ผู้เขียน หัวข้อ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล  (อ่าน 74313 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:09:08 »
เหล็กไหล คือ ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มี ความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่ มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรงรวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิด ได้อย่างอัศจรรย์นั่นเอง


ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:10:54 »
กำเนิดเหล็กไหล



ย้อนกาลเวลาไปนานแสนนาน ในสมัยอสงไขยแสนกัลป์กาลก่อนโน้น มหาฤาษีกไลโกษฐ์ผู้สำเร็จญาณสมาบัติ เป็นผู้เพ่งฌาณเรียกแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะแข็งตัวได้ หลอมเหลวได้ สลายตัวได้และรวมตัวได้ มีลักษณะเหมือนเหล็กแต่ไม่ใช่เหล็ก ท่านเรียกให้มารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำตั้งแต่สมัยแอตแลนติสซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรือง
สูงสุดในยุคนั้น แต่ได้ล่มสลายหายไปจากแผนที่โลก เชื่อกันว่าทวีปนี้ได้จมหายไปในมหาสมุทรเมื่อคราวน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ และโนอาได้เป็นผู้สร้างเรือใหญ่หนีน้ำท่วม ตามเรื่องราวที่ได้ถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณ

นอกจากนี้ยังมีท่านมหาฤาษีกัสสปและเหล่ามหาฤาษีผู้ทรงฌาณสมาบัติบรรลุ อภิญญาสูงสุด ท่านก็เป็นผู้ที่ได้เพ่งฌาณเรียกแร่ดังกล่าวมารวมกันที่ผนังถ้ำ เพื่อเป็นที่พำนักของวิญญาณ ได้เล็งเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุญาณว่า ภายใต้แผ่นดินนี้ลึกลงไปประมาณ 3 กม. มีแหล่งรวมของธาตุกายสิทธิ์มากมายหลายชนิด หล่อหลอมเหลวปะปนรวมกันอยู่ ในใจกลางโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในโลกวิทยาศาสตร์ ว่า ?ลาวา? นั่นเอง แต่ภายใต้หินลาวาเหล่านั้นมี ?แร่เหล็ก? ชนิดหนึ่งสมบูรณ์ด้วยคุณภาพ และเยี่ยมยอดเหนือกว่าเหล็กชนิดอื่น



มหาฤาษีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา จึงใช้พลังจิตด้วยฤทธิ์อภิญญาของท่านดึงเอาแร่เหล็กดังกล่าวขึ้นมาจากใต้ลาวา อธิษฐานจิตให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์สุดวิเศษ มีอำนาจกายสิทธิ์ มีฤทธิ์ คุ้มครองปกป้องสรรพภัยได้อย่างอัศจรรย์ ดัวยพลังอำนาจจิตชั้นสูงปลุกเสกบรรจุไว้ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ของมหาฤาษี นั้น จากนั้นได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ตัดเหล็กวิเศษออกทำเป็นรูปเคารพของตน เช่น รูปพระอิศวร รูปพระนารายณ์ รูปพระพรหม แล้วอัดพลังเจโตสมาธิหรือพลังฌาณเข้าไปพร้อมกับอธิษฐานให้เกิดความศักดิ์สิทธิ

แต่ก็มีมหาฤาษีบางตนมีศรัทธาแก่กล้า เข้าฌาณเต็มอัตราแล้วถอดจิตหรืออาตมันของตนเองด้วยมโนมัยฤทธิ์ เข้าไปอยู่ในเทวรูปเหล็กวิเศษนั้นเลย ทีเดียว ถือว่าเป็นการสละชีวิตบูชาองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลัทธิความเชื่อถือ ฤาษีตนอื่นเห็นเข้าก็เอาแบบอย่าง เพราะถือว่าเป็นกุศลสูงสุดที่ได้เอาดวงจิตเข้าร่วมปรมาตมันของพระผู้เป็นเจ้าโดย ทางลัด

ต่อมาฤาษีอื่น ๆ เห็นว่าการถอดจิตเข้าในเทวรูปนั้นมีมากแล้ว น่าจะเข้าสิงสู่ในรูปแบบอื่น ๆ ที่จะยังคงขลังและศักดิ์สืทธิ์เหมือนเดิม เพื่อให้สาธุชนได้ไว้สักการะบูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล คุ้มครองป้องกันชีวิตและทรัพย์สมบัติ

ดังนั้นฤาษีผู้บำเพ็ญญาณอื่น ๆ ที่บำเพ็ญบารมีถึงขั้นพรหมในถ้ำต่าง ๆ จึงได้ถือเป็นแบบอย่างสืบทอดกันมา ก็จะทำการเพ่งฌาณเรียกเอาแร่ธาตุกายสิทธิ์ดังกล่าวให้ไหลมารวมตัวกันเป็นสังขารอมตะ สำหรับวิญญาณซืมสิง เมื่อกายเนื้อได้แตกดับทำลายลงไปตามกาลเวลา ด้วยเหตุนี้ตามถ้ำต่าง ๆ จึงมีเหล็กไหลซุ่มซ่อนแฝงเร้นกายสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

นับได้ว่าเป็นต้นแบบของเหล็กไหลที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก จนในกาลต่อมาได้เป็นคติ นิยมสืบทอดกันมาในทางพระพุทธศาสนา ที่ผู้สำเร็จฌาณอภิญญาชั้นสูง นิยมถอดจิตตนเองด้วยวิธี มโนมยิทธิ เข้าสิงในรูปปั้นพระพุทธปฏิมากร แล้วอธิษฐานให้พระพุทธรูปนั้นลอยไปตามน้ำ เห็นสถานที่ใดเหมาะสมที่จะให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา ชาวบ้านก็จะทำพิธีบวงสรวงชักลากขึ้นไปสักการบูชาได้สำเร็จ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อทอง เป็นต้น

เหล็กไหลนี้จึงเปรียบได้กับร่างกายของท่านมหาฤาษีทั้งหลาย ที่มีวิญญาณอันเป็นอมตะของท่านมหาฤาษีครองอยู่ จึงได้เกิดอภินิหารเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง จนบางครั้งมีผู้เรียกขานกันว่า ?ธาตุกายสิทธิ์?>>

ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:14:00 »
เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์



คำว่า"ธาตุกายสิทธิ์"นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซืมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้าแล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มา ใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า ?เหล็กไหล? จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้

1.ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น

2.ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่าง ๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี

3.ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่าง ๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่าง ๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช

4.ปรอท หรือธาตุอื่น ๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่าง ๆ ได้

ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุ กายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุ กายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า ?เหล็กไหล? ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่าง ๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้

เหล็กไหลมีหลากหลายชนิด ลักษณะเป็นเนื้อโลหะสีมันวาวสะท้อนแสงได้ดี แข็งมีน้ำหนักเหมือนโลหะทั่วไป สนิมไม่กินเนื้อ มีพลังอำนาจในตัว ทางธรณีวิทยาเราจัดเป็นแร่ ประเภทหนึ่ง แต่ คนโบราณได้ค้นพบธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ขึ้นมา โดยการอนุมานจากอนุภาคธรรมชาติ ที่แสดงตนออกมาตามสภาพที่พบเห็นแล้วเรียกมันว่า ?เหล็กไหล? เช่น ยืดได้หดได้ด้วยตนเอง ไหลยืดออกมาเป็นทางยาว ดับความร้อนได้ ชอบกินน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ทำลายฟอสฟอรัสหรือหัวไม้ขีดให้หมดสภาพไปได้ คือจุดไม่ติด เมื่อมีการทดลองให้ประจักษ์แก่สายตาในอิทธิ์ฤทธิ์ปาฎิหาริย์ จึงทำให้เกิดมีความปรารถนาและมี ความต้องการสูง มีการติดต่อซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้างสูง คิดตามน้ำหนักเป็นบาทหรือเป็นชิ้นเป็นองค์ในราคาหลักร้อยล้านกันขึ้นไป

ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่ ? เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่ ? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มี ประสพการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน ?เหล็กไหล? ที่เล่าขานที่สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน บางครั้งก็มีผู้ขนานนามว่า ?ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี?


>>
ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี

พระแม่นางธรณีเป็นผู้รักษาแผ่นดินโลก และสิ่งที่เป็นของแข็งอยู่ในโลกเรานี้จึงได้ถูกเรียกว่า ?ธาตุดิน? ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงจัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นมาจากธาตุ ของ ?พระแม่นางธรณี? นั่นเอง ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกในหลายศตวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดย่อมก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของแร่ธาตุต่าง ๆ ตามกฎของธรรมชาติ

เหล็กไหลประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ตามป่าเขา ตามถ้ำจึงได้เริ่มปรากฏตัวสู่โลกภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนเหล็กไหลที่เกิดจากปล่องภูเขาไฟระเบิด ตัวแร่เหล็กไหลจะอยู่ ใจกลางก้นบ่อของภู เขา และจากความร้อนแรงที่หลอมละลายอยู่ภายใจกลางโลก จึงทำให้แร่ธาตุต่าง ๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดการไหลรวมตัวกับแร่ธาตุอื่น ๆ อีกหลายชนิด

ธาตุเหล็กไหลนี้จัดได้ว่า มีชีวิตจิตวิญญาณ และเป็นธาตุกายสิทธิ์ ด้วยว่ามันมี พลังงานอยู่ ในตนเองสูงมาก พลังงานนี้จะเทียบเท่ากับน้ำหนักหรือแรงกด เหมือนกับสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ จนบางครั้งยกไม่ขึ้น หรือยกขึ้นไม่ไหว นี่แหละคือคุณค่าพิเศษของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ จึงจัดเป็นธาตุที่หาได้ยากมาก จะอยู่ตามถ้ำ ตามหน้าผา หุบเขา หรือภูเขา บางครั้งเราเรียกกันว่า ?ธาตุน้ำนมของพระแม่นางธรณี? ด้วยเกิดจากสิ่งหลอมเหลวภายในโลกนั่นเอง จึงเปรียบเสมือนเลือดน้ำนมในอกของพระแม่ นางธรณี

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้พลังงานจากธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดอันเกิดจากแร่ธาตุธรรม
ชาติ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ และอีเล็คโทรนิค

ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลก็เช่นกัน เมื่อคนเราได้ค้นพบพลังงานอันมหาศาลที่ ซ่อนเร้นอยู่ จึงกลายเป็นของที่ทุกคนสนใจใคร่แสวงหากัน และจะหาธาตุเหล็กใดในโลกนี้บ้าง ที่มีพลังลึกลับอันมหัศจรรย์ซ่อนเร้นอยู่ในตัว เพราะเป็นพลังที่พิสดารจากธรรมชาติ เนื่องจากธาตุเหล็กธรรมดา ถ้าสัมผัสพลังดูแล้วจะรู้สึกว่าธรรมดา แต่ถ้าเป็นเหล็กไหลจะรู้สึกถึงพลังอันหนักหน่วง มีน้ำหนักมากจนรู้สึกได้

การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น

การสัมผัสด้วย ?ญาณ? จากผู้มีบารมีธรรมแต่ละคนนั้น ย่อมจะต้องได้คำตอบถึงคุณลักษณะของเหล็กไหลที่ตรงกัน พลังของเหล็กไหลนั้นรุนแรงมาก จนผู้ทดสอบพลังต้องคลายมือออกจากเหล็กไหลนั้น เพราะจะรู้สึกจุกแน่นหน้าอก เหมือนถูกพลังอันหนักหน่วงโถมใส่จนรับไว้ไม่ไหว จำเป็นต้องคลายสมาธิ โดยฉับพลัน ก็พลังนี้แหละจะสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของคนเราได้ มองเห็นต่างหูต่างตาแทนเราได้ จึงทำให้วัตถุ มงคลเหล็กไหลเหมือนมีชีวิตจิตวิญญาณ

ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:15:08 »
ต้นตำนานเหล็กไหลในยุคปัจจุบัน



เรื่องราวความเป็นไปของเหล็กไหล ค่อนข้างสลับซับซ้อนและยากต่อการเสาะแสวงหา นอกจากการชี้แนะของ ครูบาอาจารย์ รุ่นก่อน ๆ ที่ท่านได้ศึกษาและมีประสพการณ์ โดยเฉพาะตำนานเหล็กไหลเหล่านี้ ได้รับการบอกเล่าสืบทอดกันมาด้วยวาจา จนเมื่อ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดถ้ำแฝด อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ได้เปิดเผยเรื่องราวอันมหัศจรรย์นี้จากการบอกเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณ ถ่ายทอดจากประสพการณ์ ออกเผยแพร่เป็นตำนานเรื่องเล่าขาน



จนพระอาจารย์ สิทธา เชตวัน นักเขียนนวนิยาย และเรื่องราวที่ ลี้ลับทางจิตอภิญญา ผู้มีบารมีธรรมและญาณหยั่งรู้ชั้นสูง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเพศบรรพชิตที่ กำลังแสวงหามรรคผลในปัจจุบัน ได้เคยกล่าวถึงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้ว่า

?พระธุดงค์ส่วนใหญ่ท่านจะแสวงหามรรคผลนิพพาน แต่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ไม่ เอาอย่างนั้น จะเอาเหล็กไหลลูกเดียว ช่างกล้าหาญชาญชัยถึงปานนั้น"

เพราะผู้ที่จะรู้เรื่องราว ?เหล็กไหล? ส่วนใหญ่จะเป็น พระเกจิอาจารย์ผู้ผ่านการวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นผู้ทรงญาณเก่งกล้าในพุทธาคม จึงจะมีโอกาสได้สัมผัสหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ตลอดจนมีเหล็กไหลบางประเภทอยู่ในครอบครอง

หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านศึกษาเรื่องเหล็กไหลมาจาก หลวงพ่อดี วัดพระไต นครเวียงจันทร์ ประเทศลาว อายุ 90 ปีเศษ แต่ยังแข็งแรงเหมือนคนอายุ 60 แต่ท่านเชี่ยวชาญในเรื่อง เหล็กไหลไพรดำ เล่นแร่แปรธาตุ ได้ชวนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ศึกษาเรื่องเหล็กไหล โดยออกธุดงค์ไปทาง ภูเขาควาย เข้าไปถึงเขมร และญวน จนได้รับความรู้เป็นอย่างดี จึงย้อนกลับประเทศไทย ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาจากเหนือจรดใต้ของประเทศ ทำให้ท่านได้ประสพการณ์เรื่องของ ธาตุกายสิทธิ์ และเหล็กไหลมากมาย

ดังนั้นเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้หาใช่จะยึดเป็นตำราได้ไม่ เพียงแต่เป็นเสี้ยวหนึ่งของประสพการณ์จากครูบุรพาจารย์ในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ประกอบการศึกษาและหาทางพิสูจน์กันต่อไป

?เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามเป็นบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดเป็นวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา? ดังคำพังเพยของคนโบราณที่ได้ให้ข้อคิดสะกิดเตือนลูกหลานเอาไว้ ไม่ให้สนใจในเรื่องเหล่านี้

เพราะเป็นช่องทางหากินของเหล่ามิจฉาชีพ ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงแบบ 18 มงกุฎ ใช้ไสยศาสตร์และมายากลหลอกลวงหากินต้มประชาชน ผู้รู้ไม่ทันก็จะเสียเงินเสียทองเป็นจำนวนมากได้



ฤาเป็นเรื่องที่เบื้องบนต้องการเปิดเผยความเร้นลับของ เหล็กไหล นี้กันแน่ เพราะเมื่อ 30 ปี ก่อน ทันตแพทย์วิชิต ตริชอบ ได้เปิดเผยเรื่องราวของเหล็กไหลในแง่ การผจญภัย และพิธีกรรมตัดเหล็กไหล ผ่านทางนักเขียนนามอุโฆษ ?พนมเทียน? ในหน้าหนังสือพิมพ์ ?เดลินิวส์? ทำให้คนอ่านทั่วประเทศติดกันงอมแงมทีเดียว

เคยมีคนถามคุณหมอวิชิตว่า ?เหล็กไหลมีจริงหรือเปล่า? คำตอบก็คือ ?ผมได้เห็นเหล็กไหลจริง ๆ ดังที่ได้เล่าไว้ในหนังสือเรื่อง เหล็กไหลทั้ง 4 เล่มนั่นแหละ แต่ไม่ กล้ายืนยันว่า เหล็กไหล ที่แท้จริงมีอยู่ในโลกนี้จริง ๆ หรือไม่ มันยังอึมครึมลึกลับอยู่?

เพราะอาจจะเป็นมายาศาสตร์ชั้นสูง ที่ผู้สำเร็จญาณสมาบัติชั้นสูง หรือสำเร็จอภิญญาใช้ฤทธิ์อำนาจสะกดจิตให้เห็นตามที่ต้องการ หรือใช้มายากลระดับเซียนเหยียบเมฆ เพราะเหล็กไหลที่ตัดมาทั้งหมดนั้น ในที่สุดก็ได้ล่องหนหายไปอย่างลึกลับเช่นกัน

แม้ในปัจจุบัน เรื่องราวของการใช้มายากล ในผู้ที่แอบอ้างเป็นพระสงฆ์ ก็ยังมีอยู่ให้เห็นเป็นข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้เช่นกัน การที่อวดแอบอ้างเป็นผู้มีฤทธิ์อภิญญา ใช้ทีมงานร่วมมือกันหลายคน แสดงการปรากฏตัวของ ?เปรต? การเคลื่อนย้ายวัตถุข้ามมิติ การย่นระยะทาง เสกเรียกของกลางอากาศ แล้วทำไมจะใช้ขบวนการสร้างเรื่องราวของเหล็กไหลให้ดูพิสดารสมจริงไม่ได้

เรื่องราวของตำนานเหล็กไหลในที่นี้ เป็นข้อมูลที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ได้รับมาจากครูบาอาจารย์หลายท่านด้วยกัน ที่เหมือนกันก็มี ที่ขัดแย้งกันก็มี ตามภูมิความรู้ภูมิธรรมของแต่ละท่าน ตลอดจนประสพการณ์จากการปฎิบัติและศึกษาจากของจริงตามป่าตามเขามานานนับสิบปี>>

ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:17:01 »
ประเภทของเหล็กไหล

ธาตุศักดิ์สิทธิที่เราเรียกกันว่า ?เหล็กไหล? นี้ พอจะแบ่งแยกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน

1.ธรรมธาตุ กำเนิดของเหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากจิตของเทพพรหมในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งเป็น ?อรูปพรหม? ที่ปรารถนาจะมาช่วยรักษาพระพุทธศาสนา จึงได้ลงมาบำเพ็ญฌาณในมนุษย์โลก ได้เข้ามาสัมผัสเข้ากับกลิ่นอันโอชะของง้วนดิน ที่เป็นธาตุ บริสุทธิ์มาแต่เดิม แล้วเกิดติดใจในความโอชาของง้วนดินเข้า เมื่อเสพแล้วก็เลยหาที่พักพิงอาศัยอยู่ ตามเงื้อมเขา ตามถ้ำอันสงบ เป็นอยู่อย่างนั้นตามสภาพของจิต ล้านปีบ้าง แสนปีบ้าง หมื่นปีบ้าง ร้อยปีบ้าง หนึ่งปีบ้าง

เมื่ออัธยาศรัยของจิตเริ่มเกาะรูปธรรม จึงได้เนรมิตรธาตุบริสุทธิ อันประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยการเนรมิตรเอาด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ขึ้นมาประกอบเป็นเรือนกาย ฝังตัวอยู่ในก้อนธาตุเหล่านั้น อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นเพศผู้ก็มี เพศเมียก็มี อยู่โดดเดี่ยวก็มี เป็นคู่ก็มี เป็นกลุ่มก็มี มีรังอาศัยอยู่ก็มี ที่ไม่มีรังอาศัยอยู่ก็มี โดยปกติแล้วปีหนึ่ง ๆ ประมาณเดือน 5 ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จะออกหาเสพง้วนดิน

แต่ในสมัยปัจจุบันโลกมนุษย์ของเรา ผิวพื้นโลกไม่มีความสะอาดเพียงพอ จึงไม่มีง้วนดินอยู่ ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จึงต้องอาศัย เสพน้ำผึ้งแทนเฉพาะในเวลากลางคืนโดยอาศัยป่าเขาต่าง ๆ ซึ่งบางคนอาจจะเคยพบเห็น

ลักษณะการเคลื่อนที่ของธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ จะปรากฏเป็นดวงกลมใหญ่ เล็ก ลอยออกจากหน้าผาหรือถ้ำ ออกไปจับรังผึ้งตามต้นไม้ บางดวงก็ลอยหายไปในโพรงไม้เพื่อกินน้ำผึ้งโพรง บางดวงก็ลอยหายไปใต้พื้นดินเพื่อกินน้ำหวานของแมงขี้สูตร

ถ้าผู้พบเห็นมีความสามารถพิเศษ ก็สามารถเชิญเขามาสนทนาได้เช่นกัน แต่ถ้าต้องการที่จะครอบครองของสิ่งนี้ ต้องมีวาสนาบารมีสั่งสมร่วมกันมาตั้งแต่อดีต หรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม จิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ถึงพร้อมพรหมวิหารธรรม เจตนาเป็นกุศลจิต ก็อาจทำพิธีอัญเชิญท่านให้ปรากฏตนออกมา เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ทรงคุณธรรมทั้งฝ่ายฆราวาสและบรรพชิตที่ประสงค์จะช่วยกัน สืบพระศาสนาขององค์พระศรีศากยมุณี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาแต่อดีตชาติ แล้วได้จุติลงมาเป็นมนุษย์

เทพพรหมเหล่านี้มุ่งการบำเพ็ญบารมีทำความเพียรจนเข้าถึงอริยสัจจธรรม เพื่อที่จะได้น้อมนำชีวิตอุทิศตนเอง ถวายเป็นพุทธบูชาเสริมสร้างบารมีของตน จนเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า และจรรโลงกอบกู้อุปถัมภ์ค้ำชู พระพุทธศาสนาที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งธรรม

ดังนั้นฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลชนิดนี้จะสูงกว่าธาตุกายสิทธิ์ทุกประเภท สามารถทำปฏิกิริยาต่อเชื้อปะทุทุกชนิดและศาสตราวุธต่าง ๆ ให้หมดอานุภาพได้ เมื่อเทพนั้นมีความประสงค์จะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดู หรือเพื่อคุ้มครองรักษาเจ้าของเหล็กไหลนั้น คือจะแสดงฤทธิ์ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังล่องหนหายตัวได้เมื่อต้องการ โดยการสลายรูปธาตุทั้งสี่ให้เป็นอรูปธาตุ (วิญญาณธาตุ) แล้วประกอบขึ้นใหม่ได้ และเมื่อยังไม่ประกอบรูปธาตุก็จะยังไม่กินน้ำผึ้ง ต่อเมื่อประกอบธาตุแล้วจึงจะกินน้ำผึ้ง และต้องเป็นน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์อีกด้วย

ลักษณะพรรณสัณฐานของเหล็กไหลประเภทนี้มีหลายรูปแบบ เช่น รูปไข่ กลมรี ครึ่งซีก ทรงกลม หนำเลี๊ยบ รักบี้ เป็นต้น เพราะมองดูเผินจะมองไม่ออกเลยว่าเป็นเหล็กไหล เพราะเหมือนก้อนหิน ก้อนกรวดธรรมดา ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล ที่เป็นธรรมธาตุนี้ แต่ละองค์จะมีนามของตนเองโดยเฉพาะ จะต้องสอบถามนามของท่านเอาเอง

ยุคสมัยปัจจุบันมีผู้ตั้งค่านิยมของ ธาตุกายสิทธิ์ ไว้สูงมาก จนเกิดการทุ่มเทติดตามหาวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้อย่างจริงจัง จนหลายคนหมดเงินหมดทองไปเป็นจำนวนมาก แต่มีน้อยรายที่จะพบกับความสำเร็จ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ความเป็นมาของธาตุวิเศษเหล่านี้ รวมทั้งขาดบุญวาสนาอีกด้วย พึงตระหนักอยู่เสมอว่า สิ่งใดมีคุณอนันต์ ก็ย่อมเกิดโทษอันมหันต์ได้เช่นกัน

2.ธาตุสำเร็จ เหล็กไหลชนิดนี้เป็น ?รูปธาตุ? มีแต่เพียงจิตครอง ไม่มีวิญญาณครอง เกิดจากฤทธิ์อำนาจของเทพระดับต่ำลงมาในระดับ ?รูปพรหม? โดยเมื่อครั้งในอดีตได้เคยบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชีไพรจนสำเร็จรูปฌาณ แต่ด้วยบุพกรรมและความปรารถนาบางอย่าง จึงได้ลงมาสู่โลกมนุษย์ในลักษณะเป็นก้อนธาตุสำเร็จ รูปทรงต่าง ๆ กัน ที่เป็นเหมือนโลหะธาตุก็มี เหมือนแก้วใสก็มี สถานที่ อยู่ของเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ภายในถ้ำที่มีความสะอาด เย็น หรือชื้นแฉะ ธาตุเหล็กไหลประเภทนี้ไม่สามารถล่องลอยไปหาน้ำผึ้งกินเองได้ จะต้องอาศัยวัตถุธาตุที่เป็นสื่อเป็นสะพานนำไป โดยการไหลไปตามพื้นดิน ผนังถ้ำ หรือ หน้าผา

หากสถานที่นั้นไม่มีผึ้งทำรังอยู่ นานวันเข้าเหล็กไหลก็จะเคลื่อนย้ายเปลี่ยนที่ อยู่ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จะมีการขับถ่ายของเสียออกมา ซึ่งเรียกกันว่า ?ขี้เหล็กไหล? เมื่อถ่ายมูลเสร็จจะกลับเข้ารังต่อไป

สำหรับเหล็กไหลประเภทนี้มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับธาตุกายสิทธิ์ประเภทแรก เพราะเป็นการประกอบธาตุให้ถูกส่วนของผู้มีวิชาแก่กล้าทางโลกียฌาณ คือ ฤาษี ชีไพร คนธรรพ์ วิทยาธร เป็นต้น แต่ไม่สามารถคุ้มครองตัวเองได้ เพราะถ้าเจอะผู้มีวิชาอาคมที่ แก่กล้า จะถูกทำลายหรือแย่งชิงได้ง่าย เนื่องจากมีเพียงวิญญาณธาตุ คือ พลังงานอย่างเดียว

ดังนั้นผู้มีเหล็กไหลประเภทนี้อยู่ มักจะไม่เปิดเผย เพราะเกรงผู้มีวิชาเรียกเอาได้ ลักษณะของเหล็กไหลประเภทนี้มักจะพบเห็นบ่อยครั้ง มีชื่อเรียกหาแตกต่างกันไปตามความคิดความเข้าใจและคุณสมบัติที่พบเห็น บางครั้งต้องทำพิธีพลีกรรมตัดเอา แต่ สำหรับผู้ทรงฌาณระดับสูงแล้ว เพียงแต่ทำการอัญเชิญท่าน ก็จะเสด็จมาอยู่ด้วยโดยไม่ ต้องมีพิธีกรรมที่ยุ่งยากแต่อย่างใด


>>
> >
> >
อาณาจักรของเหล็กไหล

เนื่องจากเหล็กไหลประกอบไปด้วยธาตุเหล็กเป็นสำคัญ จึงต้องการสิ่งที่มีความแข็งแกร่งพอสมควรที่จะเข้าไปยึดเกาะเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อ สร้างอาณาจักรหรือรังขึ้นมา เฉกเช่นสัตว์โลกทั่วไปที่ จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัย เพื่อขยายเผ่าพันธ์มีลูกมีหลานสืบต่อไปในภายภาคหน้า

ดังนั้นโครงสร้างของอาณาจักรส่วนใหญ่จึงยึดเอาสิ่งที่มีธาตุเหล็กเป็นหลัก เพราะจะได้อาศัยการกินธาตุเหล็กเป็นอาหาร เพื่อเป็นการตั้งธาตุและปรับธาตุของตนเองให้เกิดความสมดุลย์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นธาตุดังเดิมที่มีอยู่ในพื้นภิภพและพื้นผิวโลกมาตั้งแต่การกำเ
นิดของโลกก็ว่าได้

ธาตุเหล็กจึงมีโอกาสดึงดูดและสะสมพลังงานต่าง ๆ ที่มีอำนาจมาไว้ในตนเองค่อนข้างมากและเป็นเวลานาน ทำให้เหล็กไหลมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้น และเมื่อมีการกินธาตุเหล็กเข้าไปมาก ก็ย่อมมีการขับถ่ายของเสียออกมาหรือของเหลือออกมา กลายเป็น ?ขี้เหล็กไหล? ซึ่งมีลักษณะเหมือนเหล็กที่ผุตัวลงไป ไม่มีความแข็งแกร่งเหมือนกับตัวเหล็กไหล หรือ โคตรเหล็กไหล

แต่เหล็กไหลบางประเภทที่อาจจะมีผิวพรรณวรรณะไปทาง ธาตุกายสิทธิ์ คล้ายแก้วหรือหินย่อมจะสร้างรังหรืออาณาจักรที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นเทพผู้รักษาในระดับชั้นพรหมที่ละเว้นจากเรื่องกาม เช่น มหาฤาษีผู้เพ่งฌาณสร้างธาตุกายสิทธิ์ หรือ กลั่นกรองธาตุเหล่านั้นจนใสเป็นแก้วแตกต่างกันไปตามบารมี ชอบจะอาศัยอยู่ในโพรงหินที่เป็นแก้วสีที่แตกต่างกันออกไป หากดูภายนอกจะไม่ทราบเลยว่า ภายในก้อนหินเหล่านั้นจะมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลซ่อนอยู่ภายใน


>>
> >
รังของเหล็กไหล



ความหมายของ ?รังเหล็กไหล? ย่อมหมายถึงลักษณะของถิ่นที่อยู่หรือโครงสร้างที่อยู่อาศัยนั้นเอง เหล็กไหลบางประเภทที่จำเป็นต้อง สร้างอาณาจักรนั้น ลักษณะของรัง จะเหมือนรังผึ้ง้ มีท่อ มีรู เชื่อมโยงอยู่ภายใน เหมือนเป็นเส้นทางเชื่อมโยงติดต่อซึ่งกันและกัน โดยมีการแบ่งสัดส่วนเป็นห้องเป็นหับ เหมือนสัตว์โลกทั่วไป เพื่อใช้เป็นห้องพักของตนเอง ห้องพักของตัวอ่อน ลูก ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะฟักตัวเองอยู่ในโพรง หลายตัวต่อโพรงก็มี

รังของเหล็กไหลเหล่านี้มักจะอยู่ภายในถ้ำคูหาต่าง ๆ พ่อแม่ก็อาจจะแสวงหาอาหารจากแร่ ธาตุและธาตุอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์อำนาจและพลังบารมีสูง เพื่อให้ตัวอ่อนมีความแก่กล้าและแข็งแรงเติบใหญ่ขึ้น พร้อมกับเรียนรู้สภาวะต่าง ๆ ไปพร้อมกัน

จากตัวเล็กขนาดเท่าปลายเข็ม ก็ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงขนาดไข่ปลาดุก ไข่กบ เม็ดถั่วเขียว เม็ดถั่วลิสง เชื่อกันว่าเม็ดเหล็กไหลขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีฤทธือำนาจมากขึ้นเท่านั้น เพราะหากมีเหตุเภทภัยอันใดจะมาถึงตัว ก็จะใช้ฤทธิ์ทั้งหมดในทีเดียว

ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือในหมู่ผู้ปฏิบัติจนได้ถึง เจโตรปริยญาณว่า ตัวเหล็กไหลที่แท้จริงนั้น ก็ คือตัวลูก ๆ ที่ยังเล็ก ๆ อยู่ หรือเพิ่งเป็นอิสระหลุดตัวเองออกมาจากญาณพ่อญาณแม่ของมัน

เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งปกป้องคุ้มครองจากเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ นาค วิทยาธร ให้ความอารักขา เนรมิตสิ่งบดบังคุ้มครองหรือปกปิดให้ เช่น ?แก้วขนเหล็ก? ที่เป็นเหมือนขนโลหะที่มี ความคมและแข็งห่อหุ้ม เหล็กไหลไว้ภายในโดยรอบ

เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งห่อหุ้มที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ ปกป้อง หรือ เป็นที่หลบซ่อนฝังตัวของเหล็กไหล ไม่ให้ปรากฏเป็นที่สนใจของผู้ที่มีเจตนาที่ไม่ดีได้พบเห็น มีลักษณะแตกต่างกันไป บางอย่างก็นิ่มคล้ายขี้ผึ้ง แต่พอโดนอากาศภายนอกนาน ๆ ก็จะแข็งตัว บางอย่างคล้ายแก้วสี ขุ่น ๆ ห่อหุ้มตัวไว้ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่เหตุปัจจัย

คุณสมบัติของผู้ครอบครองเหล็กไหล

เหล็กไหลจะอยู่กับผู้มีบุญเท่านั้น ผู้มีบุญในที่นี้หมายถึง ผู้ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ยึดมั่นในศีล 5 พรหมวิหาร 4 ผู้ละแล้วเสียซึ่ง ความโลภ โกรธ หลง เหล็กไหลเมื่อมีความยินดีจะอยู่คุ้มครองให้กับผู้ใดก็จะอยู่ด้วยตลอดไป เว้นแต่ผู้นั้นจะมีจิตใจที่เปลี่ยนไปในทางอกุศล เหล็กไหลก็อาจหายไปทันที

ดังนั้นผู้ครอบครองเหล็กไหล จึงควรมีคุณสมบัติดังนี้

1.บุญวาสนาและบารมี ที่ประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิ เป็นคนดีมีศีลธรรม

2.มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์นี้

3.มีความปรารถนาอยากได้อย่างแรงกล้า

แท้จริงแล้วผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์แล้ว จะต้องมีบารมีรองรับพอเพียง มิฉะนั้นเหล็กไหลจะหนีกลับไปสู่เจ้าของเดิม หรือ ผู้ที่มีบารมีสูงพอ ดังนั้นถ้ามีเงินแต่ไม่มีคุณธรรม ก็อย่าหมายว่าจะซื้อได้

ท่านทั้งหลายได้ลองพิจารณาตนเองในส่วนนี้แล้วหรือยัง ในการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล เพราะเหล็กไหลทุกประเภท ล้วนแต่ยอมอุทิศตนเพื่อเสริมสร้างบารมีธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงมรรคผลนิพพาน จึงยอมอุทิศตนทั้ง ร่างกายคือธาตุขันธ์ และจิตวิญญาณ ในการสืบพระศาสนาให้มั่นคงสถาพรตราบนานเท่านาน


ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:19:05 »
อาหารของเหล็กไหล

เนื่องจากผู้บำเพ็ญฌาณในระดับสูงและผู้สร้างเหล็กไหลในอดีต ล้วนแต่อาศัยตามเงื้อมผาและถ้ำคูหา เป็นที่บำเพ็ญพรตภาวนา มักจะถือศีล 8 กินพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลัก อาหารเสริมพิเศษที่ทำให้เกิดกำลังก็ คือ น้ำผึ้งป่า

ดังนั้นเหล็กไหลเกือบทุกประเภทก็ชมชอบที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน เพราะน้ำผึ้งเกิดจากความหวานของเกษรดอกไม้ต่าง ๆ ที่ผึ้งนำมาเก็บไว้ในรัง บางทีก็บินไปสร้างที่อยู่ใหม่ทิ้งรังเก่าไว้ตามคบไม้ หรือหน้าผา เมื่อเหล็กไหลมีจิตวิญญาณขององค์ฤาษีหรือเทพผู้สร้างสิงสถิตย์อยู่ จึงนิยมที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน>>
>>
>>
>>
>>

หลวงพ่อสัมฤทธิ์กับการค้นหาเหล็กไหล

เมื่อท่านได้รู้จัก?เหล็กไหล?ดีแล้ว ก็จะได้ดำเนินเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงพ่อสัมฤทธิ์และเหล็กไหลวัดถ้ำแฝดสืบไป

ภายหลังจากหลวงพ่อเดินทางกลับจากประเทศลาวแล้ว ก็ออกธุดงค์ไปทั่ว เพื่อฝึกฝนจิตใจให้มีความเข้มแข็ง เช่น เขาฉกรรจ์ จังหวัดปราจีนบุรี เขาใหญ่ นครราชสีมา เขาเขียว ชัยภูมิ เขาค้อ เพชรบูรณ์ เลยไปถึง ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน

ณ ที่จังหวัดลำปางนี้เอง หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้พบกับ พ่อเลี้ยงรัศมี คหบดีผู้กว้างขวางในจังหวัดลำปางและเชียงใหม่ เป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องราวของเหล็กไหล และของกายสิทธิ์อื่น ๆ เมื่อรู้ว่าหลวงพ่อสัมฤทธิ์มีความเชี่ยวชาญในเรื่องราวเกี่ยวกับเหล็กไหล ก็ได้ชวนให้ท่านช่วยหาเหล็กไหลให้ โดยเป็นผู้ปวารณาในเรื่องภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยได้พาไปในสถานที่หลายแห่งที่เล่าลือว่ามีเหล็กไหล แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือ ไม่ได้พบเหล็กไหลตามที่ตั้งใจ

ปรากฏการณ์ประหลาด

เรื่องนี้เกิดจากการแสวงหาเหล็กไหลกับพ่อเลี้ยงรัศมี เดินรอนแรมในป่ามาถึงเขตดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ได้พบสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคิดว่าน่าจะมีเหล็กไหลอยู่ จึงได้จัดเครื่องบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขา เทพผู้รักษาองค์เหล็กไหล

ขณะที่กำลังทำพิธีอยู่นั้น ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มโดยฉับพลัน มีเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงมายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณทำพิธีเล็กน้อย เสียงดังสนั่นแสบแก้วหู ทำให้ทุกคนตกตะลึงในเหตุการณ์เฉพาะหน้าเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้เหตุเภทภัยอันใดที่ปรากฏต่อหน้าในขณะนั้น

หลวงพ่อได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ชะรอยคงเป็นสิ่งบอกเหตุบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเสาะแสวงหาของกายสิทธิ์เป็น แม่นมั่น จึงได้ชวนญาติโยมไปพิสูจน์อะไรบางอย่างที่ท่านแคลงใจ โดยเดินไปยังจุดที่ฟ้าผ่าลงมา ณ ที่นั้นทุกคนได้เห็นวัตถุสีดำก้อนประมาณ 2-3 นิ้วเศษ สีดำสนิท เนื้อในดูเงาวาว ขณะที่กำลังหาเหตุผลอยู่นั้น ฉับพลันได้ยินเสียงช้างร้อง พร้อมกับปรากฏกายอันสูงใหญ่รี่ตรงมายังที่อยู่ของหมู่คณะ

เท่านั้นแหละตัวใครตัวมัน ต่างคนก็ตกใจคิดหนีเอาตัวรอด หลวงพ่อเองก็คาดไม่ถึงว่า จะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น อาศัยที่เป็นพระกรรมฐาน มีสติไม่ตกใจอะไรง่ายนัก ได้กำหนดจิตแผ่เมตตาและชูเจ้าหินประหลาดสีดำนั้นไปทางช้างที่กำลังวิ่งรี่เข้ามา

เหลือเชื่อทีเดียว ทำให้ช้างร้ายตัวนั้นหยุดชะงักอยู่กับที่พร้อมกับจ้องมองมาทางท่านถมึงทึงสักครู่เดี
ยวช้างนั้นก็เดินเลี่ยงหลบออกไปทางอื่นทันที เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจากคณะค้นหาที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอด แต่ไม่กล้าแสดงตนออกมาช่วย



พ่อเลี้ยงรัศมีเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึงตัวท่าน พร้อมกับขอชมเจ้าสิ่งประหลาดที่ทำให้ช้างเปลี่ยนใจหนีไปทางอื่น หลวงพ่อบอกว่าเจ้าสิ่งที่ท่านได้พบตอนฟ้าผ่านั้นกลับเป็น ?สะเก็ดดาว? หรือ อุกกามณี ที่เราถือว่าดีเด่นทางโชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ปลุกเสกดี ๆ ก็เป็นมหาอุด น้อง ๆ เหล็กไหลเหมือนกัน

ดังนั้นพ่อเลี้ยงรัศมีจึงได้เอ่ยปากขอสิ่งที่เห็นนี้จากหลวงพ่อทันที ซึ่งท่านก็ยินยกให้ ด้วยไม่ได้ติดในเรื่องราวเหล่านี้อยู่แล้ว อีกประการหนึ่งพ่อเลี้ยงรัศมีก็เป็นเจ้าภาพในการเสาะแสวงหาของกายสิทธิ์ประเภทนี้ อยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้ค้นหาเหล็กไหลต่อไป ด้วยปรากฏปาฏิหารย์ขึ้นมาก่อน จึงเห็นว่าไม่สมควรจะทำพิธีต่อไป

อัญเชิญเหล็กไหลก้อนแรก

หลังจากแยกทางกับพ่อเลี้ยงรัศมีแล้ว ท่านก็ธุดงค์ลงทางใต้ จากกาญจนบุรีล่องลงไปด้วยเท้า จนถึงบางสะพาน ปะทิว ชุมพร ซึ่งเต็มไปด้วยเทือกเขายาวเหยียดไปจนติดพม่า และที่บางสะพานนี้เองท่านเล่าว่าได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เรียกกันว่า ?เกาะยายฉิม?

ณ สถานที่นี้เป็นฐานของ ตชด.อยู่ลึกจากถนนใหญ่ 2-3 กม. ได้พบน้ำตกแห่งหนึ่งปลาชุกชุมมาก ท่านได้สังเกตุเห็นหน้าผาแห่งหนึ่งดูแปลกในความรู้สึก จึงได้แหวกหญ้าเข้าไปใกล้บริเวณหน้าผาดังกล่าว พบว่ามีงูชุกชุม เมื่อพิจารณาหาสถานที่พอเหมาะที่จะปักกลดได้ จึงได้ปักกลดในบริเวณนั้น 3 วัน

ในวันสุดท้ายขณะที่ท่านนั่งกรรมฐานอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ รู้สึกได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างตกอยู่ใกล้ ๆ กลด ท่านจึงได้คลายสมาธิออกดู ฉับพลันสายตาก็กระทบเข้ากับวัตถุมันดำวาวขนาดนิ้วก้อยจำนวน 2 เม็ดตกอยู่ใกล้ ๆ กลด จึงได้หยิบมาพิจารณาก็ทราบว่าเป็น ?เหล็กไหล?ที่เทพผู้รักษาได้มอบให้

ดังนั้นพอรุ่งเช้าหลังรับบิณฑบาตรจาก ตชด. แล้ว ก็ได้นำเอากลับมาฉันที่กลดขณะเดียวกัน ตชด.ก็ได้นำเอากับข้าวมาเสริมให้หลวงพ่อ โดยสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ ว่าหลวงพ่อมาปักกลดที่นี่ ได้เห็นนิมิตอะไรที่ดี ๆ บ้างไหม จำได้ว่า ร.ท.อำไพกับลูกน้อง 2-3คน เป็นเพื่อนร่วมสนทนาด้วย

ท่านจึงได้นำเอาสิ่งที่ท่านพบมาให้ดู คณะ ตชด. เห็นแล้วก็ขนลุกซู่ทันที จึงขออนุญาตทดลองต่อหน้าท่าน โดยใช้อาวุธปืนคาร์บินส์ เล็งยิงระยะห่างเพียง 3 เมตรเท่านั้น ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่พอหันปากกระบอกขึ้นฟ้าเสียงก็ดังเปรี้ยงทันทีเหมือนกัน พอเห็นผลดังนั้น ร.ท.อำไพและเหล่า ตชด.ก็ได้ขอเอาไว้โดยไม่ฟังเสียงว่าจะให้หรือไม่ ถือสิทธิเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองทันที

ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่ออยากได้ท่านก็ให้ด้วยเมตตา เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นทางผ่าน เป็นประสพการณ์ที่เหลือเชื่อเรื่องหนึ่งเช่นกัน เพราะท่านบอกว่า สมัยนั้นยังไม่มี ใครรู้จัก ?เหล็กไหล?ที่ว่ากันนัก ราคาซื้อขายก็ไม่กี่หมื่นบาท>>
>>
>>
>>

การค้นหาเหล็กไหล



การค้นหาเหล็กไหลไม่ใช่ของง่าย เนื่องจากไม่มีเครื่องมือจะตรวจค้นโดยวิธี ทางวิทยาศาสตร์ได้ แถมบางทียังไม่เคยเห็นหน้าตาของเหล็กไหลมาก่อนว่าเป็นอย่างไร

ดังนั้นในที่นี้ จึงขอกล่าวสรุปพอเป็นสังเขป เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านพิจารณาดังนี้

1.ตามตำรา บูรพาจารย์ผู้รู้ในอดีต ได้บอกกันต่อ ๆ มาว่า ถ้าจะหาเหล็กไหลแล้วให้สังเกตุถ้ำที่จะเข้าไปหานั้นว่ามีลักษณะเช่นนี้หรือไม่ ?

1.ถ้ำนั้นต้องสะอาด ไม่มีมูลค้างคาวหรือมูลสัตว์ป่าใด ๆ

2.ถ้ำนั้นต้องมีอากาศเย็นชุ่มชื้น

3.ถ้ำนั้นต้องสงบเงียบวังเวง มีความรู้สึกน่าเกรงขาม

2.คำบอกเล่า อาจจะได้ยินได้ฟังจากพรานป่าที่มีประสพการณ์แปลก ๆ หรือจากพระธุดงค์ที่พบเห็น

3.การเข้าทรง จากการประทับทรงขององค์เทพเทวาที่บอกผ่านมา

4.การเกิดนิมิต จากการนั่งกรรมฐานจนจิตรสงบ แล้วเกิดภาพนิมิตรสถานที่ หรือมีผู้พาไปชม

5.จิตสงบ จากสภาวะจิตที่สงบ จนเกิดญาณหยั่งรู้ขึ้นมาเอง

การทดสอบเหล็กไหลในถ้ำ

เมื่อพบถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวข้างต้น หรือพบแหล่งที่พอเชื่อได้ว่าจะมีเหล็กไหลอยู่แล้ว ก็ควรจะมีวิธีการทดสอบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า จะไม่ผิดหวังหรือเสียเวลาค้นหา มักจะใช้ปืนลองยิงดูในบริเวณที่คิดว่าน่าจะมีเหล็กไหลซ่อนอยู่ ถ้าเล็งไปแล้วยิงไม่ออกก็มั่นใจได้ว่า มีเหล็กไหลอยู่ในบริเวณนี้แน่นอน

เมื่อมั่นใจว่าพบแหล่งที่อยู่ของเหล็กไหลแน่นอนแล้ว ก็เป็นเรื่องพิธีกรรมที่จะทำพิธี ?อัญเชิญเหล็กไหล? ออกมา โดยการบวงสรวง หรือ อธิษฐานจิต ขอเอาจากเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าถ้ำ หรือ เทพผู้รักษาองค์เหล็กไหลแล้วแต่กรณี>>
>>

เผ่าพันธุ์ของเหล็กไหล

เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดาร แปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวง จึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ ?ธาตุกายสิทธิ์? ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฏแห่งกรรม ที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิ ในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มี อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

ดังนั้น ?เหล็กไหล? จึงถือเสมือนหนึ่งเป็น ?สัตว์โลกที่มีชีวิต? เผ่าพันธุ์หนึ่งในโลก เพราะเหล็กไหลมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย สามารถเคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคน้ำผึ้งเป็นอาหาร มีการขับถ่ายออกมาได้ ซึ่งเรียกกันว่า ?ขี้เหล็กไหล? นอกจากนี้ยังสามารถเสพกามได้ แต่เป็นการเสพกามกันทางกระแสจิตวิญญาณ เพราะเพียงแต่มีความรู้สึกใคร่ในกามารมณ์ ก็สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ในทันที โดยไม่ ต้องมีการถูกต้องสัมผัสกัน และชอบพักผ่อนหลับนอนในสถานที่สงบตามถ้ำ

เหล็กไหลจึงจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเผ่าพันธ์หนึ่งของโลก จัดอยู่ในจำพวกเทพ แต่เป็นเทพที่ มาชดใช้วิบากกรรมในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงทำให้มีพวก ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ นาค คอยให้ความอารักขาอีกทีหนึ่ง เหล็กไหลจึงมีถิ่นกำเนิด และบารมีที่แตกต่างกันไป ตามเผ่าพันธ์และวรรณะ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ และสมมุติเรียกหาเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น เช่น



1.เหล็กไหลโกฎฐ์ปี เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก สีปีกแมลงทับ จะออกเขียวเข้มหรือฟ้าสดใส หรือเปลี่ยนเป็นสีท้องปลาไหล เป็นเงามันวาวเนียนละเอียด เพราะถ้าเคยเห็นปีกแมลงทับ คงจะสังเกตุเห็นสีสันดังกล่าวที่ประกอบไปด้วยสีสองสี สวยงาม ชอบอยู่ในถ้ำที่ลี้ลับลึกลับและสงบวิเวก เพื่อบำเพ็ญฌาณ เหมือนฤาษีที่มีอายุยืนหมื่น ๆ ปี มีความเย็นเหมือนน้ำในฤดูหนาว กล่าวกันว่าเป็นเหล็กไหลที่เกิดจากมหาฤาษีในยุคต้น ๆ เป็นผู้สร้างไว้มีอำนาจทำลายอาถรรพณ์เวทย์ทุกชนิดให้สูญสิ้นเป็นสุญญตา ใครฝังติดตัวไว้รับรองไม่มีตายโหง ซ้ำยังเรียกเงินเรียกทองให้ไหลมาเนืองนอง เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี มีเสน่ห์ เมตตามหานิยม เข้าไปในสถานที่ใดมีแต่คนชอบรักใคร่ นอกจากนี้ยังป้องกันคุณไสยที่เขาทำมา ให้ตี กลับไปหาผู้ทำถึงชักดิ้นชักงอตายเอาง่าย ๆ ชอบดูดกินน้ำผึ้งและเล่นกับไฟ ล่องหนหายตัวได้ ใครได้ครอบครองจะมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี ถ้าบำเพ็ญฌาณ เช่น ฤาษี มุณี ที่ชอบบำเพ็ญธรรมอยู่ในป่า จะทำให้อายุ ยืนถึงหมื่นปี โกฏฐ์ปี

2.เหล็กไหลไพร เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้โดยไม่ยากลำบาก สีดำสนิทหรือเทาดำ เนื้อค่อนข้างหยาบไม่มันวาว ยืดได้หดได้ ชอบเล่นกับไฟ แต่ถ้าทำหลุดมือตกลงสู่พื้นดินจะหายวับไปทันที คล้ายกับปรอทสำเร็จที่ถูกพวกยักษ์หรือคนธรรพ์ผู้รักษาช่วงชิงกลับไป ดีเด่นทางเมตตาโชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย เกิดจากเทพในระดับต่ำลงมาใช้กรรม มีทั้งที่ แม่เหล็กดูดติดและแม่เหล็กดูดไม่ติด ขึ้นอยู่กับถิ่นกำเนิดและแร่ธาตุ ในบริเวณดังกล่าว ถ้ามีธาตุเหล็กมาก ก็จะติดแม่เหล็ก



3.เหล็กไหลเงินยวง เป็นเหล็กไหลที่หาได้ค่อนข้างยาก สีขาวขุ่นเป็นมันเลื่อม สีเหมือนเงินยวง พบได้ตามถ้ำที่มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น มีคุณธรรมทางด้านเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลจิตดลใจของผู้ครอบครองเหล็กไหลนี้ตั้งมั่นอยู่ในการสร้างบุญกุศล เกิดจากเทพในระดับ ?อรูปฌาณ? ที่มีบารมีธรรมสูงเป็นผู้ครอบครองเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ในครอบครองของพวกนักบวชต่าง ๆ



4.โคตรเหล็กไหล (เหล็กไหลงอกหรือเหล็กทรหด) เป็นเหล็กไหลที่มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีดำสนิทเป็นมันเลื่อมเมื่อกระทบแสงสว่าง ผิวค่อนข้างละเอียด แม่เหล็กดูดไม่ติดพบเห็นได้ตามถ้ำที่ ลึกลับ เกิดจากเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลกนี้ จึงมีพวกเทพที่เป็นยักษ์ หรือ คนธรรพ์คอยให้ความอารักขา ไม่ยืดหรือหดได้อีก แม่เหล็กดูดไม่ติด แต่ชอบกินน้ำผึ้ง สามารถงอกโตขึ้นเอง บางทีหากเจ้าของบูชาให้ดี จะเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียว ไปจนถึงเป็นสี รุ้ง ๗ สี ดีทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพันถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ งอกขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำและผนังถ้ำที่มีความชื้นและเย็นพอสมควร สามารถนำมาแกะหรือเจียรนัยเป็นเครื่องรางหรือรูปวัตถุ มงคลตามต้องการ



5.เหล็กไหลย้อย เป็นเหล็กไหลที่ปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีออกดำหรือเทาดำ ด้านไม่มีแวว เปราะและกรอบเหมือนเหล็กผุ เป็นเหล็กไหลที่ ตายซากแล้ว ไหลย้อยอยู่ในซอกถ้ำที่ลี้ลับ ลักษณะแข็งกรอบ ยาวเป็นศอกเป็นคืบเป็นวา ไม่ยืดหรือหดได้อีก ไม่กินน้ำผึ้ง แม่เหล็กไม่ดูด เกิดจากได้มีการเคลื่อนย้ายแหล่งหาน้ำผึ้งไปในสถานที่ ใหม่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมาก ธาตุขันธ์เดิมจึงถูกทิ้งไว้ เหมือนไม่มี ชีวิตจิตวิญญาณ คือเหลือแต่ซากนั่นเอง บางทีมีอสูรกายชอบถือโอกาสเข้าแอบแฝงอาศัยอยู่ เกจิอาจารย์ที่มีกฤตยาคมสูงสำเร็จอัปปนาสมาธิพลังจิตแก่กล้า มักจะนำมาปลุกเสกให้เกิดอานุภาพ เมตตามหานิยม แคล้วคลาดคงกระพัน จนถึงมหาอุดเลยที เดียว แต่ถ้านำมาหลอมละลายด้วยไฟอาคมจะกลายเป็นของเหลวสีดำมันวาวเหมือนนิล หล่อหลอมเป็นพระพุทธรูป เครื่องรางต่าง ๆ ได้ดี มี อานุภาพทางโชคลาภ แคล้วคลาดคงกระพันชาตรี ทำลายอาถรรพณ์ทุกชนิด หากบูชาให้ดีจะเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ ได้หลายสีตามบารมีของผู้บูชา



6.เหล็กไหลเพลิง เป็นเหล็กไหลที่พอหาได้ไม่ยาก พบอยู่ในถ้ำต่าง ๆ หลายแห่ง ฝังตัวเองอยู่ตามเพดานและผนังถ้ำที่มีลักษณะเหมือนผงฝุ่นละเอียด ออกสีแดงหรือน้ำตาล องค์ขนาดเมล็ดถั่วเขียวหรือใหญ่กว่า หากลองอธิษฐานจิตจับดูจะรู้สึกว่าร้อนเหมือนไฟ เชื่อว่าสามารถแสดงภาพมายาหลอกหลอน ทำให้ศัตรูตกใจกลัวได้



7.เหล็กไหลตาน้ำ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยาก มีพรรณสัณฐานสีเขียวปนดำเป็นมันด้าน ลักษณะทรงกลมหรือรูปหยดน้ำ ขนาดเล็กกว่าถั่วเขียวเล็กน้อย ชอบเกาะอยู่ตามตาน้ำในซอกหินภายในถ้ำที่ลึกลับอาถรรพ์ การค้นหานอกจากวิชาอาคมแล้วยังต้องสังเกตุตามตาน้ำที่ไหลผ่านบริเวณหินผาที่มีตะไคร่
น้ำเกาะอยู่มาก ๆ ต้องค่อย ๆ เอามือแหวกหาดูจึงจะพบ



8.เหล็กไหลเศรษฐี เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก อาศัยอยู่ภายในถ้ำใต้น้ำ มี ลักษณะเป็นผงเกล็ดสีดำเงามันระยิบระยับ เหมือนกับเพชรต้องแสงไฟ ไหลออกมาตามธารน้ำในฤดูน้ำหลาก เชื่อกันว่าเป็นของชาวบาดาล บันดาลโชคลาภให้แก่ผู้บูชา

9.เหล็กเปียก เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก พรรณสัณฐาน สีขาวขุ่นเหมือนตะกั่ว นับเป็นโลหะธาตุที่มีเนื้อเปียกชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับน้ำค้างจับเกาะ เข้าไปอยู่ในสถานที่ใดก็จะเกิดบรรยากาศเย็นสบาย ถ้าอยู่ใกล้ลูกปืนอาจทำให้กระสุนด้านเพราะการแผ่รังสีความเย็นของเหล็กเปียก สมัยโบราณนิยมใช้เหล็กเปียกประดับไว้ที่ ยอดพระเจดีย์ ป้องกันฟ้าผ่า มีอานุภาพทางหนังเหนียว คงกระพันอาวุธทุกชนิด

10.ขี้เหล็กไหล มักจะปรากฏอยู่ในถ้ำหรือบริเวณที่มีเหล็กไหล เหมือนกับมูลหรือการขับถ่ายของเสียจากเหล็กไหล ลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ สี ออกดำบ้าง น้ำตาลบ้าง ไม่สามารถยืดได้หดได้ แม่เหล็กดูดไม่ติด หากครูบาอาจารย์ผู้ทรงฌาณ ทำพิธีกรรมให้ถูกต้อง เฉกเช่นวัตถุ มงคลที่ถูกปลุกเสก ก็จะมีอานุภาพตามที่ ประสงค์

11.เหล็กไหลนาคราช หรือ เหล็กไหลบาดาล มักปรากฏอยู่ในลำแม่น้ำใหญ่ที่มีภูเขาสลับซับซ้อน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำคงคา เป็นต้น เพราะต้นน้ำเหล่านี้มาจากภูเขาสูงที่ศักดิ์สิทธิ์ ลักษณะคล้ายก้อนหินมันเงาเป็นเลื่อม สีดำเหมือนนิล แม่เหล็กดูดติดเชื่อว่าป้องกันพิษสัตว์เขี้ยวงา แคล้วคลาด คงกระพัน



12.เพชรหน้าทั่ง จัดอยู่ในจำพวกธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหล พบได้ตามถ้ำบนเขาเจ็ดร้อยยอด จ.พัทลุง ลักษณะเป็นโลหะผลึก 4 เหลี่ยม สีเหลืองนวลออกขาวคล้าย ?แสตนเลส? ฝังตัวอยู่ในก้อนหิน เล็กบ้างใหญ่ บ้าง บางคนเรียก ?เหล็กสายฟ้า? อยู่ในตระกูล ?อัญมณี? ประกอบด้วยธาตุที่เป็นทองคำและแร่เงินผสมอยู่ด้วยกัน สีจึงออกเหลืองนวลอมทอง อมเงิน และหากโดนปฏิกิริยาทางเคมีก็จะกลายเป็นสีทอง มีฤทธิ์อำนาจในตนเองด้วยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในธาตุโลหะนั้น โบราณเชื่อกันว่า เพชรหน้าทั่ง เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่จะทำให้ ผู้ที่เป็นเจ้าของเกิดความร่ำรวย มักจะอยู่ในเขตที่มีสายแร่ทองคำภายใต้ภูเขาลูกนั้น

13.เหล็กหลบ จัดอยู่ในประเภทธาตุกายสิทธิ์คล้ายเหล็กไหล พบได้ตามแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ เกิดจากการหมุนวนของแม่น้ำที่พัดพาเอาแร่ธาตุต่าง ๆ มารวมกันทับทมทวีจนเกิดการจับตัวเป็นก้อนกลม สีดำเป็นมัน สีเขียวอมดำ สีเปลือกมังคุดหรือน้ำตาลไหม้ สีทองดอกบวบ ไม่ชอบเล่นไฟหรือกินน้ำผึ้ง ปืนยิงออกแต่ไม่ถูก เด่นทางแคล้วคลาดกันภัยจากอันตรายรอบด้าน เช่น มีดรุมแทงก็จะไม่ถูก รังสีเหล็กหลบจะทำให้แฉลบออกไป หรือพกเหล็กหลบเข้าใต้ต้นพุดทรา แล้วเขย่าให้ลูกหล่นลงมา ก็จะไม่ถูกตัว



14.สะเก็ดดาว เหล็กไหลจากต่างดาว เชื่อกันว่ามีพลังมหัศจรรย์หลายอย่างแฝงอยู่ ในอุกกามณี เกิดจากการระเบิดของดวงดาวจากนอกโลกที่ผ่านบรรยากาศแล้วเกิดการลุกไหม้ก่อนตกลง สู่พื้นโลก มีขนาดตั้งแต่ขนาดก้อนกรวด จนใหญ่ขนาดก้อนหิน 10 กิโลกรัม ไม่กินน้ำผึ้ง หรือชอบเล่นไฟ แต่ดีเด่นทั้งด้าน เมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย



15.แก่นไม้หิน จัดอยู่ในตระกูล "พญาเหล็ก" คือไม้กลายเป็นหิน ฝรั่งเรียกว่า ?ฟอสซิล? จัดอยู่ในลูกหลานว่านเครือของเหล็กไหล เชื่อกันว่าเป็นที่ลงทัณฑ์ เหล่าอสูรเทพที่ดุร้าย เหมือนการ ?เข้ากรรม? เสวยกรรมในโลกมนุษย์ เพื่อไถ่บาป 1 พุทธันดร มีตบะเดชะทางด้านมหาอำนาจ แคล้วคลาดกันภัย เมตตาโชคลาภ กันพิษ



16.ข้าวตอกพระร่วง จัดอยู่ในตระกูล ?พญาเหล็ก? ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นผลึกรูปสี่เหลี่ยมเล็กใหญ่คล้ายโลหะสีน้ำตาลฝังตัวอยู่ใต้พื้นดินในเขต จังหวัดสุโขทัย ถ้านำมาขัดก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนนิลแวววาว ตามตำนานที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่ยุคสุโขทัย เมื่อพระร่วงเจ้าได้ออกผนวชในวันใส่บาตรเทโว บนลานวัดเขาพระบาทใหญ่ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านได้โปรยข้าวที่เหลือจากก้นบาตรลงบนลานวัด แล้วอธิษฐานว่า ให้ข้าวตอกดอกไม้นี้กลายเป็นหินชนิดหนึ่ง และมีอายุยืนนานชั่วลูกชั่วหลาน เมื่อใครได้บูชาบนหิ้งพระหรือพกติดตัวก็จะอยู่ดีมีสุขและเจริญด้วยโภคทรัพย์นานาประก
าร ใช้ฝนน้ำมะนาวถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาทุกชนิด อมไว้ในปากทำให้ชุ่มชื่นคอ>>
>>

ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:20:16 »
รูปทรงของเหล็กไหล

เหล็กไหลย่อมมีรูปทรงพรรณสัณฐานที่แตกต่างกันไปตามจริตและความพึงพอใจของผู้รักษา แต่เท่าที่พบเห็นและเล่าสืบทอดกันมาแต่โบราณ พอจะประมวลได้ดังนี้

1. กลมแบน 5. ดอกบัวตูม 9. แคปซูลยา

2. ผลองุ่น 6. งาช้าง 10. เต่า

3. ฟักเขียว 7. ลักบี้ 11. จาวตาล

4. กลมแบบลูกบอล 8. หยดน้ำ

สีสันของเหล็กไหล

ดังที่ได้เคยกล่าวไว้ในตอนต้นแล้วว่า สีสันของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหล ซึ่งเป็นผู้ที่มีบารมีจากภพภูมิที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจจะเป็น พรหม ฤาษี เทวดา คนธรรพ์ เพชรพญาธร ยักษ์ ที่เข้าไปจับจองเป็นเจ้าของ ทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์ในขั้น ล่องหนหายตัว ยืดหดเองได้ สีสันต่าง ๆ ที่พบเห็นบ่อยนั้นได้แก่

1.สีเขียวปีกแมลงทับ หรือ เขียวมรกต

2.สีเขียวตองอ่อน

3.สีน้ำตาลอ่อนหรือท้องปลาไหล

4.สีเปลือกมังคุด หรือ สีน้ำตาลไหม้

5.สีเงินยวง หรือ สีขาวเงินในเบ้าหลอม

6.สีทองลูกบวบ

7.สีนิลดำสนิทแวววาว

8.สีลูกหว้า หรือ ม่วงเข้ม

ดังนั้น สีสันของเหล็กไหลอาจแปรเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา เพราะเหล็กไหลเมื่อได้กระจัดกระจายไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของโลก ซึ่งมักจะเป็นสถานที่สงบ อากาศเย็นชุ่มชื้น ทั้งใต้พื้นน้ำ ตามถ้ำ ป่าเขา ลำเนาไพร เพื่อแสวงหาอริยะสัจจธรรมมานานนับโกฏฐ์ปีก็มี การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ ย่อมมีผลกระทบต่ออาณาจักรของเหล็กไหล จึงจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัย เสาะแสวงหาสถานที่หรือสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นสี สันของเหล็กไหลอาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุดังกล่าว คือ

# สีสันขึ้นอยู่กับสภาพสิ่งแวดล้อม ภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ เช่น แร่ธาตในบริเวณนั้น อากาศหนาวจัด อากาศร้อนจัด ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและสีสันที่แตกต่างกันออกไป เพื่อการอำพรางตัว ปรับตัวตามอุณหภูมิ

# สีสันเปลี่ยนแปลงไปตามจริตของเทพเทวาในระดับต่าง ๆ อาจจะเนื่องด้วยอำนาจลี้ลับของวิญญาณแห่งธรรมชาติบันดาลให้เป็นไปในสีต่าง ๆ หรือ ผู้ที่ครอบครองเหล็กไหล หมั่นฝึกฝนปฏิบัติ เจริญสมาธิภาวนาอยู่เนืองนิตย์ แล้วแผ่เมตตาบุญบารมีของการปฏิบัตินั้นให้กับเหล็กไหล จะทำให้บารมีของธาตุกายสิทธิ์นั้นเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ สีสันต่าง ๆก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน

# สีสันเกิดจากส่วนผสมของสีหลัก ๆ ผสมกัน ซึ่งเป็นความลึกลับอย่างหนึ่งของธรรมชาติ เหล็กไหล


>>
สีสันและคุณประโยชน์

ดังได้กล่าวมาแล้วว่า สีสันของเหล็กไหลนั้นจะบ่งบอกถึงบุญบารมีของกายทิพย์เดิมหรือผู้รักษาเหล็กไหล บุญฤทธิ์ของเทพพรหม ฤาษี หรือ คนธรรพ์ บังบด ครุฑ นาค ยักษ์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ผู้ เป็นสัมมาปฏิบัติ จนมีฤทธิ์อำนาจจากการปฏิบัตินั้น ย่อมสามารถเปล่งสีแสงต่าง ๆ เข้าไปในวัตถุธาตุที่ตนต้องการ ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามลำดับชั้นของภูมิจิตภูมิธรรมที่ได้ฝึกฝนมา

1.สีเงินยวง เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่ มีบารมีธรรมในชั้นสูง พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว

ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล

เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่าง ๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา

2.สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น

ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย

ดีเด่นในทุก ๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง

3.สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป

ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ

4.สีเขียวอมดำ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูง ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้ จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน

เด่นทางด้านอิทธิ์ฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตรสมาธิ หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง

5.สีชมพู เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น

ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม

6.สีเหลือง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูง ๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่าง ๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใด ๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่าง ๆ ในขณะนั่งสมาธิ

7.สีฟ้าอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้ จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง
จนถึงระดับสูงขึ้นไป

มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน

8.สีน้ำตาลอมแดง เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง

มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้

9.สีดำเหมือนนิล เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ

มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน

10.เจ็ดสีประกายรุ้งเหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก
แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น

น้ำหนักของเหล็กไหล

1.น้ำหนักเกินตัวหลาย 10 เท่า

2.น้ำหนักเบากว่าตัวเองหลายเท่า

3.น้ำหนักเท่าตัว

4.ไร้น้ำหนักดุจปุยฝ้าย กรณีเป็นเหล็กไหลที่มีมายามาก หากเอาใส่แก้วน้ำแล้วจะมองไม่ค่อยเห็น เพราะจะกลมกลืนไปกับน้ำเลย

อภินิหารของเหล็กไหล

การแสดงอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลนั้น ย่อมมีอภินิหารล้ำลึกในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน สุดแท้แต่องค์เหล็กไหลปรารถนาจะแสดงให้ชม ซึ่งพอจะประมวลอภินิหาริย์ไว้เป็นแนวทางศึกษาดังนี้

1.อยู่นิ่งได้

2.กลิ้งตัวเองให้เคลื่อนไหวได้

3.หายตัวได้

4.ปรากฏตัวได้

5.เผาทำลายตัวเองได้

6.อาวุธปืนยิงไม่ออก

7.ถอดวิญญาณออกไปได้

8.ยืดหรือหดได้

9.ทำให้น้ำร้อนกลายเป็นน้ำเย็นในชั่วพริบตา

10.กินดินปืน ฟอสฟอรัส และ ไฟได้

11.แช่ทำน้ำมนต์เพื่อรักษาโรคบางชนิดได้

12.ส่งกลิ่นหอมได้

13.เพิ่มหรือลดน้ำหนักตัวเองได้

14.เหล็กไหลบางองค์มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กได้

เหล็กไหลของแท้ที่สามารถขายได้ก้อนละหลายสิบล้านไม่ว่าในสมัยก่อนหรือสมัยนี้ก็คงจะต
้องมีคุณสมบัติดังนี้คือ ปืนยิงไม่ออก ชนวนระเบิดไม่ทำงาน ลนแล้วยืดหดได้ ของมีคมทำอันตรายไม่ได้ มีคุณสมบัติในการดับพิษร้อนได้ทุกชนิด เหล็กไหลของแท้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนดังกล่าวข้างต้น สมัยก่อนมีไม่กี่ก้อน แม้สมัยนี้ก็เหมือนกัน


>>
ข้อห้าม

1.ห้ามผู้ครอบครอง หรือ เจ้าของเหล็กไหล ทดลองหรือขอชมบารมีด้วยตน เอง

2.ชักชวนคนอื่นมาชมบารมีหรือมาทดลอง

ข้อห้ามนี้ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนจะพบกับความวิบัติมากน้อยแล้วแต่กรณี ถ้าผู้อื่นมาชมด้วยความศรัทธา ก็จะได้พบกับความพิสดารในอิทธิ์ปาฎิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์ทุกราย>>
>>

การอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อเราพอทราบลักษณะ สีสัน รูปทรง และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหลแล้ว ตอนนี้เราก็จะมาศึกษาถึงวิธีการอัญเชิญเหล็กไหลกัน เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาเรื่องธาตุกายสิทธิ์ที่เร้นลับนี้ต่อไป การที่เราจะได้เหล็กไหลมานั้น จะต้องประกอบไปด้วยบารมีพอสมควร ด้วยวิธีการเฉพาะและเมื่อได้พบสถานที่ที่คาดว่าน่าจะมีเหล็กไหลอยู่ควรจะ ดำเนินการอย่างไรถึงจะได้เหล็กไหลมาครอบครองโดยถูกวิธีและไม่มีอันตราย ซึ่งในที่นี้จะขอใช้คำว่า ?อัญเชิญเหล็กไหล? เพราะเหล็กไหลที่ จะได้มานั้นย่อมมี วิธีการและที่มาแตกต่างกันไปดังนี้

1.เหล็กไหลบารมี

2.เหล็กไหลตัด

3.เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

4.แผ่บารมีทิ้งไว้ในเหล็กไหล เมื่อถึงเวลาต้องจุติ

เหล็กไหลบารมี

เหล็กไหลบารมี คือ เหล็กไหลที่เกิดขึ้นจากการทำพิธีอัญเชิญ ของผู้มีบารมีเพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพพรหมผู้มีบุญฤทธิ์ ที่สั่งสมฤทธิ์อำนาจอยู่ในสภาวะที่เป็น ?ธรรมธาตุ? ได้มาช่วยเหลือมวลมนุษย์ และสืบพระศาสนาของสมณโคดมให้อยู่สถาพรต่อไปในภายภาคหน้า



พิธีกรรมในการอัญเชิญเหล็กไหลนี้ประเภทนี้ จะประกอบไปด้วยเครื่องบวงสรวงสังเวยที่ เป็นมังสวิรัติ หรือ ผลไม้ แต่บางครั้งวิญญาณที่เฝ้ารักษา เหล็กไหลในสถานที่นั้น มีทั้งเทพ ยักษ์ นาค คนธรรพ์ หรือภูติ ต่าง ๆ ปะปนกัน ก็ต้องทำพิธีพลีกรรมขอเอาเหมือนกัน จะต้องจัดอาหาร คาวหวานหลายอย่าง

การอัญเชิญเหล็กไหลจะต้องใช้ คาถาอัญเชิญ เหล็กไหลโดยเฉพาะ เท่านั้น และจะต้องมี คุณธรรมที่ได้สะสมมานาน เป็นบารมีเฉพาะตัว จึงมีแต่คำพูดที่ไพเราะเท่านั้นจึงจะอัญเชิญเหล็กไหลให้ออกมาได้ เพราะ ?เหล็กไหล? มีอานุภาพเหนืออาคมทั้งปวง ไม่มีอาคมของผู้ใดจะบีบบังคับให้เหล็กไหลยอมจำนนได้ มีแต่คำเชิญที่ไพเราะถูกต้องเท่านั้น จึงจะได้เหล็กไหล ดังนั้นคาถาอัญเชิญกับคาถาอาคมด้วยพระเวทย์จึงมีความแตกต่างกันในเจตนา

เวลาที่เหล็กไหลจะเสด็จออกมานั้นเอาแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับบารมี บางครั้งไม่กี่นาทีเหล็กไหลก็ปรากฏตนให้เห็น บางครั้งครึ่งวันหรือค่อนคืนจึงเสด็จออกมาก็มี เมื่อพบเห็นแล้วก็ต้องใช้ คาถา เอามือจับเหล็กไหลมาไว้เคารพบูชา

เหล็กไหลจากถ้ำเขาหลวง

พระอาจารย์สิทธา เชตวัน ได้เคยเล่าถึงพิธีกรรม ?อัญเชิญเหล็กไหล? ที่แตกต่างจากพิธี กรรมที่เคยพบมาว่า อาจารย์เสือ เพชรสังฆาต เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์ อดีตเคยเป็นนักเลงใหญ่และเสือปล้นมาก่อน แต่ได้เลิกอาชีพโจรมาเป็นอาจารย์ไสยศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักกันดี ในวงการเหล็กไหล ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม สงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่เคารพรักใคร่นับถือของคนในหลายวงการ รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีบางคนก็เคยได้รับ ?เหล็กไหล? จากมือของอาจารย์เสือมาแล้ว

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาจารย์เสือ เพชรสังฆาต ได้ทำพิธีกรรมอัญเชิญเหล็กไหลครั้งสำคัญที่ถ้ำเขาหลวง จังหวัดเพชรบุรี มีลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นทั้ง ทหาร ตำรวจ และรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีหลายคนจนเป็นข่าวเกรียวกราวในวงการเหล็กไหล เพราะได้พบเห็นความมหัศจรรย์ประจักษ์แก่สายตาตนเองพร้อมกันในวันนั้น

วัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ได้ทำพิธี ?อัญเชิญ? ในครั้งนั้น อาจารย์เสือไม่ได้เรียกว่า ?เหล็กไหล? แต่ได้เรียกว่า ?พญาเหล็ก? หรือ ?นางพญาเหล็ก? หรือ ?เจ้าแม่ทองธรรมชาติ? เนื่องจากสิ่งที่ทำพิธีอัญเชิญในครั้งนี้ เกิดจากวัตถุธาตุกายสิทธิ์ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ อาจารย์เสือได้ใช้ พระเวทย์เรียกให้ธาตุเหล่านั้นมารวมตัวกันเข้าเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์ สีดำดั่งนิล มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรีเป็นมหาอุด รวมทั้งเมตตามหานิยม เรียกโชคลาภมาสู่เจ้าของผู้ครอบครอง

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หนังสือพิมพ์ ?มติชน? รายวัน ฉบับวันพุธที่ 24 มีนาคม 2536 หน้า 29 ได้ลงพาดหัวข่าวว่า ?ล้อมจับมือปืนเฒ่าคว้าน้ำเหลว? บรรยายเนื้อข่าวว่า

"เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 22 มีนาคตม ร.ต.อ.ปฐมพงษ์ เพชรพิรุณ รอง สว.ผ.4 กก. 2 ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่กองปราบ ได้เข้าล้อม บ้านเลขที่ 91/3 ม.6 บ้านไร่ลำปาง ต.โกสัมพี อ.เมือง จ.กำแพงเพชร โดยสืบทราบว่า นายเสือ เพชรสังฆาต อายุ 56 ปี มือปืนรุ่นลายคราม ได้ตั้งตนเป็นผู้วิเศษหลอกลวงชาวบ้านอยู่ในละแวกดังกล่าว

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ได้ตะโกนให้นายเสือมอบตัว ก็เลยเกิดการยิงต่อสู้กัน ปรากฏว่าตำรวจบาดเจ็บ 2 นาย ก็เลยมีการขอกำลังเสริมจาก สภ.ต.ทรงธรรม เจ้าของท้องที่ เพื่อติดตามล่าตัวนายเสือ แต่ปรากฏว่าไม่พบ เหลือเพียงปลอกกระสุนปืนเป็นจำนวนมากตกอยู่

ทำให้ขาดข้อมูลเรื่องราวที่น่าสนใจไป เพราะไม่ทราบข่าวของอาจารย์เสือ และสาเหตุที่แท้จริงในเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมทั้งข้อมูลดี ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเหล็กไหลอีกหลายแง่หลายมุม แต่สิ่งหนึ่งที่อาจารย์เสือทำได้สำเร็จในครั้งนี้ ย่อมแสดงถึงคุณธรรมและเจตนาที่บริสุทธิ์ในการอัญเชิญเหล็กไหล เพราะได้ทราบข่าวว่า ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนได้มีบารมีพอที่จะได้รับมอบเหล็กไหลชุดนี้ไปครอบครองจึงไม่น่าจะ
เป็นผู้ประพฤติมิชอบตามข้อกล่าวหาดังที่เป็นข่าว

เหล็กไหลจากเขากะอางค์

พิธีการอัญเชิญเหล็กไหลนี้ หลวงพ่อวัชระได้เคยไปสัมผัสอยู่แห่งหนึ่งเมื่อปี 2540 ในบริเวณถ้ำบนเขากะอางค์ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ได้มีคณะค้นหาเหล็กไหล มาชักชวนให้ไปทำพิธี อัญเชิญ เหล็กไหลบารมี ก็เลยสนใจเพราะเคยได้ยินแต่ว่า ตัดเหล็กไหล ส่วนการอัญเชิญอย่างที่เข้าใจก็คงหมายถึง การทำพิธี ให้เหล็กไหลโผล่ปรากฏออกมาเอง เหมือนการเสด็จของพระธาตุกระมัง

ในวันนั้นได้เดินทางไปถึงบริเวณเขาก็มืดค่ำพอดี คณะค้นหาได้รอต้อนรับอยู่ที่เชิงเขา มีผู้คนทั้งชาวบ้านที่ทราบข่าวเกือบ 30 คน เดินขึ้นไปบนเขาเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงได้พบจุดที่จะทำพิธี ในขณะที่ทำพิธีนั้นไม่มีโอกาสสอบถามชื่อเสียง ทราบแต่ว่าเป็นชาวเขมรทางสุรินทร์ เก่งในเรื่องค้นหาเหล็กไหล ได้รออยู่จนดึกปรากฏว่า เหล็กไหลไม่ยอมออกมา เพราะคนจำนวนมากขาดความสำรวม ส่งเสียงดังลั่นคูหาไปหมด

ได้มีการนัดหมายเวลาใหม่ในวันรุ่งขึ้น เฉพาะในหมู่คณะที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ตกเย็นจึงได้เปลี่ยนจุดนัดพบ ขึ้นเขาอีกทางด้านหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงบุคคลภายนอกที่จะติดตาม ปรากฏว่ามีคนร่วมคณะไปรวม 7 คน จนถึงบริเวณถ้ำแห่งหนึ่ง พบว่าได้มีการจัดเครืองบวงสรวง จำพวก ไก่ ปลา บายสี ผลไม้ สุรา น้ำ พานทองสีเหลืองอร่ามขนาดเล็ก ปูรองด้วยผ้าสีแดงสด รังสำหรับใส่เหล็กไหลขนาดฟองไข่ไก่ ผ่าซีก ภายในบุด้วยสำลีสีขาวสะอาด ตั้งอยู่กลางพาน รายล้อมด้วยพวงมาลัยดอกมะลิสดระย้าสีแดง

หลังจากได้สนทนากันพอสมควร ก็ถึงเวลาเริ่มประกอบพิธี อาจารย์เขมรก็เริ่มจุดธูปเทียนทำพิธีอัญเชิญเหล็กไหล ภาษาที่ใช้เป็นภาษาเขมรปนไทยบางคำ คณะติดตามนั่งอยู่เบืองหลังในท่วงท่าที่สำรวม จิตใจจดจ่ออยู่ในเหตุเฉพาะหน้าแน่วนิ่ง เสียงมนตรากระหึ่มด้วยท่วงทีลีลาไพเราะ เหมือนคำร้องชวนเชิญ นานเกือบครึ่งชั่วโมง

ฉับพลันทุกคนก็ได้พบเห็นเหมือนลูกไฟสีเขียวเรืองรองส่องสว่างลอยมาจากหน้าถ้ำ พุ่งเข้ามาสู่ภายในถ้ำอย่างรวดเร็ว สว่างวาบเดียวแล้ววูบดับลงในพานรองรับเหล็กไหลนั้นทันที เสียงมนตรานั้นค่อยแผ่วลง ท่วงทำนองก็เปลี่ยนไปเหมือนแสดงความยินดี อึดใจใหญ่ ๆ ทุกสิ่งก็เงียบสงบลง ไม่มี ใครกล้าจะขยับหรือเหมือนไม่อยากหายใจ เพราะเกรงเสียงลมหายใจจะทำให้อาจารย์เขมรเสียสมาธิ หรือกลัวว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดเฉพาะหน้านี้ จะอันตธานหายไป

อีกอึดใจต่อมาอาจารย์เขมรเริ่มขยับตัวไปที่หน้าพานรองรับเหล็กไหลนั้น ทุกคนเริ่มขยับตาม เห็นวัตถุธาตุสีเขียวคล้ายหยกอ่อนนอนนิ่งอยู่ในรังขี้ผึ้งนั้นเอง ดูแล้วเหมือนขี้ผึ้งที่อ่อนนุ่ม อาจารย์เขมรเอามือจับที่พานแล้วพึมพัมอะไรบางอย่างออกไป ชั่วครู่จึงได้อนุญาตให้ศิษย์บางคนสัมผัสดู หลวงพ่อวัชระได้ลองจับดูปรากฏว่ามีความอ่อนนุ่มแต่เย็นเหมือนน้ำแข็ง ตลอดเวลาที่จับสัมผัสนั้น ขนลุกซู่ชูชันไปทั้งร่าง หลายคนก็ได้ลองสัมผัสดูก็มีความรู้สึกเช่นนั้น

หลวงพ่อวัชระท่านกล่าวว่า เหมือนกับเหล็กไหลที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้กล่าวถึงคือ ?ธรรมธาตุ? เหล็กไหลชนิดนี้เป็น ?อรูปธาตุ? มีแต่เพียงจิตวิญญาณที่ไม่มีรูปร่าง แต่มีลักษณะเป็นแสงสี อาศัยอยู่ตามถ้ำที่สำคัญในอดีตกาล โดยอาศัยแฝงองค์อยู่ภายในหินงอกหินย้อย โดยมีเทพเทวารักษาอยู่อีกต่อหนึ่ง ต่อเมื่อถึงเวลาที่ผู้มีบารมีธรรมได้มาพบ เหล่าเทพเทวาที่รักษาอยู่ก็ จะน้อมนำถวายมอบให้แก่ผู้ที่มีบุญวาสนาเหล่านี้ต่อไป

มีลักษณะเหมือนแก้วใส ๆ หรือสีขุ่น เมื่อได้มาใหม่ ๆ มองดูจะคล้ายกับสีผึ้งที่มีความอ่อนนุ่ม แต่เมื่อสัมผัสดูจะรู้สึกว่าแข็ง แต่ไม่ใช่โลหะ สีจะเงาด้านไม่เงาวาว มี หลายสี เช่น เขียว น้ำผึ้ง สี หยก ลูกหว้า เป็นต้น สีสันหลากสีเหล่านี้ เกิดตามบารมีและจริตของเทพผู้รักษา ที่เข้ามาประทับอยู่ ในก้อนธาตุ เหล่านี้



ในที่สุด ?เหล็กไหลสีหยกอ่อน? ก็ค่อย ๆ แข็งตัว เป็นรูปทรงเหมือนลูกฟัก แต่ที่ปลายมีรังเหมือนหินปูนเกาะหุ้มติดตัวเหล็กไหลอยู่ จึงได้เวลาลงกลับมายังเบื้องล่างเกือบสี่ทุ่มเศษ ทุกคนได้พร้อมใจกันว่า จะมอบเหล็กไหลไว้กับผู้ที่เชื่อถือได้รักษาไว้ก่อน ก็เลยตกลงมอบให้หลวงพ่อวัชระดูแลรักษาไว้ก่อน

เช้าวันต่อมาทุกคนก็ได้มาพบกันที่วัดถ้ำแฝด คุณกินรีซึ่งเป็นตัวแทนของคณะ ได้กล่าวปรึกษากับหลวงพ่อวัชระว่า อาจารย์เขมรท่านจะต้องกลับบ้านก่อน เพราะทิ้งบ้านมาหลายวัน ไม่มีใครช่วยดูแลพืชไร่ ทางคณะทุกคนก็ไม่มีใครที่มีเงินพอที่จะมอบสมนาคุณแก่ท่านอาจารย์เขมรที่มาทำพิธีให้ หากหลวงพ่อพอจะมอบปัจจัยเท่าที่จำเป็นแทนก่อน ก็จะขอมอบเหล็กไหลก้อนนี้ไว้กับหลวงพ่อรักษาไว้ก่อน หากหาคนซื้อหรือขายได้เมื่อไหร่ ส่วนหนึ่งก็จะถวายไว้สร้างวัดถ้ำแฝด ส่วนหนึ่งขอให้หลวงพ่อพิจารณาสมนาคุณแก่คณะบุคคลรวม 3 คนด้วยกัน ส่วนที่จะเหมาะสมเท่าไหร่สุดแท้จะให้



ต่อมาได้มีผู้มาติดต่อขอชมเหล็กไหลชิ้นนี้ และได้มีการติดต่อหาผู้ซื้อในราคา 499 ล้านบาท โดยทดสอบกันบนลานวัดบนเขา ซึ่งมีคนงานและคณะติดตามรวมทั้งพระในวัดเกือบ 10 องค์ รวมแล้ว เกือบ 50 คน เป็นสักขีพยาน แต่การทดสอบไม่ผ่าน เพราะนัดแรกยิงไม่ออก เสียงดังแชะ นัดที่สองปลายกระบอกกดลงดินหน้าตรงหน้าพานตั้งเหล็กไหล นัดที่สามกระดกขึ้นสูง แต่พอเอาปืนนัดที่ ยิงไม่ออก ยิงขึ้นฟ้าก็เกิดเสียงดังเปรี้ยงใหญ่

ก่อนจะเริ่มยิงในครั้งนั้น ผู้ยิงได้พบการต่อต้าน คือยกปืนเล็งยิงเป้าหมาย ก็เหมือนมีใครมากดปลายปืนลง ยื้อยึดกันอยู่ครู่ใหญ่ จนทุกคนแปลกใจ นึกอยู่ว่าทำไมเล็งนาน เห็นยกปืนขึ้นปืนลงอยู่ นาน แถมไม่ลุกขึ้นมายิง นั่งยิงอยู่ที่ม้านั่งห่างไปตั้ง 10 เมตรเศษ>>

ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:21:41 »
การตัดเหล็กไหล



เหล็กไหลตัด คือ เหล็กไหลประเภท ?ธาตุสำเร็จ? ที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ตามป่าเขาลำเนาไพร ที่สามารถไหลไปตามส่วนต่าง ๆ ของซอกถ้ำซอกเขา เกิดจากเทพพรหมในระดับ ?รูปพรหม? อาศัยเป็นก้อนธาตุในรูปทรงแบบต่าง ๆ ลักษณะแกร่งพอสมควร อาศัยธาตุเหล็กเป็นธาตุหลัก สีออกค่อนข้างเขียวจนถึงสีปีกแมงทับ ขาวเงินยวง หรือหลายสีในก้อนเดียวกัน รูปทรงเป็นไปตามที่เทพปรารถนา สีสันแตกต่างกันไป เนื้อค่อนข้างมันวาว สามารถยืดได้หดได้ และลื่นไหลแทรกไปในวัตถุแข็งทึบได้ แต่ไม่สามารถล่องหนไปในอากาศได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยผู้ที่มีวิชาอาคมเรียกเอา หรือติดต่อกับผู้ที่เฝ้ารักษาอยู่ คือ เทพ นาคราช คนธรรพ์ อสูร ยักษ์ ฤาษี เป็นต้น เมื่อผู้เฝ้ารักษายินยอมให้แล้ว ผู้มีวิชาอาคมจึงใช้วิชาตัดเอาเรียกเอา

พิธีกรรมตัดเหล็กไหล

การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล อุปกรณ์ที่จะใช้ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนด เพราะส่วนสำคัญในการตัดเหล็กไหลบางอาจารย์ก็ใช้ หวายผูกลูกนิมิต ใบตาล เส้นผมสาวพรหมจารีย์ ขวานเทียนเข้าพรรษา ประจำเดือนของทารกแรกเกิด เป็นต้น

ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหล ต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้มั่นคง ไม่มี่ จิตละโมบ คือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอา มิ ฉะนั้นหากเราขืนด้วยกำลัง หมายแย่งชิงเอาโดยพละการ ถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิต หรือเกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง

พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจ ในพระเวทย์เพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ ขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดู เพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่องราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก

อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหล

1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิตร

2.ไม้ตาขอ 9 อัน ใหญ่พิเศษ 1 อัน

3.มีดหมอลงอาคม เพื่อใช้ตัดเหล็กไหล

4.น้ำผึ้งป่า

5.คาถาเรียกเหล็กไหล

6.คาถาผูกเหล็กไหล

7.คาถาตัดเหล็กไหล

8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เครื่องบวงสรวง

1.บายศรีเทพ บายศรีพรหม อย่างละ 1 คู่ สำหรับตั้งศาลเอก

2.ฉัตรเงิน ฉัตรทอง 9 ชั้น 4 ทิศ

3.ตั้งศาลเอก 1 ศาล ศาลเพียงตา 4 ทิศ

4.ผลไม้ 7 อย่างทั้ง 4 ศาล

5.อาหารเจ พร้อมผลไม้ชุดใหญ่ หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี

6.บายศรีตอง ตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ 1 คู่

7.เครื่องกระยาบวช ข้าวตอกดอกไม้

8.อาหารคาวหวาน เช่น หัวหมู เป็ด ไก่ ปลา เนื้อ มะพร้าวอ่อน 1 คู่ กล้วย้ำว้า 1 คู่ ขนมต้มแดง-ตัมขาว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาดำ งาขาว ขนม ผลไม้ เหล้าขาว เหล้าแดง หมากพลู บุหรี่ สำหรับเทวดาที่ถือศีล 5 ที่ยังชอบเหล้ายา ปลาปิ้ง ของสด ของคาว จัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอกอีกโต๊ะต่างหาก

เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป ๙ ดอก เทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว ๙ เล่ม

ตั้งนะโม ๓ จบ

กล่าวสัคเคฯชุมนุมเทวดา

จบแล้วต่อด้วยบทสวดดังนี้

สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ๓ จบ

เอกายะโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา>>
>>

โองการบวงสรวง




>>
QUOTE>>
***ข้าแต่เทพยดาผู้มีความเป็นทิพย์มีฤทธานุภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลายตลอดจนพระภูมิ
เจ้าที่ ณ บริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียง ตลอดจนเจ้าป่า เจ้าเขา ภูมิเทวดา รุกขเทวดา ท่านผู้เป็นหัวหน้าพร้อมบริวาร ข้าพเจ้าขอเชิญทุกท่านมารับเครื่องเซ่นสังเวย อาหารคาวหวาน ขอเชิญท่านทั้งหลายรับประทานได้ตามอัธยาศัย ขอเทพยาดาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าออกนามมาข้างต้น และมิได้ออกนามเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้เมตตาแก่ ข้าพเจ้าอวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความสุขความเจริญ ทำกิจการงานใดขอให้สำเร็จตามที่ใจมุ่งหมาย พร้อมกันนี้ ข้าพเจ้าและคณะขอชมบารมีเหล็กไหลและขออนุญาตอันเชิญเหล็กไหลไปสักการะบูชา เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวสักระยะหนึ่ง ในอนาคตถ้าเหล็กไหลก้อนนี้จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนา ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ด้วยกัน ข้าพเจ้าจะนำไปให้เขาบูชา เมื่อสมปรารถนาแล้วเงินที่ได้มานั้น ข้าพเจ้าจะทำประโยชน์แก่ชาติและเพื่อนมนุษย์ 40% ทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา 40% อีก 20% ขอไว้ใช้เป็นส่วนตัว

หากข้าพเจ้าทรยศคดโกง ไม่ทำตามสัจจะสาบานไว้ ขอเทวดาและดวงวิญญาณรวมทั้งบริวารของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย จงลงโทษข้าพเจ้าให้พบกับความวินาศดับศูนย์ ล่มจมถึงแก่ชีวิต***>>


การที่จะต้องให้สัจจะสาบานแบ่งผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนามากกว่า ผลประโยชน์ส่วนตัว ก็เพื่อให้เจ้าของเหล็กไหล หรือผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนั้นมีใจเมตตา ยอมมอบให้กับคณะผู้ค้นหา เพราะอาจจะเห็นว่า จะดูแลไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าให้คนเหล่านี้ได้ไปและขายได้ ก็จะได้บุญจากคณะค้นหาที่สาบานไว้จะทำบุญ 80% จึงทำให้เทพผู้รักษานั้นไม่หวงสมบัติหรือเสียดายอย่างไร เพราะอยากได้บุญ

แต่ถ้าเทพผู้รักษาตรวจดูด้วยฌาณและมองเห็นว่าในอนาคต คณะค้นหาจะเกิดความโลภ ไม่ทำตามสัจจะที่ให้ไว้ เพื่อไม่ให้เป็นบาปกรรมที่ต้องฆ่าคน ท่านก็อาจจะไม่ มอบเหล็กไหลให้ก็ได้ เพราะท่านเหล่านี้ย่อมมีอำนาจที่จะพาของเหล่านี้ล่องหนหรือซุกซ่อนหาที่ใหม่ได้ หรืออาจจะกำบังตาก็ได้

ด้วยเหตุนี้ผู้มีวิชาอาคมที่มีพลังจิตแก่กล้า บางครั้งก็จะถือโอกาสเข้าแย่งชิงด้วยความโลภ เพียงว่าใครจะเก่งกว่ากันระหว่างเทพหรือวิญญาณผู้รักษาเหล็กไหลหรือเจ้าของเหล็กไหล นั้นจะอนุญาตหรือไม่ ก็ต้องทำการเสี่ยงทายกันด้วยไหวพริบปฏิญาณอีกครั้งโดยอธิษฐานกล่าวออกมาดังๆ ว่า

"ข้าพเจ้า นาย.......นามสกุล.........ขอเหล็กไหลที่อาศัยอยู่ในก้อนหินนี้ ถ้าท่านผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้หรือท่านผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนี้ อนุญาตให้แก่ข้าพเจ้าขอให้ได้ยินเสียงว่า ให้ (เว้นระยะนิดหนึ่ง แล้วพูดว่า "ให้" ) เป็นการพูดเอง เออเอง วิธีนี้ตามตำราไสยศาสตร์โบราณนิยมใช้กันมาก เพราะถือเคล็ดที่ว่า ถ้าหูเราได้ยินบอกว่า "ให้" ก็ ถือว่าใช้ได้ แสดงว่าเจ้าของอนุญาตแล้ว

วิธีล้อมวงสายสิญจน์ป้องกันอันตราย

เมื่อตั้งใจจะเรียก "เหล็กไหล" ออกมาจากก้อนหิน ก็ต้องป้องกันตนเองจากอันตรายต่างๆ เสียก่อนเพราะภัยจากเจ้าของผู้ดูแลเหล็กไหล บริวาร หรือวิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฏฐิฺมาแกล้งทำลายพิธีกรรม ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะฉะนั้นเครื่องลางของขลังที่มีอยู่ก็ต้องพกติดตัวไว้เสมอ

การวงสายสิญจน์นั้น เมื่อพบเห็นจุดที่สงสัยว่ามีเหล็กไหลอยู่ ก็ต้องวงสายสิญจน์ล้อมรอบก้อนหินนั้นให้ห่างจากตัวเราหรือตัวเราหรือหมู่คณะประมาณ 1 วา วงล้อมจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนหรือคณะที่มา ถ้ามาเพียงคนเดียวไม้หลักที่จะปักผูกสายสิญจน์ก็น้อย วงก็เล็ก ถ้าคณะใหญ่มากก็ต้องวงสายสิญจน์ให้กว้างพอกับคณะที่มา

อุปกรณ์ในการล้อมวงสายสิญจน์

1. สายสิญจน์ จากปากหลุมลูกนิมิตร ใช้สำหรับผูกเหล็กไหล

2. ไม้ตาขอ 9 อัน หรือ 19 อัน ให้ใช้ไม้ในป่าแถวนั้น แต่ถ้าให้เลือกไม้ที่มีรูปตาขอหรือลักษณะคล้ายตาขอ เพื่อเอาเคล็ดว่า "ขอนะ ขอเถอะ ขอแล้ว ขอครับ ขอค่ะ ขอเล็ก ขอน้อย ขอมาก ขอหมด" รวม 9 ขอ สำหรับขอที่ 10 เป็นไม้ขอพิเศษที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกอันและให้เลือกเนื้อไม้ที่แข็งกว่าทุกอัน นำมาเขียนอักษรขอมหรือพระคาถาลงไปเป็นคำว่า "เหลือ" เขียนเสร็จแล้วจะต้องปลุกเสกด้วยคาถาชูชกดังนี้

"นะโม 3 จบ"

"ปะกาเสนโต ตาชูชกคนโซ ขอใครไม่ได้ ต้องให้ กอ ขอ ขอ"

ตาขอพิเศษอันนี้ให้พกติดตัวตอนทำพิธีเป็นเคล็ดว่า "เหลือขอ" เพราะคำว่าเหลือขอนี้คงจะมีความหมายว่า "ลูกเหลือขอ" พ่อแม่ก็ส่ายหน้า ครูบาอาจารย์ก็ส่ายหน้าด้วยเอาไว้ไม่อยู่ มันเหลือขอจริงๆ

ช้างที่ว่าตัวใหญ่ที่สุดในโลกของประเภทสัตว์บก แต่ก็แพ้ตะขอหรือ ตาขอ ของควายช้างที่สับลงบนหัวแต่บางครั้งช้างมันก็รั้นและดื้อเอาการ เอาตาขอสับเท่าใดก็ไม่ ยอมอยู่ในคำสั่ง ไม่ยอมทำตามควาญช้างสั่ง ก็เรียกว่า "เหลือขอ" เหมือนกัน และที่ สำคัญไม้เหลือขอนี้ยังเสกด้วยพระคาถานักขอเอกของชูชกอีกด้วย ดังนั้นจะขออะไรใครก็คงจะสำเร็จง่ายดาย

ดังนั้นการทำพิธีไม้เหลือขอนี้ เพื่อว่าใครๆก็ส่ายหน้าไม่อยากยุ่งเกี่ยว วิญญาณทั้งหลายก็รั้งเราไว้ไม่อยู่ เสร็จแล้วน้ำตาขอทั้ง 9 อันมาปักในดิน ตอนปักต้องท่องคาถากำกับไปด้วย แล้วจึงนำด้ายสายสิญจน์มาล้อม ผูกบนไม้ตาขอเพื่อป้องกันไม่ให้สายสิญจน์ตกดิน เพราะสายสิญจน์เปรียบเหมือนกำแพงบ้านกำแพงเมือง ต้องอยู่กว่าพื้นดิน ถ้านั่งให้อยุ่ในระดับศรีษะ

ขณะที่ปักไม้หลักตาขอให้สวดบริกรรมดังนี้

"พุทโธ พุทธะ โอม เมอะมะอุ ปักดวงจิตดวงใจไว้กับแม่พระธรณี ลูกฝากหลักชัย คุ้มภัยให้ลูก หมู่มารมาเป็นแสนแม่ยังช่วยให้พุทธพ้นภัย ทา สี เน ปะ วิ ขะ สะ อะ เม อุ อันเชิญแม่พระธรณีมารักษาลูก"

ขณะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกกับหลักก็ให้บริกรรมพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้

"พุทผูก ธะมัด สังรัด มิตรึง "

"พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิเม"

ผูกสายสิญจน์ล้อมเป็นวงกลมเวียนขวาหรือเวียนตามเข็มนาฬิกา

ขณะล้อมสายสิญจน์ก็ให้สวดพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้

"พุทโธ พุทธัง นะกันตัง อะระหัง พุทโธ

ธัมโม ธัมมัง นะกันตัง อะระหัง ธัมโม

สังโฆ สังฆัง นะกันตัง อะระหัง สังโฆ

นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ พามานาอุ กะสะนะทุ

พุทธะกันนะ ธัมมะกันนะ สังฆะกันนะ"

# อิมัสมิงมงคลจักวาฬทั้ง 8 ทิศ พุทธะประสิทธิเป็นกำแพงแก้ว 7 ชั้น ป้องกันล้อมรอบ ขอบมณฑล อิระชาคะตะระสา กายาดูแลรักษาด้วย ธัมมังประสิทธิ์ สังฆังประสิทธิ

# นะโม นะมัด กำจัดออกไป ศัตรูทั้งหลายอย่าใกล้เสมามณฑล
(พระคาถาท่อนท้ายนี้ สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยทรงท่องเป็นประจำ)

เมื่อทำการล้อมสายสิญจน์เพื่อเป็นกำแพงแก้วป้องกันอันตรายทั้งปวงจากอมนุษย์ทั้งหลาย
แล้ว ยังช่วยป้องกันคุณไสยที่ปล่อยมาจากผู้ต้องการทำลายพิธีได้อีกด้วย

ผู้ทำพิธีควรนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต่อหน้าพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังที่นำมา เพราะเมื่อล้อมวงสายสิญจน์เรียบร้อยแล้ว ก็สวดมนต์เจริญภาวนา นั่งกรรมฐานเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งก่อนที่จะทำพิธีหาเหล็กไหลกันต่อไป เพราะอย่างน้อยจิตต้องทรงในระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับเกือบปฐมญาณ ซึ่งพอจะสัมผัสรับรู้หรือเห็นนิมิตต่างๆ ได้ระดับหนึ่ง แต่อาจทรงอยู่ไม่นานนัก

เมื่อจิตสงบดีแล้วก็กำหนดให้เห็นภาพเหล็กไหลหรือของขลังที่อยู่นั้นเคลื่อนตัวออกมา ถ้าเป็นเหล็กไหลให้ใช้เทียนชัยหนัก 9 บาท เป็นเทียนที่ทำจากขี้ผึ้งแท้ ไม่ใช่ทำจากไขมันวัวหรือควาย เพราะไขมันสัตว์ถือเป็นของต่ำ นอกจากรังผึ้งเท่านั้นที่ถือว่าเป็นของสูง ยิ่งไขมันน้ำมันจากตัวเหี้ยห้ามนำมาใช้ทำพิธีเด็ดขาด เพราะถ้างานมงคลใดถ้าใช้เทียนที่ทำจากตัวเหี้ยแล้ว ในคัมภีร์สมุดข่อยโบราณกล่าวไว้ว่า น้ำมันเหี้ย ไขมันเหี้ย ใช้ล้างอาถรรพ์ไสยศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามฉะนั้นเวลาทำเทียนชัยอย่าได้เอาของใครเป็นอัน
ขาด ต้องทำด้วยตนเอง เพราะถ้ามีคนอิจฉาหรือต้องการทำลายพิธีหรือแย่งผลประโยชน์ กัน พิธีกรรมที่เตรียมไว้ก็จะถูกทำลาย หรือฝ่ายตรงข้ามส่งคนแทรกซึมมาช่วยจัดหาเทียนชัยไว้ก็จะถูกลงอาคมคัดของขลังให้เสื่อ
มสลาย การทำพิธีก็จะไม่สำเร็จหรือมีอุปสรรค ฝ่ายตรงข้ามก็จะสวมรอยเข้าไปเอาเหล็กไหลหรือตัดเหล็กไหลไปได้

สำหรับความรู้ในเรื่องน้ำมันเหี้ยแล้ว ไสยศาสตร์ทางแขกหรือคุณไสยทางแขกนั้น สามารถแก้ไขได้ทุกชนิดโดยไม่ยากเพราะในคัมภีร์โบราณ 188 ปี กล่าวไว้ว่า ใช้น้ำมันหมู หรือน้ำมันเหี้ย ปลุกเสกด้วยคาถาถอน ทาทับของที่แขกทำ จะเสื่อมทันที

น้ำมันพรายที่อาจารย์แขกทำให้ศิษย์มาทาสาว พอแก้ด้วยน้ำมันหมูผสมน้ำมันเหี้ย วิญญาณผีพลายแขกร้องเสียงลั่น หนีไปสิงร่างคนที่อาจารย์แขกทำ แล้วอาละวาดจนข้าวของพังเสียหายไปหมด ดังนั้นเมื่อจะทำพิธีใหญ่ก็ควรจะระวังเรื่องเล็ก ๆ น้อย เหล่านี้ด้วย เพราะจะทำให้พิธีเสียได้


ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:24:11 »
พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็น ศิริมงคล

พระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

# พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ

# สะกะพะจะ ปูชาจะ บูชาท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพ

# อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา

# เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า

# สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ

# นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ

พระคาถาอาคมต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน นับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยาก ไม่มีตำราจะให้ศึกษา เพราะคนโบราณจะหวงวิชา จะให้วิชาที่ตนรู้ - ทำได้ - ตายไปพร้อมกับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น คนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน บางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมด เพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากการอธิษฐานจิต ของผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหล เพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนา โดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปบีบคับหรือแย่งชิงเอา แต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติ และเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน

เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวา นาคนาคา คนธรรพ์ ยักษ์ ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ จะนิมิตบอกให้รู้ เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษา เพราะผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อน จึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมาก จึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐาน หรือนิมิตบอกก็ตาม

แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากเทพพรหมเทวา ผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรค หรือ พ้นจากวิบากกรรมบางอย่าง จะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่ โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถ้ำหรือสถานที่ลึกลับ ให้เทพเทวาหรือยักษ์ คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษา จนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธี หนึ่งดังนี้

1.เหล็กไหล ที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถ้ำซอกผา มีลักษณะเป็นแผ่น ๆ เป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่าง ๆ ฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่ลี้ลับ รอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์ เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีก แต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนา หากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้อง ก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น 1 ได้เหมือนกัน

2.องค์เหล็กไหล สำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถ้ำลึกลับ เทพผู้รักษาจะมอบให้ ถ้าต้องการ >>
>>

พิธีกรรมทดสอบบารมีเหล็กไหล



ในการทดสอบบารมีของเหล็กไหลนั้น จะทำเป็นเล่นๆ หรือ เพื่อความรู้อย่างเดียวหาได้ไม่เพราะเหล็กไหลในที่นี้มีจิตวิญญาณครอบครอง มีความรู้สึก รัก โกรธ เกลียด ชอบ หรือดีเฉกเช่นความรู้สึกของสัตว์โลกทั่วไปที่ยังไม่พ้นความเป็นปุถุชน เพียงแต่อาศัยธาตุขันธ์ประกอบเข้ากันใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยใช้บุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพในระดับภพภูมิต่างๆ แฝงเข้าอาศัยอยู่ ดังนั้นมีใครคิดไม่ซื่อหรือไม่ดีที่จะมาทำลายหรือมุ่งร้ายด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ จะมีการต่อต้านหรือต่อสู้เกิดขึ้นได้เช่นกัน เช่นทำให้อานุภาพของดินปืนชื้นจนยิงไม่ออก บางครั้งผู้ที่ทดสอบด้วยปืน จะถูกเหล็กไหลต่อสู้ยื้ดยุดฉุดรั้งปืนหรือแขนไว้จนไม่สามารถจะยิงได้จนสุดท้ายถูก สิ่งที่มองไม่เห็นถีบหน้าอกหรือจุกแน่นหน้าอกจนไม่สามารถทำการยิงได้ บางครั้งล้มลงทั้งยืนเลยก็มี

ผู้อ่านหลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ หรือเกินความจริงไปหรือเปล่า แต่สิ่งเหล่านี้รอการพิสูจน์จากผู้ที่สนใจและต้องการสิ่งที่มีอานุภาพในการปกป้อง คุ้มครอง ไม่ใช่จากนายหน้าหรือผู้ที่หากินทางอาชีพยิงเหล็กไหล โดยหลอกว่ามีนายทุนใช้ให้มาทดสอบบ้าง มีการวางเงินเดิมพันบ้าง มิฉะนั้นถ้าพบของจริงอย่างที่ว่าแล้วท่านอาจจะพบกับเหตุการณ์ที่น่าสพึงกลัวจาก สิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ได้โดยง่ายก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสดๆ ร้อนๆ ต่อหน้าสายตาคนนับร้อย ดังที่จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป

เครื่องบูชา

1.บายศรีเทพ บายศรีพรหม บายศรีตอง

2.ฉัตรเงิน ฉัตรทอง 9 ชั้น 4 ทิศ

3.ตั้งศาลเอก 1 ศาล ศาลเพียงตา 4 ทิศ

4.ผลไม้ 7 อย่างทั้ง 4 ศาล

5.อาหารเจ พร้อมผลไม้ชุดใหญ่ ตั้งศาลเอกพร้อมบายศรีเทพ 1 คู่ บายศรีพรหม 1 คู่

6.บายศรีตองตั้งศาลเพียงตาอย่างละ 1 คู่

7.เครื่องกระยาบวช ข้าวตอกดอกไม้

8.คนอ่านโองการอัญเชิญ

สำหรับพิธีกรรมต่างๆ นั้นสุดแท้แต่ความประสงค์ของเทพที่รักษา ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างในการจัดทำพิธีในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น

หลังจากทำพิธีอันเชิญบอกกล่าวขออนุญาตจากเทพผู้ปกปักรักษาเหล็กไหลก็เป็น หน้าที่ของผู้ทำการทดสอบส่วนใหญ่จะเป็นไม้ขีด หรือปืนยิง 3 นัด สุดแท้แต่เงื่อนไขปลีกย่อยที่จะตกลงกันเอง ซึ่งจะต้อง ใช้วิจารณญาณของตนเองอย่าให้ตกเป็นเครื่องมือหากินของกลุ่มผู้ไม่สุจริต เท่านั้น ผู้ซื้อจริงๆ นั้นมีน้อย อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆ หรือฟังคนบอกว่าเป็นนายทุนมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ซึ่งก็ยากแก่การตรวจสอบ พอผ่านการทดสอบสอบจริงๆ แล้ว นายทุนที่ว่าไม่มีเงินจ่ายก็อาจเดือดร้อนได้ในภายหลังเหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่จะมีหลัก
เกณฑ์ดังนี้

1.นายหน้าจะต้องมีเงินค่าบูชาครูในการจัดตั้งปรำพิธีหรือของใช้ในพิธี ซึ่งสุดแท้แต่พิธีเล็กหรือใหญ่ ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป

2.ค่าใช้จ่ายของฝ่ายนายทุนผู้ทดสอบการยิง 30,000 บาท

3.เงินมัดจำหรือเงื่อนไขการจ่ายเงินเมื่อการทดสอบผ่านเรียบร้อย

เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังทุกขั้นตอนเหมือนกัน เพราะมีเล่ห์เหลี่ยมของผู้ที่ แสวงหาผลประโยชน์จากความโลภของคนเราได้ง่ายเหมือนกัน ดังข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ

ขั้นตอนการทดสอบ

1.จุดธูปบอกกล่าวขอชมบารมีและขอขมาโทษหากได้ล่วงเกินต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้

2.ทดสอบอาวุธปืน โดยทดสอบยิงขึ้นฟ้า 1 นัด เล็งเป้าหมายระยะไม่เกิน 2 เมตร แล้วเหนี่ยวไกปืน

3.กรณีเป็นไม้ขีด เมื่อเปิดรังเหล็กไหลแล้วประมาณอึดใจ ก็ทดสอบขีดดูก็จะรู้ผล หากชึ้นชุ่มขีดไม่ติดทุกก้าน ก็ผ่านตามข้อตกลง 2 กล่องหรือมากกว่านั้น

ผลจากการทดสอบการยิง



ทั่วไปแล้วจะกำหนด 3 นัดยิงไม่ออกจึงจะผ่าน และระหว่างทำการทดสอบหากปืนจะขัดข้องด้วยประการใดๆ จนไม่สามารถทำการยิงได้ หรือผู้ยิงมีอาการจุกแน่น หรือมี อาการอย่างใดอย่างหนึ่งจนไม่สามารถทำการยิงได้ ก็ถือว่าผ่าน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาทดสอบแล้วจะเปลี่ยนอาวุธหรือคนยิงใหม่ไม่ได้จะต้องถือว่าผ่านเช่
นกัน

จากการชมบารมีของเหล็กไหล 2 องค์ สีเขียวคล้ายหยกอ่อน และเขียวอมฟ้าปรากฎผลมหัศจรรย์ดังนี้

1.ถ่ายรูปไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเหล็กไหลโดยถูกวิธี เพราะมีผู้พยายามจะถ่ายรูปกดชัตเตอร์ถึง 3 ครั้ง กล้องไม่ทำงาน ทั้งตรวจสอบกล้องมาอย่างดีและไม่ได้นำไปใช้ที่ใดเลยในระหว่างการเดินทาง

2.แม้จะอนุญาตให้ถ่ายได้ บางครั้งเหล็กไหลไม่ให้ถ่ายบางภาพ หน้ากล้องจะถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที

3.ไฟหรี่ลงเอง แอร์จะดับ เครื่องยนต์ดับเอง

4.ผู้ที่ทดสอบเหล็กไหลประเภทนี้ จะมีอาการจุกแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก เมื่อจะเล็งเป้าไปที่เหล็กไหลจะรู้สึกมือไม้หนักจนยกปืนไม่ขึ้น เมื่อขืนทำเหมือนจะถูกเหนี่ยวรั้งไว้ จนคนที่อยู่ในบริเวณจะเห็นได้ชัดเจนถึงความผิดปกติในตรงนี้

5.เมื่อเหนี่ยวไกปืนจะไม่ดัง คือยิงไม่ออกมีเสียงสับนกดัง แชะ เท่านั้น

6.ถ้าเหล็กไหลสู้ หากฝืนครบจน 3 นัด จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงจนร้องออกมาด้วยความตกใจ และหงายหลังล้มลงทันที มือไม้สั่นกระตุกจนเห็นได้ชัด บางคนง่ามมือฉีก บางทีก็ปืนแตก บางคนชักดิ้นชักงอต่อหน้าเดี๋ยวนั้นทันที

7.หากเหล็กไหลหนีจะพุ่งแรงเห็นเป็นลำแสงวิ่งขึ้นฟ้าพร้อมเสียงหวีดแหลมชั่วพริบตา เท่านั้น

8.บางครั้งเมื่อครบ 3 นัด คนยิงถูกเหล็กไหลกระแทกกลับจนหงายหลังแล้ว จะพบว่าองค์เหล็กไหล ไม่ได้อยู่ที่เดิมเสียแล้ว บางครั้งกระโดดลงไปในถาดผลไม้เครื่องบูชา ถ้าถ่ายวีดีโอจะมองเห็นเป็นลำแสงสีแดงวิ่งพุ่งลงไป บางครั้งเอาใส่เซฟที่ผู้ทดสอบจัดหามา วางเปิดให้เห็นในเซฟแล้วทดสอบ เหล็กไหลกระโดดมาอยู่บนจานเชิงเทียนขนาดใหญ่ที่วางตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ทั้งที่มีสายตาหลายสิบคู่มองกันแทบไม่กระพริบ แต่ไม่มีใครสังเกตุว่ากระโดดออกมาจาก เซฟหรือพานรองรับเมื่อไร



ดังนั้นผู้ทดสอบชมบารมีเหล็กไหล จริงๆ แล้วจะต้องระมัดระวังอันตรายจากจุดนี้ด้วย จนผู้ที่รู้ดีจะเสี่ยงใช้เทียบลูกปืน หรือก้านไม้ขีดแทน ดูจะปลอดภัยกว่าด้วยประการทั้งปวง

เหตุผล ทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ มีความรู้สึกเหมือนกับเรา หากเป็นมนุษย์ธรรมดา ต่อให้สนิทกันขนาดไหน ลองเอาปืนไม่มีกระสุนแล้วเล็งมาพร้อมโก่งไกไว้ ท่านจะพอใจ หรือไม่ ?

ดังนั้นอาถรรพณ์ของเหล็กไหลทางป้องกันและรักษา จึงค่อนข้างมีอานุภาพและอิทธิฤทธิ์นานาประการสุดแท้แต่ความประสงค์ที่จะอธิษฐานเอา และเพื่อเผยแพร่เรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์ให้แก่ผู้สนใจได้รับทราบและศึกษากันต่อไป>>
>>

แก๊งต้มตุ๋น "เหล็กไหล"

พระอาจารย์เกษมสุข เขมสุโข วัดประดู่ธรรมาธิปัตย์ บางโพ กรุงเทพฯ ได้เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2535 ท่านได้รับการติดต่อจาก หัวหน้าแก๊งต้มตุ๋นขายเหล็กไหลรายหนึ่ง ได้เสนอขายสูตร และกรรมวิธีใช้ "เทียนลนเหล็กไหล" ให้สามารถย้อยออกมาจากหินในราคาถึง 100,000 บาท เพื่อนำไปใช้ประกอบการหลอกลวงเรียกเงินทองจากญาติโยมผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งวิธีดังกล่าวได้เคยใช้ได้ผลมาแล้วหลายราย ทำให้ได้เงินไปใช้หลายล้านบาท

อาจารย์เกษมสุข ท่านแกล้งทำเป็นสนใจ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องทดสอบให้ท่านดูที่วัดเสียก่อน ปรากฏว่าทางแก๊งต้มตุ๋นยอมตกลง แต่ขอค่าใช้จ่ายในการทดสอบ 2,000 บาท ซึ่งปรากฏว่าเขาสามารถใช้เทียนลนให้หินแข็ง ๆ ไหลเยิ้มออกมาได้จริง ๆ ดังภาพที่ปรากฏด้านข้าง ซึ่งทางแก๊งดังกล่าวได้เปิดเผยต่อไปว่า ของเหลวที่ไหลออกมานั้นไม่ใช่หิน แต่จะเป็นสารผสมทางเคมีหลายชนิดรวมกันโดยมีปรอทเป็นส่วนผสมหลัก จากนั้นก็จะนำเอาไปฝังไว้ในก้อนหินที่จัดเตรียมไว้ ก่อนที่จะใช้กาวติดที่ผนังถ้ำก่อนที่จะทำการทดลองให้เหยื่อชม

ระหว่างการทดลองนั้นทางแก๊งได้พยายามโน้มน้าวพระอาจารย์เกษมสุขให้คล้อยตาม โดยบอกว่าท่านเสียเงินเพียง 100,000 บาทเท่านั้น แต่ถ้านำไปหลอกผู้คนก็จะได้เงินเป็นล้านทีเดียว โดยท่านอาจารย์เพียงแต่นำเศรษฐีที่มีเงินและอยากได้เหล็กไหลมาเท่านั้น ทางแก๊งจะนำเอาเหล็กไหลเทียมที่ทำขึ้นนี้ไปซ่อนฝังไว้ตามจุดที่นัดหมาย แล้วให้ท่านอาจารย์เอาเทียนลนเหล็กไหลนั้น ก็จะทำให้คนเชื่อว่าเป็นเหล็กไหลตัดสดจริง ๆ ก็จะได้เงินหลายล้านบาท

หลังจากได้เห็นการทดสอบพร้อมกับจ่ายค่าโง่ไปแล้ว อาตมาก็ตอบปฏิเสธที่จะซื้อสูตรดังกล่าว เพราะไม่สามารถหาเงินแสนมาจ่ายค่าซื้อสูตรการต้มตุ๋นได้ นอกจากนี้แล้ว หากเอาไปหลอกคนอื่นมีหวังอาจจะถูกตามฆ่าก็ได้" พระอาจารเกษมกล่าว

นอกจากนี้แล้ว พระอาจารย์เกษมยังเปิดเผยถึงวิธีต้มตุ๋นที่คนโลภทั่วไปถูกหลอกอีก 2 วิธี โดยวิธีแรกคือ ขอเงินค่าทดสอบ โดยอ้างว่าจะมีนายหน้ามาซื้อเหล็กไหล ทั้งนี้จะบอกว่า "เหล็กไหล" ของเขาต้องบูชาครูด้วยจำนวนเงิน 500,000 บาท เพราะไม่เช่นนั้น "เหล็กไหล" จะหายไป เมื่อเขาอ้างว่า "เหล็กไหล" สามารถทดลองกับไม้ขีดไฟ ด้วยการนำไม้ขีดไฟมาวางและเอา "เหล็กไหล" มาวางทับทิ้งไว้ 10 นาที ไม้ขีดนั้นก็จะจุดไม่ติด ถ้าทดลองกับไม้ขีดไฟเห็นผลแล้วก็จะนำไปทดลองกับลูกปืน ซึ่งถ้าเอาเหล็กไหลไปทาบกับลูกปืน ลูกปืนก็จะยิงไม่ออกเช่นกัน

วิธีการหลอกลวงนั้นจะมีหน้าม้า 3 คน ขั้นแรกต้องเลือกเอาบ้านของเหยื่อที่มีฐานะก่อน โดยจะหาเอาไม้ขีดไฟที่เหยื่อเป็นผู้ซื้อเองมาใหม่ ๆ มาทดลอง โดยบอกเหยื่อว่าจะเอา "เหล็กไหล" วางทับไว้ 10 นาที หลังจากนั้นไม้ขีดไฟจะจุดไม่ติด ขณะที่รอคอยเวลาอยู่นั้น ก็จะชวนเหยื่อคุย พร้อมกับชี้นิ้วมือไปที่ภาพใดภาพหนึ่งในบ้าน แล้วถามว่าเป็นภาพอะไร ถ่ายที่ไหน ทำทีเป็นสนใจมากเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เหยื่อก็จะหันไปมองที่ภาพนั้น ทุกสายตาก็จะเบนตามไปด้วย จังหวะนั้นเองคนในแก๊งก็จะรีบสับเปลี่ยนไม้ขีดไฟทันที อีกวิธีหนึ่ง แกล้งทำแก้วให้ตกแตก พอเหยื่อหันไปดูเขาก็จะเปลี่ยนไม้ขีดไฟทันทีเช่นกัน

เมื่อนำไม้ขีดไฟมาจุดก็จะจุดไม่ติด เหยื่อเจ้าของบ้านก็จะเข้าใจว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหล เนื่องจากไม้ขีดเป็นของตัวเองที่ซื้อมากับมือ ยังจุดไม่ติดจริง ๆ แต่หารู้ไม่ว่า ไม้ขีดไฟถูกแอบสับเปลี่ยนไปแล้ว และไม้ขีดไฟของแก๊งต้มตุ๋นนั้นได้มีการเคลือบน้ำ ซึ่งทำให้หมดสภาพในการจุดประกายไฟ

ก่อนกลับแก๊งต้มตุ๋นจะเอาเงินค่าบูชาครูที่เหยื่อเป็นคนจ่ายให้ใส่กล่องแล้วห่อด้วย ผ้าขาว พร้อมกับบอกเหยื่อเจ้าของบ้านว่า จะขอฝาก "เหล็กไหล" และเงินค่าบูชาครูที่ทำพิธีไว้กับเจ้าของบ้านก่อน ให้เก็บบูชาเป็นระยะเวลา 1 เดือน ห้ามเปิดออกมาโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น "เหล็กไหล" จะหนีไปหมด

วิธีการหลอกเอากล่องที่ใส่เงินจะทำเช่นเดียวกับการสับเปลี่ยนไม้ขีดไฟ โดยแก๊งคนร้ายได้เตรียมกล่องห่อผ้าขาวมาอีก 1 ห่อ ซึ่งก่อน ที่จะเปลี่ยนกล่องดังกล่าวนั้น แก๊งต้มตุ๋นจะใช้ให้เหยื่อไปจุดธูปบูชา "เหล็กไหล" กลางแจ้งก่อน พอเหยื่อเผลอเขาก็แอบเปลี่ยนห่อ ผ้าขาวทันที

เมื่อครบ 1 เดือน เหยื่อจะแก้ห่อผ้าขาวออกมาดู ปรากฏว่าเงินค่าไหว้ครูไม่มีเสียแล้ว และวัตถุที่บอกว่าเป็น "เหล็กไหล" ก็ไม่มี สิ่งที่ปรากฏคือก้อนหิน หรือก้อนเหล็กอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย

ข่าวการทดลองเหล็กไหล

ข่าวคราวของการทดลองเหล็กไหลมักจะปรากฏให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ จริงบ้างเท็จบ้าง จึงควรต้องใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ดี แต่ถ้าเป็นเพียงเพื่อศึกษาค้นคว้าก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ ดังนั้นจึงขอนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเหล็กไหลให้ท่านได้ทราบในอีกแง่มุมหนึ่ง

588 บ้านฟ่อน หมู่ 2 ซอย 2 ต.ชมพู
อ.เมือง จ.ลำปาง 52100

8 พฤษภาคม 2540

นมัสการ พระครูกาญจนกิจจาทร (หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คมภีโร)

กระผม นายพุทธิพงศ์ ศรีวิกุล เป็นชาวจังหวัดลำปาง ได้อ่านและทราบประวัติของหลวงพ่อ เกี่ยวกับการตัดเหล็กไหล และการฝังเหล็กไหลในตัวคน ซึ่งกระผมมีความสนใจมาก คิดว่าจะมาฝังเหล็กไหลด้วยตนเอง และจะนำคณะมาฝังเหล็กไหลด้วยในไม่ช้านี้ ส่วนเรื่องของการตัดเหล็กไหลนั้น มีอยู่ว่ามีคณะของกระผมคนหนึ่ง เขาต้องการที่จะขายเหล็กไหลเป็นจำนวนเงินมากพอสมควร และจะต้องใช้ปืนลองยิงดูทุกครั้ง เป็นการทดสอบว่าของดีจริง หรือไม่ จุด 38 ยิงเป็นจำนวน 3 นัด ผลออกมาคือ ไม่เคยยิงออกเลย เหล็กไหลมีอยู่ 2 ก้อน

ก้อนที่ 1 มีน้ำหนัก 3 บาท

ก้อนที่ 2 มีน้ำหนัก 5 บาท

เป็นเหล็กไหลโกฏิปี มีลักษณะสีสรรวรรณะ เขียวเหมือนสีของแมลงทับ และในการตัดเหล็กไหลจะต้องมี พระที่มีบารมีมาก จึงจะตัดได้ และจะต้องทำพิธีการตัดอยู่หลายอย่าง จึงกราบเรียนหลวงพ่อให้ทราบว่า มีของอยู่แล้ว แต่เวลามีนายทุนใหญ่มาลองของทุกครั้ง ไม่เคยมีใครยิงออกเลย แต่เวลาจะโอนเงินนั้น เหล็กไหลได้กลับไปอยู่กับเจ้าของเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่เอาใส่ไว้ในตู้เป็นกล่องเหล็กอย่างดีไม่มีรูแม้แต่น้อยเลย พวกกระผมทำกันถึง 3 ครั้ง แต่ก็กลับไปอยู่กับคณะของพวกกระผมเหมือนเดิม

ซึ่งพวกกระผมก็ได้หาวิธีและได้นิมนต์พระมาหลายรูปแล้ว เพื่อมาตัดเหล็กไหลนี้ แต่ก็เหมือนเดิม อาจจะคงเป็นเพราะทำพิธีไม่ถูกต้องก็เป็นได้ จึงกราบเรียนให้หลวงพ่อได้ทราบในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งหลวงพ่อเป็นผู้ที่มากด้วยบารมีและรู้วิธีการตัดเหล็กไหลได้อย่างถูกต้อง จากที่กระผมได้ศึกษามานี้จึงทำให้คิดว่า หลวงพ่อต้องทำได้อย่างแน่นอนในวิธีการตัดเหล็กไหลในครั้งนี้

ในเรื่องของการเดินทางมาที่ถ้ำแฝดนี้ กระผมจะนำคณะมาเอง โดยที่หลวงพ่อไม่ต้องออกไปไหน และการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์มีอะไรบ้างขอให้หลวงพ่อเขียนมาบอกด้วย หรือจะให้จัดเตรียมที่ จ.กาญจนบุรี เลยก็ได้ ขอนมัสการกราบเรียนหลวงพ่อว่า เรื่องเป็นความสัจจริงทุกประการ และถ้าหากวิธีการตัดเหล็กไหลสำเร็จแล้ว พวกกระผมและคณะจะสร้างทุกอย่างที่ทางวัดถ้ำแฝดต้องการ หรือหลวงพ่อต้องการจะสร้างอะไร กระผมจะเป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง จึงเรียนมาเพื่อให้หลวงพ่อได้โปรดเมตตาช่วยให้พวกกระผมได้ร่วมสร้างผลบุญกุศลในครั้ง
นี้ด้วย ถ้าได้รับจดหมายจากกระผมแล้ว กระผมขอรบกวนหลวงพ่อช่วยเมตตาตอบจดหมายให้กระผมได้ทราบด้วย ส่วนเรื่องของการเดินทางพวกกระผมและคณะจะเดินทางมาพบหลวงพ่อเองครับ


ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:25:17 »
ข่าวการซื้อขายเหล็กไหล

พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ ?ไทยรัฐ? ฉบับที่ 15549 วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม 2543
"แก๊งต้มตุ๋นเหล็กไหล สตท.ระเบิดหัว"

ยิงหนแรกไม่ออก กู้เงินซื้อขายเสี่ย พอยิงรอบ 2 เหล็กไหลกระจุย ตัดใจตายหนีหนี้

สิบตำรวจโทหนุ่มเกิดหลงตกเป็นเหยื่อแก๊งหลอกซื้อขายเหล็กไหล ทีแรกนำไปทดสอบยิง 2 นัดไม่ระเบิด จึงกู้หนี้ยืมสินเพื่อนบ้านกว่าครึ่งล้านนำไปมัดจำ แล้ววิ่งเต้นติดต่อขายให้นายทุนใหญ่หลายสิบล้านบาท เสี่ยใหญ่ตกลงซื้อนำไปยิงทอดสอบก่อนจ่ายเงิน ปืนเกิดระเบิดเปรี้ยง เหล็กไหลที่อ้างว่าทรงอิทธิฤทธิ์ถึงกระจุยกระจาย ทำให้ตกเป็นหนี้หาทางออกไม่ได้ ระเบิดสมองตัวเองตายทั้งยังแต่งชุดตำรวจอย่างอนาถ เขียนจดหมายลาตายฝากฝังแม่และลูกสาว รวมทั้งแบ่งปันสมบัติเท่าที่มีอยู่ให้แก่ทุกคน

ตำรวจหนุ่มหลงตกเป็นเหยื่อแก๊งต้มตุ๋นซื้อขายเหล็กไหล ลงทุนกู้หนี้ยืมสินเพื่อนบ้านกว่าครึ่งล้านไปทดสอบยิงปืนไม่ระเบิด จึงนำซื้อไว้นำไปขายเสี่ยใหญ่ พอทดสอบยิงอีกทีปืนระเบิดเปรี้ยงเหล็กไหลกระจุย ต้องตกเป็นหนี้หาทางออกไม่ได้ระเบิดสมองตัวเองตายอนาถรยนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 15 ส.ค. ร.ต.อ.ประเสริฐ พานโท ร้อยเวร สภ.อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ ได้รับแจ้งว่ามีเหตุตำรวจยิงตัวตายที่สถานีอนามัยบ้านสามสวน ต.สามสวน จึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชา จากนั้นพร้อมด้วย พ.ต.ท.สมาน พุดซา สวส.รักษาราชการแทนรอง กกก.หน. สภ.อ.บ้านแท่น พ.ต.ท.สุรชัย สายณสิต สวป. เจ้าหน้าที่และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิเต็กก่าจีแซเกาะ อ.ชุมแพ รุดไปยังที่เกิดเหตุ พบว่าที่ด้านห้าสถานีอนามัยมีชาวบ้านมุงดูกันแน่น และพบว่าที่ม้านั่งใต้สถานีอนามัยมีศพ ส.ต.ท.สมบัติ ป้อมสุวรรณ อายุ 29 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.อ.บ้านแท่น นอนหงายจมกองเลือดในสภาพสวมชุดเครื่องแบบตำรวจ มีแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืน 9 มม. ที่เหนือกกหูขวาทะลุด้านซ้ายเป็นรูโบ๋ มันสมองปนเลือดกระจายเกลื่อน ในมือขวายังกำปืนพก 9 มม. ที่ตกมาแนบหน้าอกไว้แน่น ในแมกกาซีนมีกระสุนที่ยังไม่ด้ยิงอีก 7 นัด ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน 9 มม. ตกอยู่ 1 ปลอก และหัวตะกั่วหล่นอยู่บนพื้น ห่างไปเล็กน้อยบนโต๊ะพบไฟฉายพร้อมวิทยุมือถือและกระเป๋าถือสีน้ำเงินวางอยู่ เมื่อเปิดออกตรวจดูพบว่าภายในกระเป๋ามีจดหมายใส่ซองสีฟ้า 3 ซองและสีขาว 1 ซอง จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จดหมายฉบับที่ 1 เขียนถึง พ.ต.ท.สุรชัย สายณสิต สวป.ผู้บังคับบัญชาว่า ตนไม่สามารถเป็นตำรวจที่ดีของท่านได้ แต่ภูมิใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสทำงานร่วมกัน ขอฝากฝังให้ช่วยจัดการเรื่องเงินที่จะได้รับหลังตนเสียชีวิต โดยขอให้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งมอบให้มารดา อีกส่วนหนึ่งแบ่งให้ภรรยาและลูกสาวเพื่อเป็นทุนการศึกษาของบุตร ฉบับที่ 2 เขียนถึงอาจารย์ปัญญา เจ้าอาวาสวัดสมอ บ้านหนองบัว กล่าวขอโทษหลวงพ่อที่ตนคิดสั้น บอกว่าหมดปัญญาเจอทางตัน ไม่มีทางออกจริง ๆ จึงอยากฝากลูกสาวให้เป็นบุตรบุญธรรมอีกคน เพื่อเด็กจะได้มีอนาคตที่ดีต่อไป ฉบับที่ 3 เขียนเป็นพินัยกรรมที่ผู้ตายเขียนไว้ 4 ข้อ มีทรัพย์สินทั้งหมดขอมอบให้ภรรยาและลูกสาว เงินส่วนที่จะได้ให้แบ่งเป็น 2 ส่วน ให้มารดาและภรรยาพร้อมลูก ที่ดินนาส่วนของตนขอยกให้ลูกสาวคนเดียว โดยให้พี่สาวครอบครองทำกินและให้ช่วยเหลือการศึกษาของลูกสาวจนกว่าจะโต สุดท้ายขอให้นายวิโรจน์ รัตนพงศ์ พี่เขยเป็นผู้จัดการมรดกให้เป็นไปตามนี้ ส่วนฉบับที่ 4 เขียนถึงพี่ทิปและพี่โรจน์ พี่สาวและพี่เขย บอกว่าไม่ต้องเสียใจใครเกิดมาก็ต้องตายทุกคน ตนคงมีกรรมไม่สามารถอยู่ดูโลกได้อีกต่อไป เกิดชาติใหม่ขอเกิดเป็นลูกแม่และเป็นน้องพี่อีกหน ขอฝากช่วยดูแลลูกเมียให้ด้วย ลงชื่อว่า ?ส.ต.ท.สมบัติ ป้อมสุวรรณ ตำรวจน้อยรักดีแต่อายุสั้น?

จากการสอบสวนในเบื้องต้น พ.ต.ท.สุรชัยได้นำผู้ใกล้ชิดของ ส.ต.ท.สมบัติ ซึ่งทราบสาเหตุที่ทำให้ยิงตัวตายมาสอบปากคำทำให้ทราบว่า เกิดจากผู้ตายมีความกลัดกลุ้มจากภาวะตกเป็นหนี้สินเงินกู้ เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ตายได้รวบรวมเงินทองและกู้เงินเพื่อนบ้านได้ 5 แสนบาท นำไปซื้อเหล็กไหลจากแก๊งหลอกตุ๋นขาย ไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ที่ใด และเป็นใครมาจากไหน โดยตกลงซื้อกันในราคา 1 ล้านบาท วางมัดจำเงินไว้ 5 แสนบาท และผู้ตายนำไปทดสอบยิงเหล็กไหลก้อนดังกล่าวถึง 2 ครั้ง 2 ครา ปรากฏว่า กระสุนยิงไม่ออก ผู้ตายหลงเชื่อว่าเป็นเหล็กไหลจริง ยอมจ่ายเงินให้แก๊งตุ๋นไป และนัดให้มารับส่วนที่เหลือภายหลัง ต่อมาผู้ตายได้วิ่งติดต่อขายให้แก่นายทุนใหญ่คนหนึ่ง ตกลงซื้อขายในราคาหลายสิบล้านบาท นายทุนใหญ่นัดให้นำไปยิงทดสอบหากยิงไม่ออกก็จะจ่ายเงินซื้อทันที แต่คราวนี้ปรากฏว่า กระสุนระเบิด เหล็กไหลที่คุยว่าทรงอิทธิฤทธิ์ถึงกระจุยกระจาย

ข่าวนี้ย่อมเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ฝักใฝ่ในการเป็นนายหน้า ซื้อขายเหล็กไหลได้เป็นอย่างดี เนื้อข่าวไม่ได้ระบุชัดเจนถึง ชนิดของเหล็กไหล รูปพรรณสัณฐาน วิธีการทดสอบครั้งแรก ว่าปืนหรือกระสุนเป็นของใคร แต่ที่แน่ ๆ ว่าพอทดสอบครั้งที่ 2 เหล็กไหลแตกกระจุย ย่อมแสดงถึงของเทียมหรือเลียนแบบ ผู้ใดที่พยายามจะเป็นนายหน้าขายเหล็กไหล ระวังอย่าตกเป็นเครื่องมือของเหล่ามิจฉาชีพ ที่อาศัยความโลภของมนุษย์เป็นเหตุหลอกล่อ

ต้มเจ้าอาวาส

ข่าวจากหนังสือพิมพ์ ?ไทยรัฐ? ฉบับที่ 15712 วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2544 คอลัมน์ ?ข่าวสั้นทันโลก? ได้นำเสนอข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ กระแสธาตุกายสิทธิ์ ที่น่าสนใจว่า

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 26 ม.ค. พระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า นายวิเชียร เพชรนิล อายุ 30 ปี และนางจันทร์จุรี หมายเมฆ อายุ 27 ปี สองผัวเมียอยู่บ้านเช่าเลขที่ 20/12 ถนนเลียบทางรถไฟ บ้านบ่อนไก่ อ.หัวหิน นำก้อนหินเป็นแก้วผลึกสีอ้างว่าเป็น ไข่พญานาค ได้มาจากพระธุดงค์ที่ จ.สุโขทัย มีสรรพคุณรักษาโรคได้ทุกชนิดและเป็นเครื่องรางของขลังสิริมงคล มาหลอกขาย 2 ครั้ง ครั้งแรก 9 ก้อน ตนจ่ายไป 10,000 บาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมานำมาขายอีก 84 ก้อน คิดราคา 84,000 บาท แต่จ่ายเงินให้ไปก่อน 70,000 บาท ต่อมามีญาติโยมทักท้วงจึงลองทุบดู พบว่าข้างในเป็นแก้วผลึกธรรมดา จึงมาแจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกง หลังรับแจ้งตำรวจตามจับนางจันทร์จุรีได้คนเดียว

แก๊ง 18 มงกุฎ

เมื่อเดือน กันยายน 2540 มีคณะรับซื้อเหล็กไหล อ้างว่าเป็นชาวไต้หวันกับคนไทยร่วมกัน รับเป็นนายทุนดำเนินการในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ก่อนการทดสอบของ สามารถตรวจสอบวงเงินซื้อขายได้จากทางธนาคารกรุงเทพฯ สาขาท่าเรือ กาญจนบุรี หากของไม่ผ่านการทดสอบ ผู้เสนอขายจะต้องจ่ายให้ 5 แสนบาท หากผู้ซื้อไม่สามารถแสดงวงเงินที่ซื้อขายได้ก็ยินดีจ่ายให้ฝ่ายผู้ขาย 5 แสนบาทเช่นกัน

พอถึงเวลาทั้งสองฝ่ายก็นัดตรวจสอบยอดเงินกัน ปรากฏว่าฝ่ายชาวไต้หวันซึ่งใช้ชื่อว่า มิสเตอร์อังได้ทำทีเป็นโทรศัพท์ติดต่อกับทางต่างประเทศ พูดไปพูดมาก็สรุปว่า กำลังจะโอนเงินให้อยู่ นั่งรอกันเกือบชั่วโมงเพื่อรอการเช็คข้อมูลจากธนาคาร ก็ไม่ปรากฏว่ามีการโอนเงินโชว์ผ่านทางธนาคารแต่อย่างใด แต่ฝ่ายผู้ขายได้เตรียมเงินสดมาแสดงพร้อม 5 แสนบาท

ทางฝ่ายผู้ขายและเจ้าของเหล็กไหล ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ด้วย จึงได้เชิญตัวผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไปพูดจากัน ผู้ขายจึงจะขอทำการปรับตามข้อตกลง ปรากฏว่าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับให้ได้ เพราะค้นแล้วมีเงินติดตัวกันรวม 700 บาทเท่านั้น ซึ่งฝ่ายนายทุนยอมรับว่าได้แอบอ้างวิธีการนี้หากินแบบนี้มานานแล้ว บางรายก็สำเร็จบางรายก็ไม่สำเร็จ เพราะรู้ว่า เหล็กไหลของจริงนั้น ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ คือ ไม่ผ่านการทดสอบหรือมีการหนีไปก่อน แต่ถ้าเป็นของปลอมก็ถูกปืนยิงกระจุย

ฝ่ายเจ้าของเหล็กไหลจึงนำเอาเหล็กไหลองค์ที่จะขายแช่ไว้ในแก้วน้ำแล้วอธิษฐานจิต เพียงครู่เดียว แล้วนำเอาแก้วน้ำไปตั้งกลางแจ้ง ให้ฝ่ายนายหน้าลองทดสอบดูด้วยปืน .357 จนหมดโม่ก็ยิงไม่ออก เรื่องนี้ปรากฏต่อสายตาคนเกือบร้อยคนที่ทราบข่าวที่มามุงดู ถ้าจะเป็นการแสดงก็คงระดับบรมครู

สนิมเหล็กไหล

ข่าวจากหนังสือนิตยสาร ?พระเกจิ? ปีที่ 2 ฉบับที่ 28 วันที่ 20 ต.ค. 37 โดยสำเริง มณีวงศ์ ได้เขียนลงในคอลัมย์ ?ทางกรรม? เมื่อคราวไปเขียนเรื่องประวัติและเรื่องราวของ ?ถ้ำเชียงดาว? ในปลายปี 2535 เพื่อลงในนิตยสารฉบับหนึ่ง

คุณเพชร กันทาดี ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้เป็น อย่างดี ช่วงหนึ่งในขณะที่รับประทานอาหารร่วมกัน ได้มีโอกาสสนทนากันถึงเรื่องราวประหลาดเรื่องหนึ่งซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมา และเกี่ยวข้องกับตัวคุณเพชรพอสมควรในฐานะผู้อยู่ร่วมและรับรู้ด้วย

เมื่อคุณเพชร กันทาดี เดินทางไปรับตำแหน่งประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่แรก ๆ ประมาณ ปี พ.ศ. 2535 ก็ได้รับฟังเค้ามูลของเรื่องน่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือ ?ข่าวของเหล็กไหล? ร่ำลือกันว่ามีกะเหรียงคนหนึ่งอยู่แถบชายแดนไทย-พม่าของอำเภอฝาง สามารถพาผู้ต้องการซื้อไปพบเจ้าของเหล็กไหลได้และยินดีจะให้พิสูจน์ เหล็กไหล ทุกอย่างเพื่อให้เกิดความแน่ใจก่อนตกลงซื้อขายกันในราคาตั้งแต่หนึ่งล้านบาทขึ้นไป

ข่าวเหล็กไหลสร้างความสนใจอย่างมากกับคุณเพชร บังเอิญระหว่างนั้นอาจารย์พงศ์เทพ ชูพินิจ (ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว) เดินทางจากเมืองแพร่โดยพาเสี่ยผู้ร่ำรวยมาจากกรุงเทพฯดั้นค้นขึ้นไปถึงเมืองฝาง ทั้งนี้ด้วยการส่งข่าวเรื่องเหล็กไหลจากลูกน้องคนหนึ่งของอาจารย์นั่นเอง

เมื่อทุกอย่างพร้อมก็มีการเดินทางจากตัวอำเภอฝางไปตามเส้นทางของ กรป.กลางที่สร้างไว้ไปสู่หมู่บ้านคนโรคเรื้อนที่ทางการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า..?หมู่บ้านอรุโณทัย? อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของตำรวจตระเวณชายแดนจนไปสิ้นสุดเอาที่หมู่บ้าน ?หนองอุ๊ก? สุดเขตแดนสยาม หมู่บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยพวกจีนฮ่อทั้งนั้นแต่ฟังและพูดภาษไทยพอรู้เรื่อง

การติดต่อเจรจาซื้อขายเหล็กไหลดังกล่าวจะต้องผ่านหน้าม้าซึ่งเป็นกะเหรี่ยง โดยกลุ่มที่เดินทางไปซื้อต้องลงทุนเดินด้วยเท้าเปล่าอีกทอดหนึ่งในป่าลึก แล้วพักรออยู่บนกระท่อมหลังหนึ่งของชาวกะเหรี่ยง ปล่อยให้กะเหรียงหน้าม้าเดินลัดป่าไปหาเจ้าของเหล็กไหลกินเวลากว่า 3 ชั่วโมง ทั้งกะเหรียงหน้าม้าและเจ้าของเหล็กไหลถึงได้มาถึงกระท่อม ผู้ที่เป็นเจ้าของเหล็กไหลเวลาพูดคุยกันมักไม่ค่อยสบหน้า ปล่อยให้หน้าม้าอธิบายสลับกัน

สรุปแล้วก็ตกลงที่จะให้ทดลองความศักดิ์สิทธิ์กันด้วยการทำพิธีเสียก่อน จากนั้นก็จะให้ผู้ซื้อจ่อยิงเหล็กไหลในระยะใกล้ตามแต่จะเลือก ถ้ากระสุนไม่ออกก็เป็นอันตกลงซื้อขายกันในราคาหนึ่งล้านบาท แต่มีเงื่อนไขว่าสถานที่ทดลองและทำพิธีนั้นจะต้องทำกันที่ลานกว้างโดยเจ้าของเหล็กไห
ลจะเป็นฝ่ายพาไป

ทุกคนเดินทางกันเป็นกลุ่มตามเจ้าของเหล็กไหลซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ห่างไปทางตะวันตกอันเป็นที่ราบเชิงเขา ก่อนที่จะมีการทดลองนั้น เจ้าของได้เปิดตลับสีน้ำเงินเข้มกำมะหยี่ออกมา ซึ่งตลับนี้ซุกซ่อนอยู่ในกระบอกไม้ไผ่มีผ้าดิบพันปากกระบอกอีกชั้นหนึ่ง เจ้าของค่อยบรรจงหยิบวัตถุก้อนหนึ่งสีทึบคล้ายทับทิมขนาดเท่าเม็ดลำใยให้ทุกคนดู อย่างระทึก เมื่อขอจับดูรู้สึกหนักและเย็นชื้นเหมือนก้อนน้ำแข็งสมกับของหายากยิ่งที่ทุกคนปรารถ
นาเมื่อได้สัมผัสของจริงกันถ้วยทั่วพอใจแล้วพิธีจึงเริ่มขั้น

บริเวณลานกว้างนั้น ด้านหน้าออกไปมีการตั้งแท่นบูชาสูงราวหนึ่งเมตร มีผ้าขาวคลุมโต๊ะจรดพื้นดิน บนแท่นนี้มีพานสีเหลืองวางอยู่ ผู้ทดสอบจะต้องเดินไปที่แท่นนี้แล้ววางปืนไว้บนพานเหลือง แล้วเดินหันหลังออกมาเจ็ดก้าวรอจนกว่าการกล่าวคาถาพิธีเสร็จจึงค่อยหันหลังกลับไป หยิบปืนได้ คาถาศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่ดอความคมขลังของเหล็กไหลมีความยาวเกือบสิบนาที

ผู้ที่จะทำหน้าที่ทดสอบครั้งนี้คือ คุณเพชร กันทาดี ผู้มีความถนัดในเรื่องการใช้ปืนสั้นเพราะได้รับความเห็นชอบจากทุกคน ปืนพกรีวอลเว่อร์จุด 38 กระบอกห้านิ้วนั้นเป็นปืนพกประจำตัวของเสี่ยจากกรุงเทพฯ ผู้ที่จะซื้อเหล็กไหลนั่นเองมีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อได้เวลาก็เริ่มทำพิธีโดยเพชร กันทาดี เดินถือปืนกระบอกนั้นไปวางไว้บนพานเหลืองแล้วหันหลังกลับมาช้า ๆ ระหว่างนั้นตัวเจ้าของเหล็กไหลก็เริ่มสวดคาถาซึ่งฟังแปลก ๆ ไม่รู้เรื่องยาวนานเกือบสิบนาทีทีเดียว พอเสร็จสิ้นก็ให้สัญญาณ ให้เพชร กันทาดี ไปหยิบปืนได้ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่เดินอาด ๆ เข้าไปยังแท่นพิธีหยิบปืนพกกระบอกนั้นขึ้นมาพร้อม ๆ กับเจ้าของเหล็กไหลเริ่มเปิดตลับนำเอาไปวางไว้บนตอไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมองเห็น วัตถุสำคัญนั้นถนัดชัดเจน ทุกคนกรูกันเข้ามุงดู เพชร กันทาดี ยกปืนขึ้นจ่อเหล็กไหลในระยะใกล้เพียงกึ่งฟุตแล้วสับไกทันที

แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ แช๊ะ

ทุกคนระทึกตื่นเพริดเพราะลูกกระสุนไม่ระเบิดจากลำกล้องแม้สักนัดเดียว พากันขนลุกเกรียวไปตาม ๆ กันและเชื่อในอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของเหล็กไหลอย่างท่วมท้น โดยเฉพาะเสี่ยผู้ซื้อเขาถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีปรีดา เมื่อพิสูจน์เหล็กไหลกันแล้วก็นัดหมายการจ่ายเงินกัน ผู้ขายขอรับเพียงเงินสดอย่างเดียว รุ่งขึ้นทุกอย่างก็เรียบร้อยโดยจ่ายกันสด ๆ ในเมืองฝางผ่านหน้าม้าชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับมอบหมาย

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่หยุดชั่วครู่ด้วยการยกแก้วเบียร์
ที่เย็นเจี๊ยบขึ้นดื่ม สอดดวงตามองมายังผู้เขียนอย่างหนักหน่วงเหมือนจะคาดคั้นคู่สนทนาที่กำลังตื่นเต้นกับ
เรื่องที่เล่า

?ก็คงจบแค่นี้?

ผมสรุปเอาดื้อ ๆ เมื่อเห็นว่าผู้ซื้อผู้ขายต่างก็สมปรารถนาของตนแล้ว แต่ ?มันเป็นของเก๊?

เพชร กันทาดี เผยเคล็ดลับอย่างต่อเนื่องอีกว่า เสี่ยจากกรุงเทพฯพอได้ของดีไปแล้วก็บินกลับเข้าเมืองหลวงจัดพิธีเลี้ยงพรรคพวกใหญ่โต
นำเหล็กไหลที่ได้มาหนึ่งล้านบาทออกมาโชว์ด้วยแถมท้าใครต่อใครให้พิสูจน์ คราวนี้เหล็กไหลวิเศษแหลกย่อยยับแทบเป็นผุยผงเมื่อเจอเข้ากับลูกตะกั่วจากลำกล้อง 357 สีเงินยาว เสี่ยใหญ่หน้าแตกจนแทบเสียสติเป็นบ้า ร้อนถึงอาจารย์พงศ์เทพผู้อาสาพาไปซื้อ ต้องหวุดหวิดเข้าคุกด้วยข้อหาร่วมกันหลอกลวง ทั้ง ๆ ที่ตัวอาจารย์ก็ถูกหลอกไปด้วย

ในที่สุดก็ได้ความจริงว่าเป็นแก๊งที่หลอกต้มคนมาหลายครั้งแล้ว หาใช่เป็นกะเหรี่ยงจีนฮ่อแต่ประการใด คนไทยด้วยกันนี่แหละปลอมเป็นพวกชาวเขาเพื่อให้ดูขลังสมจริง

?ฮ้าว ทำไมตอนทดลองครั้งแรกปืนจึงไม่ลั่น?

เพชร กันทาดี มองหน้าผู้เขียนอย่างละห้อยละเหี่ย เอ่ยอย่างเหน็ดเหนื่อย

?ความจริงสภาพปืนในวันนั้นดีทุกอย่าง แต่ถูกคมตะไบเฉือนที่ปลายนกจนทู่มันจะเสียบถึงลูกได้ยังไง?

?อ้าว?

ผู้เขียน งง เหมือนตาบอดคลำหัวเหน่า

?เรื่องมันเป็นยังงี้ ตอนที่ผมเดินหันหลังกลับจากวางปืนบนพานทองเหลืองแล้ว คนที่ซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังโต๊ะซึ่งซ่อนตัวอยู่ในหลุมที่ขุดเตรียม
การณ์ก็โผล่มือขึ้นมาคว้าปืนลงไปในหลุมและทำการใช้ตะไบฝนนกปืนจนทู่เสร็จแล้ว รีบเอาขึ้นมาไว้อย่างเดิม มันทำงานรวดเร็วมาก ถึงว่ามันย้ำว่าถาคาทำพิธียาวถึงเกือบสิบนาที เพิ่งรู้?

แต่ผลกรรมตามทันเพราะเสี่ยที่เสียรู่้ไปหนึ่งล้านนั้น อยู่ไม่นานก็ร่ำรวยจากกิจการได้มากกว่าหลายเท่า เก็บความแค้นไว้เงียบ ๆ ไม่ประโตกประตากเป็นข่าวทางสื่อมวลชนเพราะกลัวไก่จะตื่นเสียก่อน

?เสี่ยทำยังไงครับ?

เพชร กันทาดี หัวร่อหึ ๆ ในลำคอ ดวงตาลุกเป็นประกายวาวขึ้นมาฉับพลัน

?เสี่ยทิ้งระยะเวลาผ่านเงียบไปช่วงหนึ่ง ก็จ้างนักฆ่ามืออาชีพปลอมตัวไปเจรจาซื้อถึงที่ ผ่านการทดสอบทำพิธี แล้วก็จับมัดกะเหรี่ยงปลอมและผู้ร่วมแก๊งทั้งหมดเอาเหล็กไหลอันวิเศษของพวกมันซึ่งทำ
จากแก้วธรรมดายัดใส่ปากให้อมเพื่อทดสอบความขลัง ลากตัวขึ้นรถตู้ควบตะบึงไปทางดอยสะเด็ดที่เปลี่ยว นำตัวเอามานอนเรียงกันแล้วจ้างนักขับแรกเตอร์ชั้นเซียนบดขยี้ด้วยตีนล้อยักษ์ จมธรณีไปหลายศอก เป็นข่าวที่เงียบที่สุดหนังสือพิมพ์ไม่เคยรู้ เรื่องนี้เอาไปเขียนได้แต่อย่างระบุชื่อจริงของเสี่ย ผมนั้นไม่เสียหายเพราะไม่มีส่วนร่วมรู้การฆ่าคนพวกนี้ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เพราะเล่าลือกันมาอย่างนั้น?

นั่นคือเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับการ ซื้อ-ขาย เหล็กไหลที่ปรากฏเป็นข่าวก็มี รู้กันในวงแคบ ๆ ไม่แพร่งพรายต่อบุคคลภายนอกก็มาก จึงเป็นข้อคิดสะกิดเตือนใจท่านผู้แสวงหาเหล็กไหล ได้โปรดใช้วิจารณญาณของท่านพิจารณาให้ดี เพราะเมื่อมีของจริงของปลอมก็ย่อมมีได้เหมือนกัน

ข้อสังเกตุ

จากเรื่องราวเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าขบวนการหากินในเรื่องเกี่ยวกับ เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์ หรือ เหล็กไหลพญานาค ได้อาศัยสิ่งที่ทำเทียมและเลียนแบบจาก แก้วธรรมดาหรือแก้วที่ตกผลึก ออกเร่ขายตามวัดวาอารามต่าง ๆ หรือบุคคลที่หลงไหลศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้น โดยกลวิธีในรูปแบบต่าง ๆ ที่เราท่านคาดไม่ถึงให้เห็นเป็นจริงเป็นจัง หากท่านเจ้าอาวาสองค์ใดหลงไหลไปตามกระแสของพวก 18 มงกุฎเข้า โดยเข้าใจว่าสิ่งที่ได้มานั้นเป็นของกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งจริงดังกล่าวอ้าง แล้วนำมาเผยแพร่ต่อ ก็อาจทำให้ของเทียมกลายเป็นของจริงขึ้นมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้>>
>>

พิธีกรรมฝังเหล็กไหล

เรื่องราวของชายชาตรี ส่วนใหญ่มักนิยมในเรื่องเครื่องรางของขลัง แคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพัน และมหาอุด เพราะชีวิตในสังคมทุกวันนี้ค่อนข้างเสี่ยงภัยนานาประการ นอกจากวัตถุมงคลที่เป็นพระเครื่องหลากหลายแล้ว การแสวงหาของขลังอื่น ๆ ก็ไม่น้อยหน้ากัน

หลังจากที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้ค้นพบเหล็กไหลตาแรดแล้ว ท่านก็เริ่มต้นทำในสิ่งที่ท่านตั้งใจทันที สิ่งหนึ่งนั้นก็คือ นำเอาเหล็กไหลตาแรดที่พบนั้นมาเจียระไนให้ได้ขนาดพอเหมาะ ประมาณเมล็ดถั่วเขียว ซึ่งโตพอที่จะทำการฝังลงไว้บริเวณใต้ท้องแขนได้โดยสะดวก ก่อนที่จะนำมาฝังให้กับผู้ศรัทธานั้น ก็ต้องทำพิธีบวงสรวงบอกกล่าวต่อ ปู่ สิงขร ผู้รักษาเหล็กไหลนี้ก่อน

สำหรับผู้ที่จะทำพิธีฝังเหล็กไหลนั้น จะต้องมีพานดอกไม้สักการะ บูชาครู เสียก่อน หากท่านไม่ได้เตรียมมาทางวัดก็จะจัดเตรียมไว้ให้ ประกอบด้วย

1. ดอกบัว 10 ดอก

2. ธูปเทียน 1 ชุด

3. เงินค่าบูชาครู

เมื่อจัดเตรียมเครื่องบูชาพร้อมแล้ว ก็จะนำกล่าวบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาพระเข้าตัว ทำพิธีเสริมดวง เสริมบารมี สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ด้วยการ ?ครอบมงกุฎพระเจ้า? เมื่อเสร็จพิธีเสริมดวงแล้ว ก็จะประสิทธิบูชาครูด้วยพระคาถาเฉพาะการนี้โดยตรง เรียกว่า ?คาถาปลุกตัว? มอบถวายเครื่องบูชาทั้งหมดกับหลวงพ่อ หลังจากนั้นก็ จะเริ่ม

พิธีกรรมฝังเหล็กไหล

อุปกรณ์การฝังเหล็กไหล ประกอบด้วย

1.เขียงไม้แก่นมะขาม ลงอาคม
2.สิ่วแสตนเลสแหลมบาง
3.ฆ้อนไม้ลงอาคม
4.แอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อ
5.พลาสเตอร์ยาปิดแผล
6.ยาใส่แผลสด

วิธีการฝัง



ในเบื้องต้นจะให้ผู้ฝังเหล็กไหลวางท้องแขนพาดวางไว้ตรงเขียงไม้ที่เตรียมไว้ นำสิ่วแสตนเลสที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง แช่ทิ้งไว้ในแอลกอฮอล์ก่อน เมื่อกำหนดจุดที่จะฝังแล้ว จึงค่อยจรดปลายสิ่วพร้อมกับใช้ฆ้อนไม้นั้นตอกลงไป ผู้เข้าพิธีจะรู้สึกเจ็บเพราะคมสิ่วเล็กน้อยคล้ายถูกมดกัดเท่านั้น บางทีอาจจะไม่ทันเจ็บไปด้วยซ้ำ เพราะการตอกฆ้อนไม้นั้นรวดเร็วจนไม่ทันรู้สึกเจ็บก็ได้



หลังจากนั้นก็จะนำเม็ดเหล็กไหลที่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษ กลมเกลี้ยงเม็ดเล็กขนาดเท่าถั่วเขียว ใส่เข้าไปทางปากแผลที่เปิดไว้นั้น ให้อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางรอยแผล โอมอ่านพระถาคากำกับตามเคล็ดวิชา แล้วนำยาใส่แผลสดทาที่ปากแผล ปิดด้วยแผ่น พลาสเตอร์ยาให้สนิท และระวังอย่าเพิ่งให้ถูกน้ำซัก 3 วัน ปากแผลก็จะติดสนิท จะเป็นรอยแผลเป็นนิดหน่อยเท่านั้น ซึ่งถือว่าเสร็จสิ้นพิธี กรรมในขั้นที่ 1

อีกประการหนึ่งที่ใคร่จะเรียนไว้ให้พิจารณาก่อนที่ผู้เข้าพิธีจะทำการฝังเหล็กไหล หากเคยได้รับการฝังเหล็กไหลหรือตะกรุดของขลังจากครูบาอาจารย์อื่นมาก่อน ควรที่จะกราบเรียนให้ท่านผู้เป็นเจ้าพิธีทราบก่อนล่วงหน้า เพื่อท่านจะได้โอมอ่านคาถาขอขมากรรมให้เป็นกรณีพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นการตอกสิ่วให้เกิดปากแผลอาจต้องทำหลายครั้ง เนื่องเพราะความเหนียวและความอยู่คงด้วยอานุภาพเหล็กไหลหรือตะกรุดของขลังที่ฝัง ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว เรื่องนี้มีปรากฏให้เห็นมาแล้วหลายราย


ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:28:47 »
เผยปมปริศนา ?เหล็กไหลตาแรด?

เหนียวเหมือนแรดจริงหรือ?

เมื่อท่านได้ทำพิธีฝังเหล็กไหลเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้รับสัจจะไปถือปฏิบัติ 3 ข้อ

1.รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.อย่าลักของเขา

3.อย่าด่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์

ข้อห้าม 3 ประการนี้จะต้องถือไว้อย่างเคร่งครัด ห้ามฝ่าฝืน ไม่เช่นนั้นของดีที่ท่านประสิทธิ์ให้จะมีอานุภาพไม่เต็มพลัง ในกรณีที่พลาดพลั้ง เผลอด่าพ่อ ด่าแม่ ซึ่งอาจจะเกิดจากความเคยชิน มิได้มีเจตนาในทางร้าย ก็จุดธูปเทียนขอขมาครูบาอาจารย์ และพึงรักษาอย่าให้พลั้งเผลออีก หมั่นปลุกด้วยพระคาถาที่ท่านมอบให้เป็นการเฉพาะดังนี้

สัมปันโนปะวะสิเสวะ สมาธิงปะวะโรชิโน

สยัมภูญาณะสัมปันโน สันหาวาจังนะมามิหัง

ฤทธิ์ปุราคาริภูตังวะ ฤทธิ์วิชาปฎิหันยาติ

ฤทธิ์ตะกัมมังนะกาเรตะวา ริยะวังสังนะมามิหัง

ทดสอบความเหนียวคง

พอทำการฝังเหล็กไหลเข้าตัวเป็นที่เรียบร้อย นับได้ว่าได้ผ่านพิธีขั้นแรกในส่วนของการฝัง ก็มาถึงขั้นที่ 2 ซึ่งถือเป็นขั้นตอนของการทดสอบอานุภาพเหล็กไหลที่ฝังไปนั้นว่าจะมีอานุภาพสูง ป้องกันภัยให้แก่ผู้เป็นเจ้าของได้จริงหรือไม่ ซึ่งผู้ฝังเหล็กไหลกับครูบาอาจารย์ของทางวัดถ้ำแฝด จะต้องผ่านขั้นตอนนี้ทุกราย ยกเว้นผู้เข้าพิธีฝังเหล็กไหลนั้นจะเป็นสุภาพสตรี จะมีข้อยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ



ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ทุกคนจะต้องผ่านการทดลองเสียก่อน หลวงพ่อท่านจะให้ผู้ฝังเหล็กไหลนั่งพับเพียบต่อหน้าท่าน ส่วนมือก็ล้วงลงไปในย่าม หยิบเอามีดหมอด้ามหัวแรดเนื้อเหล็กไหลหล่อ ด้ามเล็กแต่คมกริบตัดเส้นผมขาด ขั้นตอนของการทดสอบอานุภาพก็มีเพียงว่า ท่านพระอาจารย์ซึ่งเป็นเจ้าพิธีจะนำมีดหมอที่คมกริบ ปลายมีดแหลมเปี๊ยบ ผู้ที่สงสัยในความแหลมคมสามารถขอพิสูจน์ดูได้ ท่านจะเอามีดมาทำการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ ใช้มือข้างหนึ่งจับผมของผู้เข้าพิธีทดสอบ แล้ววางมีดของท่านลงบนกระจุกผมที่รวบไว้ ลากคมมีดเบา ๆ ทำให้เส้นผมกระจุกนั้นขาดสะบั้นออกจากกันอย่างง่ายดาย จากนั้นก็นำเอามาปาดคอผู้ผ่านพิธีการฝังเหล็กไหลมาแล้ว ปาดซ้ายที ขวาที แล้วเสือกปลายมีดที่มี ความแหลมคมเข้าไปตรง ๆ ที่คออีก 1 ที เป็นการเสือกแทงที่แรงเอาการ แรงพอที่จะทำให้ผู้ถูกทดสอบเสียหลักหงายผึ่งลงไปกับพื้นได้เลยทีเดียว



พอลุกขึ้นมาท่านก็จะให้สำรวจดูลำคอของตนเองว่าเป็นอย่างไร มีบาดแผลบ้างหรือเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่อย่างใด นอกจากรอยแดง ๆ นิดหน่อย หรือบางรายก็ เป็นยางบอนก็มี แต่ก็แค่ผิวถลอกนิดหน่อยไม่มีอันตรายแต่อย่างใดทั้งสิ้น หลังจากนั้นท่านก็จะให้ดื่มน้ำมนต์ 3 อึกแก้เคล็ดหลังจากถูกลองด้วยของมีคม>>
>>
>>
>>
>>
>>
>>
>>
>>
>>

ฝังทำไม-ทำไมถึงต้องฝัง

เรื่องราวของวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังนั้น มักจะมีเคล็ดลับและวิธีใช้แตกต่างกันบ้างเหมือนกันบ้างตามบุรพาจารย์ผู้เป็น ต้นตำนานบอกกล่าวไว้โดยเฉพาะ ดังเรื่อง ?เหล็กไหล? หลวงพ่อจำเนียร จากวัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ ได้เล่าให้ลูกศิษย์ผู้สนใจในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ฟังว่า

เหล็กไหลนั้นโดยธรรมชาติย่อมมีพลังอำนาจอยู่ในตัว หากได้รับการประจุพลังจากการปลุกเสกที่ถูกต้องก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และจะมีพลังอำนาจในการบูชาลดหลั่นกันดังนี้

1.จะมีพลังอำนาจสูงสุดเมื่อฝังอยู่ในตัวคน

2.ห้อยไว้ให้ถูกเนื้อคน กล่าวคืออย่าเลี่ยมปิดทึบทั้งหมด

3.ห่อเก็บไว้ในกระเป๋าถือ จะมีอานุภาพเท่ากับพลังการปลุกเสกอย่างเดียว

หลวงพ่อจำเนียรท่านเปรียบเทียบว่า ของเหล่านี้มีพลังจากธรรมชาติเดิม เหมือนต้นว่านจะมีฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อ นำมาอมใส่ในปากพอถูกน้ำลายคน ถูกเนื้อคน ก็จะเกิดปฏิกริยาทางเคมี ดูดซึมทำให้เกิดมีอานุภาพทางคงกระพันหรือเมตตา หรือย่อมเป็นไปตามลักษณะของว่านชนิดนั้น ๆ

หลวงพ่อจำเนียร ท่านเคยให้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ฝัง ?โคตรเหล็กไหล? เป็นครั้งแรกในสมัยที่ท่านมาบุกเบิกวัดถ้ำเสือใหม่ ๆ ไม่ใช่ท่านกลัวตายแต่เพื่อ ป้องกันพิษจากยาสั่ง เพราะท่านเคยมีประสพการณ์เรื่องตรงนี้มาก่อน และหลังจากนั้นท่านก็ได้ฝัง ?เหล็กไหลตาแรด? ?เหล็กไหลฤาษี? และ ?เหล็กไหลเงินยวง? จากวัดถ้ำแฝด ด้วยเหตุผลของอานุภาพเหล็กไหลที่แตกต่างกันไป

สำหรับท่านที่สนใจในเหตุผลเหล่านั้น ก็สอบถามข้อมูลได้จากหลวงพ่อโดยตรง เพราะผู้เขียนเคารพนับถือในความรอบรู้ของหลวงพ่อ จึงไม่ประสงค์พาดพิงถึงท่านจนเกินงาม

ดั้งนั้นการฝังจึงเหมาะด้วยประการทั้งปวง พลังอำนาจของเหล็กไหลจึงเพิ่มพูนและเปล่งอานุภาพได้เต็มที่ยามเกิดภาวะคับขัน หรือประสงค์จะช่วยส่งเสริมผู้ศรัทธาให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง หรือเป็นประโยชน์ตามที่ พระอาจารย์สิทธา เชตวัน ได้บอกไว้เบื้องต้น

ปัญหาส่วนใหญ่ที่อยากทราบกันเกี่ยวกับการฝังนั้นมีดังนี้

1.เจ็บไหม? นิดหน่อยแค่มดกัด บางทีไม่ทันรู้สึกเจ็บ เพราะตอกเร็วมาก

2.ฝังแล้วมันเคลื่อนที่ได้หรือเปล่า?

3.กลัวว่าฉีดยาไม่เข้า

4.กลัวว่าจะมีข้อห้ามทำให้รักษายาก

5.จะเกิดอันตรายในภายหลังหรือเปล่า ?

ความเจ็บปวด

ในที่นี้จึงใคร่ขอกล่าวโดยภาพรวม ๆ ว่า การตอกฝังนั้นเพียงเปิดผิวหนังในใต้ท้องแขน ในส่วนที่เป็นหนังกำพร้าหรือใต้ผิวหนังนิดเดียว โดยอาศัยค้อนไม้ตอกลงบนสิ่วแสตนเลสที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว จึงไม่ค่อยเจ็บอย่างที่คิด ผู้หญิงหรือเด็กก็เคยฝังกันมามาก เพราะความเร็วในการตอกฝังนั่นเอง ระวังอย่าให้แผลถูกน้ำหรือระวังน้ำซึมเข้าประมาณ 3 วัน ปากแผลก็จะหายสนิท เหลือเพียงรอยแผลเป็นเล็กน้อย ไม่ถึงกับน่าเกลียดอะไร

ฝังแล้ววิ่งในกาย

พวกเราหลายคนคงคิดถึงเรื่องการฝังเข็มทอง ที่ว่ามันจะวิ่งรอบตัว โดยเฉพาะจะวิ่งไปรับอาวุธที่ศัตรูมุ่งทำร้ายมา เกิดวิ่งมาที่ตาจะทำให้ตาบอด หรือผิดครูก็จะทำให้เข็มนั้นทิ่มแทงออกมาใต้ผิวหนังตุงเลยทีเดียว

สำหรับผู้ฝังแล้วเคยมาเล่าประสพการณ์อยู่ 2 ราย รายแรกเป็นทหารอยู่กองพลที่ 9 เมื่อกลางปี 2534 เคยเกิดอุบัติเหตุรถปิคอัพไปอัดกับรถเก๋ง ผลคือขาหัก 2 ข้าง ได้เอกซเรย์ดูผลกระดูก ปรากฏว่ามีเม็ดอะไรบางอย่าง เหมือนเม็ดเหล็กไหล อยู่ใกล้ส่วนบริเวณที่หัก เอะใจขึ้นมาก็ลองลูบดูที่ต้นแขนที่เคยฝัง?เหล็กไหลตาแรด? ปรากฏว่าไม่มี ก็ เลยเชื่อว่าเหล็กไหลคงวิ่งไปรับแรงกระแทกจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ทำให้ไม่ตายโหง รักษาอยู่เดือนเศษ ก็เลยลาราชการมาบวชอยู่ที่วัดถ้ำแฝด 1 พรรษา ได้เล่าถวายให้หลวงพ่อสัมฤทธิ์และพระในขณะนั้นฟัง พร้อมทั้งเอามือลูบที่หน้าขา ก็ยังปรากฏเหมือนเม็ดเหล็กไหลปรากฏอยู่

สุภาพสตรีรายนี้ไม่อยากให้เอ่ยชื่อ อยู่แถวจังหวัดสมุทรสงคราม ได้มาฝังเหล็กไหลเมื่อต้นปี 2543 นี้เอง เพราะถูกรบกวนด้วยมนต์ดำ ได้ให้หลวงพ่อวัชระรักษาจนหายดี ก็เลยขอฝังเหล็กไหลฤาษี หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 เดือน พบว่าเม็ดเหล็กไหลเลื่อนจากใต้ท้องแขนช่วงไหล่ มาอยู่ใกล้ข้อศอก ก็รู้สึกตกใจ แต่เพียง 2 วันก็กลับไปอยู่ที่เดิมก็ ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน ก็เลยพาพี่น้องและเพื่อนมาฝังเหล็กไหลอีก 3 คน เพราะมี ความเชื่อมั่นว่าเหล็กไหลวิ่งมาช่วยกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาที่แขน เพราะปกติตนเองจะเจ็บที่ข้อศอกเสมอ

ปกติแล้วไม่ค่อยพบเห็นว่าเหล็กไหลวิ่งไปไหนในร่างกายแต่อย่างไร คงเป็นกรณีพิเศษ ด้วยเหตุผลบางอย่าง

ฉีดยาไม่เข้า

มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ? ก็คงจะมี เพราะสมัยหลวงพ่อแม้ในปัจจุบัน ผู้ที่ฝังเหล็กไหลบางคน เมื่อเจ็บป่วยถึงขั้นต้องฉีดยา ปรากฏว่าเข็มแกะออกมาใหม่ ๆ ฉีดไม่เข้า ไม่ใช่ครั้งเดียว บางที 3 เข็มก็ยังแทงไม่เข้า จนเจ้าตัวนึกขึ้นได้ จึงกล่าวขออนุญาตจากครูบาอาจารย์ นั่นแหละเข็มจึงแทงเข้า แต่ก็ไม่ใช่จะประสพกับทุก ๆ คน แต่ก็มีหลายคนเหมือนกัน

การระวังรักษา

การรับสัจจะ 3 ข้อนั้นก็ระวังรักษาไม่ยาก จะมีบ้างก็คงการด่าจนติดปากหรือเรียกล้อเล่นกันระหว่างเพื่อนสนิท ก็ไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากไม่มีเจตนาจะปรามาสใครเพียงแต่หมั่นสวดพระคาถาปลูกตัวที่ให้ไว้จนคล่อง หมั่นสวดเป็นประจำ ก็จะสำฤทธิ์ผล ไม่มีข้อห้ามเรื่องการกินอาหาร เหมือนวิชาบางอย่างที่เป็นไสยศาสตร์โดยตรง เพราะเหล็กไหลนี้จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์มีฤทธิ์อำนาจในตนเองอยู่แล้ว

ดังนั้นไม่ว่าท่านจะมุดหรือลอดราวผ้า ใต้ถุนเรือน ต้นไม้บางชนิด ของเหล่านี้ก็ คงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาล หลวงพ่อสัมฤทธิ์เคยเปรียบเทียบไว้ว่า งูเห่าถึงจะมุดน้ำครำผ่านของโสโครกมาอย่างไร ก็คงยังมีพิษเหมือนเดิม ไม่ใช่ว่ามุดลอดในสิ่งที่เราถือแล้ว มันจะหมดพิษไป อย่าให้มันกัดได้ก็แล้วกัน โอกาสตายก็ย่อมมี

การฝังไว้นาน ๆ จะมีผลกระทบอะไรไหม

หลายคนคงจะมีคำถาม เพราะเกรงว่าเม็ดเหล็กไหลที่ฝังไปอาจจะทำให้เกิดปฏิ กิริยาต่อต้านจากร่างกาย หรือ ทำให้ธาตุขันธ์ผิดปกติ บางคนคิดไกลไปว่า เหล็กไหลจะดูดกินเลือดมนุษย์ ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ ก็เลิกวิตกได้เลย กว่า 30 ปีที่ ได้ทำพิธีฝังมานับหมื่นคน ยังไม่เคยปรากฏปัญหาผลกระทบจากการฝังสิ่งที่เรียกกันว่า เหล็กไหล นี้เลย

ประโยชน์จากการฝัง

# ทางด้าน เมตตา มหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด กันคุนไสย

# ถ้านั่งสมาธิบ่อย ๆ จะสัมผัสพลังบางอย่างไหลผ่านลงมาจากกลางกระหม่อมจนถึงแขนขาชาไปทั่วตัว

# หากจิตดีก็สัมผัสกับปู่เหล็กไหลได้

# บางครั้งจะเกิดเหตุการณ์อะไร ไม่ว่าจะดีหรือร้ายแล้วแต่ ให้สังเกตุเม็ดเหล็กไหลที่ฝัง จะมีแรงกระตุกเตือนหรือลางบอกเหตุล่วงหน้า บางครั้งกระตุกแรงจนท่านอาจตกใจ เช่นขับรถด้วยความเร็วก็ควรลดความเร็วลงอยู่ในระดับที่ควบคุมเหตุกระทันหันได้ เพราะอาจจะมีอุบัติเหตุขวางหน้า เป็นต้น ให้รู้จักสังเกตการกระตุกว่าเป็นลักษณะอย่างไร หรือหากจะมีโชคลาภจากการค้าขาย หรือ ลาภลอยเป็นอย่างไร

# การฝังจะอยู่ติดตัวเราตลอดชีวิตไม่ว่ายามหลับหรือตื่น ถ้าเป็นวัตถุ มงคลบางครั้งเราอาจจะถอดลืมไว้ได้ ยามมีภัยก็ขาดสิ่งคุ้มครองป้องกันอันตรายได้>>
>>

ประสบการณ์เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ


>>
QUOTE>>
เข็มแทงไม่เข้า
คุณธงไชย เผ่ารัชตพิบูลย์ ร้านทองแม่สมจิต ตลาดบ้านหมอ สระบุรี โทร (036) 201114 ได้บูชาวัตถุมงคลเกี่ยวกับเหล็กไหลตาแรดไปหลายรายการ เช่น แหวนหัวเหล็กไหลตาแรด ประคำโทนเหล็กไหลตาแรด เม็ดเหล็กไหลตาแรดทำจี้คอ รูปเหมือนหลวงพ่อขี่แรด เป็นต้น คุณธงไชย เมื่อบูชาไปครั้งแรกนั้นก็ประมาณต้นเดือนมกราคม 2538 หลังจากวันเกิดครบ 6 รอบ ซึ่งเพิ่งออกวัตถุมงคลให้บูชาเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นก็ได้นำเอาประคำโทนเหล็กไหลตาแรดแขวนติดตัวไว้เสมอ

วันหนึ่งได้ลืมเอาเหล็กไหลติดตัวไป เนื่องจากลืมและถอดเก็บไว้แต่ใจได้นึกถึง เหล็กไหลตาแรด แล้วไม่ทราบว่านึกอย่างไรเช่นกัน ก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ในใจว่า หากเหล็กไหลตาแรดศักดิ์สิทธ์จริงขอให้แสดงปาฏิหาริย์ให้ได้เห็นประจักษ์สักครั้ง หลังจากนั้นก็ได้นำเอาเหล็กไหลตาแรดแขวนติดตัวเป็นประจำ จนวันที่ 28 มกราคม 2538 ได้ไปบริจาคโลหิตที่ รพ.ซึ่งได้บริจาคเป็นปกติ ปรากฏว่าขณะที่พยาบาลได้นำเข็มเจาะเลือดมาเพื่อแทงเข้าที่แขนนั้นก็ต้องพบกับ ความประหลาดใจ เพราะไม่สามารถแทงเข้าได้ จึงได้สอบถามด้วยความสงสัย และคุณธงไชยก็เห็นกับตาว่าเวลาแทงเข็มนั้นก็ได้แทงตามลักษณะปกติที่เคยทำอยู่เป็น ประจำทำให้เกิดปิติขนลุกซู่ขึ้นมาทันที และนึกได้ว่าเคยอธิษฐานขอชมบารมีของเหล็กไหลตาแรดไว้ ทำให้ปลาบปลื้มว่าได้พบของจริงและของดีเข้าแล้วหลังจากนั้นก็ได้ติดต่อทางวัดขอบูชาเ
หล็กไหลตาแรดไปเลี่ยมติดตัวในหมู่ญาติพี่น้องอีกหลายเม็ด

จากการสนทนากันทราบว่า คุณธงไชย เป็นนักปฏิบัติด้านกรรมฐานคนหนึ่งที่มีจิตสัมผัสสิ่งลี้ลับได้พอสมควร และเคยมีวัตถุมงคลชุดเกี่ยวกับเหล็กไหลของที่อื่นสร้างมาก่อนเช่นกัน อานุภาพก็ไม่ ด้อยกว่าเหล็กไหลตาแรดของวัดถ้ำแฝด ยอมรับว่ามีพลังดีมากทั้ง เมตตามหานิยมแคล้วคลาด คงกระพันและมหาอุด แต่เหล็กไหลตาแรดของที่อื่นนั้นยังไม่เคยแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ปรากฏชัดเจน เหมือนเช่น เหล็กไหลวัดถ้ำแฝด และที่มั่นใจว่าเหล็กไหลวัดถ้ำแฝดมีอานุภาพคุ้มครองยอดเยี่ยม ก็เพราะในภายหลังก็ได้ประสบเหตุการณ์อื่นๆ อีกหลายครั้งอย่างที่ไม่เคยเป็นหรือพบมาก่อนเพราะเมื่อก่อนหน้านั้นยังไม่ได้บูชา เหล็กไหลตาแรดวัดถ้ำแฝดมา เวลาทำงานมักจะประสบอุบัติเหตุ เลือดตกยางออกเป็นประจำแต่เมื่อได้บูชา เหล็กไหลตาแรดแล้ว บางครั้งเกิดอุบัติเหตุในการทำงานค่อนข้างรุนแรงน่าจะได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้ แต่กลับเป็นเพียงปูดนูนหรือรอยพกช้ำนิดหน่อย จนตัวเองมั่นใจว่า การสัมผัสของตนไม่ผิดพลาดแน่ เป็นด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลตาแรดที่ได้มาโปรดตนเองแน่นอน>>




>>
QUOTE>>
ถูกมีดแทงไม่เข้า
เมื่อกลางปี 2537 ชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นชาวระยอง ซึ่งหลวงพ่อจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ได้มาขอฝังเหล็กไหลไปประมาณเดือนเศษ ได้พาน้องชายและเพื่อนคนหนึ่งมาขอฝังเข็มเหล็กไหลกับท่านพร้อมทั้งเล่าประสบการณ์ที่
เกิดขึ้นกับตนเองมาสดๆร้อนๆ ในอานุภาพของเหล็กไหลตาแรดที่ได้ช่วยชีวิตของเขาให้รอดตายมาได้

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันได้เข้าไปดื่มสุราอาหารกับเพื่อนๆที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใน จังหวัดระยอง ดื่มกันไปคุยกันไป เกิดมีเรื่องเขม่นกับวัยรุ่นโต๊ะข้างเคียง มองกันไปมองกันมา ก็มีการขว้างแก้วเข้าใส่กัน จนกลายเป็นการตะลุมบอนกันนัวเนีย รู้สึกว่าตนเองถูกมีดแทงอย่างแรงที่หน้าท้อง ก็รู้สึกตกใจ เอามือกุมไว้และเซเสียหลักล้มลงจึงได้เปิดดูบาดแผล เพราะคิดว่าคราวนี้คงแย่แน่ๆ แต่ไม่เห็นมีเลือดออก พบเพียงรอยจ้ำสีแดงเหมือนรอยช้ำแดงๆ เท่านั้นเองจึงนึกขึ้นมาได้ว่าได้ฝังเหล็กไหลตาแรดกับหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้บัดนี้ของ วัดถ้ำแฝดได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ขึ้นมาแล้ว

แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่า ก่อนหน้านี้ เคยถูกเข็มเย็บผ้าทิ่มนิ้วตัวเองจนเลือดหยด แต่คราวนี้ถูกมีดแทงอย่างหนักหน่วง กลับไม่เข้ามันน่าสงสัย ก็นั่นซีครับ>>




>>
QUOTE>>
เสี้ยววินาทีแห่งความตาย

คุณวสันต์ แซ่ตั้ง ขายห่านพะโล้อยู่แถวถนนเยาวราช กรุงเทพฯ โทร 223-5528 ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ศรัทธาในเหล็กไหลตาแรดวัดถ้ำแฝด ก็ได้เดินทางมาฝังเหล็กไหลกับหลวงพ่อไล่ๆ กับรายที่อยู่ระยอง หลังจากนั้นไม่นานเกิดมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับน้องสาวของตนเอง จนกลายเป็นเรื่องยอมกันไม่ได้ ถึงกับท้าทายให้เอามีดมาแทงตนเอง 3 ที ด้วยเพิ่งฝังเหล็กไหลมาใหม่ๆ

ฝ่ายน้องสาวได้ยินคำท้าดังนั้นก็ไม่ยอมลดละเช่นกัน บอกว่ารอเดี๋ยว พร้อมกับเอามีดทำครัว "กีวี่" มาลับจนคม มิใยที่บิดาผู้เฒ่าจะร้องห้ามปรามไม่ให้พี่น้องทะเลาะกันเพราะถ้าตายคนหนึ่งอีกคนก็ ต้องติดคุก แล้วผู้เป็นบิดาจะอยู่กับใคร

คุณวสันต์เองก็ถือว่าลูกผู้ชาย พูดแล้วไม่คืนคำ และด้วยทิฐิมานะที่จะยอมน้องสาวไม่ได้พอกะว่าได้เวลาก็เดินทื่อเข้าหาน้องสาวทันที ฝ่ายน้องสาวก็รอจังหวะ เห็นพี่ชายทื่อเข้าใส่ก็คิดว่าคงจะถูกทำร้ายก็หลับหูหลับตาสวนมีดเข้าไปข้างหน้า เต็มแรง ถูกหน้าท้องเต็มที่

ท่ามกลางเสียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกของคนรอบข้างและบิดา ฉับพลันนั้นสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้บังเกิดขึ้นต่อหน้าทุกคนในขณะนั้น ที่มุงดูอยู่ด้วยความหวาดเสียวแทบไม่หายใจ ผลคือมีดนั้นงออย่างเห็นได้ชัดไม่สามารถทำให้ผิวหนังนั้นเป็นบาดแผลได้เมื่อดู ภายหลังเห็นเป็นรอยช้ำหนักๆ เท่านั้น

ทันทีทันใดเหมือนโลกทั้งใบจะหยุดหมุน ความรู้สึกที่สับสน ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ได้บังเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีแห่งความตายในขณะนั้น ความโกรธที่มีอยู่กลับกลายเป็นความรักความห่วงใย น้ำตาของทั้ง 2 ฝ่ายรวมทั้งบิดาผู้ชราและหลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้หลั่งออกมาด้วยความรู้สึกที่ แตกต่างกัน

เช่นกัน หลังเหตุการณ์ระทึกใจได้ผ่านพ้นไป ความเข้าใจอันดีต่อกันก็กลับคืนมา เหมือนบุญกุลของทุกฝ่ายได้มาประสานกันทำให้เกิดเหตุอันมหัศจรรย์นี้ขึ้น ทำให้เพื่อนๆ คุณวสันต์หลายคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็มาขอฝังเหล็กไหลกันมั่ง เพราะความมั่นใจในพลังจิตอันเข้มแข็งที่ช่วยชีวิตลูกศิษย์ไว้ให้รอดตายโดยเห็นกับ ตาตนเองหรือช่างเป็นบุญวาสนาที่จะยังไม่ถึงที่ตาย เทพเจ้าจึงได้ปกปักษ์รักษาชีวิตเอาไว้ก็เหลือเดา ขอให้ท่านได้ใช้ดุลยพินิจพิจารณาเอาเอง หรือสงสัยจะโทรถามคุณวสันต์โดยตรงเองเลยก็ได้ คงจะได้คำตอบที่ชัดเจนกว่านี้>>




>>
QUOTE>>
เหล็กไหลตาแรดที่เหนียวตลอดกาล

ต้นปี 2537 เช่นกัน สุภาพสตรีระดับคุณนายภริยานายทหารอากาศที่ดอนเมือง เป็นศิษย์รุ่นเก่าแก่ได้มาฝังเหล็กไหลไปกว่า 10 ปีแล้ว ได้พาคณะมาฝังเหล็กไหล 3 - 4 คน พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองให้หลวงพ่อฟังโดยมีผู้ที่มาด้วยร่วมกัน ยืนยัน

สามีนายทหารอากาศได้ไปมีภรรยาน้อย เมื่อต่อว่าต่อขานก็กลายเป็นทะเลาะวิวาทตบตีกันฝ่ายสามีเกิดบรรดาลโทสะ ถึงขั้นคว้าปืน . 45 ขึ้นเล็งยิงคุณนายตนเองทันที เสียง แช๊ะๆๆ กับเสียงร้องด้วยความตกใจร้องเรียกให้คนช่วยดังลั่นบ้านทำให้เพื่อนบ้านข้างเคียง รีบรุดมาไกล่เกลี่ย

ฝ่ายสามีก็ได้สติและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ตนเองเกือบเป็นฆาตรกรฆ่าภรรยาตัวเองเสียแล้วจึงถามว่ามีอะไรดี ฝ่ายคุณหญิงนั้นก็ไม่มีอะไรห้อยคอ นึกได้ว่า 10 กว่าปีมาแล้วที่ตนได้ไปฝังเหล็กไหลตาแรดกับหลวงพ่อสัมฤทธิ์ที่วัดถ้ำแฝด ซึ่งกล่าวขานกันในเรื่องมีอิทธิฤทธิ์ กันมีดกันปืนได้ดี จึงได้มากราบและทำบุญกับหลวงพ่อพร้อมกับผู้ที่ใกล้ชิดเหตุการณ์หลายคน

เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้บางรายจำเป็นต้องปกปิดชื่อเสียงเรียงนาม เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าตัวนำเรื่องราวมาเปิดเผยแต่อยากให้ทุกท่านได้รับทราบถึง อานุภาพและอิทธิฤทธิ์ที่ปรากฎมาในอดีตจนถึงปัจจุบันว่า เหล็กไหลตาแรด ยังคงเปล่งอานุภาพเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้ปัจจุบันนี้ก็มีผู้มาขอฝังเหล็กไหลหรือขอบูชาวัตถุมงคลในชุด เหล็กไหลตาแรดกันอย่างไม่ขาดสาย มาจากทุกส่วนของประเทศ จากเหนือ เชียงราย พะเยา จนถึงใต้สุด นราธิวาส อุบล ศรีสะเกษ สุรินทร์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย ตราด จันทบุรี ชลบุรี ระยอง มีผู้ฝังไปแล้วนับหมื่นราย ในทุกส่วนของประเทศก็ว่าได้

โดยเฉพาะที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม "โลกทิพย์" มีผู้มาฝังเหล็กไหลครั้งละไม่ต่ำกว่า 40 รายเป็นประจำ โดยเฉพาะวันอาทิตย์แล้ว ที่วัดถ้ำแฝดจะมีญาติโยมมาฝังเหล็กไหลและเสริมดวง เสริมบารมีด้วย "มงกุฏพระเจ้า" กันอย่างล้นหลาม เหมารถตู้มาจากทางไกลในส่วนต่างๆ ทั่วประเทศ บางคราวมากันเป็นรถบัสหลายๆ คัน เต็มวัดไปหมด จนสถานที่รับแขกคับแคบและเต็มไปด้วยกลิ่นและควันธูปตลบอบอวนไปหมด แต่หลวงพ่อวัชระก็ ยังคงต้อนรับญาติโยมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน พูดคุยกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง จากเช้ายันค่ำ บางทีถึงมืดก็บ่อยครั้งด้วยความเมตตาที่ทุกคนเสียสละเวลาและทรัพย์ สินเงินทองมาด้วยความศรัทธา จึงไม่อยากให้ผิดหวังกลับไป>>


ออฟไลน์ ลูกผู้ชายตัวจริง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 741
  • เพศ: ชาย
  • กูจะกลับมากู้แผ่นดิน ให้พ้นภัยศัตรู
    • MSN Messenger - namo159@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 06 เม.ย. 2550, 03:31:19 »
QUOTE>>
เหล็กไหลตาแรดกับปืนลูกซอง

เมื่อ 20 เมษายน 2540 ลูกศิษย์ของหลวงพ่อสัมฤทธิ์รายหนึ่งท่านเรียกชื่อว่า " โบ้ " ซึ่งมาจาก "แรมโบ้" เพราะรูปร่างสูงใหญ่ ตัวหนา เป็นลูกศิษย์ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมานาน แต่เพิ่งมาฝังเหล็กไหลตาแรดกับหลวงพ่อในช่วงปี 2538 ก่อนหลวงพ่อมรณะภาพไม่นาน

ปรากฏว่าในวันดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นและคงต้องจำไปตลอดชีวิต เพราะในช่วงเย็นประมาณ 4 โมงเศษ ได้นัดจะไปธุระเรื่องงานกับเพื่อนชื่อ ประทีป ซึ่งได้ฝังเหล็กไหลตาแรดในวันเดียวกันเป็นผู้ขับรถมารับที่บ้าน ถนนสุขาภิบาล 3 ขณะที่กำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถ และก้มจัดของอยู่ ประทีปที่นั่งขับรถอยู่ได้สตาร์ทเครื่องรถรออยู่ ได้เห็นรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งสวนมา มีคนซ้อนท้ายเข้ามาในระยะใกล้เพียง 3 เมตร ได้ชักอาวุธปืนลูกซองขึ้นมากระบอกหนึ่ง เล็งเป้ามาที่รถดังกล่าว จึงได้ร้องบอกเตือนให้เพื่อนคือ "แรมโบ้" ให้ระวังซึ่งยังคงระวังไม่ทัน เพราะได้ยินเสียงยิงปืนดังแชะ เหมือนปืนยิงไม่ออก เกือบฉับพลันมือปืนก็ชักปืนลูกซองอีกกระบอกขึ้นมายิงออกทันที ปรากฏเสียงดังปังใหญ่ พร้อมกับกระจกหน้ารถและด้านข้างแตกหมด คนขับกับคนที่เก้ๆ กังๆ ยังไม่มีโอกาสจะขยับตัวหลบด้วยซ้ำ เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วกว่าที่คิด

แต่ดูเห็นว่าจะโชคช่วย เพราะทราบภายหลังว่าเป็นลูกซองเบอร์ 9 และทั้งสองคนก็ปลอดภัยไม่มีบาดเจ็บ เหมือนกับลูกปืนหลบแยกไปด้านข้างทั้งสองคนทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ ได้แขวนพระเครื่อง นอกจากมีเหล็กไหลฝังไว้ที่แขนเท่านั้น

ส่วนคนร้ายเมื่อยิงแล้วก็เสียหลัก วิ่งชนกำแพงบ้านห่างไปนิดหน่อย คนขับถูกจับกุมได้ แต่มือปืนวิ่งหลบหนีไป ก็นับเป็นเรื่องที่อธิบายลำบากว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงฉุกระหุกนั้น เพราะโดยธรรมดาของปืนลูกซอง อำนาจการยิงย่อมครอบคลุมไปทั่วรัศมี และระยะเพียง 3 เมตรสำหรับลูกซองแล้วถือได้ว่าเผาขนทีเดียว แต่ปืนด้านในนัดแรก ถึงนัดที่สองยิงออกแต่แล้วก็แคล้วคลาดจากผลการยิงในครั้งนั้นได้อย่างมหัศจรรย์ แม้เจ้าตัวก็ ยังคงงงอยู่ทุกวันนี้>>
>>

QUOTE>>

โคตรเหล็กไหล


เหล็กไหลฤๅษี


งาช้างเหล็กไหล


เหล็กไหลเงินยวง


พระกริ่งเหล็กไหล


สมเด็จเหล็กไหล


แหวนแรดเหล็กไหล>>

ออฟไลน์ ขนพอง สยองเกล้า

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 23
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 10 เม.ย. 2550, 09:02:54 »
น่าสนใจดีครับ
ขอบคุณมาเลย
ผมเองเคยได้ไปที่วัดพุทไธสวรรค์ ที่ อยุธยา อ่ะครับ
แล้วเห็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งในโบสถ์หลังเล็ก(ไม่แน่ใจว่าที่นั่นเขาเรียกว่าอะไร)
เขาเขียนติดไว้ว่า เหล็กไหล อ่ะ
ใครเคยไปมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ
มีให้บูชาอยู่มากมาย

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
ตอบ: เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 24 ม.ค. 2551, 07:58:16 »
เห็นว่า ดร.ไมตรี ก็ไปฝังเหล็กไหลที่วัดถ้ำแฝด แล้วโดนพวกดักยิง แต่ไม่เป็นไรเลยครับ :-*

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 21 พ.ค. 2551, 08:13:07 »


ก้อนนี้ได้มาจากวัดถ้ำแฝดครับ

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 22 พ.ค. 2551, 12:40:07 »
 :002:  ขอบคุณครับ ดีมากๆครับ แต่ผมไม่กล้าฝัง ครับ กลัวเจ็บครับ  :004: 555

ออฟไลน์ รพินทร์

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 130
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: 22 พ.ค. 2551, 01:39:54 »
เจ็บไม่กลัวครับ....แต่กัวเป็นสนิม อ่ะ
ผมเคยเจอนะครับ...เหตุการณ์จริงเลยทีเดียว ไปฝังเข็มมา แล้วเกิดเป็นผังผืดหุ้มเข็มนั้นไว้ ทำให้เกิดเป็นไตๆบริเวณร่างกายส่วนนั้น สรุปคือ..หมอต้องผ่าออกครับ เป็นเข็มจริงๆด้วย ดีไม่ดีจะเป็นมะเร็งเอาได้นะครับ
ปล.โลหะธาตุที่ไม่มีปฏิกริยาต่อร่างกานมนุษย์ ต้องเป็นธาตุที่เสถียรแล้ว เช่นทองหรือเงิน ครับ

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: 22 พ.ค. 2551, 09:05:02 »
น่าจะปลอดภัยนะครับ แต่เห็นว่าค่าครูขึ้นแล้ว เหอะๆ :075:

ออฟไลน์ ศิษย์9จังหวัด30พระอาจารย์

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 20
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: 23 พ.ค. 2551, 01:16:54 »
  เดียวนี้ค่าครู2000 ต่อเม้ดแล้วครับ แต่ผมฝังมา6เม้ดละตอนนั้นเม้ดละ1000 และฝังเข็มทองมา100กว่าเล่ม ไม่เห็นมีปัญหาเจ็บปวดอะไรครับ :015:
โอม มหาละลวย...

เมตตามหานิยม และ เมตตามหาเสนห์ ที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด อยู่คง รองลงมา พระเครื่อง เครื่องลางแทนได้แล
ทุกอย่างสำคัญที่จิตและเจตนานะครับ
 
ผมยังตามหาพระอาจารย์ และบุญและทำนุบำรุง เผยแพร่ ศาสนาพุทธ จนกว่าจะหมดลมหายใจ~*

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
เจาะลึก ตำนานเหล็กไหล
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: 23 พ.ค. 2551, 09:18:15 »
ค่าครู 2,021 บาท ครับ  มีแจกหนังสือเหล็กไหลให้ด้วยครับ  :001: