ผู้เขียน หัวข้อ: มาสวดมนต์กันเถิด  (อ่าน 2032 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
มาสวดมนต์กันเถิด
« เมื่อ: 07 ก.ย. 2554, 01:25:30 »
มาสวดมนต์กันเถิด

การสวดมนต์มีที่มาจากไหน อย่างไร
   การสวดมนต์เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งยังไม่มีการบันทึกคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นลายลักษณ์อักษร สมัยก่อนใช้วิธีการที่เรียกว่า “มุขปาฐะ” คือ การท่องจำ เวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนอะไรไว้ พระภิกษุก็จะท่องจำ แล้วบอกต่อ ๆ กันไป ดังนั้น การสวดมนต์ก็คือการสาธยายธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้เป็นการมาทบทวน เพราะถ้าไม่ทบทวนบ่อย ๆ ก็จะลืม และถ้าเป็นหัวข้อธรรมที่สำคัญ ๆ ก็ยิ่งต้องท้องกันบ่อย ๆ ส่วนหัวข้อธรรมที่นาน ๆ จะใช้สักครั้ง ก็แบ่งหน้าที่กันว่าพระภิกษุรูปไหนจะท่องจำหัวข้อธรรมอะไร แต่ถ้าเป็นเรื่องหลัก ๆ เช่น คุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การพิจารณาความไม่เที่ยง อนันตา ความทุกข์ ฯลฯ ก็จะมีการทบทวนสม่ำเสมอ โดยแปลงมาเป็นการสวดมนต์ทำวัตร หรือเป็นบทสวดมนต์ของเด็ก ๆ ที่สวด “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา...” คือ ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นพื้นฐานสำคัญ


นอกจากเป็นพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว การสวดมนต์มีประโยชน์อะไรบ้าง
   การสวดมนต์ถือว่าเป็นการเตรียมใจให้พร้อมเบื้องต้นสำหรับการทำสมาธิก็ว่าได้ วิถีชาวพุทธที่ประกอบด้วยทาน ศีล ภาวนา คำว่า “ภาวนา” คลุมทั้งสวดมนต์ ทั้งนั่งสมาธิอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นการสวดมนต์ถือเป็นการภาวนาอย่างหนึ่ง มีอานิสงส์ทำให้ใจสงบ เป็นสมาธิ นี้ประการแรก
   ประการที่ ๒ การสวดมนต์เป็นทางมาแห่งบุญเรียกว่า ภาวนามัย คือบุญเกิดจากการทำภาวนา ใครก็ตามที่สวดมนต์บ่อย ๆ เวลาจะเจอเหตุร้ายก็จะแคล้วคลาดไป และสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้น โบราณบอกว่าเทวดาจะลงรักษา เพราะเทวดาเขาก็อยากได้บุญ แต่เขาอยู่ในภาวะที่เป็นกายละเอียด ทำบุญเองไม่สะดวก ดังนั้นถ้าเขาอยากได้บุญ เขาจะดูว่าใครทำความดี เขาจะลงรักษา พอลงรักษาแล้วเวลาคนนั้นไปทำความดี เขาจะได้ส่วนบุญด้วยในฐานะเป็นผู้สนับสนุน


สวดมนต์ยาวหรือสั้นได้บุญมากน้อยกว่ากันหรือไม่
   ไม่ถึงขนาดกำหนดว่าสั้นยาวแค่ไหนจะได้ผลเท่าไร ถ้าสวดมนต์สม่ำเสมอและสวดด้วยใจที่สงบบุญจะเกิด ยิ่งใสสงบมากเท่าไร บุญก็ยิ่งเกิดมากไปตามส่วน เด็กเล็ก ๆ ก็ให้หัดสวดสั้น ๆ ก่อน โตขึ้นก็สวดยาวขึ้น
   การสวดมนต์ยังเป็นการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แต่ไม่ถึงขนาดว่าระหว่างสวดต้องคิดถึงคำสอนไปด้วย เน้นทำใจให้สงบ จะได้เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ในระดับที่ลึกกว่า ไม่ต้องสวดไปด้วยและนึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไปด้วย จะรบกวนความเป็นสมาธิ ให้สวดด้วยใจนิ่ง ๆ เพราะการที่ใจนิ่งแล้วสวดมนต์ ความซาบซึ้งในพระรัตนตรัยจะเกิดขึ้นอย่างเต็มที่


สวดโดยทราบความหมายกับไม่ทราบความหมายให้ผลแตกต่างกันไหม
   ถ้าทราบความหมายก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ทราบความหมายก็อย่าคิดว่าไม่ได้ประโยชน์ หรือเวลาฟังพระสวด แม้เราไม่รู้ความหมาย แต่เราก็รู้ว่าท่านสวดบูชาพระรัตนตรัย แล้วก็มีนัยที่ดี ถ้าเราตั้งใจฟังคำสวดโดยทำใจนิ่ง ๆ สงบ ๆ เพียงเท่านี้บุญเกิดขึ้นอย่างมหาศาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบว่า การทำใจให้สงบแม้เพียงช่วงสั้น ๆ เพียงแค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น อานิสงส์มหาศาลยิ่งกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหารอีก เพราะฉะนั้น เวลาที่เราสวดมนต์ หรือเวลาพระท่านสวดนานเป็นสิบ ๆ นาที ถ้าเราทำสมาธิแล้วฟังด้วยใจที่สงบ บุญมหาศาลเลย เวลามีการสวดมนต์ในงานใดก็ตาม ขอให้ตั้งใจฟัง พนมมือหลับตาทำใจนิ่ง ๆ อยู่ที่กลางท้อง ระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง แล้วก็ฟังไป อย่างนี้ถูกหลักวิชา บุญกุศลจะเกิดขึ้นกับเราอย่างมหาศาล อย่าว่าแต่คนเลย ในอดีตมีค้างคาวได้ฟังธรรม แม้ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ฟังแล้วซาบซึ้ง สบายใจ มีความสุข อานิสงส์ฟังพระสาธยายธรรมทำให้ค้างคาวไปเกิดเป็นเทวดา แค่ค้างคาวส่งใจไปตามกระแสเสียงสวดมนต์ของพระ บุญยังส่งผลให้ไปเป็นเทพบุตร ฉะนั้นอย่าดูเบาการสวดมนต์ ถ้าเราสวดเองด้วยยิ่งได้บุญทับทวีคูณ


เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าถ้าแปลคำสวดมนต์แล้วจะทำให้ไม่ขลัง
   คงไม่ได้เกี่ยวกับขลังหรือไม่ขลัง แต่ภาษาบาลีเป็นภาษาที่เวลาสวดจังหวะจะเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น ถ้าจะสวดมนต์แปลสั้น ๆ ก็พอได้ แต่ถ้าแปลยาว ๆ สวดบาลียาวไปเลยทีเดียวดีกว่า จะช่วยการฝึกสมาธิของใจได้ดีกว่า เพราะจังหวะดีกว่าสวดคำแปลไปด้วย ยกเว้นบางบทสั้น ๆ ที่เราอยากจะรู้ความหมายจริง ๆ จะแถมบทแปลไปด้วยก็ได้ แต่ว่าโดยภาพรวม ถ้าเป็นภาษาบาลีน่าจะดี ไม่เกี่ยวกับความขลัง แต่เกี่ยวกับความราบรื่นของใจที่สงบและเป็นสมาธิ แต่อย่างไรก็ตาม จะแปลหรือไม่แปล สวดย่อมดีกว่าไม่สวด


มีนักวิจัยชาวตะวันตกวิจัยว่าการสวดมนต์ช่วยรักษาสุขภาพได้ เรื่องนี้จะอธิบายได้อย่างไรบ้าง
   คนเราประกอบด้วยกายกับใจ ทั้ง ๒ ส่วนส่งผลเนื่องกัน ถ้าตอนไหนเรามีเรื่องเครียด ไม่สบายใจ หลาย ๆ วันเข้าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่สบายได้ เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ นอนไม่หลับ มีโรคนั้นโรคนี้มา ถ้าตอนไหนรู้สึกสบายใจ อารมณ์ดี รู้สึกมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิต หน้าตาผิวพรรณจะสดใส กายกับใจจะส่งผลเนื่องกัน ขณะเดียวกันถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยนาน ๆ ใจย่อมหดหู่ไปด้วย แต่ถ้าร่างกายแข็งแรง ใจเราจะมีโอกาสสดชื่นมากกว่าทั้ง ๒ ส่วนส่งผลซึ่งกันและกัน ทีนี้การสวดมนต์ทำให้เรานิ่งสงบและสบายใจ พอสบายใจ ใจที่ได้สมดุลย่อมนำไปสู่ภาวะร่างกายที่สมดุลด้วย จึงทำให้คนที่สุขภาพดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้น ถ้าหากป่วยไข้ไม่สบายก็จะทุเลาลง


เรื่องของการสวดมนต์แต่ละศาสนาถ้าดูในแง่วิทยาศาสตร์ มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง
   มีการทดลองอันหนึ่งที่น่าสนใจ คือ มีนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ เขาทดลองเอาน้ำมาทำให้เย็นจนกระทั่งแข็งตัวจับเป็นผลึก แล้วทำให้เป็นแผ่นบาง ๆ จากนั้นรีบเอามาส่องกล้องจุลทรรศน์ดูว่าลักษณะผลึกน้ำเป็นอย่างไร แล้วเขาก็ทดลองนำน้ำจากแหล่งเดียวกันมาแยกเป็น ๒ ขวด แล้วพูดเพราะ ๆ กับน้ำขวดหนึ่ง อีกขวดหนึ่งพูดไม่ดีด้วย ใช้คำที่ร้าย ๆ เช่น แย่ เลว ปรากฏว่า ผลึกของน้ำแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่พูดเพราะ ๆ ด้วยเป็นผลึก ๖ เหลี่ยม สวยงาม แต่ที่พูดไม่ดีด้วย ผลึกของน้ำไม่เป็นรูปเลย ราวกับว่าน้ำนั้นหัวใจสลาย
   แม้แต่ข้าวก็เหมือนกัน หุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาไปใส่ขวดโหล ๒ ขวด ปิดฝาไว้ แล้วพูดขอบคุณข้าวในขวดแรก แต่กับอีกขวดหนึ่งพูดไม่มีด้วย พูดว่าไอ้โง่ทุกวัน ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ข้าวในขวดที่พูดเพราะ ๆ ด้วยมีสีเหลืองสวยงาม แต่อีกขวดเป็นสีดำ
   อีกภาพเป็นผลึกของน้ำจากเขื่อนฟูจิวาร่า ก่อนได้ฟังเสียงสวดมนต์ลักษณะของผลึกไม่เป็นรูปเลย แต่พอสวดมนต์ให้ฟังทุกวัน ปรากฏว่าผลึกมีรูปร่างสวยงาม นี่เป็นการทดลองวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถทำซ้ำได้ ทำกี่ทีก็เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ร้อย ๆ พัน ๆ ปี แล้วบังเอิญเกิดขึ้นทีหนึ่ง ถ้ามีใครกล้องจุลทรรศน์ก็สามารถทดลองอย่างนี้ได้
   นอกจากนี้ ยังพบว่าถ้าเปิดเพลงจังหวะต่าง ๆ ให้น้ำฟัง ลักษณะของผลึกน้ำก็จะเปลี่ยนไปตามจังหวะเพลง ถ้าเป็นเพลงคลาสสิคลักษณะผลึกก็ค่อนข้างจะสวยงาม ถ้าเป็นเพลงที่ก้าวร้าวรุนแรงเหมือนยุให้คนไปทำร้ายกัน ผลึกก็จะไม่เป็นรูปเลย


คนทั่ว ๆ ไป สวดมนต์ใส่น้ำ กับพระสงฆ์สวดมนต์ใส่น้ำ ผลึกน้ำจะมีความแตกต่างกันไหม
   ตรงนี้น่าสนใจ ถามว่า ข้าวก็ตาม น้ำก็ตาม มันรู้จักภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ภาษาไทยด้วยหรือ ตอบว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องภาษา แต่เป็นเรื่องของกระแสใจ ตอนที่เราพูดว่าขอบคุณ จะใช้ภาษาไหนก็ตาม กระแสใจที่ออกมาจะเป็นกระแสของความรู้สึกที่ดี แต่ถ้าพูดว่าไอ้โง่ แม้จะพูดในการทดลองก็ตาม กระแสใจเริ่มเปลี่ยนแล้ว พอกระแสด้านลบออกมาซ้ำ ๆ กันทุกวัน ก็จะส่งผลให้ข้าวและน้ำที่แม้ไม่รู้จักภาษาพูด แต่สามารถสัมผัสกระแสความรู้สึกที่ออกไปได้ ทำให้กระแสนั้นไปส่งผลต่อลำดับโครงสร้างโมเลกุลของน้ำ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในข้าวได้
   ดังนั้น ถ้าเราสวดมนต์ทุกวันด้วยความดื่มด่ำซาบซึ้ง ก็จะมีคลื่นที่ดีออกมาจากภายในให้กับตัวเราเอง สิ่งดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิต เลือดหรือน้ำในตัวเราทั้งหมด ถ้านำไปส่องกล้องแล้วผลึกจะต้องสวยมาก ผิวพรรณวรรณะก็จะผ่องใส รูปร่างหน้าตาก็จะดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราปรารถนาให้ตัวเรามีสุขภาพแข็งแรง มีความเบิกบานผ่องใสแล้วละก็ สวดมนต์เถิด เครื่องสำอางยี่ห้อไหนก็สู้ไม่ได้


ในแง่พระพุทธศาสนา การสวดมนต์มีอานิงสงส์อย่างไรบ้าง
   คำว่าอานิสงส์มีความหมายคล้าย ๆ กับคำว่าประโยชน์ พอเราสวดมนต์ใจเราก็จะสงบและเกิดกุศลขึ้นมาหล่อเลี้ยงใจ แล้วจะดึงดูดสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา และเป็นการทบทวนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ชีวิตเราจะดำเนินไปทางบวก สุขภาพแข็งแรง จิตใจเบิกบานผ่องใส หน้าที่การงานจะดี การเรียนและทุกอย่างจะดีไปเรื่อย ๆ
   มีเรื่องราวกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า มีเด็ก ๒ คนเป็นเพื่อนกัน อาศัยอยู่ในกรุงพาราณสี คนหนึ่งอยู่ในครอบครัวชาวพุทธที่มีสัมมาทิฐิ อีกคนหนึ่งอยู่ในครอบครัวมิจฉาทิฐิ เวลาแข่งเล่นกีฬาตีคลี เด็กคนแรกจะสวดมนต์ก่อนสั้น ๆ ว่า “นะโมพุทธายะ” แปลว่า ข้าพเจ้านอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อีกคนหนึ่งสวดบูชาพระพรหม เล่นกันทีไรเด็กคนแรกชนะตลอด จนเด็กคนหลังถามว่า เธอมีเคล็ดลับอะไร ทำไมชนะตลอด เด็กคนแรกก็เลยบอกว่า เธอต้องสวด “นะโมพุทธายะ” เด็กอีกคนไม่ได้รู้ถึงความสำคัญของคำว่า “นะโมพุทธายะ” แต่ก็สวด เพราะหวังว่าเวลาทำอะไรจะได้ประสบตวามสำเร็จ
   มีอยู่คราวหนึ่ง เด็กคนหลังตามพ่อไปตัดต้นไม้ในป่า โคที่เทียมเกวียนหนีไป พ่อเลยไปตามโคจนมืดแต่ก็ยังไม่กลับ เด็กชักกลัวเลยหลบไปนอนใต้เกวียน ในป่านั้นมียักษ์อยู่ ๒ ตน ตนหนึ่งไม่รังแกคน อีกตนเจอคนก็จะรังแก บางครั้งก็เอามาเป็นอาหาร ยักษ์ทั้งคู่เห็นเกวียนก็ด้อม ๆ มอง ๆ ดู ปรากฏว่าเจอเท้าเด็กโผล่ออกมา ยักษ์ใจร้ายบอกว่าโชคดีได้เด็กเป็นอาหารแล้ว ยักษ์ใจดีบอกว่าอย่าไปยุ่งเลย ไปหาผลไม้กินก็ได้ แต่ยักษ์ใจร้ายจะกินเด็ก เลยจับขาเด็กลากออกมา เด็กตกใจรีบท่อง “นะโมพุทธายะ” ท่องเท่านั้นเอง ยักษ์รู้สึกว่าร้อนเหมือนจับเหล็กเผาไฟแดง ๆ สะดุ้งคลายมือทันทีเลย และคิดว่า เด็กคนนี้มีบุญ ถ้าเราไปทำร้ายเขาสงสัยบาปเกิดแน่ ๆ เลยขอโทษเด็ก แล้วก็เชื่อมให้เด็กกับพ่อเจอกันและกลับบ้านด้วยความปลอดภัย อานิสงส์แค่สวดมนต์อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ สวดแค่สั้น ๆ บุญยังเกิดขึ้นอย่างนี้เลย คนโบราณท่านรู้หลักนี้ เวลาเกิดอะไรขึ้นจะอุทานว่า “คุณพระช่วย” คือนึกถึงพระรัตนตรัยก่อน ผูกใจไว้กับพระรัตนตรัยเลย เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราจับหลักได้อย่างปู่ย่าตายาย ผลดีจะเกิดขึ้นกับเราอย่างไม่น่าเชื่อ


คนไม่ค่อยมีเวลา จะสวดมนต์ตอนไหนดี
   มีโยมอาจารย์คนหนึ่ง เขาสอนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขานอนวันละ ๔ ชั่วโมง เที่ยงคืนถึงตี ๔ ทุกวัน ตลอดมา ๒๐ กว่าปี เขามีงานเยอะมาก ๆ ทั้งสอนหนังสือ ทำวิจัย ทำงานบ้านทุกอย่าง ดูแลทุกเรื่อง แต่เขาสวดมนต์วันหนึ่งได้เป็นร้อยจบ สวด “อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ...” จบหนึ่งก็ราว ๓ นาที เวลาขึ้นรถไปมหาวิทยาลัยก็สวดมนต์ในใจไปเรื่อย ๆ ถ้าตอนไหนอยู่คนเดียวก็สวดเบา ๆ แทนที่จะปล่อยให้คิดฟุ้งซ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ สวดมนต์ไปเรื่อย ๆ นี่เป็นตัวอย่างว่างานเยอะก็สวดมนต์ได้
   เราเองในแต่ละวันมีเวลาที่ไร้สาระเยอะมาก ถ้าเอาเวลาเหล่านี้มาสวดมนต์ก็จะได้หลายรอบ แทนที่จะปล่อยใจไปคิดเรื่องอื่น อาบน้ำอยู่ก็สวดได้ไม่บาป เพราะการระลึกถึงพระรัตนตรัยคือการแสดงความเคารพ ล้างหน้า แปรงฟัน สวดได้หมด กินข้าวยังสวดได้เลย ทำอย่างนี้แล้วไม่มีคำพูดว่า ไม่มีเวลาสวดมนต์ ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะสามารถทำได้ในทุกอิริยาบถ


การสวดมนต์แบบออกเสียงกับไม่ออกเสียงอย่างไหนได้บุญมากกว่ากัน
   ถ้าสถานที่เหมาะสมสวดออกเสียงจะดีกว่า จะทำอะไรก็ตาม ถ้าอยู่ในใจก็แค่แรงระดับหนึ่ง ถ้าพูดออกมาแรงจะเพิ่มขึ้น ถ้าลงมือทำก็หนักขึ้นไปอีก อย่างเช่น คิดจะทำร้ายคนอื่นก็ส่งผลลัพธ์แค่ใจชักจะไม่ดี ถ้าพูดว่าฉันจะเล่นงานแก ผลจะหนักขึ้น แต่พอลงมือทำร้ายผลจะออกมาแรงที่สุด เพราะฉะนั้น การสวดมนต์ก็เหมือนกัน ออกเสียงดีกว่า
   อาตมาเคยมีประสบการณ์ตอนเรียนอยู่คณะแพทย์ฯ ปกติจะเป็นคนค่อนข้างอารมณ์ดี เพราะเข้าวัดตั้งแต่มัธยมปลาย แต่มีอยู่คราวหนึ่งเพื่อนไม่รักษาคำพูด ทำให้เสียหายมาก อาตมารู้สึกโกรธ เลยไปสวดมนต์ทำวัตรเช้า เสร็จแล้วก็เช็กใจตัวเองดู ปรากฏว่า ความโกรธหายไปประมาณ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ยังเหลืออีกตั้ง ๒๐-๓๐ เปอร์เซ้นต์ เลยเริ่มสวดใหม่อีก ๑ รอบ เช็คใจตัวเองดู ความโกรธหายไปประมาณ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ เหลืออีกนิดหน่อย ปรากฏว่าพอเลิกสวดมนต์ เพื่อนที่ก่อเรื่องมาขอโทษโดยชวนไปเลี้ยงข้าว ตอนนั้นยิ้มออกแล้ว เพราะหายโกรธไป ๙๕ เปอร์เซ็นต์ แล้วทุกอย่างก็เลยดี
   เพราะฉะนั้น บ้านไหนแม่บ้านอยากให้พ่อบ้านกลับบ้านตรงเวลาและครอบครัวสงบ อบอุ่น ร่มเย็น ลองสวดมนต์ดู มีบ้านหนึ่งพ่อบ้านเลิกงานแล้วไม่ค่อยกลับบ้าน ทำให้มีปัญหาในครอบครัว แม่บ้านเลยไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่าจะทำอย่างไรให้ดีขึ้น พระอาจารย์ให้พระเครื่องมาองค์นึง แล้วบอกว่า เวลาพ่อบ้านกลับบ้านให้แม่บ้านเอาพระขึ้นมาอมเลย จะมีเมตตามหานิยม แม่บ้านก็ทำตาม พอพ่อบ้านเปิดประตูรั้วปั๊บ เอาพระใส่ปากอมเลย พออมพระอยู่ในปากแล้วจะพูดไม่ถนัด ปกติแม่บ้านบ่นจนพ่อบ้านรำคาญ เลยไม่อยากจะกลับบ้าน พอเลิกบ่นพ่อบ้านก็รู้สึกสบายใจ บรรยากาศก็ดีขึ้น นี่แค่หยุดพูดในทางไม่ดีนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่รวมพลังสวดมนต์ ทำความดีทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูก ผลคือบรรยากาศในบ้านจะอบอุ่นและสงบร่มเย็น ทุกอย่างจะดีขึ้นจากพลังเสียงสวดมนต์ของทุกคนในบ้าน


สำหรับผู้ที่เริ่มสวดมนต์จะเลือกสวดบทไหนดี
   ถ้าเป็นเด็ก ๆ ก็ให้สวด “อะระหัง สัมมา...” ที่เขาสวดหน้าเสาธงก่อนเข้าเรียน แล้วก็ต่อด้วย “นะโม ตัสสะ...” ถ้าขึ้นชั้นประถมปลายควรจะให้สวด “อิติปิ โส...” ได้แล้วถ้ามัธยมแล้ว อยากให้สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นให้ได้ ถ้าสวดไม่เป็นก็ให้เปิด DMC ดูก็ได้ ช่วงที่มีการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น จะมีตัวหนังสือที่หน้าจอด้วย มีเสียงด้วย เราก็สวดไปพร้อม ๆ กันทุกวัน ไม่เกิน ๑ เดือน สวดได้ ไม่ยากเลย แล้วได้ผลดีมาก


...


ที่มา  –  วารสาร ”อยู่ในบุญ” ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๐๗ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๔ หน้า ๗๒

ข้อคิดรอบตัว
เรื่องโดย – พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.; Ph.D.)   

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: มาสวดมนต์กันเถิด
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 07 ก.ย. 2554, 03:55:24 »
มาสวดมนต์กันเถิด 36; 36;
                                                
ขอบคณท่านปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) ที่นำบทความที่ดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ
                                                                                                           
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณมากครับ) :033: :033:

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ berm

  • สิ่งที่ควรทำคือความดี..สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม..สิ่งที่ควรจำคือ...บุญคุณ
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1008
  • เพศ: ชาย
  • อยู่คนเดียวระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังวาจา
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: มาสวดมนต์กันเถิด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 07 ก.ย. 2554, 10:22:35 »
ร่วมอนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่เริ่มสวดมนต์ตั้งแต่ตอนนี้ครับ
ทุกคนย่อมมีปัญหาของตัวเองเกิดขึ้นตลอดเวลา  อยู่ที่ใครเลือกที่จะเดินหนีปัญหา...หรือเลือกที่จะแก้ไขปัญหา

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: มาสวดมนต์กันเถิด
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 07 ก.ย. 2554, 03:16:03 »
ขอบคุณท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

สรุปสั้นๆง่ายๆ ว่าควรสวดมนต์ออกเสียง(รู้ความหมายก็ยิ่งดี) สวดยาวๆบ่อยๆดีกว่า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ โยนคลองเตย

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 13
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: มาสวดมนต์กันเถิด
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 07 ก.ย. 2554, 05:24:42 »
ได้ความรู้เพิ่มขึ้นหลานเท่าตัวครับ ขอให้เจริญ เจริญ นะครับ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: มาสวดมนต์กันเถิด
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 08 ก.ย. 2554, 03:03:53 »
'พ่อคูณ'แจ่มใส ขึ้นเครื่องบินไปศิริราช สั่งลูกศิษย์ท่องคาถา

เช้านี้ "หลวงพ่อคูณ" มีสีหน้าสดชื่น แต่มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย ขึ้นเครื่องบินของสำนักฝนหลวงเดินทางจากโคราชไปยัง รพ.ศิริราช เพื่อรักษาอาการอาพาธแล้ว
http://www.thairath.co.th/feed/1
=========
ไม่มีรายละเอียดในข่าวมากกว่านี้
แต่คิดว่า การสวดมนต์หรือท่องคาถา ก็จะเอื้อประโยชน์ที่ดีดี :001: