ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกธรรม...๒๕ ส.ค.๕๒...วันเวลาที่ผ่านไป...  (อ่าน 829 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
อายุพรรษาเพิ่มขึ้นทุกปี.....
จากหลวงพี่ เป็นหลวงน้า เป็นหลวงอา เป็นหลวงพ่อ เป็นหลวงลุง
สูงขึ้นทุกปีแต่อายุ ส่วนภูมิธรรมนั้นคงที่มีแต่ทรงไว้และเสื่อมไป
ของใหม่พัฒนาขึ้นช้ามาก หากินอยู่กับของเก่าๆที่เคยได้มา
ทบทวนดูแล้วละอายแก่ใจ สูงขึ้นเร็วแต่วัย แต่ภายในพัฒนาช้ามาก
นับว่าเป็นโอกาศดีของเราที่หลุดออกจากจุดนั้นมาได้
มาใช้ชีวิตอย่างที่เราปรารถนา คืนมาสู่ความเป็นสามัญ
มีเวลาให้กับชีวิต จิตวิญญาณมากขึ้น ทำเพื่อคนอื่นมามากแล้ว
ต่อไปเป็นการกระทำเพื่อตนเองบ้าง ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว
แต่เราต้องเอาตัวเราให้รอดเสียก่อน จึ่งจะไปช่วยคนอื่นเขา
ยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน อีกมากมายในจิตเรา
ที่ยังไม่ได้เข้าไปจัดการ ทั้งที่เห็นแล้วและยังไม่เห็น
พลังจิต ฤทธิ์ อภิญญา กับขบวนการลดละกิเลสนั้นมันคนละเรื่องกัน
ขบวนการลดละกิเลสตัณหานั้น เป็นเรื่องของสติสัมปชัญญะ หิริโอตัปปะ
ส่วนพลังจิตและฤทธิ์นั้นเป็นเรื่องของสมาธิ ซึ่งทำได้ทั้งสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ
คือสมาธิในระบบพระพุทธศาสนาและสมาธินอกระบบพระพุทธศาสนา
สมาธิในระบบพระพุทธศาสนานั้น มีเจตนาเพื่อความดับทุกข์
เพื่อถอนมานะ ละตัณหา ลดอัตตา ฆ่าอุปทาน เป็นบาทฐานของปัญญา
เพื่อยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา รอบรู้ในกองสังขาร คือสติปัฏฐาน ๔
ส่วนสมาธิที่ปฏิบัติเพื่อความอยากมีอยากได้ทั้งหลายนั้น
เป็นสมาธินอกระบบของพระพุทธศาสนา เพราะมีเจตนาแตกต่างกันในการกระทำ.....
 :059:แด่สัมมาสมาธิที่เป็นบาทฐานของวิปัสสนาญาณ :059:
              เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
           รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-กลุ่มยุทธธรรมสัญจร
๒ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๒๒.๒๐ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
ใช่หวังจะดังเด่น  จึงมาเป็นสมณะ
เพียงหวังจะลดละ  ซึ่งมานะและอัตตา
เร่ร่อนและรอนแรม ไปแต่งแต้มแสวงหา
สัญจรร่อนเร่มา  ผ่านร้อยป่าและภูดอย
ลาภยศและสรรเสริญ  ถ้าหลงเพลินจิตเสื่อมถอย
พาใจให้เลื่อนลอย  จิตเสื่อมถอยคุณธรรม
       ปณิธานในการปฏิบัติธรรม

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: บันทึกธรรม...๒๕ ส.ค.๕๒...วันเวลาที่ผ่านไป...
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 21 มี.ค. 2554, 10:08:48 »
พระพุทธภูมิธรรมอันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ


เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูด้วยพระสัพพัญญตญาณ

และทรงทราบว่า ผู้ที่ปรารถนาพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น
พรั่งพร้อมไปด้วย

ธรรมสโมทาน ๘ ประการ มิได้ขาดสักข้อหนึ่งแล้ว ก็จะทรงชี้พยากรณ์โดยนัยว่า

" ( ผู้นั้น ) จักได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า
ทรงพระนามว่าในกัปอันเป็นอนาคตที่ ( เท่านั้น ) "
ดังนี้เป็นต้น

แล้วก็ทรงมีพระโอวาทอนุสาสน์ให้พยายามสร้างสมบ่มพระบารมี
พระโพธิสัตว์เจ้าผู้นั้นก็ได้นามว่า พระนิตยโพธิสัตว์

นับแต่นั้นมา สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์ย่อมยิ่งเพิ่มพูนพระบารมีให้มากยิ่งขึ้นและมีน้ำใจกอปรไปด้วยพระพุทธภูมิธรรมอันยิ่งใหญ่ ๔ ประการ คือ

๑. อุสฺสาโห ได้แก่ ทรงประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในดวงฤทัยอย่างมั่นคง

๒. อุมตฺโต ได้แก่ ทรงประกอบไปด้วยพระปัญญา ทรงมีพระปัญญาเชี่ยวชาญหาญกล้ายิ่งนัก

๓. อวตฺถานํ ได้แก่ ทรงประกอบไปด้วยพระอธิษฐาน
ทรงมีพระอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน

๔. หิตจริยา ได้แก่ ทรงประกอบไปด้วยพระเมตตา
ทรงมีพระเมตตาเป็นนิตย์ เจริญจิตอยู่ด้วยเมตตาพรหมวิหาร
เป็นปกติ




สมเด็จพระนิตยโพธิสัตว์ ย่อมสมาทานมั่นใน
พระพุทธภูมิธรรม ๔ นี้อยู่เนืองนิตย์ทุกพระชาติ
ไม่ว่าจะทรงเสวยพระชาติถือกำเนิดเกิดเป็นอะไร
และในชาติใดก็ย่อมมีพระพุทธภูมิธรรมประจำอยู่
ในดวงหฤทัยเสมอ

http://board.palungjit.com/f14/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-%E0%B9%94-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3-142565.html
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