ผู้เขียน หัวข้อ: คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๒๓ สค. ๕๔ ...  (อ่าน 964 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ รวี สัจจะ...

  • รองประธาน
  • *****
  • กระทู้: 1137
  • รวี สัจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
    • ดูรายละเอียด
    • รวี สัจจะ สมณะไร้นาม (เคลื่อนไหวดุจสายลม)
 คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๒๓ สค. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึงชลบุรี
พุธที่  ๒๔  สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
            ปลีกตัวออกจากหมู่คณะมาจำพรรษาแต่ผู้เดียวบนเขาเรดาร์ที่อำเภอบ้านบึง
จังหวัดชลบุรี งดรับกิจนิมนต์ ทำให้ได้มีเวลาค้นคว้าศึกษาพระไตรปิฏก ทำความรู้ความเข้าใจ
ในหัวข้อธรรม ที่ยังสงสัยไม่เข้าใจในภาษาธรรม ปรับให้เป็นภาษาพูดเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย
ในการที่จะเอาไปนำเสนอเผยแผ่เพราะถ้าใช้คำศัพท์ภาษาธรรมนั้น จะทำให้ผู้ฟังจะเข้าใจได้ยาก
 บางครั้งฟังแล้วยิ่งเกิดความสงสัยไม่เข้าใจมากขึ้น เพราะติดอยู่กับความหมายของคำศัพท์ในภาษาธรรม
 และบางครั้งก็อาจจะตีความแปลความหมายของคำศัพท์นั้นผิดพลาดไป จึงต้องใช้ภาษาที่เรียบง่าย
 เพื่อให้ฟังสบายๆง่ายแก่การที่จะเข้าใจและทำให้ดูว่าไม่เป็นพิธีการจนเกินไป การฟังธรรม พิจารณาธรรม
ทำให้เข้าใจถึงสภาวธรรมได้ง่ายและรวดเร็ว
   จิตปรุงแต่งในกิเลส คือจิตเริ่มคิดก่อน คิดชอบ คิดไม่ชอบ เมื่อความคิดเกิดจึงปรุงแต่งให้เกิด
กิเลส ความโกรธ โลภ หลง เมื่อกิเลสเกิดขึ้นและเราไม่มีสติสัมปชัญญะพอจะดับกิเลส มันก็ปรุงแต่งจิต
ให้คิดวุ่นวายไปเรื่อย ไม่ผ่องใส พอจิตมันคิดปรุงแต่ง มันก็จะปรุงให้กิเลสเพิ่มขึ้นๆ จนกว่าเราจะได้สติ
มันจึงจะหยุดปรุง ซึ่งมีกุศโลบายในการที่จะทำจิตหยุดปรุงแต่ง โดยการไล่ต้อนให้จิตนั้นอ่อนเพลีย
โดยการใช้จิตถามจิต ว่าทำไมต้องคิดและต้องปรุงแต่ง คิดแล้วปรุงแต่งแล้วมันได้อะไร สิ่งที่คิดที่ปรุงแต่ง
นั้นมันเป็นกุศลหรืออกุศล  ใช้จิตถามจิตและหาคำตอบให้จิต จนมันจบคือการค้นพบซึ่งคำตอบของจิต
จิตมันหาคำตอบจนเห็นที่เกิดของความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย เห็นคุณเห็นโทษ เห็นประโยชน์และมิใช่
ประโยชน์ ในสิ่งที่คิด ในสิ่งที่จิตปรุงแต่งนั้น จิตมันจะล้าและหยุดการปรุงแต่ง อยากจะพักเข้าสู่ความสงบ
เรียกว่าเราต้องปราบให้จิตหมดความพยศ หมดกำลัง ทำให้เข้าไปควบคุมจิตได้ง่าย
   การปฏิบัติธรรมนั้น อย่าไปอยากรู้อยากเห็นอยากเป็นในสิ่งใดๆ ให้มันรู้อยู่อย่างเดียว มีอะไรก็ช่าง
รู้อยู่อย่างเดียว ความอยากนั้นทำให้จิตวุ่นวาย หลุดออกจากสมาธิ เราปฏิบัติเพื่อความปล่อยวาง เพื่อจะละ
จะลดซึ่งความยึดมั่นถือมั่นต่างๆให้เบาบางลง เพื่อละความยินดียินร้าย เราเป็นผู้ดูไม่ใช่ผู้บังคับให้มันเป็น
สภาวธรรมทั้งหลายนั้น เป็นปัจจุบันธรรม ที่เกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัยในขณะนั้น เป็นธรรมชาติที่แท้จริง
ของจิต ไม่ใช่สิ่งที่เราสร้างขึ้นมา แต่มันเป็นสภาวะจิตที่เกิดขึ้น ตามเหตุและปัจจัยที่เป็นไปในขณะนั้น
หน้าที่ของเราก็คือ การตามดู ตามรู้ตามเห็น แยกแยะกุศลและอกุศล พิจารณาให้เห็นคุณ เห็นโทษ
เห็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น แล้วละวางในสิ่งที่เป็นอกุศลทั้งหลาย
   การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะจิตนั้น เรียกว่ากำลังทำความเพียร กำลังปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นว่า
จะต้องนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมจึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรมทำความเพียร ถ้าไม่มีสติระลึกรู้ ฟุ้งซ่านคิดไปเรื่อย
ก็ไม่เรียกว่าทำความเพียร แม้จะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมอยู่ก็ตาม เมื่อไหร่ที่จิตนั้นมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่
ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่งจะนอน ก็ได้ชื่อว่ากำลังปฏิบัติธรรมทำความเพียรอยู่  และสตินั้นต้องมีองค์แห่ง
คุณธรรมคุ้มครองอยู่ มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาปคุ้มครองอยู่ ทำให้รู้ในสิ่งที่ควรและสิ่งที่ไม่ควร
ในสิ่งที่คิดและกิจที่ทำ ซึ่งต้องเพียรกระทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนจิตนั้นมีความเคยชินและคุ้นเคยในการคิด
และการพิจารณา จนเป็นความชำนาญของจิตในการคิดและทำ
                    เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
                        รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๒๔  สิงหาคม  ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๒๔ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี
ใช่หวังจะดังเด่น  จึงมาเป็นสมณะ
เพียงหวังจะลดละ  ซึ่งมานะและอัตตา
เร่ร่อนและรอนแรม ไปแต่งแต้มแสวงหา
สัญจรร่อนเร่มา  ผ่านร้อยป่าและภูดอย
ลาภยศและสรรเสริญ  ถ้าหลงเพลินจิตเสื่อมถอย
พาใจให้เลื่อนลอย  จิตเสื่อมถอยคุณธรรม
       ปณิธานในการปฏิบัติธรรม

ออฟไลน์ derbyrock

  • คณะกรรมการ
  • *****
  • กระทู้: 2494
  • เพศ: ชาย
  • สติมา ปัญญาเกิด........ปัญหามา ปํญญามี.......
    • MSN Messenger - derbyrock@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๒๓ สค. ๕๔ ...
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 24 ส.ค. 2554, 11:57:14 »
การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะจิตนั้น เรียกว่ากำลังทำความเพียร กำลังปฏิบัติธรรม
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ ช่วงนี้บางทีมักขาดสติเพราะความไม่พอใจเรื่องงาน ยังดีที่ยังมีสติพอที่จะควบคุมจิตไม่ให้เตลิดคิดจะทำอะไรที่ไม่เข้าท่า คุมจิตได้คิดโดยมีสติ การกระทำออกมาดูจะคล้ายกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกันมากมายครับ

ความสุขที่แท้จริงรอคอยคุณอยู่.......เพียงแค่คุณนั่งลงแล้วหลับตา