ผู้เขียน หัวข้อ: พระธรรมนำใจ "มองคนให้เข้าใจชีวิต"  (อ่าน 2387 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ NONGEAR44

  • นวมะ
  • ****
  • กระทู้: 669
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - en2005f@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
                                                                  มองคนให้เข้าใจชีวิต


คนๆหนึ่ง
กว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนนั้น ต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรต่างๆ มามากพอสมควร ประสบการณ์และการสั่งสมความรู้ย่อมมีขึ้นได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมีเหตุการณ์เข้ามาในชีวิตมากกว่ากัน ซึ่งแต่ละคนก็มีประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป จะมีเหมือนกันอยู่บ้างก็น้อยเต็มที

ในบทนี้ เราจะมาว่ากันถึงเรื่องของการมองชีวิตผู้คนที่อยู่รอบตัว ทั้งกับคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วยตลอด กับคนใกล้ๆตัวที่เราพบปะอยู่เป็นประจำ เพื่อความเข้าใจในตัวตนของคนๆหนึ่ง ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจหรือการทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น

สิ่งที่เรามองเห็น มักจะไม่เป็นอย่างที่เห็นเสมอ นั่นเป็นเพราะว่า เราตัดสินอะไรบางอย่างจากภายนอกมากกว่าที่จะมองลึกเข้าไปข้างใน

โดยพื้นฐานของการปฏิบัติมักจะเป็นสิ่งที่ยากอยู่แล้วเมื่อเทียบกับความเข้าใจโดยอาศัยการอธิบายเพียงเพื่อรู้เท่านั้น ในเรื่องของการทำความเข้าใจในตัวคนหนึ่งก็เช่นกัน ควรหมั่นสังเกตและจับให้ได้ถึงความเป็นจริงที่บางคนเขาสื่อออกมา ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้เบื้องหลังความเป็นมาของแต่ละคนเสียก่อน
 
  เรื่องการทำความเข้าใจคนอื่นนี้มีส่วนอย่างยิ่งในการลดช่องว่างของค่านิยม นั่นคือการไม่ควรตัดสินคนๆหนึ่งเพียงเพราะบุคลิกภาพภายนอก แต่เราต้องดูลึกเข้าไปถึงคุณลักษณะภายในที่แท้จริง ซึ่งนั่นหมายถึงนิสัยส่วนลึกและจิตสำนึกที่แฝงอยู่ภายใต้บุคลิกภาพภายนอกที่มองเห็นได้โดยง่าย

มีพระอริยเจ้าที่บรรลุอรหันตผลหลายองค์ในพระพุทธศาสนา ถึงแม้จะบรรลุอริยมรรค มองเห็นธรรมอันประเสริฐแล้วก็ตาม แต่ท่านเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถทิ้งอาการเดิมของตนแต่หนหลังได้ ผู้ที่จะสามารถละทิ้งอาการทางกายได้ทุกอย่างและขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่สำรวมที่สุดก็มีเพียงพระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง

บางท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วพระอริยเจ้าจะต่างจากปุถุชนได้อย่างไร

พระพุทธเจ้าทรงตรัสเกี่ยวกับลักษณะของปุถุชนกับพระอริยเจ้าว่า

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชน (คนที่ยังหนาไปด้วยกิเลส) ผู้มิได้สดับ ย่อมเสวยเวทนาที่เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง อริยสาวก (ศิษย์ของพระอริยะ) ผู้ได้สดับ ก็เสวยเวทนาที่เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อะไรเป็นความผิดแผกแตกต่างกันในบุคคลเหล่านั้น ? อะไรเป็นเครื่องทำให้อริยสาวกผู้ได้สดับต่างจากบุถุชนผู้มิได้สดับ "

 
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ เมื่อทุกขเวทนาถูกต้อง ย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ คร่ำครวญ ย่อมตีอกพิไรรำพัน ย่อมมืดมน ย่อมเสวยเวทนา ๒ ทาง คือเวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ."

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อทุกขเวทนาถูกต้อง ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่คร่ำครวญ ย่อมไม่ตีอกพิไรรำพัน ย่อมไม่มืดมน ย่อมเสวยเวทนาเพียงทางเดียว คือ ทางกาย ไม่เสวยเวทนาทางจิต"

(สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ๑๘/๒๕๗)

แม้จะกล่าวว่า ชีวิตหนึ่งชีวิตนั้นมี “กรรม” มาเป็นตัวกำหนด โดยความหมายของคำว่า “กรรม” คือการกระทำ ฉะนั้น กรรมใดมาเป็นตัวกำหนดผลซึ่งก็คือการกระทำของเราอันเป็นเหตุนั่นเองมาเป็นตัวส่งผล ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่เคยล่วงมาแล้วแต่หนหลังหรือกำลังจะเกิดขึ้น ล้วนส่งผลต่อผู้กระทำทั้งนั้น

ทั้งหลายเหล่านี้ กำลังจะบอกแก่ทุกท่านว่า ไม่ว่าการกระทำใดๆก็ตามของบุคคลหนึ่ง ย่อมมีสาเหตุเสมออย่างน้อยก็ในเรื่องของความคิดที่เขามีในขณะนั้น ซึ่งมันจะเป็นตัวบ่งบอกว่า ตามนิสัยโดยแท้จริงแล้วเขาเป็นคนอย่างไร

ตามหลักธรรมะท่านถือว่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบนโลกนี้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนเรื่องความเมตตาให้น้อมนำมาปฏิบัติ ซึ่งหลักของความเมตตานี้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากสำหรับมนุษย์ที่มีจิตใจที่ขุ่นมัวอันเต็มไปด้วยความอาฆาต หรือกับบุคคลที่มีความเจ็บข้องหมองใจหรือผูกอาฆาตกับใครมาก่อน ความขุ่นมัวของจิตที่เต็มไปด้วยความโกรธ ย่อมนำจิตใจของเขาต้องเต็มไปด้วยความทุกข์

   ในการเข้าใจคนโดยหลักทางจิตวิทยาทั่วไป จะกล่าวว่า คนๆหนึ่งมีพื้นฐานของการเติบโตมาไม่เหมือนกัน ทั้งการอบรมเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม และลักษณะนิสัยตามพันธุกรรมซึ่งเป็นปัจจัยภายในที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากพอเท่ากับปัจจัยภายนอก ที่สร้างให้คนหนึ่งคนเป็นไปในลักษณะที่เขาเป็น

เมื่อนำมาเทียบกับหลักของพระพุทธศาสนาตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คนหนึ่งคนนั้นเป็นไปเพราะวิบากกรรมที่เขาได้มีมาก่อน ไม่ว่าจะในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติก็ตาม สิ่งเหล่านี้มีกรรมเก่าเป็นตัวกำหนด บางคนเกิดมารวย บางคนเกิดมาจน บางคนรูปงาม บางคนรูปไม่งาม ฯลฯ ซึ่งล้วนมาจากผลของกรรมอันเป็นกุศลและกรรมอกุศลทั้งปวงอันเกิดการกระทำในครั้งก่อนทั้งนั้น

เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้วจะสังเกตได้ว่า ทุกๆลักษณะนิสัยของคนไม่ว่าจะใช้หลักของจิตวิทยามาวิเคราะห์หรือนำหลักของพระพุทธศาสนามาใช้ ล้วนแล้วเกิดจากการกระทำในอดีตทั้งสิ้น ฉะนั้นการจะตัดสินคนอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วจะต้องมองดูให้รอบด้านและลึกถึงเบื้องหลังของเขา ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจในตัวของคนๆหนึ่งมากขึ้น

การพัฒนาตัวตนของตนเองได้ต้องเริ่มจากการเข้าใจตนเอง เข้าใจคนอื่นถึงแม้บางท่านจะมีข้อสงสัยอยู่ว่า “เป็นไปได้หรือที่เราจะเข้าใจคนทั้งหมดบนโลกใบนี้” แน่นอนที่สุดมันย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถเข้าใจคนทุกคนได้เหมือนกันหมด แต่ขอให้พิจารณาถึงความหมายของคำว่า “เข้าใจ” คนในที่นี่เสียก่อนว่า มันมีความหมายครอบคลุมเพียงใดหรือลึกขนาดไหน

  คำว่า “เข้าใจ”ในที่นี้ ดังที่ได้อธิบายมาแต่ต้นแล้ว จะสามารถตอบโจทย์ได้เลยว่า คือการมองเห็นที่มาที่ไปของคนหนึ่งคนนั้น อันจะสามารถนำมาวิเคราะห์หรือมองออกว่า คนๆนั้นที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะอะไร มีพื้นแพมาจากสิ่งแวดล้อมแบบไหน อะไรมาเป็นตัวกำหนดให้เขาต้องมีลักษณะเช่นนั้น

การนำเรื่องของการเข้าใจคนมากล่าวถึงเพียงต้องการให้ท่านมีจิตสำนึกถึงความเมตตานั่นเอง ความเมตตาอันเป็นหนึ่งในหลักของพรหมวิหาร ๔ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งเป็นหลักของผู้นำ คนครองบ้านครองเรือน พึงยึดถือและน้อมนำมาปฏิบัติเพื่อยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่หมู่คณะ เชื่อเถอะว่า เพียงการใช้หลักของความเมตตามาปกครองคนหมู่มากเพียงเท่านี้ก็สามารถบอกได้เลยว่า บุคคลผู้นี้ได้รับการเคารพและยอมรับนับถือมากแล้วไปกว่าครึ่ง

มองให้เห็นถึงแก่นแท้ของชีวิตแล้วจะเข้าใจถึงชีวิต แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยต่อการปฏิบัติ หากเกิดจากการหมั่นฝึกฝนจิตใจให้เกิดความเมตตาขึ้นเสียก่อน แล้วจะเปิดใจเพื่อที่จะรับฟังข้อมูลบางอย่างอันจะนำมาซึ่งความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นแก่ตัวตนของคนๆหนึ่งอย่างแน่แท้

การตอบสนองความคิดในหลักการเข้าใจในชีวิต อาจจะมองไมเห็นผลมากนักในกระบวนการทั่วไป แต่มันขึ้นอยู่กับว่า ในใจของเรามองเห็นและเข้าใจโดยแท้จริงแล้วหรือยัง ซึ่งนั้นก็ผูกโยงมาในเรื่องของการคาดหวังว่า คนอื่นจะต้องเข้าใจในตัวของเราด้วย

  ก่อนอื่นใดต้องถามเสียก่อนว่า เราต้องการให้คนอื่นมาเข้าใจในตัวเราใช่หรือไม่? ฉะนั้น เราปฏิบัติอย่างไรถึงจะทำให้คนอื่นเขารู้ว่า เราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร มีสิ่งใดมาเป็นตัวกำหนด แต่ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้กับตัวเอง ก็ต้องย้อนกลับมาว่า เราเข้าใจในตัวตนของเราได้ดีแค่ไหน หากเรายังไม่เข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของเราแล้ว มีโอกาสมากนักหรือที่คนอื่นจะมาเข้าใจในตัวของเรา

หลักการคิดง่ายๆ ที่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้าม การทำความเข้าใจในตัวบุคคลมันไม่ง่ายเหมือนกับการแก้ปัญหาโจทย์สมการทางหลักคณิตศาสตร์ หรือฟิสิกส์หรือโจทย์ปัญหาอื่นๆอะไร และก็อีกเช่นกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกว่าจะเรียนรู้และศึกษาถึงแก่นแท้แห่งความต้องการของมนุษย์ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาถึงพื้นฐานของมนุษย์กันเสียก่อนว่า โดยธรรมดาของมนุษย์ยังมีความต้องการอย่างไรในการที่จะมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขสมปรารถนาในชีวิต

ตามทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ ถ้าศึกษาจากทฤษฎีของมาสโลว์แล้วจะพบว่ามนุษย์นั้นมีความต้องที่จะเข้าไปสู่จุดมุ่งหมายภายในใจของตนเอง อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมและการแสดงออกมา การค้นหาความต้องการของคนๆหนึ่งนั้นถ้าจะว่ากันตามที่อับราฮัม มาสโลว์ซึ่งกล่าวแบ่งขั้นของความต้องการของมนุษย์ออกมาดังนี้

ขั้นที่หนึ่ง ความต้องการทางด้านกายภาพหรือทางร่างกาย ซึ่งเป็นความต้องการในปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ อันได้แก่ปัจจัย ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค (ขั้นนี้รวมไปถึงความต้องการทางเพศด้วย)

ขั้นที่สอง ความต้องการทางด้านความปลอดภัยในชีวิต อันได้แก่ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งรวมไปถึงความมั่นคงของชีวิตด้วย

ขั้นที่สาม ความต้องการทางสังคม นั่นคือการได้รับการยอมรับจากผู้คนในกลุ่มสังคม

ขั้นที่สี่ ความต้องการทางการยกย่องและมีเกียรติในกลุ่มสังคม อันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจภายในใจของตัวเอง

ขั้นสุดท้าย ความต้องการที่เกิดจากแรงขับดันภายใน คือการเข้าใจและรู้จักตนเอง ซึ่งเป็นความต้องการขั้นสูงสุดของมนุษย์แล้วตามความทฤษฎีของมาสโลว์

ลองมาวิเคราะห์ให้ดีจะพบว่า มนุษย์ในปัจจุบันโดยมากแล้ว จะตกอยู่กับขั้นที่หนึ่งมากที่สุด นั้นเป็นเพราะเหตุผลง่ายๆคือ มนุษย์ยังตกอยู่ในภาวะจำยอมทางด้านกายภาพ และเห็นจะเป็นเรื่องเงินเสียส่วนมาก การต้องการคุณภาพและความปลอดภัยของชีวิตจึงดูจะเป็นเรื่องรอง และหากจะมองถึงการยอมรับและชื่อเสียงเห็นจะข้ามไปได้เลย

ไม่มีเหตุที่จะต้องสงสัยเลยว่า ทำไมมนุษย์ทุกวันนี้ถึงได้มุ่งก้มหน้าก้มตาหาเงินทอง จนท้ายที่สุดก็เกิดเจ็บป่วย ก็นำเอาเงินที่หามาได้นั่นแหละรักษาตัวจนสุดท้ายเงินเก็บที่มีอยู่ก็ไม่พอรักษาตัวชีวิตในบั้นปลายจึงลำบากซึ่งมีให้เห็นอยู่มากในสังคมปัจจุบัน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะแนะให้เข้าใจว่า เพราะเหตุจากการที่มนุษย์มีความต้องการนี้เองเป็นแรงขับดันให้เกิดพฤติกรรมหรือการกระทำอย่างหนึ่งขึ้นมาซึ่งบุคคลรอบข้างอาจจะมองว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของเขา แต่แท้ที่จริงแล้วถ้ามองให้ลึกจริงๆจะพบว่ามีการกระทำทุกอย่างล้วนมีเหตุผลเสมอ เพียงแต่ว่าจะหามันพบหรือเปล่าเท่านั้นเอง
 
  พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนถึงความมีเมตตาไม่เฉพาะแต่คนอื่นเท่านั้นแม้แต่ตนเองก็เช่นกันก็สมควรได้รับคุณธรรมข้อนี้เข้าไปด้วย “อหํ สุขิโต โหมิ เราควรให้ความเมตตาต่อตัวเอง ไม่ควรถือโทษโกรธเคืองตนเอง แต่มิใช่การปล่อยให้ตนเองต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสอยู่เสมอ เป็นทางเสื่อม และไม่ควรรังเกียจตัวเองที่มีกิเลสอยู่ด้วย อันเป็นธรรมดาของปุถุชนทั่วไป ต้องเข้าใจถึงโลกธรรม และสภาวะปกติของวิบากกรรม”

สิ่งหนึ่งที่จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นนั้นคือ การระงับความโกรธเสีย เพราะความโกรธนำมาซึ่งความหายนะ เป็นการตอบสนองสิ่งเร้าที่รุนแรงที่สุดและที่สำคัญ มักไม่มีเหตุผลเสมอสำหรับคนที่กำลังโกรธ

ความโกรธอันนี้เองจะทำให้เราปิดหูปิดตาไม่รับฟังเหตุผลขณะที่มีใครก็ตามทำให้เราต้องมีอารมณ์อันขุ่นมัว การตอบสนองกลับมีแต่จะส่งผลเสียกันทั้งหมด

ฉะนั้นการทำความเข้าใจคนอื่นแม้จะไม่ต้องอาศัยหลักทฤษฎีใดมาใช่เลย เพียงเรามีใจที่มีเมตตาต่อทุกคนหรือสัตว์โลก พึงระลึกเสมอว่า เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มัวมาเสียเวลาในการถือโทษโกรธเคืองนั่นย่อมไม่เป็นการสร้างผลกรรมอันใหม่ให้เกิดขึ้นด้วย หันมาสร้างสมผลบุญให้เกิดความสงบสุขทางใจจะดีกว่า หมั่นศึกษาพระพุทธธรรมอยู่เนืองนิตย์จิตใจจะปราศจากมลทิน สมองปลอดโปร่งอันเป็นสุขอย่างยิ่ง

เพราะ ธรรมคือสิ่งอันสูงค่าควรแก่การน้อมนำมาปฏิบัติเสมอ…

    ขอบคุณที่มา  เว็บบอร์ด พลังจิต

ออฟไลน์ นายธรรมะ

  • ดีชั่วอยู่ที่ตัวทํา สูงต่ำอยู่ที่ทําตัว
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 615
  • เพศ: ชาย
  • เหนื่อย ได้แต่อย่า ท้อ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พระธรรมนำใจ "มองคนให้เข้าใจชีวิต"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 25 ก.ย. 2553, 08:28:19 »
ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีครับ ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 ก.ย. 2553, 08:28:59 โดย นายธรรมะ »
[shake]ศรัทธา ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ ศรัทธา เพื่อ ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีความ ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเกิด ปาฏิหาริย์[/shake]