๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓
ตถตาอาศรม ริมฝั่งแม่น้ำโขง
ว่างเว้นจากการเขียนบทกวีมานาน จึงขอทบทวนเคาะสนิมเพื่อย้ำเตือนความจำและภาษา
ในฉันทลักษณ์เชิงกวี รักษาไว้ซึ่งคุณค่าความสวยงามของภาษาไทย สืบต่อคุณค่าเชิงวรรณศิลป์
ซึ่งการเขียนบทกวีนั้น บางครั้งอาจจะใช้คำศัพท์เพื่อความสัมผัสตามฉันทลักษณ์ตามหลักของบทกวี
ซึ่งในเชิงกวีจะเรียกกันว่า"กลอนมันพาไป"จึงต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้...
:059:หนาวลมที่ริมหน้าต่าง
สายลมที่พัดผ่าน หนาวสะท้านทั่วทั้งกาย
สายลมสื่อความหมาย บอกให้รู้ฤดูกาล
ยามเช้าที่หนาวเหน็บ จึงขอเก็บมาเล่าขาน
เรื่องราวของวันวาน เล่าให้รู้สู่กันฟัง
ห่างหายและเหินห่าง เพราะไม่ว่างมีเบื้องหลัง
ภาระที่รุงรัง ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
งานหลวงมิให้ขาด และงานราษฎร์ก็ไม่หลวม
เร่งสร้างเพื่อส่วนรวม จารึกไว้ในแผ่นดิน
ศาลาโบสถ์วิหาร นั้นเป็นงานในเชิงศิลป์
ผู้คนได้ยลยิน สืบสานต่อเจตนา
บูชาคุณพระพุทธ สิ่งสูงสุดศาสนา
บูชาพระธัมมา ซึ่งคำสอนสัจจธรรม
บูชาซึ่งพระสงฆ์ ที่ดำรงค์คุณค่าล้ำ
ตัวอย่างที่ก้าวนำ ปฏิบัติกันสืบมา
งานนอกคือก่อสร้าง ทุกสิ่งอย่างต้องเสาะหา
งานในภาวนา สำรวมจิตให้มั่นคง
ไม่ว่างภาระกิจ แต่ดวงจิตไม่ลืมหลง
ยึดมั่นและดำรงค์ ภายในว่างจากอัตตา
ทำงานทุกชนิด เจริญจิตภาวนา
รู้กาลรู้เวลา ว่ากระทำเพื่อสิ่งใด
ขอบคุณสายลมหนาว ให้ตื่นเช้ารับวันใหม่
สายลมอาจเปลี่ยนไป แต่ดวงจิตไม่เปลี่ยนแปลง
ตอบแทนคุณแผ่นดิน ทั่วทุกถิ่นและหนแห่ง
ทำไปตามเรี่ยวแรง ความสามารถเท่าที่มี
สืบต่อศาสนา สืบรักษาซึ่งวิถี
สืบต่อสิ่งที่ดี คือพระธรรมองค์สัมมา
ละเว้นสิ่งมิชอบ ไม่ประกอบซึ่งมิจฉา
มรรคแปดที่มีมา ทางสายเอกให้เดินตาม
เป็นทางมัชฌิมา มีคุณค่าอย่ามองข้าม
ไม่เกินพยายาม ปฏิบัติตามแนวทาง
ธรรมะในยามเช้า จากลมหนาวริมหน้าต่าง
ฟ้าเริ่มจะรางราง เช้าวันใหม่ใกล้จะมา
เช้าใหม่ชีวิตใหม่ ดำเนินไปให้มีค่า
ตามธรรมองค์สัมมา ในทางโลกและทางธรรม
ธรรมะอยู่คู่โลก ลบรอยโศกและรอยช้ำ
เพียงเรานั้นน้อมนำ ปฏิบัติและเดินตาม
ฝากไว้เป็นข้อคิด แต่มวลมิตรทุกผู้นาม
ฝึกใจให้งดงาม เป็นพุทธะ"ปัจจัตตัง"
(ปัจจัตตังคือการรู้ได้เฉพาะตน)
...............................
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะชายขอบ
๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๓ เวลา ๐๕.๓๙ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย