ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
๒๕ เมษายน ๒๕๕๔
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นสภาวะแห่งปัตจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนโดยการปฏิบัติ
การศึกษาปริยัติ(การอ่าน การฟัง)นั้นเป็นเพียงขั้นพื้นฐาน เป็นเพียงการเก็บข้อมูลหาแนวทาง
หาแบบอย่างที่จะนำไปปฏิบัติ เพียงแตฟัง เพียงแต่อ่าน เพียงแต่คิด จิตนั้นยังไม่ถือว่าเข้าถึงธรรม
จำได้ พูดได้และเข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความคิด เป็นเพียงนามธรรม เป็นเพียงความฝัน
เป็นเพียงจินตนาการ ตราบใดที่ยังไม่ได้เอาธรรม ที่ได้ยินได้ฟังได้ศึกษานั้นนำมาปฏิบัติกับตน
ก็เป็นได้เพียงนกแก้วนกขุนทอง ที่ท่องได้พูดได้ เป็นเพียงใบลานเปล่า เพราะว่ายังไม่เข้าถึง
สภาวะธรรมที่แท้จริง "รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม แต่ยังไม่ได้ทำ " จึงเข้าไม่ถึงธรรม
ไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่และไม่ได้อยู่ในธรรม
การปฏิบัติคือการกระทำที่กายและที่จิต มีสติในการนึกคิด รู้กาย รู้จิตและรู้สิ่งที่ทำ
รู้จักแยกแยะบาปและบุญ กุศลและอกุศลให้ออกจากกัน รู้จักการข่มจิตข่มใจ ไม่ให้คล้อยตามอกุศลจิต
ควบคุมความรู้สึกนึกคิด ควบคุมจิตให้อยู่กับกุศลธรรม น้อมนำจิตเข้ามาพิจารณาในกายของตนเอง
พิจารณาร่างกายของตนเอง จนเกิดความเข้าใจในกายนี้ ว่าเป็นเพียงธาตุทั้งสี่ที่มาประชุมกันประกอบเป็นร่างกาย
มีช่องว่างระหว่างธาตุ คืออากาศธาตุ จิตเข้ามารับรู้อยู่อาศัยอันได้แก่วิญญาณธาตุ ตั้งอยู่ไม่นานก็แตกดับไป
ธาตุทั้งหลายก็คืนสู่ธรรมชาติ วิญญาณธาตุก็ต้องไปสู่ที่แห่งใหม่ หมุนเวียนกันไป เป็นภพเป็นชาติกันต่อไป
จิตก็จะจางคลายในการยึดถือในร่างกายและตัวตน เมื่ิอเราเห็นกายและเข้าใจกายของเราโดยสภาวะธรรม
น้อมใจมาดูจิต ดูความคิดทั้งหลายของเรา เอาจิตถามจิต ว่าทำไมต้องคิดต้องปรุงแต่ง
คิดแล้วได้อะไร คิดแล้วทำได้หรือไม่ สิ่งที่คิดนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล คิดแล้วมีผลเป็นอย่างไร มีคุณหรือไม่
อะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้คิด เอาจิตถามจิต หาคำตอบที่จิตของเราเอง เอาจิตถามจิต จนเห็นที่เกิดของจิต
คือเห็นต้นเหตุแห่งความคิด จึงจะเข้าใจในความคิด เข้าใจจิตและจะเข้าใจในธรรม.....
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๕.๔๐ น. ณ ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี