ผู้เขียน หัวข้อ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์  (อ่าน 5120 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)


             แม้ว่าอดีตที่ผ่านมา คนไทยจะรู้จัก และเคารพนับถือเทพอยู่หลายองค์ เช่น  เจ้าแม่กวนอิม,พระแม่อุมา,พระศิวะ,พระพรหม และพระนารายณ์ เป็นต้น แต่ปีสองปีที่แล้ว เทพที่มาแรงแซงโค้ง เห็นทีจะไม่มีองค์ใดดังเกิน ท่านพ่อจตุคามรามเทพ เพราะความนิยมในตัวท่าน ก่อให้เกิดกระแส จตุคามรามเทพฟีเวอร์ ขึ้นทั่วประเทศ ทำให้คนจำนวนไม่น้อย ต้องมีองค์ท่านอย่างน้อยรุ่นใดรุ่นหนึ่ง เพราะชื่อแต่ละรุ่น ล้วนชวนให้สะสมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นโคตรเศรษฐี,รุ่นเศรษฐีทวีทรัพย์,รุ่นมั่งมีศรีสุข ฯลฯ เรียกว่าแค่มีไว้ จะรวยจริงหรือไม่ ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นอีกโข
       
             แต่สำหรับปีชวด หรือปีหนูนี้ เทพที่กำลังเป็นที่นิยม และต้องหาไว้บูชาเป็นพิเศษ คือ พระพิฆเณศวร์ หลายคนคงสงสัยว่า ทำไม? เพราะอันที่จริง พระพิฆเณศวร์ ท่านก็ดังแบบอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลอยู่แล้ว คือเป็นเทพอันดับต้นๆ ที่คนทั่วไปให้ความเคารพบูชาเสมอมา แล้วทำไมปีนี้จึงต้องบูชาเป็นพิเศษ คำตอบก็เพราะ ท่านเป็นเทพที่มี หนู เป็นพาหนะผู้คนจึงเชื่อว่า ถ้าบูชาท่าน ก็อาจช่วยให้ หนู ซึ่งเป็นลูกน้องของท่าน และเป็นสัญลักษณ์ของปี 2551 นี้ ไม่เที่ยวอาละวาด ทำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเขา และยังอาจนำโชคลาภวาสนามาให้อีกด้วย ดังนั้น เพื่อให้เป็นความรู้ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำตำนาน และเรื่องราวเกี่ยวกับเทพองค์นี้ มาเสนอให้ทราบดังนี้

             พระพิฆเณศวร์ หรือบางแห่งก็เขียน พระพิฆเนศ หรือ พระคเณศ เป็นเทพองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์ หรือฮินดู ซึ่งคนไทยรู้จักกันดี ด้วยเชื่อว่าท่าน เป็นเทพแห่งศิลปะความรู้ และความสำเร็จทั้งมวล ถ้าใครบูชาท่าน ท่านก็จะช่วยขจัดปัดเป่าอุปสรรค ข้อขัดข้องต่างๆให้ รวมทั้งอำนวยความสำเร็จ ให้แก่กิจการทั้งหลายทั้งปวงด้วย คนจึงนิยมกราบไหว้ท่านก่อนที่จะกระทำการใดๆ

             สำหรับรูปกายของท่านหลายๆ คนคงจะคุ้นกันดี เพราะท่านจะมีหุ่นคล้ายๆ กับพระสังกัจจายย์บ้านเรา คือทรงตุ้ยนุ้ย อ้วนพุงพลุ้ย และแทนที่จะมีหัวเป็นคน ท่านกลับมีเศียร(หัว) เป็นช้าง มีกร(มือ) 4 บ้าง 6 บ้าง 8 บ้าง สุดแล้วแต่จะเสด็จมาปางใด ซึ่งในเชิงปรัชญาเขาบอกว่า ร่างกายแต่ละส่วนของท่าน ล้วนมีความหมายในทางมงคลทั้งสิ้น นั่นคือ พระเศียร ที่เป็นหัวช้าง จะเป็นเศียรที่ใหญ่ จึงหมายถึง สมองที่เต็มไปด้วยปัญญาความรู้

             พระกรรณ (หู) ที่กว้างใหญ่ หมายถึง การได้รับฟังคำสวดจากคัมภีร์ หรือความรู้อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งเบื้องต้น ของการศึกษาเล่าเรียน หรือพูดง่ายๆ ว่าฟังมากก็รู้มาก,ส่วน งา ที่มีเพียงข้างเดียวและอีกข้างหักนั้น มีนัยแสดงให้รู้ว่า คนเรามักต้องอยู่ระหว่างความดี-ความชั่วอยู่เสมอ จึงต้องรู้จักแยกแยะ ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ถึงความแตกต่างนั้น เช่นเดียวกับ งวงช้างที่อยู่ตรงกลาง ที่ใช้ชั่งน้ำหนักต่อการกระทำ หรือค้นหาสิ่งที่ดีงาม โดยใช้ปัญญาเลือกเฟ้น ไม่ว่าจะเป็นความผิด-ความถูก ความดี-ความชั่ว และหนู พาหนะที่ท่านขี่มา หมายถึง ความปรารถนาของมนุษย์ ตรงนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย เพราะเป็นความคิดเชิงปรัชญา เลยต้องคิดให้ลึกซึ้งกว่าปกติ 

             โดยทั่วไป เราจะพบเห็นรูปพระพิฆเณศวร์ มี 1 เศียร 4 กร แต่จริงๆ แล้วท่านมีหลายปางมาก บางประเทศอย่างอินเดีย หรือเนปาล พระพิฆเณศวร์จะมีถึง 5 เศียร  ส่วนพระกรหรือมือ จะมีตั้งแต่ 2 กรไปจนถึง 10 กว่ากรขึ้นไป โดยแต่ละหัตถ์ หรือมือของท่าน ก็จะถือสิ่งของแตกต่างกันไป มีทั้งที่เป็นขนม ผลไม้ อาวุธ และสิ่งมงคลต่างๆ เช่น ขนมโมทกะ (เป็นข้าวสุก ผสมน้ำตาลปั้นเป็นลูก) ผลทับทิม ลูกหว้า งาหัก ขวาน ตรีศูล สังข์ แก้วจินดามณี เป็นต้น 

             ส่วนท่าทางนั้น เดิมจะอยู่ในรูปยืนเสียเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาก็พัฒนาเป็นท่านั่ง ซึ่งจะมี 4 ลักษณะด้วยกัน คือ

1. ท่าเข่าข้างหนึ่งยกขึ้น อีกข้างงอพับบนอาสนะ (ที่นั่ง)
2. ท่านั่งขาไขว้กัน
3. ท่านั่งห้อยพระบาทข้างใดข้างหนึ่ง และอีกข้างพับอยู่บนอาสนะ
4. ท่านั่งโดยขาทั้งสองข้างพับอยู่ด้านหน้า ฝ่าเท้าทั้งสองอยู่ชิดติดกัน 

             การที่มีจำนวนพระเศียร และสัญลักษณ์ที่ถือในมือ ตลอดจนลักษณะท่าทาง ที่ปรากฎเป็นปางที่ไม่เหมือนกันนั้น ก็เพราะความเชื่อที่ว่า แต่ละปางก็จะให้คุณที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น

             ปางพาลคเณศ จะเป็นรูปพระคเณศตอนเด็ก อยู่ในท่าคลาน หรืออิริยาบถไร้เดียงสาแบบเด็ก ถ้าโตหน่อยก็จะเป็นรูปนั่งขัดสมาธิ บนดอกบัว มี 4 กร ถือขนมโมทกะ กล้วย รวงข้าว ซึ่งปางนี้หมายถึง ความมีสุขภาพดีของเด็กๆ ในครอบครัว จึงนิยมบูชาในบ้านที่มีเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน 

            ปางนารทคเณศ เป็นปางที่อยู่ในท่ายืน มี 4 กร ถือคัมภีร์ หม้อน้ำ ไม้เท้า และร่ม หมายถึงการเดินทางไกลไปศึกเล่าเรียน ปางนี้เขาว่าเหมาะกับคนที่มีอาชีพ เป็นครูบาอาจารย์ 

            ปางมหาวีระคเณศ เป็นปางที่มีมือมากเป็นพิเศษอาจจะ 12-16 กรเลยทีเดียว และแต่ละพระหัตถ์ก็ถืออาวุธต่างๆ กัน เช่น ตะบอง หอก ตรีศูล คันธนู ฯลฯ ปางนี้เป็นปางออกศึกเพื่อปราบศัตรู จึงเหมาะกับพวกทหาร ตำรวจ และข้าราชการ   
 
            ปางสัมปทายะคเณศ เป็นปางที่เราพบเห็นกันบ่อย คือ มี 4 กร ถืออาวุธอยู่สองหัตถ์บน เช่น ขวานหรือตรีศูล ที่ทรงใช้ทำลายสิ่งชั่วร้าย และคอยขับไล่อุปสรรค อีกพระหัตถ์ถือบ่วงบาศ หมายถึง บ่วงที่ทรงใช้ลากจูงให้คนทั้งหลาย เดินตามรอยพระบาทของท่าน หรือใช้ขจัดศัตรู หัตถ์ล่างจะถือขนมโมทกะ ท่านถือไว้เพื่อประทานเป็นรางวัล แก่ผู้ปฏิบัติตามรอยพระบาทของท่าน ส่วนหัตถ์ขวาล่าง ทำท่าประทานพร หมายถึง ทรงประทานความผาสุก และความสำเร็จให้แก่สาวกของท่าน หรือบางที่ก็ถืองาที่หัก

             อ้อ! มีบางคนอาจสงสัย เกี่ยวกับงูที่พันรอบพุงท่านว่ามาจากไหน เขาก็มีเรื่องเล่าขำๆ ว่า วันหนึ่งหลังเสด็จกลับจากงานเลี้ยง กำลังขี่หนูเพลินๆ ก็ดันมีงูเห่าตัวหนึ่ง เลื้อยผ่านหน้า หนูตกใจเลยทำท่านหล่นลงมาท้องแตก ด้วยความเสียดายขนมต้มที่ทะลักออกมา (เพราะเสวยเข้าไปมาก) ท่านจึงเอาขนมยัดกลับไปในพุงใหม่ แล้วเอางูตัวแสบตัวนั้น มารัดพุงเสีย 

             เจ้ากรรม ! สิ่งที่ท่านทำ พระจันทร์มาเห็นเข้า ก็ขำกลิ้ง ท่านคงโกรธและอาย เลยเอางาขว้างไปติดพระจันทร์จนแน่น ทำให้โลกมืดไปในทันใด ทวยเทพที่ทราบเรื่อง ก็เลยพากันไปอ้อนวอนขอโทษแทน ท่านใจอ่อนก็ยอมถอนเอางาออก แต่คงยังไม่หายเคือง จึงให้พระจันทร์ต้องรับโทษ ด้วยการต้องเว้าๆ แหว่งๆ ไม่เต็มดวงทุกคืน ยกเว้นวันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 1 ค่ำ นี่ก็เป็นเหตุหนึ่ง ที่เราเห็นพระจันทร์เป็นเสี้ยว อยู่บนท้องฟ้าแทบทุกค่ำคืน

             ได้รู้จักรูปลักษณ์ของท่านแล้ว คราวนี้มาถึงชาติกำเนิดกันบ้าง เขาว่ามีอยู่สองสามตำนาน ได้แก่

             ตำนานแรก เล่าว่าวันหนึ่งพระนางปารวตี หรือพระแม่อุมา เมียพระศิวะทรงสรงน้ำ อาบไปอาบมา ถูกขี้ไคลไปด้วย ก็นึกขึ้นได้ว่าพระสหาย เคยแนะนำให้หาบริวาร เป็นของตนเองบ้าง จะได้ไม่ต้องพึ่งพาแต่บริวารของพระสวามี คิดได้ดังนั้นแล้ว พระนางก็เลยนำเอาเหงื่อไคล มาปั้นเป็นหนุ่มรูปงาม แล้วสั่งให้ไปเฝ้าประตู ห้ามใครเข้ามารบกวน ถ้าไม่ได้อนุญาต หนุ่มน้อยที่ว่าก็ทำหน้าที่นายทวารบาลอย่างดีเยี่ยม 

             จนมาวันหนึ่ง พระศิวะเกิดคิดถึงพระนางปารวตี จึงเสด็จมาหา เจ้าหนุ่มไม่รู้จักว่าทรงเป็นพระบิดา ก็เข้าขัดขวาง มิให้พบพระมารดา พระศิวะจึงทรงกริ้ว และคงบวกกับลมเพชรหึงด้วย เพราะจู่ๆ ก็มีหนุ่มรูปงามมาเฝ้าอยู่หน้าห้องเมีย แถมห้ามมิให้เข้าหาอีก ก็เลยพุ่งตรีศูลตัดเศียรนายทวารบาลหนุ่มจนสิ้นชีพ พอความทราบถึงพระนางปารวตี ก็ทรงโกรธพระสวามียิ่ง (ฐานฆ่าบริวารที่พระนางอุตส่าห์ปั้นมากับมือ และถือได้ว่าเป็นลูกชายตาย) โดยไม่ถามไถ่ให้รู้เรื่อง จึงเกิดศึกใหญ่ระหว่างเทพ และเทพีบนสวรรค์ ร้อนถึงพระฤษีนารอด อดรนทนไม่ไหว ต้องทำหน้าที่เป็นทูตเจรจาหย่าศึก พระนางก็ยินยอม 

             แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องชุบชีวิตลูกของพระนางให้ฟื้นคืนมา พระศิวะ จึงต้องระดมเทวดาทั้งหลาย ให้ไปหาศีรษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบ มาต่อให้โอรสพระนาง ปรากฏว่าได้หัวช้างงาเดียวมา จึงต่อให้พระคเณศฟื้นขึ้นมา และเมื่อคืนชีวิตแล้ว พระคเณศได้ทราบว่า พระศิวะคือพระบิดาก็ตรงเข้าไปขออภัยโทษ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระศิวะพอพระทัย จึงประสาทพรให้พระคเณศ มีอำนาจเหนือเทวดาทั้งปวง ท่านจึงได้ชื่อว่าพระคเณศ หรือคณปติที่หมายถึงผู้เป็นใหญ่ในคณะเทพ

             ส่วนตำนานที่สอง เล่าว่าครั้งหนึ่งพระศิวะ และพระแม่อุมาได้เสด็จไปเที่ยวภูเขาหิมาลัย แล้วไปเจอช้างกำลังสมสู่กัน ก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะก็แปลงเป็นช้างพลาย ส่วนพระแม่แปลงเป็นช้างพัง ร่วมสโมสรกันจนมีลูกเป็นพระคเณศ 

             ตำนานที่สาม เล่าว่าพวกอสูร และรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะ จนได้รับพรหลายประการ จึงเกิดความฮึกเหิม ก่อความเดือดร้อนไปทั่ว  ร้อนถึงพระอินทร์ ต้องนำเทวดาทั้งหลายไปเฝ้าพระศิวะบ้าง ขอให้พระองค์ทรงสร้างเทพ แห่งความขัดข้องขึ้น เพื่อขัดขวาง มิให้พวกยักษ์บวงสรวงขอพรได้สำเร็จ พระศิวะจึงทรงแบ่งกายส่วนหนึ่ง ให้บังเกิดในครรภ์ของพระแม่อุมา 

             ซึ่งออกมาเป็นบุรุษรูปงาม นามวิฆเนศวร มีหน้าที่ขัดขวางเหล่าอสูร และคนชั่วมิให้ทำการบัดพลี ขอพรจากพระศิวะ อีกทั้งให้เป็นผู้อำนวยความสะดวก แก่เทวดาและคนดี ที่จะทำการใดๆ ให้ไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น ชื่อ วิฆเนศวร ซึ่งเป็นอีกพระนามของพระคเณศ ที่หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในความติดขัด จึงมาจากตำนานนี้ คือ ทำให้คนชั่วทำการติดขัด แต่ส่งเสริมคนดีให้ประสบความสำเร็จในกิจการต่างๆ

             สำหรับสองตำนานแรก จะเห็นกำเนิดพระคเณศ ที่บอกเหตุว่าทำไมจึงมีเศียรเป็นช้าง แต่ตำนานที่สามมิได้บอกไว้ ซึ่งไม่แน่ชัดว่า จะเป็นตำนานหลังนี้หรือไม่ ที่มีเรื่องเล่าต่อมาว่า เมื่อพระคเณศ มีอายุพอจะทำพิธีโสกันต์ (โกนจุก)แล้ว พระศิวะก็ได้ให้เทวดา ไปอัญเชิญพระนารายณ์ หรือพระวิษณุที่บรรทมอยู่ ณ เกษียรสมุทรหรือทะเลน้ำนม มาร่วมพิธีด้วย    ปรากฎว่าท่านกำลังหลับเพลินๆ อยู่ พอถูกปลุกก็คงจะหงุดหงิด จึงพลั้งปากเปล่งวาจาว่า ?ไอ้ลูกหัวหาย กวนใจจริง? ด้วยวาจาสิทธิ์ เลยมีผลให้เศียรพระคเณศ หลุดไปในทันใด   

