบคุณครับ แต่ย่าผม จำไมได้ครับ  55555+++

5517
แต่พอดี ของผมพี่มีเข่าเช่ามา ให้ สมัย ออกจากวัดใหม่ ๆ อะครับ ....แต่ผมไม่กล้าใช้ เลยให้ เขาไปแว้ว 55555++
ผมชอบทางพระพุทธ คุณมาก กว่า ครับ อิอิ

5518


อยากทราบว่า ลูกอม นี่ของทีไหน ครับ ใครรู้พอเดาๆให้ผมหน่อย ได้ใหม ครับ  คุณย่าได้รับมาจากพระ สมัยก่อน
แต่ท่านจำไม่ได้อะครับ ........ ใครพอรู้ ช่วยบอกหน่อยเน้อ ขอบคุณครับ

5519
 :) เยี่ยม ครับ ขอบคุณครับที่เอามาให้ ชม ผมไม่เคยเห็น ครับ ขอบคุณครับ

5520
ขอบคุณพี่ amazing2511  ที่ให้ข้อมูล ครับ ขอบคุณครับ .......  ;)

5521
เพิ่มเติม ครับ ..........


5522
หลักร้อย ต้นๆ ครับ .... มีพี่ เขาเช่ามาให้ ครับ ไม่แพง ครับ วัดบ้านหม้อ อยู่ ราชบุรี ครับ ดังเหมือนกัน ครับ
เลี้ยง ยังไง ก็ แค่ทำบุญ ให้กับวิญญาณ ที่เขามาช่วยเรา อะครับ? เท่านั้นเอง ไม่ต้องเลี้ยงเหมือนกุมารทอง
แต่ไม่รู้ทางวัดหมดยังนะครับ สร้าง 999 ครับ แต่อาจจะมีรุ่นอื่นก็ได้ครับ ลองไปหาเบอร์วัดและโทรไปถามดูครับ

5523
นำรูป จาก ใน net มาให้ดูครับ ของหลวงพ่อ สง่า ครับ รุ่นนี้ รุ่นเดียวกับของผม ครับ

[

ปล. ผมไม่กล้า ใช้ครับ มีคาถามาด้วย ผมกลัวผี ครับ 55555555

5524
ผมมีหุ่นพยนต์ หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหม้อ ครับ ดีเหมือนกันครับ
ส่วนหุ่นพยนต์ คือ หุ่นที่สร้าง ให้วิญญาณสัมพาเวสี ทั่วไปมาเข้าสิง ในตัวหุ่นครับ
เพื่อ ใว้เฝ้าบ้าน ....เฝ้าของ ครับ? และ มีทั้งดีและเสีย ครับ
(ไม่เหมือนกุมารทองนะครับ)เพราะหุ่น สามารถ มีวิญญาณอื่นมาสิงอีกได้ครับ
ข้อเสีย คือ หาก เราไม่ทำบุญกับวิณญาณที่มาเข้าหุ่นนั้น แล้ว อาจเจอ ..... กะตัวเองได้ครับ
....ของงี้มี ทั้งดีและเสีย ครับ ..... ถ้าพกใว้กับตัว บางทีจะเห็นเหมือน มีเงา อยู่ใกล้ๆตัวเรา ครับ
เวลามีเรื่อง คู่อริ อาจมอง ...เห็นเราเป็นหลาย คน ครับ ทำให้หนีไป?

บางตำรา ก็บอกว่า หากพระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆบางท่านสมัยก่อน สามารถ เรียกวิญญาณเข้าหุ่น
จนหุ่นสามารถ เดินได้ครับ เหอๆ.....

ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย ครับ ........

5525
นำภาพ ตัวอย่าง มาฝาก ครับ ตะกรุดข้อมือ เสือ


5526
น่าจะเป็น หลวงพ่อสำอาง หรือไม่ก็ พระในวัดแหละครับ หลวงพี่วัดบางพระ
เก่งทุกรูป ครับ สบายหายห่วงได้ 
ราคาก็ไม่สูง ด้วย ครับ ผมก็เคยใช้ครับ โดนเพื่อนปลดไปและ 5555

5527
จิงๆ ค่าครู 25 บาท ครับ และหนุมาน วัดบางพระ ไม่มีเรียก ตัว 9 ตัว 10 หลอกครับ ส่วนมากจะเรียกตาม กริยาท่าทางของหนุมานนั้นๆ
ส่วนยันต์ แล้ว แต่พระรูปนั้นจะสักให้ครับ แล้วแต่ท่าน อะครับ ... มักจะไม่ให้เลือกแบบ เอง

5528
แบ่งกันชม และ ไม่แบ่งกันใช้มั่งเหรอครับ 5555 ล้อเล่น ครับ
ขอบคุณคร๊าบบบ ที่นำมาให้ชม กัน สุดยอดจิงๆ

5529
ใช่ครับ
 .... ท่าใครเลี้ยงไม่ไหวบอกผมนะครับ ผมจะเปงพี่เลี้ยงให้ ครับ 555

5530
สมเด็จวัดปาก น้ำ รุ่น 6 ก็ดีนะครับ ราคาไม่แพงด้วย

5531
สรุป ทุกข้อเลย ละกัน ครับ ... กุมาร คือวิญญาณ เด็ก ที่นำมาใว้ ในหุ่น หรือ เครื่องรางประเภท กุมารทอง ครับ
ที่ดังๆ หลวงพ่อเต๋ หลวงพ่อแย้ม? ?แห่งวัดสามง่าม ครับ
หลวงพ่อพูน วัดไผ่ล้อม? ประมาณนี้ ครับ?
ของหลวงพ่ออื่นก็มี ครับ เช่น หลวงพ่อไสว และอีกหลายๆ วัด ครับ
ของหลวงพ่อเปิ่นก็ไม่ธรรมดา ครับ แรงเหมือนกัน

แต่ถ้าทางนครปฐม ที่ดัง สุด คงเป็นหลวงพ่อแย้ม-หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่ามอะครับ ที่มาแรง

ของแบบ นี้ มีคุณและโทษแน่ ครับ เพราะวิญญาณเด็ก? ก็เหมือน เด็กๆ นี่แหละครับ
หากเลี้ยงในทางที่ไม่ดี ก็ต้องเปงเด็กเกเร ครับ อยู่ที่ท่านผู้เลี้ยง ครับ

ถ้าคิดจะเอาเขามาดูแล ก็ควรเอาใจใส่ครับ อย่าทิ้งๆกว้างๆ เลย ครับ
ผมเห็นมาเยอะครับ ประเภท เอามาเลี้ยง พอเบื่อๆ ก็ทิ้งๆกว้างๆ
ไม่สนใจ บางคนก็เอาไปใว้วัด ครับ?

ก่อนคิดจะบูชา ต้องดูตัวเราก่อน ครับพร้อม หรือ ยัง

ผมเคยเห็น ครับ ของหลวงปู่แย้ม มีตัวตน จิง สัมผัส ได้ครับ เหอะๆ กลางคืนออกมาวิ่ง กัน ครับ
ปล? โปรดใช้การพิจาณาในการอ่าน ครับ
ผิดพลาดประการใด ขออภัย ครับ ...........

5532
ก็มีเยอะ ครับ แต่ถ้าจะใช้ในทางที่ไม่ดี ผมก็ไม่แนะนำ นะครับ เช่น ไปใช้ทางเล่น การพนัน เหอะๆ ไม่
สนับสนุน ครับ ....เป็นสิ่งไม่ดี ครับ
พระทางโชคลาภ ก็น่าจะเปงทาง ด้าน เมตตา การงาน ประสบความสำเร็จ ครับ
เช่นพระปิดตา พระซุ้มกอ หรือพระสมเด็จ ทั่ว ไป ครับ

(การพนัน เป็นสิ่งไม่ดี ผิดกดหมาย  ผู้ที่ชอบเล่น จะพบกับหายนะ ความอับจน )

5533
ที่วีดก็น่าจะมีอยุ่นะครับ เห็นออกมาเล่ยๆ ...... ส่วนปลอม ก็มี ครับ 20 บาท ตาม ร้านขายสร้อยคอ หรือ ข้อมือ ทั่ว ไปครับ
ยังไง ผม ว่าที่วัด น่าจะดี กว่า นะครับ ....  หรือไม่ก็รบกวน ท่าน ที่มี อยุ่แถววัด ฝากเช่าก็ได้ครับ และส่งทางจดหมาย

5534


เอามาฝากกัน ครับ ผมว่าดีนะ

5535
อยากได้เสื้อ กับ ขุนแผนจัง ครับ 5555

5536
 ;) หายเร็วๆ นะครับ

5537
นครปฐม ฝนตก ลมแรงมากมาย ครับ ไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะก๊าบบพี่น้อง

5538
 :) ถ่ายมาจากในหนังสือ พระเครื่อง ครับ  ......... จากหนังสือ พิมนิยม ฉบับที่ 12 ประจำเดือน
สิงหา-กันยายน 2550






5539
ที่ขาดไม่ได้คือผ้ายันต์ ครับ สุดยอดจิงๆๆ





5542
เสริม รุปวัตถุมงคล ของหลวงปู่ที่พอจะหาจากเวปได้ครับ









5543
 (หลวงพ่อเล็ก) วัดหนองดินแดง อำเภอเมือง นครปฐม ท่านเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่จันทร์ วัดบ้านยางนอก สืบทอดวิชาสร้างพระปิดตามาด้วยครับ หลวงพ่อเล็กท่านนี้สมถะ

หลวงพ่อเล็กวัดหนองดินแดง ท่านสืบทอดตำหรับวิชาดินขุยปูของหลวงปู่จันทร์วัดบ้านยาง มาด้วย และท่านสร้างไว้ไม่กี่องค์ ครับเนื้อออกดินสีดำ ท่านเลือกเฉพาะที่ดินขุยที่ปิดรูเท่านั้น


ใครรู้เพิ่มเติม ช่วยลงทีครับ เกจิ อีก ท่านนึง ของ จ. นครปฐม ครับ
 

5544
มาทั้งที ก็ร่วมทำบุญ หาของดีติดไม้ติดมือไปด้วย ครับ   ;)

5545
ระวังโดนแมงกะพรุนไฟนะครับ    555555 อันนี้เป็นแน่ครับ  ;D

5546
โทรไปสอบถามที่เบอร์ วัดหนองพงนกได้ครับ 034-383566 ครับ ...สาธุบุญกุศลด้วย ครับ

5547
แจ้งข่าวครับ วัดประชาราษฎร์บำรุง  คนละวัด กับวัดหนองพงนกนะครับ พี่น้อง แต่ชื่อคล้ายๆ กัน แต่อยู่คนละที่คร๊าบ แต่อยู่ กำแพงแสน
เหมือนกันครับ ผ๊ม

5548
 ;) ครับ มะเป็นไร ครับพี่สิบทัศ โอกาศหน้าเค่ยเจอกันครับ

วันนี้ขอไปเที่ยวก่อนละกันครับ 555

วันนี้ได้ไปวัดหนองพงนกมาครับ วัตถุมงคลก็ยังมีอยู่ มีทั้งรุ่นเก่าและใหม่ ครับ

แต่ที่สำคัญมานำมาบอกกัน ตะกรุดโทนดอกใหญ่ ลงลักปิดทอง

ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่า เป็นตะกรุด หลวงพ่อเงินจานทิ้งใว้ที่กำแพงแสน ครับ

และนำมา ปลุกเศกอีกครั้ง เมื่อปี 41 ครับ ผ๊ม ตอนนี้ยังมีอยู่นะครับ อิอิ

5549



ใครมียันต์ดีๆแบ่งกันมาให้ดูบ้างนะครับ อิอิ

5551
 ;D องค์นี้ผมอยากได้มากมาย ครับ 5555555

5552
อบอุ่น ครับ บอร์ดเวปนี้ .... ศิษหลวงพ่อเปิ่น และที่ศรัทธา นับถือทั้งนั้น คร๊าบบ

5553
ผมเอ็ม วัดไร่ขิง อ.สามพราน ครับ ... ยินดีที่รู้จักนะครับ .. :)

5554
 ;) สวัดดีครับ

5555
ขอบคุณครับ ดี ครับดี

5556
 :) ขอบคุณครับ

5557
http://www.prageji.com/historygejipage/lp.mee/lp%20mee.htm
(เครดิต)

5559
หลวงพ่อมี เขมธัมโม วัดมารวิชัย จ. อยุธยา

ท่านพระครูเกษมคณาภิบาล หรือหลวงพ่อมี เขมธัมโม มีชื่อเดิมเต็ม ๆ ว่า ?บุญมี? ถือกำเนิดในตระกูล ?ธนสนธิ์? ชื่อของท่านโยมบิดามารดาสมมตินามขึ้นเพื่อเรียกขาน อันมีความหมายถึง ?การมีกุศลแห่งความสุข ที่ร่ำรวยมีอันจะกินมิได้ขาด? มาปัจจุบัน ลูกศิษย์ลูกหาต่างเรียกนามองค์ท่านแบบสั้น ๆ ว่า ?หลวงพ่อมี? จนติดปากกันมาจวบปัจจุบัน ถือเป็นมงคลนามอย่างใหญ่หลวง เมื่อองค์ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บำเพ็ญบารมีธรรมตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนนามกระเดื่องประกาศกิตติคุณให้สานุศิษย์และชนชาวไทยทั่วแคว้นได้ประจักษ์โดยถ้วนทั่วกัน
โยมบิดานาม นายโหมด
โยมมารดานาม นางพุฒ
หลวงพ่อมีถือกำเนิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2454 ตรงกับวันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน ณ หมู่บ้านขนมจีน ข้างวัดมารวิชัยตอนใต้ หลวงพ่อมีเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้องท้องเดียวกัน 5 คนดังนี้
1. หมอแบน
2. นายจุ่น
3. นางสำลี
4. หลวงพ่อมี เขมธัมโม
5. นายสำแล
เมื่อปฐมวัย
ในวัยเด็ก หลวงพ่อมีเป็นเด็กที่อ่อนแอและขี้โรคมาก ท่านมีโรคประจำตัวเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ อยู่เสมอ เรียกว่า สามวันดีสี่วันไข้ไม่ว่าอากาศจะร้อนนิดหนาวหน่อยก็ป่วย ถ้าอากาศร้อนขึ้นก็จะเกิดอาการชักขนาดถูกแมวหรือสุนัขชนถูกตัวเท่านั้นก็ชักแล้ว
ดังนั้น หลวงพ่อมีจึงเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมโซ แบบเด็กพุงโรก้นปอด เหมือนเป็นตาลขโมยไม่มีผิด ลักษณะเซื่อง ๆ ซึม ๆ ขี้อาย ไม่ช่างพูดและไม่เล่นหัวเหมือนกับเด็กชาวบ้านโดยทั่วไป คล้าย ๆ กับเป็นเสมือนปัญญาอ่อน เหล่านี้คือบุคลิกของหลวงพ่อมีในวัยเด็ก ซึ่งปราศจากวี่แววแห่งความรุ่งโรจน์ของชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะมองไปในแง่ใด ตามสายตาที่แสดงความเป็นห่วงของญาติผู้ใหญ่และชาวบ้านข้างเคียงทั้งปวง
คุณสมบัติพิเศษ
ธรรมชาติสร้างสรรค์มนุษย์ให้เกิดมา ถ้าจะว่ากันแล้วก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม มีดีก็มีชั่ว มีขาดต้องมีเกิน เหมือนดังตัวอย่างในวัยเด็กของหลวงพ่อมี ที่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดการณ์อนาคตของท่านว่าจะเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวคือ
หลวงพ่อมี มีคุณสมบัติพิเศษที่ผิดแปลกไปจากเด็กชาวบ้านธรรมดา ๆ ตรงที่ท่านเป็นเด็กที่มีใจบุญสุนทาน ชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัด ถ้าถูกห้ามปรามไม่ให้ตามไปด้วยจะต้องร้องไห้คร่ำครวญจนถึงกับชักตาตั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่เด็กเซื่องซึมคล้ายปัญญาอ่อนจะมีความกระตือรือร้นในการไปวัด อันเป็นการส่อแววการเป็นเกจิอาจารย์ของหลวงพ่อมีมาแล้วตั้งแต่ยังเล็ก ๆ
ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโต คือ หมอแบนมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมารวิชัย หลวงพ่อมี ขณะนั้นมีอายุเพียง 12 ปี จึงขอบิดามารดาติดตามพระพี่ชายมาอยู่ด้วยทันที (ภายหลัง พระพี่ชายลาสิกขาแล้ว ได้เป็นแพทย์ประจำตำบล ชาวบ้านเรียกท่านว่า ?หมอแบน?) ในตอนแรกบรรดาญาติผู้ใหญ่ไม่มีผู้ใดยอมให้หลวงพ่อมีที่มีลักษณะปัญญาอ่อนไปอยู่ด้วย เพราะเกรงจะเป็นภาระให้กับพระพี่ชายที่เพิ่งอุปสมบทใหม่ ๆ
หลวงพ่อมีจึงร้องไห้และเกิดชักขึ้น จนทุกคนต้องตามใจให้ไปอยู่กับพระแบนที่วัดมารวิชัย ตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี บัดนั้นเป็นต้นมา
สติปัญญากลับปราดเปรื่อง
เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากจริง ๆ ตั้งแต่หลวงพ่อมีมาอยู่วัดมารวิชัยแล้ว ลักษณะอาการที่โง่งมประดุจเด็กปัญญาอ่อนและขี้โรค กลับกลายเป็นตรงกันข้าม อาการขี้โรคต่าง ๆ หายดังปลิดทิ้งไม่เคยมีอาการชักอีกเลย สติปัญญาที่ใคร ๆ มองกันว่าทึบ ก็กลับปราดเปรื่องสามารถศึกษาอักขระสมัย ทั้งภาษาไทยและภาษาขอมกับหลวงพี่แบนและได้รับการแนะนำสั่งสอนจากครูเยื้อน ซึ่งเป็นบุตรของอา จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน จนหลวงพ่อมีสามารถอ่านออกเขียนได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นที่แปลกใจของญาติสนิททั้งปวง และเริ่มมองเห็นแววแห่งอัจฉริยะฉายขึ้นในตัวเด็กชายบุญมีคนนี้
วัยหนุ่มอันบริสุทธิ์
ชีวิตในวัยเด็กจนถึงรุ่นหนุ่มก่อนอุปสมบทของหลวงพ่อมี ก็เป็นไปเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เพราะครอบครัวยากจนและมีอาชีพเป็นชาวนา ต้องคอยช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาตามประสาไปวัน ๆ โดยไม่มีการผาดโผนอันน่าตื่นเต้นใด ๆ
เนื่องจากท่านเป็นคนใจบุญชอบทำทานเข้าวัดวาฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เหล้ายาปาปิ้ง การพนันขันต่อ หรือการเที่ยวเตร่ต่าง ๆ เยี่ยงหนุ่มลูกทุ่งทั้งหลายนั้นท่านไม่เคยผ่านมาก่อนเลยทั้งสิ้น จากการที่หลวงพ่อมี มีความขยันขันแข็งในการทำงาน จึงมีหญิงมาชอบพอกับท่านคนหนึ่ง แต่ติดที่ท่านเป็นคนขี้อาย ไม่ช่างพูดประกอบกับหญิงนั้นเป็นคนที่งามจึงไม่เคยชวนกันไปเที่ยวไหน 2 ต่อ 2 เหมือนหนุ่มสาวคู่อื่น ๆ เลย
ภายหลังเมื่อท่านมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ผัดผ่อนการหมั้นหมายเรื่อยมา สตรีนั้นเห็นว่า ท่านไม่ถึงแน่แล้วก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังครองตัวเป็นโสดมาถึงบัดนี้ นับว่า สตรีท่านนี้เป็นหญิงที่มีความมั่นคงในความรักอันน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งทีเดียว
เริ่มเล่นแร่
ในวัยเด็กนี่เองที่องค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม ได้ไปเยี่ยมหลวงน้าที่วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี โดยติดตามโยมคุณแม่ไป
หลวงน้าคือ ?หลวงพ่อเขียน โชติสโร? ในเวลานั้นกำลังเล่นแร่แปรธาตุ (เหมือนกับหลวงปู่จัน วัดโมลี จังหวัดนนทบุรี) ถือเป็น
โอกาสของเด็กชายบุญมี ที่ได้สัมผัสกับสายวิชาเร้นลับนี้ เป็นการหล่อหลอมธาตุต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยมีหน้าที่เติมฟืนช่วยสูบลมให้ไฟร้อนจัดตลอดเวลา
ถือว่าเป็นการเริ่มการศึกษาด้วยตนเองในสายวิชา ?เล่นแร่แปรธาตุ? มาตั้งแต่บัดนั้น หลวงพ่อมีเคยเล่าว่า ?เหนื่อยมากเพราะกว่าจะหลอมธาตุแปรธาตุได้ หลวงพ่อเขียนท่านต้องเหงื่อไหลไคลย้อย ร่างกายสกปรกไปหมด ถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ?
?ส่วนวิชาทำตะกั่วให้เป็นเงิน ทำเงินให้เป็นทองคำนั้น หลวงพ่อเขียนท่านหวงมาก ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใครง่าย ๆ ในสมัยนั้น เป็นที่เล่าลือกันแพร่หลาย? หลวงพ่อมีท่านเคยถามถึงการที่อยากจะศึกษาสายวิชานี้ แต่หลวงน้าหลวงพ่อเขียน กล่าวว่า ?จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระ? ตั้งแต่วันนั้นเด็กชายมีก็เฝ้ารอเพื่อถึงอายุเวลาอุปสมบท
บรรพชาอุปสมบท
หลวงพ่อมี เขมธัมโม มีใจฝักใฝ่ใคร่จะบรรพชาเป็นสามเณรมานานแล้ว แต่ติดขัดที่มีภาระช่วยโยมบิดา มารดา ทำไร่ไถนา จึงต้องคอยให้มีอายุครบบวชเสียก่อนจึงจะได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุตามประเพณีนิยม ซึ่งบรรดาชายทั้งหลายกระทำกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อมีอายุ 21 ปี อายุครบเกณฑ์ทหารต้องถูกคัดเลือกเข้าประจำการเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่ถูกทหารจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่ทันที แล้วหลวงพ่อมีก็สมความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ เมื่อท่านจับได้สลากใบดำไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสมดังใจ ณ พัทธสีมา วัดมารวิชัย ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับ วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 โดยมีพระครูอดุลวุฒิกร หลวงพ่อพิน จันทโชโต วัดช่างเหล็ก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงพ่อเขียน โชติสโร วัดบ้านพร้าวนอก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงน้า คือเป็นน้องโยม มารดาของหลวงพ่อมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเกลี้ยง อินทโชติ วัดมารวิชัย ซึ่งภายหลังไปเป็นเจ้าอาวาส วัดสามตุ่ม ในเขตอำเภอเสนา เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทน หลวงพ่อคล้าย เจ้าอาวาสวัดมารวิชัยขณะนั้น ซึ่งเกิดอาพาธพอดี
หลวงพ่อมี ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลี จากหลวงพ่อพินผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า ?เขมธัมโม? แปลว่า ?ผู้มีธัมมะอันเกษม?
การศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นขององค์ท่านหลวงพ่อมี ท่านได้เรียนรู้จาก หลวงพี่แบน ซึ่งเป็นพระพี่ชาย ต่อมาได้เข้าศึกษาทั้งภาษาไทยและ ภาษาขอมกับครูเยื้อน บุตรของอา จนพอจะมีพื้นฐานอ่านออกเขียนได้ หลังจากนั้นท่านจึงศึกษาด้วยตนเอง และเมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ จึงไปศึกษาพระธรรมวินัยกับหลวงปู่คล้าย พลายแก้ว ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ในขณะนั้นถือเป็นรากฐานอันมั่นคงในการสืบสานพุทธศาสนาต่อไป ?ในช่วงที่อาตมาบวชอยู่ที่วัดมารวิชัยนั้น เป็นจังหวะที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติธรรมด้วย เพราะขณะนั้นกำลังเจริญอย่างเต็มที่?

ศึกษาพระธรรมวินัย
เวลาส่วนใหญ่หลวงพ่อมีท่านจะศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนจากสำนักใด ๆ แต่ท่านสอบได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ไล่มาเป็นลำดับ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา ผสานความมีมานะพากเพียรที่มีอยู่ในองค์ท่าน
ในภายหลังเมื่อท่านอายุมากขึ้นแล้ว ได้เข้าศึกษาหาความรู้ในโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนภูมิภาค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนสำเร็จการศึกษารุ่นที่ 1 ปี พ.ศ. 2513 หลวงพ่อมี นำความรู้ทางด้านพระปริยัติธรรมที่ท่านร่ำเรียนมาสอนพระภิกษุสามเณรภายในวัดมารวิชัยตั้งแต่ท่านยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ทำการสอนนักธรรมด้วยตัวของท่านเอง ในระหว่างเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน จนพระภิกษุสามเณรทั้งหลายมีความรู้ความสามารถสอบเปรียญธรรมขั้นสูงได้ปีละหลายสิบรูป จวบจนปัจจุบันนี้ หลวงพ่อมียังคงทำการสอนนักธรรมด้วยตนเองทุกปี โดยไม่ได้นิมนต์พระภิกษุจากสำนักอื่น ๆ มาทำการสอนเลย

ผลงานการก่อสร้าง
จากการที่หลวงพ่อมี ได้รับการอบรมบ่มจิตจากหลวงพ่อปานในการปฏิบัติอสุภกรรมฐาน ยกเอานิมิตมาพิจารณาจนกลายมาเป็นวิปัสสนาญาณ บังเกิดมี ศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกข์ขัง ความเป็นทุกข์และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน มีอารมณ์จิตเบื่อหน่ายสภาพความเป็นอยู่ของร่างกายตนเองและผู้อื่น จิตใจจึงระลึกนึกถึง พระนิพพานเป็นปกติ จนสามารถบรรเทาอารมณ์รัก โลภ โกรธ และหลง หรือความพอใจใด ๆ ทั้งสิ้นนั้น แทบจะถูกขจัดออกไปจากจิตใจของหลวงพ่อมี อย่างสิ้นเชิง










เมื่อหลวงพ่อมี ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ท่านจึงสามารถตัดใจได้ทุกอย่าง โดยมีสัญญากับพระลูกวัดอีก 6 คน คือ พระอาจารย์ครอบ, พระอาจารย์สาย ซึ่งเป็นพระอาวุโส และพระเย็น, พระเสริฐ, พระหนอม และพระโกยว่า ?พระทุกองค์ห้ามสึก จนกว่าจะตายหรือสร้างอุโบสถให้สำเร็จเสียก่อน จึงสึกได้? พระภิกษุผู้รักษาสัจจะทั้ง 7 องค์ ต่างช่วยกันบูรณะอุโบสถวัดมารวิชัย จนเสร็จและยังช่วยทำนุบำรุงจนมีความเจริญถาวรสืบต่อมา แต่ด้วยเหตุที่เจ้าอาวาสคือหลวงพ่อมี เป็นพระอาจารย์ผู้ถือสมถะทั้งยังมักน้อย บรรดาเสนาสนะต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่จะสร้างเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ หรือสร้างแบบง่าย ๆ อย่างพออาศัยอยู่ได้เท่านั้น และเมื่อเกิดชำรุดทรุดโทรม ก็ทำการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ โดยไม่ได้สร้างให้ถาวรใหญ่โตและสวยงามเหมือนกับวัดอื่น ๆ ทั่วไป เพราะเหตุที่หลวงพ่อมีเป็นพระสมถะ รักสันโดษและมักน้อยนั่นเอง
อุโบสถวัดมารวิชัยได้รับการบูรณะจนพระภิกษุสงฆ์ สามารถประกอบสังฆกรรมได้แล้ว ต่อมาจึงได้สร้างหน้าบันเพิ่มเติม พร้อมกับทำพิธียกช่อฟ้าขึ้นในปี พ.ศ. 2491
ในขณะที่ทำการบูรณะอุโบสถอยู่นั้น ตรงกับปี พ.ศ. 2485 ได้รื้อกุฏิริมคลองย้ายขึ้นมาปลูกในบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน เพื่อหนีน้ำที่หน้าน้ำท่วมสูงขึ้นทุกปี ทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาที่จะต้องหาทุนมาสร้างกุฏิใหม่อีกด้วย
ต่อมาปี พ.ศ. 2501 หลวงพ่อมี ได้สร้างศาลาเรียงล้อมศาลาการเปรียญ หลังใหญ่ที่ หลวงพ่อปาน มาสร้างไว้ทั้ง 4 ด้าน แล้วสร้างหอระฆังและกุฏิอีก 3 หลัง ปัจจัยที่มีอยู่ทั้งหมดไปสมทบทุนกับทางราชการสร้างโรงเรียน 2 แห่ง คือโรงเรียนวัดมารวิชัย และโรงเรียนจุฬาราษฎร์วิทยา ในเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2509 และยังได้สร้างสถานีอนามัย เนื้อที่ 7 ไร่ กับสำนักงานผดุงครรภ์ประจำตำบลบางนมโค ในเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน อีกด้วย
สาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ที่กล่าวมาส่วนใหญ่เป็นที่ดินของบรรพบุรุษที่ตกทอดมาถึงหลวงพ่อมี แล้วท่านนำมาบริจาคต่อ ทั้งยังขายที่ดินอีกบางส่วนไป เพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุนในการก่อสร้างต่าง ๆ เช่น สร้างฌาปนสถาน พ.ศ. 2510 สร้างกำแพงรอบอุโบสถเพื่อความเป็นสัดส่วน พ.ศ. 2512 และสิ่งที่ชาวบ้านทั้งหลายมีความประทับใจในตัวหลวงพ่อมีอย่างไม่รู้ลืมอยู่ทุกวันนี้ คือ
หลวงพ่อมี เป็นผู้ขอไฟฟ้าโดยเริ่มปักเสาจากปากทางถนนสาคลี ผ่านหน้าวัดมารวิชัยเรื่อยไป ถึงตลาดสาคลี เป็นระยะทางประมาณ 7 ก.ม. ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของหลวงพ่อมีทั้งสิ้น เมื่อปี พ.ศ. 2514 นอกจากนี้หลวงพ่อมียังได้สร้างแท้งน้ำ เครื่องสูบน้ำสำหรับพระและชาวบ้านได้ใช้ดื่มน้ำที่สะอาด สร้างศาลาท่าน้ำ สร้างหอสวดมนต์ในปี พ.ศ. 2521 ฯลฯ
นับว่าหลวงพ่อมี เป็นพระอาจารย์ที่มีความมุมานะ พยายามสูงในการสร้างความเจริญแก่ท้องถิ่นอย่างมากองค์หนึ่ง

ศึกษาวิทยาคม
หลวงพ่อมีได้เล่าให้ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งฟังว่า ยุคที่ท่านเป็นพระหนุ่มนั้น วิชาด้านคาถาอาคมต่าง ๆ เป็นที่นิยมเรียนกันมาก ชาวอยุธยาแทบทุกคนที่เป็นชายก็ล้วนแต่มีผู้สนใจเรียนกันมากเป็นพิเศษ เพราะคนหนุ่มในยุคนั้นต้องการของจริงมาทดลองกัน
คือ ใครมีอะไรดีก็มาอวดต่อหน้าสาว ๆ ตามหมู่บ้านต่าง ๆ สำหรับหลวงพ่อมีนั้น เมื่อท่านบวชได้พรรษาแรก ท่านก็ได้เรียนภาษามคธ และทางปริยัติควบคู่กันไป
ในตอนหัวค่ำ หลวงพ่อมีและพระเณรรุ่นหนุ่ม ๆ ก็มักจะจับกลุ่มกันเรียนคาถาอาคมอย่างขะมักเขม้น คือเรียนทั้งจากตำราสมุดข่อย และจากหลวงตาที่บวชเรียนมาหลายพรรษาในวัดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาถาเกี่ยวกับหัวใจต่าง ๆ นั้น หลวงพ่อมีท่านได้เรียนอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว
เช่น คาถาหัวใจหนุมาน หัวใจเสือ หัวใจราชสีห์ และหัวใจลิงลม เป็นต้น
หลวงพ่อมีเมื่อได้พระอาจารย์ดี ท่านก็ตั้งใจในการเรียนอย่างเต็มที่ เพราะหลวงตาผู้สอนท่านจะคอยกำกับโดยให้ผู้เรียนนั่งสมาธิพนมมือ และหลับตาภาวนาหัวใจของคาถาต่าง ๆ ไปด้วย ในระหว่างการเรียนจะเงียบสงบ เพราะต้องการให้เกิดสมาธิเร็วขึ้นเป็นเอกัคตา คือเป็นหนึ่งตลอด เรียกว่าผู้เรียนคาถาต่าง ๆ ต้องมีสมาธิ เพราะสมาธิเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สมัยหลวงพ่อมีนั้น จะมีพระเณรเรียนในทางวิชาอาคมกันมาก เพราะมีพระอาจารย์คอยสอนให้อยู่อย่างมากมายนั่นเอง
?เพื่อเห็นแก่อนาคตก็ต้องเรียนไว้ เพราะต่อไปจะหาไม่มีอีกแล้ว ที่จะมีอาจารย์ผู้เก่งกล้าสามารถเช่นสมัยนั้น?

หัวใจลิงลม
หลวงพ่อมีท่านได้ตั้งใจศึกษาวิชาทุกอย่างจากครูบาอาจารย์ที่มีอยู่ในสมัยนั้น เช่น การเรียนคาถาปลุกหัวใจลิงลมก็เรียนมาจากหลวงพ่อสำลี ซึ่งท่านเก่งในวิชานี้เป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่หลวงพ่อสำลีท่านจะเริ่มพิธีปลุกหัวใจลิงลมนั้น ท่านได้บอกกับพระเพื่อน ๆ ว่า
?ถ้าผมมือสั่นและตัวสั่นก็ช่วยกันจับเอาไว้ให้ดีนะ?
พิธีการปลุกคาถาหัวใจลิงลมของหลวงพ่อสำลีนั้น ท่านได้ทำให้พระเณรผู้เป็นลูกศิษย์ดูกันเพื่อจะได้รู้ได้เห็นของจริง คือเวลาปลุกหัวใจลิงลมนั้น ผู้ปลุกจะอยู่ไม่เป็นสุขจะมีการกระโดดโลดเต้น จับโน่นเกาะนี่คล้ายกับลิงจริง ๆ หลวงพ่อสำลีท่านจะพนมมือทำใจให้เป็นสมาธิเพื่อท่องคาถาหัวใจลิงลมประมาณได้สัก 2-3 นาที มือของท่านจะเริ่มสั่น และหัวเข่าทั้ง 2 ข้างก็จะตีกับพื้นกระดานเสียงดังสนั่นพร้อมกับหายใจแรงมาก
บรรดาพระเณรที่เป็นศิษย์ซึ่งรวมทั้งหลวงพ่อบุญมีด้วย ต่างก็ระวังกันอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าหากหลวงพ่อสำลีกระโดดออกหน้าต่างกุฏิไปก็จะยุ่งกันใหญ่ ครั้นเมื่อหลวงพ่อสำลีปลุกหัวใจลิงลมแล้ว ก็ช่วยกันจับ แต่จับไม่ค่อยจะอยู่ เพราะกิริยาอาการและท่าทางของท่านมีความปราดเปรียวและว่องไวมาก จนพระผู้รู้อากัปกิริยาดังกล่าวได้ตบร่างของท่านอย่างแรง อาการต่าง ๆ จึงได้ลดลงและสงบไปในที่สุด
เรื่องคาถาอาคมนี้ เป็นศาสตร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้ให้ได้ผลก็ต่อเมื่อผู้ใช้มีจิตเป็นสมาธิอย่างแน่วแน่ ต้องมีความเชื่อและศรัทธาจริง ๆ สำหรับหลวงพ่อสำลีนั้น ท่านได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมต่าง ๆ ให้กับหลวงพ่อมีจนหมดสิ้น จึงทำให้หลวงพ่อมีท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถท่องปฏิบัติ เกิดเป็นอาการได้ทุกอย่างสมดังประสงค์

ไม่คิดลาสิกขา
ในปี พ.ศ. 2476 หลังจากหลวงพ่อมีท่านบวชได้ 1 พรรษา และท่านสอบนักธรรมชั้นตรีได้ใหม่ ๆ ท่านไม่คิดที่จะลาสิกขาบท ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา แต่ท่านกลับอยากจะบวชเพื่อศึกษาต่อเพราะท่านชอบศึกษาเล่าเรียนมาก หลวงพ่อมีท่านได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะขอบวชและศึกษาหาความรู้ในพระพุทธศาสนาตลอดไป ซึ่งหลวงพ่อมีกล่าวว่า
?การได้เข้ามาศึกษาอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนานั้น เป็นของยากเพราะทุกคนต้องพร้อมที่จะเสียสละความสุขสบายในโลกภายนอกทุกอย่าง แต่ถ้าได้อยู่ศึกษาจนถ่องแท้แล้ว ก็ไม่อยากจะสึกออกไปอีก?

มุ่งสู่หลวงพ่อเขียน
เนื่องจากโยมมารดาของหลวงพ่อมี เป็นชาวบ้านพร้าว ปทุมธานี มักเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องยังบ้านเดิมอยู่เสมอ ทั้งในงานเทศกาลทำบุญตรุษสารทตามประเพณีต่าง ๆ ก็มักจะกลับไปทำบุญยังวัดท้องที่ใกล้บ้าน คือวัดบ้านพร้าวนอก ซึ่งมีน้องชายเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดในขณะนั้น ชื่อ หลวงพ่อเขียน โชติสโร
โดยความตั้งใจเดิมขององค์ท่านหลวงพ่อมี เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก และได้ช่วยหลวงน้าในการแปรธาตุ ได้สัมผัสรับรู้วิชาเร้นลับนี้โดยตรง แต่องค์หลวงน้าไม่ยอมสอนให้กลับบอกว่า จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระเสียก่อน จึงเป็นโอกาสดีของหลวงพ่อมี หลวงพ่อเขียนองค์นี้ ท่านเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาเป็นที่เลื่องลือว่า ท่านสำเร็จอภิญญาจิตมีอิทธิปาฏิหาริย์ สามารถเดินบนยอดไม้และนอนบนยอดตองได้ (นอนบนยอดใบกล้วย)
ปฏิปทาอันงดงาม เคร่งครัดพระธรรมวินัยและปฏิบัติวิปัสสนาธุระอย่างสม่ำเสมอของหลวงพ่อเขียน เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านพร้าวเป็นอย่างมากในสมัยนั้น หลวงพ่อเขียนท่านมีปฏิปทาแปลกไปอีกอย่างหนึ่งคือชอบเล่นว่านยา และชอบเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเป็นวิชาการหล่อหลอมวัตถุธาตุต่าง ๆ ที่มีราคาถูกให้กลายเป็นธาตุสูงค่าขึ้น เช่น การทำตะกั่วให้กลายเป็นเงินหรือทำเงินให้เป็นทองคำ ดังนี้เป็นต้น
อุปกรณ์ใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุของหลวงพ่อเขียนก็มี เตาสูบ ที่ใช้ในการหลอมโลหะ ซึ่งมีเครื่องสูบลมติดอยู่กับเตาสำหรับใช้สูบลม เป่าผ่านให้เป็นเปลวไฟแรงจัด นอกจากนี้ก็ยังมีเบ้าหลอม ซึ่งมีทั้งเบ้าดินและเบ้าที่ทำจากโลหะหลายใบ ทั้งยังมีสากดินสำหรับใช้กวนโลหะให้เข้ากันอีกด้วย ฯลฯ
หลวงพ่อมี เล่าว่า ?หลวงพ่อเขียนท่านชอบเล่นว่านอาบน้ำมันว่านจนตัวมันไปหมด จึงไม่ค่อยชอบอาบน้ำ เวลาท่านนั่งหลอมโลหะอยู่หน้าเตาสูบ ถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นวัน จนตัวดำมิดหมีมันหมดทั้งตัว... ท่านก็ยังไม่ยอมอาบน้ำ...?
หลวงพ่อมีเล่าปฏิปทาการไม่ชอบอาบน้ำของหลวงพ่อเขียนให้ฟัง พร้อมกับหัวเราะขัน ๆ อย่างอารมณ์ดี

เรียนวิชาตรงจากหลวงพ่อเขียน
หลวงพ่อเขียนถือได้ว่าเป็นอาจารย์องค์แรกในสายวิทยาคมขององค์ท่านหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย
หลังจากอุปสมบทหลวงพ่อมีมุ่งตรงสู่วัด บ้านพร้าวนอก จ.ปทุมธานี และศึกษาสายวิชา เล่นแร่แปรธาตุกับพระอาจารย์หลวงน้าในทันที ในช่วงนั้นโยมบิดาขององค์ท่านหลวงพ่อมี กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคชรา ซึ่งเรื้อรังมานานแล้ว และได้ถึงแก่กรรม หลวงพ่อมีจึงต้องกลับมายังบ้านเกิด เพื่อจัดงานศพโยมบิดา ที่วัดมารวิชัยและเข้าจำพรรษา ณ วัดมารวิชัย นับตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อเข้าจำพรรษา ณ วัดมารวิชัย หลวงพ่อมียังคงเดินทางไปพำนักที่วัดบ้านพร้าวนอก เพื่อเยี่ยมเคารพและศึกษาสายวิชาจากหลวงน้า หลวงพ่อเขียนอยู่สม่ำเสมอ ตราบจนกระทั่งหลวงพ่อเขียนมรณภาพด้วยวัยของความชรา

สายวิชา
ในส่วนของสายวิชาที่องค์ท่านหลวงพ่อมีศึกษาจากพระอาจารย์หลวงพ่อเขียน นับแล้วท่านเริ่มเรียนรู้มาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ๆ ตอนติดตามคุณแม่ไปวัดบ้านพร้าวนอก การศึกษาในตอนนั้นถือเป็นการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด เพราะได้ใกล้ชิดหลวงพ่อเขียน เนื่องจากต้องหาฟืนเติมเชื้อไฟให้ร้อนกรุ่นอยู่อย่างตลอดในเวลาหล่อหลอม สายวิชาการต่าง ๆ ทุกอย่างและขั้นตอนปฏิบัติจึงตกเป็นของหลวงพ่อมี เริ่มตั้งแต่วัยเด็ก
จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อมี ท่านเคยเล่าว่า ท่านนั้นไม่ได้ของดีจากอาจารย์หลวงพ่อเขียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ?สังขวานร? เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำตัวอาจารย์ท่าน ซึ่งหลวงพ่อเขียนถึงแม้มรณภาพ สังขวานรก็ติดตามไปด้วยทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อเขียนเก็บใส่ตลับติดตัวเอาไว้เป็นอย่างดี พอท่านสิ้นลมได้นำเอาตลับที่บรรจุสังขวานรตลับนั้นมาเปิดออกดู ปรากฏว่าสังขวานรได้อันตรธานหายไปได้เองอย่างน่าอัศจรรย์
อนึ่ง สังขวานร คือแร่ชนิดหนึ่งซึ่งเราเรียกว่า ?เขี้ยวหนุมาน? หลวงพ่อเขียนทำสำเร็จด้วยความยากลำบากเพราะต้องใช้เวลามาก เริ่มต้นจากการทำตะกั่วให้เป็นเงินแล้วนำโลหะแร่อีกหลายชนิดที่ทำขึ้นมาหล่อหลอมรวมกัน ขัดด้วยว่านยา 108 ตามตำรับตำรา จนสำเร็จกลายเป็นสังขวานรก้อนเล็ก ๆ ขนาดเมล็ดข้าวโพด มีสีเขียวแวววาวคล้ายสีปีกแมลงทับ
แต่ว่าสังขวานรมีสีเลื่อมพรายสวยงามกว่าปีกแมลงทับมาก ถ้านำไปทิ้งไว้ในที่มืด จะปรากฏลำแสงสว่างคล้ายรุ้งพวยพุ่งขึ้นให้รู้ว่าไปตกอยู่ ณ ที่แห่งใด
หลวงพ่อเขียนเคยทดลองคุณวิเศษ ของสังขวานรให้หลวงพ่อมีชมดูหลายประการและบอกให้ท่านฟังว่า ?สังขวานรมีคุณดุดเหล็กไหล? ถ้าผู้ใดได้พกติดตัวเป็นมหาอุด และมีความอยู่ยงคงกระพันชาตรีสูง บุกน้ำลุยไฟได้ทั้งนั้น? นับว่า สังขวานร เป็นสุดยอดแห่งของขลังที่หาได้ยากโดยแท้

เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าจะขาดไม่รู้ตัว
แม้ว่าหลวงพ่อมีจะเห็นกรรมวิธีการหล่อหลอมเล่นแร่แปรธาตุต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด แต่ใจจริงแล้วท่านไม่ค่อยชอบทางด้านนี้เท่าใดนัก เนื่องจากทำให้เนื้อตัวสกปรกดำไปหมดทั้งตัวในเวลาทำการหล่อหลอมแล้ว หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค พระอาจารย์องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของหลวงพ่อมี เคยกล่าวเปรย ๆ เป็นทำนองเตือนสติให้ท่านรู้ว่า
?ระวังการเล่นแร่แปรธาตุ ผ้าจะขาดไม่รู้ตัว?
นับเป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่ง เพราะถ้าในสมัยนี้ ผู้ใดคิดเล่นแร่แปรธาตุหวังร่ำรวยทางลัด ด้วยการทำตะกั่วให้กลายเป็นทองคำ กว่าจะทำได้คงต้องลงทุนจนหมดตัว ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะทำตะกั่วกลายเป็นเงิน แล้วทำเงินให้กลายจนเป็นทองคำได้อีกหรือไม่ เรียกว่า กว่าจะสำนึกตัวผ้าอาจขาดจนไม่มีติดกายก็เป็นได้ เล่นแร่แปรธาตุชั้นสูง สามารถทำให้ตะกั่วกลายเป็นเงิน เงินกลายเป็นทองคำได้
ในภายหลังที่หลวงพ่อมีไปศึกษาอสุภกรรมฐานกับหลวงพ่อปานแล้ว ท่านพิจารณาเห็นว่า วิชาเล่นแร่แปรธาตุ ไม่ใช่หนทางหลุดพ้นจากสงสารวัฏแห่งการเวียนว่าย ตาย เกิด หลวงพ่อมีจึงตัดใจไม่เรียนวิชาทำตะกั่วให้เป็นทองคำต่อจากหลวงพ่อเขียน ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงเรียนรู้แต่วิธีทำตะกั่วให้เป็นทองคำมาเพียงผิวเผินเท่านั้น โดยไม่เคยทดลองทำจริง ๆ มาก่อนเลย ส่วนกรรมวิธีการทำเมฆพัดนั้น หลวงพ่อมีเคยทดลองทำมากับหลวงพ่อเขียน จนมีความเชี่ยวชาญมาแล้วในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งหลวงพ่อมีกรุณาเปิดเผยสูตรทำเมฆพัดให้ทราบว่า
การทำเมฆพัดประกอบด้วย เงิน ทองแดง ตะกั่ว ปรอท กำมะถันเหลือง และว่านยา 108 ชนิด มีว่านทองคำ เป็นอาทิ โดยมีส่วนของน้ำหนักพิกัดสิ่งละไม่เท่ากันตามตำรา นำมาหล่อหลอมรวมกันแล้วซัดด้วยกำมะถันเหลืองและว่านยาอยู่ตลอดเวลาตามกรรมวิธีอันแยบยลตามลำดับ จนกระทั่งเนื้อเมฆพัดหลอมจนเหลวได้ที่ดีแล้ว จะสำเร็จเป็น ?กายสิทธิ์?
หลวงพ่อเขียน บอกว่า เมฆพัดจะมีฤทธิ์เดชในตัวเองสามารถป้องกัน ภูตผีปีศาจ เป็นคลาดแคล้วคงกระพัน บันดาลความร่มเย็นเป็นสุขให้คุณแด่ผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก หลวงพ่อมี เคยกล่าวยืนยันว่า วิชาทำตะกั่ว จนกลายเป็นทองคำนี้ หลวงพ่อเขียนท่านทำได้จริงเมื่อท่านสามารถพิสูจน์จนรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ท่านก็เลิกเล่น และไม่ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ผู้ใดอีก
ชะรอยหลวงพ่อเขียนท่านคงจะเห็นโทษจากการหมกมุ่นในการแปรธาตุ ซึ่งเป็นความละโมบผิดธรรมชาติ ดังนั้นในบั้นปลายของชีวิต หลวงพ่อเขียนท่านมุ่งบำเพ็ญภาวนา แสวงหาความหลุดพ้นจนถึงแก่กาลมรณภาพโดยสงบในที่สุด

ทำแตงหนูเป็นทองแดง
ท่านผู้อ่านคงรู้จัก ลูกแตงหนู ดีนะครับเป็นพืชจำพวกเถาเลื้อยไปตามดินเถาและใบแตงหนูเป็นขนคล้ายต้นขี้กาขาว มีผลเหมือนแตงไทยที่เราเอามาใส่กะทิน้ำแข็งกินเป็นของหวานนั่นแหละ แต่ลูกแตงหนูเล็กกว่าลูกแตงไทยมาก คือมีขนาดโตแค่หัวแม่มือเท่านั้น บรรดาแพทย์แผนโบราณนิยมนำมาทำยาสมุนไพร กล่าวกันว่า ใช้แก้ไข้ได้วิเศษนัก
หลวงพ่อเขียน นอกจากจะปลูกต้นแตงหนูไว้ทำยาแล้ว ท่านยังเอาลูกแตงหนูกับน้ำประสานทองมาสุมไฟจนกลายเป็นโลหะทองแดงได้อีกด้วย วิชาการเล่นแร่แปรธาตุดังกล่าว นับวันจะสูญหายไปแล้ว เนื่องจากต้นทุนในการหล่อหลอมสูงกว่าแร่โลหะแท้ ๆ ที่จะทำไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการทำทองแดง ต้องหาลูกแตงหนูมาเต็มเบ้า ซึ่งยังหาง่ายไม่แพงเท่าน้ำประสานทอง ซ้ำยังต้องหล่อหลอมอีก 500 ครั้ง จึงจะได้ทองแดงก้อนเล็ก ๆ แค่ปลายนิ้วก้อยเท่านั้น นับมีต้นทุนการผลิตที่สูงมากทีเดียวถ้าทำมาขายไม่คุ้มกันแน่
แต่พระโบราณจารย์ท่านไม่ได้คิดเช่นนั้น กล่าวคือทองแดงที่ได้จากการเปลี่ยนแปรธาตุเมื่อทำสำเร็จ ถ้านำมาปลุกเสกตามตำรา จะกลายเป็นของกายสิทธิ์ ถึงขั้นสามารถป้องกันศาสตราวุธได้ทุกชนิด ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า พระเครื่องรางเก่า ๆ ของพระอาจารย์หลายสำนักที่สร้างขึ้นจากตำราเล่นแร่แปรธาตุโดยนำโลหะธาตุต่าง ๆ ที่ทำขึ้นมาสร้างเป็นพระเครื่องจึงมีอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านอยู่ยงคงกระพันสูงส่ง
เป็นที่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเขียน ไม่เคยสร้างอิทธิมงคลใด ๆ ไว้เลย ชื่อเสียงในวงการพระเครื่องจึงไม่มีใครรู้จัก แต่ก็ยังโชคดีที่ท่านมิศิษย์ผู้สืบทอดพระเวทวิทยาคมอยู่องค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อมี เขมธัมโม พระเถราจารย์จอมขมังเวทแห่งวัดมารวิชัย ซึ่งเป็นทั้งศิษย์และหลานแท้ ๆ ของหลวงพ่อเขียน พระอาจารย์ผู้เรืองวิชาแห่งวัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี

รูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียน
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ในสมัยที่หลวงพ่อเขียนยังมีชีวิตอยู่ ท่านไม่เคยสร้างอิทธิมงคลใด ๆ ขึ้นเลย แต่เมื่อท่านถึงแก่กาลมารณภาพแล้วได้ 1 ปี หลวงพ่อมีสร้างรูปหลวงพ่อเขียนอัดกระจก ขึ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อแจกบรรดาญาติโยมและชาวบ้านทั้งหลายที่มีความเคารพนับถือหลวงพ่อเขียน โดยสร้างพระรูปหล่อจำลองเกือบเท่าองค์จริงประดิษฐานอยู่ที่มณฑปวัดบ้านพร้าวนอกในปัจจุบัน
?รูปหลวงพ่อเขียนที่วัดมีไม่ได้เลย ถ้าชาวบ้านเห็นแล้ว ต้องขอกันไปหมด ถ้าไม่ให้ก็ปลดเอาไปบูชาที่บ้านเสียเฉย ๆ ที่วัดก็เลยไม่มีรูปของหลวงพ่อเขียนหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่เพียงรูปเดียว?
จากศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อภาพถ่าย หลวงพ่อเขียนดังกล่าว ย่อมแสดงออกถึงความเคารพนับถือที่มีต่อท่านสูงส่งเพียงใด นับว่าหลวงพ่อเขียนเป็นพระอาจารย์อันควรแก่การเคารพกราบไหว้โดยแท้! จึงเป็นที่น่าเสียดายจริง ๆ หลวงพ่อเขียนวัดบ้านพร้าว นอกจากไม่ได้สร้างอิทธิมงคลใด ๆ ไว้เป็นอนุสรณ์แก่สานุศิษย์ มิเช่นนั้นหลวงพ่อเขียนต้องเป็นพระอาจารย์ที่ขึ้นชื่อลือชาอยู่ในแนวหน้าองค์หนึ่งของจังหวัดปทุมธานีอย่างแน่นอน แต่ก็นับว่า พวกเรายังโชคดีที่วิทยาเวทและสายเคล็ดลับของหลวงพ่อเขียน ยังมีผู้สืบทอดซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ ของท่าน หลวงพ่อมี เขมธัมโม พระเถราจารย์สุดขมังเวท แห่งวัดมารวิชัย ผู้สร้างรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียน จนได้รับความนิยมจากชาวบ้านพร้าวและเป็นผู้สร้างพระเครื่องสูตรเมฆพัด (พระสังกัจจายน์ และพระปิดตา) ตามตำรับหลวงพ่อเขียนทุกประการ
ด้วยอำนาจแห่งบารมีหลวงพ่อเขียน รวมทั้งหลวงพ่อมีผู้ปลุกเสกและลงอักขระด้านหลังภาพอัดกระจกทั้งหมด ทำให้ผู้รับรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนไปแล้ว ต่างพบประสบการณ์มากมายในทางคงกระพันแคล้วคลาดและมีเด็กห้อยคอแล้วตกน้ำไม่จมจนเป็นที่เลื่องลือ
ปัจจุบัน หาชมรูปอัดกระจกหลวงพ่อเขียนซึ่งหลวงพ่อมีเป็นผู้สร้างขึ้นได้ยาก เพราะมีอายุการสร้างมานานร่วม 50 ปี และที่ชาวบ้านพร้าวมีอยู่ก็หวงแหน เนื่องจากเป็นรูปหลวงพ่อเขียนที่ชาวบ้านพร้าวทั้งหลาย ให้ความเคารพนับถือและมีประสบการณ์มาแล้วอย่างกว้างขวางนั่นเอง

 เรียนวิชากับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
ในปี พ.ศ. 2470 ขณะนั้นชื่อเสียงของหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค เลื่องลือไปทั่วประเทศ ประชาชนทั้งใกล้และไกลให้ความศรัทธาแห่กันมาให้หลวงพ่อปานรักษาโรคเนืองแน่นทุกวัน รวมทั้งชาวบ้านวัดมารวิชัย ซึ่งอยู่ตำบลเดียวกับวัดบางนมโค มีระยะทางห่างกันไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ก็พากันมาให้หลวงพ่อปานช่วยบำบัดรักษาเช่นกัน
ดังนั้นครอบครัวโยมบิดา มารดาของหลวงพ่อมีจึงคุ้นเคยกับหลวงพ่อปานพอสมควร รวมทั้งหลวงพ่อมีครั้งยังเป็นเด็กวัดมารวิชัยก็เคยรับใช้หลวงพ่อปานมาแล้วในสมัยที่ท่านมาสร้างศาลาการเปรียญที่วัดมารวิชัย หลวงพ่อมีจึงให้ความเคารพหลวงพ่อปานเป็นอย่างสูง เนื่องจากรู้จักกิตติคุณความเก่งกล้าของท่านเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย และเมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ 1 พรรษา ก็มาปวารณาตัวเป็นศิษย์คอยรับใช้หลวงพ่อปานที่วัดบางนมโค เมื่อต้นปี พ.ศ. 2476
ในวันแรกที่หลวงพ่อมีมาอยู่วัดบางนมโค ได้พำนักที่กุฏิของหลวงพ่อปาน ซึ่งใช้เป็นสถานที่รักษาโรคและให้บรรดาคนไข้และแขกเหลื่อมาค้างแรม หลวงพ่อมี จึงมีโอกาสเห็นหลวงพ่อปาน ทำการรักษาคนไข้อย่างใกล้ชิดด้วยน้ำมนต์บ้าง ด้วยยาสมุนไพรพื้นบ้านที่หาได้ง่าย เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น แต่ก็มีสรรพคุณสูงสามารถใช้รักษาโรคร้ายและไข้ต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่ถูกคุณไสยถูกเขากระทำย่ำยีมา หรือถูกผีเข้าเจ้าสิง กระดูกแตกหักต่าง ๆ หลวงพ่อปานสามารถรักษาให้หายได้ทั้งนั้นอย่างน่าอัศจรรย์
?ผู้ที่ได้บวชเรียนแล้ว อย่าให้ตกเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อย่าเกาะโลกธรรม 8 อันเป็นเรื่องทางโลก คือ...อิฏฐารมณ์ ความพึงพอใจในลาภยศ สุข และสรรเสริญและความไม่พึงพอใจในอนิฏฐารมยณ์...คือการขาดลาภ ขาดยศ มีทุกข์ และการนินทา...?
?เมื่อเป็นพระอย่าหวังร่ำรวย ปัจจัยที่ได้มาจงนำมาเป็นสาธารณประโยชน์แก่ศาสนาและประชาชนให้หมด...อย่าหวังลาภ ยศ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็อย่าเมาในยศถาบรรดาศักดิ์...เรื่องของลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เป็นตัวกิเลส ต้องตัดออกให้หมด เราเป็นพระภิกษุสงฆ์รวยด้วยบุญญาบารมี เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าการบวชนี้ เพื่อหวังนิพพานเท่านั้น?
โอวาทของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อมีกล่าวว่ายังจำขึ้นใจถึงปัจจุบันและระลึกอยู่เสมอ ปฏิบัติอยู่เสมอ

เมื่อหลวงพ่อปาน พิจารณาลักษณะอันกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของหลวงพ่อมี นึกรักขึ้น จึงรับปากจะถ่ายทอดวิชาให้ โดยให้ฝึกอสุภกรรมฐานก่อน เพื่อเป็นการสร้างอำนาจจิตของตัวเองให้กล้าแข็ง
อสุภ แปลว่าไม่สวยไม่งาม ซากศพ
กรรมฐาน แปลว่าการชนะใจด้วยความสงบ
อสุภกรรมฐาน จึงรวม ๆ ความได้ว่า ฝึกจิตใจที่ยึดเอาเจ้าสิ่งที่ไม่สวยงาม มาเป็นหลักในการพิจารณาอารมณ์แห่งจิต
มองกันอย่างธรรมชาติ พอมองกันออกว่ามองไปนาน ๆ แล้วปลงอย่างไรสภาพของซากศพนั้น คงคิดรูปร่างกันได้ เป็นการเริ่มต้นที่ฉลาดและแน่นอนมั่นคง เมื่อพิจารณาเป็นหลักโดยไม่หนักไปทางเพ่งในระยะแรก เมื่อพิจารณาซากศพที่เสียชีวิต จากความรู้สึกที่แท้จริง แล้วโน้มความรู้สึกนั้น ๆ เข้าไปเปรียบเทียบกับตัวของเราเอง อธิบายเพิ่มขึ้นสักนิด เมื่อเราพิจารณามองศพที่น่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน มองนาน ๆ จะเกิดสังเวชขึ้นในจิตใจ จะเริ่มหนักขึ้น มองเห็นอะไรมากขึ้น ทราบถึงกับปลงในร่างกายของคนเรานั้นไม่มีอะไรเลย สังขารเปื่อยเน่าหมดสิ้นก็สิ้นกัน เพียงแค่นั้น ทุกอย่างที่เกิดเป็นอารมณ์สร้างให้จิตใจสงบแน่นิ่งเป็นพลังพุ่งเข้าสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้โดยง่าย ดั่งคำของหลวงพ่อปานที่กล่าวไว้ว่า

?เมื่อปฏิบัติอสุภกรรมฐานจนมีความชำนาญแล้ว ย่อมเป็นของง่ายในการวิปัสสนาญาณ และจนลุล่วงสำเร็จไปด้วยดี?

 เรียนวิชากับหลวงพ่อจง
เมื่อสิ้นหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคไปแล้ว ศิษย์ของท่านทุกองค์รวมทั้งหลวงพ่อมี ต่างมุ่งตรงไปศึกษาหาความรู้ต่อกับหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เพราะก่อนที่หลวงพ่อปานท่านจะมรณภาพ ท่านได้บอกบรรดาศิษย์ของท่านให้ไปหาหลวงพ่อจง ซึ่งท่านว่าเป็น ?พระทองคำทั้งองค์? ความจริงหลวงพ่อมี ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อจงมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 โดยไปขึ้นกรรมฐานกับท่าน และเมื่อออกพรรษาทุกปีก่อนที่หลวงพ่อมีจะออกธุดงค์ท่านต้องไปให้หลวงพ่อจงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ก่อนทุกครั้งไป
ดังนั้น เมื่อหลวงพ่อมีออกรุกขมูลคราวใด ท่านจึงไม่เคยได้รับอันตรายใด ๆ จากภัยอันตรายต่าง ๆ ที่มีอยู่มากภายในป่าดงดิบทุกแห่งหนที่หลวงพ่อมีเดินธุดงค์ไปถึง เรียกว่า รอดพ้นปลอดภัยกลับถึงวัดมารวิชัยโดยสวัสดิภาพทุกคราวไป หลวงพ่อมีจึงมีความเคารพนับถือหลวงพ่อจงมาก นอกจากท่านจะมีปฏิปทางดงามแล้ว ท่านยังเคยแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ความมีวิทยาคมขลังให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของหลวงพ่อมีอยู่เสมอ เนื่องจากท่านมีวาสนาบารมีผูกกันฉันศิษย์กับอาจารย์มากนั่นเอง
ดังนั้นในปี พ.ศ. 2481 หลวงพ่อมีจึงมาฝากตัวเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชากับหลวงพ่อจงอย่างจริงจัง โดยขอเล่าเรียนวิชาทำตะกรุดกับท่านก่อนตามที่เคยตั้งใจไว้ตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส ในสมัยเป็นฆราวาส หลวงพ่อมีท่านเคยเห็นคนมาลองของกับหลวงพ่อจงด้วยการเอาตะกรุดให้ท่านเป่า แล้วไปลองยิง ปรากฏว่าปืนขัดลำกล้อง แต่เมื่อหันปากกระบอกปืนไปทางอื่น เสียงปืนก็ลั่นเปรี้ยงทันที
เมื่อหลวงพ่อมีประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ในตะกรุดที่หลวงพ่อจงเป่าด้วยสายตาตนเอง เช่นนี้ จึงตั้งใจไว้ว่าเมื่อบวชเรียน จะมาขอวิชาจากหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา หลวงพ่อจงท่านสอนวิธีลง นะหน้าทอง ให้แก่หลวงพ่อมีและบอกให้ใช้นะหน้าทองตัวนี้ลงแผ่นโลหะทำตะกรุดเมตตา หลวงพ่อมีจึงถามหลวงพ่อจงขึ้นว่า เมื่อถึงเมตตามหานิยมทำไมถึงยิงไม่ออก หลวงพ่อจงเปิดเผยเคล็ดลับในการใช้วิทยาคมโดยไม่ปิดบังอำพรางแก่หลวงพ่อมี ว่าลงทางเมตตาก็จริง แต่เวลาปลุกเสก เริ่มต้นว่าอย่างไร ให้ลงท้ายว่าอย่างนั้นเป็นมหาอุด เพราะยันต์นะหน้าทองมีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ได้สารพัด ข้อสำคัญต้องสร้างสมาธิจิตของตนเองให้แก่กล้า จึงจะใช้ได้สารพัดตามใจนึก
ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มสมาธิจิตให้กล้าแข็งอันเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการเล่าเรียนพระเวท หลวงพ่อจงท่านจึงถ่ายทอดวิธีปฏิบัติการเพ่ง เตโชกสิณ แก่หลวงพ่อมี พร้อม ๆ กับการสอนสูตรการลง นะหน้าทอง หลวงพ่อมี ผู้สำเร็จอสุภกรรมฐานกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แล้วยังมาได้วิชากสิณไฟจากหลวงพ่อจง อันเป็นกรรมฐานเกี่ยวกับการสร้างพลังจิตทั้งสิ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ทำไมอิทธิมงคลทุกอย่างที่ผ่านมาปลุกเสกจากหลวงพ่อมี ล้วนมีประสบการณ์เข้มขลัง เป็นที่กล่าวขานโดยทั่วไปในขณะนี้ !
หลวงพ่อมีได้ศึกษากรรมฐานและวิทยาคมต่าง ๆ มากับหลวงพ่อจงเป็นเวลานานเกือบ 30 ปี ท่านได้เดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างวัดหน้าต่างนอก และวัดมารวิชัยอยู่เสมอ ๆ ทั้งยังได้ร่วมงานกับหลวงพ่อจงอย่างใกล้ชิดอยู่บ่อยครั้ง และได้ปฏิบัติดูแลหลวงพ่อจง ตราบจนท่านสิ้นลมหายใจ

หลวงพ่อจงมรณภาพ
หลวงพ่อมีเล่าเหตุการณ์แห่งวาระสุดท้ายในคราวที่หลวงพ่อจงมรณภาพให้ฟังว่า หลวงพ่อจงท่านเป็นพระที่มีสุขภาพดี ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อนเลย นอกจากจะเป็นไข้หวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ที่ท่านมีสุขภาพดีเพราะว่าในตอนเช้ามืด ท่านจะตื่นขึ้นทำวัตรสวดมนต์ เสร็จแล้วก็คว้าไม้กวาดปัดกวาดไปทั่วบริเวณวัด ได้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน สุขภาพของท่านจึงแข็งแรง มีความกระฉับกระเฉงเดินเหินคล่องแคล่วว่องไว แม้แต่พระหนุ่ม ๆ ก็ยังเดินเร็วสู้ท่านไม่ได้
ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ประมาณ 1 เดือน ท่านเกิดหกล้มในห้องน้ำ จึงเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะแก่มากแล้ว มีแต่ทรงกับทรุดเท่านั้น เวลาพูดก็มีเสียงแหบ ๆ ฟังไม่ค่อยชัด พอมีพระไปเยี่ยมท่านก็จะให้สวดมนต์ให้ท่านฟัง ท่านจะนอนยิ้มฟังพระสวดเป็นการระงับทุกขเวทนาทั้งหลาย โดยไม่เคยร้องหรือบ่นอะไรให้ใครได้ยินเลยแม้แต่เพียงคำเดียว นอกจากท่านจะส่ายหน้าไปมาแล้วพูดว่า ?คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่แล้ว? เพียงแค่นี้เท่านั้น
ในขณะที่ท่านป่วย ท่านก็ยังนั่งรับแขกอยู่จนดึกจนดื่น ไม่ว่าใครจะขอร้องท่านให้พักผ่อนด้วยความเป็นห่วง แต่ท่านก็ไม่ยอกพักกลับพูดว่า ?เขาอยู่ได้ เราก็อยู่ได้? ดูกำลังใจของท่านซิ ดีแค่ไหน
วันที่ท่านจะเสียก็ยังนั่งรับแขกอยู่ดี ๆ ตามปกติ วันนั้นฉันสังเกตเห็นอาการของท่านรู้สึกทุเลาขึ้นมาก ต้อนรับแขกด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เหมือนกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา ฉันเห็นแล้วเกิดสังหรณ์ใจ มันผิดปกติ...เพราะว่าคนเราก็เหมือนกับตะเกียง หรือดวงเทียนที่กำลังจะดับ มันจะสว่างวูบขึ้นอีกครั้งก่อนจะดับ ฉันจึงไม่กลับวัด เฝ้าดูท่านอยู่ถึงเย็นก็ได้เรื่องจริง ๆ
หลวงพ่อจงท่านบอกขอตัวกับแขกว่า จะนอน...ฉันเห็นแล้ว ท่านคงจะไม่ไหวจริง ๆ เพราะตามธรรมดา ท่านไม่เคยออกปากขอตัวกับแขกเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว พอฉันเห็นท่านนอนเข้าสมาธิเท่านั้น ก็แน่ใจทันที รีบหาธูปเทียนจุดบูชาพระรัตนตรัย ท่านก็นอนหลับตาเข้าฌานเฉยอยู่อย่างนั้น...ฉันก็บอกให้ทุก ๆ คนรู้และให้เงียบ ๆ เข้าไว้เพราะท่านยังไม่ได้ละสังขารยังอยู่ในฌาน
คืนนั้นทั้งพระและฆราวาสผลัดกันนั่งเฝ้าหลวงพ่อจงจนดึก ก็มีพระที่วัด 2-3 องค์เท่าที่จำได้ก็มี หลวงพ่อครุฑ องค์นี้ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกต่อจาก หลวงพ่อไวทย์ แล้วก็มีพระเพ็ง... พระมหาแสวง วัดสีคต เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นวัดสันติการามอยู่เยื้อง ๆ วัดน้ำเต้านั่นแหละ และก็ฉันรวม 4 องค์ แต่ฆราวาสมีมาก พอชาวบ้านรู้ข่าวเข้าเท่านั้นแห่กันมาเฝ้าดูอาการของหลวงพ่อจงด้วยความเป็นห่วงเต็มกุฏิไปหมด
เวลาประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ ของวันที่เท่าไหร่ฉันจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าเป็นคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ตรงกับวันมาฆะบูชาพอดี...(ผู้เขียนเทียบปฏิทินร้อยปีดูแล้วตรงกับวันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2508 ตรงตามบันทึกวันมรณภาพของทางวัด ซึ่งแสดงถึงความทรงจำของหลวงพ่อมียังดีเลิศจริง)... หลวงพ่อจงก็หมดลมละสังขารด้วยความสงบ โดยไม่มีอาการทุรนทุรายใด ๆ ทั้งสิ้นแต่น้อยเลย เพราะท่านมรณภาพในฌาน
ฉันกับพระมหาแสวงนั่งสมาธิตามดูท่าน เห็นแต่ลูกไฟดวงใหญ่มีแสงสีเหลืองนวลสว่างไสวลอยออกจากศีรษะของหลวงพ่อจงหายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว... ดูตามท่านไม่ทันจริง ๆ สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเอะอะไปทั่วกุฏิ เพราะพระและฆราวาสทุกคนที่นั่งอยู่ที่นั่น ต่างก็เห็นดวงไฟลอยออกจากร่างหลวงพ่อจงด้วยตาเปล่าเหมือนกันหมด แม้แต่ชาวบ้านทุก ๆ คนที่นั่งอยู่นอกกุฏิก็ยังเห็นลูกไฟดวงใหญ่พุ่งออกมาจากกุฏิหายขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ เหมือนกับว่าท่านจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้คนเห็นครั้งสุดท้ายเป็นการอำลาอย่างนั้นแหละ
พอชาวบ้านรู้ว่าหลวงพ่อจงท่านละสังขารแล้วเท่านั้น ก็พากันร้องไห้ระงม ฮือออกันเข้าไปยื้อแย่งฉีกจีวรกันใหญ่ พอตอนเช้าก็มีคนแห่กันมาอีกฉีกจีวรจนต้องเปลี่ยนใหม่ไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด แม้แต่สายสิญจน์ที่โยงจากศพยังแย่งกัน บางคนเอาขมิ้นทามือ ทาเท้า พิมพ์ลงผ้ากันจนมือเท้าของหลวงพ่อเหลืองไปหมด บางคนถอนเล็บออกจากนิ้วมือนิ้วเท้า ยังมีเลือดแดง ๆ ติดอยู่เลย มีอยู่รายหนึ่งถึงกับตัดนิ้วมือของท่านไป ปัจจุบันยังใช้ติดตัวอยู่ ก็คนพื้นที่นั่นแหละ ไปถามคนที่นั่นรู้จักชื่อกันทั้งนั้น ดูความศรัทธาที่พวกเขามีต่อท่านซิ แม้แต่ตายแล้วสังขารก็ยังถูกรบกวนไม่มีที่สิ้นสุดสมกับที่ท่านเคยบอกให้ฉันฟังว่า...?ฉันเกิดมาเพื่อใช้หนี้ชาวบ้านเขา?...จริง ๆ
หลวงพ่อจงถึงแก่กาลมรณภาพในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2508 เวลา 01.55 น. รวมสิริอายุ 93 ปี

หลวงพ่อมีออกธุดงค์ครั้งแรก
ขอย้อนกลับมากล่าวถึงในสมัยที่หลวงพ่อมีเพิ่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุใหม่ ๆ ท่านได้ติดตาม หลวงพ่อเขียน ไปอยู่วัดบ้านพร้าวนอกปทุมธานี ได้เพียง 1 พรรษา ในปลายปี พ.ศ. 2475 นั้น โยมบิดาก็ถึงแก่กรรมท่านจึงต้องกลับมาจัดงานศพที่วัดมารวิชัย อันเป็นบ้านเดิม หลังจากทำการฌาปนกิจศพโยมบิดาเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อมีก็หนีโยมมารดาออกธุดงค์ อันเป็นการเริ่มต้นของการถือธุดงควัตร ครั้งแรกของหลวงพ่อมี
สาเหตุที่หลวงพ่อมีต้องหนีโยมมารดาออกธุดงค์ก็เพราะว่า เมื่อสิ้นโยมบิดาแล้ว โยมมารดาก็ไม่มีผู้ช่วยทำไร่ไถนา จึงมาขอร้องให้ท่านสึก แต่ใจจริงของหลวงพ่อมีนั้น รักที่จะอยู่ในสมณะเพศมากกว่า ประกอบกับคำพูดของโยมบิดาที่เคยสั่งเสียไว้ในขณะป่วยหนักก่อนถึงแก่กรรมว่า
?พ่อไม่มีบุญได้บวชเรียน ขอให้บวชเพื่อพ่อต่อไปนาน ๆ นะ?
จากคำพูดกึ่งขอร้องของโยมบิดา ที่เพิ่งถึงแก่กรรมไปหยก ๆ นั่นเอง จึงเป็นสาเหตุให้หลวงพ่อมี คิดอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่นาน ๆ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลแก่โยมบิดาให้มากและนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่ถ้ายังขืนจำพรรษาอยู่ที่วัดมารวิชัยต่อไป คงจะทนต่อคำอ้อนวอนของโยมมารดาให้ลาสิกขาไม่ได้แน่นอน เมื่อหลวงพ่อมี คิดได้ดังนั้น ท่านจึงตัดสินใจหนีโยมมารดาติดตามหลวงตาปลั่งซึ่งเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาอีกรูปหนึ่งของวัดมารวิชัย ออกธุดงค์ไปกราบไหว้พระพุทธบาท และพระพุทธฉาย ยังจังหวัดสระบุรี ในต้นปี พ.ศ. 2476
การออกธุดงค์ครั้งนั้น มีหลวงพ่อมี พร้อมพระภิกษุอีก 5 องค์ รวมทั้งหลวงพ่อเรืองผู้เป็นพระอาจารย์นำทาง รวมทั้งหมด 7 องค์ด้วยกัน ได้ออกเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าไปยังจังหวัดสระบุรีทันที หลังจากออกพรรษาและรับกฐินแล้ว เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2475 การออกธุดงค์ครั้งแรกของหลวงพ่อมีไม่พบอุปสรรคใด ๆ ทั้งไปและกลับ เนื่องจากหลวงตาปลั่งรู้จักเส้นทางเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าสภาพตลอดทางจากอยุธยาไปสระบุรีจะเป็นป่าดงดิบ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและไข้ป่าชุกชุมก็ตาม แต่หลวงตาปลั่งเคยเดินธุดงค์ไปบ่อยครั้งจนมีความชำนาญทางมาก สามารถกล่าวได้ว่า รู้กระทั่งสถานที่มีสัตว์ร้ายและแหล่งที่มีไข้ป่าชุกกันเลยทีเดียว คณะธุดงค์จึงมาปักกลดเพื่อกราบไหว้รอยพระพุทธบาทอยู่ ณ เชิงเขาสุวรรณบรรพต

ตำนานพระพุทธบาท
เคยได้ยินตำนานเล่าสืบ ๆ กันมาว่า รอยพระพุทธบาทที่สระบุรีนี้ ?พรานบุญ? เป็นผู้ค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อปี พ.ศ. 2167 ในรัชสมัย พระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ
พรานบุญได้ติดตามกวางที่ตนเองยิงบาดเจ็บหนีหายเข้าไปในพุ่มไม้ แต่พอวิ่งกลับออกมาปรากฏว่า ตัวกวางไม่มีบาดแผลใด ๆ เลย เป็นที่น่าอัศจรรย์ จึงติดตามเข้าไปดูก็พบเห็นรอยพระพุทธบาทนี้เป็นรอยลึกเข้าไปอยู่ในเนื้อหินเหมือนรอยเท้ามนุษย์ แต่มีขนาดกว้างและใหญ่กว่ามาก คือมีส่วนกว้าง 21 นิ้ว ยาว 5 ฟุต ลึก 11 นิ้ว และมีน้ำขังอยู่เต็ม พรานบุญเห็นดังนั้นจึงวักน้ำนั้นมาล้างหน้าและล้างมือ ปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ร่างกายพรานบุญซึ่งเป็นโรคเรื้อนทั้งตัวก็หายจนหมดสิ้น
ปัจจุบันมีการสร้างรอยพระพุทธบาทจำลองขึ้นเหนือรอยจริง แล้วสร้างมณฑปเป็นที่ประดิษฐานไว้อย่างสวยงาม สำหรับเป็นที่เคารพสักการะของชนทั่วไป แล้วจัดให้มีงานเทศกาลไหว้พระพุทธบาทใน กลางเดือน 3 ถึง กลางเดือน 4 ระหว่างตรุษจีน ทุกปีเป็นเวลาถึง 1 เดือน นับว่าเป็นงานใหญ่ที่มีพระภิกษุสามเณรและชาวพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางไปกราบไหว้กันมาก เพราะมีความเชื่อถือกันมาช้านานแล้วว่า ?ได้ไหว้พระพุทธบาท สระบุรี 7 ครั้ง ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์?
ส่วน พระพุทธฉาย ก็นับเป็นปูชนียะสถานสำคัญอันควรแก่การเคารพสักการะอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีตำนานเล่าสืบ ๆ กันมาช้านานว่า พระพุทธเจ้า เคยเสด็จมายังที่แห่งนี้ แล้วแสดงอิทธิปาฏิหาริย์นิมิตกายของพระองค์ติดไว้ที่หน้าผาเพื่อเป็นอนุสรณ์ โดยแลเห็นเป็นเงาสีแดง ของขอบรอบนอกเหมือนองค์พระพุทธรูปสูงประมาณ 5 เมตร ปัจจุบันได้สร้างวัดพระพุทธฉายขึ้นบริเวณเชิงเขาและมีบันไดทางขึ้นไปสู่หน้าผาพระพุทธฉาย พุทธศาสนิกชนจึงไปกราบไหว้กันซึ่งมีงานเทศกาล กลางเดือน 3 ถึงกลางเดือน 4 เช่นเดียวกับพระพุทธบาท

ความกตัญญูเป็นเลิศ
ในการออกธุดงค์ครั้งแรกของหลวงพ่อมีนี้ แทนที่จิตใจของท่านจะบังเกิดความสงบต่อความสงัดงดงามของธรรมชาติภายในป่าเขาลำเนาไพร แต่ดวงจิตของท่านกลับร้อนรุ่มวุ่นวาย หาความสงบสบาย ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากท่านมีความเป็นห่วงเป็นใยในโยมมารดาของท่านเป็นอย่างมาก เกรงว่าเมื่อหนีท่านมาอย่างนี้แล้วจะไม่มีผู้ช่วยเหลือโยมมารดาทำไร่ไถนา แต่ถ้าจะกลับไปท่านต้องขอร้องให้สึก ไปช่วยทำนาอย่างแน่นอน แล้วการที่ตนจะบวชอุทิศส่วนกุศลไปให้กับโยมบิดาที่เพิ่งถึงแก่กรรมไปนาน ๆ คงจะไม่สมกับความตั้งใจเป็นแน่












เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่ความสับสนวุ่นวายใจ เรียกว่าตลอดเวลา 2 เดือนเศษ ที่ออกธุดงค์มานั้นหาความสุขใจไม่ได้เลยแม้แต่เพียงวันเดียว แต่พอได้จากโยมมารดามานานจึงทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า ควรจะกลับไปช่วยโยมที่มีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยท่านทำไร่ไถนาและเลี้ยงดูท่านเป็นการทดแทนพระคุณจะดีกว่า แม้ว่าท่านจะให้ลาสิกขาก็ยอม
ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงตัดสินใจบอกความจำเป็นกับหลวงตาปลั่ง และพระภิกษุที่ร่วมธุดงค์ไปด้วยกัน ซึ่งทุกท่านก็มีความเห็นใจจึงพร้อมใจกันถอนกลด เดินทางกลับสู่วัดมารวิชัยในเช้าวันรุ่งขึ้น

ดีใจสุดชีวิต
คณะธุดงค์กลับถึงวัดเมื่อปลายเดือน 3 ในปี พ.ศ. 2476 โยมมารดาของหลวงพ่อมีดีใจมากที่ท่านจะกลับมาช่วยทำงาน แต่ท่านก็มีความเข้าใจในกุศลและเจตนาของหลวงพ่อมีอย่างลึกซึ้งว่า ท่านตั้งใจอยู่ในสมณะเพศ โดยไม่ใช่บวชหนีงาน แต่เป็นการบวชอุทิศเพื่อต้องการแผ่กุศลผลบุญให้กับโยมบิดา ซึ่งหาได้ยากยิ่งที่จะมีบุตรกตัญญูเช่นหลวงพ่อมีภายในหมู่บ้านนี้ โยมมารดาจึงมีความยินดีอนุโมทนาสาธุ อนุญาตให้หลวงพ่อมีครองเพศบรรพชิตต่อไป โดยกล่าวว่า
?เมื่ออยู่ได้ ก็อยู่ไปนาน ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไร่นาแม่จะทำแต่น้อยให้พอกินพอใช้เท่านั้น?
จากคำพูดเพียงสั้น ๆ ของโยมมารดา ทำให้หลวงพ่อมีบังเกิดความปิติตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งท่านบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวตน ไม่เคยมีความดีใจอย่างใหญ่หลวงเท่ากับความดีใจ ครั้งกระนั้นเลย ดังนั้นหลวงพ่อมี จึงตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยด้วยตนเอง พร้อมกับไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อปานวัดบางนมโค เพื่อศึกษาพระเวทวิทยาคม การรักษาโรค ตลอดทั้งการปฏิบัติสมถะ และวิปัสสนากรรมฐานอยู่ 5 ปี ซึ่งในระหว่างเข้าพรรษาก็กลับมาเข้าพรรษาที่วัดมารวิชัยตามเดิม
ส่วนเวลากลางวันก็มาช่วยหลวงพ่อปานรักษาโรคคนไข้บ้าง ติดตามท่านไปสร้างกุฏิวิหารยังวัดอื่นๆ บ้าง ช่วยสร้างเขื่อนที่หน้าวัดบางนมโคบ้าง เพราะระยะทางจากวัดบางนมโคและวัดมารวิชัยไม่ไกลเท่าใดนัก การเดินทางไปกลับก็สะดวกพอสมควร และเมื่อถึงคราวออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ก็กราบลาหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อจงก่อนออกธุดงค์ทุกปี

การธุดงค์ครั้งที่ 2
ปลายปี พ.ศ. 2476 หลวงพ่อมีติดตามหลวงตาปลั่งออกธุดงค์ไปเขาวงพระจันทร์ ลพบุรี เป็นการออกธุดงค์ครั้งที่ 2 ซึ่งคราวนี้ภายในดวงจิตของท่านไม่มีสิ่งใดต้องคอยห่วงกังวลอีกแล้ว การออกจาริกแสวงบุญ เพื่อหาความสงัดวิเวกของท่านจึงเป็นการค้นหาสัจจะธรรมอันแท้จริงของมนุษย์ เพื่อให้ดวงจิตบังเกิดมีศีล คือรู้จักการละซึ่งอาสวะแห่งกิเลสให้เบาบางลง จนบริสุทธิ์หลุดพ้นจาก วัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป อีกทั้งยังเป็นการบำเพ็ญตบะให้สมาธิจิตมีพลังกล้าแข็งแก่กล้ายิ่งขึ้น
ดังนั้น การที่จิตใจของหลวงพ่อมี ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงกังวล ท่านจึงปฏิบัติธรรมทางจิตใจได้ผลก้าวหน้าดีอย่างเกินคาด ประกอบกับท่านสำเร็จอสุภกรรมฐานมาใหม่ ๆ ท่านจึงใช้เวลาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นขณะที่กำลังเดิน นั่งพักผ่อน หรือจำวัด ภายในกลดยามค่ำคืน หลวงพ่อมี ได้กำหนดอารมณ์ภาวนาอานาปานา นุสสติกรรมฐาน คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับภาวนาว่า ?พุท-โธ? อยู่ตลอดเวลา ควบคู่กับการพิจารณาขันธ์ 5 และกำหนดนิมิตเทียบเคียง แห่งซากอสุภ มาเป็นกสิณ เปรียบเทียบกับร่างกายของตนเองอยู่ทุกขณะจิต

เป็นพระอาจารย์นำธุดงค์
ในปลายปี พ.ศ. 2477 หลวงพ่อมีออกธุดงค์เป็นครั้งที่ 3 มาคราวนี้หลวงตาปลั่ง ไม่ได้เป็นผู้นำทางเพราะท่านชราภาพมาก เนื่องจากมีอายุถึง 70 ปีแล้ว หลวงพ่อมีจึงต้องเป็นอาจารย์นำคณะธุดงค์ไปยังเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรีอีกครั้ง การได้เป็นผู้นำไปธุดงค์คราวแรกของหลวงพ่อมี พระภิกษุร่วมคณะยังไม่ค่อยจะเชื่อใจท่านเท่าใดนัก เพราะมีพรรษาวัยแค่ 3 พรรษาเท่านั้น รวมพระภิกษุในคณะธุดงค์ครั้งนั้น 5 องค์ด้วยกัน
เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นปกติ

ผจญช้างแม่ลูกอ่อน
แต่แล้วเหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อคณะธุดงค์กำลังเข้าสู่แนวป่าทึบก็ประจันหน้าเข้ากับช้างแม่ลูกอ่อนอย่างกระชั้นชิด
ช้างซึ่งมีลูกอ่อนตามมาด้วย หยุดชะงักชูงวงขึ้นพุ่งตัวสู่พระธุดงค์ทั้ง 5 ด้วยความประสงค์ร้าย จึงทำให้พระธุดงค์ที่ร่วมคณะหลวงพ่อเผ่นหนีเข้าข้างทางด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ส่วนหลวงพ่อมีจะเลี่ยงหลบเข้าข้างทางก็ไม่ทัน เพราะยืนใกล้ช้างมากที่สุด ท่านจึงยืนสำรวมจิต เผชิญหน้ากับช้างแม่ลูกอ่อน นิ่งอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 นาที พลังจิตและเวทวิทยาคมที่ร่ำเรียนมาใช้ได้ผล ช้างแม่ลูกอ่อนซึ่งธรรมชาติวิสัยอันดุร้ายก็ค่อย ๆ ถอยกลับไปทางริมป่า ไม่ทำอันตรายหลวงพ่อมีที่ยืนบริกรรมพระคาถา เป็นการเปิดทางให้พระธุดงค์ไปกันก่อน แล้วจึงพาลูกน้อยค่อย ๆ เดินทางไปภายหลัง

เริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่พรรษา 3
พระธุดงค์ไปถึงจุดหมายปลายทาง คือ เขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรีแล้วกก็เดินธุดงค์กลับวัดมารวิชัย โดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นอีก เมื่อเดือน 5 ของต้นปี พ.ศ. 2478
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กิตติศัพท์การมีวิทยาคมแก่กล้าของหลวงพ่อมีที่สามารถปราบช้างแม่ลูกอ่อนให้เกรงกลัว จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อมีอุปสมบทเป็นพระภิกษุมาได้แค่ 3 พรรษาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว พอหลวงพ่อมีประกาศว่าปีนี้จะธุดงค์ไปกราบนมัสการ พระบรมสารีริกธาตุที่ดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ จึงมีพระภิกษุทั้งภายในวัดมารวิชัยและวัดที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมีความเชื่อถือในวิทยาคมของหลวงพ่อมี ขอติดตามท่านไปด้วยเป็นจำนวนมากถึง 25 องค์ด้วยกัน
ก่อนที่หลวงพ่อมีจะเป็นอาจารย์นำพระภิกษุทั้งหลายออกธุดงค์ หลวงพ่อปาน ได้ถ่ายทอดวิชา ?ร่มโพธิ์? ให้ใช้คุ้มคน ตลอดทั้งพระเวทวิทยาคมและเคล็ดลับอันสำคัญในการถือรุกขมูลต่าง ๆ ภายในป่าเขาลำเนาไพร แก่หลวงพ่อมีจนหมดสิ้นความรู้ เมื่อพระธุดงค์ทั้ง 25 องค์ ได้รับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์จากหลวงพ่อปาน และ หลวงพ่อจงแล้ว คณะธุดงค์ก็เริ่มออกเดินด้วยเท้าเปล่าไป จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีระยะทางเกือบพันกิโลเมตร ในปลายปี พ.ศ. 2478

พบเสือโคร่งเฝ้าศาล
คณะธุดงค์เดินทางออกจากอยุธยามุ่งตรงไปยังจังหวัดสระบุรี เมื่อนมัสการ พระพุทธฉาย แล้วก็เลยไปนมัสการพระพุทธบาท จากนั้นก็เข้าเมืองลพบุรีสู่เทือกเขาวงพระจันทร์ ที่อำเภอโคกสำโรง โดยไม่พบกับเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นใด ๆ ตลอดทางมาจนถึงเชิงเขาสาริกา ณ อำเภอบ้านหมี่ ชาวบ้านในละแวกนั้นเห็นพระธุดงค์พากันมาปักกลดที่เชิงเขาอยู่ที่หน้าศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริเวณกว้างขวาง จึงมาตักเตือนพระธุดงค์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำและท่าทีที่มีความเคารพ เกรงกลัวขึ้นว่า
ม้าขาว ของเจ้าพ่อที่เฝ้าศาลนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ในตอนกลางคืนมักปรากฏตัวออกมาเดินหน้าศาลอยู่เสมอ พระธุดงค์ที่ผ่านมาปักกลดหน้าศาลนี้ต้องทิ้งกลดเผ่นหนีในกลางดึกมามากแล้ว ขนาดชาวบ้านละแวกนี้ ยังไม่กล้าออกมาเดินหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินแล้ว หลวงพ่อมีทราบเรื่องจึงกล่าวเตือนบรรดาพระภิกษุทั้งหลายว่า คืนนี้ต้องมีความสำรวมให้มากและต้องเจริญภาวนาพระกรรมฐานให้หนัก เพราะว่าท่านจะขอชมบารมี
ดังนั้นพระธุดงค์ทุกองค์จึงใจคอไม่ค่อยดีนัก เมื่อรู้ว่าคืนนี้จะต้องพบกับเสือโคร่งที่เฝ้าศาล จึงเข้ากลดไปนั่งสมาธิภาวนากันเงียบกริบด้วยความสำรวมตั้งแต่ยังหัวค่ำ
ตกดึกของคืนวันนั้น สภาพบริเวณศาลเจ้าเงียบสงัดปราศจากเสียงร้องของสัตว์ใด ๆ นอกจากเสียงจักจั่น เรไร และเสียงจิ้งหรีดร้อง แล้วนาน ๆ ถึงจะได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนมาแต่ไกล ประกอบอากาศอันหนาวเย็นยะเยือกยามหน้าหนาว ยิ่งทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นเพิ่มความวังเวงอย่างน่าสะพรึงกลัวจนจับขั้วหัวใจพระธุดงค์ ที่กำลังเจริญภาวนาอยู่ภายในกลด
โฮก...!
ทันใดนั้น เสียงคำรามของเสือ ก็ดังกึกก้องขึ้นทำลายความเงียบ ทำให้พระธุดงค์ทุกองค์สะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน หลวงพ่อมีนั่งทำสมาธิภาวนานิ่งเฉยโดยปราศจากอารมณ์หวั่นไหว มองลอดกลดออกไปที่หน้าศาลก็เห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ค่อย ๆ เดินปรากฏตัวออกมา
ร่างพญาเสือโคร่งกระทบกับแสงเดือนที่ขึ้นเหนือยอดต้นไผ่ จนตัวขาวโพลน แลดูแล้วคล้ายกับม้าขาวตัวใหญ่ไม่ผิดจากคำเล่าลือของชาวบ้าน พญาเสือโคร่งเดินวนไปมาที่ลานกว้างหน้ากลดหลวงพ่อมี อยู่ 3 รอบ จึงค่อย ๆ ย่างเดินอย่างน่าเกรงขามเข้าไปในศาล สักครู่หนึ่งต่อมาเสียงคำรามก็ค่อย ๆ เงียบหายไปในที่สุด
หลวงพ่อมี เล่าเหตุการณ์ที่ท่านนำพระภิกษุออกธุดงค์มาพบเสือโคร่งที่เชิงเขาสาลิกามาถึงตอนนี้แล้ว ก็หัวเราะก่อนเล่าต่อไปว่า ?พอเสือเดินหายเงียบเข้าไปในศาลแล้ว ฉันก็หันไปมองข้างหลัง...พระที่ตามฉันไปถอดกลดกันเกือบหมด...บางองค์ตั้งท่าเตรียมสู้...บางองค์ก็เตรียมเผ่นหนีหน้าตื่นกันไปหมด...ฉันก็เลยหัวเราะบอกว่า ปัดโธ่เอ๊ย หลวงพ่อเจ้าพ่อท่านมาให้ชมบารมีท่านไม่ทำร้ายเราหรอก จะไปสู้อะไรกับท่านได้?

พบปาฏิหาริย์หลวงพ่อกบ
ในเวลาเช้า ณ เขาสาริกา พระธุดงค์ที่นำโดยหลวงพ่อมีได้เตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาตกันตามปกติ ขณะนั้นมีชายชราผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดขาวล้วน ๆ มาบอกว่า หลวงพ่อกบให้มานิมนต์พระคุณเจ้าทุกองค์ขึ้นไปฉันเช้าบนถ้ำเขาสาริกา หลวงพ่อมีจึงนำพระภิกษุทั้งหลายติดตามตาผ้าขาวขึ้นเขาในทันที เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของหลวงพ่อกบ ทั้งยังมีความตั้งใจจะขึ้นไปกราบนมัสการท่านอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อพระธุดงค์ทั้งหมดขึ้นไปถึงก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะภาพที่เห็นหลวงพ่อกบ ท่านได้จัดสำรับข้าวและแกงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ทราบว่าท่านไปหามาจากไหนในเวลาอันเช้าตรู่เช่นนี้ พอฉันเสร็จก็พากันไปนมัสการหลวงพ่อกบ ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าอังสะ กำลังนั่งยอง ๆ เอาสิ่งของโยนใส่กองไฟ เมื่อเข้าไปกราบหลวงพ่อกบ ท่านก็นั่งเฉยไม่เป็นธุระเอาแต่เผาไฟอยู่อย่างเดียว... ฉันจึงกราบท่านหลวงพ่อครับผมขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำทางธรรมบ้าง ท่านจึงหันมายิ้มแล้วพูดว่า.. ?เรียนมากับหลวงพ่อปานนั่นดีแล้ว...ถูกแล้วปฏิบัติตามพระพุทธองค์ท่านไว้?...ดูซิฉันยังไม่ทันได้บอกท่านเลยว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อปาน ท่านก็สามารถรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว... ต่อจากนั้น ท่านก็แนะนำหลักปฏิบัติธรรมบางอย่างให้และพูดถึงเรื่องการ เผาไฟของท่านว่า...
?มันเป็นการเผากิเลสนะ...อ้ายพวกนั้นมันไม่เคยเห็นก็เลยตื่นกันใหญ่...เราจะทำยังไง ที่ไหน มันก็เหมือน ๆ กันทั้งนั้น มันอยู่ที่ใจ...? พอท่านพูดจบก็นั่งเฉยนิ่งไม่พูดไม่จากับใครอีก ฉันไม่อยากรบกวนการปฏิบัติธรรมของท่านก็เลยกราบลาท่านลงจากเขาไป หลวงพ่อมีเล่าเหตุการณ์ในระหว่างการเดินธุดงค์ไปพบหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา และโชคดีได้ศึกษาหลักปฏิบัติธรรมบางประการจากท่านมาโดยบังเอิญ

เมื่อพระธุดงค์หลงป่า
?พอออกจากจังหวัดลพบุรีแล้ว ก็เข้าจังหวัดนครสวรรค์เดินขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ...คราวนี้ไปถึงไหนก็ไม่รู้ เพราะเกิดหลงป่าไม่รู้ทางไป ก็ได้อาศัยถามชาวบ้านบ้าง แต่ก็เดินมุ่งขึ้นเหนือเรื่อยไป... บางวันก็ไม่พบเห็นแสงเดือนแสงตะวัน เพราะมันเป็นป่าทึบไปหมด...แต่เพราะบารมี หลวงพ่อปานและหลวงพ่อจง คอยคุ้มครอง จึงไม่มีพระธุดงค์องค์ใดพบกับอันตรายใด ๆ เลย นอกจากบางครั้งจะผิดข้าวผิดน้ำบ้างเท่านั้น...มีบางทีพระเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ช่วยแก้ไขรักษากันไปตามมีตามเกิด... ก็พักรักษาตัวตามโรงทานบ้าง มีชาวบ้านช่วยกันบ้าง บางวันได้อาหารมาก็ถวายพระแบ่งกันฉัน บางทีก็ไม่ได้ฉันมาตั้ง 3-4 วัน ก็เคยอยู่บ่อย ๆ?
หลวงพ่อมีเล่าเหตุการณ์หลงป่าเมื่อคราวนำพระภิกษุออกธุดงค์แสวงบุญไปจังหวัดเชียงใหม่
?เคยขอบิณฑบาตกับรุกขเทวดาอยู่บ่อย ๆ ถ้าวันไหนบิณฑบาตไม่ได้ก็เอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ไว้...ก็ไม่เคยได้ข้าวปลาอาหารจริง ๆ จากรุกขเทวดาตามที่มีคนเขาเล่ากัน แม้แต่เพียงครั้งเดียว...หลวงพ่อปานท่านสอนว่า ?มันเป็นเคล็ด? ถ้าวันไหนบิณฑบาตไม่ได้ให้เอาบาตรไว้กับต้นไม้...สักครู่หนึ่งก็เอาบาตรนั้นมาล้างน้ำ แล้วเอาน้ำในบาตรนั้นมาฉันเพียงแค่นั้นมันก็รู้สึกอิ่มไปทั้งวันแล้ว...หลวงพ่อปานท่านสอนให้เอาเคล็ดอย่างนั้น ก็มีกำลังวังชาเดินได้ตลอดทั้งวัน โดยไม่มีอาการหิวโหยเลย...?

เด็กหญิงประหลาดใส่บาตร
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อมีอาราธนาขอชมบารมีเจ้าป่าเจ้าเขาให้มาใส่บาตรตามหลวงพ่อมีไป ท่านได้กล่าวตักเตือนพระภิกษุทั้งหลายให้รู้ตัวล่วงหน้าว่า ถ้าเช้าวันนี้พบเห็นอะไรแปลก ๆ อย่าได้พูดวิพากษ์วิจารณ์อะไร หรือถ้ามีผู้มาใส่บาตรก็อย่าไปทักหรือถามไถ่อย่างเด็ดขาด ให้ตั้งสติสำรวมกาย วาจา ใจ ยึดมั่นอยู่แต่คำภาวนาให้มาก ๆ เข้าไว้ ถ้าเอาเหตุการณ์ที่พบเห็นมาพูดคุยกันแล้ว ต่อไปจะไม่ได้พบเห็นอีก
เมื่อหลวงพ่อมีกล่าวซักซ้อมกับพระภิกษุทั้งหลายจนเข้าใจดีทุก ๆ องค์แล้ว ท่านก็ออกเดินบิณฑบาตนำหน้าเข้าไปในป่าลึก ซึ่งตลอดทางเป็นป่าดงดิบปราศจากบ้านของผู้คนแม้แต่หลังคาเรือนเดียวก็ไม่มี เช้าวันนั้นพระธุดงค์ทุกองค์ออกเดินด้วยลักษณะอันสำรวมยิ่งกว่าทุก ๆ วัน แต่เวลาได้ผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบกับผู้คนเลย เมื่อยิ่งเดินไปก็ยิ่งเข้าป่าลึกและยิ่งทึบขึ้นทุกที จนแทบจะไม่มีทางเดินต่อไปได้อีกแล้ว
ทันใดนั้น สายตาของหลวงพ่อมีก็เห็นเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ ไว้ผมจุกอายุประมาณ 12 ปี แต่งกายปอน ๆ แบบชาวบ้านป่าโดยทั่วไป ยืนถือขันข้าวอยู่ข้างหน้าเพื่อคอยใส่บาตร
หลวงพ่อมีมองเห็นแล้วก็ทราบแก่ใจดีว่าลักษณะของเด็กหญิงประหลาดนั้น ไม่ใช่เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ท่านก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ คงเดินอย่างสำรวมตรงเข้าไปรับข้าวอย่างปกติ แล้วเดินอ้อมกลับออกมาให้พระภิกษุที่ยืนต่อแถวจากท่านได้รับบ้างอย่างสะดวก โดยไม่ได้เหลียวหลังกลับมามองดูให้เสียกิริยาเลยแม้แต่น้อย
หลวงพ่อมีเล่าว่า ?พอฉันเดินเข้าไปใกล้เด็กผู้หญิงผมจุกนั้น พอได้กลิ่นหอมของข้าวเข้าเท่านั้น ก็รู้สึกหายหิวทันที...เด็กผมจุกตักข้าวเปล่า ๆ ใส่บาตรพระด้วยกิริยามารยาทอันเรียบร้อยองค์ละทัพพีเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีกับข้าวอย่างอื่นอีก...เมื่อพระทั้งหมดกลับมาฉันแล้วก็รู้สึกว่า ข้าวนั้นมีสีขาวและเม็ดใหญ่กว่าปกติ เวลาตักใส่ปาก ก็หอมนุ่มนวลอย่างไม่เคยฉันมาก่อนเลย...พอฉันเสร็จแล้วรู้สึกอิ่มไปตลอดทั้งวันเลยทีเดียว?
?พระที่ติดตามฉันไปเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ มาใส่บาตรกลางป่าลึก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีบ้านคนอยู่ในละแวกนั้นเลย...ก็เลยเผลอตัวลืมคำตักเตือนของฉัน เดินวิพากษ์วิจารณ์กันมาตลอดทาง บ้างก็ว่าเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นเจ้าป่าเจ้าเขายุ่งกันไปหมด...ฉันจะหันไปห้ามปรามก็ไม่ได้ เพราะต้องคอยสำรวมใจ ควบคุมสติและอารมณ์อยู่ทุกขณะลมหายใจเข้า ออก...ถ้าหันกลับไปพูดว่าพระท่านแล้วอาจจะเสียอารมณ์ภาวนาได้...อาจจะทำให้เสียการณ์เกิดอันตรายขึ้นกับพระท่านได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย...ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยพบเห็นสิ่งแปลก ๆ อะไรอีกเลย?
ฉะนั้น ในการออกธุดงค์ของหลวงพ่อมีในครั้งต่อไป หลวงพ่อปานจึงบอกให้ท่านธุดงค์เพียงองค์เดียว เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจว่า เมื่อเดินธุดงค์เพียงองค์เดียว โดยไม่มีเพื่อนร่วมทางแล้ว จะมีความกล้าพอหรือไม่นั่นเอง
ในที่สุดคณะธุดงค์ก็รอนแรมมาถึงจุดหมายปลายทางคือ ดอยสุเทพ เชียงใหม่ และเมื่อได้กราบไหว้ พระบรมสารีริกธาตุ บนดอยสุเทพแล้วก็เดินทางกลับวัดมารวิชัย เหตุการณ์ตอนขากลับนี้ ตลอดทางไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่าตื่นเต้นควรแก่การนำมาเล่า จึงขอรวบรัดตัดตอนผ่านไป ซึ่งกว่าจะกลับถึงวัดมารวิชัยก็เป็นเวลาเกือบถึงเทศกาลเข้าพรรษาในปี พ.ศ. 2479 เป็นการออกธุดงค์ครั้งนี้นานนับ 8 เดือนทีเดียว
ดังนั้นเมื่อพระธุดงค์ทั้งหลายเดินทางกลับสู่วัดมารวิชัยโดยสวัสดิภาพ ไม่มีพระภิกษุรูปใดได้รับอันตรายจากการบุกป่าฝ่าดง ซึ่งมีแต่ภัยอันตรายต่าง ๆ นา ๆ รอบด้านเลยแม้แต่น้อย กิตติศัพท์ความมีวิทยาคมแก่กล้าของลูกศิษย์หลวงพ่อปานที่สามารถให้ความคุ้มครองพระทุกองค์เดินธุดงค์ไปกลับจากเชียงใหม่โดยปลอดภัยในครั้งนี้ จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วภายในเขตบ้านแพนสมัยนั้น ชื่อเสียงของหลวงพ่อมีจึงมีผู้คนกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
แต่แทนที่หลวงพ่อมี จะดีใจหรือหลงระเริงลืมตัวกับคำสรรเสริญเยินยอต่อคำกล่าวชมของชาวบ้านทั้งหลาย ท่านกลับออกตัวพูดอย่างถ่อมตนว่า เหตุที่เดินทางโดยปลอดภัยในครั้งนี้ เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจงที่คอยคุ้มครองปกป้องโดยแท้

ธุดงค์พบหลวงพ่อแช่ม
หลังจากออกพรรษาในปลายปี พ.ศ. 2479 ก็กราบลาหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจงก่อนออกธุดงค์เช่นเคย แล้วแบกกลดถืออัฐบริขารเดินดุ่มไปเพียงลำพัง ไปยังจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นการธุดงค์ครั้งที่ 5 ของท่าน การเดินทางตั้งต้นที่อยุธยา นนทบุรี เข้าสู่นครปฐม จึงได้มีโอกาสไปกราบนมัสการและเล่าเรียนเวทบางประการกับ หลวงพ่อแช่ม ที่วัดตาก้อง ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงอยู่ในเวลานั้น
?ปฏิปทาของท่านก็งดงามดีแล้ว แต่แปลกตรงที่ปลูกผักทำสวนครัวเองเท่านั้น และก็รู้สึกว่าชาวบ้านในละแวกนั้นให้ความเคารพนับถือยำเกรงท่านเป็นอย่างดีทุก ๆ คน...?
หลวงพ่อมีได้ศึกษาหลักปฏิบัติธรรมภาวนาและวิชาบางประการกับหลวงพ่อแช่มอยู่ 1 คืน พอวันรุ่งขึ้นเมื่อฉันเช้าเรียบร้อยแล้วก็กราบลาหลวงพ่อแช่มออกจากวัดตาก้องใฝ่แสวงหาความสงัดวิเวกทางจิตต่อไป โดยมุ่งเข้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี ไปสังขละบุรีจนถึงด่านพระเจดีย์ 3 องค์ ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนพม่า จากนั้นหลวงพ่อมีก็เดินอ้อมเข้าจังหวัดอุทัยธานี สุพรรณบุรี แล้วก็ถึงอยุธยากลับเข้าวัดมารวิชัย เมื่อกลางเดือน 6 ของปี พ.ศ. 2480
การถือรุกขมูลเพียงลำพังเป็นครั้งแรกของหลวงพ่อมีนี้ ภายในดวงจิตของท่านปราศจากความหวาดกลัวต่อภัยอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ท่านบอกว่า ?จะเป็นจะตายก็ช่าง เพราะชีวิตนี้ได้อุทิศตนให้แก่บวรพุทธศาสนาหมดสิ้นแล้ว? ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงไม่มีความหวั่นไหวแต่ประการใด ซึ่งท่านได้กล่าวเปิดเผยว่า การเดินธุดงค์เพียงลำพังองค์เดียวยังดีกว่าไปกันหลาย ๆ องค์เสียอีก เพราะไม่ต้องไปคอยห่วงพะวงถึงความเป็นอยู่และความปลอดภัยของผู้อื่น อันเป็นภาระรับผิดชอบที่หนักหนาไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะประการที่สำคัญยิ่งก็คือ
การปฏิบัติธรรมภาวนาแต่ลำพัง ทำให้ดวงจิตได้รับความสงบจากความสงัดวิเวกได้เป็นสุขดียิ่งกว่าการปฏิบัติกับหมู่คณะหลาย ๆ องค์
นี่คือเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ อันเป็นประสบการณ์ของหลวงพ่อมี ซึ่งมีค่าต่อนักปฏิบัติที่กำลังใฝ่หาความจริงกันอย่างยิ่ง ก็ขอฝากเป็นข้อคิดสำหรับนักปฏิบัติที่มีความตั้งใจต้องการจะเอาดีกันจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าจะปฏิบัติอวดชาวบ้าน ทดลองทำดูเล่น ๆ หรือทำตามเพื่อนแบบพวกมากลากกันไปเท่านั้น !

วิญญาณหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยนอก จ.สมุทรปราการ
ปลายปี พ.ศ. 2480 อันเป็นการรุกขมูลครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อมี ในเช้าวันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อมีเตรียมหาสถานที่ปักกลด ก็มาพบกับขบวนพระธุดงค์คณะหนึ่ง ซึ่งต้องกล่าวว่าเป็น ?ขบวนธุดงค์? เพราะเหตุว่า มากันเป็นหมู่คณะที่มีทั้งพระภิกษุ และแม่ชีมีจำนวนมากกว่าร้อยรูป กำลังปัดกวาดสถานที่สำหรับปักกลดอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเช่นกัน
หลวงพ่อมีเห็นขบวนพระธุดงค์แล้ว บังเกิดความเลื่อมใสในตัวพระอาจารย์ที่เป็นหัวหน้าผู้ควบคุมพระภิกษุและแม่ชีนับร้อยรูป ออกธุดงค์ด้วยกิริยาอันสำรวมและมีวินัยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นนี้ ท่านต้องไม่ใช่เป็นพระภิกษุธรรมดาอย่างแน่นอน
เมื่อดวงจิตของหลวงพ่อมี บังเกิดความสัมผัสอันประหลาดดังนี้แล้ว ท่านจึงสอดส่ายสายตามองหา ก็บังเอิญพบเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมีลักษณะพิเศษ นั่งขัดสมาธิโดดเด่นอยู่บนโขดหินห่างจากกลุ่มพระธุดงค์ขึ้นไปทางเหนือ หลวงพ่อมีจึงเดินตรงไปกราบนมัสการท่านทันที
หลวงพ่อมีเล่าว่า ท่านยังจำลักษณะของพระภิกษุรูปนั้นได้ติดตา เพราะว่าท่านมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร คือมีรูปกายสูงใหญ่ดุจคนโบราณ ห่มผ้าจีวรสีกรักมองดูดำทะมึน แต่ก็มีลักษณะราศีงดงามอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้ภายในจิตใจของหลวงพ่อมี บังเกิดความเลื่อมใสท่านมากยิ่งขึ้น
?ผมมากราบนมัสการหลวงพ่อขอให้ช่วยแนะนำหลักการปฏิบัติธรรมกับผมบ้างครับ? หลวงพ่อมี เข้าไปกราบนมัสการท่านแล้ว เอ่ยปากขอเล่าเรียนธรรมปฏิบัติทันที โดยไม่มีการอ้อมค้อมตามแบบฉบับชอบพูดตรง ๆ ของท่านอย่างฉะฉาน หลวงพ่อองค์ใหญ่ยกมือขึ้นรับไหว้ แล้วพูดด้วยสำเนียงเสียงอันดังกังวานอย่างมีอำนาจขึ้นโดยไม่ได้ขยับตัวว่า
?ที่ท่านทำมานั่นดีแล้ว...ถูกต้องแล้ว ผมไม่มีอะไรจะสอนท่านอีก...ขอให้ท่านเจริญรอยตามพระพุทธองค์ท่านไว้...?
ว่าแล้วท่านก็สอนวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกำชับให้หลวงพ่อมีหมั่นเพียรปฏิบัติต่อไปจนถึงที่สุด เพื่อให้หมดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสทั้งมวล ไม่ติดอยู่ในสงสารวัฏอันเป็นการดับทุกข์ซึ่งมีแต่ความเป็นสุขยิ่งกว่าความสุขทั้งปวง
หลวงพ่อมีได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากพระภิกษุรูปนั้นแล้ว พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน และเมื่อเรียนถามชื่อของท่านแล้วก็ทราบโดยละเอียดว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ?ฉันชื่อปาน อยู่วัดคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ มาคอยคุ้มครองพระท่านออกรุกขมูล? พอหลวงพ่อมีทราบว่า ท่านคือหลวงพ่อปาน อยู่วัดคลองด่านเข้าเท่านั้น ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านเป็นอย่างดี เพราะทราบว่าท่านถึงแก่มรณภาพไปนานแล้ว แต่หลวงพ่อมีก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจให้เสียกิริยาตามที่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านเคยกล่าวย้ำสั่งสอนเป็นนักเป็นหนาว่า
ถ้าพบเห็นสิ่งแปลก ๆ ในระหว่างรุกขมูลอย่าได้สงสัยไตร่ถามเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะไม่ได้พบเห็นสิ่งลี้ลับอันมหัศจรรย์นั้นอีก และอย่าเก็บเอาสิ่งที่เห็นนั้นมาวิพากษ์วิจารณ์หรือเก็บเอามาคิดจนเสียเวลาภาวนา หลวงพ่อมีจึงกราบลาหลวงพ่อปานวัดคลองด่านแล้วถอยกลับมาเข้าสู่กลดของตนเอง กระทำสมาธิภาวนาตามกิจวัตรประจำวันเรื่อยไป จนถึงรุ่งเช้าก็ถอยกลด ออกเดินรุกขมูลต่อไป
ในภายหลังที่หลวงพ่อมีกลับถึงวัดและได้เล่าเรื่องราวที่ได้พบกับหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ให้กับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคฟัง จึงทราบว่า หลวงพ่อปาน วัดคลองด่านท่านถึงแก่กาลมรณภาพไปนานเกือบ 30 ปีแล้ว
มีผู้รู้ประวัติหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านเป็นอย่างดีกล่าวว่า ดูจากลักษณะพระภิกษุที่หลวงพ่อมีพบแล้วอ้างว่าเป็นหลวงพ่อปาน อยู่วัดคลองด่านนั้น คงจะเป็นตัวท่านจริง ๆ เพราะตามประวัติวัดก็บอกไว้แล้วว่า หลวงพ่อปานท่านมีรูปร่างใหญ่โต และพูดจาเสียงดังฟังชัด ซึ่งจะเป็นหลวงพ่อปานองค์อื่นไปไม่ได้ เนื่องจากวัดคลองด่าน มีหลวงพ่อปานองค์นี้องค์เดียวเท่านั้น ที่มีรูปร่างสูง
ใหญ่เช่นนี้
ดังนั้น พระภิกษุที่หลวงพ่อมีกราบนมัสการ ระหว่างทางต้องเป็นดวงวิญญาณของหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านที่มาคอยให้ความคุ้มครองศิษย์ของท่านทั้งหลาย ที่มาถือรุกขมูลตามที่ท่านบอกนั่นเอง ! ในการออกรุกขมูลของหลวงพ่อมีครั้งนี้ใช้เวลาแค่ 6 เดือนเท่านั้น ท่านก็เดินธุดงค์กลับเข้าวัดบางนมโค ก่อนที่จะเข้าวัดมารวิชัยเมื่อเดือน 6 ในปี พ.ศ. 2481 เนื่องจากหลวงพ่อมี ท่านเป็นห่วงอาการอาพาธของหลวงพ่อปาน เป็นอย่างมาก เพราะท่านเคยประกาศว่าจะถึงแก่มรณภาพภายในเดือน 8 ของปีนี้แล้ว

สิ้นสุดการออกธุดงค์
การถือธุดงค์ของหลวงพ่อมี 6 ครั้ง ต้องสิ้นสุดลงแค่ 7 ปีเท่านั้น (2475 ? 2481) เพราะเดิมทีท่านได้ตั้งใจจะออกธุดงค์ตลอด 10 ปี แต่บังเอิญมีสาเหตุถูกตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ทำการบูรณะอุโบสถที่กำลังชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา จนพระภิกษุสงฆ์ทำสังฆกรรมไม่ได้ ให้มั่นคงถาวรยิ่งขึ้นสืบต่อไป

การสร้างพระเครื่อง
ในสมัยหลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างใน น้องชายคู่บารมีขององค์ท่านหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนกอก เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ได้กล่าวคำทำนายอนาคตของหลวงพ่อมีต่อหน้าองค์ท่านหลวงพ่อจงไว้ว่า
?หลวงพ่อมี จะมีชื่อเสียงเมื่ออายุมากแล้ว แต่จะค่อย ๆ มีชื่อเสียงเหมือนกับหลวงพ่อจง ไม่โด่งดังตูมตามเหมือนกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค? การที่หลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างในกล่าวคำเปรียบเทียบหลวงพ่อมีดังนี้ เนื่องจากในยุคสมัยนั้น ชื่อเสียงกิตติคุณขององค์ท่านหลวงพ่อปาน โสนันโท แห่งวัดบางนมโค โด่งดังมากกว่าหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อีกทั้งยังมีลูกศิษย์ลูกหาหลัก ๆ มากกว่าหลวงพ่อจงเสียอีกด้วย สังเกตได้จากวิชาอาคมที่องค์ท่านหลวงพ่อมี นำมาใช้จึงมักจะเป็นวิชาจากหลวงพ่อปาน ส่วนพระเลขพระยันต์ ที่องค์ท่านหลวงพ่อมีใช้เป็นยันต์หลักประจำตัวตลอดมานั้น ท่านใช้ยันต์พระพรหม 4 หน้า ของหลวงพ่อเขียน พระอาจารย์หลวงน้า วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานีผู้เรืองวิชา
มาบัดนี้ หลวงพ่อมีท่านมีสิริอายุ 87 พรรษา คำทำนายของหลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างนอกในครั้งกระนั้นตรง ๆ จะ ๆ เมื่อเหตุการณ์และสานุศิษย์ ต่างได้เห็นในพลังคุณ ในพุทธคุณที่องค์ท่านหลวงพ่อมีใช้เวลาผ่านมาในพรรษาถึง 65 พรรษา ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วแคว้นในปัจจุบัน ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศทั้งใกล้และไกลต่างเดินทางเข้าขอพร ขอของดีกับหลวงพ่อมี ที่วัดมารวิชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังเกตได้จาก ไม่ว่าหลวงพ่อมี ท่านสร้างและปลุกเสกพระเครื่องหรือวัตถุมงคลใด ๆ ออกมา ล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมชมชอบจากพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวางทุกอย่างเป็นเพราะ

ของท่านใช้ได้ผล
กาลเวลาที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์แล้วว่า ชื่อเสียงขององค์ท่านหลวงพ่อมี โด่งดังมาได้อย่างไร ท่านผู้อ่านที่ติดตามมาถึงบรรทัดนี้ คงไม่แปลกใจเพราะได้ทราบในปฏิปทาและศีลาจารวัตร ตลอดถึงเรื่องเวทวิทยาคมที่องค์ท่านศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วมากล้นด้วยความเพียบพร้อม คือเป็นประกาศกิตติคุณมาตั้งแต่ครั้งกระโน้นก็ว่าได้

พระคาถาปลุกเสกพระ
หลวงพ่อมี มอบประสิทธิ์ประสาทพระคาถาปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังทุกชนิดของท่านแด่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ทั้งยังใช้ปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังได้ทุกอย่าง และทุกสำนักอีกด้วย เพราะเป็นพระคาถาจากพระคัมภีร์โบราณเก่าแก่ของหลวงพ่อสุวรรณ อดีตเจ้าอาวาสผู้เรืองวิทยาคมองค์ที่ 2 ของวัดมารวิชัย ดังนี้
ตั้ง ?นะโม? 3 จบแล้วว่า... ?อิสวาสุ ตะโนติ กุสะลังธัมมังตะโนติ ธัมมะเทสะนัง กุสะลังธัมมังตัณหายะ วิจะรันตานัง ตัณหานะคาตัง นะมามิหัง? ท่านให้ปลุกเสก 3-5-7 หรือ 9 คาบ ก็ได้ยิ่งมากยิ่งดี ข้อสำคัญจะใช้ไปในทางไหนควรอธิษฐานกล่าวคำอาราธนาก่อนทุกครั้ง จะประเสริฐยิ่งนักแล
?พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง ข้าพเจ้าขออาราธนาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธัมมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า คุณพระบิดามารดา คุณครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ คุณพระพรหม เทพเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้า (ปรารถนาสิ่งใด ให้ว่าสิ่งนั้นเพียงประการเดียว)...สรรพพุทธาประสิทธิ์ สรรพธัมมาประสิทธิ์ สรรสังฆาประสิทธิ์ สรรพสิทธิ์ ภะวันตุเม?

สร้างพระเครื่องอิทธิมงคล
เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก ของหลวงพ่อมี ปี พ.ศ. 2507 เป็นเหรียญยอดนิยมที่มีสนนราคาสูงเล่นหากันในวงการพระเครื่องถึงหลักพันต้น ๆ ก็ยังหายาก และไม่ค่อยจะมีใครปล่อยหลุดมือง่าย ๆ กล่าวคือ ประสบการณ์ด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรีของเหรียญรุ่นแรกเด่นชัดมาก เพราะเคยมีผู้ถูกฟันด้วย มีดพร้า คือมีดขอขนาดใหญ่ ด้ามยาวมีปลายเป็นขอคมมาก ใช้สำหรับเกี่ยวตัดต้นอ้อยฉับเดียวขาดครั้งละหลาย ๆ ลำ แต่มีดพร้าที่ว่าคมแสนคมยังฟันคอ ผู้ที่มีเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อมีไม่เข้ามาแล้วหลายราย !
ที่เคยถูกแทงด้วย มีดปลายแหลม จนเสื้อทะลุแต่ไม่เข้าก็มีหลายราย ประสบการณ์จากการถูกยิงด้วยปืน ชนิดที่ห้อยเหรียญเดี่ยว ๆ อยู่บนคอ ไม่เคยเข้าเลยสักรายเดียว เรียกว่ามีผู้เคยถูกยิงด้วยปืนไม่เข้ามาแล้วหลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปืนลูกโดด ปืนลูกซองแผด ปืนจุด 38 และปืนคอลท์ตราควายไทยประดิษฐ์ ที่ผ่านการปลุกเสกประจุอาคมซึ่งนักแสดงลูกทุ่งชอบใช้ยิงคัดทำลายอาคมต่าง ๆ ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ สำหรับปืนเอ็ม 16 อาวุธสงครามร้ายแรงยังไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ใคร ๆ ก็เชื่อว่า ?กันได้แน่? ! เพราะเคยมีผู้ใช้ติดตัว เหยียบกับระเบิดไม่เป็นอะไรมาแล้ว อาวุธอย่างอื่นเห็นทีไม่ต้องพูดถึง
และประสบการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อปีที่แล้ว ลูกเขยลุงสำแล ธนสนธิ์ ถูกลอบยิงด้วย ปืนเอ็ม 16 เสียชีวิต ส่วนลูกสาวถูกยิงทะลุฝ่ามือ ที่ยกขึ้นป้องหน้าอก แต่ลูกกระสุนสงครามที่ยิงทะลุฝ่ามือ 2 นัด นัดหนึ่งยิงถูกสร้อยคอขาด ไม่ระคายผิว ! อีกนัดหนึ่งยิงถูกพระของหลวงพ่อมีเลี่ยมพลาสติกแตกละเอียด แต่ก็ไม่ระคายผิวเช่นกัน !
ลูกสาวลุงสำแล ซึ่งเป็นน้องของหลวงพ่อมี ไม่ได้ห้อยเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อมี เพียงแต่ห้อยภาพถ่ายเล็ก ๆ เป็นกระดาษขาว-ดำ เลี่ยมพลาสติกอยู่บนคอภาพเดียวเท่านั้น... เป็นภาพถ่ายรุ่น 2 หลวงพ่อมีสร้างและปลุกเสก เมื่อปี พ.ศ. 2522 นี่เอง ! ภาพถ่ายรุ่นนี้จึงได้รับการขนานนามว่า ?รุ่นเอ็มสิบหก?

ขนาดภาพถ่ายเล็ก ๆ ของหลวงพ่อมียังมีพุทธานุภาพมหาศาล สามารถป้องกันปืนเอ็ม 16 ได้ อิทธิมงคลทุกชนิดของหลวงพ่อมีจึงถูกผู้รู้เสาะหากันอย่างเกรียวกราว ซึ่งก็เป็นที่แน่นอน เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อมีจึงมีผู้เสาะแสวงหาอย่างกว้างขวางขึ้น ค่านิยมก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ประสบการณ์ในเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อมีทางด้านอื่น ๆ ยังมีอีกมาก เช่น ถูกรุมตีด้วยไม้จนน่วมไปหมดทั้งตัวถึงกับเสียสติ ก็ยังไม่แตก ! ไม่ตาย ! ทางด้านอุบัติภัย แคล้วคลาด ทางท้องถนนก็รอดพ้นจากภยันตรายมาแล้วราวปาฏิหาริย์นับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่ทางด้านเขี้ยวงา เช่น สุนัขกัด งูกัด หรือถูกประหลาดุกยักษ์ก็ไม่มีใครเป็นอะไรเลย แม้แต่น้อย บรรดาชาวไร่ชาวนาละแวกวัดมารวิชัย ได้ประจักษ์เห็นความศักดิ์สิทธิ์ในเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อมีมามากแล้ว ดังนั้นชาวบ้านที่มีอยู่จึงหวงแหนกันมากขนาดเหรียญสึก ๆ ที่ใช้แล้ว ชาวกรุงเทพฯ เสนอราคาให้ถึง 3-4 พันยังไม่มีใครยอมออกง่าย ๆ ทั้งที่คนส่วนใหญ่จะจน และยังเช่านาหลวงทำนาอยู่ก็ยังไม่ปล่อย เพราะเหตุที่นับถือและใช้ได้ผลดีจริงนั่นเอง
หลวงพ่อมี พระเถราจารย์จอมขมังเวทผู้มีสิริอายุในตอนนั้น 75 ปี เล่ากรรมวิธีการปลุกเสกเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกให้ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายฟังอยู่เสมอว่า ?ฉันยกเหรียญที่อยู่ในหีบไปให้หลวงพ่อจง หน้าต่างนอก ปลุกเสกถึงที่นอน 7 วัน ยกไปให้หลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า ปลุกเสกอีก 7 วัน...แล้วนิมนต์พระคุณเจ้าเก่ง ๆ ของอยุธยามาทำพิธีปลุกเสกในโบสถ์อีก 4 องค์ หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ...หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และหลวงพ่อบุญ วัดบางกระทิง และหลวงพ่อเจาะ ประดู่โลกเชษฐ์...พิธีปลุกเสกนั่นทำกันตั้งแต่เช้า ฉันก็เข้านั่งด้วย รวม 5 รูปตลอดคืนยันรุ่ง?
จากการเปิดเผยของหลวงพ่อมีนี้เอง ทำให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหานิยมใช้เหรียญรุ่นแรกกันมาก เพราะอาศัยที่ผ่านการปลุกเสกจากหลวงพ่อจงถึง 7 วัน จึงเชื่อในพุทธคุณ ?สามารถใช้แทนเหรียญหลวงพ่อจงได้เป็นอย่างดี? ทั้งยังได้รับการปลุกเสกจากพระอาจารย์ผู้เรืองวิชาอีก 4 องค์ ดังกล่าว ซึ่งล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว

เหรียญรุ่นแรก ยิง 3 ครั้ง ปืนแตก
---------------------------------------------------------------------------------
คุณกลมเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองอิทธิมงคลของหลวงพ่อมีให้ฟังต่อไปว่า ?ผมได้พระทุกอย่างของหลวงพ่อไปแล้ว ต้องนำมาทดลองทุกครั้ง...ไม่ใช่ผมจะไม่เชื่อถือท่านนะครับ แต่ผมอยากจะรู้ว่า พระแบบไหนใช้ทางไหนบ้าง เรียกว่าเคยทดลองยิงมาแล้วทุกอย่าง...บางอย่างก็ยิงไม่ออก บางอย่างก็ยิงออกแต่จ่อยิงใกล้ ๆ ไม่เคยถูก มีพระบางอย่างยิงถูกกระเด็นไปไกล แต่ไม่มีรอยถูกลูกปืนยิงเลยก็มี?
?เท่าที่คุณพี่เคยทดลองมาแล้ว มีพระอะไรของหลวงพ่อที่ยิงไม่ออกบ้างครับ?? ผู้เขียนซักถามต่อด้วยความสนใจ
?ก็มีเหรียญของหลวงพ่อรุ่นแรก...รุ่นฉลองพระครูนั่นแหละที่ยิงถึง 3 นัด ไม่ออก แต่พอยิงนัดที่ 3 ปืนแตก...ผมจึงไม่กล้ายิงพระรูปหล่อ 3 นัด เพราะกลัวปืนแตกอีก...แล้วก็มีตะกรุดโทน เคยยิงออกบ้างไม่ออกบ้าง จึงมาถามหลวงพ่อ ท่านก็บอกว่า...ไม่ได้ลงมหาอุดทุกดอก? !
?แล้วพระผง เหรียญ แหวนต่าง ๆ และพระเมฆพัดเล่าครับ คุณพี่ทดลองแล้วได้ผลยังไงบ้าง??
?พระของหลวงพ่อใช้ดีทุกทางละครับ ส่วนใหญ่จะใช้ดีทางด้านแคล้วคลาดและคงกระพัน...ที่เมตตาดีก็มีเพราะมีคนพบประสบการณ์มากมายแล้วทุก ๆ ด้าน ถ้าคุณไม่เชื่อให้ไปถามชาวบ้านแถวนี้ดูก็ได้รู้ดีทุกคน ขึ้นชื่อว่าเป็นพระของหลวงพ่อแล้ว ใครได้พระอะไรก็ใช้ติดตัวกันอย่างนั้น ไม่ได้จำกัดรุ่น ขอให้เป็นพระของหลวงพ่อก็ใช้ได้? คุณกมลกล่าวอธิบาย
?คุณทดลองยิงผ้ายันต์รอยมือแล้วหรือยัง??
?ยังครับ ผมเห็นหลวงพ่อท่านตั้งใจทำพิธีพิมพ์มือและปลุกเสกในโบสถ์แล้ว ผมเชื่อว่าต้องเป็นของดีแน่ ๆ เพราะไม่เคยเห็นหลวงพ่อทำพิธีจริงจังอย่างนี้มานานแล้ว? !

รถคว่ำ 2 ครั้ง ไม่เป็นอะไร
---------------------------------------------------------------------------------
?คุณกมลใช้พระอะไรของหลวงพ่อประจำตัว??
?อ๋อ...ก็เหรียญรุ่นแรกนะครับ เพราะเคยมีประสบการณ์รถคว่ำมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่เป็นอะไรเลย จึงมาขอบวชอยู่กับหลวงพ่อครั้งแรกนานมาแล้ว ได้เหรียญมาใหม่ ๆ ก็เจอเลย ครั้งที่ 2 เมื่อ 5 ปีที่แล้ว รถคว่ำตรงทางโค้งหน้าวัดสามกอ มีคนตายและบาดเจ็บสาหัสทุกคน แต่มีอยู่คนหนึ่งชื่อ ลุงจอง นามสกุล อื้อฉาว อายุเกือบ 60 ปีแล้วก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแม้แต่น้อย ได้ถามแกแล้วก็ มีเหรียญรุ่นแรก ของหลวงพ่อเหมือนกัน?
?เท่าที่คุณพี่ได้ยินได้ฟังมา ยังมีใครอีกบ้างที่มีประสบการณ์การใช้พระของหลวงพ่อ??
?ก็มีอยู่หลายคน เอาเฉพาะลูกชายผมเอง ชื่อ ธวัชชัย ตอนนี้อายุ 19 แล้ว เมื่อ 2 ปีก่อน ไปเยี่ยมลุงที่พระประแดง รถปิคอัพคว่ำกลางทางก็ไม่เป็นอะไร ในตัวก็มีเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อเหมือนกัน น้องชายผมเป็นตำรวจชื่อนายดาบประมวล ประจำอยู่ที่วัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรี ก็ใช้เหรียญ และตะกรุด ของหลวงพ่อ เคยถูกผู้ก่อการร้ายยิงไม่เข้ามาแล้ว เรียกว่ามีประสบการณ์หนัก ๆ มาแล้วอย่างโชกโชนทางด้านชายแดน?
นี่คือเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับปาฏิหาริย์อิทธิมงคลวัตถุหลวงพ่อมี เขมธัมโม พระอาจารย์จอมขมังเวทแห่งวัดมารวิชัย ซึ่งผู้เขียนได้สัมภาษณ์ผู้พบประสบการณ์อย่างสด ๆ ร้อน ๆ มาแทรกเรื่องให้ท่านผู้อ่านคลายความเคร่งเครียดลงไปบ้าง

5561
เวปวัดบ้านแพน http://watbanpan.com/
(เครดิค)

5563
ประวัติ หลวงพ่อไสว ฐิตวณฺโณ วัดปรีดาราม จ.นครปฐม

พระครูสถิตโชติคุณ(หลวงพ่อไสว ฐิตวณฺโณ) วัดปรีดาราม (ยายส้ม) ต.คลองจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม

 

ณ ดินแดนศรีทวาราวดี เมืองแห่งพระปฐมเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ซึ่งมีตำนานประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ที่สุดนับด้วยพันปีของสุวรรณภูมิ ได้ปรากฏกำเนิดยอดแห่งเกจิอาจารย์ เป็นที่ศรัทธาเป็นที่พึ่งของชาวบ้านทุกระดับชั้นมีมานานนับเนื่องหลายร้อยรูป จนมาถึงปัจจุบันก็ปรากฏ ?หลวงพ่อไสว ฐิตวณฺโณ? ปรากฏบุญญฤทธิ์บารมีโดดเด่นลือลั่นไปทั่วประเทศ ด้วยสรรพวิทยาพุทธาคม ไสยเวทย์ที่เจนจบ ร่ำเรียนสั่งสมมาจากบยอดเกจิอาจารย์มากมายในอดีต ตลอดทั้งได้จาริกธุดงค์ ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในเถื่อนถ้ำ ภูเขาลำเนาไพรอันเติมไปด้วยภยันอันตรายสรรพสัตว์ร้ายและภูติไพรนานา กระทั่งสำเร็จวิชาชาคมพุทธเวทย์ก็ล่วงเวลาก็ล่วงเวลามาเกือบค่อนศตวรรษ อายุ ๗๗ ปี พรรษที่ ๕๖

 

หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ถือกำเนิดเมื่อ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๔ ตรงกับพุธ แรม ๖ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา ณ บ้าน ราชคราม อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาชื่อ ?เสือ? มาราชื่อ ?ยิ้ม? นามสกุล ?พุทธศร? โดยโยมบิดาเป็นผู้ใหญ่บ้านจอมขมังเวทย์ เป็นคนใจดี แต่สนใจเรื่องวิชาอาคมต่างๆ เวลาดื่มเหล้าชอบเคี้ยวแก้วเล่นประจำ แสดงให้ชาวบ้านเห็นว่าวิชาคงกระพันชาตรีของโบราณเป็นของแท้มีจริง แถมยังมีพุทธาคมดับพิษไฟได้ถึงขนาดพ่นไฟ อมไฟเล่นให้ชาวบ้านเห็นเสมอๆ และเป็นการจุดประกายขึ้นภายในจิตใจของ ด.ช. ไสว พุธทศร ให้ชอบและเชื่อในเรื่องของอำนาจเวทมนต์คาถาอาคมขมัง และพุทธานุภาพของพุทธมนต์ต่างๆ ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเยาว์ ต่อมาบิดาเสียชีวิตแล้ว ท่านก็ได้ร่อนเร่พเนจร ไปอยู่ที่ต่างๆ หลายแห่งกระทั่งผลบุญนำมาเป็นเด็กวัดยายส้มหรือวัดปรีดารามในปัจจุบัน ได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดปรีดารามเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๑ จึงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดปรีดาราม โดยหลวงปู่ใจ วัดเชิงเลนเป็นพระอุปัชฌาย์สามเณรไสว พุทธศร ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดปรีดารามเป็นเวลา ๔ ปี ครั้นที่วันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๔ เวลา ๑๔.๐๐ น.จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดปรีดาราม โดยหลวงพ่อใย วัดบางช้างใต้ เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เจิมวิสุทธิญา โณ เจ้าอาวาสวัดยายส้ม (วัดปรีดาราม) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เปลื้อง ยติมณี วัดจินดาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ?ฐิตวณฺโณ? จำพรรษาอยู่ที่วัดปรีดาราม ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมสอบ ได้นักธรรมชั้นเอก พร้อมทั้งศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐาน และร่ำเรียนอย่างอุกฤษฏ์ด้านวิทยาคม ไสวเวทย์ วิชาอาถรรพณ์ เร้นลับ พุทธคมต่างๆ มีความรู้ลึกซึ่งเป็นพหูสูตมาตั้งต้น และนำมาช่วยญาติโยมเห็นผมเป็นที่ประจักษ์

 

บูรพาจารย์ที่ถ่ายทอดวิทยาคม ให้หลวงพ่อมีทั้งฆรวาสและบรรพชิต โดยท่านเป็นผู้คงแก่เรียนเมื่อทราบว่ามีครูบาอาจารย์ดีเก่งกล้าอยู่ที่ทิศใด ท่านก็จะดั้นด้นไปหา ขอศึกษาหาความรู้จนแตกฉาน เรียกว่า ปรนนิบัติอาจารย์เป็นเลิศ อาจารย์ก็เมตตาเห็นว่าตั้งใจจริง จึงถ่ายทอดวิชาให้ ชนิดแบบหมดไส้หมดพุง ถึงลูกถึงคนถึงพริกถึงขิง คือทดลอง ให้เห็นกันจะจะเลยทีเดียว ศิษย์ทำได้ถือว่าสำเร็จ แม้บางครั้งเสี่ยงต่อชีวิตแต่หลวงพ่อก็ไม่ย้อท้อ ขอเพียงให้ได้วิชาหรือศาสตร์อันลึกล้ำพิสดารนั้นมาท่านก็พอใจแล้วครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อไสว เท่าที่พอจะประมวลได้พอสังเขปมีดังนี้

 

๑.หลวงปู่พูน เกสโร อดีตเจ้าอาวาสวัดใหม่ปิ่นเกลียว เป็นยอดพระเกจิฯ ร่นเดียวกับหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม หลวงพ่อวงษ์ วัดทุ่งผัดกูด และสหธรรมิกรุ่นพี่ของ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ซึ่งหลวงพ่อเงินท่านนับถือหลวงปู่พูน ในฐานะเป็นพระเกจิฯ รุ่นอาวุโสและเคยนิมนต์ให้มาปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นแรกๆ ของท่านหลวงปู่พูนท่านเป็นเจ้าตำรับวิชาคงกระพันชาตรี ขนาดใช้ฝ่ามือผ่าไม้รวกได้ วัตถุมงคลหลวงปู่พูน เซียนพระรุ่นเก่าๆรู้จักกันดี เช่นพระสังกัจจายน์ เนื้อผงใบลาน นางกวัก เนื้อผงดินเผา ปลัดขิก เหรียญรุ่น ๑ พ.ศ.๒๔๙๐ ผ้ายันต์-ผ้าประเจียด-ตะกรุดโทนปัจจุบันโด่งดังแต่หายากมาก หลวงพ่อไสว ได้รับการถ่ายทอดวิชา การลงอักขระเลขยันต์คงกระพันชาตรี วิชามหาอุด วิชาเมตตามหานิยม และอาถรรพ์เวทย์หลายด้านครบถ้วนจากหลวงปู่พูน ชนิดที่เรียกว่าครอบจักรวาลทีเดียว ที่หลวงพ่อไสวโด่งดังมากคือ ตะกรุดโทน ตำรับหลวงปู่พูน

หลวงปู่พูน มรณะภาพ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ปัจจุบันมีรูปเหมือนขนาดเท่าองศ์จริงประดิษฐานอยู่ที่ ณ วัดใหม่ปิ่นเกลียว เป็นที่เคารพนับถือของคนนครปฐมมาก ทุกครั้งที่ทางวัดมีงานสำคัญ จะนิมนต์หลวงพ่อไสว ไปร่วมงานในฐานนะศิษย์เอกหลวงปู่พูน วัดใหม่ปิ่นเกลียว อันเป็นที่ อมตะในตำรับผ้ายันต์-ตะกรุดโทน

 

๒.หลวงพ่อเงิน วัดยายส้ม (วัดปรีดาราม) ท่านบวชที่ วัดใหม่ปิ่นเกลียว เป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่พูน ลำได้รับการถ่ายทอดพุทธวิทยาคมไปจากหลวงปู่พูน หลวงพ่อไสว ได้รับการฝึกฝนสมาธิจิตพื้นฐาน จากหลวงพ่อเงิน วัดยายส้ม เมื่อได้เคล็ดวิชาเบื้องต้นแล้ว หลวงพ่อเงิน วัดยายส้ม จึงได้นำหลวงพ่อไสวไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่พูน ซึ่งเป็นปรมาจารย์จึงได้รับการถ่ายทอดสรรพวิทยาคาทั้งหมดฯลฯ ในปัจจุบันมีรูปเหมือนเท่าจริงหลวงพ่อเงิน ประดิษฐานอยู่หน้าอุโบสถหลังเก่าวัดปรีดาราม

 

๓.อาจารย์ยัง เพชรบุรี เป็นครูสักยันต์ชื่อดังระดับประเทศ เคยบวชเรียนและศึกษาพุทธาคมจากหลวงปู่พูน วัดใหม่ปิ่นเกลียว อาจารย์ยัง ท่านเก่งทางวิชาหาสะเดาะ สะเดาะลูกกุญแจหรือกลอนประตูดุจ ขุนแผน กลับชาติมาเกิด หลวงพ่อเงิน วัดยายส้ม นำหลวงพ่อไสว ไปเรียนวิชาบางประการ อันเป็นเอตทัคคะของอาจารย์ยัง อาจารย์ยังเกรงใจหลวงพ่อเงิน จึงถ่ายทอดวิชาพิเศษให้

หลวงพ่อไสว อาทิเช่น การทำมหายันต์กำเนิดนารายณ์ อันมีฤทธานุภาพยิ่งต่อมาผ้ายันต์กำเนิดนารายณ์ของหลวงพ่อไสว ก็โด่งดังลือลั่นมีศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งเผชิญมหาภัย ใช้ผ้ายันต์อธิษฐาน

ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมองมาเห็นตัว กลับเห็นคนโพกผ้าแดงเต็มไปหมด จึงหนีรอดจากปวงภัยไปได้ด้วยปาฏิหาริย์ผ้ายันต์นั้น นอกจากนี้ป้องกันภูตผีปีศาจ ด๗รผู้ร้ายไม่อาจทำอันตรายได้ นิยมติดผ้ายันต์นี้ไว้เหนือประตูบ้าน มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก มีผู้นักพบประสบการณ์มากมาย

 

๔.เสือย้อยชูรอด เป็นเสือร้ายจำใจในอดีต เป็นคนหมู่บ้านถนนขาด แถวเกาะวังไทร นครปฐม ตอนหลังกลับใจเป็นคนดีเป็นจอมขมังเวทย์ฤทธิ์เวทย์ขมังขลังนักเป็นที่เลื่องลือหลวงพ่อไสว ได้ขอเรียนวิชา ?ยันต์หน้าพระ? หรือนะหน้าคนจากเสือย้อย ซึ่งได้รับการประสิทธิ์ประสาทให้ด้วยความเต็มใจชนิดครอบครูยกตำรับตำราให้เลย หลวงพ่อไสวฝึกฝนสูตรสนธิแม่นยำ และประทับใจในยันต์หน้าพระมาก หลวงพ่อไสวจึงใช้ยันต์เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวท่าน โดนใช้ยันต์นี้ประทับอยู่ด้านหลังเหรียญของท่านแทบทุกรุ่น ได้รับปรากฏอิทธานุภาพเป็นที่รำลือเช่นกัน ตำรับยันต์หน้าพระเสือย้อยได้มอบแก่ ?พระอาจารย์สำราญ? วัดเขาตะเครา และพระราชสุธรรมเมธี (หลวงพ่อ-เทพ) เจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ราชวิหาร อีกด้วย หลวงพ่อไสวจะเขียวยันต์นี้เจิมบ้าน เจิมรถ ลงกระหม่อมให้ลูกศิษย์ โดยบริกรรมภาวานาเรียกสูตรเรื่อยไปตากตำรับ ห้ามยกดินสอ กระทั่งเขียวเสร็จ

 

๕.หลวงพ่อขาว วัดสวนส้ม อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาครเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ?ปิดทองเข้าหน้าผาก? หรือลงนะหน้าทองตำรับพิสดารให้แก่หลวงพ่อไสว เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง ต้องใช้พลังจิตชั้นสูงบริกรรมภาวานา โดยปิดทองคำเปลวที่หน้าผาก โดยใช้ ๓ แผ่นบ้าง ๙แผ่นบ้าง โดยไม่ต้องแกะกระดาษปิดออก หลวงพ่อเสกบริกรรม แล้วตบเบาๆ เปรี้ยงเดียวแผ่นทองคำก็หายไปในหน้าผากทั้งหมด มีอาณุภาพทางเมตตามหานิยม คุ้มภัยนานา

 

๖.อาจารย์ปิ่น รอดคลองตัน สมุทรสาคร เก่งในเรื่อง ?ปลัดขิก? เพราะเป็นศิษย์หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นศิษย์หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา เป็นศิษย์หลวงปู่พูน

วัดใหม่ปิ่นเกลียว ปลัดขิกของหลวงพ่อไสวมีผู้อาราธนาฟาดสายรุ้ง ขาดออกจากกัน และเมื่อปลุกเสกในบาตรน้ำมนต์ วิ่งพล่านดุจมีชีวิต และกระโดดออกจากบาตรได้ ปัจจุบันหลวงพ่อไสว เป็นศูนย์รวมหนึ่งเดียวของการปลุกเสกปลัดขิกมีอานุภาพอัศจรรย์ปรากฏชื่อเกียรติคุณอยู่ในขณะนี้


 

๗.อาจารย์แช่ม ตะโกสูง จ.นครปฐม เป็นศิษย์หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อแช่มนั้นเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์หลายประการรวมทั้งย่นระยะทางได้ อาจารย์แช่มเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาแพทย์แผ่นโบราณตำรับพุทธมนต์โอสถแก่หลวงพ่อไสว ซึ่งหลวงพ่อไสว เคยรักษาโรคร้ายแรง ที่โรงพยาบาลไม่รับ หายมาแล้วมากมาย ฯลฯ

 

๘.พระปลัดตู่ วัดหนองเสือ มีวิชาเร้นลับสำคัญอยู่ เรียกว่า วิชาตกวิญญาณ สำหรับใช้เรียกวิญญาณคนตกน้ำตายเพื่อนำวิญญาณไปอยู่ในที่อันควร พระปลัดตู่ได้ถ่ายทอดวิชาตกวิญญาณ

ให้หลวงพ่อไสวอย่างสมบูรณ์แบบได้ผลอัศจรรย์ยิ่งพิธีสังเขปคือ เมื่อเรียกวิญญาณปลุกเสกหุ่นเสร็จ ตั้งเครื่องเสียกบาลต่างๆ แล้วใส่กระทงกากล้วย ทำบัตรพลี ใช้เบ็ดตกปลาเกี่ยวดินอาคมหย่อนลงไปในน้ำที่มีคนตกไปตาย บริกรรมคาถาเรียกวิญญาณ ผู้ที่มาเห็นปรากฏการณ์ประหลาดมีคลื่นวิ่งเป็นทางยาว สายเบ็ดกระตุกดุจมีปลาใหญ่มากินเหยื่อ จนคันเบ็ดโค้งโก่งไปโก่งมา ต้องกันดึงขึ้นมา ฯลฯ เรื่องนี้ชาวบ้านคลองจินดาต่างประจักษ์กันดี การตายโหงทุกรูปแบบหลวงพ่อก็ไปทำพิธีมาหมดแล้วแม้แต่มีผีเจ้าของสิงที่ไหนท่านก็เคยปรากมาหมดแล้ว โดยมากพาคน โดนผีเข้าที่อาการหนัก มารดน้ำมนต์หลวงพ่อ ผีดิ้นพราด ร้องโหยหวนวังเวง ก่อนจะออก

 

๙.หลวงพ่อประพันธ์ คำสิงห์ อยู่ในถ้ำดงพญาไฟ ได้ถ่ายทอดวิชาสร้างพระปรอท-ธาตุกายสิทธิ์ให้ศิษย์คนหนึ่งที่รับสัจจะเลิกเป็นโจรสลัด ต่อมาศิษย์คนนั้น ได้ถ่ายทอดวิชาให้แก่หลวงพ่อไสว หลวงพ่อได้สร้างพระปรอทแจกทหารเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารหาญผ่านสมรภูมิอย่างโชกโชน ถูกยิงไม่เข้า แคล้วคลาดจากระเบิด ปราศจากโรคภัยรอดมาได้ฯลฯนอกจากนี้หลวงพ่อไสวยังได้ไปเรียนวิชาอาคมเป็นเกร็ดเล็กน้อย จากพระเกจิอาจารย์อีกหลายรูป อาทิ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เจ้าแห่งการสร้างพระราหูดันเลื่องลือ เป็นต้น เหตุที่หลวงพ่อไสวมีจิตตานุภาพสูง ก็เพราะท่านได้บำเพ็ญธุดงค์วัตรฝึกสมาธิจิตหลังจากสอบได้นักธรรมเอก โดยอธิฐานออกธุดงค์ในพรรษาที่ ๓ มุ่งหน้าสู่ภาคอีสานไปมนัสการ พระธาตุพนม พรรษที่ ๗ ธุดงค์จาริกไปทางเขาวงพระจันทร์ ดินแดนถ้ำผาท้าวกกขนาก จ.ลพบุรี สู่ จ.อุตรดิตถ์ ฯลฯ สมัยนั้นเป็นป่ารกทึบ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด และคลาคล่ำด้วยภูตผีปีศาจโขมดดง ผีก็องกอย ไข้ป่า และกฎอันศักดิ์สิทธิ์ของการสมาทานธุดงค์ เช่นครั้งท่านปักกลดลงไปแล้วครอบเอารังมดเข้าถอนกลดก็ไม่ได้จึงสมาธิแผ่เมตตาว่าคาถากันหมด ซึ่งได้มาจากหลวงพ่อพระครูสาครคุณาธาร เจ้าอาวาส วัดเดชาฯ จ.นครปฐม เกิดปรากกฎการณ์อัศจรรย์ มดฝูงใหญ่รวมกันอยู่ภายในกลดไม่มาไต่ท่านเลย เรื่องราวปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ยังอีกมาก

 

 

คาถาของหลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม

 

อิสิหะพะยัคโค อิปิภะวาระสัมสัมโธ ชาระสัมโนคะโลวิอะ ตะปุสะ มะระสัตเทมะ สาพุทภะวาติคะโธนัง นุสวะถะถิสารทัมระโร นุตทูกะโต สุปัณณะจะวิพุท มาหังอะคะโสติ สิงหะนาถัง จายังประสิทธิเม

 

เสกข้าวกินทุกวัน สวดมนต์ก่อนนอน 3 จบ ตื่นนอนตอนเช้า 1 จบ เป็นสวัสดิมงคล อายุยืน

 

 

หลวงพ่อไสว ได้ถึงกาล มรณะภาพ 11 พฤศจิกายน 2543 วันเพ็ญเดิอน 12

5564


ตะกรุดมหาระงับ



หนังเสือรุ่น2



ตะกรุด ดอกไม้ทอง รุ่นปัจจุบัน



ตะกรุด ของหลวงพ่อพูนวัดบ้านแพน เด่นทางเมตตา คงกระพันและมหาอุตตามา ครับ

ประสบการณ์ เรื่องเมตตามีเยอะครับ 
ประสบการณ์มหาอุต คงกระพัน มีพอให้เห็น บ้าง ครับ

เช่น กระเป๋ารถเมย์โดนยิง ด้วย 11 ม.ม. ยิงไม่ออก ครับ 

ขอจบด้วยประการละฉะนี้แล...

5565


ตะกรุดยุคแรก





ตะกรุดดอกไม้ทองคำ



ตะกรุดดอกไม้หนังเสือ







5566
พระครูสุวรรณศีลาธิคุณ   หรือหลวงพ่อพูน    ฐิตสีโล   มีนามเดิมว่า   ทองพูน   นามสกุล  สัญญะโสภี             ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันพุธที่   ๑๖   พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๔๗๕  (แรม  ๔   ค่ำ  เดือน  ๑๒     ปีวอก)   โยมบิดาชื่อแบน  โยมมารดาชื่อสมบุญ   สัญญะโสภี   ณ  บ้านสามกอ   หมู่   ๑   ตำบลสามกอ   อำเภอเสนา     จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลวงพ่อพูนหรือเด็กชายทองพูนในขณะนั้นได้รับการศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนศรีรัตนานุกูล    หรือปัจจุบันนี้คือโรงเรียนวัดบ้านแพน ?ศรีรัตนานุกูล?   จนกระทั่งจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่   ๔   ในปี   พ.ศ.  ๒๔๘๘   จึงได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อแม่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง   จนกระทั่งอายุได้   ๑๔   ปี   จึงได้ติดตามหลวงปู่คำปัน   พระธุดงค์มาจากจังหวัดลำพูน  ขึ้นไปเมืองเหนือเป็นเวลา   ๑ ปี  จึงได้กลับมายังบ้านเกิดโดยสำเร็จวิชาด้านโหราศาสตร์กลับมา  เมื่ออายุเพียง   ๑๕  ปี ต่อมาในปี  พ.ศ. ๒๔๙๒  นายทองพูนจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร      ณ  วัดบ้านแพน  จากคำชวนของหลวงพ่อวาสน์ เจ้าอาวาสวัดบ้านแพนในขณะนั้น     เมื่อวันที่  ๓๐  เมษายน  ๒๔๙๒   โดยมี  พระปลัดแจ่ม   วัดโพธิ์   เป็นพระอุปัชฌาย์  ซึ่งในปีนั้นเองสามเณรทองพูนก็สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี  และ หลังจากบรรพชาเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยได้  ๓  ปี      สามเณรทองพูนจึงได้อุปสมบท   เมื่ออายุครบ   ๒๐  ปีบริบูรณ์  ในวันที่  ๓๑  พฤษภาคม  พ.ศ. ๒๔๙๕  ปีมะโรง  โดยมีพระครูปริยัติคุณูปการณ์ (วาสน์)  วัดบ้านแพน  เป็นพระอุปัชฌาย์  พระครูเกษมคณาภิบาล (หลวงพ่อมี)  วัดมารวิชัย  เป็นพระกรรมวาจาจารย์  พระครูวิบูลย์ธรรมศาสน์  (หลวงพ่อสังวาลย์)วัดกระโดงทอง  เป็นพระอนุสาวนาจารย์  สำเร็จเป็นพระภิกษุสงฆ์เวลา  ๐๘.๐๐   น.  ได้รับนามฉายาว่า ?ฐิตสีโล?  จากนั้นจึงได้ตั้งใจสอบนักธรรมชั้นโทและ  ชั้นเอกได้สำเร็จภายใน  ๒

การศึกษาพุทธาคม

ในด้านพระเวทย์วิทยาคมหลวงพ่อพูนท่านได้สนใจและได้ศึกษาในเรื่องพุทธเวทย์มหามนต์ซึ่งเป็นศาสตร์
แห่ง ?พุทธ? มาตั้งแต่อายุ    ๑๔  ปี  โดยในเวลานั้นได้ติดตามหลวงปู่คำปัน    พระธุดงค์ที่มาจากภาคเหนือขึ้นไปอาศัยอยู่ภาคเหนือเป็นเวลา ๑ ปี  จึงได้กลับมาบ้านเกิดพร้อมทั้งตำราการดูดวงที่ถือได้ว่าแม่นยำอย่างหาใครเปรียบได้ยาก ไม่เพียงแค่นั้นหลวงพ่อพูนท่านยังได้ฝึกเรียนกรรมฐานกับอาจารย์พริ้งฆราวาสจอมขมังเวทย์ในย่าน
บ้านแพน  และได้รับการถ่ายทอดวิชาการทำน้ำมนต์มาจากอาจารย์พริ้งจนจบหลักสูตรวิชา  จึงเป็นเหตุให้น้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงพ่อพูนทำขึ้นมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก   สามารถใช้ขับไล่ภูตผี  ปีศาจ  เสนียดจัญไรได้อย่างชะงัด
นอกจากอาจารย์พริ้งแล้วหลวงพ่อพูนยังได้ร่ำเรียนวิชามาจากอาจารย์ลพ   เกตุบุตร  ซึ่งเป็นพี่ชายของหลวงพ่อวาสน์พระอุปัชฌาย์ของท่าน  และเป็นศิษย์เอกของอาจารย์จาบแห่งตำบลสำเภาล่ม  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  โดยหลวงพ่อพูนได้รับการถ่ายทอดวิชาการลงยันต์ตรีนิสิงเห  ซึ่งเป็นยันต์ที่หลวงพ่อมักใช้จารลงในแผ่นยันต์หรือแหวนอยู่เสมอ  ๆ  สำหรับครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์นั้น  หลวงพ่อพูนได้ศึกษาวิชามาจากหลวงพ่อมี  วัดมารวิชัย  ที่เป็นพระกรรมวาจาจารย์ของท่าน  จนมีความเชี่ยวชาญด้านพระเวทย์เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายวิชาพระคาถาชินบัญชรอันลือลั่นของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต   พรหมรังสี)  ที่แม้ว่าหลวงพ่อมีจะมีความเชี่ยวชาญในพระคาถานี้อย่างหาผู้ใดเทียบได้ยาก  เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่    ยังชมหลวงพ่อพูนว่า ?มีความเชี่ยวชาญพระคาถาชินบัญชรมากกว่าท่าน?
งานการปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบัน

หลังจากที่หลวงพ่อพูนบวชได้เพียง  ๔  พรรษา  คือ ในพ.ศ. ๒๔๙๙  ก็ได้รับการมอบหมายจากหลวงพ่อวาสน์พระอุปัชฌาย์ของท่าน  และเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านแพนในขณะนั้น   ให้หลวงพ่อเป็นพระกรรมวาจาจารย์
คือเป็นพระคู่สวดประจำวัดบ้านแพน  นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สำคัญ ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อวาสน์ 
เจ้าอาวาสวัดบ้านแพน  คือ  พ.ศ. ๒๔๙๙   ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบ้านแพน  พ.ศ. ๒๕๑๓  ได้รับการมอบหมายให้เป็นรองเจ้าอาวาสวัดบ้านแพน  วันที่  ๒๒  กรกฎาคม  พ.ศ. ๒๕๒๗
เนื่องจากหลวงพ่อ พระครูปริยัติคุณูปการณ์ (วาสน์)   ท่านชราภาพมาก  ท่านมีอายุถึง  ๘๕  ปี   ท่านจึงได้รับการยกฐานะเป็นเจ้าอาวาส
และเจ้าคณะตำบลกิตติมศักดิ์   หลวงพ่อพูนท่านจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านแพน
ต่อจากหลวงพ่อวาสน์ มาจนถึงปัจจุบันนี้ ภายหลังจากที่หลวงพ่อพูนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส
วัดบ้านแพน   ท่านได้ปกครองดูแลวัดและทำการก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะและถาวรวัตถุต่าง  ๆ 
ภายในวัดบ้านแพนให้เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด  จนในวันที่  ๕  ธันวาคม  ๒๕๓๓   หลวงพ่อจึงได้รับพระมหากรุณาฯจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแต่งตั้งสมณศักด
ิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท (จร.ชท.)  ในราชทินนามที่ ?พระครูสุวรรณศีลาธิคุณ?
วันที่  ๑๕  กุมภาพันธ์  พ.ศ. ๒๕๓๕   ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์   มีหน้าที่เป็นประธานและรับผิดชอบในการบรรพชาอุปสมบท   และมีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎมหาเถรสมาคม  ฉบับที่  ๗  (พ.ศ. ๒๕๐๖)  ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอน   พระอุปัชฌาย์ 
สำหรับงานและภาระหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์อำเภอเสนานั้น  ท่านได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ๆ
ดังนี้ คือ   วันที่  ๑๑  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๓๙  ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์   วัดสุวรรณาราม   
  เจ้าคณะภาค  ๒ในขณะนั้น  ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะอำเภอเสนา        พ.ศ. ๒๕๔๓    ในปีนี้หลวงพ่อพระครูเสนาคณานุรักษ์     เจ้าคณะอำเภอเสนาในขณะนั้นท่านได้ลาออกจากตำแหน่ง      เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา   จึงมอบหมายให้หลวงพ่อเป็น ผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเสนา    และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอเสนา   ในวันที่  ๓  พฤษภาคม  พ.ศ. ๒๕๔๕     
และในวันที่  ๕  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘    หลวงพ่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้า ฯ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์
เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นเอก  (จอ.ชอ.) 

           
สำหรับงานในหน้าที่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์อำเภอเสนาในปัจจุบันนี้     หลวงพ่อต้องรับภาระหน้าที่ดูแลวัดจำนวน  ๓๓   วัด   โดยแบ่งการปกครองเป็น  ๖  ตำบล  มีพระภิกษุในพรรษา  ๔๑๑  รูป  นอกพรรษา  ๓๓๗  รูป  มีพระครูสัญญาบัตร  ๑๘  รูป  พระอุปัชฌาย์  ๑๐  รูป  พระทรงปาฏิโมกข์  ๓๘  รูป  พระมหาเปรียญธรรม  ๗  รูป  มีการประชุมคณะสงฆ์ ทุก ๆ ๒ เดือน    คือ  ประชุมในวันขึ้น  ๑๒  ค่ำ  เดือน  คี่



5567
ชุด รุ่น มงคลจตุคาม ปลุกเศกโดย เกจิอาจารย์ทั่วประเทศ 
องค์เหลืงแจก
ผ้ายันต์แจก











5568
 :) แจ้งข่าวสำหรับท่านที่จะมานะครับ รถติดมากๆ ครับ ขอให้ใจเย็นๆ
 เส้นทางที่มาได้ มี มาทาง สาย 5  ปิ่นเกล้า ครับ แล้วก็ทางถนนเพชรเกษมวิ่งมาจากบางแค ตรงๆมาเลย ครับ
ขอให้ทุกท่าน เดินทางปลอดภัย

5569
 ;)  ไม่เป็นไรครับ ด้วยความยินดี

5570










เคดิตhttp://www.agalico.com/board/showthread.php?t=17429

5571
ความเป็นมา

ของ วัดหน้าต่างนอก
**************************************

พระครูสมบูรณ์จริยธรรม (พระอาจารย์แม้น อาจารสมฺปนฺโน) เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้เล่าถึงประวัติของวัดหน้าต่างนอก พอสังเขปว่า ท่านได้ฟังมาจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า เจ้าคณะอำเภอบางบาล หลวงพ่อไวยท์ วัดบรมวงศ์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา อำเภอบางบาล หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว เจ้าคณะอำเภอบางไทร ถึงประวัติของวัดหน้าต่างนอก อย่างตรงกันว่า
วัดหน้าต่างนอกนี้ได้สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อประมาณปี พ.ศ.2300 ซึ่งหลวงปู่เณรเป็นผู้ดำเนินก่อสร้างขึ้นเหตุที่ชื่อวัดหน้าต่างนอกนั้น ก็มีเหตุอยู่สองประเด็นด้วยกัน
ประเด็นแรก กองทัพพม่าที่ยกมาตีกรุงศรีอยุธยา ได้ตั้งค่ายใกล้กับสะพานสีกุก ทางกองทัพกรุงศรีอยุธยาก็ได้ให้ทหารหน่วยสอดแนมสอดส่องดูว่า ข้าศึกจะขยับเขยื้อนไปทางไหน โดยให้ดูด้วยการเปิดหน้าต่าง หน้าต่างใน หมายถึง ใกล้ชายแม่น้ำน้อย ก็คือที่ตั้งวัดหน้าต่างใน หน้าต่างนอก หมายถึง ทางนอกทุ่ง ก็คือที่ตั้งวัดหน้าต่างนอก
ประเด็นที่สอง ในสมัยโบราณนั้น พระสงฆ์ท่านเคร่งครัดในทางปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน และได้มีการกล่าวเอาไว้ว่า เดิมที่ตรงวัดหน้าต่างนอกเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์วัดหน้าต่างใน ต่อมาหลวงปู่เณรได้สร้างเป็นวัดขึ้น อาจจะตั้งชื่อวัดโดยอรรถโดยธรรมก็ได้ เช่น วัดหน้าต่างนอก ท่านหมายเอาอายตนะภายนอก คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส วัดหน้าต่างใน ท่านหมายเอา อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เมื่อหลวงปู่เณรได้มรณภาพไปแล้ว ทางคณะสงฆ์ คณะอุบาสก อุบาสิกา ได้อาราธนาหลวงปู่เอี่ยมขึ้นมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสแทนหลวงปู่เณรสืบมา
ปฏิปทาของหลวงปู่เอี่ยมเป็นที่เลื่องลือกันมากในสมัยนั้น ท่านเป็นพระปฏิบัติในด้านพระกัมมัฏฐานน้ำมนต์ของท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้คนเลื่อมใสศรัทธาไปมาหาสู่เพื่อสักการะไม่ขาดสาย ครั้นพอต่อมาหลวงปู่เอี่ยมท่านได้มรณภาพ สิ้นอายุขัย ทางคณะสงฆ์จึงได้อาราธนาหลวงปู่อินทร์ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็จเจ้าอาวาสแทนหลวงปู่เอี่ยม ต่อมาหลวงปู่อินทร์ได้ลาสิกขาบท ทางคณะสงฆ์จึงได้อาราธนาหลวงพ่อจง ซึ่งบวชอยู่วัดหน้าต่างใน มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก เมื่อหลวงพ่อจงได้มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกนั้น ท่านก็ได้บูรณะอุโบสถหลังเก่าซึ่งเดิมทีเป็นเรือนไม้ แล้วก็ได้บูรณะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ตลอดทั้งวิหารซึ่งคู่กับอุโบสถนั้น แล้วก็ได้สร้างพระพุทธฉายขึ้นที่หน้าวัด ขึ้นเป็นอนุสรณ์และได้สร้างเรือหงส์ขึ้นอีกหนึ่งลำ จากนั้นได้ซ่อมแซมเสนาสนะ เช่น กุฏิมีสภาพทรุดโทรม ให้อยู่ในสภาพที่ดี เป็นต้น
จนกระทั่งหลวงพ่อท่านอายุย่างเข้า 93 ปี กับ 10 เดือน ท่านก็ได้มาป่วยด้วยโรคอัมพาตอยู่เดือนหนึ่ง แล้ว่านก็มรณภาพลง เมื่อวันจันทร์ เดือน 3 พ.ศ. 2508 ทางคณะกรรมการจึงได้ทำฌาปนกิจศพหลวงพ่อจง พ.ศ. 2509 จากนั้นก็ได้อาราธนาพระอาจารย์ไวทย์ ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส และได้แต่งตั้งเมื่อ พ.ศ. 2510 พระอาจารย์ไวยท์ได้เป็นเจ้าอาวาสเพียง 5 เดือน ก็ได้มรณภาพลง จากนั้นก็จึงได้อาราธนาพระอาจารย์พุท ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส พระอาจารย์พุทก็ได้มรณภาพลง จากนั้นพ.ศ. 2515 ทางคณะกรรมการจึงได้อาราธนาพระอาจารย์แม้น หรือพระครูสมบูรณ์จริยธรรม จากวัดกลางคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มารักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก เมื่อเดือนสี่ พ.ศ. 2515 และเป็นเจ้าอาวาสมาจนถึงปัจจุบันนี้

ชาติกำเนิด
หลวงพ่อจง พุทฺธสโร ท่านได้ถือกำเนิดที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในต้นสมัยรัชการที่ 5 ของราชวงศ์จักรี ท่านเกิดในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2415
นามเดิมของท่านชื่อว่า "จง" ในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้นามสกุล เลยยังไม่มีนานสกุลพ่วงท้ายชื่อ เป็นบุตรชายคนโตของ "นายยอด" และ "นางขลิบ" ที่มีอาชีพเป็นชาวนา หลวงพ่อจงท่านมีน้องร่วมอุทรณ์เดียวกันอีก 2 คน คือ "นายนิล" หรือ "พระอธิการนิล" และ "นางปลิก"
ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงพ่อจงท่านอยู่ในฐานะเฉกเช่นผู้อาภัพอับโชค อุดมไปด้วยทุกขโรคา มากกว่าความสุขร่าเริงสดใสเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทั่วไป
หลวงพ่อจงท่านถูกโรคพยาธิเบียดเบียนมาตั้งแต่เล็ก จึงทำให้มีรูปร่างค่อนข้างจะผอมโซ ไม่แข็งแรง หน้าตาซีดเซียว แถมยังมีอุปนิสัยค่อนข้างขี้อาย เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น ชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพังคนเดียว ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ถามมาคำก็ตอบกลับไปคำ
และซ้ำร้ายไปกว่านั้นได้กลายเป็นที่น่าเวทยาสำหรับผู้พบเห็นและรู้จักมักคุ้นก็คือหลวงพ่อจงในวัยเยาว์ท่านมีอาการหูอื้อจนเกือบหนวกรับฟังเสียงต่าง ๆ ไม่ค่อยชัดเจน นัยน์ตาก็ฝ้าฟางมองอะไรแทบไม่เห็น
แต่ด้านของจิตใจท่านกลับเพียรใฝ่หารสพระธรรม ชอบทำบุญตักบาตรในวันธรรมสวนะอยู่เป็นเนืองนิจ โดยให้บิดามารดาหรือญาติพี่น้องพอไปยังวัดหน้าต่างใน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก

เข้าสู่ร่มกาสาวกพัสตร์
จวบจนกระทั่งอายุของหลวงพ่อจงอายุได้ 12 ปี บิดามารดาของท่านเห็นถึงอุปนิสัยของท่านว่ามีความชอบวัด ติดวัด จึงนำเข้าบรรพชาเป็นสามเณรซะเลย ณ วัดหน้าต่างใน และก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะปรากฏว่าเมื่อท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่รุมเร้ามานานแรมปี ไม่ว่าจะเป็นโรคพยาธิ ที่ทำให้กิดอาการผอมโซ เซื่องซึม หูอื้อ นัยน์ตาฝ้าฟาง ก็ได้หายไปจนหมดสิ้น ท่านกลับกลายเป็นผู้ที่มีสุขภาพพลานามัยดีมาก และท่านก็มีความสุขในสมณเพศนั้น ดุดดั่งเป็นนิมิตรหมายให้รู้ว่า หลวงพ่อจงจะต้องครองเพศอยู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ไปจนชีวิตจะหาไม่
ในปี พ.ศ. 2435 เมื่ออายุครบบวช โยมบิดามารดาจึงได้จัดพิธีอุปสมบทให้ ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างใน โดยมี หลวงพ่อสุ่น เจ้าอาวาส วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อินทร์ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โพธิ วัดหน้าต่างใน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธสโรภิกขุ"
และหลวงพ่อจงก็ได้พนักจำพรรษาอยู่ ณ วัดหน้าต่างใน ศึกษาพระปริยัติธรรมและธรรมสิกขา พร้อมด้วยฝึกฝนในอักษรสมัยทั้งขอมและไทย จากพระอาจารย์เจ้าอาวาสจนมีความรู้ปราดเปรื่องชำนาญ จนใคร ๆ ก็อดสงสัยมิได้ว่า เอ๊ะ ทำไมหลวงพ่อจง มิยังงมโข่งหรืออุ้ยอ้ายอับปัญญาดุจดั่งที่มีบุคลิกอันอ่อนแอ ส่อสำแดงว่าน่าจะเป็นไปในทางทึบ หรือ อับ
หลวงพ่อจง พลิกความเข้าใจของโยมและวงศ์ญาติให้เป็นการกลับตาลปัตรไปไกลกว่านั้น โดยนอกจากศึกษารู้แจ้งในพระธรรมและภาษาหนังสือจนแตกฉานแล้ว มิช้ามินาน ยังสามารถรับการถ่ายทอดวิทยาการในแขนงว่าด้วยคุณเวทย์วิทยาคมขลัง จากพระอาจารย์โพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสไพศาลในยุคนั้น มาได้ขนาดว่าหมดสิ้นพุงความรู้ของพระอาจารย์ และก็มิได้หยุดยั้งแค่นั้น หลวงพ่อจงยังได้พากเพียรแสวงหาความรู้ไม่ขาด รู้ว่าที่ไหนมีพระอาจารย์ดี มีผู้เคารพนับถือมาก ในวิชาหรือเจนบจนในวิทยาการหนึ่งวิทยาการใด ท่านเป็นเสาะแสวงหาหนทางนำตนไปนมัสการน้อมยอมเป็นสานุศิษย์ ศึกษาวิชาอย่างไม่มีท้อถอยไม่มีกลัวความลำบาก ในการต้องบุกป่าฝ่าหนามข้ามทุ่งไกล ๆ ซึ่งสมัยนั้นไปไหนต้องใช้พาหนะเท้าย่ำกันเป็นหลัก
ต่อมาจึงได้ไปศึกษาเรียนวิชาปฏิบัติกรรมฐานจากพระอาจารย์หลวงพ่อปั้น เกจิอาจารย์ของวัดพิกุล ซึ่งท่านมีชื่อเสียงกิตติศัพท์โด่งดังมากจนสมญาว่า เป็นพระมหาเถระฝ่ายอรัญญาวาสีผู้ยิ่งใหญ่รูปหนึ่งหมั่นศึกษาและพากเพียรด้วยอิทธิบาทอันแก่กล้าช้านาน จนในที่สุด "ทั่ง" ถูกฝนลงเป็นเข็มสำเร็จ กาลต่อมา หลวงพ่อจงจึงได้รับขนานนามเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเจริญกรรมฐาน ประเภท อสุภปฏิกูล โดยที่ท่านมีบุคลิกภาพเปี่ยมพร้อมสมบูรณ์ สำหรับการปฏิบัติเจริญภาวนา เหมาะสมกับสภาวะนั้นได้ ด้วยปราศจากอารมณ์หวาดหวั่น หวาดไหว เป็นต้น เปี่ยมพร้อมด้วย มีองค์คุณอันเหมาะสมที่เรียกว่า สัปปายะ (สี่) และมี องค์คุณอันเป็นที่ตั้งของความเพียร (ห้า) ที่เรียกว่า ปธานิยังคะ
เมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมสิกขา และปฏิบัติพระปริยัติธรรมศึกษาพระเวทย์และวิชาการคุณเวทย์วิทยาคม ซึ่งมีความสนใจเป็นพิเศษ เพราะนอกจากมีนิสัยส่วนตัวพอใจแล้ว ยังมีเหตุแวดล้อมจากความรู้สึกชมชื่นและศรัทธาของชาวบ้านชาวเมืองสมัยยุคนั้นให้ความนิยมต่อศาสตร์แขนงนี้ ดังจะเห็นจากมีผู้ถวายความเคารพศรัทธาต่อความเป็นพหูสูตร ความยิ่งยงเกรียงไกรในอำนาจฤทธิ์มนต์ขลังของท่านพระครูโพธิ ท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ซึ่งครั้งกระนั้นเป็นต้นสังกัดของหลวงพ่อจงจนล่วงผ่านวันเดือนไปหลายรอบปีนักษัต ตราบจนพระอาจารย์โพธิได้ถึงมรณภาพไปเพราะโรคภัยเบียดเบียนตามอายุขัยของผู้ชราภาพ ประกอบด้วยหลวงพ่อจง เป็นผู้ขึ้นชื่ออยู่ในความรับรู้ของผู้ใกล้ชิด ทั้งใกล้ไกลตลอดมวลหมู่ผู้สนใจเฝ้าสังเกตว่า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาการทางเวทย์วิทยาคมมาจากพระอาจารย์โพธิได้อย่างเต็มภาคภูมิ วุฒิที่พระอาจารย์โพธิมีอยู่ แต่นั้นมาบรรดาชาวบ้านก็ให้ความศรัทธาเชื่อมั่นต่อหลวงพ่อจงอย่างท่วมท้น ทำให้ท่านต้องรับภาระหนักในการทำพิธีรดน้ำมนต์ ใช้เวทย์วิทยาคมกระทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้ฤกษ์งามยามดี บำบัดเหตุมิดีกาลีร้ายนานาประการ ตามแต่จะมีผู้มาอาราธนานิมนต์ให้โปรดจึงกระทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นเงาตามตัว
ในขบวนการใช้อุบายอันแยบคาย อบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบจนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน (สมถะกัมมัฏฐาน หรือเรียกว่าสมถะกรรมฐาน) กับอาการบอรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน (กัมมัฏฐาน) หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่า อศุภะ
อศุภะ ตามความหมายก็คือ หมายความถึง สิ่งอันเป็นซากของวัตถุหรือซากร่างปราศจากชีวิต อันไร้ความน่าดู ปราศจากความสวยงามตงข้ามกลับน่ารังเกียจ น่าเบื่อหน่าย และน่าขยะแขยงสะอิดสะเอียน หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการ เพ่งอศุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต ก็เพราะได้ความคิดว่า มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตา และบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่าตนและสรรพสัตว์ เมื่อต้องมีอันต้องตายไปแล้วก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถไม่น่าดู ไม่น่ารัก แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศ อุจาดตา ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้นและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ซึ่งจากข้อคิดนี้ จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่ ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ปราศจากความหลงงมงาย คิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ คือ ความสำคัญผิด เพ้อเห็นไปว่าร่างกายนั้นมันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้ ซึ่งความจริงมันมิใช่ ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะปราศจากตัวตน เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้าชั่วครั้งคราว โดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม ครั้งถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ดังนั้น หลงและโลภในรูปรส กลิ่น เสียง
หลวงพ่อจงชอบเพ่งมอง อศุภะ คือ รูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษโดยเฉพาะอย่างซ่อนเร้น มิให้ประเจิดประเจ้อต่อความรู้เห็นของผู้อื่น ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดจากผู้คนเข้าไปในห้องพิเศษพร้อมด้วยดวงเทียนที่มีแสงสว่างเพียงมองเห็น ท่านจะนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด มีกลิ่นเหม็น หรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวจนหน้าตาน่าเกลียดเพียงใด ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง เพ่งมองให้เป็นภาพติดตา จนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่างนั้น แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้ หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้ พร้อมกันนั้นก็กระทำจิตใจให้บังเกิดอารมณ์สังเวช ว่ารูปกายที่เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นไปให้เจ็บป่วย ถูกทำร้ายหรือยังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา เป็นเช่นนี้เสมอไป ร่างกายหนอ... ชีวิตหนอ... ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อมีผู้สงสัยถามว่า ทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว จะบังเกิดประโยชน์อะไร หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ ทำให้ไม่หลงใหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา มันเป็นแค่ชีวิตกายเกิดที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เช้ารวมตัวกัน ความคิดเห็นแก่ตนเอง เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น จะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจ ให้ผ่องใสสะอาด หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมติของกาย เกิดไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิด ว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา ดังนี้แล้ว การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลก ก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกันและกัน
หลวงพ่อจงเป็นผู้มีกำลังหนุนมั่นคงด้วยการใช้แรงอิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เข้าปฏิบัติกระทำในกิจการไม่ว่าสิ่งใดที่สนใจ ตลอดจนการท่องบ่นทบทวนวิทยาคมที่พระอาจารย์โพธิ์ประสิทธิ์ประสาทให้ไม่ย่อท้อ ท่านได้พากเพียรกระทำสม่ำเสมออยู่เป็นนิจ ด้วยความมานะแรงกล้า
ยิ่งนานวันนานคืนล่วงไป ภูมิจิตของท่านเก็เพิ่มพลังความชำนาญจนเข้าขั้นนับว่าเป็นผู้ได้ฌาณสมาบัติขั้นสูงผู้หนึ่ง
หลวงพ่อจงเป็นผู้มีบุคลิกเหมาะสมหลายประการ เหมาะสมจะเข้าบำเพ็ญบารมีใฝ่หาสัจธรรม อาทิ
เป็นผู้มีสัจจะ คือ ผู้ซื่อตรงต่อตนเองและผู้อื่น มีจิตใจปราศจากความกลับกลอก พูดคำไหนเป็นคำนั้น ตั้งใจทำสิ่งใด ด้นดั้นใช้ความพากเพียรทำไปจนปรากฏผลโดยปราศจากยับยั้ง ไม่มีถอยหน้าถอยหลัง
เป็นผู้เปี่ยมด้วย ฑมะ คือ เป็นผู้มีอำนาจใจกล้าแข็ง สามารถยืนหยัดบังคับใจตนเองไว้ในอำนาจการตัดสินปลงใจ ได้อย่างเด็ดขาด
เป็นผู้ซึ่งพร้อมด้วย จาคะ คือ มีดวงจิตสะอาดบริสุทธิ์ พร้อมจะเสียสละได้ทุกเมื่อ มีความกล้าหาญสามารถทุ่มเทแม้แต่ชีวิตเพื่อเลี่ยงเสียแลกกับประโยชน์ยิ่งใหญ่ ซึ่งหากทำไปแล้วผู้อื่นหรือสาธารณประโยชน์จะพึงได้รับจากการเสียสละนั้น ๆ ของท่าน โดยเฉพาะเมื่อแน่ใจว่าการปฏิบัติตามธัมมะของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นเครื่องทำให้จิตใจได้รับความสงบหนีพ้นจากทุกข์ได้ ท่านก็มิเห็นแก่ความลำบากเหนื่อยยาก หรือกลัวเกรงสิ่งใด นอกจากตั้งหน้าบำเพ็ญธรรมนั้น ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ
เป็นผู้มีภูมิปัญญา คือ มีความฉลาดสามารถรู้จักสิ่งใด ทำแล้วเป็นคุณงามความดีมีประโยชน์ต่อตนเอง และกับผู้อื่น ควรไม่ควร เป็นไปได้หรือเป็นไปมิได้ ทั้งเป็นผู้ใช้ความฉลาด บ่มเกลานิสัยทั้งของตนและผู้อื่นอย่างไม่ขาดสาย
เป็นผู้มี ศีล ครบถ้วน ไม่ก่อกรรมสร้างเวรรุกรานรังควานใครให้เดือดร้อน เป็นผู้ใช้ศีลฟอกใจตนเองให้สะอาดประณีตเป็นนิจ แม้แต่คำน้อยไม่เคยตำหนิติเตียนให้ผู้ใดต้องได้รับความสะเทือนใจ เด็กศิษย์วัดขโมยเงินที่เก็บไว้ทำบุญสร้างโบสถ์ ก็ไม่โกรธไม่เอาเรื่อง ตรงข้าม กลับขอร้องมิให้ตำรวจถือผิดเพราะเป็นเรื่องในวัด ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็โดนดุเพียงว่า ที่เขาจับพวกเอ็งได้ว่าเป็นคนขโมยเงินของอาตมาไป ก็เพราะเอาไปแล้วไปแบ่งไม่ยุติธรรม อย่าเอาเปรียบ อย่าขัดคอขัดใจกันซิ จะได้ไม่แตกความสามัคคี
เป็นผู้มีสมาธิและฌาน มั่นคงเป็นพื้นฐาน หลวงพ่อจง สามารถบำเพ็ญฌาน และกระทำบำเพ็ญสมาธิได้อย่างสงบทันที แม้ในท่ามกลางเสียงกระจองอแง
เป็นผู้มีสุขภาพดี ฉันเป็นเวลา แม้จะนอนไม่เป็นเวลา แต่สามารถลุกขึ้นปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ตามกำหนดกฏเกณฑ์สม่ำเสมอ มีอำนาจจิตแข็งขัน จวบจนลุล่วงวัย 94 ปี ในปีสุดท้ายที่มรณะเข้ามาเยือนและพาสังขารของท่านไปสู่ความผุพัง ยังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเจ็บหนัก รู้ว่าจะไม่รอด ท่านพูดว่า "คราวนี้เขาเอาเราอยู่แน่ อย่างไรเป็นหนีไม่รอด"... จากนั้นก็รอความตายโดยสงบ ไม่บ่นไม่หวั่นไหวอย่างไรทั้งสิ้น
หลวงพ่อจงท่านเป็นผู้รู้พระปริยัติธรรมตามฐานันดร และตามความต้องการเรียนรู้ให้เข้าใจในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อใช้ปฏิบัติให้บังเกิดความสงบสุข และบรรลุเข้าสู่วิถีแห่งความพ้นทุกข์ พร้อมด้วยใช้เป็นเครื่องกล่อมเกลาบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้อื่นตามควรแก่ฐานานุรูป เหมาะสมตามกาลเทศะ...ตลอดจนได้เป็นผู้รอบรู้เจนจบในทางวิทยาคม ซึ่งพระอาจารย์โพธิผู้เป็นพระอาจารย์ได้ถ่ายทอดไว้ให้และท่านก็สามารถนำไปใช้ช่วยปลดทุกข์ทางกายทางใจแก่ปวงชนมากหลาย แม้แต่ในมหาสงครามโลกครั้งที่สอง สมรภูมิอินโดจีน และสมรภูมิรบในเกาหลี อิทธิบารมีของหลวงพ่อจง ก็ได้สอดแทรกมีบทบาทช่วยให้เหล่าทหารหาญของชาติไทยทั้งสามกองทัพบังเกิดพลังใจใหญ่หลวง กระทำการรบได้อย่างห้าวหาญ มีชื่อเสียงเกรียงไกรไพศาล เป็นที่หวาดหวั่นยั่นระย่อต่อเหล่าข้าศึกไม่น้อย
เมื่อเผชิญกับการรับรุกบุกเข้าปะทะหมายกวาดล้างของทหารไทย ข้าศึกก็ล้มตายอย่างย่อยยับหรือถอยหนีโดยไม่คิดสู้บ่อยที่สุด...แม้แต่ในวงล้อมของฝูงข้าศึก ที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรคาดหมายว่าอย่างไรเสียกองร้อยทหารไทยคงไม่มีทางรอดเหลือกับฐานทัพ เพราะคำนวณจากจำนวนทหารข้าศึกที่ล้อมทหารไทยไว้กว่าห้าชั้น ด้วยกำลังรบที่มากกว่าเป็นสิบ ๆ เท่า ไม่มีทางที่จอมทัพฝ่ายพันธมิตรซึ่งทัพไทยร่วมด้วยจะคาดคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ และไม่น่าจะเป็นการคาดคะเนที่ผิดไปเลย
แต่...ทหารไทยผู้ห้าวหาญก็สามารถต่อสู้กับข้าศึกษาทั้งทางพื้นดินและหลบระเบิดที่เครื่องบินข้าศึกษาทิ้งพรมลงมาไม่ขาดสาย พร้อมกับต้องบุกฝ่าพายุปืนกลหนักเบาจากวงล้อมห้าชั้นทั้งสี่ทิศ หลุดรอดออกมาได้เกือบครึ่งจำนวน... ทหารไทยเลยถูกลือว่าเป็นกองทัพมัจจุราช กองทัพมหากาฬ กองทัพผี สารพัดจะถูกขนานสมญานาม
มันเป็นการรบในยุทธวิธีตีฝ่าที่ใจห้าวกร้าวแกร่งอย่างอัศจรรย์เหมือนฝัน... จอมทัพพันธมิตรรับรู้ข่าวแสนจะพึงปิติปราโมทย์ด้วยอาการตกตะลึง ต้องสั่นหัวและถามซ้ำเป็นสองสามซ้ำว่า นั่นเป็นรายงานข่าวรับฟังเชื่อได้รึ ? แต่เมื่อเป็นข่าวชัดเจนมีการยืนยันเป็นหลักฐาน จอมทัพพันธมิตรภาคเอเซียก็ต้องเชื่อและอุทานชมลั่น
ถึงขนาดจอมทัพแม๊คอาเธอร์ ขอพบผู้บังคับบัญชากองทัพ เพราะอยากเห็นตัวเหล่ายอดทหารไทยผู้เกรียงไกร และจอมทัพแม๊คอาเธอร์ก็ได้รู้ว่าเลือดไทยทุกคนระอุอ้าวไปด้วยความห้าวเหี้ยมหาญ คิดเชื่อมั่นกันอยู่แต่ว่า ถ้ายิง ต้องยิงให้ถูกข้าศึก แต่ข้าศึกจะยิงไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า แห่งบวรพุทธศาสนาท่านคุ้มครอง
ธรรมต้องชนะอธรรมไม่มีปัญหา แต่อย่างไรก็ดี ทหารไทยที่รอดตายเกือบครึ่ง ปรากฏว่า ส่วนใหญ่บ้างมีตะกรุดชุด 16 ดอก บ้างมีตะกรุดดทน บ้างก็ใช้เสื้อพระยันต์ราชสีห์สีแดงบ้างมีพระทุ่งเศรษฐีดำใหญ่ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และจำนวนทหารผู้รอดตายเหล่านั้นเชื่อว่าบรรดาเครื่องรางของขลังที่พวกตนมั่นใจในคุณขลังเหล่านี้มีส่วนช่วยชีวิตของตน
ทหารรุ่นศึกอินโดจีน และต่อมาในมหาสงครามโลก จนกระทั่งศึกษาเกาหลี ส่วนมากมีความศรัทธานิยมบูชาสักการะต่อตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และเสื้อยันต์แดงราชสีห์ของมหาสงครามโลกครั้งที่สอง หรือสงครามเกาหลี ว่าเป็นทหารหาญที่ทากรรับเก่งกล้าที่สุด ตายและเสียหายน้อยที่สุด เฉพาะขวัญของทหารได้รับการยกย่องว่าเลิศที่สุด
นำติดตัวเข้าสมรภูมิเพื่อเป็นการบำรุงขวัญ
กองทัพไทยทั้งสามเหล่า ขึ้นชื่อว่าเป็นที่รับรู้ของกองทัพข้าศึก ไม่ว่าครั้งอินโดจีน มหาสงครามโลกครั้งที่สอง หรือสงครามเกาหลี ว่าเป็นทหารหาญที่ทากรรับเก่งกล้าที่สุด ตายและเสียหายน้อยที่สุด เฉพาะขวัญของทหารได้รับการยกย่องว่าเลิศที่สุด
มนต์ขลังและวิทยาคม เป็นเครื่องประสิทธิ์ประสาทให้ผู้ศรัทธาสักการะ แคล้วคลาด ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ตีไม่แตก และบ้างเป็นมหาลาภ มหาเสน่ห์ มหานิยม ได้จริงจังแค่ไหนเพียงไรหรือไม่ หากจะพิสูจน์กันจริงจัง บางทีอาจจะกระทำได้ยาก เพราะอุปมาดุจดั่งเป็นอิทธิพลหรืออำนาจลึกลับอะไรทำนองนั้น จึงยากจะหาผู้ยืนยันท้าพิสูจน์เป็นผลแตกหัก..แต่อย่างไรก็ตาม ความศรัทธา ความเชื่อมั่นในอิทธิพลบารมี ของความขลังศักดิ์สิทธิ์ในประการเหล่านี้ ก็มีอยู่ในความรู้สึกอย่างมั่นคงของชาวไทย ไม่เลือกชั้น วรรณะ มานานกว่าพัน ๆ ปี...ฉะนั้นใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่จิตใจของคนนั้น

ทิพยอำนาจ กับ ความขลัง
สมัยเมื่อเป็นภิกษุในระยะสิบพรรษาแรก เป็นระยะกำลังอยู่ในวัยศึกษาหาความรู้ หลวงพ่อจงเป็นผู้มีมานะพยายาม และกระตือรือร้นใคร่เป็นพหูสูตรอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่ามีพระอาจารย์ทรงวิทยาคุณดีเด่นในทางใดก็ขวนขวายไปนมัสการขอน้อมยอมเป็นศิษย์ และหลังจากได้รับการถ่ายทอดวิทยาอาคมจากพระอาจารย์โพธิจนชำนาญ ต่อมาท่านเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอก คือหลวงพ่ออินทร์ลาสิกขาบทไปประกอบอาชีพทางฆราวาส ชาวบ้านและผู้เป็นกำนันส่วนมากของตำบลนั้นและใกล้เคียง ซึ่งต่างเริ่มมองเห็นว่า ภิกษุจงเป็นผู้ทรงสมถะ สำรวม พร้อมทั้งมีคุณสมบัติแห่งความเป็นอริยสงฆ์ดีเด่นหลายประการประกอบทั้งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อโพธิ วัดหน้าต่างใน ซึ่งมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในวิทยาคุณของท่านมาก จึงพากันนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสเสียที่วัดหน้าต่างนอกแทนพระอธิการอินทร์ (สมัยนั้น ชาวบ้านมีสิทธิเสียงเลือกตั้งเจ้าอาวาสได้เอง)
หลวงพ่อจงเมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกแล้ว ก็ได้พยายามปฏิบัติตนตามฐานะ ได้รับยกย่องเขยิบฐานะอย่างเหมาะสม นอกจากบริหารภารกิจอันเป็นของสงฆ์และของวัด อันพึงกระทำตามสิกขาบทเฉพาะที่เกี่ยวกับชาวบ้าน ก็ได้สำแดงจิตอัธยาศัย แผ่ไม่ตรีโอบเอื้ออารีต่อบุคคลไม่เลือกหน้า ไม่ว่าใคร จะยากดี มีจนหรือเป็นคนถ่อยชั่ว จนขึ้นชื่อว่าพาลชน จะเข้าหาหรือขอร้องให้ช่วยงานกิจธุระหรือจะช่วยทุกข์หรือนิมนต์ไปโปรดที่ไหน ไม่ว่าหนทางใกล้ไกล ท่านเป็นยอมรับยินดีกระทำธุระปลดเปลื้องบำเพ็ญกรณีให้ผู้ขอได้รับความสมปรารถนา ตามปัญญาของท่านโดยควรแก่ฐานานุรูป และกาลเทศะของผู้ขอเสมอไป ด้วยความเต็มใจยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านไม่เคยปฏิเสธหรือผลัดผ่อน มิเคยสำแดงกิริยาการอ้ำอึ้งไม่พอใจ หรือขึ้นโกรธกระทำแง่เงื่อนอิดออดอย่างไร และแม้แต่การกินอยู่ (ฉัน) ท่านไม่เคยบ่นไม่เคยพูดว่า อยากฉันโน่นนี่ ถึงเวลาใครถวายอะไรให้ฉัน ก็ฉันจนอิ่มตามความพอใจไม่มีอาการผิดปกติ
ต่อมาราวอายุได้ 30 เศษ ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขา ห้วย และหานเหว ไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแหงในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่าประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือพระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที แต่เมื่อได้ปรารภเรื่องนี้ให้ญาติ เพื่อนภิกษุ และสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้ง มิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่าทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเป็นเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดง ทับ หรือป่าเถาวัลย์ ไม้พุ่มไม้เลื้อยนานาชนิด... ด่านแรกสำคัญที่สุดก็คือจะต้องบุกฝ่าไปในดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฎ ยามร้อน-ร้อนจัด ยามเย็น-เย็นยะเยือก และชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสองซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึกจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืด เหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลมหินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องหมอเรื่องยา หลวงพ่อจงก็ปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้นแม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บ สัตว์จตุบาทไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โดยเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬ พญาเย็น-ญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อกระฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น
ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกัน ขัดคออย่างไรก็ไม่เป็นผล... หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะเหตุผลใดเข้าหักร้างข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ หึ ตีหน้าตาเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งที่น่ากลัวสยดสยอง ตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัยซึ่งผู้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดยังงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า "ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไปจริง ๆ ด้วย"
เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียงไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใคร ในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทานมิว่าด้วยเหตุผลน่า หวั่นไหวอย่างใด ก็ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณะคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้
และในราวกลางปีพุทธ ศก 2450 หลวงพ่อจงพร้อมด้วยย่ามสองย่ามยาวศอกเศษ มีเครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็นกับตัวยาประเภทแก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ ห้ามเลือด อาหารแห้งบาดอย่าง ไม้ขีดไฟ เทียนไข และกระป๋องตักน้ำเล็ก ๆ พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอน ในขณะธุดงค์ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า โดยลำพังองค์เดียวจากวัดหน้าต่างนอกมุ่งหน้าไปสู่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และที่นี่ท่านก็ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาขอติดตามไปอีกสององค์ จากนั้นเมื่อเดินไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ก็ได้ภิกษุเพิ่มอีกสององค์ร่วมเดินทางไปด้วย รวมเป็นห้าองค์ทั้งหลวงพ่อจง และทั้งห้าองค์ก็ไม่มีศิษย์แม้แต่คนเดียวที่จะติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก
ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะผ่านไปได้ เพราะหนทางเดินนั้นขวางกั้นไปด้วยอุปสรรค บางแห่งหนาแน่นไปด้วยดงหญ้าและเถาวัลย์รกทึก ยิ่งกว่านั้นบางตอนก็ต้องเดินผ่านห้วยลึกและหุบเหว ซึ่งมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่ายว่าเป็นเส้นทางที่ใช้เดิน บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมน้ำ ซึ่งมีทั้งรอยตีนเสือ ช้าง หมี ที่เป็นรอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหวได้ไม่น้อย แต่พระภิกษุทั้งห้าก็มิได้เกรงกลัว และบางครั้งก็เดินหลงทางบ่อย ๆ บางวันต้องหาทางเดินใหม่ให้เข้าสู่เส้นทางที่ชาวบ้านใช้ถึงสี่ครั้งห้าครั้ง และบางวันเดิน ๆ ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ก็เป็นอันว่าไม่ได้หยุดหุงหาฉันเพล เพราะบางที่กว่าจะรู้มันเลยเที่ยงไปนานแล้ว รู้จากแสงตะวันที่เผอิญทางเดินไปออกป่าโปร่ง ก็ได้แต่อาศัยฉันผลหมากรากไม้แก้หิวไปพลางบางวันที่ฉันเพลแทนเช้าไปเลยก็มี
และในตอนสายของวันที่สี่ ขณะที่อยู่กลางดงพญาไฟ ก่อนจะถึงจังหวัดนครราชสีมา ภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย อาการรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อจงและพระภิกษุอีกสามองค์ก็ต้องผลัดกันเฝ้าดูแลอาการ เพราะมาด้วยดันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้ ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งเป็นที่พำนัก พักรักษาภิกษุผู้อาพาธ จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสาย ภิกษุองค์นั้นมิอาจทนทานพิษไข้ได้ ก็ถึงกับมรณภาพ เมื่อช่วยกันฝังไว้ตามีตามเกิดแล้ว บ่ายวันนั้นจึงได้เดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ผ่านเขตลพบุรี ย่างเข้าเขตนครสวรรค์
ที่นครสวรรค์ ก็ได้มีพระภิกษุขอร่วมเดินทางไปด้วยอีกรูปนึ่งรวมจำนวนเป็นห้ารูปเหมือนเดิม เส้นทางเดินระหว่างนครสวรรค์จนถึงพิษณุโลกเป็นพื้นที่ราบป่าโปร่ง ไม่เป็นป่าทึบเหมือนในดงพญาเย็น ดงพญาไฟก็จริง แต่บางแหล่งก็เต็มไปด้วยอสรพิษร้าย โดยเฉพาะตอนที่เป็นบึงบรเพ็ดเวลานี้ มีน้ำท่วมเจิ่งนองเป็นบริเวณกว้าง ท่วมตอนที่เป็นทางรถไฟอยู่นานหลายเดือนในปีหนึ่ง ๆ ตามทางที่เป็นป่าริมน้ำซึ่งต้องเดินผ่าน มีจระเข้อยู่เต็มไปหมดทั้งสองฟากฝั่ง รวมทั้งงูเห่าและงูจงอางเลื้อยเพ่นพ่านให้เห็นอยู่ตลอดระยะทางเดิน เมื่อได้ยินฝีเท้าแม้จะเดินกันอย่างแผ่วเบา แต่สัญชาตญาณระวังภัยและมีสันดานดุโดยกำเนิดของมันตามธรรมชาติ มันต่างชูคอแผ่แม่เบี้ยคุกคามภิกษุทั้งห้ารูปอย่างน่าสยดสยอง แม้จะมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างดี เจ้างูจงอางตัวหนึ่งก็ได้ฉกกัดพระภิกษุรูปหนึ่งที่มาจากสระบุรีเข้าจนได้ และพิษร้ายกำเริบจนทนไม่ได้ พระภิกษุองค์นั้นก็ต้องมรณภาพไปอย่างน่าสลดใจ
เมื่อผ่านถึงจังหวัดพิจิตร ที่วัดตะพานหิน ก็ได้มีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งขอร่วมทางไปด้วย ฉะนั้นการเดินทางจากพิจิตรมุ่งสู่พิษณุโลก ก็ยังคงมีคณะร่วมทางครบจำนวนห้ารูปตามเดิม แต่จากพิจิตรระหว่างเข้าเขตพิษณุโลก พระภิกษุจากลพบุรีก็ต้องมรณภาพ เสียชีวิตไปอีกรูปหนึ่งขณะเดินข้ามลำธารที่เป็นพงรก โดยถูกจระเข้คาบไปกัดกิน และทิ้งซากศพไว้เพียงครึ่งเดียว
หลวงพ่อจงกับพระภิกษุอีกสามรูปจากพิษณุโลกมุ่งเข้าสู่แม่สอดเดินขึ้นไปเชียงราย โดยหมายเส้นทางเข้าไปแม่ฮ่องสอน และจะเข้าสู่พม่าในด้านที่ตั้งเจดีย์ชะเวดากอง พระภิกษุร่วมเดินทางต่างค่อยมรณภาพไปทีละองค์ด้วยโรคไข้ป่า และบ้างขาดอาหาร เป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง (อหิวาต์) จึงคงเหลือเพียงหลวงพ่อจงแต่องค์เดียว ที่ธุดงค์ไปถึงพม่าและได้เข้านมัสการพระเจดีย์ชะเวดากองอย่างที่ตั้งใจเอาไว้
หลวงพ่อจงยอมรับว่าแรก ๆ เมื่อเห็นภิกษุผู้ร่วมเดินทางมีอันเป็นต้องจากกันไปในสภาพที่เรียกว่า ตายจากก็รู้สึกใจคอหดหู่และสลดจิตคิดสังเวช แต่เมื่อได้ทบทวนคิดได้ว่า อันรูปกายเกิดของมนุษย์และปวงสรรพสัตว์ก็มีความตายนี่แลเป็นความเที่ยงแท้ที่ชีวิตกายเกิดทุกรูปนามพังต้องประสบ รูปกายใดมิว่าจะอยู่ในฐานันดรและอยู่ในสภาพมิว่าเยี่ยงใด จะเป็นจอมนับรบผู้เกรียงไกร เป็นจอมมหาราชผู้มีศักดินายิ่งใหญ่ รูปกายเกิดเหล่านี้ก็จะต้องประสบกับมรณะสัญญาเป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น มิว่าจะในลักษณะการละม้ายแม้นเหมือน หรือแตกต่างกันในบทบาทเคลื่อนไหวอย่างใดก็ตาม มฤตยูมิยอมยกเว้นหรือแม้แต่จะให้มีการผ่นอผันให้รูปกายใดผลัดผ่อนประกันวันตายยืดออกไป เมื่อปลงตกคิดเห็นสาเหตุความต้องตายเป็นอย่างนี้จิตก็รู้สึกจืดชืดต่อความหวั่นไหวหวาดเสียวแห่งมรณะสัญญาณ มิว่าจะย่างกรายเข้ามาคุกคามในวิธีการเยี่ยงใด ตรงข้ามเมื่อเห็นความตายของผู้อื่นแต่ตนเองยังมิเคยถูกรุกรานให้บังเดเหตุเภทภัยย่ำยี กลับทำให้บังเกิดเพิ่มพูนอำนาจใจให้ทวีความกล้าแข็งยิ่งขึ้น
ที่พม่า แม้จะพูดจากันไม่รู้เรื่องในตอนแรก ๆ แต่เมื่ออยู่กันไปการใช้ภาษาบุ้ยใบ้บ้าง ใช้ภาษามคธ และภาษาพม่าที่สังเกตจดจำไว้ ก็ทำให้หลวงพ่อจงรู้เรื่องและได้รับความสะดวกในการอยู่ในพม่าเป็นเวลานานหลายเดือนเป็นอย่างดี
ตอนขากลับ หลวงพ่อจงต้องเดินทางเพียงรูปเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจกล้าหาญ ไม่กริ่งเกรงเหตุเภทภัยอย่างใด และได้แวะจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร เพราะคาดคะเนแล้วว่าการเดินทางจะทำไม่ได้รวดเร็วตามกำหนด จึงคิดเห็นสมควรกลับวัดเมื่อรอให้พ้นกำหนดออกพรรษาจะสะดวกกว่า
ทั้งขาไปและขากลับ หลวงพ่อจงได้รับความปลอดภัยอย่างอัศจรรย์แต่ผู้เดียว ส่วนภิกษุผู้ร่วมทาง 7 องค์ถึงแก่มรณภาพไปสิ้น
หลวงพ่อจงเคยพูดว่า ท่านเองก็ไม่รู้ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านจึงไม่พานพบเหตุร้ายหรือเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อยก็ไม่เคยมี แต่ระหว่างทางเคยเหยียบหินและลื่นลงหลุมเล็กจนเท้าแพลงสักหนสองหน นอกนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์อะไร จิตใจของท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นปกติ ไม่เคยซู่ซ่าพลุ่งพล่านหวาดสยองกับการคุกคามของธรรมชาติอันเป็นวิบากมรุกันดาน ไม่เคยกริ่งกลัวต่อความวิเวกวิกาล หรือความอ้างว้างท่านกลางเสียงสายผล จึงสาดโกรกลอดใบไม้ทึกลงมา สายฟ้าได้ฟาดกราดเกรี้ยวลงมาถึงสองครั้ง กิ่งยางต้นใหญ่ขนาดสองสามคนโอบได้หลุดมาทั้งกิ่งไหม้ดำ แต่ในกรณีนั้น ไม่มีใครผู้ใดเป็นอันตราย กลับพากันหลุดรอดไปได้ จนต่อภายหลังจึงเสียชีพเพราะสัตว์ร้ายขบกัด และพิษไข้ป่า
ระหว่างทางเขตแม่ฮ่องสอน ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจงท่านกำลังจะกางกลดจำวัดอยู่ใต้เพิงผาหุบเขาแห่งหนึ่ง ก็มีงูจงอางสีเหลือง แวววาวมะเมื่อย พุ่งปราดเข้ามาทางท่านอย่างว่องไว้ ท่านก็มองจ้องไปที่งูจงอางตัวนั้น รู้สึกระทึกใจอยู่ว่า นี่ถ้าจะตรงเข้าจู่โจมเล่นงานเราแน่ แต่เวรกรรมอย่างนี้เป็นกรรมเก่า หากเคยเป็นคู่ผลาญกันมาก็ยากจะหนีเขาไปรอดพ้น งูตัวนั้นใหญ่ยาว สักสองเมตรเห็นจะได้ มันชูคอพลิกเอียงไปเอียงมาอย่างผยองฤทธิ์ พุ่งปราดผ่านกองไม้ริมธารน้ำอีกสักห้าวาจะถึงตัวหลวงพ่อจง ท่านก็คงมองเพ่งอาการของมันด้วยความสงบ ในใจนึกภาวนาว่า หากไม่เคยมีเวรเก่าต้องชดใช้ ขออย่ามาก่อกรรมสร้างหนี้เวรใหม่ไว้ต่อกันเลย เจ้าจงไปตามทางของเสียเถิด
เมื่อหลวงพ่อจงนึกแผ่กระแสจิตอยู่นั้น งูจงอางได้พุ่งมุ่งสู่กองไม้ ข้ามเข้าหาท่านอย่างปราดเปรียว แต่ในทันทีทันใด ดุจดั่งราวกับถูกเบรดห้ามล้ออย่างแรง มันชะงักพรืดพลางบิดตัวอย่างรุนแรงพลิกคล่ำลงจากกองไม้ ปรากฏว่าตะขาบสีเขียวแก่จนเกือบดำตัวหนึ่งยาวราวสักสองคืบตัวใหญ่แบนสองนิ้วเศษ กำลังขบกัดติดอยู่ตรงสะดือใต้ท้องของมัน เมื่อตอนงูจงอางสะบัดโผนตัวโดยแรงนั้น ตะขาบได้กระเด็นหลุดออกไป ปรากฏว่าตรงสะดือขาดมีก้อนกลมเล็กไหลย้อยเป็นน้ำเขียวจาง ๆ ออกมาจุกอยู่ และการสะบัดอย่างแรงทำให้มันพลิกตัวหล่นลงไปน้ำนอนหงายท้องอยู่ และไม่นานนักก็สิ้นใจตาย ส่วนตะขาบตัวฮีโร่ก็คลานงุ่มงามออกจากกองไม้มุ่งเข้าราวป่าข้างหน้า โดยมิได้สนใจจะหันหลังมามองหลวงพ่อจงเป็นการอำลาหรือทวงคุณแม้แต่น้อย

บารมี ภูมิเวทย์ วิทยาคม
เมื่อเป็นบุคคลมีจิตแกล้วกล้าสามารถธำรงตนจนมีสมาธิศีลบริสุทธิ์ปราศจากว่อกแว่กหวั่นไหวในสรรพเหตุอันจักมาสั่นคลอนดวงใจให้ไหวหวาด ไม่ว่าจะเป็นต้นตอก่อภัยมืดสว่าง จากเวรกรรมเก่า หรือจากกรณีแวดล้อมซึ่งจะจู่โจมเข้ามาไม่ว่าในลักษณะการใด จวบแม้กระทั่งสามารถเดินทางโดดเดี่ยวกลับจากพม่าสู่ผืนแผ่นดินไทยด้วยตนเองตามลำพัง... แต่นั้นมาหลวงพ่อจง ก็ทวีความเชื่อมั่นในบำเพ็ญบารมีแสวงสำรวมหาอิทธิบารมีในทางปฏิบัติ กัมมัฏฐานตั้งในแนวทางของสมถะกัมมัฏฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน กระทั่งอบรมบ่มฌานสมาบัติให้แก่กล้าทั้งทางกสิณและสมาธิ จนปรากฏว่า หลวงพ่อจงประสบความสำเร็จสมมโนหมายในวิถีซึ่งท่านต้องการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางภายหลังต่อมา หลวงพ่อจงได้ชื่อว่าเป็นอริยสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ มีพร้อมซึ่งอิทธิบาทมีแก่กล้าในแนวทางของวิชาแปดประการ อันเรียกขานกันว่า "อภิญญา"
ความเป็นผู้รู้ในธรรมแจ่มกระจ่างและปฏิบัติธรรมได้สม่ำเสมอเป็นนิจสิน มิเคยเบื่อหน่ายท้อถอยของหลวงพ่อจง ย่อมประจักษ์แก่ตาแก่ใจของบุคคลผู้ใกล้ชิดทั่วไปเป็นอย่างดี จนท่านถือเป็นคิพจน์ขึ้นว่า "การสวดมนต์ไหว้พระ เป็นกิจวัตรอันมิควรขาดกระทำ"
หลวงพ่อจงขึ้นชื่อลือเลื่องว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในทางกสิณ สมาธิ ท่านสามารถหลับตานอนและตื่นเวลาใดก็ทำได้ดั่งใจหมาย ดวงจิตของท่านเปี่ยมด้วยความสันโดษและสงบอย่างแน่วแน่จริงแท้เปี่ยมด้วยความเมตตาพร้อมจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อส่ำสัตว์ทั้งผองให้ได้ผ่านพ้นทุกข์ภัยทั้งมวลและได้ประสบพบแต่ความสุขสำเร็จประสงค์ หลวงพ่อจงมีแต่ความมุ่งดี หวังดี ปรารถนาดี ต่อชีวิตกายเก่าสม่ำเสมอโดยปราศภยาคติ อันเป็นความลำเอียง ไม่เลือกหน้า ไม่มีจิตคิดเห็นแก่ฐานะความเป็นอยู่ หรือ อำนาจฐานันดรและภาวะสภาพของใครสิ่งใดมาเป็นน้ำหนักถ่วง หรือกดดันให้บังเกิดความโน้มน้าวโอนเอียง มิว่าใครผู้ใดไปหาสู่ ท่านโอภาอราศรัยต้อนรับความยิ้มแย้มทันทีไม่ต้องให้มีการรีรอหรือผิดหวัง
ไม่มีใครเลยจะสามารถสร้างความรังเกียจความขึงขังให้บังเกิดในน้ำใจหลวงพ่อจงขึ้นได้ ท่านไม่เคยจะพูดจาว่ากล่าวว่าใครผู้ใดไม่ดีเลวร้าย บางครั้งแม้แต่มีใครไปเล่าเรื่องราวของคนไม่ดี กระทำทุราจาร ผิดศีล หรือประพฤติเลวร้ายแสนสาหัสในทางใจ พร้อมด้วยวิพากษ์วิจารณ์ด่าว่ากันตามสันดานอัธยาศัย หลวงพ่อจงก็ไม่ห้ามไม่ให้พูด ใครพูด ใครด่ากัน ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ไปจนเขาพูดจบเรื่อง แต่ไม่เคยสนับสนุนซ้ำเติมว่าใครดีใครไม่ดี ท่านพูดเป็นกลาง ๆ ว่า "เรารู้ว่าใครไม่ดีก็หลีกออกให้ห่าง ใครดีจึงคบหาไปมาสู่กัน ทุก ๆ คน ควรกระทำแต่ความดีมีศีลสัจจธรรม ส่วนคนประพฤติชั่วก็จะต้องได้รับกรรมตามสนอง และเขาเป็นคนน่าสงสาร หากช่วยกันได้ควรช่วยกัน ตามหลักพรหมวิหาร ทำบุญทุกอย่างย่อมได้กุศลสนอง แต่การช่วยผู้มีทุกข์ ช่วยคนคิดผิดให้คิดถูก กลับตนประพฤติชอบนั้นเป็นกุศลอย่างยิ่ง"
ครั้งหนึ่ง มีขโมยเข้าไปขโมยสมบัติของวัด ขโมยแม้กระทั่งโอ่งไหลายมังกร หลวงพ่อจงยังนอนไม่หลับในคืนหนึ่งนั้น ตื่นขึ้นมาเห็นหัวขโมยกำลังช่วยกันหามโอ่งชุลมุนวุ่นวาย ท่าทาเกะกะเก้งก้าง จะเอาไปได้ลำบากอยู่ ท่านเดินเข้าไปหาหัวขโมยพร้อมด้วยให้สติว่า "ทำไมต้องรีบด่วนขนให้เป็นการยุ่งยากลำบาก การขนโอ่งคราวละหลายใบมันหนัก เอาไปก็เกะกะหาบหามไม่สะดวก ควรขนไปครั้งละใบดีกว่า มันจะไม่ตกแตกและเอาไปใช้ประโยชน์ตามต้องการได้"
พวกหัวขโมยมองหลวงพ่อ นึกว่าท่านจะเอาเรื่อง แต่เห็นท่านพูดยิ้ม ๆ อาวุธอะไรก็ไม่มีติดมือที่จะให้คิดว่าท่านคงจะเล่นงาน พวกหัวขโมยเลยวางโอ่งนั่งย่อง ๆ ยกมือไหว้ แล้วเดินหลบหลีกไปโดยพูดว่า "ถึงท่านจะให้พวกกระผมก็ไม่ขอเอาไปแล้ว"
อีกเรื่องหนึ่ง เด็กวัดร่วมใจกันขโมยเงินในถุงย่ามไปสามพันบาท เงินจำนวนนั้นมีผู้ศรัทธาถวายเพื่อสร้างโบสถ์ แต่ยังไม่ทันมอบให้ผู้ดูแล ฝ่ายเด็กวัดครั้นเอาไปแล้วเกิดแบ่งไม่ถูกใจกัน เรื่องเลยไปถึงตำรวจ เมื่อตำรวจไปขอถ้อยคำทำคดีจากหลวงพ่อจง ท่านกลับว่าเป็นความบกพร่องของท่านที่เก็บไว้ไม่มิดชิด เด็ก ๆ มันอยากได้และสามารถหยิบฉวยง่าย มันจึงเอาไปตามประสาสันดาน แต่เป็นเรื่องในวัด ขอให้ทางวัดจัดการเองเถอะ ไม่อยากให้เรื่องไปถึงทางบ้านเมือง เพราะเด็กพวกนั้นมันยังอ่อนศึกษา ยังโง่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่งั้นคงไม่เอาของวัดพระดังนี้
พร้อมกันนั้น ท่านเรียกเด็กวัดสองสามคนมาสอนว่า "ต่อไปการจะทำอะไรจงอย่าให้แตกสามัคคีกัน ร่วมมือกันทำงาน มีรายได้ก็ควรแบ่งสันปันส่วนให้มันยุติธรรม ถ้าแตกสามัคคีก็ต้องมีการอิจฉาแก่งแย่งทะเลาะวิวาทกัน มีแต่ทำให้เสียพวกเสียประโยชน์ ดีไม่ดีจะต้องติดคุกตารางลำบากเสียชื่อตระกูลไม่ควรทำ"
ปกติหลวงพ่อจงไปไหนท่านชอบไปองค์เดียว จนตอนระยะวัยสูงมีสภาพของคนชรา ไม่น่าวางใจว่าอาจไปเกิดพลั้งเผลอมีอุบัติเหตุ ผู้เจตนาดีและศิษย์ผู้ภักดีจึงต้องติดตามท่านไปด้วยสองสามคน เพื่อคอยดูแลและรับใช้ถวายปรนนิบัติท่าน
หลวงพ่อจงเป็นภิกษุผู้ปราศจากละโมบในลาภสการ ยศศักดิ์ทั้งปวง ท่านพอใจสภาพที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างนอกเท่านั้น ต่อมามีผู้คิดสนับสนุนให้ท่านมียศทางสมณะศักดิ์ ท่านก็ห้ามปรามไม่ยินยอมให้ทำเรื่องเราวเสนอขึ้นไปตามระเบียบ ซึ่งเมื่อไม่มีเรื่องเสนอตามแบบของทางราชการ ก็ไม่มีการให้สมณะศักดิ์ แทนที่ท่านจะสนใจเพราะมีผู้หมั่นไปกระตุ้นและหว่านล้อม ท่านกลับหัวร่อแล้วพูดว่า "ไม่น่าสนใจเรื่องนี้ เพราะยศ ตำแหน่ง บรรดาศักดิ์ เป็นเรื่องของโลก อาตมาไม่ใยดีในทางนี้ เมื่อเป็นภิกษุและได้ศึกษาพระธรรม มีความรู้ในธรรม หมั่นปฏิบัติธรรมได้เป็นนิจ ได้รับความสงบทางใจ ได้มีช่องทางให้ผู้อื่นมีโอกาสพิจารณาปฏิบัติได้ด้วยดี อย่างนี้ก็ควรเป็นสิ่งพึงใจของสมณะสงฆ์แล้ว เพราะพวกเรานี้ ที่มาบวชก็เพราะมุ่งเสียสละทางตัณหาโลกามิส ได้ตัดใจตัดโลกไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าแสวงหาวิถีทางให้รอดพ้นจากทุกข์ทรมาน ใครทั้งหลายเคารพกราบไหว้เรา เพราะรู้ว่าเราเป็นผู้พยายามสละกิเลสอันเป็นมารชั่วร้ายเจ้าของ โทสะ โลภะ โมหะ และ ราคะ ความทะยานอยากทั้งผอง ซึ่งแม้เราตัดไม่ออกหมด แต่กิเลสสงฆ์ถึงอย่างไรก็ต้องบางเบากว่าปุถุชนฆราวาส เราก็จึงต้องบำเพ็ญแนวทางตามความรู้ของพระธรรมให้เขาเห็น เช่น เรามุ่งมาเป็นนักเสียสละ เราก็ต้องเสียสละทุกสิ่ง เท่าที่จะพึงกระทำได้ หากเราไม่ประพฤติกระทำ คำว่าสงฆ์ หรืออริยสงฆ์ก็จะหมดความหมายลงทุกวัน... แต่นี่ก็มิจำเป็นต้องเป็นความคิดที่ถูกเสมอไป การกระทำตามระเบียบที่มีวางไว้เป็นปทัสถานนั้นเป็นไม่ผิด แต่การที่อาตมาไม่นิยมมีสมณะศักดิ์ประดับกาย ก็เป็นเอกสิทธิ์และความพอใจตามอัตภาพของอาตมา ไม่มีอะไรเป็นผิดดอก"
ความเป็นผู้ถือสันโดษ ถือความสงบทางโลกเป็นสรณะยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อจง ท่านแสดงแน่วแน่มั่นคงไม่มีบิดเบือนทำบ้างไม่ทำบ้าง ท่านกระทำเป็นอาจิณ ในถุงย่ามของท่านนอกจากมีเหล็กจาน สำหรับประกอบกิจกรรมสุดแต่จะมีผู้นมัสการในด้านวิทยาคมแล้ว ก็ช้อนซ้อมสำหรับตักอาหารฉัน นอกนั้นไม่มีแม้แต่หมากยา ไฟขีด ยานัตถุ์ หมากพลูบุหรี่ เพราะท่านไม่เสพย์ติดมัน และไม่ต้องการมัน โรคภัยเจ็บป่วยนั้นก็ไม่มี ซึ่งท่านเคยกล่าวว่า ถ้ามีก็ต้องรู้อาการล่วงหน้า มีโรครักษาเองไม่ได้ ต้องหาหมอ เพราะยังงั้นหยูกยาในย่ามไม่ต้องเตรียมไป แต่เผอิญมีผู้ใจบุญเขาบริจาคถวายข้าวของเงินทองมีราคาติดมา หากใครเกิดโชคดีรู้วี่แววและอาราธนาขอ หลวงพ่อจงจะรีบหยิบยื่นให้ด้วยความยิ้มแย้ม โดยไม่ถามไถ่ว่าเป็นใครมาจากไหน จะเอาไปทำไม เหตุไฉนต้องมาขอของมีราคาอย่างนี้ไปจากท่าน
เรื่องความมีชื่อลือเลื่องโด่งดังในทางวิทยาคม ซึ่งลูกศิษย์เกือบทั่วประเทศมีความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแก่กล้า เพราะเชื่อหลวงพ่อจงท่านมีอาคมขลังในทางเมตตา คงกระพันแคล้วคลาด
หลวงพ่อจงได้อรรถาธิบายไขข้อเคลือบแคลงว่า การซึ่งผู้ใดจะยึดมั่นเชื่อถือต่อสิ่งใดเป็นสรณะหรือไม่ แล้วแต่ศรัทธาความเชื่อของจิต จิตบางดวงมีพลังต่ำ บางดวงทรงพลัง จิตทั้งหลายปราศจากระดับอิทธิแห่งพลังเท่าเทียมกัน แต่ถึงกระนั้น จิตเป็นสิ่งที่อาจลดอัตราระดับหรือเพิ่มพูนอิทธิพลังให้สูงส่งมีอำนาจขึ้นได้ คนที่ไม่เชื่อว่ามีผีเพราะเห็นและคิดเห็นขึ้นว่าคนตายแล้วย่อมผุพังเน่าเปื่อยจะกลายเป็นผีไปไม่ได้ คนผู้นั้นไม่มีวันกลัวผี แต่บางคนเชื่อว่ามีผีจริง ผู้นั้นก็ย่อมจะมีพลังจิตอ่อนไหวกลัวผีเสมอไป ก่อนนี้เราไม่เชื่อกันว่ามนุษย์จะเหาะเหินเดินฟ้าได้ นอกจากในนิยาย แต่เราก็สามารถมีจรวดและอากาศยานเข้าไปนอนนั่งดั้นฟ้าได้... ความเชื่อของมนุษย์คือ ขุมกำเนิดซึ่งกอ่ให้เกิดสิ่งใดที่มนุษย์เชื่อว่ามีได้ให้บังเกิดได้มีได้อยู่เสมอ อามและ มนต์ขลังทำให้เกดกำลังใจเป็นขุมพลังของจิตไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ไม่เคยเชื่อว่าเขาจะทำสิ่งไรได้สำเร็จ เขาก็ยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ความเชื่อคือพลังของโลกและพลังของชีวิตเชื่อหรือไม่ จึงเป็นเรื่องของศรัทธาตัวเดียว หากเชื่อว่าอริยสัจสี่และทางของมรรคแปด เป็นทางเดินไปสู่ความพ้นทุกขกำจัดต้นตอทุกข์ได้ ก็มีทางเดินไปสู่บั้นปลายของความเชื่อ ถ้าเริ่มขึ้นด้วยความไม่เชื่อ ก็ไม่มีทางพิสูจน์และไม่มีทางเดินไปสู่....
หลวงพ่อจงชอบขึ้นนั่งบนเครื่องบินมากนัก แต่สงครามอินโดจีนจนถึงมหาสงครามโลกครั้งที่สอง หลวงพ่อจงได้นั่งเครื่องบินนับเป็นร้อย ๆ ครั้ง เพราะท่านถูกนิมนต์ไปกระทำพิธีรดน้ำมนต์ ปัดรังควานบ่อยที่สุด ไม่วาจะมีการเคลื่อนทัพบก เรือ อากาศ ไปสู่สมรภูมิรบที่ใด ก่อนเดินทัพจะต้องมีพิธีทางศาสนาเป็นมิ่งมงคลบำรุงขวัญทหาร มีการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ เจิมอาวุธกับพาหนะและอุปกรณ์รบ บรรดาหลวงพ่อและเกจิอาจารย์อันเป็นที่เคารพศรัทธาในอัจฉริยะความเป็นอริยสงฆ์ต่างจะต้องถูกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีอยู่อย่างไม่ควรขาด
หลวงพ่อจงเป็นสงฆ์ผู้มีบุคลิกเด่นดวง ลักษณะใบหน้าของท่านอิ่มเอิบ ดวงตาวาววับด้วยแสงเมตตาจิต ใครเห็นท่านจะรู้สึกเคารพรักและบังเกิดศรัทธาในวูบแรก แม้ว่าดวงหน้าท่าทีของท่านจะเฉยเมย แต่ปมเด่นทางเมตตาของท่านโผล่ผลุดดุจเป็นรัศมี รอบกายปรากฏออกมาสะดุดความรู้สึกผู้พบเห็นเอง และยิ่งเมื่อผู้ใดได้เข้าใกล้ชิดเสวนารมณ์ด้วยพระคุณท่าน ประจักษ์ในอัธยาศัยและไมตรีที่ท่านหลั่งโอภาปราศรัยออกมาแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดลืมเลือน อัธยาศัยวิเศษของท่านจะเข้าซึมแทรกดวงจิตผู้ใกล้ชิดทันทีอย่างตราตรึงใจ
ทหารน้อยใหญ่ของสามกองทัพ ส่วนมากที่ได้เคยพบเห็นและเข้าหานมัสการหลวงพ่อจงในทุกหนที่ไปกระทำพิธีแจกเสื้อพระยันต์ราชสีห์ตะกรุดโทนจึงพากันเคารพสักการะศรัทธาในท่านมากที่สุด
เฉพาะกองพลทหารม้ายานเกราะสระบุรี ดูเหมือนจะศรัทธาแก่กล้าในอิทธิบารมีของหลวงพ่อจงมากที่สุด ถึดไปก็น่าจะเป็นในกองทัพอากาศ ซึ่งตั้งแต่นานมาแล้ว เริ่มแต่ปี 2475 สมัยปฏิวัติหนแรกบรรดาแม่ทัพนายกองต่างขึ้นชื่อเป็นศิษย์และเป็นผู้ศรัทธาเคารพขึ้นในหลวงพ่อจง อาทิ ท่านจอมพลฟื้นนรนภากาศฤทธาคนี พลอากาศเอกนักรบ บัณฑศรี นาวาอากาศเอกประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ ท่านที่กล่าวนามเหล่านี้ ตลอดจนทหารเหล่าอื่น ต่างได้รับแจกเสื้อพระยันต์ราชสีห์และตะกรุดโทน จากหลวงพ่อจงด้วยมือท่านเองเป็นส่วนมาก
ท่านจอมพลฟื้นได้พบกับประสบการณ์ในสมัยศึกอินโดจีน เมื่อต้องคุมขบวนเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดสะตรึงเต็งและอื่น ๆ อันเป็นฐานทัพสำคัญของฝรั่งเศสยุคนั้นจนไฟลุกไหม้แหลกลาญ ขณะกำลังจะคิดผละจากความเพลิดเพลินเข่นขยี้ข้าศึกจนไม่มีคู่ต่อสู้ และบรรดาเครื่องบินรบที่อยู่ในการดูแลกองนั้นต่างทยอยกลับฐานทัพดอนเมืองแล้วจนหมดสิ้น จู่จู่ก็มีเครื่องบินจากฐานทัพใหญ่ของข้าศึกอันเป็นกองหนุนสามเครื่องจิกหัวโฉบเข้าใส่ รุมกันทักทายเครื่องบินรบของจอมพลฟื้นด้วยกระสุนปืนกลประจำเครื่องอย่างเกรี้ยวกราด
แต่... ยอดเสืออากาศไม่สะดุ้ง คันบังคับถูกดึงเลี้ยวซ้ายกะทันหันดิ่งหัวหลบวูบลงไปราวห้าร้อยเมตร และครั้นแล้วก็ตั้งลำเชิดขึ้นมาใหม่พุ่งเข้าหาเครื่องบินข้าศึกด้านขวามือ ซึ่งเป็นเรือธงบังคับดารดุจเหยี่ยวไล่เหยื่อ กระสุนนับร้อยของหลายชุดถูกพ่นกรูเกรียวออกไป แค่นั้นเองเครื่องบินของศัตรูผู้ผยอง ก็ม้วนเอียงลำดิ่งพสุธาพร้อมควันดำโขมง
จากนั้นเหยี่ยวฟ้าไทย โผโผนลำขึ้นเบื้องสูงทำทีจะหนีจาก และเครื่องบินของข้าศึกกำลังจะเลี้ยวไล่นั่นเอง เสืออากาศไทยก็บังคับเครื่องบินพุ่งควับลงมาดุจสายฟ้าปานกัน มีเสียงคำรามติดต่อกันอย่างดุดันกระสุนกลที่ยิงเหมือนจับวางเป็นร้อย ๆ พรูพรั่งเข้าตัดกลางลำ เครื่องบินของข้าศึกษาเป็นรูพรุนตลอดถึงแพนหาง ปรากฏเป็นควันดำแล้วก็ดิ่งสู่พสุธาไปอีกลำ
ทันทีทันใดนั้น เครื่องบินลำของข้าศึกถลาหัวฉกจิกลงมาจากเบื้องสูง สาดกระสุนกึกก้องเข้าใส่เครื่องบินของจอมพลฟื้นอย่างเหี้ยมเกรียม แต่เปล่า...เครื่องบินของเสืออากาศไทยไม่ยักมีอันเป็นไปเพราะห่ากระสุนสองสามชุดที่ข้าศึกรัวเข้าใส่ จอมพลฟื้นยิ้มอย่างเหี้ยวเกรียม นึกในใจว่าดีละ เดี๋ยวรู้กัน
ทว่า เมื่อสายตามัจจุราชของจอมเสืออากาศไทยเหลือบแลที่เครื่องวัดน้ำมัน อัตราน้ำมันที่มีอยู่จะไม่พอพาเครื่องบินกลับฐานทัพ ถ้ายังจะบินอยู่อีก
แต่อย่างไรก็ดี ก่อนตีจาก ก็ควรจะมีการอำลากันอย่างไว้ลายเสือจอมพลฟื้นลูกหมับไปที่พระยันต์แดงราชสีห์ พลางดึงตะกรุดมหารูดมงคลชาตรี (โทน) ของหลวงพ่อจง อาราธนาขอความคุ้มครองแคล้วคลาดตามพิธี ด้วยพลังจิตอันมั่นคงแน่วแน่อบอุ่นใจเต็มที่ จากนั้นก็โยกคันบังคับผงกหัวเข้าใส่นกเหล็กของข้าศึกอย่างปราศจากพรั่นพรึงปืนกลหน้าถูกเร่งกระสุนกราดออกไปถี่ยิบ พร้อมกับฝ่ายข้าศึกก็ตอบโต้ด้วยปืนหลังแล้วทำมุมเลี้ยวขวาแสดงท่าจะปรี่เข้าโจมตีใหม่อย่างบ้าบิ่น แต่ทันทีนั้นเองกระสุนอีกชุดหนึ่งของเหยี่ยวฟ้าไทย ก็กระทบเข้าที่แพนหางนกเหล็กของข้าศึกเสียงกราวสนั่นเป็นระยะข้าศึกเปลี่ยนใจเป็นบินหนี ซึ่งเป็นการสมประสงค์ของเสืออากาศไทยยิ่งนัก เพราะหากมีภาวะต้องจำพัวพันกันไป ไม่ถูกยิงหกคะเมนก็ต้องดิ่งนรก เพราะไม่มีฐานทัพจะลงและไม่มีน้ำมันสำหรับเครื่องบินจะพากลับ
เหตุการณ์เหล่านี้ ภายหลังต่อมาเมื่อศึกสงบ ทหารนักบินข้าศึกชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นนักบินผู้ทำการรบกับเครื่องบินของจอมพลฟื้นได้เล่าให้เพื่อนฝูงทหารไทยหลายคนฟังในโอกาสที่นักบินไทยผู้หนึ่งได้ไปราชการที่ไซ่ง่อน โดยเขาบอว่าการที่ทัพอากาศของเขาต้องพ่ายเสมือนไร้ฝีมือ เป็นเพราะเหตุสองประการ เครื่องบินฝ่ายเขาหย่อนสมรรถภาพและนักบินมีขวัญย่อหย่อน แต่ในประการสำคัญก็คือ มันคล้ายกับมีอุปาทานทำให้ฝ่ายเขามองเห็นเครื่องบินของฝ่ายไทย เป็นสีแดงฉานคล้ายกลุ่มควันแดง ทำให้นักบินพิศวงสงสัยและตกตื่นขวัญ
อนึ่ง โดยเหตุนี้หลวงพ่อจงชอบขึ้นเครื่องบิน ท่านมักถูกนิมนต์จากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในบางโอกาสเสมอ ท่านเคยพูดว่า เมื่อได้เหาะขึ้นเบื้องสูงแล้วหายใจสบาย มองอะไรก็เห็นเป็นธรรมชาติสวยงาม
และได้มีนักบินผู้หนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจงได้ขึ้นเครื่องบินสองที่นั่งไปกับจ่าอากาศเอกผู้หนึ่ง ขณะเครื่องบินวนไปทางอยุธยาหลวงพ่ออยากดูวิวัดหน้าต่างนอกของท่านทางอากาศ จึงชี้ทิศทางบอกให้นักบินพาไป เมื่อถึงแล้วนักบินจึงแจ้งให้ทราบ ตอนนั้นเองหลวงพ่อจงนึกสนุกขึ้นมา เพราะมองเห็นวัดของท่านมีขนาดเล็กนิดเดียว จึงกล่าวแก่นักบินว่าจะหยุดสักครู่ได้ไหม นักบินตอบว่า หยุดนั้นเห็นจะไม่ได้เพราะไม่มีสนามลง นอกจากทำได้ก็เพียงแต่เบาเครื่องโฉบลงไปต่ำหน่อย
หลวงพ่อจงหัวเราะหึหึ พูดทำนองปรารภขึ้นว่า เอ๊ะน่าจะได้นะพลางชี้นิ้วไปที่คันบังคับและเครื่องบิน ทันใดนั้นเครื่องบินมีสภาพคล้ายตกหลุมอากาศมหึมา ไม่มีอาการพุ่งไปข้างหน้า แต่หล่นวูบลง นักบินตกใจเป็นอย่างมากและยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ไขอย่างไรดี ด้วยไปคิดสงสัยในด้านว่าเครื่องบินอาจมีอุบัติเหตุเครื่องเสีย ในใจก็ให้นึกเป็นห่วงหลวงพ่อจง ครั้นเหลียวมามองดูก็เห็นท่านหลับตาเฉยราวเกือบสิบวินาที ท่านจึงลืมตาขึ้นในขณะที่นักบินก็ง่วนอยู่กับการตรวจดูนั่นนี่หาทางแก้ไขเพื่อความปลอดภัย แล้วก็ได้ยินหลวงพ่อจงพูดยิ้ม ๆ ขึ้นว่า ลงมามากโขพอแล้วเครื่องบินบินต่ำแบบนี้หัวใจมันวูบวาบชอบกล
ท่านพูดสิ้นคำ เครื่องบินก็ครางกระหึ่ม ทรงตัวเคลื่อนลำพุ่งหน้าออกไป พ้นจากภาวะดั่งราวถูกดูดดึงอยู่กลางหลุมอากาศ
ในยุคสมัยไล่ไล่กัน มีพระเกจิที่มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสในอิทธิบารมีของท่าน ยุคเดียวกับหลวงพ่อจงรุ่นราวคราวเดียวกันหลายองค์และแต่ละองค์มักได้รับนิมนต์ไปกระทำพิธีสงฆ์ เผยแพร่ธรรมบรรณาการในสถานที่ต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศ มีหลวงโอภาสี (มรณภาพแล้ว) หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเดิม วัดหนองบัว พิจิตร หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง สมุทรปราการ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย ปราจีน หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อฟ้อน ลพบุรี ฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้มีสมญาเป็นวลียกย่องจากบุคคลทั่วประเทศว่าเป็นเกจิอาจารย์ชั้นบรมครูแต่ในกลุ่มนี้ ดูเหมือนหลวงพ่อจงจะเป็นผู้ได้จาริกเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปตะวันตกตะวันออกถี่และบ่อยหนยิ่งกว่าองค์อื่น เพราะท่านมีปณิธานแน่วแน่อยู่ว่า ได้รับนิมนต์มาเป็นต้องไป ไม่ว่าใกล้หรือไกล ท่านไม่เคยบ่นเบื่อหน่าย หรือบ่นว่าด้วยความรำคาญใจว่าถูกรบกวน ทั้งไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยขบในการเดินทาง และต้องไปกระทำพิธีใดตามคำอาราธนาที่เขามีปรารถนานิมนต์ท่านไป
หลวงพ่อจงขึ้นชื่อว่า เป็นอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยสง่าราศีมาก ผิวพรรณวรรณะของท่านผ่องใส ดวงหน้าผุดผ่องด้วยละอองเลือด และเมลืองเรื่อไปด้วยรัศมีแห่งพระ แห่งความเมตตาฉายกราดอยู่ตลอดเวลา สายตาของท่านมองทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน ผู้องอาจมีสง่าหรือผู้อาภัพหม่นหมอง ท่านมองทุกคนด้วยสายตาของมิตรผู้พร้อมจะเข้าช่วย และโดยมากผู้ที่วิงวอนขอให้ท่านช่วยปลดเปลื้องทุกข์ แม้ท่านเองต้องเสียสละเพียงไร ท่านก็ไม่เคยทำให้ผู้ขอผิดหวัง นอกจากสิ่งที่ท่านไม่มีและไม่อาจแสวงหาให้ได้หรือหมดหนทางช่วยเพราะผิดศีลผิดธรรม
ยิ่งกว่านั้น ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน พอใจในความอะลุ้มอล่วยไม่ต้องการให้ใครทะเลาะเบาะแว้งวิวาทแก่งแย่งชิงดีกันในทางผิดศีลธรรม หลวงพ่อจงถือว่าเป็นภารกิจอันหนักอึ้งซึ่งท่านจะต้องแบกไว้เสมอ แม้ว่าบางครั้งท่านจะต้องลำบากยากกาย เพื่อเสียสละในการเข้าโอบอุ้มช่วยคนทำถูก สิ่งที่ท่านหมั่นกระทำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็คือ พอใจเกลี้ยกล่อมให้โอวาทแก่ผู้ประสบทุกข์ร้อนด้วยการแนะแนวทางที่ชอบที่ควรให้เอาไปมั่นประพฤติปฏิบัติ ท่านเป็นผู้มีภูมิปฏิภาณสูงส่ง สามารถรอบรู้จิตใจผู้ที่เข้าหาท่าน และรู้ว่าท่านพูดอย่างไรจึงจะเป็นที่สบอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของเขาประกอบกับท่านมีความรู้ในการดูลักษณะคนเป็นอย่างเยี่ยมยอด เพียงแต่เห็นดวงหน้า ท่าทางเดินเหินยืนนั่ง และพูดจาฟังน้ำเสียง ท่านก็จะหยั่งทราบได้ทันทีว่าบุคคลผู้นั้นมีสภาพฐานะเป็นอย่างไร และควรจะยึดถืออาชีพเป็นหลักธำรงชีวิตอย่างไรจึงจะมีฐานะมั่นคงสถาวรตามสมควรแก่อัตภาพ บุคคลนับเรือนหมื่นแสนที่ได้รับคำชี้แจงแนะนำจากหลวงพ่อจง แล้วเชื่อถือเอาไปปฏิบัติตามไม่ทอดทิ้ง ปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีอาชีพหลักแหล่งเป็นหลักฐานทำมาหากินคล่อง มีความสุขกายสบายใจตามอัตภาพอันสมควร
เกี่ยวกับเรื่องรางของขลัง ซึ่งท่านปลุกเสกเวทย์วิทยาคม กระทำภาวนาด้วยบุญฤทธิ์อธิษบานอันเป็นพลังจิตแกร่งกล้าในแนวที่ให้ความนิยมกันมากนั้น ส่วนมาก แรก ๆ ท่านก็ใช้แนวทางความรู้อันดีที่เรียนมาจากท่านพระครูโพธิ เจ้าอาวาสวัดหน้าต่างในผู้เป็นปรมาจารย์องค์แรกของท่าน แต่ต่อมาเมื่อท่านได้ศึกษารอบรู้ในหลักการอันเป็นกฏเกณฑ์ของผู้จะไต่เต้าเข้าหาความสำเร็จในอภิญญาอันเป็นพุทธวิธีชั้นสูงสุด จากนั้นมาท่านก็ใช้ความรอบรู้อันเกิดจากภูมิปฏิภาณของผู้ใกล้เป็นสัพพัญญูเยี่ยงท่านผู้เป็นองค์อรหันต์แต่โบราณกาลมานั้น เข้าบำเพ็ญธรรมกิจเพื่อให้บรรลุผลในทางอิทธิบารมีจนสามารถอาจดลบันดาลให้ผลดีตามความต้องการของบุคคลที่เป็นคนดีสมมโนรสปรารถนา และดังนั้นก็พูดได้ว่าวิทยาอาคมของท่านมิใช่ในแนวทางไสยศาสตร์
หลวงพ่อจงเมื่อให้สิ่งของปลุกเสกของท่านแก่ผู้ใด ท่านจะต้องบอกเตือนสติด้วยการให้คติเสมอว่า ขอให้รักษาตัวรักษาใจไว้ให้จงดี ศีลธรรมอย่าลืม หากหมั่นบูชาพระ รำลึกถึงพระและหมั่นศรัทธาปฏิบัติพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจแล้ว ยากนักจะมีโพยภัยเหล่าใดเบียดเบียนบีฑาราวีขอให้ท่องไว้ในใจเสมอว่า เวรย่อมมีขึ้นเฉพาะเมื่อได้มีการก่อเวร มีหนี้ก็หนีไม่พ้นจะต้องชดใช้เขาในเวลาหนึ่ง... คนเราไม่ทำบาปพึงไว้ใจได้ว่าต้องมีมีบาปใดติดตามสนองปองผลาญ จงหมั่นแจกจ่ายเมตตาอย่าให้ขาดสาย คงต้องได้กุศลแรงกว่ากุศลอื่นใดหลายเท่านัก
มีเรื่องเล่าลือกันมากเรื่องหนึ่งว่า
ครั้งหนึ่ง ณ ตำบลบางช้าง ได้มีพระเกจิอาจารย์หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจีม ท่านพระอาจารย์ฟ้อน หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อจง ได้รับกิจนิมนต์ไปร่วมพิธีสงฆ์ร่วมกันในงานพิธีนั้นเจ้าของบ้านเขาได้เอาไม่ไผ่มาจักตอกสลับเป็นฉัตรเจ็ดชั้นรูปลักษณะคล้ายเจดีย์ยอดสูงมีความสูงราวสักสองวาเห็นจะได้ และเจ้าของผู้เป็นเข้าพิธีได้อาราธนาขอให้เหล่าเกจิอาจารย์ปีนขึ้นไปบนยอดฉัตร โดยถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์มาประทานพระให้กับเจ้าของบ้าน อันนี้จะเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่อย่างไร เมื่อเขาอาราธนานิมนต์พระเกจิเหล่านั้นท่านก็มีอาการอีหลักอีเหลื่อ แต่บางองค์เห็นว่าจะกระทำมิได้เพราะไม่ไผ่สานถักเป็นรูปฉัตรสูงตั้งสองวานั้น และมีลักษณะแบบบาง ตามรูร่องที่ทำไว้ให้เหยียบก็ไม่มั่นคง อาจงอหักเรือล้มลงมามีอันตรายได้โดยง่าย พระหลายรูปจึงปฏิเสธ
จะมีก็หลวงพ่อเดิม เห็นว่าควรรับนิมนต์ไม่ควรขัดอัธยาศัยเจ้าของบ้าน ซึ่งขณะนั้นทั้งหลวงพ่อเดิมและหลวงพ่อจงต่างมีชื่อโด่งดังในทางคล้ายคลึงกัน หลวงพ่อเดิมได้ปรึกษาหลวงพ่อจงว่า หากท่านเห็นด้วย เราทั้งสองควรรับนิมนต์เป็นผู้เทนพระรูปอื่นเสียด้วยก็จะดี จะได้เสร็จกิจไป เพราะเคยได้ยินว่าท่านก็มีพลังจิตในทางทำตัวเบาเป็นเยี่ยม... พลางก็ชี้ฉัตรด้านข้างเป็นสัญญาณว่าให้หลวงพ่อจงไปที่นั่น ส่วนหลวงพ่อเดิมเองยึดเอาฉัตรที่ตั้งตรงหน้า ตั้งท่าป่ายปืนขึ้นไป อันฉัตรที่สร้างด้วยไผ่สานนี้ ไม่มีที่เกาะจับ แม้จะสอดเท้าเข้ารูที่เว้นเป็นช่องไว้ก็จะสอดเข้าได้เพียงปลายนิ้วเท้าเท่านั้น
ฝ่ายหลวงพ่อจงไม่ว่ากระไร ท่านหัวร่อหึหึ แล้วออกเดินดุ่มไปหาฉัตรที่ห่างออกไปราวสามวาทันที
หลวงพ่อเดิมสอดปลายเท้าเข้าไปที่รูสำหรับเหยียบ มือเพียงแตะฉัตรก้าวอย่างแผ่วเบาปราดขึ้นไป ท่ามกลางสายตาผู้คนรอบ ๆ ชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น พลางปรายตามองดูหลวงพ่อจง แต่แล้วก็ต้องตะลึงเพราะพอหลวงพ่อเดิมขึ้นไปได้ราวห้าศอก หลวงพ่อจงก็ขึ้นไปยืนคร่อมยอดฉัตรซะแล้ว
เรื่องราวเกี่ยวกับความเก่งกาจ แผลง ๆ ซึ่งบุคคลและสงฆ์อื่นยากจะทำได้ ยังมีเรื่องพิลึกพิลั่นมาเล่าลือสืบเนื่องกันอีกมาหลายกระทงความอย่างกับอีกครั้งหนึ่งท่านไปปัตตานี และสงขลาตามคำอาราธนานิมนต์ให้ไปประกอบพิธีมงคลทางพุทธศาสนา ได้มีคนนอกศาสนา สติไม่ใคร่เรียบร้อย มักชอบตะลบตะแลงลิ้นพ่นหาว่าพระสงฆ์ไทยไม่ดีจริงไม่เก่งจริง กล่าวท้าทายกระทำว้าวุ่นหลายครั้งหลายคราต่อภิกษุสงฆ์ไทยหลายองค์ และวันที่เขาจะเจอดีก็มาถึงเมื่อหลวงพ่อจงต้องเดินทางผ่านสวนยางพาราของเขาไป เห็นมีไฟป่าลุกไม้อย่างรุนแรงแล้วลามเข้าหาสวนยางของเขา เขาผู้นั้นได้ร้องเอ็ดตะโรและคร่ำครวญต่าง ๆ นานาว่าฉิบหายแล้ว ฉิบหายแน่. หลวงพ่อจงเห็นเป็นการน่าเวทนา จึงพูดขึ้นว่า ไม่ฉิบหายน่า พูดแล้วท่านก็ปีนขึ้นไปบนยอดกอไผ่จีนที่ขึ้นอยู่ข้างทาง เอายอดไผ่มาอมในปาก สะบัดไปแล้วร้อง ดับ...ดับ...ดับ...ดับ...ซึ่งอีกสิบนาทีต่อมา ไฟป่าก็ดับโดยอัศจรรย์ ทำคนนอกศาสนาคนนั้นเกิดอาการตะลึงจังงัง และแต่นั้นมาก็ไม่กล้ากระทำวุ่นวายท้าทายใครต่อใครในพุทธศาสนาอย่างคนปากพล่อยสามหาวอีก พร้อมทั้งมีจติใจหันไปเคารพศรัทธาเลื่อมใสต่อภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งสืบไปในระยะหลังของชีวิต
เคยมีผู้สงสัย แคลงใจหลายข้อกระทงความต่อคำเลื่องลือต่าง ๆ ที่ออกจะเชื่อยากว่า เรื่องราวเหล่านี้ที่เขาเล่าลือกันมาจะเป็นความจริงเพียงใด
หลวงพ่อจงกล่าวตอบด้วยอาการสำรวมมีนัยว่า เรื่องของอารมณ์อย่างนี้ อริยสงฆ์ไม่พึงถือเป็นกิจ แต่อาตมาจะเคยทำอะไรมาบ้าง ถ้าเป็นเรื่องนานแล้ว ก็ไม่ได้สนใจจดจำเอาไว้ เพราะต้องใช้เวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์หนักเหนื่อยอยู่เป็นอันมาก ทำชั่วชีวิตก็ยังคงทำไปไม่ได้เท่าไร ส่วนผู้อื่นจะพูดกล่าวขวัญถึงอาตมาทำนองไหนอย่างไร อาตมาไม่ถือสาโกรธเขาดอกนะ
สมควรกล่าวขวัญถึงอัธยาศัยและอารมณ์กับการปฏิบัติตามความรู้สึกนึกคิดของหลวงพ่อจงอีกสักหน่อย เพราะท่านเป็นสงฆ์ประเภทที่มีผู้กล่าวขนานสัญลักษณ์เป็นวลีได้เต็มภาคภูมิว่า ท่านคืออริยสงฆ์จริงแท้แห่งพุทธสาวกในพระพุทธศาสนา แต่อย่างไรก็ดี เรื่องราวความเป็นมาเมื่ออดีตของท่านเต็มไปด้วยเรื่องราวขานไขมากเรื่อง ส่วนมากก็เป็นกรณียกย่องเชิดชูว่า ท่านทรงอิทธิบารมีแก่กล้าไปในทางอิทธิปาฏิหาริย์พิลึกพิลั่น จริงหรือเท็จยากจะพิสูจน์ เพราะตามความเป็นจริงของข้อเท็จจริงอยู่ที่ว่า มีเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเมื่อผู้ใดเอาไปซักไซ้หาคำตอบจากท่าน ท่านไม่ใช่นักพูดและไม่มีนิสัยเป็นผู้ชอบโอ้อวด ทั้งไม่ชอบข่มขู่ใครทั้งทางกาย วาจา ใจ ท่านก็มักตอบปฏิเสธในท่วงท่าแบบเดียวกับเรื่องหลวงพ่อเดิมดังกล่าวเป็นนิจ อนึ่งในประการสำคัญก็คือ ระหว่างอายุ 30 ถึง 70 เศษ ท่านไปไหนมาไหนก็มักมีแต่ศิษย์เล็ก ๆ ไม่ใคร่สนใจอะไรติดตามรับใช้ปรนนิบัติ จวบจนอายุ 80 เศษ จึงมีชนชั้นมีอายุติดตามเพราะเห็นกันว่ามีวัยชรามาก กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุบังเอิญขึ้น ด้วยประการฉะนี้ นอกจากมีผู้รู้เห็นเองบ้าง ฟังจากคำเลื่องลือบ้าง กล่าวขวัญถึงท่านในทางที่เป็นความอัศจรรย์ของสมรรถภาพ หรือ อิทธิบารมีจึงเป็นเรื่องค้นหาประจักษ์หลักฐานยาก ผู้ได้ยินได้ฟังมาพูดมาร่ำลือกันนั่นแหละ หนทางที่ดี จะต้องวินิจฉัยรับผิดชอบต่อเรื่องราวที่นำเอามาพูดสู่กันฟัง... แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อรับรองซึ่งสาธุชนพึงเชื่อมั่นได้แน่นอนอย่างหนึ่งก็คือ ในชีวิตของหลวงพ่อจง หากสิ่งใดเป็นความประพฤตินอกรีดนอกรอย ไร้ศีลสัจธรรม หลวงพ่อจงท่านจะต้องนำตนพ้นหนี มิยินยอมนำพาข้องแวะด้วยอย่างเด็ดขาด ในชีวิตของท่าน น้อยหนหรือพูดได้ว่า ...ไม่มีเสียเลย... คือไม่มีใครผู้ใดจะสามารถย้อมอารมณ์ให้บังเกิดอาการรังเกียจหรือโกรธเคืองท่าน จากพฤติการณ์ทั้งทาง กาย วาจา ใจของท่าน
แต่มันก็แปลก ความเชื่อและความตื่นของคนเรานี้ช่างมีอานุภาพกังวานก้องไกล กรณีร่ำลือเกี่ยวกับหลวงพ่อจง แม้ท่านจะยิ่งปฏิเสธในปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ผู้คนก็ยิ่งเอาไปร่ำลือกันหนักเข้า มีสภาพดุจดั่งเอาน้ำมันราดบนกองไฟปานนั้น

อุดมทัศนะและสัจธรรม
หลวงพ่อจง มีปณิธานดำรงอัตตะของชีวิตบรรพชิตของท่านด้วยอาการเคร่งต่อศีล
นอกจากพลังจิตของท่านเหี้ยมฮึกต่อทมะ คือ สามารถต่อการคุมจิตของตนไว้ใต้อำนาจ มิให้กระดิกกระโดดออกนอกทาง ที่เคร่งมากที่สุด คือ มั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ และใช้มากหนักไปในทางเมตตาแต่กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็มีครบครัน นอกจากนี้ ท่านยึดมั่นในหลักจาคะ สมัครใจเสียสละเพื่อผู้อื่นเท่าที่สามารถทำได้ตามที่กล่าวถึงมาตอนต้น ๆ แล้วประการสำคัญก็คือ เป็นผู้ดำรงสัจจะ และต้องการอบรมคนทุกคนให้เป็นผู้มีสัจจะ ไม่พูดปดมดเท็จ
ดังนั้น ทั้งที่ท่านโกรธใครยากที่สุด ทว่าหากเป็นในเรื่องการกล่าวคำเท็จ ท่านมักมีอามรณ์เผลอโกรธเหมือนกัน เป็นแต่สามารถระงับได้รวดเร็ว มิปล่อยให้ไฟโกรธครอบงำอารมณ์เป็นายเหนือการบังคับพลังจิตของท่าน จนต้องตกเป็นทาสของมันให้กระทำการก่อเหตุเภทภัยขึ้น
หลวงพ่อจงมีเกียรติคุณเป็นที่นิยมกว้างขวางจริงจังในคุณแห่งวิทยาคม เมตตา เป็นอันดับแรก ต่อไปก็เป็นคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดมหานิยม และน้ำมนต์ของท่านขึ้นชื่อลือชาว่า สามารถสะเดาะเคราะห์ ความอับโชคได้ผลประสิทธิมาก ด้วยประการฉะนี้ วัดหน้าต่างนอกจึงปรากฏมีทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนแทบทุกจังหวัดเดินทางไปมานมัสการขอรดน้ำมนต์จากท่านไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่มีงานฉลององค์พระประธานในโบสถ์ ปรากฏว่าได้มีประชาชนจากทั่วทุกทิศเป็นจำนวนร่วมแสนคน ไปร่วมพิธี ณ วัดหน้าต่างนอกตลอดทั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน และได้ร่วมบริจาคเงินอย่างมากมาย ซึ่งต่อมา พระประธานในพระอุโบสถวัดหน้าต่างนอก ที่หลวงพ่อจงเป็นประธานสร้างนั้น ก็ได้รับพระราชทานพระราชลัญจกรนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินี้นาถ "พระสัพพัญญู" เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 อันเป็นวันหลังจากที่หลวงพ่อจงได้ถกคัดเลือกนิมนต์ไปร่วมกระทำพิธีถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าย่า ของสมเด็จพระบรมราชินี พร้อมด้วยพระเถรานุเถระ สำคัญและล้วนมีเกียรติคุณสูง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชอัธยาศัยโปรดในความมีบุคลิกพิเศษ เต็มไปด้วยสง่าราศีของหลวงพ่อจงไม่น้อย และได้ทรงมีพระราชปฏิสันถารด้วยพระราชอัธยาศัยเป็นอันดีบ่อยครั้ง ในที่สุดทรงมีพระราชเสาวนีย์ขอรับเป็นองค์โยมอุปัฏฐานของวัดหน้าต่างนอก แต่ตราบกระทั่งหลวงพ่อจงมรณภาพ ไม่เคยทำเรื่องรบกวนพระราชหฤทัยเลย เคยมีผู้แนะให้ขอพระราชทานเงินสร้างเขื่อนกั้นน้ำและหอระฆัง กับปฏิสังขรณ์โบสถ์ของวัดหน้าต่างในซึ่งชำรุดมาก จนทำสังฆกิจมิได้ ซึ่งเป็นอุปสรรคไม่สะดวกแก่การสัญจรทั้งของวัดหน้าต่างนอกและวัดหน้าต่างใน หลวงพ่อจงได้ปฏิเสธว่า ไม่ควรรบกวนพระราชอัธยาศัยในการนั้น เพราะท่านที่ทรงสำแดงพระเมตตารับเป็นองค์อุปัฏฐาน ก็นับว่าเป็นนิมิตมงคลแก่ท่านและวัดมากอยู่แล้ว เรื่องของวัด วัดก็ควรทำเอง เพราะเรื่องสร้างเขื่อนนี้ต้องค่อยทำค่อยไป ประชาชนทั่วไปก็ร่วมมืออยู่แล้ว คงทำสำเร็จจนได้ในวันหนึ่ง
หลวงพ่อจงเป็นผู้มีอัธยาศัยปกติไม่ชอบรบกวนจุกจิกต่อน้ำใจใคร ไม่เคยบิณฑบาตรขอร้องอะไรต่ออะไรจากใคร โดยมากมักมีผู้ไปนมัสการท่าน แล้วมองตรวจหรือสอบถามเพื่อช่วยเหลือทำบุญแก่ท่านเอง เช่น รู้ว่าท่านขาดเหลืออะไร มีอันใด ทำให้ท่านมีความไม่สะดวกเป็นความอึดอัดต่างก็จัดหาถวาย แต่ถ้าหากจะถามท่านว่า ท่านจะต้องการสิ่งนี้สิ่งนั้นไหม ท่านจะปฏิเสธทันทีว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ หรือ รอไปก่อนดีกว่า หรือ ไม่เป็นไรหรอก อาตมายังไม่ปรารถนา
บรรดาพระราชวงศ์ พ่อค้าเศรษฐี ข้าราชการทุกประเภทโดยทั่วไปส่วนมากที่เคารพสักการะศรัทธาต่อท่าน ต่างมักพากันไปมาหานมัสการและคอยสอดส่องอุปการะท่านเสมอ อาทิ พระองค์ชายอนุสรณ์ พระองค์ใหญ่เฉลิมเขตต์ พระองค์เจ้าเฉลิมพล พระราชวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุภัณฑ์ น.อ.ประสงค์ สุชีวะ ฯลฯ
หลวงพ่อจงเป็นผู้มักน้อยมีสันโดษมาแต่เล็ก ดังนั้นเมื่อดำเนินตามแนวพุทธวิธีตามพระธรรมคำสอน ท่านจึงสามารถสำเร็จในฌานสมาบัติได้โดยมิยาก
ชีวิตวัยเด็ก นอกจากช่วยพ่อแม่เลี้ยงควาย ดูแลบ้านและน้องแล้ว หลวงพ่อจงมิเคยทำงานหนักเบาสิ่งใด เพราะมีลักษณะคล้ายเป็นคนพิการ ตาก็ฝ้าฟาง หูก็ตึง แต่เป็นการอัศจรรย์ นับแต่เข้าเป็นพระภิกษุแล้ว ความพิการต่าง ๆ หายไปเป็นปลิดทิ้ง อวัยวะทุกสิ่งแจ่มใส อายุ 92 ปี ยังอ่านหนังสือได้โดยมิต้องใช้แว่น และยังสามารถสนตะพายเข็มได้ด้วยตนเอง ยกเว้นจากหูซึ่งมีประสาทชา ต้องพูดกับท่านดังหน่อย
หลวงพ่อจงเป็นผู้เคร่งครัดต่อการรักษาความสะอาด มีจิตใจเป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ บริเวณในวัดนอกวัด หากท่านอยู่ไม่ไปไหนจะต้องทำการปัดกวาดขัดเกลาด้วยตนเองเสมอ และไม่ชอบใช้ใครทำหากใครจะช่วยทำก็ให้มาทำเองด้วยความสมัครใจของเขา ทั้ง ๆ ที่ท่านมีศิษย์ไม่ต่ำกว่าห้าคนอยู่ประจำเสมอ
ตั้งแต่วัดหน้าต่างนอกเคยมีงานพิธีใด ๆ มา มีผู้มาร่วมชุมนุมสมทบการกุศล ชมงานวัด ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่จะเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้มีทหารยศนายสิบผู้หนึ่ง เกิดอาการมึนเมาครองสติไม่อยู่ ได้อาละวาดไล่ตีผู้คนและชักปืนยิงวุ่นวาย มีผู้ไปนิมนต์หลวงพ่อจงขอให้ไปห้ามระงับเหตุ ท่านหัวร่อ พลางบอกว่าไม่ต้องห้ามเดี๋ยวก็หยุดไปเอง หากอาละวาดจนหยุดไม่ได้ ก็เห็นจะต้องตาย
...มันช่างเป็นความอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น หลวงพ่อจงพูดขาดคำไปไม่ถึงสิบนาที มีคนวิ่งกระหืดกระหอบไปแจ้งท่านว่า นายสิบทหารผู้นั้นตายเสียแล้ว โดยอยู่อยู่ก็อวดศักดาเอาปืนจ่อขมับตนเอง อวดใครต่อใครว่าเป็นผู้ศักดาอาคมขลัง ปืนยิงไม่เข้า
และอีกครั้งหนึ่ง มีนายทหารชั้นร้อยโทผ่านศึกอินโดจีน เป็นคนพิการขาขาด ได้ไปขออาศัยอยู่ด้วย หลวงพ่อจงก็ไว้วางใจ มอบให้เป็นผู้เก็บรักษาเงินของวัด อยู่มาสองปีเศษ เงินของวัดก็สูญหายไปเรื่อย ๆ มากบ้างน้อยบ้าง แต่หลวงพ่อจงก็ไม่เคยเป็นห่วงเอาธุระซักไซ้ดูว่าอย่างไร สืบมาไม่นาน หลวงพ่อจงได้เงินมาหมื่นเศษก็มอบให้ไว้อีก โดยบอกว่าเงินนี่จะเอาไว้ทำโบสถ์ให้รักษาไว้ให้ดีหน่อย
ต่อมาถึงเวลาต้องการใช้เงิน คนผู้นั้น กลับตอบปฏิเสธว่าเงินไม่มีเสียแล้ว หลวงพ่อจงกล่าวซักว่า ...ก็ให้เก็บไว้บอกว่าจะเอาทำโบสถ์ ทำไมว่าเงินไม่มี พูดเป็นคนเสียสตินี่...
อีกสี่วันต่อมา บุรุษพิการขาขาดผู้นั้นได้กลายเป็นคนบ้า บ้าขนาดหนัก และมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันก็เกิดมีอาการคลุ้มคลั่งขนาดตรีทูตจนป่วยเป็นไข้อย่างแรงถึงเสียชีวิต
หลวงพ่อจงมีกิตติคุณอีกทางหนึ่งในการใช้น้ำมนต์ น้ำมันมนต์ของท่าน ท่านสร้างเองโดยหุงเดือดแล้วบริกรรมด้วยอาคมขลัง แล้วเอามือคนไปจนได้ที่ น้ำมันนี้มีสรรพคุณกินแก้ปวดท้อง หยอดยาแก้เจ็บ ตาแดง ตาต้อ ทานวดแก้เมื่อยขบ
ในชีวิตของท่าน ท่านต้องปฏิบัติกิจโดยพิถีพิถันและต้องไปร่วมพิธีใหญ่ ๆ ของทางราชการ และของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าในการปลุกเสกอาคมสร้างของขลังในชมรมบรรดาเกจิอาจารย์หรืองานหลวง เช่น พิธีพุทธาภิเษกเหรียญและรูป อดีตสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรศิริวัฒน์ พิธีพุทธาภิเษกพระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ ตลอดจนถึงพิธีพุทธาภิเษกครั้งหลังสุดในชีวิต 94 ปีของท่าน คือพิธีพุทธาภิเษกสร้างเหรียญพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ปัจจุบันกับร่วมในพระราชพิธีฉลองพระชนมายุครบสามรอบ ณ วัดราชบพิธ นี่ย่อมเป็นเครื่องสำแดงว่า มิว่าในสังคมชั้นใดเอกชน หรือว่าวงราชการชั้นสูงสุดแค่ไหน หลวงพ่อจงถูกยอมรับนับถือเป็นยอดอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ คุณธรรมสูงสุดผู้หนึ่ง
ประการสำคัญ ในชีวิตท่าน หลวงพ่อจงมิเคยมีอารมณ์หลงตะหงิดอยากได้นั่นได้นี่เป็นสมบัติ นอกจากกระทำไปตามหน้าที่ เช่น สร้างกุฏิซึ่งเก่าคับแคบ มีน้อยให้มากขึ้นที่วัดหน้าต่างนอกตามอัตภาพ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างโรงเรียนตามที่ทางราชการ อำเภอ จังหวัดนิมนต์พึ่งขอความร่วมมือจากบารมีของท่าน แต่อย่างไรก็ดี สิ่งของของวัดท่าน เช่น ตะเกียงเจ้าพายุ (สมัยนั้นยังไม่มีผู้ถวายไฟฟ้ากำเนิดแก่วัด) หากวัดอื่นยากจนกว่าไปขอใช้ ท่านก็ให้ไป ศาลาวัดบางหลังที่ควรเอาไว้ใช้ แต่มีผู้มาบอกว่าจะขอรื้อเอาไม้ไปทำโรงเรียน ช่วยเด็กไม่มีโรงเรียนจะนั่งเรียน ท่านก็อุทิศให้ไปอย่างยิ้มแย้มเต็มใจ ท่านได้พัดวิเศษอันสูงค่ายิ่ง เพราะเป็นของพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อมีผู้มาขอยืมไปใช้เพราะเห็นว่าสวยสุดสง่า แต่แล้วไม่เอาคืนให้ มีผู้อาสาไปเอาคืน ท่านก็เพียรครางหึหึในลำคอ พลางก็ห้ามว่า เมื่อคนอื่นเขาพอใจจะเป็นเจ้าของเอาไว้ครองเป็นสมบัติของเขายิ่งกว่าเรา เราอุทิศให้เขาไปเสียให้สมใจ ก็มิเห็นจะเป็นไรไป
พฤติการณ์กรณีวาจาสิทธิ์ ของหลวงพ่อจงมีผู้พูดถึงกันมาก และ ปรากฏมีผู้ศรัทธาเชื่อกันว่า ท่านมีวาจาดุจดังพระร่วงอะไรทำนองนั้น แต่ท่านก็ไม่เคยว่ากล่าวใครสักกี่ราย แม้แต่การให้พรท่านก็มักให้แต่ในแนวทางสงฆ์ มีการสวดมนต์ภาวนาประพรมน้ำมนต์ ไม่เคยกล่าวคำอวยพรให้ใครอย่างใดในแบบสังคม
กล่าวกันทางด้านสุขภาพ หลวงพ่อจงมีสุขภาพอนามัยดีเลิศ โรคที่มีบ้างก็แค่หวัดธรรมดา กิจวัตรการฉันของท่านก็เช่นเดียวกับสงฆ์อื่นเปลี่ยนแต่เป็นว่าตอนเช้าหกโมง ท่านฉันข้าวต้มหมูชามขนาดกลางชามหนึ่ง น้ำชากาแฟไม่ฉันเลย ส่วนน้ำดื่มชอบน้ำต้มธรรมดา ๆ เท่านั้น อย่างอื่นไม่ดื่มเลย เคยติดยานัตถุ์และบุหรี่อยู่ 4 - 5 ปี แต่ต่อมาเห็นว่าเป็นเครื่องทำให้รำคาญรุงรัง เพราะต้องเอาติดย่ามไปด้วย ทำให้มีห่วง ท่านเลยตัดสินใจเลิก เป็นการตัดกังวล มีผู้ถามว่า ของสองสิ่งเป็นยาเสพติดมีฤทธิ์ชะงัด เลิกกับมันยากนัก มีคนอยากเลิก เลิกไม่ได้ ท่านมีวิธีขมังอย่างไร หลวงพ่อเพียงตอบยิ้ม ๆ
"...ตั้งใจอดจริง ก็ต้องทิ้งมันได้... ไม่มีอะไรในโลก ซึ่งเราตั้งใจทำและทำจริงแล้วจะทำไม่ได้ ทำได้ดีหรือไม่ สุดแต่กรรมและวาสนา หรือที่เรียกว่า แล้วแต่พระพรหมลิขิตไว้ประจวบเหมาะอย่างไรนั่นเอง..."
อย่างไรก็ดี เวลาเข้านอนของท่าน กลับไม่เป็นเวลาแน่นอนเสมอไป เว้นแต่อยู่ที่วัดของท่าน แต่ก็อีกนั่นแหละ หากมีผู้ไปเยี่ยมนมัสการ ท่านก็มักไม่ชอบจะหนีเข้านอนในเวลาราวสี่ทุ่มอันเป็นปกติ เพราะท่านชอบรับแขก และเกรงใจว่าเขาอุตส่าห์ไปหา ก็ควรต้อนรับคุยกันให้เขาได้รับสิ่งที่ต้องการสมปรารถนา จวบจนวัยย่าง 90 เป็นต้นมา ลูกศิษย์ลูกหาเกรงกันว่าสุขภาพของท่านจะร่วงโรยเกินไป จึงมักจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนท่านเกินเวลากำหนดเข้าจำวัด
ก่อนนอน หลวงพ่อจงมักชอบเล่นกับแมว อุ้มมันตบหัวลูบหลังมันอยู่ราวสิบนาที จากนั้นศิษย์ทุบน่องทุบหลังอีกราวสิบถึงสิบห้านาทีเป็นอย่างมากจึงนอนหลับไปเลย วิธีนอนของท่านก็แปลก ตอนแรกจะนอนแบบก้มหลังโก้งโค้งพร้อมด้วยมีผ้าคลุมตลอดองค์ เป็นเช่นนี้ตลอดไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง แต่ก็จะกลับมาอยู่ในลักษณะนี้ จนถึงเวลาตื่นราวตีสี่ จากนั้นก็กระทำกิจวัตร คือปัดกวาดทั่วตลอดวัดด้วยตนเอง เสร็จก็พอดีได้เวลาเคาะระฆัง เรียกเป็นสัญญาณทำวัตรสงฆ์ร่วมด้วยภิกษุลูกวัด อย่างนี้เป็นนิจ
วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง
บรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงออกซึ่งพลังพิสดารกลายเป็นคำเลื่องลือนับถือในอานุภาพนาประการ ของหลวงพ่อจงอย่างไรก็ตามที เมื่อมีบุคคลเชื่อ บุคคลผู้ปราศจากเชื่อก็คงต้องมีควบคู่กันไป ดุจมีดำต้องมีขาวไม่มีปัญหา และจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็ปราศจากข้อพิสูจน์อำนาจลึกลับที่ (อาจ) มีขึ้นจริง ในเหล่าคนผู้ไม่ศรัทธาก็ไม่เชื่อเป็นธรรมดา
เมื่อราวปลายปีพ.ศ.2506 ได้มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า หลวงพ่อจงก็มีอายุมากแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาจะต้องมีมาสู่ท่าน และขณะนั้นท่านก็มักมีกิจเป็นห่วงอย่างเดียว คือประสงค์จะสร้างเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมหน้าวัดหน้าต่างใน ด้านนอกของวัดหน้าต่างนอกของท่าน กับบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์ที่เกือบใช้การไม่ได้ให้มีสภาพดีขึ้นจนใช้การได้ไปก่อน โดยมิใช่คิดสร้างใหม่เป็นเงินล้านอย่างเขาอื่น กับสร้างหอระฆังให้มีสภาพโอ่อ่าขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้บ้างบกพร่อง บ้างมิมีโอกาสสร้างไว้ก่อน ทั้งที่เป็นเรื่องภายในวัดของท่าน มัวแต่ใช้เวลาไปวุ่นวายช่วยธุรกิจของผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดไม่กล้าและไม่พึงใจจะออกปากรบกวนชวนเชิญใครให้เขาทำบุญ เพราะถือว่าการทำบุญไม่ต้องเชิญชวน มันแล้วแต่จิตใจของผู้จะทำด้วยศรัทธาแค่ไหน โดยความนึกคิดของเขาเองเป็นสำคัญ จึงพากันเสมอข้อคิดเห็นว่า สมควรสร้างรูปเป็นรูปปั้นของท่านขึ้น และสร้างหนังสือประวัติของท่านขึ้น เขียนทุกสิ่งเกี่ยวกับท่านด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นข้อเท็จจริง ทั้งสองสิ่งนี้สืบไปเบื้องหน้า หากใครเขานับถือเคารพมีศรัทธาตัวท่านจริงจังมิเสื่อมคลาย เขาก็จะได้หาไปไว้บูชาสักการะแทนตัวจริงของท่าน ซึ่งเงินรายได้เหล่านั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจรวบรวมสมทบเข้าเป็นกองทุนดำเนินการสร้างสรรค์งานสามประการ เขื่อนกั้นน้ำ บูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์สร้างหอระฆังให้สำเร็จบริบูรณ์ลุล่วงผลตามปรารถนาของหลวงพ่อจงซึ่งท่านมีประสงค์ต้องการกระทำอย่างแรงกล้าก่อนมรณภาพ และสิ่งนี้แม้ท่านมิได้แสดงเป็นห่วง... แต่แน่ละท่านไม่ชอบรบกวนใคร ท่านคงจะคิดถึงมันและมันอาจเป็นอารมณ์รบกวนท่านในเฮีอกท้าของลมปราณมรณะบ้างก็ได้ ฉะนั้นความสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้จนเป็นผลสำเร็จ แม้หลวงพ่อจงจะสถิตย์อยู่ในภพใด แม้นวิญญาณของท่านรับทราบถึงบรรดา เจตนาดีที่มีผู้ต่อท่านกระทำต่อท่านเพื่อท่านในปัจจุบัน อนาคต ทั้งที่ไม่มีท่านเป็นตัวตนอยู่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็คงจะประสบปิติสุขเกษมสันต์สำราญอย่างอเนกอนันต์กาล
เคยมีผู้ทำหนังสืออย่างย่อ ๆ แจกเป็นที่ระลึกในงานพิธีศพของท่านแต่ก็พิมพ์จำนวนจำกัดและแจกจ่ายไปหมดสิ้น ไม่พอกับจำนวนนับหมื่นแสนที่ต้องการทราบประวัติละเอียด และต้องการได้ไว้ เป็นเครื่องรำลึกบูชาคุณของท่านที่มีต่อสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า เพราะทุกคนยังรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านมิมีวันลืมเลือนโดยง่าย
สำหรับรูปปั้น เคยมีศิลปินรับอาสาไปสร้าง เขาคือ ชาญ สารพุทธิ อาจารย์ศิลปชั้นเอกจากเพาะช่าง
หลวงพ่อจง พอใจรูปปั้นนั้นมาก เพราะเคยมีผู้ปั้นไปให้ท่านดู ท่านดูไปดูมาแล้วหัวร่อ บอกว่าไม่เหมือนไม่รู้ใคร คนอื่นไม่รู้จักหรือแม้ที่รู้จัก ก็คงจะยิ่งฉงนกันมาก... แต่เมื่อเป็นรูป โดย ชาญ สารพุทธิปั้น ท่านบอกว่า นี่เอง... จึงจะเป็นอาตมาได้อย่างคล้ายคลึงพอดูได้...
จากนั้น ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกรูปปั้นของท่านแทบทุกเช้าค่ำเวลาทำวัตรในเมื่อมีโอกาสเวลาไม่ต้องเดินทางไปที่อื่นใด และต่อมา ท่านได้ปลุกเสกเถ้าธูปเทียน ดอกไม้บูชาแห้ง และผมปลงของท่าน รวมส่งให้ศิลปินชาญ เพื่อใช้ผสมผงสร้างรูปปั้นอีกมาก หากใครผู้ใดมีรูปปั้นของท่านไว้บูชาและอาราธนาถูกวิธี จะบันดาลให้บังเกิดผลในอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มหาศาลเป็นอัศจรรย์ อาทิ
เป็นมหาเมตตา มหานิยม มหาลาภ คงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด
สะบัด "ปัด" อัคคี ป้องกันฟืนไฟรังควานและระงับดับจิต ตลอดจนความร้อนอกใจนานาประการปราศจากศัตรูผู้คิดบีฑาทำร้าย
สำหรับพิธีบูชาหลวงพ่อจง คือ ใช้ธูปเจ็ดดอก เทียน และดอกไม้หอม กระทำบูชา อธิษฐานรำลึกถึงหลวงพ่อจง อาราธนาขอให้ท่านแผ่อิทธิบารมีปกป้องบังเกิดคุณตามเจตจำนง ซึ่งอธิษฐาน หมั่นทำเช่นนี้จะไม่ผิดหวัง มักได้ผลดีมาก
บรรดาเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อจงมีมากชนิด ท่านสร้างและปลุกเสกไว้เป็นจำนวนมาก แต่ก็มักหมดสิ้นไปโดยรวดเร็ว เพราะมีผู้แสวงหากันไว้มาก เพียงท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หรือ ต่างจังหวัดในเวลาวันสองวัน เครื่องรางของขลังซึ่งบรรดาศิษย์และผู้ติดตามเอาติดไปมักไม่ใคร่พอจ่ายแจกประชาชนทุกแห่ง เพราะพอรู้ว่าหลวงพ่อจงไปอยู่ที่ใด มักจะแห่กันเข้าหานมัสการอย่างคับคั่งเสมอไป
ต่อไปนี้เป็นคำเฉลยอรรถาธิบายวิธีอาราธนาปลุกเสกอธิษฐาน การใช้เครื่องรางของขลังต่าง ๆ (ซึ่งเวลานี้ของแท้หายากอยู่เหมือนกัน แต่ที่มีอยู่แล้วก็มีเป็นจำนวนแสน ๆ ล้าน ๆ)...แต่อย่างไรก็ดี ก็ใช้ได้กับรูปปั้นและรูปบูชาด้วย... ให้สวดภาวนาอธิษฐานดังนี้
ตั้ง นะโมสามจบ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธรรมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ต่อจากนี้ สวดบทอิติปิโส อีกสามจบ แล้วจึงตั้งบทว่า
พุทธัง อาราธนานัง
ธรรมมัง อาราธนานัง
สังฆัง อาราธนานัง
จึงอธิษฐานดังนี้ ต่อไป
ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า และหลวงพ่อจง (พุทธสโร)... และถ้ามีเสื้อยันต์ ตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และของอื่น ๆ ให้ระบุชื่อของนั้น ๆ เวลารำลึกใช้
จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้า จงประสบความเป็นผู้คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากมหาอำนาจร้ายสรรพโพยภัยภยันอันตรายไม่ให้เข้าใกล้ทำร้าย และจงบังเกิดเป็นมหาเสน่ห์ มหานิยม จิตคิดเมตตาจากจิตใจผู้อื่นพึงมีต่อข้าพระพุทธเจ้า โดยอำนาจบารมีของพระคุณเจ้าที่ข้าพระพุทธเจ้าน้อมรำลึกบูชาโดยบริสุทธิ์ใจ ขออาราธนาจงดลบันดาลให้บังเกิดผลเป็นไปดังอธิษฐาน โดยพลันทันที
หากมีเหตุฉุกเฉิน ให้รีบอธิษฐานภาวนา ดังนี้
พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา พระบิดารักษา พระมารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา พระครูบาอาจารย์รักษา อิมังอังคพัน ธนังอธิถามิ
แล้วปลุกเสกต่อไป ดังนี้
อิติสุคโต อุสุวิหิสุ พุทธะสังมิ มออุ อุกันหะเนหะ อุตะธัง โธอุตะ ธังอะตะ หังระอะ อะนะปัสสะ
(ภาวนาทบทวน ตั้งแต่ 3 ถึง 7 จบ)
การใช้คำอธิษฐานภาวนาบทปลุกเสก ต้องจำให้แม่นยำคล่องแคล่วตึ้งจิตคิดรำลึกถึงพระบารมีคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านอาจารย์หลวงพ่อจงโดยแน่วแน่
หากใช้ตะกรุดโทน (มหารูดมงคลชาตรี) หรือใช้ตะกรุดชุด 16 ดอกติดตัวไป เมื่อจะเข้าโรมรันรบประจันบาน ให้เอามือรูดพระตะกรุดไว้เบื้องหน้าสะดือ จะแคล้วคลาดคงทนต่อปืนผาหน้าไม้ สรรพสาตราวุธ แหลนหลาว หอกดาบ ขวากหนาม ของแหลมของคมทุกชนิด แต่ยามคิดหนีศัตรู ให้รูดพระตะกรุดไว้เบื้องหลัง จะแคล้วคลาดอันตราย ไม่มีผู้ติดตามทำร้าย หรือไม่ขัดขวาง แม้จะไล่ติดตามก็ให้มีเหตุไล่ไม่ได้ไล่ไม่ทัน
แต่ถ้าจะใช้เข้าหาเจ้านายผู้ใหญ่ ท้าวพระยาผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ให้รูปพระตะกรุดทั้งสองประเภทที่มีอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง รูดไปเบื้องขวาตน ถ้าเข้าหาท้าวพระยากษัตริย์หรือนางผู้สูงศักดิ์ ให้รูดไปเบื้องซ้าย
ถ้าจะทำการแข่งขัน แข่งเรือ แข่งม้า วัวควาย วิ่งแข่ง ตอนจะเริ่มออกแข่งขัน ให้ภาวนารูดพระตะกรุดไว้ใต้สะดือ แลเมื่อสามารถออกเลยล้ำหน้าเขาไปแล้ว จึงรูดพระตะกรุดกลับไปไว้เบื้องหลัง คู่แข่งขันจะไม่มีโอกาสไล่ตามทัน
ผู้ใดหมั่นบูชาหลวงพ่อจง (พุทธัสสโร) และบรรดาเครื่องรางของขลังซึ่งตนมีศรัทธาเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระคุณอิทธิบารมีของท่าน ซึ่งมีได้แก่
เสื้อพระยันต์ราชสีห์มหาอำนาจ (สีแดง) คงกระพันชาตรี
พระเครื่อง ทุ่งเศรษฐี (ดำใหญ่ และ แดงเล็ก)
พระยันต์มหาอำนาจ (มหานิยมแคล้วคลาด)
พระตะกรุดชุด 16 ดอก (แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ มหาลาภ)
ธนบัตรขวัญถุง (เรียกเงินตราไหลมาเทมาหา)
พระตะกรุดโทน (เช่นเดียวกับพระตะกรุดชุด 16 ดอก แต่มีอิทธิบารมีแก่กล้าทางคงกระพัน ค่าพันตำลึงทอง)
รูปปั้น (หล่อ) ของหลวงพ่อจงเอง
พระยันต์ต่าง ๆ เขียนลงบนผืนผ้าขาว
เหรียญกลมรูปหลวงพ่อจง (สำหรับเด็ก)
ลักยม (เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์)
ยันต์พระฉิม (มหาลาภ ค้าขายเป็นมหานิยม)
โดยเฉพาะ พระยันต์ พระตะกรุด หากใช้ในการเดินทางและบังเกิดเมื่อยล้า หรือเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยจะปลุกเสกภาวนาป้องกันเสียก่อนก็ได้ โดยทำพิธีภาวนาอธิษฐานปลุกดังข้างต้นแล้ว ให้ยกมืออธิษฐานเสกซ้ำต่อไปอีกว่า
เศกขาธัมมา อเศกขาธัมมา เนวเศกขาธัมมา ธัมมาเศกขาธัมมา จากนี้เอามือลูกแข้งขามือและร่างกายให้ทั่ว ให้คิดเชื่อว่าต่อไปนี้ตัวเราเดินวิ่งเท่าไร ๆ เป็นไม่มีเมื่อย ไม่มีเหนื่อยอีกแล้วอย่างเด็ดขาด เพราะพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้

5572
 :) สุดยอดจิงๆ ครับ .........เยี่ยมเลย ครับ

5573
 ;)   ขอคุณสำหรับข้อมูล นะครับ ... เยี่ยมจิงๆเลย ครับ อิอิ . :)

5574
 ;)  ขบอคุณครับที่เอามาให้ชม

5575
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: พี่คับ
« เมื่อ: 19 เม.ย. 2551, 11:28:06 »
ถ้าการที่จะให้ใครสักคนมารักเรายากแล้ว .....แต่การที่จะให้คนที่รักเราอยู่กะเรานานๆนี่สิ ยากกว่า ครับ 5555555


5576
สำหรับท่าน ที่เดินทางก็ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยครับ เดินทางไปเดินทางกลับ ด้วยความปลอดภัยครับ
ขอให้ได้บุญกันถ้วนหน้า ครับ

ส่วนพวกที่เห็นงานวัดเป็นสถานที่ ประลองยุท ก็ขอให้เลิกนะครับ ถ้าไม่อยากเป็นผีเฝ้างาน
คิดใหม่ ทำใหม่ได้แล้วนะครับ มันไม่เท่หลอกครับ

คิดดี ทำดี พูดดี ขอให้ทุกท่านมีความสุข ครับ

5577
1.ล็อคเก็ต พระอุบาลีคุณูปมาจารย์? ครับ   หลังพัดยศ ( เลี่ยมเดิมมาจากวัด)
2.หลวงพ่อไร่ขิง พิม 2 หน้า สำหรับแจกกกรรมการนักเรียน เท่านั้น ครับ (เลี่ยมเดิมมาจากวัดครับ)

 




 :054: :054: :054: :054: :054:

5578
โทษทีครับ โทรไปสอบถามทางวัดหนองพงนก ให้และครับ ทางวัดบอกว่า ท่านจำวัดอยู่วัดกำแพงแสน ครับ เหอๆๆงง ครับ โทษที

5579
 ;)   หลวงปู่แผ้วรุ้สึกว่าจะจำวัดอยู่ วัดหนองพงนกนะครับ .... ผมก็ว่าจะไป วันที่ 22 นี้ .....
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย  ^^ ''

5581
แล้วผมจะไปหามาเก้บใว้มั่งครับ 5555555555555




 ;D

5582
ขอบคุณครับ รุ่นนี้ผมไม่เคยเห็น ขอบคุณครับ ที่เอามาให้ชม อิอิ

5583
 ;) รับทราบครับ

5585
ขบอคุณเวป http://www.oknation.net/blog/noiy/2007/04/23/entry-1 ครับ( เคดิต)

5586
เพิ่มเติม ครับ

ปาฏิหาริย์ หลวงพ่อลอยน้ำ ห้าพี่น้อง("พุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์")มีตำนานกล่าวว่า กาลครั้งหนึ่งมีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมาก ได้พร้อมใจกันตั้งสัจจะอธิษฐานว่า "เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ แม้ตายไปแล้ว ก็จะสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ต่อไป จนกว่าจะถึงซึ่งนิพพาน" ครั้นพระอริยบุคคลทั้งห้าองค์นี้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าสถิตอยู่ในพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ มีความปรารถนาจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้คนทางเมืองใต้ จึงพากันแสดงฤทธิ์ให้พระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาทางใต้ตามแม่น้ำ ทั้ง 5 สาย ชาวบ้านชาวเมืองตามริมฝั่งแม่น้ำเห็นพระพุทธรูปทั้งห้าองค์ลอยน้ำมาก็พากันเลื่อมใส จึงพากันอาราธนาให้ขึ้นสถิตอยู่ตามวัดต่างๆ โดยพระพุทธรูปองค์แรกลอยมาตามแม่น้ำบางปะกง แล้วขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกว่า "หลวงพ่อโสธร" พระพุทธรูปองค์ที่สองลอยมาตามแม่น้ำนครชัยศรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดไร่ขิง จ.นครปฐมเรียกว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" พระพุทธรูปองค์ที่สาม ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เรียกว่า "หลวงพ่อบางพลี" พระพุทธรูปองค์ที่สี่ ลอยมาตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อบ้านแหลม" และพระพุทธรูปองค์ที่ห้า ลอยมาตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา" พระพุทธรูปทั้ง 5 องค์นี้ ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ที่มีผู้คนทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลั่งไหลมาเคารพสักการะมิได้ขาด พุทธรูปที่ลอยมาตามแม่น้ำนครชัยศรี และขึ้นประดิษฐานที่วัดไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม ชาวบ้านขนานนามท่านว่า 'หลวงพ่อวัดไร่ขิง'

ประวัติความเป็นมา
ความเป็นมาของหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้น มีตำนานเรื่องหนึ่งที่เล่าสืบกันมา พอเป็นเค้า แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดนักว่า
ในสมัยที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก) ดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมราชานุวัตร ในปี 2394 นั้น ท่านได้รับโปรดเกล้าฯให้ขึ้นไปครองวัดศาลาปูนวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นเจ้าคณะใหญ่กรุงเก่า วันหนึ่งท่านได้ลงไปที่วัดไร่ขิง เมื่อท่านเข้าไปในพระอุโบสถกราบพระประธานแล้ว ท่านก็ได้สนทนากับเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงว่า โบสถ์ใหญ่โต แต่พระประธานเล็กไปหน่อย เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงกราบเรียนท่านว่า วัดไร่ขิงเป็นวัดจนๆ ไม่สามารถสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆได้ เมื่อทราบดังนั้นท่านจึงบอกว่าที่วัดของท่านมีอยู่องค์หนึ่งให้เจ้าอาวาสไปอัญเชิญมาได้
เมื่อสมเด็จฯกลับไปแล้วไม่นาน เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงพร้อมทั้งกรรมการวัดได้เดินทางไปยังวัดศาลาปูน และอัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าวลงแพที่ใช้ไม้ไผ่มัดล่องลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา เข้าแม่น้ำนครชัยศรี จนกระทั่งถึงวัดไร่ขิง ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมาประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถแทนองค์เดิมตั้งแต่นั้นมา และขนานนามพระพุทธรูปองค์ใหม่นี้ตามนามของวัดว่า'หลวงพ่อวัดไร่ขิง'
พุทธลักษณะ
หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสัมฤทธิ์ประทับนั่งปางมารวิชัยแบบประยุกต์ พระรูปมีลักษณะผึ่งผายคล้ายเชียงแสน พระหัตถ์เรียวงามตามแบบสุโขทัย แต่เฉพาะพระพักตร์ดูคล้ายรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานเหนือฐานชุกชี มีขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้ว สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ ในวันที่ชาวบ้านทำพิธีอัญเชิญหลวงพ่อขึ้นจากแพไม้ไผ่ ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดี จึงมีชาวบ้านมาร่วมเป็นจำนวนมาก ขณะที่กำลังอัญเชิญหลวงพ่อขึ้นจากแพสู่ปะรำพิธีนั้น ได้เกิดเหตุการณ์เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะแสงแดดที่แผดจ้าพลันหายไป บังเกิดเป็นเมฆดำทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้าคะนองกึกก้อง ฝนโปรยปรายลงมา ยังความฉ่ำเย็นกันทั่วหน้า ทุกคนในที่นั้นเกิดความปีติโสมนัส ยิ่งนัก พากันอธิษฐานเป็นเสียเดียวกันว่า"หลวงพ่อจักทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหาร ฉะนั้น"
และนับตั้งแต่ที่หลวงพ่อมาประดิษฐานที่วัดไร่ขิง ก็มีประชาชนพากันมาเคารพสักการะมิได้ขาด โดยเฉพาะวันหยุดและวันนักขัตฤกษ์ อุโบสถของหลวงพ่อจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ที่ได้ยินได้ฟังและได้ประสบในความศักดิ์สิทธิ์ของหลความศักดิ์สิทธิ์
เรื่องราวเกี่ยวกับอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดไร่ขิง มีผู้คนเล่าไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางด้านแคล้วคลาด ทางด้านเจ็บไข้ได้ป่วยต่างๆ เช่น เรื่องของหญิงวัยกลางคนซึ่งถูกฟ้าผ่ากลางท้องนา แต่ไม่ตาย ทั้งๆที่หมอที่รับรักษาบอกว่าถ้าโดนอย่างนี้ไม่เคยมีรอดสักรายเดียว ทั้งนี้เพราะห้อยเหรียญรูปหลวงพ่อนั่นเอง หรือเรื่องของสุภาพสตรีท่านหนึ่งอยู่ที่อเมริกา มีอาการชาที่ริมฝีปาก รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ญาติพี่น้องทางเมืองไทย ซึ่งนับถือหลวงพ่อวัดไร่ขิง จึงได้ส่งพระรูปจำลององค์เล็กๆไปให้ บอกว่าให้อธิษฐานจิตขอให้หลวงพ่อ ช่วย สุภาพสตรีท่านนี้ก็ทำตาม คืนหนึ่งเธอฝันเห็นหลวงพ่อ คิดว่าท่านได้มาช่วยแล้ว ในที่สุดก็หายจากโรคดังกล่าว และได้ส่งเงินมาถวายร่วมสร้างโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง)เป็นจำนวนมาก และยังมีเรื่องของชายคนหนึ่งที่รอดชีวิตจากโจรปล้นรถ เพราะขณะที่กำลังอยู่ในนาทีวิกฤตนั้นเขานึกถึงหลวงพ่อวัดไร่ขิง อธิษฐานว่าหากรอดตายจะบวชถวายหลวงพ่อหนึ่งพรรษา แล้วเขาก็รอดตายจริงๆ สุดท้ายก็มาบวชถวายที่วัดไร่ขิง ตามที่ได้บนบานไว้
ส่วนเรื่องน้ำมนต์ของหลวงพ่อฯ เป็นที่น่าเชื่อถือมานานแล้วว่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บปวดหัวตัวร้อนได้ชงัดนัก แม้แต่วัวควายเป็นไข้ก็รักษาให้หายได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่มากราบหลวงพ่อ นิยมนำน้ำมนต์กลับบ้านทุกราย เดิมที่วัดจัดเป็นถุงพลาสติกใบเล็กๆให้ใส่ แต่เมื่อมีผู้คนต้องการมากขึ้น และการใส่ถุงพลาสติกก็อาจแตกกลางทางได้ ้ทางวัดจึงบรรจุน้ำมนต์ใส่ในขวดพลาสติก เพื่ออำนวยสะดวกแก่ผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งจะหลั่งไหลมากราบไหว้หลวงพ่อเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน บนบานศาลกล่าว


//ทุกวันจะมีประชาชนจากทั่วสารทิศมากราบไหว้หลวงพ่อ บนบานขอพรให้ท่านช่วย โดยเฉพาะในวันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งผู้คนมากันอย่างล้นหลาม เสียงประทัดจะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพระอุโบสถ อย่างต่อเนื่องยาวนานในแต่ละวัน ซึ่งบอกให้รู้ว่า คนที่ได้รับพรจากหลวงพ่อแล้วสมปรารถนานั้น พากันมาแก้บนนั่นเอง และนอกจากประทัดแล้ว สิ่งที่ผู้คนบอกต่อๆมาว่าเป็นของโปรดของหลวงพ่ออีกอย่างหนึ่งก็คือ ว่าว และเมื่อแก้บนขอพรเสร็จแล้ว ก่อนกลับทุกรายจะไปรับน้ำมนต์ ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง
แต่เรื่องที่ห้ามบนบานศาลกล่าวก็คือเรื่องขอให้ไม่ถูกเกณฑ์ทหาร เหมือนกับพระพี่น้องที่ลอยน้ำมานั่นเอง

งานนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิง
ทางวัดได้จัดให้มีงานนมัสการหลวงพ่อปีละ 3 ครั้ง คือ
- ในเทศกาลวันออกพรรษา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งทางวัดได้จัดงานตักบาตรเทโว และฟังเทศน์ จึงถือเป็นโอกาสให้มีการปิดทองนมัสการหลวงพ่อด้วย
- ในเทศกาลตรุษจีน เพื่อให้ชาวจีนที่เคารพบูชาหลวงพ่อ ได้มีโอกาสกราบไหว้ปิดทองถวายเป็นพุทธบูชา
- ในงานเทศกาลนมัสการปิดทองรูปหลวงพ่อ ประจำปี ซึ่งจัดขึ้นในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 จนถึง แรม 3 ค่ำ เดือน 5
งานเทศกาลนมัสการหลวงพ่อวัดไร่ขิงทุกงาน จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากใกล้ไกลที่มีจิตศรัทธาอย่างแรงกล้าเพื่อมากราบไหว้องค์หลวงพ่ออย่างแท้จริง เพราะทุกคนเชื่อว่า หลวงพ่อไม่ได้เป็นแค่พระอิฐพระปูนธรรมดาๆเท่านั้น
จบเรื่องราวของพระห้าพี่น้อง คือ หลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา หลวงพ่อบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา จ.เพชรบุรี หลวงพ่อโต จ.สมุทรปราการ และหลวงพ่อวัดไร่ขิง จ.นครปฐม ในชุดพุทธปัญจภาคีวารีปาฏิหาริย์ แต่เพียงเท่านี้

ขอขอบคุณ เล่าขานตำนานไทย โดย ผู้จัดการออนไลน์
วงพ่อ

5587
งานประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิง มีตั้งแต่ วันที่ 17-25 เมษายน พ.ศ. 2551 นะครับ จึงขอเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทำบุญปิดทองหลวงพ่อวัดไร่ขิง ครับ

5590
 :) ชอบหลวงปู่ศุข ครับ

5591
 ;) ขอบคุณครับ ....สวัดดีปีใหม่ไทย ทุกๆท่านนะครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุข

5592
 ;) ครับ ขอบคุณข้อมูลมากๆเลย ครับ .....เรื่องมีอยู่ว่าแบบนี้นี่เอง

5593
 :)  ผมนับถือหลวงพ่อไสว มากอะครับ ....ไม่เคยมองข้ามเลย ..ตอนี้ลูกศิษ ท่าน อ.เอนก ก็ไม่ธรรมดาครับ

5594
 ;D ขอสักองค์สิครับ 5555

5596
 ;)  รับทราบครับ

5597
 สุดยอดครับ .....โหเยี่ยมจริงๆ  :o

5598
 :) เยี่ยม ครับ ขอบคุณ ......

5599
 :)  สวัดดีครับ เอ่อ ...เรื่องการคลี่ดูนั้น มี 2 อย่าง ครับ บางคนบอกเสื่อม บางคนบอกไม่เสื่อม
1 .ตะกรุดเวลาม้วน อาจลงคาถากำกับเวลาม้วน
2. คนโบราณ ห้ามคลี่ดู บอกว่าเสื่อมเพราะว่า ไม่อยากให้ดูยันต์ที่จารย์ภายในครับ
เพราะคนสมัยก่อน โลกยังไม่เจริญ เหมือนสมัยนี้ คาถาแต่ละบท ยันต์แต่ละยันต์
ต้องไปเรียนกันตามวัด หรือสำนัก ไม่เหมือนสมัยนี้ครับ หาตาม net ก็ได้ละ เหอๆ
เพราะฉะนั้น การเรียนสมัยก่อน จงต้องใช้ความพยายาม และยากลำบากว่าจะสำเร็จ
ซึ่งอาจารย์บางท่าน จาครอบครูให้แก่ลูกศิษย์ ซึ่ง วิชาพวกนี้ บางท่านจะหวงมากๆ
มิได้ถ่ายทอดให้ใครง่ายๆ ... แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้เรียนว่ามีความพยายามแค่ไหน
ยันต์ แต่ละยันต์ จึงหวงมาก เลยห้ามคลี่ดูครับ ....พอยุคเริ่มจริญ ......
เลยมีการปั๊มเหรียญ .... ยันต์ ก็มีอยู่ตามหลังเหรียญทั่วไปหละครับ เหอๆ

ส่วนจะเสื่อมใหม่ แล้วแต่ ครับ ....หากคลี่ ดูแล้วคิดไปในทางลบหลู่ เช่น ไม่เหงมีไรเลย ใครๆก็เขียนได้
เนี่ยหรือ แค่นี้อะนะ ... จาขลังเหรอ .... (เสื่อม 100 %)
....แต่หาก คลี่ดู เพื่อเหตุผล ใด ที่ไมได้ลบหลู่ ไม่เสื่อม ครับ ....เพราะท่านจะใช้จิต ในการปลุกเศก ในการม้วน
ท่านคิดว่า แค่การคลี่ออก จะสามารถทำให้จิตที่ลงคาถา กำกับ ใว้กับ ตะกรุดหายไปเหรอครับ

ท่าท่านคิดเช่นนั้น ก็เสื่อม ครับ เหมือนท่านไปลบหลู่ ในทางอ้อมได้เหมือนกัน
ของแบบนี้อยู่ที่บุคคล และที่ใจ และที่การศรัทธา ครับ .....หากคิดว่าอยู่ก็ยังอยู่ หากคิดว่าเสื่อม ก็เสื่อมไปตามใจของท่าน
เหมือนลอยสัก ....ของท่าน หากคิดว่ามีจริง ยังอยู่ก็มี หากคิดว่าไม่มี ไม่อยู่ก็ไม่มี ครับ ......

............เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ผิดพลาดประการใด ขออภัย ณ ด้วย ครับ .......... (จากคนความรู้น้อยไม่เค่ยฉลาด )

5600
 :)  ขอบผมมี ของวัดป่าเลไล ครับ ของแท้ 100 % เพราะมาจากวัด มานานแล้ว แล้วก็ ไปถามจาก ที่วัดมาแล้ว ครับ
แต่ทว่าไม่มี ตรา หรือ โค๊ต หรือฉัตร แต่อย่างใดครับ .....แต่องค์จาเล็กกว่าวัดพระรูป ครับ แต่เนือ้ดิน เหมือนกัน

ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย ;)

5601
ขอบคุณครับ

5602
รับทราบครับ

5603
ผมก็เป็นคนวิตกครับ บางครัง้คิดไรไม่ออก เลยอ่านธรรมมะ ก็ดี ขึ้นเหมือนกันครับ 555555

5604
ผมว่า ตะกรุดอะไร ก็ดีครับ อยู่ที่ ผู้ให้และผู้รับ ...อยู่ที่ใจศรัทธาอันเป็นความเชื่อมัน
ส่วนข้อห้ามต่างๆนั้น แน่นอน ล้วนแต่ ห้ามทำความชั่ว
เพราะผู้สร้างอยากให้ท่านเป็นคนดีครับ
อยุ่ที่ท่านศรัทธา..ความเชื่อมัน ...และเคารพในพระรัตนตรัย
มีบางข่าว ..ปีที่แล้ว คนดัง เป็นนักเลงแถวบ่อตะกั่ว
แขวนตะกรุด 20 ดอก โดนยิงตาย เพราะอะไร ?
เพราะเขาเป็นคนไม่ดีครับ....แน่นอน ..........ซึ่งการตาย คนมันจะตายอะไรก็ห้ามไม่ได้ครับเมื่อถึงเวลา
จงทำความดีใว้เถิดครับ เพราะอาจารย์ทุกท่านที่สร้างตะกรุด ล้วนมีข้อห้าม
ข้อห้าม ทุกข้อ ก็หมายถึงให้ท่านปติบัตดีครับ ......

5605
น่าจะเป็น ขุนแผนนะครับ แต่ของวัดพระรูปป่าวไม่รู้ เหมือนกัน ครับ ดูมะเปง แต่ไสตร์นี้ เหมือนของวัดพระรูป ครับ อาจจะเปงพระกรุ หรือ หลวงปู่ดีสร้าง หรือ อาจจะเป็นของ วัดป่าเลไล ก็ได้ครับ ไม่แน่ ใจ ต้องรอถามท่านอื่น ครับ เหอๆ โชคดี

5606
 :o เหอๆ สุดยอดเลย ครับ ทุ่มทุนสร้างจิงๆ ครับ พี่ 555++

5607
ผมมีบทความดีๆมาให้อ่านครับ ผมชอบมากเลย  จากใจด้วยความเคารพและศรัทธาหลวงพ่อแช่ม  วัดตาก้อง


ความไม่ชอบใจหลวงพ่อแช่มของสมภารกร่ายได้นำไปสู่การร้องเรียนต่อเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัด โดยสมภารกร่ายเป็นผู้ร้องเรียนด้วยตัวท่านเอง ที่สุดนำไปสู่การสอบสวนด้วยข้อกล่าวหาที่ฉกรรจ์หลายข้อด้วยกัน คือ

1. ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส

2. ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไร

3. หายไปจากวัดหลายๆ วันเสมอ ไม่ทราบว่าไปทำอะไรที่ไหน

4. ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นพร้อมพระภิกษุอื่นในวัด

5. ไม่ลงฟังพระสวดปาติโมกข์ในวันพระ

6. ไม่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ตามธรรมเนียมของพระภิกษุ

7. หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวทำครัวเหมือนชาวบ้าน

8. รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน ผิดกิจของสงฆ์

9. อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ผิดศีลของพระภิกษุ

ในการสอบสวนหลวงพ่อแช่มนั้น มีเจ้าคณะจังหวัด พร้อมด้วยเจ้าคณะตำบล และคณะผู้ติดตาม เดินทางมาสอบสวนถึงวัดตาก้อง เมื่อมาถึงกุฏิของสมภารกร่ายได้ให้พระลูกวัดไปนิมนต์หลวงพ่อแช่มมาพบที่กุฏิ ทว่าพระลูกวัดได้กลับมารายงานว่า หลวงพ่อแช่มไม่ยอมมาพบ และได้ฝากข้อความมาว่า ตัวของท่านเป็นจำเลยอยู่แล้ว มีคดีร้ายแรงอย่างใดก็ขอให้ไปที่กุฏิของท่าน หากผิดจริงจะได้จับสึกกันเสียทีเดียวที่กุฏิของท่าน

คณะของเจ้าคณะจังหวัดจึงได้ไปยังกุฏิของหลวงพ่อแช่มเพื่อทำการสอบสวนเรื่องร้องเรียนของสมภารกร่าย เมื่อมาถึงกุฏิที่หลวงพ่อแช่มปลูกเป็นศาลา พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียวนั่งขัดสมาธิคอยอยู่บนพื้นกระดานแผ่นใหญ่ที่ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนวางรอง ไร้เฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งสิ้น กระทั่งเสื่อปูรองก็ไม่มี

เจ้าคณะตำบลที่มาด้วยเห็นเช่นนั้นก็ได้บอกให้หลวงพ่อแช่มไปครองจีวรเสียให้เรียบร้อยและชี้แจงให้รู้จักว่า นั่นเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดให้นมัสการกราบไหว้เสีย เพราะท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่ผู้ปกครองสงฆ์ชั้นสูง หลวงพ่อแช่มยังคงเฉย และกล่าวต่อเจ้าคณะตำบลว่า "ผมมันไม่ใช่พระใช่เจ้าอะไรแล้ว เป็นจำเลยให้เขาฟ้องร้อง มีตุลาการมาสอบสวน ก็อยากให้สอบสวนกันอย่างนี้ ดีร้ายจะได้ถอดสบงสึกกันง่ายๆ ไม่ต้องครองไตรจีวรให้เสียเวลา"

ซึ่งเจ้าคณะตำบลได้กล่าวปลอบชี้แจงว่า ยังไม่ใช่นักโทษ เพียงแต่ถูกอธิกรณ์ข้อกล่าวหา จะต้องสอบสวนกันก่อน ถ้าผิดจึงจะลงโทษ ถ้าไม่ผิดก็ไม่มีโทษอะไร เจ้าคณะท่านเป็นพระผู้ใหญ่มา ควรครองไตรจีวรให้เรียบร้อย เพื่อแสดงความเคารพท่าน หลวงพ่อแช่มก็กล่าวว่า "ถ้าหากผมนุ่งสบงตัวเดียวอยู่วัดอย่างนี้ ผมไม่ใช่พระหรืออย่างไร ถ้าหากผมครองไตรจีวรเรียบร้อยแล้ว ผมมีศีลด่างพร้อย ต้องอาบัติปาราชิก ผมจะเป็นพระเพราะครองไตรจีวรหรือ"

ท่านเจ้าคณะจังหวัดซึ่งได้นิ่งฟังอยู่เป็นนานแล้ว ได้กล่าวกับหลวงพ่อแช่มว่า "นี่แน่ะท่านแช่ม ถ้าท่านเป็นพระถือศีลบริบูรณ์อยู่ ให้ท่านไปห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อน เรื่องผิดถูกค่อยพูดกันทีหลัง" หลวงพ่อแช่มจึงลุกขึ้น คว้าจีวรห่มนั่งลงที่เดิม ไม่ได้นิมนต์ให้เจ้าคณะจังหวัดนั่ง ซึ่งท่านก็ได้นั่งลงเองพร้อมๆ กับพระภิกษุรูปอื่นๆ

ต่อเมื่อได้นั่งมองสังเกตไปรอบๆ กุฏิของหลวงพ่อแช่ม ที่ปลุกเป็นศาลาโรงดิน หลังคามุงจาก เปิดฝาผนังโล่งทั้ง 4 ด้าน ไม่มีพื้นกระดาน นอกจากแผ่นกระดานใหญ่ที่ปูนอนอยู่บนพื้น และเป็นที่นั่งรับแขก สักครูหนึ่ง เจ้าคณะจังหวัดจึงได้เอ่ยขึ้น "ที่มาวันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอบสวนอะไร ไม่ได้คิดว่าท่านแช่มจะทำผิดศีลวินัยอะไร แต่อยากจะมาดูให้รู้กับหูกับตาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีคำร้องฟ้องกล่าวโทษไปหลายข้อ" ว่าแล้วก็หยิบคำฟ้องจากย่ามขึ้นมาอ่านให้ฟัง แล้วถามเป็นข้อๆ

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ผมก็อยู่ในเขตวัดตาก้อง เจ้าอาวาสก็อยู่ในกุฏิของท่าน ผมก็อยู่ในกุฏิของผม ต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยพบหน้ากัน เจ้าอาวาสไม่เคยมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอะไรผม ไม่เคยสั่งห้ามอะไร ผมก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อห้ามข้อใดเลย แล้วจะว่าผมไม่อยู่ในปกครองได้อย่างไร ธรรมดาพ่อแม่ปกครองลูก ก็ต้องดูแลว่ากล่าว ตักเตือน สั่งสอน ห้ามปราม นี่ไม่เคยเลย ผมก็ไม่เคยทำอะไรฝ่าฝืน จะว่าฝ่าฝืนข้อไหน ท่านไม่มาปกครองผมเองต่างหาก"

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าไปไหน ทำอะไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"เมื่อสมภารไม่มาปกครองผม ปล่อยผมตามใจ ผมก็ปกครองตัวเอง จะไปไหนก็ไปเอง กลับเอง ทำอะไรก็ทำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของวัด ข้อนี้ผมมีความผิดธรรมวินัยของสงฆ์อย่างไร"

ต่อข้อกล่าวหาว่า หายหน้าไปจากวัดเสมอ ครั้งละหลายๆ วัน ไม่ทราบว่าไปทำผิดทำชั่วทำความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ผมออกจากวัดไปเสมอจริง ไปครั้งละหลายๆ วันจริง ก็ไปทำกิจส่วนตัวที่ชาวบ้านเขานิมนต์เป็นกิจส่วนตัว ไม่ได้ไปทำผิด ทำชั่ว ทำความเสื่อมเสียอะไร ถ้าหากว่าไปทำผิดทำชั่วจริง คงจะมีคนจับได้ คงจะถูกฟ้องร้อง ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวเข้าคุกตะรางไปแล้ว แต่นี่ก็ไม่มีใครพบเห็นว่าทำผิดทำชั่วที่ไหนเลย อย่างนี้จะผิดธรรมวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหา ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ร่วมกับพระภิกษุสงฆ์องค์อื่น หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"การทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ผมก็ทำของผมองค์เดียวเพราะผมอยู่องค์เดียว ผมเป็นพระป่า เคยออกธุดงค์เดินป่า ก็ทำวัตรสวดมนต์องค์เดียวมาตลอด พระอรหันต์ท่านไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็สวดมนต์ภาวนาองค์เดียว การสวดมนต์องค์เดียวผิดศีลวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์ในวันพระ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"วันพระผมก็สวดพระปาติโมกข์เอง สวดเอง ฟังเอง เหมือนพระสงฆ์อื่นๆ ที่ท่านให้ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์นั้น สำหรับพระที่สวดพระปาติโมกข์เองไม่ได้ จะได้ฟังเอาบุญก็ผมสวดเองได้ จะต้องไปฟังใครสวดอีกเล่า พระอื่นๆ เสียอีกที่สวดพระปาติโมกข์ไม่ได้นั่นแหละจะสู้ผมไม่ได้ ถ้ามาว่าพระปาติโมกข์แข่งกัน"

ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดได้แย้งว่า "การฟังพระปาติโมกข์นั้น ฟังจบแล้วก็ได้ฟังคำสั่งสอนอบรมของเจ้าอาวาสด้วย" หลวงพ่อแช่มจึงตอบกลับว่า "ผมสวดพระปาติโมกข์จบแล้วก็นั่งเจริญสมาธิภาวนา อบรมจิตของตนเป็นการบำเพ็ญภาวนา ดีเสียกว่านั่งฟังครูอาจารย์สั่งสอบอบรมเสียอีก คนเราลองถ้าได้สงบจิตเตือนใจของตนได้แล้ว ใครเล่าจะวิเศษไปกว่าตนของตนเตือนตน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ตามธรรมเนียมของพระภิกษุสงฆ์ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ที่ท่านให้ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์นั้นก็เพื่อจะได้อาหารมาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่ง กับเพื่อจะได้ออกไปเตือนอุบาสกสีกาให้บริจาคทานทำบุญ ก็เมื่อผมเองไม่ต้องออกไปบิณฑบาตก็มีอาหารเลี้ยงชีพ จะต้องออกบิณฑบาตอีกทำไม ถ้าจะว่าออกไปเตือนคนให้บริจาคทานทำบุญทำกุศลก็ผมเองนั่งอยู่ที่กุฏินี้ เขาก็คิดถึงนำอาหารมาถวาย ผมทำให้คนทั้งหลายบริจาคทานทำบุญได้อยู่แล้ว ไม่ต้องออกไปเตือนให้เขาทำบุญจนถึงบ้าน อย่างนี้จะว่าผิดธรรมเนียมสงฆ์อย่างไรอีก ถ้าผมออกบิณฑบาตกลับจะเป็นโทษ เพราะคนเขาจะพากันทำบุญตักบาตรผมเสียมาก พระภิกษุอื่นๆ จะขาดลาภไปเสีย อย่างนี้จะไม่ว่าผมมีเมตตาแก่ภิกษุบวชใหม่บ้างหรือ"

ต่อข้อกล่าวหาว่า หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวเอง เหมือนชาวบ้าน หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ก็เมื่อผมไม่ออกบิณฑบาตขอภิกขาจารอาหารเช้ากิน จึงต้องหุงข้าวกินเอง เพราะผมฉันอาหารแต่เช้า พอตะวันขึ้นชาวบ้านเขาเอาถวายไม่ทัน อีกประการหนึ่ง ผมมีลูกศิษย์หลายคน ทั้งพระทั้งฆราวาสจึงต้องตั้งครัวหุงต้มเลี้ยงกันเอง ชาวบ้านเขาเอาข้าวสาร กะปิ น้ำปลา ปลาแห้ง ปลาเค็ม มาถวาย ก็จัดการหุงต้มแกงกินกันเอง อย่างนี้จะผิดศีลวินัยข้อไหน"

เจ้าคณะจังหวัดว่า "ผิดที่สะสมอาหารไว้อย่างไรเล่า พระภิกษุเราไม่ควรจะต้องสะสมอาหาร ควรบิณฑบาตเลี้ยงชีพไปชั่วมื้อชั่ววันเท่านั้น"

หลวงพ่อแช่มได้ตอบกลับว่า "ผมไม่ได้สะสมอาหารสุกไว้กินในยามวิกาล ผมสะสมอาหารดิบอาหารแห้งไว้ประกอบกินในวันพรุ่งนี้ต่างหาก ผมไม่ได้สะสมไว้เพื่อตัวเอง สะสมไว้เพื่อศิษย์ต่างหาก การประกอบอาหารผมก็ไม่ลงมือทำเองศิษย์ทำถวายทั้งสิ้น"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "อาหารดิบนั้น มีปลาเป็นๆ ไข่ไก่อยู่หรือเปล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ปลาเป็นๆ ไม่มีอุบาสกสีกาคนใดอุตริเอามาถวายเลย ไข่สดไม่มีมีแต่ไข่เค็ม ปลาเค็ม ปลาเป็นๆ นั้นไม่มีใครถวาย ถ้าประสงค์จะหามาแกง ปลาในสระวัดตลอดหน้าวัดก็มีแยะไป แต่ไม่มีใครไปจับเอามาทำอาหารเลย"

"ผักสด ผักเขียว ไม่มีเลยหรือ" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อ

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ยอดผักบุ้ง ยอดผักกะเฉด ผักแว่น สายบัว ผมฉันสดๆ เสมอ แต่ไม่เคยไปเด็ดเอง ท่านเจ้าคณะไม่เคยฉันผักสดเลยทีเดียวหรือ"

เจ้าคณะจังหวัดได้ตอบว่า "ผมไม่ชอบ"

ต่อข้อกล่าวหาว่า รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์เป็นหมอยารักษาไข้ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"รดน้ำมนต์ ผมรดจริง เพื่อสงเคราะห์คนที่เขามีทุกข์ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รดกันอยู่ทั่วไป จะผิดศีลวินัยข้อไหน ก็คงผิดกันมาก อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่เคยบอกว่ารดน้ำมนต์ผิดวินัย หลวงพ่อของผมท่านก็รดน้ำมนต์ให้ใครๆ อยู่เรื่อยๆ"

"เรื่องให้หวยเล่า" เจ้าคณะจังหวัดถาม

หลวงพ่อแช่มตอบไปว่า "หวยก็ให้ เมื่อมีคนเขามาถามว่าหวยงวดนี้ออกตัวอะไร ก็บอกให้เขาไปเล่นกัน รัฐบาลท่านอนุญาตให้เล่นหวยกัน พระสงฆ์ก็ต้องบอกหวยได้"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "เห็นตัวเลขจริงหรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "เข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งก็เหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีละลอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้"

"เห็นอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มจึงตอบว่า "เห็นเป็นตัว ก. ตัว ข. เห็นเป็นตัวม้า ตัวเรือ" (สมัยนั้นเป็นหวย ก. ข.)

"เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มก็ตอบ "เขามาบอกว่าถูกก็มี ไม่ถูกก็มี"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "ทำไมจึงมีถูกบ้าง ผิดบ้าง"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เขาต่างหาก"

"ทำไมต้องใบ้ ทำไมจึงไม่บอกตรงๆ" เจ้าคระจังหวัดได้ถามต่อ

"ถ้าบอกตรงๆ ก็อวดอุตริมนุสธรรม" เป็นคำตอบจากหลวงพ่อแช่ม

จากนั้นเจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เรื่องทำเสน่ห์ว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ไม่เคยทำเสน่ห์ยาแฝด ของลามก มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้งไปสีปาก"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ "ใช้สีผึ้งสีปาก แล้วมีเสน่ห์จริงๆ หรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "สุดแล้วแต่ศรัทธาของคน ขี้ผึ้งนี้ก็เสกด้วยคาถาเมตตาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์"

"คาถาเมตตาจิตว่าอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถาม

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "คาถาต้องเรียนด้วยความเชื่อมั่น มีครูอาจารย์ประสิทธิ์ให้ต้องยกครู กว่าผมจะเรียนได้มาก็ต้องอุตส่าห์พยายาม ไม่ใช่มาบอกคาถากันต่อหน้าธารกำนัลถึงจะบอกไปท่องได้ ถ้าไม่เชื่อถือก็ป่วยการเปล่า"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติเขามาหาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้คนไปซื้อยามา ผมก็เอาลงหม้อ เสกให้เอาไปต้มกินเท่านั้น"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "แล้วหายไหมเล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ก็เห็นบอกว่าหายดี"

"เป็นหน้าที่ของสงฆ์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าเคยเป็นหมอรักษาใครบ้างหรือเปล่า" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามหลวงพ่อแช่มต่อ

คำตอบจากหลวงพ่อแช่ม คือ "การเป็นหมอรักษาไข้ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ เป็นหน้าที่ของหมอ แต่ถ้าเขาหมดทางรักษา เรามียาอยู่ ควรจะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ให้เขาพ้นทุกข์ ผมก็ต้องสงเคราะห์ไปจะผิดจะถูกอย่างไรผมก็ยอม ผมไม่ใช่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผมจะเป็นได้ก็พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ถ้าผมเห็นว่าควรจะสละศีลเพื่อช่วยชีวิตเขา ผมก็จะสละ ถ้าผมคิดว่าจะสละวินัย เพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ผมก็จะสละ ถ้าผมพบผู้หญิงกำลังจะจมน้ำตาย ผมก็จะกระโดดน้ำลงช่วยอุ้มเขาขึ้นมาให้รอดตาย ถึงผมจะถูกปรับอาบัติว่าสังฆาทิเสส ผมก็จะยอม ผมจะไม่รักษาศีลบริสุทธิ์ยอมให้คนจมน้ำตายไปต่อหน้า ถ้าผมทำเช่นนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าผมบวชเพื่ออะไร"

เจ้าคณะจังหวัดฟังคำตอบแล้วถามหลวงพ่อแช่มต่อว่า "เรื่องอวดอุตริมนุสธรรมต่างๆ จะว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยอวดอ้างความวิเศษอะไรที่ผมไม่มี ถึงความวิเศษที่ผมมีมากกว่าพระภิกษุอื่นๆ ผมก็ไม่เคยอวด นอกจากมีคนมาถาม ผมก็ตอบเขาไป ใครมีพยานหลักฐานว่า ผมอวดฤทธิปาฏิหาริย์อย่างไรบ้าง ก็ยืนยันมาเถิด"

เจ้าคณะจังหวัดว่าต่อ "เช่นเรื่องหนังเหนียว คงกะพันชาตรี ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก"

หลวงพ่อแช่มกล่าวตอบว่า "ผมไม่ได้อวด แต่ผมบอกว่าอานุภาพของคุณพระนั้น ช่วยป้องกันอันตรายได้จริง มีอานุภาพจริง เช่น ทำให้ผิวหนังเหนียว ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก คลาดแคล้ว"

"ของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มได้ตอบไปว่า "ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น แล้วใช้เป็นก็ป้องกันศัสตราวุธได้จริง"

เจ้าคณะจังหวัดถามอีก "ถ้าผมจะลองฟันคุณเดี๋ยวนี้จะได้หรือไม่"

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "ยังไม่เคยมีใครมากล้าผมเลย"

เจ้าคณะจังหวัดหัวเราะแล้วกล่าวว่า "ผมก็ไม่กล้าลองคุณเหมือนกัน"

ครั้นแล้วการสอบสวนก็เป็นอันเสร็จสิ้น เจ้าคณะจังหวัดได้บอกว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" จากนั้นก็ได้สนทนากับหลวงพ่อแช่มถึงการเดินธุดงค์ และคาถาอาคมต่างๆ

เทพ สุนทรศารทูล ได้กล่าวถึงตอนท้ายของการสอบสวนหลวงพ่อแช่ม โดยเจ้าคณะจังหวัดในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ว่า

"ในที่สุดเจ้าคณะจังหวัด ก็ถามว่า ไหนคุณว่าคุณมีดีกว่าพระภิกษุอื่น คุณมีดีกว่าอย่างไร

หลวงพ่อแช่ม ก็ว่าอิติปิโสแปดบทให้ฟัง แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง จบแล้วก็บอกว่าพระองค์อื่นก็ว่าอิติปิโสเดินหน้าได้อย่างเดียว แต่ผมนั้นเชี่ยวชาญขนาดว่าทะแยงก็ได้ ว่าถอยหลังก็ได้ จะไม่ดีกว่าพระอื่นได้อย่างไร

เจ้าคณะจังหวัดก็เลยพาคณะกลับ"

5608
ครับ ผมชอบตรงบทความนี้มากเลยครับ ลองอ่านดูนะครับ ทำให้รู้อะไรดีๆอีกเยอะเลย


ความไม่ชอบใจหลวงพ่อแช่มของสมภารกร่ายได้นำไปสู่การร้องเรียนต่อเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัด โดยสมภารกร่ายเป็นผู้ร้องเรียนด้วยตัวท่านเอง ที่สุดนำไปสู่การสอบสวนด้วยข้อกล่าวหาที่ฉกรรจ์หลายข้อด้วยกัน คือ

1. ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส

2. ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไร

3. หายไปจากวัดหลายๆ วันเสมอ ไม่ทราบว่าไปทำอะไรที่ไหน

4. ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นพร้อมพระภิกษุอื่นในวัด

5. ไม่ลงฟังพระสวดปาติโมกข์ในวันพระ

6. ไม่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ตามธรรมเนียมของพระภิกษุ

7. หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวทำครัวเหมือนชาวบ้าน

8. รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน ผิดกิจของสงฆ์

9. อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ผิดศีลของพระภิกษุ

ในการสอบสวนหลวงพ่อแช่มนั้น มีเจ้าคณะจังหวัด พร้อมด้วยเจ้าคณะตำบล และคณะผู้ติดตาม เดินทางมาสอบสวนถึงวัดตาก้อง เมื่อมาถึงกุฏิของสมภารกร่ายได้ให้พระลูกวัดไปนิมนต์หลวงพ่อแช่มมาพบที่กุฏิ ทว่าพระลูกวัดได้กลับมารายงานว่า หลวงพ่อแช่มไม่ยอมมาพบ และได้ฝากข้อความมาว่า ตัวของท่านเป็นจำเลยอยู่แล้ว มีคดีร้ายแรงอย่างใดก็ขอให้ไปที่กุฏิของท่าน หากผิดจริงจะได้จับสึกกันเสียทีเดียวที่กุฏิของท่าน

คณะของเจ้าคณะจังหวัดจึงได้ไปยังกุฏิของหลวงพ่อแช่มเพื่อทำการสอบสวนเรื่องร้องเรียนของสมภารกร่าย เมื่อมาถึงกุฏิที่หลวงพ่อแช่มปลูกเป็นศาลา พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียวนั่งขัดสมาธิคอยอยู่บนพื้นกระดานแผ่นใหญ่ที่ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนวางรอง ไร้เฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งสิ้น กระทั่งเสื่อปูรองก็ไม่มี

เจ้าคณะตำบลที่มาด้วยเห็นเช่นนั้นก็ได้บอกให้หลวงพ่อแช่มไปครองจีวรเสียให้เรียบร้อยและชี้แจงให้รู้จักว่า นั่นเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดให้นมัสการกราบไหว้เสีย เพราะท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่ผู้ปกครองสงฆ์ชั้นสูง หลวงพ่อแช่มยังคงเฉย และกล่าวต่อเจ้าคณะตำบลว่า "ผมมันไม่ใช่พระใช่เจ้าอะไรแล้ว เป็นจำเลยให้เขาฟ้องร้อง มีตุลาการมาสอบสวน ก็อยากให้สอบสวนกันอย่างนี้ ดีร้ายจะได้ถอดสบงสึกกันง่ายๆ ไม่ต้องครองไตรจีวรให้เสียเวลา"

ซึ่งเจ้าคณะตำบลได้กล่าวปลอบชี้แจงว่า ยังไม่ใช่นักโทษ เพียงแต่ถูกอธิกรณ์ข้อกล่าวหา จะต้องสอบสวนกันก่อน ถ้าผิดจึงจะลงโทษ ถ้าไม่ผิดก็ไม่มีโทษอะไร เจ้าคณะท่านเป็นพระผู้ใหญ่มา ควรครองไตรจีวรให้เรียบร้อย เพื่อแสดงความเคารพท่าน หลวงพ่อแช่มก็กล่าวว่า "ถ้าหากผมนุ่งสบงตัวเดียวอยู่วัดอย่างนี้ ผมไม่ใช่พระหรืออย่างไร ถ้าหากผมครองไตรจีวรเรียบร้อยแล้ว ผมมีศีลด่างพร้อย ต้องอาบัติปาราชิก ผมจะเป็นพระเพราะครองไตรจีวรหรือ"

ท่านเจ้าคณะจังหวัดซึ่งได้นิ่งฟังอยู่เป็นนานแล้ว ได้กล่าวกับหลวงพ่อแช่มว่า "นี่แน่ะท่านแช่ม ถ้าท่านเป็นพระถือศีลบริบูรณ์อยู่ ให้ท่านไปห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อน เรื่องผิดถูกค่อยพูดกันทีหลัง" หลวงพ่อแช่มจึงลุกขึ้น คว้าจีวรห่มนั่งลงที่เดิม ไม่ได้นิมนต์ให้เจ้าคณะจังหวัดนั่ง ซึ่งท่านก็ได้นั่งลงเองพร้อมๆ กับพระภิกษุรูปอื่นๆ

ต่อเมื่อได้นั่งมองสังเกตไปรอบๆ กุฏิของหลวงพ่อแช่ม ที่ปลุกเป็นศาลาโรงดิน หลังคามุงจาก เปิดฝาผนังโล่งทั้ง 4 ด้าน ไม่มีพื้นกระดาน นอกจากแผ่นกระดานใหญ่ที่ปูนอนอยู่บนพื้น และเป็นที่นั่งรับแขก สักครูหนึ่ง เจ้าคณะจังหวัดจึงได้เอ่ยขึ้น "ที่มาวันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอบสวนอะไร ไม่ได้คิดว่าท่านแช่มจะทำผิดศีลวินัยอะไร แต่อยากจะมาดูให้รู้กับหูกับตาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีคำร้องฟ้องกล่าวโทษไปหลายข้อ" ว่าแล้วก็หยิบคำฟ้องจากย่ามขึ้นมาอ่านให้ฟัง แล้วถามเป็นข้อๆ

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ผมก็อยู่ในเขตวัดตาก้อง เจ้าอาวาสก็อยู่ในกุฏิของท่าน ผมก็อยู่ในกุฏิของผม ต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยพบหน้ากัน เจ้าอาวาสไม่เคยมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอะไรผม ไม่เคยสั่งห้ามอะไร ผมก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อห้ามข้อใดเลย แล้วจะว่าผมไม่อยู่ในปกครองได้อย่างไร ธรรมดาพ่อแม่ปกครองลูก ก็ต้องดูแลว่ากล่าว ตักเตือน สั่งสอน ห้ามปราม นี่ไม่เคยเลย ผมก็ไม่เคยทำอะไรฝ่าฝืน จะว่าฝ่าฝืนข้อไหน ท่านไม่มาปกครองผมเองต่างหาก"

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าไปไหน ทำอะไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"เมื่อสมภารไม่มาปกครองผม ปล่อยผมตามใจ ผมก็ปกครองตัวเอง จะไปไหนก็ไปเอง กลับเอง ทำอะไรก็ทำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของวัด ข้อนี้ผมมีความผิดธรรมวินัยของสงฆ์อย่างไร"

ต่อข้อกล่าวหาว่า หายหน้าไปจากวัดเสมอ ครั้งละหลายๆ วัน ไม่ทราบว่าไปทำผิดทำชั่วทำความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ผมออกจากวัดไปเสมอจริง ไปครั้งละหลายๆ วันจริง ก็ไปทำกิจส่วนตัวที่ชาวบ้านเขานิมนต์เป็นกิจส่วนตัว ไม่ได้ไปทำผิด ทำชั่ว ทำความเสื่อมเสียอะไร ถ้าหากว่าไปทำผิดทำชั่วจริง คงจะมีคนจับได้ คงจะถูกฟ้องร้อง ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวเข้าคุกตะรางไปแล้ว แต่นี่ก็ไม่มีใครพบเห็นว่าทำผิดทำชั่วที่ไหนเลย อย่างนี้จะผิดธรรมวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหา ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ร่วมกับพระภิกษุสงฆ์องค์อื่น หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"การทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ผมก็ทำของผมองค์เดียวเพราะผมอยู่องค์เดียว ผมเป็นพระป่า เคยออกธุดงค์เดินป่า ก็ทำวัตรสวดมนต์องค์เดียวมาตลอด พระอรหันต์ท่านไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็สวดมนต์ภาวนาองค์เดียว การสวดมนต์องค์เดียวผิดศีลวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์ในวันพระ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"วันพระผมก็สวดพระปาติโมกข์เอง สวดเอง ฟังเอง เหมือนพระสงฆ์อื่นๆ ที่ท่านให้ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์นั้น สำหรับพระที่สวดพระปาติโมกข์เองไม่ได้ จะได้ฟังเอาบุญก็ผมสวดเองได้ จะต้องไปฟังใครสวดอีกเล่า พระอื่นๆ เสียอีกที่สวดพระปาติโมกข์ไม่ได้นั่นแหละจะสู้ผมไม่ได้ ถ้ามาว่าพระปาติโมกข์แข่งกัน"

ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดได้แย้งว่า "การฟังพระปาติโมกข์นั้น ฟังจบแล้วก็ได้ฟังคำสั่งสอนอบรมของเจ้าอาวาสด้วย" หลวงพ่อแช่มจึงตอบกลับว่า "ผมสวดพระปาติโมกข์จบแล้วก็นั่งเจริญสมาธิภาวนา อบรมจิตของตนเป็นการบำเพ็ญภาวนา ดีเสียกว่านั่งฟังครูอาจารย์สั่งสอบอบรมเสียอีก คนเราลองถ้าได้สงบจิตเตือนใจของตนได้แล้ว ใครเล่าจะวิเศษไปกว่าตนของตนเตือนตน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ตามธรรมเนียมของพระภิกษุสงฆ์ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ที่ท่านให้ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์นั้นก็เพื่อจะได้อาหารมาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่ง กับเพื่อจะได้ออกไปเตือนอุบาสกสีกาให้บริจาคทานทำบุญ ก็เมื่อผมเองไม่ต้องออกไปบิณฑบาตก็มีอาหารเลี้ยงชีพ จะต้องออกบิณฑบาตอีกทำไม ถ้าจะว่าออกไปเตือนคนให้บริจาคทานทำบุญทำกุศลก็ผมเองนั่งอยู่ที่กุฏินี้ เขาก็คิดถึงนำอาหารมาถวาย ผมทำให้คนทั้งหลายบริจาคทานทำบุญได้อยู่แล้ว ไม่ต้องออกไปเตือนให้เขาทำบุญจนถึงบ้าน อย่างนี้จะว่าผิดธรรมเนียมสงฆ์อย่างไรอีก ถ้าผมออกบิณฑบาตกลับจะเป็นโทษ เพราะคนเขาจะพากันทำบุญตักบาตรผมเสียมาก พระภิกษุอื่นๆ จะขาดลาภไปเสีย อย่างนี้จะไม่ว่าผมมีเมตตาแก่ภิกษุบวชใหม่บ้างหรือ"

ต่อข้อกล่าวหาว่า หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวเอง เหมือนชาวบ้าน หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ก็เมื่อผมไม่ออกบิณฑบาตขอภิกขาจารอาหารเช้ากิน จึงต้องหุงข้าวกินเอง เพราะผมฉันอาหารแต่เช้า พอตะวันขึ้นชาวบ้านเขาเอาถวายไม่ทัน อีกประการหนึ่ง ผมมีลูกศิษย์หลายคน ทั้งพระทั้งฆราวาสจึงต้องตั้งครัวหุงต้มเลี้ยงกันเอง ชาวบ้านเขาเอาข้าวสาร กะปิ น้ำปลา ปลาแห้ง ปลาเค็ม มาถวาย ก็จัดการหุงต้มแกงกินกันเอง อย่างนี้จะผิดศีลวินัยข้อไหน"

เจ้าคณะจังหวัดว่า "ผิดที่สะสมอาหารไว้อย่างไรเล่า พระภิกษุเราไม่ควรจะต้องสะสมอาหาร ควรบิณฑบาตเลี้ยงชีพไปชั่วมื้อชั่ววันเท่านั้น"

หลวงพ่อแช่มได้ตอบกลับว่า "ผมไม่ได้สะสมอาหารสุกไว้กินในยามวิกาล ผมสะสมอาหารดิบอาหารแห้งไว้ประกอบกินในวันพรุ่งนี้ต่างหาก ผมไม่ได้สะสมไว้เพื่อตัวเอง สะสมไว้เพื่อศิษย์ต่างหาก การประกอบอาหารผมก็ไม่ลงมือทำเองศิษย์ทำถวายทั้งสิ้น"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "อาหารดิบนั้น มีปลาเป็นๆ ไข่ไก่อยู่หรือเปล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ปลาเป็นๆ ไม่มีอุบาสกสีกาคนใดอุตริเอามาถวายเลย ไข่สดไม่มีมีแต่ไข่เค็ม ปลาเค็ม ปลาเป็นๆ นั้นไม่มีใครถวาย ถ้าประสงค์จะหามาแกง ปลาในสระวัดตลอดหน้าวัดก็มีแยะไป แต่ไม่มีใครไปจับเอามาทำอาหารเลย"

"ผักสด ผักเขียว ไม่มีเลยหรือ" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อ

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ยอดผักบุ้ง ยอดผักกะเฉด ผักแว่น สายบัว ผมฉันสดๆ เสมอ แต่ไม่เคยไปเด็ดเอง ท่านเจ้าคณะไม่เคยฉันผักสดเลยทีเดียวหรือ"

เจ้าคณะจังหวัดได้ตอบว่า "ผมไม่ชอบ"

ต่อข้อกล่าวหาว่า รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์เป็นหมอยารักษาไข้ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"รดน้ำมนต์ ผมรดจริง เพื่อสงเคราะห์คนที่เขามีทุกข์ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รดกันอยู่ทั่วไป จะผิดศีลวินัยข้อไหน ก็คงผิดกันมาก อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่เคยบอกว่ารดน้ำมนต์ผิดวินัย หลวงพ่อของผมท่านก็รดน้ำมนต์ให้ใครๆ อยู่เรื่อยๆ"

"เรื่องให้หวยเล่า" เจ้าคณะจังหวัดถาม

หลวงพ่อแช่มตอบไปว่า "หวยก็ให้ เมื่อมีคนเขามาถามว่าหวยงวดนี้ออกตัวอะไร ก็บอกให้เขาไปเล่นกัน รัฐบาลท่านอนุญาตให้เล่นหวยกัน พระสงฆ์ก็ต้องบอกหวยได้"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "เห็นตัวเลขจริงหรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "เข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งก็เหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีละลอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้"

"เห็นอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มจึงตอบว่า "เห็นเป็นตัว ก. ตัว ข. เห็นเป็นตัวม้า ตัวเรือ" (สมัยนั้นเป็นหวย ก. ข.)

"เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มก็ตอบ "เขามาบอกว่าถูกก็มี ไม่ถูกก็มี"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "ทำไมจึงมีถูกบ้าง ผิดบ้าง"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เขาต่างหาก"

"ทำไมต้องใบ้ ทำไมจึงไม่บอกตรงๆ" เจ้าคระจังหวัดได้ถามต่อ

"ถ้าบอกตรงๆ ก็อวดอุตริมนุสธรรม" เป็นคำตอบจากหลวงพ่อแช่ม

จากนั้นเจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เรื่องทำเสน่ห์ว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ไม่เคยทำเสน่ห์ยาแฝด ของลามก มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้งไปสีปาก"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ "ใช้สีผึ้งสีปาก แล้วมีเสน่ห์จริงๆ หรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "สุดแล้วแต่ศรัทธาของคน ขี้ผึ้งนี้ก็เสกด้วยคาถาเมตตาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์"

"คาถาเมตตาจิตว่าอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถาม

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "คาถาต้องเรียนด้วยความเชื่อมั่น มีครูอาจารย์ประสิทธิ์ให้ต้องยกครู กว่าผมจะเรียนได้มาก็ต้องอุตส่าห์พยายาม ไม่ใช่มาบอกคาถากันต่อหน้าธารกำนัลถึงจะบอกไปท่องได้ ถ้าไม่เชื่อถือก็ป่วยการเปล่า"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติเขามาหาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้คนไปซื้อยามา ผมก็เอาลงหม้อ เสกให้เอาไปต้มกินเท่านั้น"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "แล้วหายไหมเล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ก็เห็นบอกว่าหายดี"

"เป็นหน้าที่ของสงฆ์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าเคยเป็นหมอรักษาใครบ้างหรือเปล่า" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามหลวงพ่อแช่มต่อ

คำตอบจากหลวงพ่อแช่ม คือ "การเป็นหมอรักษาไข้ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ เป็นหน้าที่ของหมอ แต่ถ้าเขาหมดทางรักษา เรามียาอยู่ ควรจะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ให้เขาพ้นทุกข์ ผมก็ต้องสงเคราะห์ไปจะผิดจะถูกอย่างไรผมก็ยอม ผมไม่ใช่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผมจะเป็นได้ก็พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ถ้าผมเห็นว่าควรจะสละศีลเพื่อช่วยชีวิตเขา ผมก็จะสละ ถ้าผมคิดว่าจะสละวินัย เพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ผมก็จะสละ ถ้าผมพบผู้หญิงกำลังจะจมน้ำตาย ผมก็จะกระโดดน้ำลงช่วยอุ้มเขาขึ้นมาให้รอดตาย ถึงผมจะถูกปรับอาบัติว่าสังฆาทิเสส ผมก็จะยอม ผมจะไม่รักษาศีลบริสุทธิ์ยอมให้คนจมน้ำตายไปต่อหน้า ถ้าผมทำเช่นนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าผมบวชเพื่ออะไร"

เจ้าคณะจังหวัดฟังคำตอบแล้วถามหลวงพ่อแช่มต่อว่า "เรื่องอวดอุตริมนุสธรรมต่างๆ จะว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยอวดอ้างความวิเศษอะไรที่ผมไม่มี ถึงความวิเศษที่ผมมีมากกว่าพระภิกษุอื่นๆ ผมก็ไม่เคยอวด นอกจากมีคนมาถาม ผมก็ตอบเขาไป ใครมีพยานหลักฐานว่า ผมอวดฤทธิปาฏิหาริย์อย่างไรบ้าง ก็ยืนยันมาเถิด"

เจ้าคณะจังหวัดว่าต่อ "เช่นเรื่องหนังเหนียว คงกะพันชาตรี ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก"

หลวงพ่อแช่มกล่าวตอบว่า "ผมไม่ได้อวด แต่ผมบอกว่าอานุภาพของคุณพระนั้น ช่วยป้องกันอันตรายได้จริง มีอานุภาพจริง เช่น ทำให้ผิวหนังเหนียว ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก คลาดแคล้ว"

"ของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มได้ตอบไปว่า "ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น แล้วใช้เป็นก็ป้องกันศัสตราวุธได้จริง"

เจ้าคณะจังหวัดถามอีก "ถ้าผมจะลองฟันคุณเดี๋ยวนี้จะได้หรือไม่"

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "ยังไม่เคยมีใครมากล้าผมเลย"

เจ้าคณะจังหวัดหัวเราะแล้วกล่าวว่า "ผมก็ไม่กล้าลองคุณเหมือนกัน"

ครั้นแล้วการสอบสวนก็เป็นอันเสร็จสิ้น เจ้าคณะจังหวัดได้บอกว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" จากนั้นก็ได้สนทนากับหลวงพ่อแช่มถึงการเดินธุดงค์ และคาถาอาคมต่างๆ

เทพ สุนทรศารทูล ได้กล่าวถึงตอนท้ายของการสอบสวนหลวงพ่อแช่ม โดยเจ้าคณะจังหวัดในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ว่า

"ในที่สุดเจ้าคณะจังหวัด ก็ถามว่า ไหนคุณว่าคุณมีดีกว่าพระภิกษุอื่น คุณมีดีกว่าอย่างไร

หลวงพ่อแช่ม ก็ว่าอิติปิโสแปดบทให้ฟัง แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง จบแล้วก็บอกว่าพระองค์อื่นก็ว่าอิติปิโสเดินหน้าได้อย่างเดียว แต่ผมนั้นเชี่ยวชาญขนาดว่าทะแยงก็ได้ ว่าถอยหลังก็ได้ จะไม่ดีกว่าพระอื่นได้อย่างไร

เจ้าคณะจังหวัดก็เลยพาคณะกลับ"

5609
 :o เอรูปที่ 8 ที่ถ่าย 2 คนเสื้อแดง คนขวามานเพื่อนผมนี่หว่า อ้ายมะกูด อ้ายเอ็มมะกูด 555555555ใช่ป่าวไม่รู้ ถ้าไม่ใช้โทษทีนะครับ
เหงหัวเข็มขัด คุ้นๆ จัง เหมือนเทคโนนครปฐม เลย 5555

5610
 :) สุดยอดครับ ของหลวงพ่อเต้า ผมก็แขวนอยู่ 1 องค์ ไปไหนหายห่วง ครับ? ;)


นำรุปมาให้ชมอีก 1 พิม ครับ ....ปี 2496


5612
ขอบคุณครับ สุดยอด จิงๆ เยี่ยมครับ :)

5613
 ;) สุดยอดไปเลย ครับ

5614

พระเกจิอาจารย์แห่งลุ่มน้ำนครชัยศรีอีกรูปหนึ่ง นามหลวงพ่อแช่ม อินฺทสโร ที่ไม่อาจปฏิเสธถึงชื่อเสียงแห่งพระเกจิอาจารย์จากลุ่มน้ำนครชัยศรีไปได้

ยิ่งเมื่อทอดสายตาไปทั่วเมืองนครปฐม พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและโดดเด่นมากรูปหนึ่งในนั้น มี หลวงพ่อทา แห่งวัดพะเนียงแตก ยืนอยู่ตรงแถวหน้ารูปหนึ่ง

หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก นี่แหละที่น่าจะกล่าวถึงไว้ในอัตโนประวัติหลวงพ่อแช่ม เนื่องเพราะอย่างน้อยมีสายสัมพันธ์กันในฐานะ อาจารย์ และ ศิษย์โดยเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อแช่ม

ทว่าปูมหลังการอุปสมบทของหลวงพ่อแช่ม มีอยู่ถึง 2 เส้นทาง

ทางหนึ่งกล่าวว่า หลวงพ่อแช่ม ได้อุปสมบทที่วัดตาก้อง โดยมีพระอธิการจันทร์ วัดท่ามอญ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูกลั่น วัดพระประโทน เป็นพระกรรมวาจาจารย์

อีกเส้นทางหนึ่งกลับว่า หลวงพ่อแช่ม อุปสมบทที่วัดพระประโทน มีพระอุตรการบดี (ทา) วัดพะเนียงแตก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมถกิตติคุณ (กลั่น) วัดพระประโทน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ชุ่ม วัดพระประโทน เป็นพระอนุสาวนาจารย์

กล่าวสำหรับพระอาจารย์ชุ่มนี้ จากประวัติในเส้นทางแรกว่า เป็นน้องชายของหลวงพ่อแช่ม แต่ในประวัติตามเส้นทางที่สองว่า เป็นน้าชายของหลวงพ่อแช่ม และต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูสมถกิตติคุณ เจ้าอาวาสวัดพระประโทนต่อจากพระครูสมถกิตติคุณ (กลั่น)

ปูมหลังของพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าๆ สับสนเช่นนี้เสมอ ที่สับสนเนื่องเพราะไม่มีการบันทึกรายละเอียดของประวัติไว้ นอกจากอาศัยคำบอกเล่าจึงมักคลาดเคลื่อนเสมอ

ความสับสนไม่เพียงในเรื่องของการอุปสมบท วันเดือนปีเกิดของหลวงพ่อแช่ม ก็ยังไม่ชัดแจ้ง

ทางหนึ่งนั้นว่า หลวงพ่อแช่ม เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 3 ปีจอ พ.ศ.2405 ที่บ้านตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

เป็นบุตรของนายชื่น และนางใจ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 2 คน โดยท่านเป็นคนโต และน้องชายชื่อชุ่ม

ทางที่สองกลับว่า หลวงพ่อแช่ม เป็นบุตรคนหัวปี มีจำนวนพี่น้อง 7 คน อันประกอบด้วย ชาย 5 หญิง 2 ของนายกลัด และนางเหม นามสกุล มากลัด เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.2398-2400 ที่บ้านหอคอย (มีบางท่านบอกว่าเป็นชาวบ้านดอนข่อย) อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านดอนกลาง ตำบลมาบแค

แต่ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อพลิกหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" อันเรียบเรียงโดย เทพ สุนทรศารทูล กลับกล่าวว่า

"หลวงพ่อแช่ม เป็นชาวตำบลตาก้องโดยกำเนิด ท่านเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.2400 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านเกิดวัน เดือน ปีอะไรก็ไม่มีใครรู้ หลวงพ่อแช่มเองก็ไม่ทราบท่านจำไม่ได้เหมือนกันว่าท่านเกิดปีอะไร ทั้งนี้เพราะบิดามารดาไม่ได้บอกไว้ ท่านเองก็ไม่สนใจปีเกิดของท่าน เมื่อประมาณ พ.ศ.2490 ข้าพเจ้าเคยถามท่านว่า หลวงพ่ออายุเท่าไรแล้ว ท่านตอบว่า "เกือบร้อย" ท่านบอกใครๆ ว่า อายุท่านเกือบร้อยทั้งนั้น โยมผู้ชายหลวงพ่อแช่มชื่อ "กลัด" หลวงพ่อแช่ม เป็นุบตรคนหัวปี มีน้องชายคนหนึ่งชื่อ "นาค" น้องสาวชื่อ ทิม น้องชายคนสุดท้องชื่อทับ"

กล่าวว่าเมื่อหลวงพ่อแช่ม อุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพระประโทน ยาวนานถึง 8 พรรษา แต่ เทพ สุนทรศารทูล ระบุไว้ในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" (ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2519 ต่อมาคณะศิษยานุศิษย์วัดตาก้องได้นำมาพิมพ์ซ้ำเมื่อปี พ.ศ.2537) ว่า

"หลวงพ่อแช่ม บวชแล้วก็มิได้จำพรรษาที่วัดตาก้อง ได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ไปจำพรรษาที่วัดพะเนียงแตก ตำบลมาบแค อำเภอเมืองนครปฐม"

พระอุปัชฌาย์มิใช่ไหนอื่นไกลเลย คือ พระครูอุตรการบดี (ทา) นั่นเอง

ได้อยู่ศึกษาวิชากับพระครูอุตรการบดี ร่ำเรียนวิชากรรมฐาน เป็นเบื้องต้น ก่อนจะสอนวิชาคาถาอาคมต่างๆ ให้กับหลวงพ่อแช่ม จากนั้นจึงออกธุดงควัตรเป็นการทดสอบจิต

กล่าวว่านอกเหนือจากการศึกษาวิชาจากพระครูอุตรการบดี (ทา) วัดพะเนียงแตกแล้ว หลวงพ่อแช่มยังได้ศึกษาวิชาจากพระเกจิอาจารย์อื่นๆ อีก เช่น เรียนทางด้านการทำผงมหาราช ผงอิทธิเจ ผงตรีนิสิงเห ผงพุทธคุณ และผงปถมัง กับพระครูปริมานุรักษ์ (คด) วัดริมจวน นครปฐม เรียนวิชาทางด้านคงกระพันชาตรีกับพระอาจารย์จันทร์ วัดพระงาม เรียนทางด้านมหาอุดและแคล้วคลาดกับหลวงพ่อเนียม วัดน้อย สุพรรณบุรี

ภายหลังจากธุดงควัตรกลับมาถึงวัดพะเนียงแตกแล้ว หลวงพ่อแช่มได้เข้าไปกราบลาพระครูอุตรการบดี (ทา) เพื่อขอกลับไปอยู่ยังวัดตาก้อง เพื่อให้อยู่ใกล้ญาติโยมทางโน้น ซึ่งพระครูอุตรการบดี (ทา) ได้กล่าวเพียงว่า

"ไปอยู่วัดตาก้องน่ะ ต้องระวังให้ดี ที่นั่นเขาเป็นพระบ้านทั้งนั้น เราเป็นพระป่านะ"

ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสวัด เป็นเพียงพระลูกวัดธรรมดา แต่เพราะชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่ม นั่นแหละวัดตาก้องจึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป

อย่างที่กล่าวไว้แต่แรกว่า ปูมหลังของหลวงพ่อแช่มนั้นมีอยู่ถึง 2 ทาง ทางหนึ่งบอกหลวงพ่อแช่มเป็นชาวตำบลตาก้อง แต่อีกทางหนึ่งกลับว่าเป็นชาวบ้านหอคอย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

กระนั้นความเชื่อถือในข้อมูลของทางที่หนึ่งนั้นมีมากกว่า เชื่อว่าหลวงพ่อแช่มเป็นชาวตำบลตาก้อง ที่มีวัดหนึ่งอยู่ในตำบลชื่อเดียวกัน คือ วัดตาก้อง

ตำบลตาก้องที่แต่เดิมเรียกกันว่า "อ้ายก้อง" ดังเมื่อครั้งที่หมื่นพรหมพักศร (มี) กวีมีชื่อในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เดินทางผ่านระหว่างไปนมัสการพระแท่นดงรัง ที่เมืองกาญจนบุรี เมื่อ พ.ศ.2376 ได้แต่งนิราศไว้ว่า

"ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายก้อง

สกุณร้องรัญจวนถึงนวลหงษ์

พอโพล้เพล้เพลาจะค่ำลง

ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย

เสียงจักกระจั่นแจ้งแจ้วให้แว่วหวาด

หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล

ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพลาลัย

วังเวงใจจรมาในราตรี"

ที่วัดตาก้องในสมัยที่หลวงพ่อแช่มไปจำพรรษา มีเจ้าอาวาสชื่อ กร่าย ใน หนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ของ เทพ สุนทรศารทูล กล่าวไว้ว่า

"สิ้นบุญหลวงพ่อเกริ่นแล้ว สมภารกร่ายก็ได้ปกครองวัดต่อมา สมภารกร่ายองค์นี้เป็นญาติทางฝ่ายมารดาของข้าพเจ้า แต่สมภารกร่าย หรือหลวงน้ากร่ายของข้าพเจ้านี้ สู้หลวงพ่อเกริ่นไม่ได้ เพราะท่านโมโหร้ายนัก สมัยนั้นนักเรียนประชาบาลอาศัยเรียนอยู่บนศาลาการเปรียญ เวลาหยุดพักกลางวันเด็กๆ ก็เล่นกันส่งเสียงเอะอะเกรียวกราวหนวกหู ท่านสมภารกร่ายก็ลงจากกุฏิ ถือขวานลูกหนึ่งวิ่งกวดนักเรียน นักเรียนก็วิ่งหนีเป็นการสนุกแกมหวาดกลัว เที่ยวซุกซ่อนอยู่ตามใต้ถุนศาลาบ้าง วิ่งขึ้นไปหาครูบนศาลาบ้าง ปีหนึ่งจะมีเรื่องต้องวิ่งหนีสมภารกร่ายกัน 2-3 ครั้งเสมอ เพราะนานๆ เข้าเด็กๆ ก็ลืม ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวให้ท่านไล่กวดตะเพิดเอาเรื่อยๆ"

เมื่อหลวงพ่อแช่มมาถึงวัดตาก้องแล้วนั้น ได้ขึ้นไปกราบเรียนให้สมภารกร่ายทราบว่า ท่านมาจำพรรษาที่วัดตาก้อง แต่กลับพบความเฉยเมยของเจ้าอาวาสวัดตาก้อง ที่เพียงพยักหน้ารับทราบอย่างเมินๆ กับหลวงพ่อแช่ม

แต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงเป็นที่ทราบว่าสมภารกร่าย ดูจะไม่ค่อยชอบหลวงพ่อแช่ม ดังนั้นหลวงพ่อแช่มจึงได้ไปปลูกกุฏิอยู่นอกเขตวัดตาก้อง บริเวณกุฏิท่านเป็นป่าละเมาะ ซึ่งหลวงพ่อแช่ม และชาวบ้านอีก 2-3 คน มาช่วยกันหักร้างถางพง ปลูกกุฏิขึ้นแบบศาลาไม่มีฝาผนังเปิดโล่งตลอด ไม่ยอมลงโบสถ์ทำสังฆกรรมร่วมกับพระวัดตาก้อง

เมื่อท่านจำพรรษาอยู่ ณ กุฏิแห่งนี้ ชาวบ้านพากันมากราบท่านทุกวี่วัน ซึ่งคงขัดนัยน์ตาสมภารกร่ายยิ่งนัก ที่หลวงพ่อแช่มมีญาติโยมมาเยี่ยมกราบมิได้ขาด

ความไม่ชอบใจหลวงพ่อแช่มของสมภารกร่ายได้นำไปสู่การร้องเรียนต่อเจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะจังหวัด โดยสมภารกร่ายเป็นผู้ร้องเรียนด้วยตัวท่านเอง ที่สุดนำไปสู่การสอบสวนด้วยข้อกล่าวหาที่ฉกรรจ์หลายข้อด้วยกัน คือ

1. ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส

2. ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าจะไปไหน ไปทำอะไร

3. หายไปจากวัดหลายๆ วันเสมอ ไม่ทราบว่าไปทำอะไรที่ไหน

4. ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นพร้อมพระภิกษุอื่นในวัด

5. ไม่ลงฟังพระสวดปาติโมกข์ในวันพระ

6. ไม่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ตามธรรมเนียมของพระภิกษุ

7. หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวทำครัวเหมือนชาวบ้าน

8. รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์ เป็นหมอรักษาไข้ให้ชาวบ้าน ผิดกิจของสงฆ์

9. อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ ผิดศีลของพระภิกษุ

ในการสอบสวนหลวงพ่อแช่มนั้น มีเจ้าคณะจังหวัด พร้อมด้วยเจ้าคณะตำบล และคณะผู้ติดตาม เดินทางมาสอบสวนถึงวัดตาก้อง เมื่อมาถึงกุฏิของสมภารกร่ายได้ให้พระลูกวัดไปนิมนต์หลวงพ่อแช่มมาพบที่กุฏิ ทว่าพระลูกวัดได้กลับมารายงานว่า หลวงพ่อแช่มไม่ยอมมาพบ และได้ฝากข้อความมาว่า ตัวของท่านเป็นจำเลยอยู่แล้ว มีคดีร้ายแรงอย่างใดก็ขอให้ไปที่กุฏิของท่าน หากผิดจริงจะได้จับสึกกันเสียทีเดียวที่กุฏิของท่าน

คณะของเจ้าคณะจังหวัดจึงได้ไปยังกุฏิของหลวงพ่อแช่มเพื่อทำการสอบสวนเรื่องร้องเรียนของสมภารกร่าย เมื่อมาถึงกุฏิที่หลวงพ่อแช่มปลูกเป็นศาลา พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียวนั่งขัดสมาธิคอยอยู่บนพื้นกระดานแผ่นใหญ่ที่ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนวางรอง ไร้เฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งสิ้น กระทั่งเสื่อปูรองก็ไม่มี

เจ้าคณะตำบลที่มาด้วยเห็นเช่นนั้นก็ได้บอกให้หลวงพ่อแช่มไปครองจีวรเสียให้เรียบร้อยและชี้แจงให้รู้จักว่า นั่นเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดให้นมัสการกราบไหว้เสีย เพราะท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่ผู้ปกครองสงฆ์ชั้นสูง หลวงพ่อแช่มยังคงเฉย และกล่าวต่อเจ้าคณะตำบลว่า "ผมมันไม่ใช่พระใช่เจ้าอะไรแล้ว เป็นจำเลยให้เขาฟ้องร้อง มีตุลาการมาสอบสวน ก็อยากให้สอบสวนกันอย่างนี้ ดีร้ายจะได้ถอดสบงสึกกันง่ายๆ ไม่ต้องครองไตรจีวรให้เสียเวลา"

ซึ่งเจ้าคณะตำบลได้กล่าวปลอบชี้แจงว่า ยังไม่ใช่นักโทษ เพียงแต่ถูกอธิกรณ์ข้อกล่าวหา จะต้องสอบสวนกันก่อน ถ้าผิดจึงจะลงโทษ ถ้าไม่ผิดก็ไม่มีโทษอะไร เจ้าคณะท่านเป็นพระผู้ใหญ่มา ควรครองไตรจีวรให้เรียบร้อย เพื่อแสดงความเคารพท่าน หลวงพ่อแช่มก็กล่าวว่า "ถ้าหากผมนุ่งสบงตัวเดียวอยู่วัดอย่างนี้ ผมไม่ใช่พระหรืออย่างไร ถ้าหากผมครองไตรจีวรเรียบร้อยแล้ว ผมมีศีลด่างพร้อย ต้องอาบัติปาราชิก ผมจะเป็นพระเพราะครองไตรจีวรหรือ"

ท่านเจ้าคณะจังหวัดซึ่งได้นิ่งฟังอยู่เป็นนานแล้ว ได้กล่าวกับหลวงพ่อแช่มว่า "นี่แน่ะท่านแช่ม ถ้าท่านเป็นพระถือศีลบริบูรณ์อยู่ ให้ท่านไปห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อน เรื่องผิดถูกค่อยพูดกันทีหลัง" หลวงพ่อแช่มจึงลุกขึ้น คว้าจีวรห่มนั่งลงที่เดิม ไม่ได้นิมนต์ให้เจ้าคณะจังหวัดนั่ง ซึ่งท่านก็ได้นั่งลงเองพร้อมๆ กับพระภิกษุรูปอื่นๆ

ต่อเมื่อได้นั่งมองสังเกตไปรอบๆ กุฏิของหลวงพ่อแช่ม ที่ปลุกเป็นศาลาโรงดิน หลังคามุงจาก เปิดฝาผนังโล่งทั้ง 4 ด้าน ไม่มีพื้นกระดาน นอกจากแผ่นกระดานใหญ่ที่ปูนอนอยู่บนพื้น และเป็นที่นั่งรับแขก สักครูหนึ่ง เจ้าคณะจังหวัดจึงได้เอ่ยขึ้น "ที่มาวันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอบสวนอะไร ไม่ได้คิดว่าท่านแช่มจะทำผิดศีลวินัยอะไร แต่อยากจะมาดูให้รู้กับหูกับตาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีคำร้องฟ้องกล่าวโทษไปหลายข้อ" ว่าแล้วก็หยิบคำฟ้องจากย่ามขึ้นมาอ่านให้ฟัง แล้วถามเป็นข้อๆ

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ผมก็อยู่ในเขตวัดตาก้อง เจ้าอาวาสก็อยู่ในกุฏิของท่าน ผมก็อยู่ในกุฏิของผม ต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยพบหน้ากัน เจ้าอาวาสไม่เคยมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอะไรผม ไม่เคยสั่งห้ามอะไร ผมก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อห้ามข้อใดเลย แล้วจะว่าผมไม่อยู่ในปกครองได้อย่างไร ธรรมดาพ่อแม่ปกครองลูก ก็ต้องดูแลว่ากล่าว ตักเตือน สั่งสอน ห้ามปราม นี่ไม่เคยเลย ผมก็ไม่เคยทำอะไรฝ่าฝืน จะว่าฝ่าฝืนข้อไหน ท่านไม่มาปกครองผมเองต่างหาก"

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าไปไหน ทำอะไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"เมื่อสมภารไม่มาปกครองผม ปล่อยผมตามใจ ผมก็ปกครองตัวเอง จะไปไหนก็ไปเอง กลับเอง ทำอะไรก็ทำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของวัด ข้อนี้ผมมีความผิดธรรมวินัยของสงฆ์อย่างไร"

ต่อข้อกล่าวหาว่า หายหน้าไปจากวัดเสมอ ครั้งละหลายๆ วัน ไม่ทราบว่าไปทำผิดทำชั่วทำความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ผมออกจากวัดไปเสมอจริง ไปครั้งละหลายๆ วันจริง ก็ไปทำกิจส่วนตัวที่ชาวบ้านเขานิมนต์เป็นกิจส่วนตัว ไม่ได้ไปทำผิด ทำชั่ว ทำความเสื่อมเสียอะไร ถ้าหากว่าไปทำผิดทำชั่วจริง คงจะมีคนจับได้ คงจะถูกฟ้องร้อง ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวเข้าคุกตะรางไปแล้ว แต่นี่ก็ไม่มีใครพบเห็นว่าทำผิดทำชั่วที่ไหนเลย อย่างนี้จะผิดธรรมวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหา ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ร่วมกับพระภิกษุสงฆ์องค์อื่น หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"การทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ผมก็ทำของผมองค์เดียวเพราะผมอยู่องค์เดียว ผมเป็นพระป่า เคยออกธุดงค์เดินป่า ก็ทำวัตรสวดมนต์องค์เดียวมาตลอด พระอรหันต์ท่านไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็สวดมนต์ภาวนาองค์เดียว การสวดมนต์องค์เดียวผิดศีลวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์ในวันพระ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"วันพระผมก็สวดพระปาติโมกข์เอง สวดเอง ฟังเอง เหมือนพระสงฆ์อื่นๆ ที่ท่านให้ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์นั้น สำหรับพระที่สวดพระปาติโมกข์เองไม่ได้ จะได้ฟังเอาบุญก็ผมสวดเองได้ จะต้องไปฟังใครสวดอีกเล่า พระอื่นๆ เสียอีกที่สวดพระปาติโมกข์ไม่ได้นั่นแหละจะสู้ผมไม่ได้ ถ้ามาว่าพระปาติโมกข์แข่งกัน"

ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดได้แย้งว่า "การฟังพระปาติโมกข์นั้น ฟังจบแล้วก็ได้ฟังคำสั่งสอนอบรมของเจ้าอาวาสด้วย" หลวงพ่อแช่มจึงตอบกลับว่า "ผมสวดพระปาติโมกข์จบแล้วก็นั่งเจริญสมาธิภาวนา อบรมจิตของตนเป็นการบำเพ็ญภาวนา ดีเสียกว่านั่งฟังครูอาจารย์สั่งสอบอบรมเสียอีก คนเราลองถ้าได้สงบจิตเตือนใจของตนได้แล้ว ใครเล่าจะวิเศษไปกว่าตนของตนเตือนตน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ตามธรรมเนียมของพระภิกษุสงฆ์ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ที่ท่านให้ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์นั้นก็เพื่อจะได้อาหารมาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่ง กับเพื่อจะได้ออกไปเตือนอุบาสกสีกาให้บริจาคทานทำบุญ ก็เมื่อผมเองไม่ต้องออกไปบิณฑบาตก็มีอาหารเลี้ยงชีพ จะต้องออกบิณฑบาตอีกทำไม ถ้าจะว่าออกไปเตือนคนให้บริจาคทานทำบุญทำกุศลก็ผมเองนั่งอยู่ที่กุฏินี้ เขาก็คิดถึงนำอาหารมาถวาย ผมทำให้คนทั้งหลายบริจาคทานทำบุญได้อยู่แล้ว ไม่ต้องออกไปเตือนให้เขาทำบุญจนถึงบ้าน อย่างนี้จะว่าผิดธรรมเนียมสงฆ์อย่างไรอีก ถ้าผมออกบิณฑบาตกลับจะเป็นโทษ เพราะคนเขาจะพากันทำบุญตักบาตรผมเสียมาก พระภิกษุอื่นๆ จะขาดลาภไปเสีย อย่างนี้จะไม่ว่าผมมีเมตตาแก่ภิกษุบวชใหม่บ้างหรือ"

ต่อข้อกล่าวหาว่า หุงข้าวกินเอง ตั้งครัวเอง เหมือนชาวบ้าน หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ก็เมื่อผมไม่ออกบิณฑบาตขอภิกขาจารอาหารเช้ากิน จึงต้องหุงข้าวกินเอง เพราะผมฉันอาหารแต่เช้า พอตะวันขึ้นชาวบ้านเขาเอาถวายไม่ทัน อีกประการหนึ่ง ผมมีลูกศิษย์หลายคน ทั้งพระทั้งฆราวาสจึงต้องตั้งครัวหุงต้มเลี้ยงกันเอง ชาวบ้านเขาเอาข้าวสาร กะปิ น้ำปลา ปลาแห้ง ปลาเค็ม มาถวาย ก็จัดการหุงต้มแกงกินกันเอง อย่างนี้จะผิดศีลวินัยข้อไหน"

เจ้าคณะจังหวัดว่า "ผิดที่สะสมอาหารไว้อย่างไรเล่า พระภิกษุเราไม่ควรจะต้องสะสมอาหาร ควรบิณฑบาตเลี้ยงชีพไปชั่วมื้อชั่ววันเท่านั้น"

หลวงพ่อแช่มได้ตอบกลับว่า "ผมไม่ได้สะสมอาหารสุกไว้กินในยามวิกาล ผมสะสมอาหารดิบอาหารแห้งไว้ประกอบกินในวันพรุ่งนี้ต่างหาก ผมไม่ได้สะสมไว้เพื่อตัวเอง สะสมไว้เพื่อศิษย์ต่างหาก การประกอบอาหารผมก็ไม่ลงมือทำเองศิษย์ทำถวายทั้งสิ้น"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "อาหารดิบนั้น มีปลาเป็นๆ ไข่ไก่อยู่หรือเปล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ปลาเป็นๆ ไม่มีอุบาสกสีกาคนใดอุตริเอามาถวายเลย ไข่สดไม่มีมีแต่ไข่เค็ม ปลาเค็ม ปลาเป็นๆ นั้นไม่มีใครถวาย ถ้าประสงค์จะหามาแกง ปลาในสระวัดตลอดหน้าวัดก็มีแยะไป แต่ไม่มีใครไปจับเอามาทำอาหารเลย"

"ผักสด ผักเขียว ไม่มีเลยหรือ" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อ

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ยอดผักบุ้ง ยอดผักกะเฉด ผักแว่น สายบัว ผมฉันสดๆ เสมอ แต่ไม่เคยไปเด็ดเอง ท่านเจ้าคณะไม่เคยฉันผักสดเลยทีเดียวหรือ"

เจ้าคณะจังหวัดได้ตอบว่า "ผมไม่ชอบ"

ต่อข้อกล่าวหาว่า รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์เป็นหมอยารักษาไข้ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"รดน้ำมนต์ ผมรดจริง เพื่อสงเคราะห์คนที่เขามีทุกข์ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รดกันอยู่ทั่วไป จะผิดศีลวินัยข้อไหน ก็คงผิดกันมาก อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่เคยบอกว่ารดน้ำมนต์ผิดวินัย หลวงพ่อของผมท่านก็รดน้ำมนต์ให้ใครๆ อยู่เรื่อยๆ"

"เรื่องให้หวยเล่า" เจ้าคณะจังหวัดถาม

หลวงพ่อแช่มตอบไปว่า "หวยก็ให้ เมื่อมีคนเขามาถามว่าหวยงวดนี้ออกตัวอะไร ก็บอกให้เขาไปเล่นกัน รัฐบาลท่านอนุญาตให้เล่นหวยกัน พระสงฆ์ก็ต้องบอกหวยได้"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "เห็นตัวเลขจริงหรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "เข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งก็เหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีละลอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้"

"เห็นอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มจึงตอบว่า "เห็นเป็นตัว ก. ตัว ข. เห็นเป็นตัวม้า ตัวเรือ" (สมัยนั้นเป็นหวย ก. ข.)

"เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มก็ตอบ "เขามาบอกว่าถูกก็มี ไม่ถูกก็มี"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "ทำไมจึงมีถูกบ้าง ผิดบ้าง"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เขาต่างหาก"

"ทำไมต้องใบ้ ทำไมจึงไม่บอกตรงๆ" เจ้าคระจังหวัดได้ถามต่อ

"ถ้าบอกตรงๆ ก็อวดอุตริมนุสธรรม" เป็นคำตอบจากหลวงพ่อแช่ม

จากนั้นเจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เรื่องทำเสน่ห์ว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ไม่เคยทำเสน่ห์ยาแฝด ของลามก มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้งไปสีปาก"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ "ใช้สีผึ้งสีปาก แล้วมีเสน่ห์จริงๆ หรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "สุดแล้วแต่ศรัทธาของคน ขี้ผึ้งนี้ก็เสกด้วยคาถาเมตตาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์"

"คาถาเมตตาจิตว่าอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถาม

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "คาถาต้องเรียนด้วยความเชื่อมั่น มีครูอาจารย์ประสิทธิ์ให้ต้องยกครู กว่าผมจะเรียนได้มาก็ต้องอุตส่าห์พยายาม ไม่ใช่มาบอกคาถากันต่อหน้าธารกำนัลถึงจะบอกไปท่องได้ ถ้าไม่เชื่อถือก็ป่วยการเปล่า"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติเขามาหาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้คนไปซื้อยามา ผมก็เอาลงหม้อ เสกให้เอาไปต้มกินเท่านั้น"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "แล้วหายไหมเล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ก็เห็นบอกว่าหายดี"

"เป็นหน้าที่ของสงฆ์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าเคยเป็นหมอรักษาใครบ้างหรือเปล่า" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามหลวงพ่อแช่มต่อ

คำตอบจากหลวงพ่อแช่ม คือ "การเป็นหมอรักษาไข้ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ เป็นหน้าที่ของหมอ แต่ถ้าเขาหมดทางรักษา เรามียาอยู่ ควรจะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ให้เขาพ้นทุกข์ ผมก็ต้องสงเคราะห์ไปจะผิดจะถูกอย่างไรผมก็ยอม ผมไม่ใช่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผมจะเป็นได้ก็พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ถ้าผมเห็นว่าควรจะสละศีลเพื่อช่วยชีวิตเขา ผมก็จะสละ ถ้าผมคิดว่าจะสละวินัย เพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ผมก็จะสละ ถ้าผมพบผู้หญิงกำลังจะจมน้ำตาย ผมก็จะกระโดดน้ำลงช่วยอุ้มเขาขึ้นมาให้รอดตาย ถึงผมจะถูกปรับอาบัติว่าสังฆาทิเสส ผมก็จะยอม ผมจะไม่รักษาศีลบริสุทธิ์ยอมให้คนจมน้ำตายไปต่อหน้า ถ้าผมทำเช่นนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าผมบวชเพื่ออะไร"

เจ้าคณะจังหวัดฟังคำตอบแล้วถามหลวงพ่อแช่มต่อว่า "เรื่องอวดอุตริมนุสธรรมต่างๆ จะว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยอวดอ้างความวิเศษอะไรที่ผมไม่มี ถึงความวิเศษที่ผมมีมากกว่าพระภิกษุอื่นๆ ผมก็ไม่เคยอวด นอกจากมีคนมาถาม ผมก็ตอบเขาไป ใครมีพยานหลักฐานว่า ผมอวดฤทธิปาฏิหาริย์อย่างไรบ้าง ก็ยืนยันมาเถิด"

เจ้าคณะจังหวัดว่าต่อ "เช่นเรื่องหนังเหนียว คงกะพันชาตรี ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก"

หลวงพ่อแช่มกล่าวตอบว่า "ผมไม่ได้อวด แต่ผมบอกว่าอานุภาพของคุณพระนั้น ช่วยป้องกันอันตรายได้จริง มีอานุภาพจริง เช่น ทำให้ผิวหนังเหนียว ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก คลาดแคล้ว"

"ของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มได้ตอบไปว่า "ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น แล้วใช้เป็นก็ป้องกันศัสตราวุธได้จริง"

เจ้าคณะจังหวัดถามอีก "ถ้าผมจะลองฟันคุณเดี๋ยวนี้จะได้หรือไม่"

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "ยังไม่เคยมีใครมากล้าผมเลย"

เจ้าคณะจังหวัดหัวเราะแล้วกล่าวว่า "ผมก็ไม่กล้าลองคุณเหมือนกัน"

ครั้นแล้วการสอบสวนก็เป็นอันเสร็จสิ้น เจ้าคณะจังหวัดได้บอกว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" จากนั้นก็ได้สนทนากับหลวงพ่อแช่มถึงการเดินธุดงค์ และคาถาอาคมต่างๆ

เทพ สุนทรศารทูล ได้กล่าวถึงตอนท้ายของการสอบสวนหลวงพ่อแช่ม โดยเจ้าคณะจังหวัดในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ว่า

"ในที่สุดเจ้าคณะจังหวัด ก็ถามว่า ไหนคุณว่าคุณมีดีกว่าพระภิกษุอื่น คุณมีดีกว่าอย่างไร

หลวงพ่อแช่ม ก็ว่าอิติปิโสแปดบทให้ฟัง แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง จบแล้วก็บอกว่าพระองค์อื่นก็ว่าอิติปิโสเดินหน้าได้อย่างเดียว แต่ผมนั้นเชี่ยวชาญขนาดว่าทะแยงก็ได้ ว่าถอยหลังก็ได้ จะไม่ดีกว่าพระอื่นได้อย่างไร

เจ้าคณะจังหวัดก็เลยพาคณะกลับ"



สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อแช่ม ท่านทำขึ้นมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ธง เสื้อยันต์ ผ้าเช็ดหน้ามหานิยม ผ้าประเจียดแดง ตะกรุดฝาบาตร พระพลายเพชรผงผสมดินหน้าตะโพน ลูกสะกดปรอท

เหล่านี้เป็นวัตถุมงคลที่หลวงพ่อแช่ม ได้สร้างขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว

จนเมื่อปี พ.ศ. 2484 เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ทหารญี่ปุ่นยกพลเข้าสู่ประเทศไทย ลูกศิษย์ของท่านขอให้หลวงพ่อแช่มสร้าง "เหรียญพระเครื่อง" ท่านจึงได้สร้างเหรียญพระเครื่องขึ้นเป็นรุ่นแรกในปี พ.ศ.2484

เป็นเหรียญปั๊มเนื้อทองแดง มีทั้งชนิดรมดำ และไม่รมดำ มีหูในตัว แล้วเชื่อมต่อด้วยห่วงกลมอีกห่วงหนึ่ง ขอบโดยรอบเป็นมุมแหลม 16 มุม หรือหยักเป็น "โสฬสมงคล"

บ้างก็เรียกเหรียญพิมพ์พัดพุดตาน

ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อแช่มนั่งเต็มรูป ครองจีวรในแบบสบายใจของท่าน ซึ่งเป็นลักษณะห่มคลุมไว้เท่านั้น ท่านั่งของท่านกลับแผกต่างจากเหรียยหรือพระเครื่องของพระเกจิอาจารย์อื่นๆ เป็นอันมาก ท่านนั่งนอกแบบอย่างสิ้นเชิง คือ ไม่เป็นทั้งแบบสมาธิ หรือมารวิชัย กลับเป็นท่านั่งที่ยกมือขึ้นข้างซ้าย อันหมายถึง ห้ามลูกปืน เป็นมหาอุด และประทับอักขระขอมตัว "นะ" ไว้ในฝ่ามือ

อาสนะท่านกลับเป็นนั่งทับปืนไขว้ โดยรอบเหรียญภายในวงกลมเป็นอักขระขอม เป็นพระนามย่อพระเจ้าสิบพระองค์ เริ่มต้นตัวแรกสุดใต้ห่วงหูอ่านว่า "นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ กอ ออ นอ อะ นะ อะ กะ อุ" ภายในกรอบกลมมีอักษรชื่อ "หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" และอักขระขอม อ่านว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" เฉพาะตรงกลางอกเป็นตัว "อะ"

ด้านหลัง เป็นยันต์ที่แตกต่างจากพระเกจิอาจารย์อื่นๆ เป็นยันต์ที่ผูกเป็นราหู ประกอบด้วยมือทั้งสอง และหน้าที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นลายกระหนก และอักขระ เฉพาะตรงส่วนจมูกเป็นองค์พระ ดวงตาทั้งสองเป็น "มะ อะ" ส่วน "อุ" ขึ้นยอดเป็นอุณาโลม ภายในช่องปากนั้นลงด้วย "นวหรคุณ" คือ "อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ" และยอดหัวใจต่างๆ

มีผู้กล่าวแย้งว่า ด้านหลังไม่ใช่รูปราหู แต่เป็นรูปหนุมานอมพลับพลา

เหรียญปั๊มรูปเหมือนหลวงพ่อแช่มนี้ มีด้วยกัน 2 พิมพ์ คือ พิมพืหูเดียว และพิมพ์สองหู ที่แตกต่างกัน คือ ตรงใบหู ในพิมพ์หูเดียว ใบหูด้านซ้ายของหลวงพ่อ (ด้านขวามือเรา) ไม่มี มีเพียงด้านขวาด้านเดียวเท่านั้น

พิมพ์หูเดียว เป็นพิมพ์นิยม เนื่องเพราะค่อนข้างหายากกว่าพิมพ์สองหู

ในปี พ.ศ.2485 หลวงพ่อแช่มได้สร้างเหรียญปั๊มรูปเสมาอีกรุ่นหนึ่ง

ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อแช่มครึ่งรูป

ด้านหลัง เป็นอักษรเรียงกัน 5 แถว ว่า "หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จังหวัดนครปฐม ช.ล. 2485"

อักษร ช.ล. นี้ยังเป็นปัญหาว่า หมายถึงอะไร?

พระเครื่องอีกชนิดหนึ่งของหลวงพ่อแช่ม คือ พระเนื้อดินหน้าตะโพน

ดินหน้าตะโพน คือ ดินที่พวกตีกลองจะผสมกันขึ้นมาทาปิดหน้ากลอง เพื่อให้เกิดเสียงดังทุ้ม กลองที่ทาพอกด้วยดินหน้าตะโพนนี้ มีทั้งกลองยาว และกลองเพล

ส่วนผสมของดินหน้าตะโพน ประกอบด้วย ดินเสกเป่าด้วยคาถาอาคม ข้าวสุก ฯลฯ ผสมคลุกเคล้ากัน ความเหนียวจากข้าวสุกจะเป็นตัวยึดดินให้ติดกับหน้ากลอง ดินตะโพนที่ขึ้นชื่อแล้วจ้องเป็นดินจากหลวงพ่อแช่ม

จากการขอดินหน้าตะโพนจากหลวงพ่อแช่มอย่างมากมายนี้เอง ท่านจึงได้คิดทำเป็นองค์พระเครื่องขึ้นมา เนื่องเพราะในบางครั้งนั้นผู้ที่ขอไปไม่ใช่พวกลิเกที่ต้องการดินหน้าตะโพนสำหรับใช้ทาบนหน้ากล้อง

พระดินหน้าตะโพนจึงถือกำเนิดขึ้น หลายคนเรียกขานกันว่า "พลายเพชรผงดินหน้าตะโพน" ทั้งนี้เนื่องว่าคล้ายกับพระพลายคู่ของกรุบ้านกร่าง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่เรียกกันว่า "พลายเพชรพลายบัว" สันนิษฐานว่า หลวงพ่อแช่มได้ล้อพิมพ์ขึ้นมา

ด้านหน้า เป็นพระเครื่องปางมารวิชัยประทับในซุ้มเรือนแก้ว พิมพืพระค่อนข้างตื้น

ด้านหลัง มียันต์ประทับในลักษณะจมลงไปในเนื้อพระด้านหลัง

องค์พระเป็นรูปสามเหลี่ยมกลีบบัว มีขนาดกว้างประมาณ 1.8 เซนติเมตร สูงประมาณ 2.8 เซนติเมตร สร้างขึ้นด้วยเนื้อดินผสมผงและว่าน มีสีเทาอมเขียวอ่อนแก่คละเคล้ากัน ที่สำคัญเนื้อพระจะต้องมีความแห้งสนิท

นอกเหนือจากนั้นหลวงพ่อแช่มยังได้สร้างพระกริ่งเฉลิมพลขึ้นมาด้วย เป็นพระกริ่งที่ถอดพิมพ์มาจากพระกริ่งเฉลิมพลของพระองค์ชายกลาง ที่เททองหล่อสร้างขึ้นที่วัดสุทัศนเทพวราม และที่วัดช้างให้ สำหรับของหลวงพ่อแช่มที่ถอดพิมพ์มานั้นใต้ฐานจะตอกโค้ดไว้เป็นอักษร "เฉลิมพล" และมีหมายเลขกำกับ หากบางองคก็ไม่ตอกหมายเลขไว้

ทั้งยังมีพระปิดตา และเครื่องรางของขลังต่างๆ


 
หลวงพ่อแช่มตอบว่า "เข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งก็เหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีระลอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้"

"เห็นอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มจึงตอบว่า "เห็นเป็นตัว ก. ตัว ข. เห็นเป็นตัวม้า ตัวเรือ" (สมัยนั้นเป็นหวย ก. ข.)

"เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มก็ตอบ "เขามาบอกว่าถูกก็มี ไม่ถูกก็มี"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "ทำไมจึงมีถูกบ้าง ผิดบ้าง"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เขาต่างหาก"

"ทำไมต้องใบ้ ทำไมจึงไม่บอกตรงๆ" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อ

"ถ้าบอกตรงๆ ก็อวดอุตริมนุสธรรม" เป็นคำตอบจากหลวงพ่อแช่ม

จากนั้นเจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เรื่องทำเสน่ห์ว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ไม่เคยทำเสน่ห์ยาแฝด ของลามก มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้งไปสีปาก"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ "ใช้สีผึ้งสีปาก แล้วมีเสน่ห์จริงๆ หรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "สุดแล้วแต่ศรัทธาของคน ขี้ผึ้งนี้ก็เสกด้วยคาถาเมตตาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์"

"คาถาเมตตาจิตว่าอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถาม

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "คาถาต้องเรียนด้วยความเชื่อมั่น มีครูอาจารย์ประสิทธิ์ให้ต้องยกครู กว่าผมจะเรียนได้มาก็ต้องอุตส่าห์พยายาม ไม่ใช่มาบอกคาถากันต่อหน้าธารกำนัลถึงจะบอกไปท่องได้ ถ้าไม่เชื่อถือก็ป่วยการเปล่า"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติเขามาหาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้คนไปซื้อยามา ผมก็เอาลงหม้อ เสกให้เอาไปต้มกินเท่านั้น"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "แล้วหายไหมเล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ก็เห็นบอกว่าหายดี"

"เป็นหน้าที่ของสงฆ์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าเคยเป็นหมอรักษาใครบ้างหรือเปล่า" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามหลวงพ่อแช่มต่อ

คำตอบจากหลวงพ่อแช่ม คือ "การเป็นหมอรักษาไข้ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ เป็นหน้าที่ของหมอ แต่ถ้าเขาหมดทางรักษา เรามียาอยู่ ควรจะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ให้เขาพ้นทุกข์ ผมก็ต้องสงเคราะห์ไปจะผิดจะถูกอย่างไรผมก็ยอม ผมไม่ใช่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผมจะเป็นได้ก็พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ถ้าผมเห็นว่าควรจะสละศีลเพื่อช่วยชีวิตเขา ผมก็จะสละ ถ้าผมคิดว่าจะสละวินัย เพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ผมก็จะสละ ถ้าผมพบผู้หญิงกำลังจะจมน้ำตาย ผมก็จะกระโดดน้ำลงช่วยอุ้มเขาขึ้นมาให้รอดตาย ถึงผมจะถูกปรับอาบัติว่าสังฆาทิเสส ผมก็จะยอม ผมจะไม่รักษาศีลบริสุทธิ์ยอมให้คนจมน้ำตายไปต่อหน้า ถ้าผมทำเช่นนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าผมบวชเพื่ออะไร"
 


เจ้าคณะจังหวัดฟังคำตอบแล้วถามหลวงพ่อแช่มต่อว่า "เรื่องอวดอุตริมนุสธรรมต่างๆ จะว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยอวดอ้างความวิเศษอะไรที่ผมไม่มี ถึงความวิเศษที่ผมมีมากกว่าพระภิกษุอื่นๆ ผมก็ไม่เคยอวด นอกจากมีคนมาถาม ผมก็ตอบเขาไป ใครมีพยานหลักฐานว่า ผมอวดฤทธิปาฏิหาริย์อย่างไรบ้าง ก็ยืนยันมาเถิด"

เจ้าคณะจังหวัดว่าต่อ "เช่นเรื่องหนังเหนียว คงกระพันชาตรี ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก"

หลวงพ่อแช่มกล่าวตอบว่า "ผมไม่ได้อวด แต่ผมบอกว่าอานุภาพของคุณพระนั้น ช่วยป้องกันอันตรายได้จริง มีอานุภาพจริง เช่น ทำให้ผิวหนังเหนียว ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก คลาดแคล้ว"

"ของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มได้ตอบไปว่า "ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น แล้วใช้เป็นก็ป้องกันศัสตราวุธได้จริง"

เจ้าคณะจังหวัดถามอีก "ถ้าผมจะลองฟันคุณเดี๋ยวนี้จะได้หรือไม่"

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "ยังไม่เคยมีใครมากล้าลองผมเลย"

เจ้าคณะจังหวัดหัวเราะแล้วกล่าวว่า "ผมก็ไม่กล้าลองคุณเหมือนกัน"

ครั้นแล้วการสอบสวนก็เป็นอันเสร็จสิ้น เจ้าคณะจังหวัดได้บอกว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" จากนั้นก็ได้สนทนากับหลวงพ่อแช่มถึงการเดินธุดงค์ และคาถาอาคมต่างๆ

เทพ สุนทรศารทูล ได้กล่าวถึงตอนท้ายของการสอบสวนหลวงพ่อแช่ม โดยเจ้าคณะจังหวัดในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ว่า

"ในที่สุดเจ้าคณะจังหวัด ก็ถามว่า ไหนคุณว่าคุณมีดีกว่าพระภิกษุอื่น คุณมีดีกว่าอย่างไร

หลวงพ่อแช่ม ก็ว่าอิติปิโสแปดบทให้ฟัง แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง จบแล้วก็บอกว่าพระองค์อื่นก็ว่าอิติปิโสเดินหน้าได้อย่างเดียว แต่ผมนั้นเชี่ยวชาญขนาดว่าทะแยงก็ได้ ว่าถอยหลังก็ได้ จะไม่ดีกว่าพระอื่นได้อย่างไร
 


เจ้าคณะจังหวัดก็เลยพาคณะกลับ"

สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อแช่ม ท่านทำขึ้นมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ธง เสื้อยันต์ ผ้าเช็ดหน้ามหานิยม ผ้าประเจียดแดง ตะกรุดฝาบาตร พระพลายเพชรผงผสมดินหน้าตะโพน ลูกสะกดปรอท

เหล่านี้เป็นวัตถุมงคลที่หลวงพ่อแช่ม ได้สร้างขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว

จนเมื่อปี พ.ศ. 2484 เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ทหารญี่ปุ่นยกพลเข้าสู่ประเทศไทย ลูกศิษย์ของท่านขอให้หลวงพ่อแช่มสร้าง "เหรียญพระเครื่อง" ท่านจึงได้สร้างเหรียญพระเครื่องขึ้นเป็นรุ่นแรกในปี พ.ศ.2484

เป็นเหรียญปั๊มเนื้อทองแดง มีทั้งชนิดรมดำ และไม่รมดำ มีหูในตัว แล้วเชื่อมต่อด้วยห่วงกลมอีกห่วงหนึ่ง ขอบโดยรอบเป็นมุมแหลม 16 มุม หรือหยักเป็น "โสฬสมงคล"

บ้างก็เรียกเหรียญพิมพ์พัดพุดตาน

ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อแช่มนั่งเต็มรูป ครองจีวรในแบบสบายใจของท่าน ซึ่งเป็นลักษณะห่มคลุมไว้เท่านั้น ท่านั่งของท่านกลับแผกต่างจากเหรียญหรือพระเครื่องของพระเกจิอาจารย์อื่นๆ เป็นอันมาก ท่านนั่งนอกแบบอย่างสิ้นเชิง คือ ไม่เป็นทั้งแบบสมาธิ หรือมารวิชัย กลับเป็นท่านั่งที่ยกมือขึ้นข้างซ้าย อันหมายถึง ห้ามลูกปืน เป็นมหาอุด และ ประทับอักขระขอมตัว "นะ" ไว้ในฝ่ามือ

อาสนะท่านกลับเป็นนั่งทับปืนไขว้ โดยรอบเหรียญภายในวงกลมเป็นอักขระขอม เป็นพระนามย่อพระเจ้าสิบพระองค์ เริ่มต้นตัวแรกสุดใต้ห่วงหูอ่านว่า "นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ กอ ออ นอ อะ นะ อะ กะ อุ" ภายในกรอบกลมมีอักษรชื่อ "หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" และอักขระขอม อ่านว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" เฉพาะตรงกลางอกเป็นตัว "อะ"

ด้านหลัง เป็นยันต์ที่แตกต่างจากพระเกจิอาจารย์อื่นๆ เป็นยันต์ที่ผูกเป็นราหู ประกอบด้วยมือทั้งสอง และหน้าที่ประดิษฐ์ขึ้นเป็นลายกระหนก และอักขระ เฉพาะตรงส่วนจมูกเป็นองค์พระ ดวงตาทั้งสองเป็น "มะ อะ" ส่วน "อุ" ขึ้นยอดเป็นอุณาโลม ภายในช่องปากนั้นลงด้วย "นวหรคุณ" คือ "อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ" และยอดหัวใจต่างๆ

มีผู้กล่าวแย้งว่า ด้านหลังไม่ใช่รูปราหู แต่เป็นรูปหนุมานอมพลับพลา

เหรียญปั๊มรูปเหมือนหลวงพ่อแช่มนี้ มีด้วยกัน 2 พิมพ์ คือ พิมพ์หูเดียว และพิมพ์สองหู ที่แตกต่างกัน คือ ตรงใบหู ในพิมพ์หูเดียว ใบหูด้านซ้ายของหลวงพ่อ (ด้านขวามือเรา) ไม่มี มีเพียงด้านขวาด้านเดียวเท่านั้น

พิมพ์หูเดียว เป็นพิมพ์นิยม เนื่องเพราะค่อนข้างหายากกว่าพิมพ์สองหู

ในปี พ.ศ.2485 หลวงพ่อแช่มได้สร้างเหรียญปั๊มรูปเสมาอีกรุ่นหนึ่ง

ด้านหน้า ตรงกลางเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อแช่มครึ่งรูป

ด้านหลัง เป็นอักษรเรียงกัน 5 แถว ว่า "หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จังหวัดนครปฐม ช.ล. 2485"

อักษร ช.ล. นี้ยังเป็นปัญหาว่า หมายถึงอะไร?

พระเครื่องอีกชนิดหนึ่งของหลวงพ่อแช่ม คือ พระเนื้อดินหน้าตะโพน

ดินหน้าตะโพน คือ ดินที่พวกตีกลองจะผสมกันขึ้นมาทาปิดหน้ากลอง เพื่อให้เกิดเสียงดังทุ้ม กลองที่ทาพอกด้วยดินหน้าตะโพนนี้ มีทั้งกลองยาว และกลองเพล

ส่วนผสมของดินหน้าตะโพน ประกอบด้วย ดินเสกเป่าด้วยคาถาอาคม ข้าวสุก ฯลฯ ผสมคลุกเคล้ากัน ความเหนียวจากข้าวสุกจะเป็นตัวยึดดินให้ติดกับหน้ากลอง ดินตะโพนที่ขึ้นชื่อแล้วต้องเป็นดินจากหลวงพ่อแช่ม

จากการขอดินหน้าตะโพนจากหลวงพ่อแช่มอย่างมากมายนี้เอง ท่านจึงได้คิดทำเป็นองค์พระเครื่องขึ้นมา เนื่องเพราะในบางครั้งนั้นผู้ที่ขอไปไม่ใช่พวกลิเกที่ต้องการดินหน้าตะโพนสำหรับใช้ทาบนหน้ากล้อง

พระดินหน้าตะโพนจึงถือกำเนิดขึ้น หลายคนเรียกขานกันว่า "พลายเพชรผงดินหน้าตะโพน" ทั้งนี้เนื่องว่าคล้ายกับพระพลายคู่ของกรุบ้านกร่าง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่เรียกกันว่า "พลายเพชรพลายบัว" สันนิษฐานว่า หลวงพ่อแช่มได้ล้อพิมพ์ขึ้นมา

ด้านหน้า เป็นพระเครื่องปางมารวิชัยประทับในซุ้มเรือนแก้ว พิมพ์พระค่อนข้างตื้น

ด้านหลัง มียันต์ประทับในลักษณะจมลงไปในเนื้อพระด้านหลัง

องค์พระเป็นรูปสามเหลี่ยมกลีบบัว มีขนาดกว้างประมาณ 1.8 เซนติเมตร สูงประมาณ 2.8 เซนติเมตร สร้างขึ้นด้วยเนื้อดินผสมผงและว่าน มีสีเทาอมเขียวอ่อนแก่คละเคล้ากัน ที่สำคัญเนื้อพระจะต้องมีความแห้งสนิท

นอกเหนือจากนั้นหลวงพ่อแช่มยังได้สร้างพระกริ่งเฉลิมพลขึ้นมาด้วย เป็นพระกริ่งที่ถอดพิมพ์มาจากพระกริ่งเฉลิมพลของพระองค์ชายกลาง ที่เททองหล่อสร้างขึ้นที่วัดสุทัศนเทพวราราม และที่วัดช้างให้ สำหรับของหลวงพ่อแช่มที่ถอดพิมพ์มานั้นใต้ฐานจะตอกโค้ดไว้เป็นอักษร "เฉลิมพล" และมีหมาย เลขกำกับ หากบางองค์ก็ไม่ตอกหมายเลขไว้

ทั้งยังมีพระปิดตา และเครื่องรางของขลังต่างๆ
นำมาจากเวปhttp://article.pornpra.com/topic_detail.php?id=197

5615
ประวัติ หลวงพ่อกลั่น ธมฺมโชติ

วัดพระญาติการาม

ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา



คัดลอกจาก http://www.saranugrompra.com/sara_02_0052.html

พระเดชพระคุณเจ้า หลวงพ่อกลั่น ธมฺมโชติ ผู้เป็นพระอาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของเมืองไทย ในบรรดาพระอาจารย์เจ้าของเหรียญเป็น คือ เป็นพระอาจารย์ที่ปลุกเสกเหรียญรูปเหมือนของท่านด้วยตัวของท่านเอง เหรียญของท่านที่เป็นพิมพ์นิยมนั้นราคาแพงอันดับหนึ่งในเมืองไทยก็แล้วกันคือแพงเป็นล้านบาท จริงๆ ว่ากันไปแล้ว หลวงพ่อเงิน บางคลาน จังหวัดพิจิตร ท่าน ก็ดังมากแต่เหรียญรูปเหมือนของท่านยังไม่แพงเหมือนหลวงพ่อกลั่นเลย หรืออย่างหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งประวัติอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นขลังมากมาย แต่ก็เป็นที่น่าแปลกอย่างมาก ที่เหรียญของท่านแพงสู้เหรียญของหลวงพ่อกลั่นไม่ได้

ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นพระอาจารย์ยุคเก่าๆ หลายท่านด้วยกัน ที่มีวิชาความรู้ในด้านธรรมชั้นสูง ด้านกรรมฐาน ด้านวิชาอาคมขลังอย่างยอดเยี่ยมหลายๆ ท่านด้วยกัน พระอาจารย์หลายท่านสมัยก่อนในกรุงเก่าที่ลงตำราพิชัยสงครามได้ ในจังหวัดต่างๆ ของเมืองไทย ไม่มีที่ไหนบอกเอาไว้เลยว่าลงเครื่องพิชัยสงครามได้มีแต่ที่กรุงเก่าเท่านั้น

ยุคของหลวงพ่อกลั่น พระเกจิฯ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในกรุงเก่ามีด้วยกันหลายรูป หลวงพ่อปุ้มวัดสำมะกัน อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อรอด วัดสามไถ หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ หลวงพ่อนวม วัดกลาง หลวงพ่อกรอง วัดเทพขันทร์ลอย หลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง ท่านเก่งทางรักษาโรคด้วย สามารถมองหน้าคนก็รู้ว่าเป็นโรคอะไรท่านเก่งทางรักษาโรคขึ้นชื่อที่สุด นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อแพ วัด โตนด นครหลวง หลวงพ่อแพ วัดกลางคลอง เสนา ท่านก็เก่ง สำหรับพระอาจารย์ที่สร้างเหรียญเอาไว้เป็นเหรียญที่เก่ามากอีกท่านหนึ่งก็คือ พระอุปัชฌาย์เย ท่านเป็นเจ้าคณะแขวง คือเจ้าคณะจังหวัดนั่นเองเหรียญท่านสร้าง พ.ศ. 2467 แต่เหรียญท่านราคาไม่แพง

อดีตในจังหวัดนี้มีพระอาจารย์ที่รับการถ่ายทอดอาคมขลังจากสำนักต่างๆ ในยุคนั้นมีสำนักวัดตูม สำนักวัดประดู่ทรงธรรม ทั้งสองสำนักนี้ได้สืบทอดตำรามนต์อาถรรพณ์ และด้านธรรมะมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระอาจารย์ในยุคกึ่งพุทธกาลก็หลายสิบรูปด้วยกัน แม้แต่ทุกวันนี้และที่ผ่านมาพระอาจารย์หลายๆ ท่านก็รับการสืบทอดตำรามาจากสองสำนักนี้แหละ

วัดพระญาติการาม วัดนี้ในอดีตถือว่าเป็นสำนักเรียนวัดหนึ่ง ถึงจะเป็นวัดเล็กก็ตาม วัดอยู่ริมคลองระฆัง ก่อนเข้าตัวเมืองอยุธยาจะเห็นทางแยกเข้าวัดพระญาติการาม แยกจากถนนเข้าไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงวัด เจ้าอาวาสที่ปกครองวัดนี้ก่อนหลวงพ่อกลั่นนั้นไม่ทราบว่ามีใครบ้าง หลังจากสิ้นหลวงพ่อท่านก็มาถึงหลวงพ่ออั้น หลานชายของหลวงพ่อกลั่นและมาถึงหลวงพ่อเฉลิมหลานของหลวงพ่ออั้น

ปัจจุบันวัดนี้ได้รับการพัฒนาอย่างมากจากหลวงพ่อเฉลิม ท่านสร้างวิหารขึ้นประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงพ่อกลั่น หลวงพ่ออั้น มีคนเดินทางไปกราบไหว้รูปเหมือนของท่านกันไม่ขาด มณฑปท่านสร้างถึงหลายล้านบาทสวยงามอย่างยิ่ง

ชาติภูมิของหลวงพ่อกลั่น ท่านเกิดที่บ้านอรัญญิก แต่ก่อนขึ้นกับอำเภอนครหลวง ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอท่าเรือ พ่อท่านชื่ออิน แม่ท่านชื่อชั้น มีพี่น้อง 4 คนหลวงพ่อกลั่นท่านเป็นคนโต พ่อแม่ท่านประกอบอาชีพในการทำนา

เยาว์วัย ท่านเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาดอย่างมาก รูปร่างหน้าตาคม รูปร่างโปร่งผิวขาวหมดจด ท่านได้เข้าเรียนหนังสือที่วัดประดู่ทรงธรรม พระอาจารย์ม่วงเป็นพระอาจารย์สอนพระอาจารย์รูปนี้มีวิชาความรู้มาก สมาธิแก่กล้า มีความรู้ทางธรรมสูง หลังจากที่เล่าเรียนเขียนอ่านแล้วท่านก็ไปช่วยพ่อแม่ท่านประกอบอาชีพทำนา ด้วยท่านเป็นผู้ที่ชอบในวิชากระบี่กระบอง ทั้งวิชาการต่อสู้ในเชิงมวย ท่านเป็นคนที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและมีชั้นเชิงในการต่อสู้และชั้นเชิงในวิชากระบี่กระบองเป็นอย่างมากเมื่อเรียนมาแล้วท่านยังฝึกฝนในชั้นเชิงการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยตัวของท่านเอง การชกมวยของท่านดังกระฉ่อนไปไกล อีกทั้งรูปร่างหน้าตาที่ดีเป็นเสน่ห์ต่อฝ่ายตรงข้าม ทำให้ท่านมีศัตรูมาก บางครั้งถึงขนาดดักทำร้ายท่านแต่ก็ถูกท่านปราบมาแล้วอย่างง่ายดาย ขนาดรุ่นใหญ่ยังต้องหลีกทางให้ท่าน ท่านไม่รังแกใครก่อนแต่ไม่ยอมให้ใครมารังแกท่าน

พระอาจารย์สมัยก่อนนั้น แต่ละรูปล้วนแต่ผ่านชีวิตมาแล้วอย่างโชกโชน แม้แต่หลวงพ่อนวมวักลางท่านก็ไม่เบาเอาเลย สมัยเป็นหนุ่มนั้นก็เคยไปช่วยเพื่อนฉุดสาวคนรักของเพื่อนมาให้ ท่านใจกล้าเข้าไปในบ้านเจ้าสาวเอาสาวงามออกมาได้ถึงจะผ่านมีดดาบ หอก ไม้ตะพดมาแล้ว ก็ไม่ระคายผิวหนัง หลวงพ่อกลั่นท่านผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน เพื่อนๆ ของท่านถูกรังแกจากคนบ้านอื่น จะต้องมาขอร้องให้ท่านช่วยเหลือ จนท่านได้รับสมยานามว่า พี่ใหญ่

นอกจากจะเก่งทางวิชาการกระบี่กระบองวิชามวยไทยในแบบการป้องกันตัวต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ท่านได้สนใจวิชาอาคมขลัง สมัยก่อนต้องหนังดีคงกระพันชาตรีใครตีไม่แตก จะเป็นวิชาเสกหมาก เสกใบพูลกินให้เหนียว เสกปูนพาดคออาพัดเหล้ากินให้หนังเหนียวหรือจะเสกฝุ่นเสกน้ำอาพัดน้ำลายกลืน ฟันแทงไม่เข้าตีไม่แตก นอกจากนี้ท่านยังเรียนวิชาปลาไหลเผือกจับไม่ติด เวลาเข้าประจันด้วยศัตรูที่มีมากกว่าจะจับอย่างไรก็หลุดไปหมด หากไม่แน่จริงแล้วท่านจะไม่ได้รับสมญานามอย่างแน่นอน

ท่านใช้ชีวิตมาอย่างมาก ในที่สุดท่านก็เบื่อชีวิตที่ผ่านมา หาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย ชีวิตผ่านไปวันหนึ่ง อีกประการหนึ่ง วันนี้ชนะได้วันต่อไปอาจแพ้แน่นอน ไม่มีใครที่จะชนะไปได้ทุกครั้งท่านเองก็เคยล้มพวกนักเลงใหญ่มาแล้ว ต่อไปก็ต้องถูกคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนล้มท่านบ้าง ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิงการต่อสู้และการหักหลังท่านพบเห็นมาแล้ว ท่านจึงตัดสินใจบวช

หลวงพ่อบวชที่วัดประดู่ทรงธรรม ท่านพระอุปัชฌาย์ม่วงเป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นพระอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านธรรมและด้านมนต์อาถรรพณ์ต่างๆ ท่านศึกษาอยู่สำนักวัดประดู่ทรงธรรมได้รับความรู้ต่างๆ เอาไว้อย่างมาก ประกอบกับท่านเป็นพระที่เอาการเอางานเป็นธุระในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระอาจารย์ หลวงพ่อม่วงเห็นว่าท่านสมควรจะไปอยู่ดูแลวัดพระญาติการาม ซึ่งตอนนั้นวัดกำลังขาดผู้ดูแลผู้นำในการบูรณะซ่อมแซมด้วยสภาพที่ก่อสร้างมาช้านาน

ด้วยชื่อเสียงของท่านที่โด่งดังไปทั่วไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระอาจารย์อื่นๆ ในลุ่มเจ้าพระยา เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ท่านชอบวิชาอาคมขลังและด้านความรู้ทางสมุนไพร ยังเดินทางไปกราบท่านและฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน ยังได้พบกับความขลังความศักดิ์สิทธิ์ให้ประจักษ์มาแล้ว หลวงพ่อกลั่นท่านเป็นพระที่ชอบความสงบเงียบ ชอบการเจริญกรรมฐานภาวนา ออกเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ สมัยนั้นเมื่อเล่าเรียนวิชาแล้วต้องฝึกกรรมฐานให้แก่กล้า มีความรู้ทางด้านยาสมุนไพร ในการรักษาไข้รักษาโรคร้ายต่างๆ อีกทั้งถอดถอนคุณไสยร้ายได้อย่างดี ถึงจะสามารถรักษาตัวรอดพ้นไปได้

เหรียญรูปเหมือน เหรียญรุ่นแรกของท่านสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2469 เป็นเหรียญทรงเสมาถือว่าเป็นเหรียญราคาแพงที่สุด สภาพสวยงามสมบูรณ์ราคาแพงเป็นล้านบาท เหรียญของท่านมีไม่มากนัก ส่วนมากที่พบจะเป็นเหรียญเก๊ สร้างขึ้นในโอกาสที่ระลึก ในการปฏิสังขรณ์โบสถ์ สมัยนั้นให้ผู้ร่วมทำบุญคนละบาทเดียวเอง คุณเอ๋ย สมัยนั้นเงินบาทหนึ่งแพงมาก ขนมตะโก้อันละสองสตางค์อันโตรับประทานสองชิ้นก็อิ่ม ก๋วยเตี๋ยวชามละไม่กี่สตางค์ เหรียญของท่านด้านหน้า จะเป็นรูปหลวงพ่อกลั่นท่านนั่งเต็มองค์ห่มจีวรรัดอก ข้างเหรียญเป็นภาษาไทยเขียนเอาไว้ว่า หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์กลั่น พระญาติ ใต้ขอบห่วงเหรียญเป็นตัวเลข พ.ศ. 2469 ด้านหลังตรงกลางเหรียญจะเป็นตัวยันต์นะเฑาะว์สมาธิ ใต้ตัวเฑาะว์จะเป็นตัวนะปิดล้อมหรือนะตัวต้น และมีตัวขอมว่า พุท ธะ สัง มิ คือ ตัวย่อหัวใจยอดศีล ใช้ทางมหานิยมและแคล้วคลาด พิมพ์นิยมของเหรียญรุ่นนี้ให้ดูที่เส้นซึ่งแกะพลาดเป็นเส้นเกินตรงขมวดยันต์ มีลักษณะคล้ายเบ็ดตกปลา จึงเรียกบล๊อกนี้ว่า พิมพ์ขอเบ็ด

หลังจากนั้นคณะกรรมการจากทางวัดพระญาติการามพร้อมด้วยหลวงพ่ออั้นเดินทางไปยังร้านฮั่งเตียนเซ้ง ซึ่งเป็นผู้ปั๊มเหรียญนี้ทำขึ้นมาอีกครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม จันทนิล) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดชนะสงคราม ขณะนั้นท่านยังเป็นสามเณรอยู่วัดเลียบ ยังเป็นสามเณรอยู่ ร่วมเดินทางไปยังร้านด้วย ทางร้านบอกว่าด้านหน้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่วนด้านหลังชำรุดต้องทำขึ้นใหม่อีก 2 พิมพ์คือ พิมพ์เสี้ยนตอง ให้ดูด้านหลังเหรียญที่จะมีเส้นเป็นริ้วตลอดหลังเหรียญเต็มไปหมด และอีกพิมพ์หนึ่งคือ พิมพ์หลังเรียบ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อกลั่นท่านยังมีชีวิตอยู่ได้ปลุกเสกเหรียญทั้งสองรุ่นด้วยตัวท่านเอง ซึ่งระยะเวลาห่างจากเหรียญที่ปั๊มครั้งแรกไม่กี่ปี ทำให้เหรียญมีราคาการเช่าหาแตกต่างกันอย่างมาก เหรียญหลังเสี้ยนตองและเหรียญหลังเรียบราคาการเช่าหาสภาพสวยๆ ก็เป็นหมื่นเหมือนกัน อีกทั้งให้ดูตัวตัดเหรียญที่ไม่เหมือนเหรียญรุ่นขอเบ็ด รอยตัดจะเรียบร้อยแล้ว เหรียญหลังเสี้ยนตองกับเหรียญหลังเรียบ รอยตัดจะไม่เหมือนกัน และดูที่ด้านหน้าของเหรียญหลังเสี้ยนตอง และเหรียญหลังเรียบ ด้านหน้าของเหรียญจะมีริ้วรอยของเม็ดขี้กลากขึ้นอยู่ทั่วไปของเหรียญ เพราะสนิมขึ้นบนเหล็กนั่นเอง

เหรียญกลมของหลวงพ่อกลั่น สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2478 ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อนั่งเต็มองค์ ห่มจีวรมีผ้ารัดอก แตกต่างจากเหรียญรุ่นแรกตรงที่ผ้ารัดอกรุ่นแรก ผ้าสังฆฏิจะทับผ้ารัดอก แต่รุ่นพ.ศ. 2478 ผ้ารัดอกจะทับผ้าสังฆาฏิ รอบขอบเหรียญจะเป็นตัวขอมอ่านว่า นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ กอ ออ นอ อะ นะ อะ กะ อัง คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์ ด้านหลัง จะเป็นตัวเฑาะว์เหมือนรุ่นแรก แต่การเขียนแตกต่างกัน และมีตัวขอมเป็นตัวคาถาทางมหาอุด เหรียญรุ่นนี้มีทั้งเหรียญที่เรียกว่า นะกลม นะรี ให้ดูตรงใต้ฐานด้านหน้ารูปหลวงพ่อ ตัวนะปิดล้อมจะกลมและรี และอีกบล็อกหนึ่ง เรียกว่าบล็อกตาชั่ง คือตัวนะใต้รูปหลวงพ่อจะติดไม่ชัดเจน เกิดจากการปั๊มเหรียญที่จริงนั้นเกิดจากการกดกระแทกของช่างที่ทำการปั๊มนั่นเอง เครื่องมือสมัยนั้นยังไม่ทันสมัย ประกอบกับใช้การมาก เหรียญมักจะเป็นห่วงเชื่อม เหรียญรุ่นนี้มีเนื้อทองแดงและทองเหลือง ราคาการเช่าหาเป็นหมื่นเหมือนกัน คนในอยุธยาเขานิยมกันมาก มีประสบการณ์ไม่แพ้รุ่นแรกเลย พระอาจารย์ที่ปลุกเสกก็เป็นพระอาจารย์ในยุคนั้นหลายรูปด้วยกัน

เหรียญยันต์ตะกร้อ เหรียญรุ่นนี้มีรูปทรงคล้ายรูปอาร์มแต่สวยกว่าอาร์ม หลวงพ่อนั่งเต็มองค์มีตัวขอมอ่านว่า มะผุดผัดผิดอิติปัดปิด เป็นคาถาทางคงกระพันชาตรีทางป้องกันอันตราย ด้านหลัง เป็นยันต์พระเจ้าห้าพระองค์มีเส้นลากลักล้อมตัว นะ โม พุท ธา ยะ ถึงสามเส้นซ้อนกัน มีตัวขอมอีกหลายตัวอ่านว่า พุทธ สัง มิ เป็นคาถาทางยอดศิลทางเมตตามหานิยม มะ อะ อุ เรียกว่า แก้วสามประการ ใช้ทางป้องกันอันตรายภัยต่างๆ และตัว พุท โธ ตัวต้นของคาถาบทสำคัญๆ ใช้ย่อมา เหรียญรุ่นนี้สร้างเมื่อพ.ศ. 2483 มีหลวงพ่ออั้นและหลวงพ่อต่างๆ อีกหลายท่านด้วยกันร่วมกันปลุกเสก

เหรียญที่กล่าวมาแล้วของท่านแต่ต้น เป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมและราคาการเช่าหาแพงนอกจากนี้ยังมีเหรียญรุ่นชาตรีและเหรียญรุ่นอนุสาวรีย์เป็นเหรียญรูปไข่สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2505 ด้านหน้าเป็นรูปท่านนั่งเต็มองค์ ด้านหลังจะใช้ยันต์ไม่เหมือนก่อนๆ ที่ผ่านมา รุ่นนี้ใช้ยันต์นะโมตาบอด หรือยันต์พระเจ้าห้าพระองค์อีกแบบหนึ่ง ยันต์ตัวนี้ใช้ทางป้องกันอันตรายใช้ทางคงกระพันชาตรีและทางแคล้วคลาดเป็นพระนะจังงังอีกด้วย แต่เหรียญรุ่นชาตรีเป็นรูปทรงเสมาใช้ยันต์นะโมตาบอดเหมือนรุ่นอนุสาวรีย์ แต่มีตัวนะตัวต้นเหนือยันต์นะโมตาบอดอีกตัวหนึ่ง

เหรียญทั้งสองรุ่นนี้ราคาการเช่าหาแค่พันต้นๆ เท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังมีเหรียญรุ่นทวีลาภ ด้านหลังเหรียญรุ่นทวีลาภจะเป็นพระสิวลีราคาการเช่าหาถ้าสวยๆ ก็พันกว่าบาท หรือหย่อนลงมา รุ่นนี้หลวงพ่ออั้นท่านปลุกเสกและยังมีพระอาจารย์สายหลวงพ่อกลั่นอีกหลายท่านด้วยกัน

หลวงพ่อกลั่นเป็นหนึ่งในสิบคณาจารย์ผู้มีพลังจิตสูงในปีพ.ศ. 2452 ที่จังหวัดนครปฐมได้มีการชุมนุมพระอาจารย์จากสำนักต่างๆ ทั่วประเทศไทย มีการทดสอบวิทยาคม และพลังจิตจากพระอาจารย์ทั่วประเทศที่ได้รับนิมนต์มาร่วมในพิธีร้อยกว่าองค์ ซึ่งแต่ละจังหวัดได้จัดให้พระอาจารย์เดินทางไปร่วมในพิธี โดยมีการทดสอบพระอาจารย์ต่างๆ ครั้งละสิบองค์ มีสมเด็จพระสังฆราช (เข) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ที่บริเวณ วัดพระปฐมเจดีย์ ในการทดสอบครั้งนั้นมีกติกาว่าให้เอาท่อนไม้มา 1 ท่อน วางบนม้า 2 ตัว แล้วเอากบไสไม้วางไว้บนท่อนไม้ แล้วประธานฝ่ายสงฆ์จึงบอกกติกาว่า อาจารย์องค์ใดสามารถทำกบไสไม้ให้วิ่งไสไม้ไปกลับได้โดยกบไม่หล่นทำการทดสอบกันถึงสามวันสามคืน พระอาจารย์ส่วนมากสามารถใช้จิตบังคับให้กบวิ่งไปได้ แต่กลับไม่ได้ ที่ทำให้กบไสไม้ไปกลับได้ มีด้วยกัน 10 รูป ในสิบรูปนั้นมีหลวงพ่อกลั่นเป็นหนึ่งในสิบนั้นด้วย

หลวงพ่อกลั่น

หลวงปู่บุญ

หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า

หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก

หลวงพ่อทอง วัดเขากบทวาศรี นครสวรรค์

หลวงพ่อปาน วัดบางเ***้ย

หลวงปู่ยิ้ม หนองบัว

หลวงพ่อจอน วัดดอนรวบ ชุมพร

ความขลังของหลวงพ่อกลั่นเป็นที่กล่าวขานกันมาช้านานทั้งในคนอำเภออุทัย อำเภอนครหลวง หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อนวม วัดกลาง หลวงพ่อกรอง วัดเทพจันทร์ลอย ทั้งสามท่านนี้นับถือกัน มักจะลองวิชากันเสมอๆ หลวงพ่อนวมนิมนต์ให้หลวงพ่อกลั่นไปร่วมงาน หรือเมื่อท่านไปเยี่ยม มักจะลองวิชากัน ถ้าแก้เคล็ดได้ ก็สามารถเข้าวัดได้ ทั้งสามท่านนี้นับถือกันมาก แต่ต้องยอมให้หลวงพ่อกลั่นก็พลังจิตของท่านวิชานะจังงังของท่านเหนือกว่ามาก ทั้งย่นหนทางก็เก่งกว่า

ผู้ใหญ่ทองดี ผาสุขโอษฐ์ ปัจจุบันอายุเกือบ 90 ปี แล้วแต่ยังแข็งแรงมาก บุหรี่ไม่สูบ สุราไม่ดื่ม คนรุ่นเดียวกันล้มหายตายไปกันหมด ผู้ใหญ่ทองดีเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อกลั่นท่านมีสมาธิแก่กล้ามาก เราคิดอะไรท่านจะรู้หมด พอเห็นหน้าเท่านั้น ท่านจะทักทันที ใครไม่ดีถ้าเตือนไม่เชื่อ จะตายโหงทุกราย ผู้ใหญ่ทองดียังเล่าอีกว่าไปกราบท่าน 5 ครั้ง สมัยนั้นไปทางเรือพายไป แจวไปบ้าง นอกจากนั้นแล้วถึงจะเดินด้วยเท้า สมัยนั้นมีคนเดินทางไปหาหลวงพ่อท่านไม่เคยขาด

เหรียญของท่านสุดยอดเหนียว เมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นชาวบ้านใกล้วัดคลองน้ำชา ใกล้วัดมเหยงค์ เดินทางไปหาเพื่อนกลับเอามืด ถูกคนร้ายดักยิงระยะห่างแค่สองเมตรเท่านั้น ด้วยปืนลูกซอง แต่ว่าลูกปืนยิงไม่เข้า และเมื่อหลายปีที่ผ่านมาที่ตำบลบ่อโพธิ์กำนันคนดัง ถูกหลานชายตนเองฆ่าตายเพราะผลประโยชน์คุมคลังสินค้าต่างๆ กำนันคนดังมีเหรียญหลวงพ่อกลั่น ถูกหลานตนเองยิงด้วยปืนพกหลายนัดไม่เข้า กำนันคิดไม่ถึงว่าหลานชายตนเองจะทำได้ พวกหลานชายรู้ว่ายิงไม่เข้า พอกำนันชักปืนมาจะยิงสวน พวกนั้นจับกำนันและตีด้วยไม้แล้วกระชากสายสร้อยทองคำหนักสิบบาทออกแล้วยิงด้วยปืนนัดเดียว กำนันตาย ตอนหลังพวกนั้นก็ตายจนหมด คนที่มีศีลธรรมประกอบแต่ความดีเรื่องตายโหงไม่มี ผู้ใหญ่ทองดีบอกว่า เคยได้เหรียญท่านมาและตะกรุดโทน ลูกอมผ้ายันต์ก็มอบให้บุตรชายไปจนหมด

เกือบลืมไป พระเครื่องของหลวงพ่อกลั่นที่ได้รับความนิยมอีกชนิดหนึ่งคือ รูปเหมือนหล่อโบราณ เป็นเนื้อโลหะทองเหลืองผสมขนาดหน้าตักประมาณ 2 ซม หลังค่อมถ้าใครไม่ใช้ความสังเกตแล้วอาจคิดว่าเป็นรูปหล่อของหลวงพ่อหินวัดหนองสนม ระยอง รูปหล่อของท่านเมื่อก่อนจะพบบ่อยตอนหลังหายากมาก ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้ปลุกเสก หลวงพ่ออั้นท่านเป็นผู้สร้างปลุกเสกก็ตาม รูปหล่อของท่านมีประสบการณ์ทางแคล้วคลาดทางเหนียวอย่างมาก

เหรียญหลวงพ่อกลั่น ธมฺมโชติ เป็นเหรียญที่มีอายุการสร้างถึง 70 ปี แล้วเป็นเหรียญที่เก่ามาก มีประสบการณ์สูง ผู้ใดได้ไว้บูชามักจะประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ เป็นเหรียญที่มีเหรียญเก๊มาก มีการตบแต่งให้เนื้อหาเหมือนของเก่า แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญแล้วยังสามารถดูออก ถ้าหารุ่นที่แพงอันดับหนึ่งไม่ได้ก็ลองหารุ่นอื่นที่ราคาไม่แพงมาบูชาซีครับแล้วจะรู้ว่ามีประสบการณ์ขนาดไหน


5616
 หากเอ่ยชื่อ พระครูวิมลคุณากร คนทั่วไปอาจจะยังไม่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อ หลวงปู่ศุข  วัดปากคลองมะขามเฒ่าแล้วล่ะก้อ ไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าไม่รู้จัก โดยเฉพาะนักนิยมพระเครื่องแล้ว แทบทุกคนต่างใฝ่หาพระเครื่องของหลวงปู่ศุขมาใช้เพราะเชื่อกันว่า พระหลวงปู่ศุขนั้นให้พุทธคุณ ทั้งด้านเมตตามหานิยม และ ด้านแคล้วคลาด คงกระพัน

ภูมิลำเนา - ชีวิตก่อนบวช

             หลวงปู่ศุขท่านอยู่ในละแวก วัดมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ปัจจุบันยังมี  ลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี  หลวงปู่ศุขท่านใช้นามสกุล เกศเวชสุริยา อีกสกุลหนึ่ง ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 9 คน ด้วยกัน    เมื่อหลวงปู่ศุขอยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ  ทำมาหากินค้าขายเล็กๆน้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน    คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำ        ที่สำคัญ และกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้  เพราะขาดการทนุบำรุงที่ควร     หลวงปู่ศุขท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งได้ภรรยาชื่อนางสมบูรณ์ และกำเนิด     บุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา 

บวช

             หลวงปู่ ท่านครองเพศฆาราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ 22 ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขน หรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี   พระอุปฌาย์ท่านชื่อ  หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ ฝ่ายรามัญ ที่ถือเคร่งในวัตรปฎิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคม         ก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากพระอุปฌาย์ของท่านมาพร้อมกับพระอาจารย์ เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่าวัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

กลับภูมิลำเนา

             หลวงปู่ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี  จนกระทั่งมารดาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า      ได้ชราภาพลงตามอายุขัย ด้วยความเป็นห่วงใยในมารดาและบิดา ท่านจึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แต่โบราณที่อยู่ลึก เข้าไปในคลองมะขามเฒ่าหรือบริเวณต้นแม่น้าท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพวัดในขณะนั้น ชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณะให้กลับคืนในสภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้    ขยับขยายออกมา ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและได้สร้างกุฎิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัย ไปพลางก่อน

วัตถุมงคลรุ่นแรก

             สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดฌาปนกิจศพ และในงานนี้เองหลวงปู่ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฎอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกัดไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างใน ชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้น การที่แวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระเครื่องของหลวงปู่จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกัดไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน  จึงเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ      สมัยก่อนพระวัดปากคลองเนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า "เอ็งมีลูกกี่คน?" ท่านจะให้ครบทุกคน กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจนการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำ เจ้าพระยาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น         เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าพ่อขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน  เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจร     ที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็น  เสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี"หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า"

กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

          อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี  ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5         นับลำดับราชสกุลวงศ์ เป็นพระโอรสพระองค์ที่ 28 และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ ที่1             ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติ         ปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้ว ได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ  จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน  จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์-อาจารย์เพื่อจะได้ศึกษาทางมหาพุทธาคมและปรากฎว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความ  สามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงปู่ศุขเองก็หมดความรู้ที่จะถ่ายทอด จึงแนะนำให้เสด็จในกรมฯไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้น    เมื่อหลวงปู่ศุขท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่จะสร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯบนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่กรมศิลปากรยกย่องว่า เสด็จในกรมหลวงชุมพร ทรงมีฝีมือทางการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธ-เจ้าชนะมารในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบิดมวยผม ทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้ กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดใส่อารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยัน อย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก     ฝีมือของเสด็กในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือ ภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนในขณะที่หลวงปู่ศุข ชราภาพมากแล้ว ท่านจึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงในการเดิน  ซึ่งภาพนี้ก็ยังปรากฎให้เห็นอยู่ที่วัดปากคลอง  มะขามเฒ่าจวบจนทุกวันนี้  ความสัมพันธ์ ระหว่างอาจารย์ กับ ลูกศิษย์ นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯได้สร้างกุฎิอาจารย์ ไว้กลางสระที่วัดนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิค   ตอเรีย  มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด  และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่า   จาก ลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ศุขมาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์     หรือพิษณุโลก จำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ท่านขอพ่อแม่เขามาเลี้ยงเป็นบุตร บุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ศุข ท่านก็ เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท       เลยเรียกกันติดปาก ว่า ลุงผล ท่าแร่   แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด 1 ปี หลวงปู่ท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย  เพราะเสด็จในกรมฯท่านจะทำวิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น 3 วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง  วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ  และวันที่สามไหว้ครูทางวิทยายุทธ์ พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืน กับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุ   มากแล้ว สุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยได้ลงมา

พระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง

          การที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลัง ได้ประสิทธิ์ มี ฤทธิ์ มีเดช ทั้งๆที่อักษรเลขยันต์พื้นๆนั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้น กล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้งสี่ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือและการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกดิผลด้วยการ ใช้พลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นของขลัง พิธีกรรม หรือ หลีกลี้ลับ บังคบให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขาม ให้เป็น ตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจนการผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ  แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็ยังคงเป็นใบมะขาม หัวปลี ก็ คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟาง ก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่อำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง จากหนังสือ "พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี 2519 เรื่องพระใบมะขาม " ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุขขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ.2459)ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว  มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่น เงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง ข้าพเจ้าถามว่า การค้าขายจะให้ลงว่ากระไร ท่านบอกว่า "นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู "   ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร " หลวงพ่อบอกว่า" มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา"ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั้นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม และท่านเสกเป่าไปที่ศรีษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมทีไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุก ก็ ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์ จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฐาก รูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า "ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ"

            อนึ่งท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี  ไม่ใคร่พูดจานั่งสงบอารมณ์ เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น " เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯเห็นจนท่านยอมเป็นศิษย์ " หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า ลวงโลก แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่า อะไรอีก หลวงพ่อพูดต่อไปว่า "เวลานี้ กรมหลวงชุมพรฯไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง ) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติ ท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯ นี้ ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้ "

ท้ายบท

              การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณะภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง จากการสอบถามบรรดาลูกศิษย์ ลูกหาของท่าน ซึ่งส่วนมากจะล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่ท่านได้รับรู้จากการเขียน ของ "ท่านมหา" ซึ่งเคยเป็นอุปัฏฐากหลวงปู่ จึงใกล้เคียงความจริงเท่าที่จะหาได้มากที่สุด

(ที่มานำมาจากเวป http://www.chainat.go.th/sub1/trd/page5.htm)

5617
ประวัติวัดบางกะพร้อม อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

ประวัติหลวงพ่อคงวัดบางกะพร้อม

หลวงพ่อคง ท่านเกิดวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๕ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๓ เมษายน ๒๔๐๘ ณ ตำบลบางสำโรง อำเภอบางคณฑี จังหวัดสมุทรสงคราม โยมบิดาชื่อ "...เกตุ จันทร์ประเสริฐ..." โยมมารดาชื่อ "...ทองอยู่.. ." พออายุได้ ๑๒ ปี บิดามารดาให้บวชเณร เพื่อเล่าเรียนศึกษา ระหว่างเป็นสามเณรสนใจในวิชาเมตตามหานิยม พอใกล้บวชพระได้สึกจากสมเณร และได้ทดลองวิชาเมตตามหานิยมดูว่าจะขลังจริงหรือไม่ โดยเสกสีผึ้งละลายน้ำไปให้หญิงผู้หนึ่งซึ่งอยู่ทางใต้น้ำ ปรากฏว่า เย็นวันนั้น หญิงสาวหอบผ้าหอบผ่อนมาหาท่านถึงบ้าน และร้องไห้จะขออยู่ด้วยให้ได้ ทำให้วุ่นวายชี้แจ้งกันเป็นการใหญ่

ต่อมาท่านก็อุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนาสืบมาได้เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับเกียรติยกย่องว่า ท่านทำวัตถุมงคลทุกอย่างได้ขลัง และศักดิ์สิทธิมีอิทธิฤทธิ์อันมหัศจรรย์เป็นที่ขนานนามยกย่องกัน ทั่วลุ่มแม่น้ำแม่กลอง

หลวงพ่อคง มรณภาพวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๖ สิริอายุ ๗๘ ปี พรรษาที่ ๕๘

เมื่อครั้งอาจารย์เภา ศกุนตะสุต ปรมาจารย์เหรียญผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยังมีชีวิตอยู่ กระผมเคยสนทนาเรียนถามท่านว่า "...หลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่า หลวงปู่เฒ่าวัดหนัง หลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติ อาจารย์เภาจะเลือกพระเถระองค์ใดว่าท่านเด่นดังมากที่สุด..." อาจารย์เภาตอบว่า "...ฉันขอเลือกหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม เพราะว่าท่านเป็นหลวงพ่อของฉัน ถึงจะยิงกันฉันก็ไม่กลัว..." จากหลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่า อาจารย์เภา ศกุนตะสุต ท่านมีความเชื่อมั่น และเคารพหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม อยู่เหนือพระเถระองค์อื่นๆ ทั้งหมด นี้เป็นประสบการณ์จากการสนทนากับปรมาจารย์เหรียญ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าทรงคุณวุฒิทางด้านนี้อย่างแท้จริง


5618
หลวงพ่อม่วง หรือท่านพระครูสิงคีคุณธาดา แห่ววัดบ้านทวน
วัดเดือนปีเกิดไม่แน่ชัด
ประมาณปี2376 ท่านได้บวชโดย มี หลวงพ่อทา วัดดอนสะแหนบ เป็นพระอุปปัชฌาย์ส่วนพระอนุสาวจารย์ และกรรมวาจารย์ คือลวงพ่อปอง วัดเขารักษ์ แลหลวงพ่อดอกไม้วัดดอนเจดีย์ ท่านเป็นพระ ที่น่าศรัทธามาก สำหรับคนในรุ่นก่อน ๆ ถือศิล และปฏิบัติธรรมอย่างเคร่ง ครัด และเป็นที่ยกย่อง ของชาวจังหวัด กาญจบุรี ในยุคก่อนเป็นอย่างมาก

วัตถุมงคล
หรียญรุ่นแรกพระครูสิงคิคุณธาดา ( ม่วง จันทสโร ) วัดบ้านทวน อ.บ้านทวน จ.กาญจนบุรี เป็นเหรียญที่สร้างเมื่อหลวงพ่อม่วงท่านได้รับสมณศัก ดิ์ เป็น พระครูสิงคิคุณธาดา บรรดาศิษยานุศิษย์ และผู้ที่เคารพเลื่อมใส ได้แสดงมุทิตาจิตทำบุญฉลองเป็นงานใหญ่ ด้วยอายุของท่านในขณะนั้นก็ชรามาก จึงได้ออกเหรียญรูปไข่เป็นรูปท่านครึ่งองค์ห่มลดไหล่ เหรียญหลวงพ่อม่วงนั้น มี 2 แบบ คือ แบบเหรียญหล่อ และเหรียญปั๊ม เหรียญหล่อนี้จะมีหลายเนื้อด้วยกัน โดยแบ่งเป็นเหรียญยันต์ใหญ่ และเหรียญยันต์เล็ก

สำหรับเหรียญนี้เป็นเหรียญหล่อเนื้อเงิน พิมพ์ยันต์ใหญ่ ( นิยม ) เป็นเหรียญรูปไข่ หูเชื่อม ด้านหน้ารูปหลวงพ่อ มีอักขระรอบเหรียญ 8 ตัว ด้านหลังมีข้อความว่า " ที่ระฤกอุปชาวัดบ้านทวน " และมีอักขระขอมว่า อิโส มิโส โมอะ นะลือ

เหรียญของหลวงพ่อม่วงมีคนนิยมมาก มีประสบการณ์ในทางมหานิยม และแคล้วคลาดอันตราย เรื่องอยู่ยงคงกระพัน ชาตรี ก็มีคนเห็นฤทธิ์มามาก เหนียวดีจริง ๆ เดี๋ยวนี้เป็นเหรียญยอดนิยมที่หายากมาก ๆ ด้วยความที่เป็นเหรียญรุ่นเก่า ออกมานานมากแล้ว มีคำขวัญว่า " ใครมีเหรียญวัดบ้านทวน ใครจะมาก่อกวนก็ไม่ต้องกลัว " เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อม่วงนี้จึงเป็นที่เสาะแสวงหา กันโดยทั่วไป



5620


พระครูเกษมนวกิจ(หลวงพ่อเต้า), วัดเกาะวังไทร นครปฐม


ท่านนั้น ฤานาม หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร นครปฐม ซึ่งหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ยังยกย่องว่า
"ท่านเต้า วัดเกาะวังไทร เขาเป็นเต้าทอง ไม่ใช่เต้าปูน"
ท่านเกิดเมื่อ ๒๐ ก.ย. ๒๔๕๑ บวชเมื่อ ๒ พ.ค. ๒๔๗๒ มรณะ วันที่ ๒๑ พ.ค. ๒๕๓๕ (วันพฤหัสบดี แรม ๕ คํา
เดือน ๖) เวลา ๐๖.๐๐ น. ที่โรงพยาบาลศิริราช สิริรวมอายุได้ ๘๔ ปี ๘ เดือน ๖๒ พรรษา

พระสหธรรมิก ที่สนิทสนมเป็นพิเศษ ทั้งอายุพรรษาอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน มีหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม ,
หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง
หลวงพ่อเต้ามรณะเป็นรูปแรก(ศพท่านไม่เน่าหลังจากเก็บไว้ ๑๐๐ วัน แล้ว)
ตามมาด้วยหลวงพ่อแช่ม(ทางวัดเก็บอยู่ในโลงไม่ได้เผาเหมือนหลวงพ่อเงิน
ถามคนที่วัดท่านบอกว่าศพไม่เน่าเหมือนกัน) และหลวงพ่อหลิวเป็นรูปสุดท้าย
"หลวงพ่อเต้า" เป็นพระที่มีศีลาจารวัตรน่าเคารพเลื่อมใส
ท่านไม่เคยติดยึดลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ยึดติดในลาภสักการะ
ตลอดชีวิตของท่านมีแต่การสงเคราะห์ช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือกับหน่วยราชการและประชาชนโดยตลอด
จะมีกี่คนที่ทราบว่า หลวงพ่อขายที่ดินอันเป็นมรดกส่วนตัวของท่าน
เพื่อนำเงินมาสมทบทุนสร้างอุโบสถหลังใหญ่ของวัดเกาะวังไทร
ความไม่ติดยึดลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ของหลวงพ่อ ความมักน้อยสันโดษ
ยิ่งเพิ่มพูนศรัทธาแก่ผู้เคารพนับถือทวีคูณยิ่งขึ้น สังฆสาวกของพระตถาคตรูปนี้ กราบได้ ไหว้ได้
อย่างสนิทใจ
*** ในเรื่องนี้แม้แต่พระเถระผู้ใหญ่ของ จ.นครปฐม เป็นต้นว่า พระศรีรัตนโมลี วัดเสถียรรัตนาราม
รองเจ้าคณะ จ.นครปฐม พบเห็นหลวงพ่อเต้าที่ใด พระเดชพระคุณท่านจะกราบแทบเท้า หลวงพ่ออยู่เสมอ
แสดงให้เห็นถึงความเคารพอย่างสูงสุด คนที่ไปหาท่าน นั่งที่ขั้นบันไดเสมอเหมือนกันหมด
ในเรื่องเครื่องรางของขลังนั้น ถ้าอยู่ใกล้ๆมือท่านแล้ว หลวงพ่อแจกไม่อั้น ไม่สนใจเรื่องกำไรขาดทุน

บิดาท่านชื่อ นายบุญ มารดาท่านชื่อ นางฮวย ห้วยหงส์ทอง

บรรพชาอุปสมบท

ณ พัทธสีมาวัดตาก้อง ตำบลตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

พระครูอุตตรการบดี (สุข) วัดห้อวยจระเข้ ตำบลพระปฐม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นพระอุปัชฌาย์

หลวงพ่อแช่ม อินทโชโต วัดตาก้อง ตำบลตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นพระกรรมวาจารย์

พระใบฎีกาล้ง วัดห้วยจระเข้ ตำบลพระปฐม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นพะอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า \\"เขมโก\\"
หลวงพ่อเต้า (พระครูเกษมนวกิจ) หรือหลวงพ่อเต้า เขมโก ซึ่งมีฉายาเหมือนหลวงพ่อเกษม เขมโก
และที่แปลกกว่านั้น คือ หน้าตาของท่านทั้งสองละม้ายคล้ายคลึงกันมาก
สิ่งที่ท่านไม่ชอบก็คือ การประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของตนเอง โดยเปรียบเทียบว่า "ไม่ใช่พลุ
ไม่ต้องมาจุดให้ ดังแล้วก็เงียบหายไป" หรือไม่ก็พูดแทงใจตรงๆว่า "คนสมัยนี้หน้าคนไม่ยอมใส่
เที่ยวไปเอาหน้าม้ามาใส่แทน" และคอยพรําสอนศิษย์เสมอว่า "เรามาแต่ตัว
เมื่อตายไปอะไรก็ถือติดมือไปไม่ได้ มีแต่ความดีที่เคยทำไว้ พอจะให้คนเขานึกถึงได้บ้าง"

ปลุกเสกนํามนต์ร้องเป็นเสียงจิ้งจก มีเรื่องเล่าสืบมาว่าหลวงพ่อแช่มได้ครอบวิชา
นํามนต์ร้องไห้ไว้ให้หลวงพ่อเต้า เรื่องนี้ศิษย์รุ่นเก่าๆทราบดี เพราะเคยเจอมากับตัวเอง เล่ากันว่า

*** บาตรนํามนต์ของหลวงพ่อ เมื่อสงัดคนจะมีเสียงจุ๊ๆๆ เหมือนจิ้งจกทัก ดังมาจากข้างใน
ผู้เป็นศิษย์ใกล้ชิดก็รีบไปดู คิดว่าจิ้งจกจะตกลงไป กินนําแล้วพลาดตกลงไป
หากไม่ไปเอาขึ้นก็จะตายในบาตรนํามนต์ หลวงพ่อจะต้องทำใหม่ ปรากฏว่าไปดูใกล้ๆ
ชะโงกไปดูเอาไฟฉายส่องก็ไม่เห็นจิ้งจกสักตัว แต่เสียงดังจุ๊ๆ ก็ยังคงมีอยู่แล้วก็ค่อยๆ หายไป

บางบ้านตักนํามนต์ของหลวงพ่อไปใส่ขันไว้ที่บ้านก็มีเสียงจุ๊ๆ ดังมาจากภาชนะเหมือนกัน
และตุ่มนํามนต์ใหญ่ที่หนาหลวงพ่อศิลาแลง(หลวงพ่อแดง พระพุทธรูปศักสิทธิ์ ประจำวัด)
อันเป็นตุ่มนํามนต์กลางที่ผู้คนจะพากันไปตักกลับบ้าน หากหลวงพ่อเต้าไม่อยู่วัด
เพราะหลวงพ่อทำไว้เป็นส่วนกลาง เสียงจุ๊ๆ จะดังขึ้นเป็นระยะๆ ตลอดวันตลอดคืน
ไปค้นหาดูเถอะไม่มีจิ้งจกสักตัว และเสียงไม่ได้ดังมาจากฝา หรือเพดาน
แต่ดังมาจากบาตรและตุ่มนํามนต์จริงๆ

ที่นับว่าเล่าลือกันอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือในงานพุทธาภิเษก ในวัดใหญ่แห่งหนึ่งในนครปฐม
มีพระเกจิอาจารย์ร่วมนั่งปรกกันมาก เจ้าภาพตั้งบาตรนํามนต์ไว้หน้าอาสนะ
ที่พระเกจิอาจารย์จะนั่งปรกปลุกเสก และจุดเทียนนํามนต์เอาไว้ที่ปากบาตร

พอพิธีเริ่มไปได้ไม่นาน ฝนก็ตั้งเค้าลมกระโชกมาอย่างรุนแรง เทียนนํามนต์ในที่บาตร
ของพระเกจิที่นั่งปรกถูกลมพัดดับหมด
*** เหลือแต่เพียงเทียนที่ปากบาตรนํามนต์หน้าหลวงพ่อเต้า
ยังไม่ดับและเปลวไฟตั้งตรงเหมือนไม่โดนลมพัดอีกด้วย
หลวงพ่อเต้านั้นท่านมีฌาณสูง และในการนั่งปรกทุกครั้ง หลวงพ่อจะกำหนดจิตนั่งปรกเป็นเวลานาน
เรียกว่าไม่มีพักยกหลับตาเข้าฌาณแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปตามที่หลวงพ่อกำหนด
ท่านก็จะออกจากฌาณเหมือนตั้งนาฬิกาปลุก ไม่ต้องไปยุ่งกับท่าน
แม้พระเกจิส่วนใหญ่จะกลับกันหมดแล้ว แต่ถ้าไม่ถึงเวลาที่กำหนดไว้ในงาน หลวงพ่อก็จะนั่งอยู่อย่างนั้น
จนถึงเวลาจะออกจากฌาณ

นางกวักของหลวงพ่อ นั่งโยกตัวไปมา เหมือนมีชีวิต บางท่านพบว่ากำลังลุกขึ้นเดินด้วยซ้ำ
เสกเสากระทู้ปักกลางวัด คนมายิงนกยิงปลาภายในวัด ปาฏิหาริย์ปืนยิงไม่ออก

ประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับปาฏิหาริย์นั้น มีประจักษ์พยาน และมีหลักฐานยืนยันได้ แต่หลวงพ่อกลับบอกว่า


"อิทธิปาฏิหาริย์ไม่ใช่วิถีทางของการดับทุกข์ ดั่งที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้
อิทธิปาฏิหาริญ์ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา
เท่านั้นที่จะทำให้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารได้"
"หลวงพ่อเต้า" เป็นพระที่สมถะ พูดน้อย คมในฝัก จึงเข้าตำราที่ว่า "ของจริงนิ่งเป็นใบ้
ของพูดได้ของไม่จริง" ปฎิปทางดงามจนเป็นที่เลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น

การปฎิบัติธรรมตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เคร่งครัดยิ่งนักเรื่องความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยนี้ ประจักษ์ปละประทับใจผู้ได้พบเห็น
ทั้งต่อหน้าและลับหลังญาติโยม ศีลาจารวัตรของท่านสะอาดบริสุทธิ์

สมณสารูปของหลวงพ่อ ผู้ใดพบเห็ฯเป็นต้องศรัทธา รูปร่างของหลวงพ่อผอมสูง ผิวดำแดง กร้านแกร่ง
แต่แฝงไว้ด้วยความอดทน เข้าตำรา "สัตว์พี ฤาษี ผอม" ความอดทนและเพียรอย่างยอดเยี่ยมของหลวงพ่อ
เป็นผลานิสงส์จากการธุดงค์วัตรรอนแรมตามป่าเขาลำเนาไพรมาอย่างโชกโชนนั่นเอง

ดวงตาของหลวงพ่อ เป็นแระกายด้วยตบะเดชะแห่งมหาอำนาจ แต่เปี่ยมด้วยความเมตตา ผิวพรรณวรรณะของท่าน
ดูแล้วผุดผ่อง มีสง่าราศีด้วยบุญบารมีทั้งๆ ที่หลวงพ่อไม่ได้สรงน้ำ
แต่ไม่เคยปรากฎร่องรอยคราบเหงื่อไคลความสกปรกให้พบเห็น เป็นที่น่าอัศจรรย์นัก
"หลวงพ่อเต้า" เป็นตัวอย่างของภิกษุสงฆ์ผู้มีความมักน้อย ถือสันโดษอย่างจริงจัง
ผู้เขียนกล้าเอาเกียรติเป็นประกันว่า หลวงพ่อเป็นพระที่ไม่สะสมและปรุงแต่ง
ในกุฏิของท่านไม่พบของมีค่าเกินความจำเป็ฯของสมณเพศ บริขารปัจจัยต่างๆของหลวงพ่อก็คือ

เสื่อผืน หมอนใบ และผ้าไตรจีวรสีกรักเก่าๆ

ไม่เคยจำวัดในห้องนอนที่มีฟูกหนาๆหมอนนิ่มๆ

ที่จำวัดเดิมที เป็นเตียงผ้าใบแบบพับได้เก่าคร่ำคร่า ตั้งแอบไว้หลังโต๊ะรับแขก
ในกุฎิตรงที่ท่านนั่งรับแขกนั่นเอง

หลวงพ่อท่านยึดว่า ความสุขสบายของกายสังขารเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ เกิดกิเลส เกิดตัณหา มีอุปทาน
ไม่สามารถหลุดพ้นจากสภาวะจิตใจทางใฝ่ต่ำ ซึ่งเป็ยข้าศึกต่อเพศบรรพชิต

"เรามาแต่ตัว เมื่อตายไปอะไรก็ถือติดมือไปไม่ได้ มีแต่คสามดีที่เคยทำไว้
พอจะให้คนเขานึกถึงได้บ้าง"

เป็นคำพูดและคติธรรมที่หลวงพ่อบอกกล่าวกับผู้เขียนอยู่เสมอๆดังนั้น ไม่ว่าจะเป็ฯวิทยุโทรทัศน์ โทรศัพท์
หรืออุปกรณ์อำนวยความสุขสบายอื่นใด หลวงพ่อยกให้เป็นสาธารณประโยชน์ทั้งหมด

ตู้เย็นเก่าๆในกุฎิ แทนที่จะแช่น้ำ แช่อาหารการกินเพื่อความอร่อยลิ้น กลับกลายเป็นแช่ผลไม้
แช่เนื้อสัตว์ เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงสิงสาราสัตว์สารพัดชนิด ที่คนนำมาถวายท่าน
ซึ่งท่านก็สงเคราะห์เลี้ยงไว้บริเวณหน้ากุฎิจนเต็มไปหมด

หลวงพ่อท่านบอกว่า บรรดาสัตว์ที่คนนำมาถวายนี้ ถ้าเลี้ยงไว้ในเขตอภัยทาน
ย่อมปลอดภัยกว่าที่จะปล่อยให้ไปผจญภัยตามเวรตามกรรม

สัตว์เลี้ยงของหลวงพ่อทุกตัว จะเชื่องไม่ดุร้าย ทั้งนี้ด้วยอานุภาพจากความเมตตาของหลวงพ่อ
ซึ่งลงทุนขึ้นรถเมล์ไปตลาดนครปฐมด้วยตัวของท่านเอง เพื่อซื้ออาหารมาเลี้ยงสัตว์
และท่านจะเป็ฯผู้ให้อาหารสัตว์ด้วยตัวของท่านเอง ตลอดระยะเวลาที่กายสังขารของท่านยังแข็งแรงสมบูรณ์

ในช่วงปีพ.ศง 2534 จนถึง 2535 กายสังขารของหลวงพ่อร่วงโรยไปตามวัย
ความชราภาพและความเจ็บไข้เริ่มเข้ามาเยือน คณะกรรมการวัดตลอดจนศิษย์
จึงปราถนาที่จะให่หลวงพ่อได้มีห้องจำวัดเป็นสัดส่วน
เพื่อมที่ท่านจะได้พักผ่อนให้เต็มที่ตามคำสั่งของแพทย์ ดังนั้น
จึงได้กั้นห้องติดมุงลวดภายในบริเวณกุฎิรับแขกของท่าน แล้วซื้อเตียงไม้มาถวายมีเบาะเล็กๆเก่าๆ
ปูเตียงสำหรับเป็นที่จำวัด นั่นแหละหลวงพ่อจึงได้มีเวลาพักผ่อนอย่างพอเพียง

หลวงพ่อเต้า" เป็นศิษย์เอกหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ยอดพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองนาม
เจ้าตำรับวิชามหาอุดและคงกระพันชาตรี ผู้ทรงคุณวิเศษในการย่นระยะทาง ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคม
การลงอักขระเลขยันต์ การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ตลอดจนการเจริญวิปัสสนากรรมฐานจากหลวงพ่อแช่มโดยตรง
หลวงพ่อแช่มรักและไว้ใจหลวงพ่อเต้ามาก ขนาดให้ทำหน้าที่ลงอักขระเลขยันต์แทน
แม้ขณะนั้นหลวงพ่อเต้าจะยังบวชได้ไม่ถึง 5 พรรษา

หลังจากอุปสมบท

"หลวงพ่อเต้า" อยู่ปฎิบัติรับใช้หลวงพ่อแช่ม ที่วัดตาก้องอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เลี้ยงวัวให้
ต้มน้ำร้อนน้ำชา ปัดกวาด เช็ดถูกุฎิ และทุกๆเรื่องที่หลวงพ่อแช่มท่านใช้สอย พร้อมทั้งศึกษาพระธรรมวินัย
อักขระเลขยันต์ทางไสยเวทวิทยา ตลอดจนิปัสสนากรรมฐานจากหลวงพ่อแช่ม

นอกจากนั้น ยังได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากสำนักนางสาว แภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร
ในสมัยที่หลวงพ่อคง เป็ฯเจ้าอาวาส อีกด้วย
หลวงพ่อเต้า" ออกเดินธุดงค์เพื่อบำเพ็ญเพียรให้สมาธิแกร่งกล้า โดยให้รุกขมูลไปทางพิจิตร ลพบุรี
พิษณุโลก นครสวรรค์ สุโขทัย เชียงราย และขึ้นไปแถบชายแดนพม่า ฝ่าฟันอุปสรรคอันตรายรอบด้าน
ทั้งจากภูติผีปีศาจ สิงสาราสัตว์ ภัยจากธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เนื่องจากต้องผ่านป่าดงดิบจริงๆ
และเป็นการเดินธุดงค์วัตรอย่างแท้จริง

หลวงพ่อเล่าเรื่องประสบการณ์ธุดงค์ให้ฟังว่า บางครั้งเดินหลงเข้าไปในป่าดงดิบ ไม่มีบ้านผู้คนอาศัย
อดข้าวอดน้ำอยู่หลายวัน ต้องอธิฐานขอฉันใบไม้เป็นอาหารยังชีพ บางครั้งต้องใช้บาตรหุงข้าวฉันเอง
มิฉะนั้นต้องอดตายในป่า

ขณะเดินไปถึงเขาวงพระจันทร์จังหวัดลพบุรี พักปักกลดอยู่ มีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ปรากฏให้เห็น
แต่ไม่ได้ทำอันตรายท่าน เพราะหลวงพ่อได้แผ่เมตตาตลอดเวลา แต่ที่สำคัญก็คือหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง
ท่านได้นั่งสมาธิอธิฐานจิตติดตามคุ้มครองป้องกันภัยให้ด้วย เรื่องนี้หลวงพ่อเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
ขณะที่ท่านเจริญสมาธิ หรือกำลังสวดมนต์ จะเห็นหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง มาเดินดูใหล้ๆกลด
แล้วก็หายไปอานิสงฆ์จากการเดินธุดงค์ ทำให้หลวงพ่อมีสมาธิจิตมั่นคง
มีพลังจิตอันทรงปาฎิหารย์ได้รับการยกย่องเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแถวหน้าของเมืองไทย
งานพุทธาภิเษกแทบทุกงาน ซึ่งหลวงพ่อก็เต็มใจรับอารธนานิมนต์นั่งปรกปลุกเสก
ซึ่งหลวงพ่อก็เต็ฒใจรับอารธนานิมนต์เป็นพิเศษ แม้สังขารร่วงโรยไปตามกาลเวลา
แต่ในใจของท่านกลับยิ่งแข็งแกร่ง ท่านจะนั่งขัดสมาธิอย่างสง่างาม อกผายไหล่ผึ่ง หลังตั้งตรงดุจคันทวน
สมาธิแน่วแน่ ไม่มีการเผลอหลับคอพับคออ่อน ไม่มีเอียงซ้ายเอียงจขวา และไม่มีการกลับก่อนเวลา
หากยังไม่ดับเทียนชัยเป็นไม่เลิก จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาต่อผู้พบเห็ฯยิ่งนัก
พิธีพุทธาพิเษกครั้งสำคัญๆที่วัดบวรนิเวศวิหาร วัดสุทัศนเทพวราราม
หรือวัดพระศรีรัตนศาสดารามจะต้องมีหลวงพ่อเข้าร่วมพิธีทุกครั้ง

"หลวงพ่อเต้า"
เป็ฯพระคมในฝักจริงๆสังเกตจากงานพุทธาภิเษกเท่าที่ผู้เขียนเป็นศิษย์ติดตามอย่างใกล้ชิด
ถ้ามีคนรุมล้อมมนัสการท่านมากๆ ท่านจะไม่แสดงอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชอะไรได้แต่นั่งยิ้มๆ แต่ถ้าคนน้อยๆ
หรืออยู่กันตามลำพัง อยากได้อะไรหลวงพ่อทำให้ทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะท่านไม่ต้องการโอ้อวดคุณวิเศษต่างๆ
ที่หลวงพ่อท่านเป็นเลิศในเรื่องของไสยเวทย์ มีผู้คนพบเห็นเป็นพยานในทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์ของหลวงพ่อ

พระเครื่อง พระบูชา ตลอดจนอิทธิมงคลของหลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร มีทุกรูปแบบทั้ง ตะกรุด ผ้ายันต์
พระกริ่ง รูปหล่อเหมือน เหรียญรูปเหมือน พระเนื้อดินเผา พระเนื้อผง พุทธคุณ ภาพถ่าย พระปิดาตาเนื้อผง
และ เนื้อเมฆพัด ฯลฯ

อิทธิมงคลวัตถุของหลวงพ่อ ลง้วนแล้วครบวงจรของความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์
จากพลังจิตและพุทธาคมอันเอกอุดมจากตำรับตำราของหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง
ที่ได้ประสิทธิ์ประสาทให้หลวงพ่อซึ่งเป็นศิษย์เอกอย่างหมดสิ้น

ประสบการณ์จากอิทธิมคลวัตถุของหลวงพ่อ ปรากฎความมหัศจรรย์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ จนเป็นเรื่องปกติ
ทั้งด้านแคล้วคลาดจากอันตราย อยู่ยงคงกะพัน มหาอุด เมตตามหานิยม

"หลวงพ่อเต้า"
เป็นพระเกจิออาจารย์ที่ยึดคติโบราณณาจารย์ในการสร้างอิทธิมงคลวัตถุสมัยที่ท่านมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง
ท่านจะลงอักขระเลขยันต์ตามสูตรสนธิด้วยมือของท่านเอง ไม่ว่าจะเป็ฯผ้ายันต์ ตะกรุด
รวมทั้งพระเครื่องเนื้อดินโป่ง ทุกองค์จะเป็นลายมือซึ่งท่านบรรจงจารไว้อย่างสวยงาม อักขระคาถาอาคมต่าง
หลวงพ่อจะเขียนเป็นหนังสือขอมตัวบรรจง สมัยหนุ่มๆ จัดว่าท่านมีลายมือสวยทีเดียวล่วงศุ่วัยชรา
มือของท่านจะสั่น ลายมือโย้ไปเย้มา แต่ก็มีความแม่นยำไม่คลาดเคลื่อน เส้นยันต์ไม่ขาด
อักขระไม่ทับตารายันต์

หลวงพ่อไม่นิยมวิธีปั๊มอักขระเพื่อลงยันต์ ยกเว้นระยะหลังท่านชราภาพมาก จึงยอมให้ใช้ยันต์ปั๊ม
แต่ถ้าผู้เขียนอยู่ใกล้ๆ ท่านจะใช้ให้ลงอักขระเลขยันต์แทนท่าน ไม่ว่าจะเป็ฯยันต์หัวเสาปลูกบ้าน
ยันต์หล่อพระ หรือยันต์วางศิลาฤกษ์ คาถาที่ใช้ลงอักขระเลขยันต์ จะเป็ฯบารมีสามสิบทัศน์
พระเจ้าสิบหกพระองค์ อิติปิโสแปดทิศ แล้วมักจะต่อท้ายหรือล้อมด้วยนวหรคุณ พระเจ้าห้าพระองค์ ฯลฯ
สุดแท้แต่ท่านจะสั่งให้เขียน เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ท่านจะตรวจสอบ
จากนั้นจึงจะปลุกเสกตามตำรับเวทย์วิทยาคมของท่าน เป็นอันใช้ได้
ในเรื่องของการปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงพ่อนิยมที่จะปลุกเสกเดี่ยวมากกว่าแบบมวยหมู่

ในการจัดสร้างวัตถุมงคลนั้น หลวงพ่อจะพิถีพิถันมาก ตัวอย่างเช่น การสร้างพระพิมพ์โมคคัลลาน์สารีบุตร
เนื้อดินโป่งผสมผงพุทธคุณ อันเป็นการสร้างวัตถุมงคลรุ่นแรกของท่านประมาณปี 2496
ท่านได้รวรวมดินโป่งซึ่งถือเป็ฯมวลสารกายสิทธิ์ มีเทพยดาอารักษ์คุ้มครอง
โดยเก็บจากป่าดงดิบแถวจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี ดินอุดรูหนู รูปู ตามเคล็ด วิชามหาอุด
จากนั้นนำมาบดจนละเอียด แล้วผสมกับผงพระพุทธคุณและว่าน 108

เมื่อเริ่มเข้าพรรษา หลวงพ่อจะดเนินการสร้างพระเครื่อง โดยนำผงดินโป่งที่ผสมผงพุทธคุณแล้ว
ผสมใส่น้ำมนต์ที่ปลุกเสกลงไป แผ่ดินโป่งที่ผสมแล้วออกเป็นแผ่น เขียนยันต์ ตามตำรับของหลวงพ่อแช่ม
วัดตาก้อง ปลุกเสกด้วยโองการมหาทะมื่นและชินบัญชรคาถา เอาน้ำมนต์รดลงไป แล้วลบยันต์ทิ้ง เขียนขึ้นใหม่
ปลุกเสก แล้วลบทิ้ง ทำอย่างนี้จนครบ 108 ครั้ง เรียกว่า "ลบถม"

กรรมวิธีการต่อไปก็คือ หลวงพ่อจะกดพิมพ์พระเองตลอด จนเสร็จพิธี หลวงพ่อจะจารหลังองค์พระด้วยตนเองทุกองค์
ลักษณะของยันต์และอักขระที่จารจะเป็นตัวเฑาว์มหาอุด นะอุณาโลมคงกะพันชาตรี และนะแคล้วคลาด เป็นหลัก
จากนั้นก็จะปลุกเสกตลอดไตรมาส
ในช่วงสมัยที่ "หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม" ซึ่งถือเป็นพระอาจารย์รุ่นพี่
และวัดดอนยายหอมก็อยู่บริเวณใกล้เคียงกันกับวัดเกาะวังไทร ดังนั้น
พระพิมพ์เนื้อดินโป่งผสมผงพุทธคุณในรุ่นแรก จึงได้รับอธิษฐานจิตปลุกเสกโดยหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ด้วย
(ประมาณ พ.ศ.2497-249

โดยข้อเท็จจริงแล้ววัตถุมงคลพระเครื่องเนื้อดินโป่ง หลวงพ่อท่านพร้อมที่จะนำพระเครื่องเนื้อดินโป่ง
อิทธิมงคลรุ่นแรกของท่าน แจกให้รุ่นศิษย์ แต่หลวงพ่อเป็นผู้มีคารวะธรรมต่อพระอาจารย์ (หลวงพ่อล้ง
พระอนุสาวนาจารย์ ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเกาะวังไทร) ท่านจึงเก็บพระพิมพ์เนื้อดินโป่งไว้เงียบๆ
กระทั่งปี พ.ศ. 2499 เมื่อหลวงพ่อล้งไปรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้
และหลวงพ่อเต้าได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการณ์ในตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเกาะวังไทรแทน
ท่านจึงเริ่มเผยแพร่วัตถุมงคลรุ่นแรกของท่าน

ประสบการณ์วัตถุมงคลทุกรุ่นของหลวงพ่อเต้า ย่อมเป็นที่ทราบและรู้อยู่แก่ใจของผู้ได้พบเห็น
ซึ่งถือเป็นปัจจัตตัง
(นำมากจากเวปไซค์ครับ ด้วยความเคารพและศรัทธา หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร)

5621
เยี่ยมครับ .....(แต่ที่ไม่แพงและไม่แล้งจนเกินไป คือนำใจ ของชาววัดบางพระทุกๆคนครับ  ;))

5622
อะครับ ดีครับ เยี่ยมเลย ครับ ที่เอามาให้ชม อย่างน้อยก็ศิษย์หลวงพ่อเปิ่นเหมือนกันครับ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ทุกที่ของประเทศไทย หัวใจหนึ่งเดียวครับ ...........

5623
ทุกอย่างล้วน อนิจจัง ครับ ต่างคนต่างใจ ต่างคนต่างนิสัย ต่างคนต่างคนต่างที่ แต่ที่สำคัญ พวกเรานับถือปลวงพ่อเปิ่น เทพเจ้าของเราทุกๆคนครับ และอาจารย์ ผู้สืบทอดวิชา และได้เมตตาสักยันต์ให้เราเพื่อให้แค้ลวคลาดปลอดภัย พวกเราก็นับถืออาจารย์ทุกๆท่านเหมือนกัน
ไงก็ศิษย์วัดบางพระ ครับ ควรรักกันเป็นหนึ่งเดียว มีไรก็ให้อภัยกันได้ครับ

5624
สุดดดดดดดดดดดดดด ยอดดดดดดดดดด มากกกกกกกกกก เลย ครับ เยี่ยม ได้ความรู้เยอะเลย ครับ :)

5625
 :) ขอบคุณมากครับ สำหรับ ความรู้ ดีมากๆครับ :)

5627
ดีครับ .... :)

5628
นะจะเป็นยันต์ของฤาษี ครับ ผมไม่เคยเห็นอะครับ แบบ นี้ แต่ยันต์นั้นมีหลายแบบ ครับแล้วแต่ละอาจารย์ไม่เหมือนกัน ครับ

5629
รับทราบ ครับ(?ครับสวัดดีครับพี่ .. ขอบพระคุณมากครับ ขอให้มีความสุข เช่นกันครับ รวมทั้งพี่ๆน้องๆ ชาววัดบางพระทุกๆคนครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุข เจริญในศิลและธรรมทางด้านการงานการเงิน ขอให้ทุกท่านสำเร็จ สงดั่งใจเทอญขอให้ทุกท่านมีความสุข ด้วย อายุ วรรณณะ สุขะ พละ  ด้วย ครับ) :054: :054:

5631
สวัดดีครับ ....จากเหตุการที่ผ่านมา เรื่องสมภารวัดวังน้ำขาวซดยาพิษ ครับ ทำให้ความศรัทธาของประชาชนเริ่มน้อยลง แต่ ก็ไม่ได้ทำให้ศิษย์ทั้งหลายที่นับถือเจ้าอาวาสรูปก่อนอย่างหลวงพ่อเหว่า ได้ศรัทธาน้อยลงไม่ ในประสบการณ์ ขณะนั้นผมยังเด็ก ผมได้มีโอกาศวนเวียนอยู่ที่วัดวังบ่อย ครับ ไม่ว่าจะเป็นงาน ต่างๆ รวมทั้งงานทำบุญ
ตอนนั้นที่ข้าพเจ้า ได้บวชเณร ที่วัดวังน้ำขาวนั้น ทุกเช้า จะเห็นพระรูปนึง ซึ่งจะตื่นมากวาดลานวัด ทุกๆเช้า ครับ ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจมากครับ
หลวงพ่อเหว่า จะลงมือเอง ทั้งด้านงานในวัด และชุมชน โดยมีลูกศิษย์คอยช่วยเหลือครับท่านเป็นพระที่ปฏิบัติธรรมตามแบบของหลวงพ่อเงินอย่างเคร่งครัดครับ
ซึ่งท่านก็เป็นศิษย์หลวงพ่อเงิน อีก 1 รูปเหมือนกันครับ รุ่นเดียวกับหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม
สำหรับชาวบ้านในระแวกนั้น ...ถามได้ครับ หลงพ่อเหว่า เป็นพระที่ดี จิงๆ
ส่วนเรื่องวัตถุมงคล ท่านไม่เค่ยสร้าง ครับ มีก็น้อย ส่วนมากจะทำแจกเฉพาะลูกศิษย์ลูกหาจิงๆครับ ไม่ได้สร้างเยอะ
ตอนที่หลวงพ่อยังอยู่ ก็คงจะเป็น ขุนแผน อะครับ ที่ค่อนข้าง มีประสบ การณ์? (แต่คงบอกไม่ได้นะครับด้านไหน เดี๋ยวจะหาว่าโฆษณาครับ)
ส่วนรุ่นที่เหลือ เป็นรุ่นหลังๆ ครับ ทันหลวงพ่อหรือป่าวไม่ทราบนะครับ แต่ที่นิยม คงเป็นเหรียญรุ่นแรก อะครับแน่นอน
และเมื่อไม่นานมานี้ วัดวังกรุแตกครับ พบ พระหลวงพ่อเงิน หลายพิมหลายรุ่นครับ ...แต่ทางวัดจะเก็บใว้ หรือ แจกในงานทำบุญหรือป่าว ผมไม่ทราบ ครับ
ต้องไปสืบหากันเอาเอง ครับ ........ (ทั้งหมด นี้ ไม่ได้เป็นการโฆษณาแต่อย่างใด แต่เป็ยการเผยแพร่ด้วยความศรัทที่ข้าพเจ้ามีแต่หลวงพ่อเหว่า )

ปล หากผิดพลาดประการใด ขออภัยนะที่นี้ด้วยนะครับ .......

5632
ขอแสดงความยินดี เป็นอย่างยิ่งด้วยครับ   :) :) ;)

5633
ใช้ศิล สมาธิ ปัญญา ?สิครับ และที่ขาดไมได้คือความเมตตา ครับ ?^ ^''

5634
ไม่เค่ยดีทั้ง 2 นะครับ ดูแปลกๆ ไงไม่รู้อะครับ

5635
 :) ใช่และครับพี่ .... ซึ่ง บางวัด ยังพอมี ผู้สืบทอดอาคมอยู่ แต่ไม่ดัง ก็เยอะนะครับ

5636
หาก ไม่พูดถึงเรื่อง วัตถุมงคล แล้ว นั้น วัดพระงาม ถือเป็นวัดดี อีก 1 วัดครับ ทางเรื่อง การศึกษาธรรม และการทำบุญแบบชาวพุทธที่ตกทอดกันมา แต่สมัยโบราณครับ
วัดพระงาม นั้น ถือเป็นอีก 1 วัด ที่มาการเปิดสอนทางธรรม ให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจ มาศึกษาครับ และทุกวันพระ ที่วัดจะมีการ สวดมนต์ และมีพระมาเทศให้ฟัง ถวายอาหารเพล ให้พระสงฆ์ ซึ่งทางวัดก็เปิดผู้ที่มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา มาทำบุญกันครับ ....
มาต่อ สถานที่สำคัญของวัดนะครับ
วัดพระงาม มีภูเขาลูกเล็กๆ อยู่ภายในวัด  ซึ่งน่าจะมีมานาน สมัยโบราณและครับ ...และภายในบริเวณนั้น ยังขุดพบพระโบราณ เป็นจำนวนมากครับ และเครื่องใช้โบราณ
บนภูเขา มีพระพุทธรูปศักสิทธิ์ ของ วัดครับ ที่มีมาแต่โบราณแล้ว
ต่อไปพระอุโบสถซึ่งมี 2 หลังตั้งคู่กันครับ
หลังเล็กมีอยูเดิม ครับ
หลังใหญ่ นั้น น่าจะสร้างเมื่อปี 2500-2504 นะครับ โดยอุโบสถหลังใหม่นี่ หลวงพ่อเงิน ท่านหน้าจะเป็นผู้สร้างหรือร่วมสร้าง ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่มีหลวงพ่อเงินแน่ ครับ
หอพระปริยัติธรรม  นั้น  จะเป็ดสอน พระถิกษุสามเณร และประชาชนทั่วไปที่สนใจครับ
ต่อมาผมจะกล่าวถึง ท่านเจ้าอาวาส วัดพระงาม นะครับ ท่ามีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะ อ.เมืองนครปฐม ครับ
ท่านเป็นผู้เสียสละ เวลา เพื่อ ประโยชน์ สังคม ทุกๆด้าน ครับ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษา และ หลักธรรม คำสั่งสอน ท่านจึงได้ฉายาว่า ตู้พระไตรปิฏก เคลื่อนที่
ท่านมีความรู้ ในด้านพระธรรมค่อนข้างสูงครับ  และท่านยังช่วย สนับสนุน ทางด้านการศึกษาตามโรงเรียนต่างๆ  โรงเรียนยากจน และนักเรียน ทุน ครับ
คอยช่วยเหลือ ทางด้านการศึกษา ทางด้าน สังคม และ ทางธรรม ครับ วันๆท่านแทบไม่มีเวลาได้ผักผ่อน เพื่ออทิศเวลา ให้กับสังคม มากกว่าตัวเองครับ
ส่วนเรื่องวิชาอาคม ..ท่านก็ไม่ธรรมดา ครับ เพียงแต่ท่าน ไม่ชอบออกวัตถุมงคล
 ครับ แต่ถามว่า วัดพระงาม มีวัตถุมงคล ดีๆ ใหม มี ครับ
วัดพระงาม มีเหรียญ หลวงพ่อเงิน ที่มาออกวัดพระงาม ปี 2503 ครับ และ ยังมีเหรียญ อื่นๆ อีก ครับ ซึ่งจะสร้างช่วง พ.ศ. 2503 ครับโดยมีหลวงพ่อเงินปลุกเศกด้วย
แต่ที่สำคัญ .... ของวัดพระงามก็คือ   (พระปิดตาหลวงพ่อพล้อม ครับ ซึ่งมีพุทธคุณสูง บางคนเชื่อว่า ใช้แทนของหลวงปู่นาค วัดห้วยจรเข้ได้เลยครับ ซึ่งปัจจุบันหายากครับ)
และยังมีพระ ที่สืบทอดวิชามา จนถึงปัจจุบัน ซึ่งผมมิอาจเอ่ยนามได้ครับ เพราะท่านไม่ชอบให้ใครไปโปรโหมด ใครอยากทราบ ลองไปสืบถามกันเอาเองนะครับ
ซึ่ง มี  หลายรูปภายในวัดครับ  ปัจจุบันจะมีแต่ลูกศิษย์ในละแวก วัดพระงามที่มีประสบการณ์ เท่านั้น ครับที่รู้ ลองไปถามดูครับ
และอีกอย่าง น้ำมนของวัดพระงาม นั้นก็สุดยอดครับ ผมมิอาจ บอกได้ครับ ว่าดีด้านไหน ลองไปขอและไปใช้กันเองนะครับ

(ข้อความทั้งหมดที่พิมมา มิได้เป็นการโปรโหมด แต่ยางไดครับ เพียงแต่เผยแพร่ ความรู้ และความศรัทธา ที่มี ต่อวัดครับ ซึ่งผู้เขียนได้พบและเห็นครับ...หากผิดพลาดประการใดขอขมานะที่นี้ด้วยครับ)  ...ขอให้ทุกท่านมีความสุข  ทุกๆท่าน ครับ และอยู่ในศิลในธรรม ครับ

 

5637
ผมนำเสื้อ ยันต์สุดยอด ยุคสงครามอินโดจีนครับ ...ที่ชาวต่างชาติเรียกทหารไทยว่าทหารผี โดนยิง กับลุกขึ้นมาสู้ใหม่ (นำมาจากเวปไซค์ครับ)










สุดยอดเสื้อยันต์สมัยก่อนครับ

5638
 :)   สุดยอดไปเลยครับบบบบบบบ

5639
หล่อครับพี่โจรสลัด ?อิอิ .

..
 












5640
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ  ด้วยเกล้าด้วยกล่อมขอเดชะ ข้า กลุ่มชนชนชาววัดไร่ขิง

5641
สวยดีครับ ขอบคุณครับ ที่เอามาให้ชม

5642
เหอๆ ...ยอดเยี่ยมครับ







5643
สวยครับ อักขระ คมชัด มากๆ เลย ครับ

5644
ขอบคุณครับเยี่ยมมมมมมมมมมมมมม ;)

5645
ขอบคุณครับเยี่ยมมากครับ .... ;)

5646
โบราณ นั้น ได้นำพืชมาเป็นยารักษาโรคมานานมากแล้ว ....ผมมีพืช มาแนะนำ เพื่อชาววัดบางพระครับ

สมุนไพรมาแรง ฮว่านง็อก สมุนไพรเดียวที่รักษาโรคได้อเนกอนันต์

--------------------------------------------------------------------------------

สมุนไพรมาแรง ฮว่านง็อก (HOAN-NGOC)

ในฉบับนี้ผู้เขียนขอพักเรื่องว่านไว้ก่อนจะแนะนำสมุนไพรที่ค้นพบล่าสุด และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับแฟนเทคโนฯเนื่องจากเป็นสมุนไพรเดียวที่รักษาโรคได้อเนกอนันต์ เจ้าต้นไม้ฮว่านง็อกนี้เข้ามายังประเทศไทยเราเกือบจะสิบกว่าปีแต่ยังหวงแหนปกปิดเป็นความลับเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งด้วยนิสัยสอดรู้สอดเห็นและชอบสืบสาวราวเรื่องของสมุนไพรแปลก ๆนิสัยชอบดั้นด้นค้นหานำสิ่งที่ดีมาตีแผ่ เมื่อมีความพยายามความสำเร็จจึงตามมาจึงขอนำมาเล่าดังนี้

สมุนไพรฮว่านง็อก

เป็นต้นสมุนไพรถือกำเนิดในประเทศเวียดนามผู้นำเข้ามาใช้เป็นกลุ่มทหารผ่านศึกสมัยสงครามเวียดนามกระถางแรกมีราคาถึง 70,000 บาท (เจ็ดหมื่นบาท) นำมากินใบสด ๆ แก้โรคต่าง ๆ มากมายและเห็นผลเร็ว รู้จักกันในรุ่นของทหารผ่านศึกรุ่นนั้นรุ่นเดียวผู้เขียนได้ข้อมูลและมีความสนิทชิดชอบกับทายาทของนายทหารผู้นั้น ซึ่งไม่ขอเอ่ยนาม (ปัจจุบันอายุ 68 ปี) จึงได้ถามประวัติความเป็นมา การใช้และสรรพคุณซึ่งท่านใช้รักษาอาการเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัวท่าน เช่น ภรรยาของท่านเป็นเบาหวานกินใบสมุนไพรฮว่านง็อกไม่นานก็หายซึ่งจะแจกแจงรายละเอียดต่อไป

ลักษณะของต้น

เป็นต้นไม้ชนิดใบอ่อนปลายแหลม ส่วนล่างของใบจะหยาบสีเขียวเข้ม ด้านบนสีเขียวอ่อนเป็นต้นไม้ที่มีใบมากสักหน่อย แตกกิ่งก้านทรงพุ่มได้ดีการขยายพันธุ์เพียงตัดยอดปักชำลงดินก็เกิดรากตั้งตัวได้เร็ว ย้ายลงปลูกในกระถางใส่ปุ๋ยพรวนดินรดน้ำก็จะเจริญงอกงาม

วิธีใช้

ส่วนสำคัญคือ ใบใช้เคี้ยวกินสด ๆ หรือคั้นและกรองเอาน้ำข้น ๆ รับประทานหรือต้มเป็นน้ำแกงรับประทานก็ได้ ส่วนเปลือกและรากไม้สามารถต้มกลั่นเป็นสุราได้ด้วย ใบไม้ไม่มีกลิ่นและรส สามารถต้มเอาน้ำใส ๆ ดื่มได้ส่วนการรับประทานมากหรือน้อย อยู่ที่ธาตุ หนัก-เบา ของแต่ละคนโดยทั่วไปจะรับประทานกัน 1-4 ใบ คนที่มีอาการหน้ามืดตาลายหลังรับประทาน 15 นาทีจะหาย ให้รับประทานติดต่อกัน 7 วัน วันละ 2 ครั้งก่อนอาหาร

จากหลักฐานคนไข้รายหนึ่งหลังจากรักษาโรคมะเร็งตับจากยานานาชนิดไม่หาย เมื่อได้รับประทานใบสดของต้นฮว่านง็อกคนไข้มีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไม่น่าเชื่อ จากการมีไข้สูงถึง 40 องศา ลดลงเหลือ 37 องศา การเจ็บปวดลดลงมาก ผิวหนังเคยเหลืองก็ลดลง หน้าท้องแฟบลงตัวเบาทำให้คนไข้ลุกขึ้นมาสนทนาได้

ทำไม คนไข้จึงฟื้นตัวเร็วขนาดนั้นหลังจากรับประทานได้ 20 นาที ยาได้ออกฤทธิ์ รับประทาน 5 ใบ จะลดความเจ็บปวดได้ 3 ชั่วโมง รับประทาน 7 ใบ ลดได้ 5 ชั่วโมงเสมือนหนึ่งยาวิเศษเพราะคนไข้โรคตับได้เจ็บป่วยมาถึงวาระสุดท้ายแล้วกลับฟื้นและมีความหวัง ต้นฮว่านง็อกเป็นต้นไม้ใบยาที่มีคุณค่าสูงส่งเป็นของขวัญจากสวรรค์ มอบให้แก่มวลมนุษย์ ก่อนหน้านี้เรียกว่าต้นลิงเพราะพวกลิงอยู่ในป่า เมื่อเป็นอะไรมันจะกินใบของต้นไม้ชนิดนี้ ทำให้หายได้ในทุก ๆโรค ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น HOAN-NGOC เนื่องจากมีเด็ก 2 คน ทะเลาะวิวาทและตีกันจนทำให้ลูกอัณฑะหายไป เมื่อรับประทานใบไม้นี้ทำให้ลูกอัณฑะกลับคืนเป็นปกติ

สรรพคุณของต้นสมุนไพร (จากเอกสาร ฮานอย 2-9-1995 ถ่ายทอดจากต้นฉบับจริง)
1. รักษาคนสูงอายุ ปวดเมื่อยตามร่างกายทำงานหนัก เกิดประสาทหลอน
2. รักษาเป็นไข้หวัด ความดันโลหิตสูงท้องไส้ไม่ปกติ
3. รักษาอาการมีบาดแผล เคล็ด ขัด ยอก กระดูกหัก
4. รักษาอาการทางเดินอาหารไม่ปกติ
5. รักษาอาการโรคกระเพาะอาหารโรคเลือดออกในลำไส้เกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ
6. รักษาอาการคอพอกตับอักเสบ
7. รักษาอาการไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่นข้น
8. รักษาอาการโรคมะเร็งปอด มีอาการปวดต่าง ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รับประทานต่อไป 100-200 ใบ อาการจะหายขาด
9. รักษาโรคตาทุกชนิด เช่น ตาแดง ตาต้อตาห้อเลือด
10. รักษาอาการมดลูกหย่อนของหญิงคลอดบุตรใหม่ ได้ผลดีช่วยให้มดลูกเข้าอู่
11. รักษาโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำโรคประสาทอ่อน ๆ (เพื่อเป็นการสนับสนุนเหตุผลโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้เขียนก็เป็นจึงกินเข้าไปครั้งละ 5 ใบ เช้า-เย็น 1 วัน อาการหน้ามืดหนักหัวหายไป รู้สึกสบายเบาสมอง)
12. สามารถใช้กับสัตว์ได้จากเอกสารระบุว่าใช้กับไก่ชนหลังจากชนไก่แล้ว ต้องการให้ไก่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บให้ไก่กินใบของต้นสมุนไพรฮว่านง็อกจะฟื้นตัวได้เร็ว


รายละเอียดในการใช้รักษาแต่ละโรค

1. โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล รับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้งรับประทานติดต่อกันไปจนครบ 50 ใบ
2. โรคเลือดออกในลำไส้ รับประทานใบสด 7-13 ใบ หรือคั้นเอาน้ำ วันละ 2 เวลา
3. โรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่เป็นบิดรับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง รับประทานติดต่อกันไปประมาณ 100 ใบ
4. โรคตับอักเสบ คอพอก รับประทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 3 ครั้งรับประทานติดต่อกันไปจนครบ 150 ใบ
5. โรคไตอักเสบ ปวดเป็นประจำรับประทานครั้งละ 3-4 ใบ วันละ 3 ครั้ง รับประทานไปจนครบ 30 ใบ
6. อาการท้องไส้ไม่ปกติ รับประทาน 7-14 ใบ 2 ครั้ง หาย
7. ปวดเมื่อยตามร่างกายรับประทาน 7-14 ใบ 2 ครั้ง หาย
8. อาการปัสสาวะแสบ ปัสสาวะเป็นเลือดรับประทาน 14-21 ใบ โดยการคั้นเอาน้ำข้น ๆ รับประทาน
9. โรคตาแดง รับประทาน 7 ใบ และบด 3 ใบ ปิดที่ตา เวลานอน 1 คืน จะหาย
10. โรคความดันสูงจะลดทันทีเมื่อรับประทาน 5-9 ใบ (ผู้เขียนได้ทดลองด้วยตนเองดีสมราคาคุย)
11. แก้โรคเบาหวานผู้ชายรับประทานวันละ 7 ใบ ผู้หญิงรับประทานวันละ 9 ใบ ภายใน 90 วัน หาย
12. ใช้กับสัตว์ เช่น ไก่เหงา เป็นอหิวาต์ หรือนิวคาสเซิล ให้ไก่กิน 2-3 ใบไก่ชนหลังจากการชนแล้วให้กิน 2-3 ใบ (น่าจะประยุกต์ใช้กับสัตว์อื่น ๆได้)
13. สตรีหลังคลอด รับประทานวันละ 1 ใบรับประทานทุกวันจะทำให้ฟื้นสุขภาพได้เร็ว

อนึ่งการรับประทานหรือกินใบสมุนไพร ให้กินก่อนอาหารเสมอ

ขอขอบคุณ คุณทศทิศแก่นสุข ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลโดยละเอียดของสมุนไพรฮว่านง็อก


ข้อมูลจาก หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2546 ปีที่ 15 ฉบับที่ 309 หน้า 32
เล่าขานตำนานว่าน
สมุนไพรมาแรงฮว่านง็อก (HOAN-NGOC)




5647
เยี่ยมครับ พรุ่งนี้ อาจได้เจอกัน  ;)

5648
กำ ....จะไปหาจากไหน อะครับ แต่ยังไงก็อยากได้เหรียญ 19 นะคร๊าบ 5555555 ^ ^''

5650
 :) ?ตามตำนาน ตี๋ใหญ่เป็นศิษ หลวงพ่อสุดแห่งวัดกาหลง ?แต่สำหรับ ท่านอื่น ผมไม่รุ้ครับ หลวงพ่อสุดแน่นอน

5651
 :) งามแต้ๆเน้อ....

5652
พี่สิบทัศออน msn กี่โมง ครับ 

5655
โหเยี่ยม ครับ มีมาก กว่า ผมอีกครับ ดีๆทั้งนั้นเลย ....ผมก็คนคบน้อย ครับ ....แต่มีน้อยกว่าพี่อีก  ^ ^''

5656
อะครับ ดี มากๆเลย ครับ ....แต่ผมไม่เคยเห็นอะครับ .....ขอบคุณครับ ที่เอามาให้ ชม

5658
หลวงพ่อเติม (พระครูนวการโสภณ) อดีตลองเจ้าอาวาส วัดไร่ขิง ผู้ปติบัติดี มีลูกศิษลูกในพื้นที่ ให้ความเคารพ ท่านได้ดำรงตำแหน่งลองเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และได้ช่วย พัฒนาวัดไร่ขิง และวิชาอาคม ที่น่าศรัทธามากครับ หลวงพ่อได้ออกวัตถุมงคล ทั้งในนามของท่าน และ ของวัดครับ เช่นล็อคเก็ต พระผง ซึ่งหาได้ยากมากครับ ในปัจจุบัน 

5659
 :o โหอะลังการงานสร้างครับ สุดยอด

5661
เยี่ยมครับ ขอบคุณครับ

5663
 ;) ขอบคุณครับ สุดยอดมากเลย ครับ .....หลวงพ่อเปิ่นเป็นเทพเจ้าแห่งวัดบางพระจริงๆครับ 1 ในเกจิอาจารย์ จ. นครปฐม ที่ดีๆ อีก 1 รูป ครับ สุดยอด ผมโชคดีจังเลย ที่เกิดมาเป็นคน จ . นครปฐม ครับ

5664
 :)  สุดยอดมากเลย ครับพีน้อง อยากมีใว้สักองค์จัง

5666
มีแต่ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วได้ปะครับ 5555555(ผมล้อเล่น ครับ)  ไม่มี ครับ  ;)

5667
แหล่ม เลย ครับ เยี่ยมมมมมมมสวยงาม ( อย่าเอาไปแทงใครนะครับ)  ;D

5668
เยี่ยม ครับ แหล่มไปเลย

5670
ขอบคุณครับ ....... :) งานมีเดือนหน้านี้ ครับ วันที่ 17-25 เมษา ครับ ........ มาเที่ยวได้ครับ ... ไงมาเที่ยวด้วยกันก็ได้นะครับพี่ ?^ ^''

5671
 ;D สุดยอดไปเลย ครับ ...........เยี่ยม ......

(เอ่อ พี่สิบทัศ ครับ ......ผมมีเรื่องรบกวนอีกอย่างอะครับ ..... ผมอยากได้ข้อมูล หลวงพ่อวัดไร่ขิง รุ่นสิริมหามงคลรุ่นล่าสุด อะครับ ขนาดผมเป็นคนไร่ขิงแท้ๆ ยังไม่รู้เลยอะครับ ว่ามีท่านใด มาพุทธาพิเศก บ้าง ถามใคร ก็ๆ ไม่มีใครรู้อะครับ ถ้าพี่รู้ช่วยตอบหน่อยนะครับ ) ขอบคุณ ครับ ...

5672
นำมาให้ดูนะครับ ........แบบปลอม ทั้งพระ ทั้งกล่อง ก็มี ครับ


ระวังใว้ .....มาทั้งกล่องเลย ..... :o

5673
น่าจะได้นะครับ ........ เดี๋ยวรอถาม ท่านอื่นดูดีกว่านะครับ  ;)

5674
 ;) ไม่รู้ครับแต่สวย ครับ

5675
ไม่ต้องเมลล์ หลอกครับ มีไร คุยกันในนี้ ถามกันในนี้เลย ครับ /พี่ๆน้องๆ ชาวเวปวัดบางพระใจดีทุกๆคนครับ พล้อม ตอบปัญหาเสมอ ครับ

5676
ใช่ครับ หลวงพ่อเปิ่น ดีทุกรุ่นครับ ....เกจิจังหวัดนครปฐม เยี่ยมทุกท่านครับ

5677
คาถา มหานิมยม (หลวงพ่อแก้ว)
ตั้งนะโม 3 จบ นึกถึงพระรัตนตรัย อันเป็นที่ตั้ง ....

ภะคะวัมปิ จะ มหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทาม ตัง สะทา ภะคะวัมปิ จะมหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทิมหิ อะหัง วันทามิ ตังสะทา ภะคะวัมปะติ เอตัง คุณัง โสตถิ ลาภัง ภะวันตุ เม

ต่อไป คาถามหาอุต (ของหลวงพ่อศุข พระครูวิมลคุณากร)
นะโม 3 จบ ถึงพระรัตนตรัย เป็นที่ตั้ง

อะระหัง พันเกสา ภะคะวา พันอาวุธ พระพุทโธ อุด พระธัมโมอุด พระสังโฆ อุด

พระเจ้าห้ามอาวุธ? ? ? ? อุดด้วยพระพุทโธ
พระเจ้าห้ามอาวุธ? ? ? ? ?อุดด้วยพระธัมโม
พระเจ้าห้ามอาวุธ? ? ? ? ?อุดด้วยพระสังโฆ
พุทธง เพชร คงหนัง
ธัมมัง? เพชร คงหนัง
สังฆัง เพชร? คงหนัง
ตรี? ? ?เพชร คงหนัง
พุทธังปิด? พระเจ้าแผลงฤทธิ์ ปิดด้วยพุทธัง
ธัมมังปิด? ? พระเจ้าแผลงฤทธิ์ ปิดด้วยธัมมัง
สังฆังปิด? ? พระเจ้าแผลงฤทธิ์ ปิดด้วย สังฆัง

คาถาผจญศึก (ของหลวงพ่อเดิม ) พระครูนิวาสธรรมขัน
เช่นเดียวกันกับทุกบท นะโม 3 จบ และนึกถึงพระรัตนตรัย


นะโม พุทธายะ มะ
นะโม ธัมมายะ อะ
นะโม สังฆายะ อุ

เวลาใช้ คำที่ลงท้าย มะ ให้นึกถึงพระพุทธ?
อะ ให้นึกถึงพระธรรม
อุ ให้นึกถึงพระสังฆังคุณ

(((((((((((((((คาถาที่กล่าวมาทั้งหมด นี้ รวบรวมโดย พระครูวินัยธรธนากร จากหนังสือพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ))))))))))))))

พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อ 1 กันยายน 2520

สาธุ ขอให้ทุกท่านโชคดี มีความสุข

5678
เยี่ยมครับบบบบบบบบบบบ ข้าพเจ้า ขอคาราวะ

5679
 :) ดีครับ กระเบื้อง นั้นสุดยอด .....ปืนยิงมิออก ครับ ........

5680
คาถา  นะฤาชา ของ หลวงพ่อสำเนียง (พระครูสถาพรพุทธมนต์)
นะโม 3 จบ นึกถึง พระรัตนตรัยอันเป็นที่ตั้ง

นะฤาชา กุติยะ ปัญจะฤา โสพะกัญจะ สะวะรัง วะรัง ฐามาหันตา มามามิหัง กะรีณี อักขะรานิ ขาตานิ
อุณาโลนาถัง เพชรตัง โหติ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ สัตตุโน พุทโธ


5681
เยี่ยม ครับ .....พี่สิบทัศ ....ส่วนมาก วัดไร่ขิง ทุกๆปี จะสร้าง พระเครื่องหลวงพ่อวัดไร่ ขิง ครับ ...โดย ทุกปี จะนิมน พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง
มาทำพิธีพุทธทาพิเศก ทุกปี ครับ .... สมัยก่อน จะปิดโบส และ ปลุกเศกกันในโบส ครับ .....

5682
ไม่ได้มีเจตนาโอ้อวดนะครับ ......เพียงแต่ รุ่นนี้ปลอมเยอะ มากๆ ครับ ปลอมแบบ มีกล่อม จากวัดก็มี ครับ ....
ส่วนมาก บางรุ่นที่สร้างน้อย คนที่มีต้องเป็นคนในพื้นที่ เก่าแก่ จิงๆ ครับ ..... (ใครคิดเก็บรุ่นนี้ระวังหน่อย ครับ)
ที่เห็นเยอะ ก็คงเป้นแบบกรรการ ที่มาการลงรักสีดำ ....ที่เขาทำเนียนจิงๆ ....ส่วนแบบธรรมดา ......เอามาเทียบดูง่าย ครับ

5685
พระสมเด็จหลวงพ่อวัดไร่ขิง ...พ.ศ.2514 นั้น จิงๆ แล้ว สร้างเพียงแค่ไม่กี่องค์ ครับ ...... ซึ่งปลอม เยอะ มากๆครับ ........(ผมมีตัวอย่างแบบ ให้ดูครับเพื่อเป็นแนวทางศึกษา ครับ )

5686
มีคาถา มาฝากครับ ......... คาถา มหาอุต ของหลวงพ่อเต๋ คงทอง แห่งวัดสามง่าม ครับ

นะโม 3 จบ? ตั้งจิตใจให้มั่น นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์?

นะอุด โมอัด พุทยัดใว้ ปิดติพาคา พุทธะสังมิ อะนิทัสสะนะ อัปปะติ อัดด้วยนะ


คาถาคงกระพัน(หลวงปู่เผือก (พระครูธรรมโกศล)
นะโม 3 จบ นึกถึงพระรัตนตรัย

นะ อิ เพชรคง? ? ? ? ? ? ? ? ? ? อะระหังสุคะโตภะคะวา
โมติ พุทธสังมิ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?อะระหังสุคะโตภะคะวา
พุทธปิ อิสวาสุ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? อะระหังสุคะโตภะคะวา
ธาโส มะอะอุ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?อะระหังสุคะโตภะคะวา
ยะ ภะ อุอะมะ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? อะระหังสุคะโตภะคะวา

คาถาจะสำเร็จได้อยุ่ที่บุญบารมี ของ แต่ละบุคคล สิ่งที่สำคัญ ก่อนใช้ควรยึดมั่น พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใว้ให้มั่น
แล้วก็ทำบุญสร้างกุศลใว้ เพื่อบารมีของตัวเอง .......และควรเมตตา ต่อสัตว์โลก? ไม่ควรนำคาถาไปใช้ในทางที่ผิด

ทุกอย่างมีทั้งคุญและโทษ อยู่ที่ผู้ใช้...หากนำไปใช้ในทางที่ผิด ก็จะเกิดโทษแก่ตัวเอง ...........

(นามาฝากครับ .....) จะเกิดผลหรือไม่ อยู่ที่ผู้ใช้นะครับ ...../ใครมีข้อมูลเกี่ยวกับพระกริ่งองค์นี้บ้าง ครับ บอกกันมั่งเน้อ


5687
รุ่นนี้ มีคนบอกว่า หลวงพ่อเงิน ท่านปลุกเศกให้ด้วยนะครับ ...... ใครมีข้อมูล เพิ่มเติม บอกหน่อย ครับ

5689



นำมาให้ชมนะครับ ไมได้มีเจตนาอวดแต่อย่างใด เพียงแต่อยากให้ชม พระของวัดไร่ขิง อีกพิม ที่สำคัญ เหมือนกัน ครับ

5690
ผมนำพระกริ่ง .....ของวัดไร่ขิง 2516 ซึ่งสร้างน้อยแจกเฉพาะ ลูกศิษย์ ของหลวงพ่อเติม ลองเจ้าอาวาสองค์ก่อน ของวัดไร่ขิง ครับ  (หายากมาก) ..

ใครมีข้อมูล เพิ่มเติม ..... ช่วย บอกที ครับ ......ขอบคุณครับ

5691
เรื่องราคา .....ไม่สูงมากนะครับ .....เหรียญนี้ ...... แต่ที่สำคัญปลอมเยอะ

5692
 :) เท่าที่ผมศึกษา มารุ่นนี้  มีหลายเนื้อนะครับ มีเนื้อนวะ กับ ทองแดง  ... และบล็อคยังมี บล็อค ปั๊ม กับ บล็อค หล่อ ครับ ......
ตอนแรกเหรียญรุ่นนี้ยังไม่ดัง ก็ยังมีที่วัดให้เช่าอยุ่นะครับ .....พอดังขึ้นมา หมดเกลี้ยง คนเริ่มหา และครับ ..... ที่สำคัญมีปลอมเยอะ

เหรียญรุ่นนี้เป็นเหรียญครบรอบอายุ ของหลวงพ่อ ครับ ......

5693
ขอบคุณครับ.......แต่ผมอยากชม เหรียญรุ่นแรก ออกโคดเขมา อะครับ ใครมีมั่งเอ่ย

5694
 :) ดีครับ ......จะแก้ไขข้อมูล และเพิ่มรุปภาพของตัวเรา ..... คลิกตรงชื่อของเรา ตรงซ้ายมืออะครับ
และแก้ไขข้อมูล .....ส่วนรูปที่นำมาลงตรงที่พิม ....ต้องไปหาเวปอัพะโหลดเอาครับ

5695
 ;) สุดยอดเลย ครับ พี่น้อง เหรียญสวยมากๆ   
ส่วนรูปหล่อหลวงพ่อเงิน น่า จะเป็นหลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม แต่ออกวัดวังน้ำขาวนะครับ
(ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยด้วยนะครับ)
กรุที่วัดวังน้ำขาวแตกออกมา พบพระเครื่องและเหรียญ ของหลวงพ่อเงินเป้นจำนวนมากครับ
เมื่อไม่นานมานี้ หลวงพ่อเงิน ออกวัดวังเยอะนะครับ มีทั้งที่ระลึกป้ายแขวน ก็มี ครับ
และหลวงพ่อเหว่า ท่านเป็นพระอุปปัชชา ตอนผมบวชสามเณรครับ หลวงพ่อน่านับถือมากครับ



5696
ใครรู้ .... เหรียญหลวงพ่อพุฒ บ้าง ครับ ช่วยตอบหน่อย ครับ ขอบคุณครับ

5697
ไม่เปงไร ครับ ขอบคุณครับ

5699
ขอบคุณครับ

5701


เหมือนกันครับผมก็ไม่เก่ง...... เหรียญของผมตำรวจให้มาอะครับ ไม่รู้แท้ปะนะครับ

5702
รุ่นที่ ทหารหล่นจากเครื่อง บินแล้วไม่เปงอะไรอะครับ ...... ขอบคุณครับ

5703
มีคนบอกว่าของหลวงพ่อแดง วัดเขาบรรไดอิฐ แต่ไม่ทราบว่าแท้ หรือ ป่าว ครับ

5704

ชัดๆครับ ผมอยากรู้ว่าแท้ปะครับ ขอบคุณครับ .... (แต่ผมไปดูในเวปอื่น ที่เป็นเนื้อนวะ ทำไม่เหมือนกันครับ  คนละบล็อคปะครับ)

5706
ช่วยดูให้หน่อย ครับ สมเด็จทีไหน ครับ แท้หรือป่าว ......ขอบคุณครับ

5711
1.หลวงพ่อเงิน 2. หลวงพ่อพุฒ 3. ที่ไหน ไม่รู้ครับ บอกหน่อย (แท้หรือป่าวครับ ) ขอบคุณครับ

<a href=http://www.uploadd.com/imageUpload/image.aspx?img=BB929CCCD3CS4WWARBEQMM5H4XSE6><img src=http://spic.uploadd.com/2008/C51/small/BB929CCCD3CS4WWARBEQMM5H4XSE601.JPG border=0></a>

5712
แท้หรือป่าวครับ .......ช่วยบอกด้วยครับพระที่ไหน แท้หรือไม่แท้ .......ช่วยหน่อยนะครับ


5713
สุ๊ดยอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

5715
ผมอยากทราบว่า หลวงปู่แผ้วหายจากอาการอาพาธ หรือยังครับ ที่ท่านไม่สบาย ......ไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นยังไง บ้าง ครับ ....แล้วกลับมาที่วัดหรือยังครับ
หากผมจะไปกราบท่าน ....ตอนนี้ยังเข้าไปหาได้อยุ่ใหม ครับ ..... ใครรู้ช่วยตอบหน่อยนะครับ ......ขอบคุณครับ

5718
ถูกต้องครับเยี่ยมยุทธ ครับ

5721
ครับพี่โจรสลัด ...ผมหมายถึง กอดจูบ ลูบคลำ อะครับ 55555 (ถ้าอย่างที่พี่โจรสลัดบอกเป็นปกติครับ จิงทุกๆอย่าง ครับ อิอิ)

5722
วัดคือสถานที่....สืบสานวัฒนธรรม .....เป็นที่ควนให้ความเคารพ.....ควรช่วยกันดูแลรักษา .....แต่จากเหตุการที่ผ่านมา ที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ....มานน่าเศร้าใจสิ้นดี ครับ .... / ตั้งแต่ การขโมยพระ การลักรอบ ขโมยของวัด มานจนถึง ...ลอกทองที่กำลังดังอยู่ขณะนี้ ...แถมไวรุ่นยังเข้าไปจุ๋จี๋กันในวัด แถมยังยึกเป็นที่มั่วสุมเสพยา  ...สลดใจ ครับ ....ขอความกรุณาพี่น้องชาวพุทธทุกท่าน หากเห็นการกระทำของพวกนี้ ....ช่วยกันที ครับ ...ตักเตือน ...สอดส่งดูแล ในวัดที่อยู่ในระแวกบ้านของท่าน ..... ทั้งการไปกอดจู๋จี๋กันในวัด ....ช่วยกันดูๆหน่อยเถอะครับ .... (หากไม่ฟังเปงพวกผมก็คงทืบซะเลย 55555555)   :093: :093: :043: :043: :093: :093: :093: :043: :043: :093: :093: :011:

5723
 :o สุดยอดครับพี่สิบทัศเยี่ยมยุทธ ครับ หากมีเวลาว่างผมจะไปครับ ....สุดยอดจริงๆ ครับ

5724
ขอบคุณครับ เยี่ยม

5725
ทรงพระเจริญ .....ครับ

5726
เยี่ยม ครับ สวย ครับ .... ;)  ทั้งพี่ทั้งน้องเยย

5727
สุดยอดครับ .........ผมมีบุญ จิงๆค รับ  :o ที่ได้เห็น ขอขอบคุณมากนะครับ ที่เอามาให้ชม  สุดยอดเยี่ยมมมม

5729
 :) สุดยอดครับ ทุกๆคนเลย ครับ ที่ตอบปัญหาของชาวเวปวัดบางพระได้ครับ .... ยินดีที่รู้จักทุกๆคนนะครับ ....

5730
สุดยอดครับ ....อยากได้ขุนแผน มากๆ ครับ ^ ^'' ...เหรียญ ก็สุดยอดครับ

5731
ท่านอยุ่ วัดชายนา จ.เพรชบุรี ครับ

5732
สุดยอดครับ ขอร่วมอนุโมทนาสาธุด้วยครับ

5733
ผมสักกะอาจารย์ท่านอื่นมา ....แต่เป้นศิษวัดบางพระเหมือนกัน ไม่ทราบว่า ผมจะครอบครู ที่วัดบางพระได้หรือไม่ ครับ  แล้วสักหมึก.... จะสักน้ำมันได้อีกป่าว ครับ ตรงที่ว่าๆ หลวงพี่อจะสักให้ใหม ครับ ขอบคุณครับ
อาจจะได้เจอกันที่วัดบางพระเร็วๆ นี้ ครับ

5734
 ;) ครับ แต่ผมสัก หมึกแดงอะ แต่มียันต์ พระเจ้า 5 พระองค์ที่เป็นหมึกดำ ไหล่ขวา อะครับ หลวงพี่ญาบอกว่า ...สักสีแดงก็สวย ไมมาสักสีดำอีก แล้วหลวงพี่ญาก็ดูหลังให้ ครับ ..... ผมกะว่า จะสักน้ำมันอะครับ ...ที่ว่างๆๆ  ไม่รู้ว่าสักหมึกแล้ว จาสัก น้ำมันได้อีกหรือป่าว ครับ ?
(เพื่อนผมต้นน้ำอะครับ ศิษย์หลวงพี่นัน ไม่รู้มาน ไปไหนใครเห็นมานมั่งครับ)

5735
 :) สงสัยไม่มีใครรู้ นะครับ ผมตอบให้ ก็ได้ครับ อาจารย์เจต หรืออาจารย์เม้ง อยุ่แถวสามแยกกระจับ ครับ (บ้านโป่ง) เป็นศิษย์ ของหลวงพ่อเปิ่น และหลวงปู่ติ่ง ครับ ...... ท่านใจดีมากๆครับ ใครที่สักกะท่าน ท่านก็มักแจกของ ครับ ท่านเป็นอาจารย์ สายฆาราวาส ที่ดีอีก หนึ่งคน ครับ ..... และเป็นอาจารย์สักผมเอง ครับ
ท่านเป็นคนมีธรรมมะอยู่ในใจ ครับ .... ไม่ได้หวัง เงินหรืออะไร เลย ครับ ค่าครู ก็แค่ 25 บาท แถมใจดีด้วย ครับ ...  ส่วนพระที่สักให้ผมอีกท่านนึง ก็คงเป็น หลวงพี่ญา ครับ อิอิ ......

5736
 ;) สุดยอดครับ หลวงพ่อตัดเป็นพระ ที่ผมนับถือมากอีกท่าน ครับ ซึ่งผมกำลังอยากไปกราบท่าน แต่ไม่รู้ว่าจะไปไงเลย ครับ 
ถึงไม่ได้ไปแต่ใจ เคารพครับ ถ้ามีโอกาศ ผมก็อยากไปกราบสักครั้ง ครับ (เรื่องมหาอุต คงกระพันเมตตา เป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว ครับ มีอีกอย่างนึง ที่ท่านเป็นพระ ที่ น่าศรัทธาอีกรูปนึงของเมืองไทย ครับก็คือ การ ที่ท่านไม่โอ้อวด แถมยังเป็นพระ ที่กิจวัตรดีมากๆอีกนึงรูปครับ ถึงท่านจะดุ แต่ท่านก็เปี่ยมไปด้วยเมตตาครับ หากมีโอกาศ ผมก็อยากไปกราบ สักครั้ง ครับ)

5737
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=misterhong&date=18-11-2006&group=11&gblog=3

มีมาฝากนะครับ ลองเข้าไปดู

5738
โทษทีครับ บรรทัดล่าง มะอะอุ เป็น มะอุอะ นะครับ โทษทีดูผิด   
อีกอย่างครับ เบี้ยแก้ขแงพี่โยคี นั้น งามตามากครับ ........... สุดยอดครับ

5739
 ;) สวยมากครับ ขอชมเชย ดีเยี่ยม ครับบบบบบบบ ขอบคุณครับ ที่นำมาให้ดู

5740
 ;) เยี่ยมทุกเหรียญ ครับ แต่ที่ผมไม่เคยเห็น คงเป็นเหรียญ ลูกเสืออะครับ แปลกดี

สวยครับสวย

นะมะอะอุ
อิติพุทโธ
จะภะกะสะ
นาสังสิโม
อิทะคะมะ
นะมะพะทะ
มะอะอุ

สุดยอดครับ ...........ขอขอบคุณพี่ๆ ที่นำมาให้ดูกันนะครับ ด้วยความคารพหลวงพ่อเปิ่นอย่าสูง
(ส่วนที่ผมแปล หลังเหรียญให้ไม่ได้มีเจตาโอ้อวดแต่อย่างใดครับ เพียงแต่ให้รู้ครับ ว่าคาถาหลังเหรียญนี่สุดยอดครับ ผมไม่เก่งนะครับ ผิดถูกไงขออภัยตรงนี้ด้วยครับ)

5742
ท่านอาจารย์ เม้ง หรืออาจารย์เจต อยู่แถวสามแยกกระจับ บ้านโป่ง ศิษหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระเช่นเดียวกันครับ ...... ใครมีข้อมูล แบ่งบันกันบ้างนะครับ ขอบคุณ ครับ

5744
ดีครับดี เยี่ยม เลย ครับ .................. ;)

5745
ด้วยความเคารพและศรัทธา หลวงพ่อเปิ่นครับ

5746
ร่วมใว้อาลัย

5748
 :'( ขอร่วมใว้อาลัยด้วยครับ ......

5749
สวยดีครับ แต่ผมชอบหมดแหละครับ 5555เมตตา คงกระพัน มหาอุต ชาตรี  จังงัง มหาอำนาจ   ;)

5750
การทำบุญ ที่ดี มี 3 ข้อ ครับ ควรทำควบคู่ไป 1. ภาวนา 2. ปติบัต 3.ทาน  :P

5751
 เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เป็นคาถากรรมฐาน ครับ เป็น คาถาแรก ที่พระอุปปัชชา ให้แต่แรกครับ
ใครเคยบวชคงทราบดีครับ ...ลองไปคิดกันนะครับ  ว่าทุกอย่างล้วนอนิจจา เส้นผม ไม่นานก็หงอก หนังไม่นานก็เหี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่าง ครับ ....ล้วนอนิจจา  ;)   เป็นไปตามกรรม ไม่มีใครหลีกหนีได้ ....แต่เหนือ สิ่งอื่นดี หากยังมีชีวิตอยู่ ควรทำดี ทำบุญ สร้างกุศล ครับ ไม่ว่าจะแขวน อะไร ก็จะคุ้มคอง ครับ .... ถึงไมได้แขวนก็คุ้มคอง ครับ โบราณว่า คนดี ผีก็ยังคุ้ม ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ......(แต่ผมก็ยังชอบของดี อยู่ดีแหละครับ 555)

5752
 :) ไม่ต้องสับสน ครับ ของหลวงพ่อแพ แน่นอน ครับ เพราะเลี่ยมมาจากวัด ดีครับ ดี .....ฟันธง ครับ
หลวงพ่อแพ เป็น พระที่น่าศรัทธา ครับ ไม่ต้อง ห่วง ประสบการณ์ เยอะครับ เกี่ยว กับ ตะกรุด ดอกนี้ รับประกันครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือความทำความดี และปติบัตื ดีครับ ........ ขอให้โชคดีครับ

5753
ผมอยากสอบถามนิดนึงครับ ....ท่านชอบเช่าวัตถุมงคลที่ไหน ครับ วัด หรือแผงพระ (สำหรับผมขอที่วัดดีกว่า ซึ่งแน่ใจว่า ยังไงก็มาจากวัด แถมได้ทำบุญ ด้วย จะใหม่เก่า ไม่เกี่ยว ครับ อยู่ที่ศรัทธา ) :)

5754
 :) เอ แต่ถ้า คนธรรมดา ปลอมตะกรุด และไปทำให้เก่า หละครับ วงการพระ บอกไม่ทราบที่แต่เก่า มีเยอะแยะ
แล้วจะให้ศรัธทาใครดีอะครับ ..... ศรัทธา คนทำปลอมเหรอครับ
ผมเพียงแต่คิดว่าว่า การที่จะศรัทธาวัตถุมงคล ใด  (แน่นอน ครับ ทุกคนก็อยากรู้ ที่มา และอยากจะได้ วัตุถุมงคล ของท่านที่เราศรัทธานั้น แน่นนอน ....  ผมเพียงแต่ไม่ว่าจะเก่าใหม่ ขอให้ได้ของที่ ท่านที่เรานับถือ ก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องรุ่นไหน นี่แหละครับ ความศรัทธา )  ....

5755
 :) ครับ จะเป็นตะกรุดของใครสร้างก็ช่าง ขอให้ใจมั่นศัทธา ก็พอ
 แหล่ม ครับ แหล่ม

5756
 ;D 55555555+++ เต๊ะ เลย นะครับ  (แหล่มเลย)

5757
 :) สุดยอดครับ ผมชอบคำตอบของ เฮียนเทียนเซี่ยงตี้  มากเลย ครับ ใช่ ครับ ไม่มีใครสามารถ ล
บไปได้

5758
ผมอยากรู้ว่า เหรียญหลวงพ่อ เหว่า วัดวังน้ำ ขาว รุ่นแรกใบเสมา หลวงพ่อสร้างเองหรือป่าว ครับ 
แล้ว ใครมีประวัติ ของ พระพอศาลศึกษาการ (หลวงพ่อสงัด วัดบางช้างเหนือ บ้าง ครับ ) เกี่ยวกับประวัติ และประสบการ์ ครับ
ทั้ง 2 หลวงพ่อเลย ใครรู้ช่วยตอบหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

5759
ของหลวงพ่อเปิ่น ผมให้กับเพื่อน หนี คดีไป อะครับ .... ยางไมได้ไปเช่าใหม่ เลย
ไม่ได้ไปนาน มากละครับ .....อยากทราบว่า ที่วัดบางพระ ตอนนี้มีไร มั่ง ครับ ช่วย บอกหน่อย ครับ
ว่าจะไปเร็วๆนี้

5760
 สุดยอดครับ .....ขอบคุณ ครับ ที่บอกเป็นวิทยาทาน ....  เพื่อเป็นแนวทางให้ผมสะสมต่อไปครับ
 ตอนนี้ผมมีของ
1. อ.เอนก วัดปรีดาราม
2. หลวงพ่อตัดวัดชายนา
3.  3 กษัตย์ หลวงปู่แผ้ว +หลวงพ่อจำลอง
4. หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน
แค่นี้แลหะครับ ท่าไง ผมจะเก็บสะสมต่อไปครับ  ผมชอบมากครับ

5761
หลวงพ่อแพ .... ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง แทบทุกด้าน ครับ ... ประสบการณ์เยอะ ครับ
และเด่นทุกด้าน ...... รับประกัน ครับ ดี สุดยอดครับ .... สังขารท่ายยังอยู่ที่วัด ครับ ไม่เน่าไปเปื่อย เหมือนหลวงพ่อเปิ่นเรา ครับ  ....อยู่วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี ครับ ....มีลูกศิษย์ ทั้งชาวไทย และต่างประเทศ ครับ ...

5763
 :) คนที่อชบด่าพระ มักปากเท่ารูเข็ม

5764
สวัดดีครับ ผมมีเรื่อง ที่อยากจะแลกเปลี่ยนความคิดครับ .... ผมเองนั้น ได้ดูหลายๆ กระทู้ ... ปรากดว่าผมเห็นพวก ที่ชอบด่าพระ ไม่รู้จัก ..
กลัวบาปกรรม ไงพระก็คือ พระครับ .... เจงใหม ครับ .... มิสมควรไปว่า  เขาบอกว่า พระ ไม่สมควร สร้างพิธี ปลุกเศกของ ไม่ใช่กิจของสงฆ์
แล้วก็มีคำหยาบ ต่างๆ นาๆ นรกกำลังกินหัวครับ พวกนั้น ..... (ผมมีหัวข้อ ง่ายๆ ครับ ถ้าพระ เจอผู้หญิงจมน้ำ กำลัง จะตาย ท่านจะโดด ลงไปช่วยใหม ครับ  ถ้าโดนตัวผู้หญิง ก็อาจจะต้องอาบัติหนัก ... แต่ถ้ายืนเฉย ผู้หญิง ก็ตาย ก็ต้ :054:องเลือกระหว่าง ศิล กับชีวิต คนครับ ...ก็ควรที่จะยอมแลกศิล กับชีวิต คนดี กว่า ครับ เจงใหม .......การช่วยชีวิต คนถือ เป็นกถศลอันแรงกล้า ...) พระอาจารย์ ที่สอนผมบอกว่า ... คนเรา ไม่ควรไปเงมันมาก  อย่างที่พระพุทธองค์ บอก อย่าตึง เกินไป ก็อย่าหย่อน จนเกินไป ทำอะไรในที่ พอดีๆ และรู้จักสมควร มอสมควร
เอาหละครับ ผมจะกล่าวต่อไป .... สมัยก่อน ช่วงยุคสงคราม พระนั้น มีทั้งการ สอนวิชาเรียนหนังสือ อาคม ...และวิชายุทธ ต่างๆ ปลุกเสกของอาคม เพื่อให้เกิดกำลังใจ  แน่นอน หละครับ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ....แต่ท่านก็ยอมแลกศิล กับการช่วย เหลือคน นี่แหละครับของจิง
....เพราะ ฉะนั้น การช่วยเหลือ มนุษย์ ..... ก็คือ กุศล ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ก็ตาม ครับ ....( ขอเตือน สำหลับพวกท่ชอบด่า พระ นะครับ ... ท่านกำลังทำบาปกรรม อย่างร้ายแรง พระยังไงก็คือพระ ครับ ....หากแต่พระไม่ดีมากๆ ก็มักจะอยู่ในผ้าเหลืองไมได้นาน จะต้องมีเรื่องให้สึก เชื่อผม เหอะครับ ผมเห้นมาเยอะแล้ว)

5766
โทษที ครับ ดูชื่อผิด ครับ

5767
น่าจะเป็น ของหลวงพ่อแพ วัดพิกุล ทอง นะครับ ..... พี่สิบทัศได้มาจากไหนอะครับ ... ถ้าได้มาจากแถวบ้าน
ผมว่าน่าจะเป็นเกจิอาจารย์ แถวบ้านพี่สร้างปะครับ ..... แต่ผมขอเดา นะครับ ผิดถูกไงขอโทษด้วยนะครับ
คล้ายๆ กับ ของหลวงพ่อ แพ วัดพิกุล ทอง ครับ

5768
 ;) และที่วัด สามง่าม มีตะกรุดอะไรให้เช่า บ้าง ครับ ใครรู้ราคา บอกด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

5769
 ;) สุดยอดครับ ..... ผมแขวน แค่ 2 ดอก จะเป็นอะไรใหม ครับ เขาห้ามปะครับ ...ว่าต้องแขวนค่หรือคู่

5771
ขอบคุณครับ ผมก็นับถือ หลวงพ่อเงินเหมือนกันครับ
และ ตอนที่ผมบวชอยู่ช่วงพรรษา ที่ผ่านมาได้ ไปเข้าอารม กรรมฐาน ที่วัดวังตะกู ครับ
ได้เจอ ลองเจ้าอาวาส วัดดอน ซึ่งท่านเป็นหลานหลวงพ่อแช่ม กับ เป็นศิษหลวงพ่อเงินครับ
กิจวัตร ของท่าน หน้านับถือ มาก ครับ เป็นพระเรียบ ง่าย ...มากๆ ครับ เป้นกันเอง มากๆๆๆ ...
ผมนับถือท่าน ครับ

5772
เยี่ยมขอบคุณครับ .....แต่ของผมเป็นเหรียญ 2 หน้า ไม่มีเลข 1 อะครับ แต่เหรียญ หนา ....ไม่ทราบว่าหลวงพ่อแช่ม ใช่ใหม ครับ ....ขอบคุณพี่ 10 ทัศมากครับ แน่นอน จิงๆ

5773
อยากทราบ เหรียญ 2หน้า หลวงพ่อเงินหลังหลวงพ่อแช่มปี 16 ว่า หลวงพ่อเงิน สร้าง หรือป่าว มีประวัติไง ครับ มีตำรวจให้มา บอกว่า ตอนนั้น เขาแจกตำรวจ นะครับ
ใครมีข้อมูล แบ่งบันกันบ้างนะครับ .....ขอบคุณครับ

5775
ร่วมใว้อาลัย .... . . . . . . . . . . . . . .. .  .. . . . . . . . . . .. ครับ จากเด็กไร่ขิง

5776
ผมว่า สักจรเข้ เอาหัว ทิ่ม ลง ก็สวยนะครับ .....อิอิ ;)

5778
 :) ไม่รู้เหมือนกัน นะครับ ไม่เคยได้ยินเลย - -''

5780
 :) ได้ครับพี่ ..... ยันต์ตะกร้อ เป็นยัน มหาอุต และคงกระพัน ...ของหลวงพ่อสุด แห่งวัดกาหลง ครับ ที่หลวงพ่อใช้อยู่บนเหรียญของท่านครับ.......
เยี่ยมยุทธ .....(ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ )

5781
เจ้าอาวาส วัดไร่ขิง ....... ท่านเป็นพระนักพัฒนา ที่น่าชื่มชม ครับ ประวัติของท่านดีมากๆครับ
เมื่อคืน ท่านได้ลาลูกศิษลูกหาไปแล้วครับ(มรณะภาพ) ..... ข้าพเจ้า ขอแสดงความใว้อาลัยด้วยครับ


5782
ใช่ครับ ยันตะก้อ ยันมหาอุต .......สวยครับ (คนสักนี่แฟนคนโพสเหรอครับ 555)

5783
สวยดีครับ ....

5784
ใครมีข้อมูลของ หลวงพ่อจำลอง ตอนนี้มั่งครับ....ว่าท่านเป็นยังไงบ้าง ......
แล้วเวลาลงรูปภาพทำไงครับ

5787
 ;)ขอบคุณครับ เยี่ยมเลยยยยยยยยยยยยยย

5788
หากเราคลี่ตะกรุด ออกแล้วม้วนใหม่ ตะกรุด ของหลวงพ่อตัดจะเสื่อมปะครับ

5789
ไม่เค่ยดีเจงๆ ครับ

5790
ใครมีข้อมูล เกี่ยวกับงานพุทธาพิเศก ของวัดวังน้ำเขียว บอกกันมั่งเน้อ

5791
และตะกรุดหลวงปู่แผ้ว 3 กษัตย์ รุ่น 1 คือ รุ่น พิเศษฉลอง80 พรรษา รุ่น 2 มหาเศรษฐีเจดีย์ใหญ่ รุ่น 3 ออกหนองพงนกเมื่อเร็วๆมานี้ใช่ป่าวครับ  ใครรู้บอกทีเน้อ

5792
สวัดดีครับ.........มีใครรู้ เกี่ยวกับงานพุทธาพิเศก ที่วัด วังน้ำเขียวกำแพงแสน มั่งครับ ........เกี่ยวกับตะกรุด ไม้ตาลฟ้าฝ่า ..... เห็นออกมาหลายชุดนะครับ และมีพระองค์ใดบ้างมาร่วมปลุกเสก ครับ .....ผมมีตะกรุด ลูกปืนอะครับ ..... ใครู้ตอบหน่อยนะครับ

หน้า: 1 2 3 4 5 [6]