             พระศิวะจึงต้องมีเทวโองการ ให้เหล่าเทวดาไปหาหัวมนุษย์ที่เสียชีวิตมาต่อให้ แต่ปรากฏว่าวันนั้น กลับไม่มีใครตาย มีเพียงช้างที่นอนตายอยู่ทางทิศตะวันตกเท่านั้น เทวดาจึงต้องตัดหัวช้าง มาต่อเศียรให้พระคเณศแทน ท่านเลยมีหัวเป็นช้างมาตั้งแต่บัดนั้น และอาจเพราะเหตุนี้ คนโบราณเขาถึงห้าม มิให้นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก เพราะจะทำให้ประสบเหตุร้าย แต่บางแห่งก็ว่าเป็นทิศเหนือ นี่ก็สุดแต่ความเชื่อ

             ส่วนสาเหตุที่พระคเณศ มีเพียงงาเดียวนั้น เล่ากันว่า ถูกขวานของปรศุรามขว้างใส่ ซึ่งปรศุรามนี้ เป็นพราหมณ์ซึ่งเป็นอวตารภาคหนึ่ง ของพระนารายณ์ และได้รับประทานขวานเพชรจากพระศิวะ ทำให้มีฤทธิ์เดชมาก ได้ใช้เทพศัตราวุธนี้ ไปล้างแค้นแทนบิดามารดา รวมถึงไปปราบปรามเหล่ากษัตริย์ทั้งหลายจนสิ้นโลก วันหนึ่งปรศุรามเกิดระลึกถึงพระศิวะ จึงอยากไปเฝ้าด้วยความจงรักภักดี แต่เมื่อไปถึงเทพสถานชั้นใน ก็ถูกพระคเณศออกมาห้ามมิให้เข้าไป เนื่องจากพระศิวะมีเทวบัญชา ห้ามผู้ใดเข้าเฝ้าเด็ดขาดในวันนั้น เพราะกำลังทรงพระสำราญ กับพระแม่อุมาอยู่ ไม่อยากให้ใครรบกวน 

            แต่เพราะปรศุรามคิดว่า ตนเป็นคนโปรดไม่ฟังเสียงจะเข้าเฝ้าให้ได้จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น ปรศุรามโกรธจนลืมตัวเหวี่ยงขวานเพชรไปที่องค์พระคเณศ พระคเณศเห็นขวานถูกขว้างมาก็ตกใจ และจำได้แม่นว่าเป็นขวานของพระศิวะเทพบิดา ก็เกิดความเคารพยำเกรง ไม่กล้าต่อสู้ด้วย เพราะกลัวว่าจะเป็นการหลู่ พระเกียรติยศของมหาเทพ อีกทั้งเห็นว่า ลูกไม่ควรบังอาจไปต่อต้านอาวุธของ พ่อ แม้จะเสียชีวิตเพราะความกตัญญูก็ต้องทำ 

             จึงก้มเศียรลงคารวะ ต่ออาวุธพระบิดา พร้อมหลับเนตรลง ยอมถวายชีวิตแต่โดยดี ก็ปรากฎว่าขวานที่ขว้างมา กระทบกับงาเบื้องขวาของท่าน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว และก่อนงาที่หักจะตกสู่โลก ท่านก็รีบรับไว้ ด้วยเกรงว่า หากงาของท่านตกสู่พื้นโลก จะเป็นอันตรายต่อโลก  และเพราะเสียงดังเอะอะขนาดนั้น พระศิวะและพระแม่อุมา ที่กำลังสำราญพระทัยก็เลยต้องเสด็จออกมาดู ครั้นพอทราบเรื่อง พระแม่อุมาก็กริ้วจัด สาปปรศุรามจนสิ้นฤทธิ์ ต่อมาพระวิษณุได้มาอ้อนวอน ขอให้พระแม่อุมายกโทษให้ปรศุราม พระแม่จึงยอมและถอนคำสาปให้   

             อย่างไรก็ดี พระวิษณุก็ได้มีเทวประกาศิต แบ่งกำลังของปรศุราม มาให้พระคเณศครึ่งหนึ่ง เพื่อมิให้ปรศุรามมีกำลังมากเกินไป และใช้ไปในทางที่ไม่ควรอีก นอกจากให้กำลังแล้ว ท่านยังประกาศให้พระคเณศ มีพระนามว่า เอกทนต์ คือ ผู้มีงาเดียว และว่านามนี้ จะเป็นเครื่องประกาศคุณงามความดี ที่ทรงเป็นลูกกตัญญูต่อบิดา รู้จักรักษาเกียรติบิดา และยังให้นามว่า พิฆเนศวร ซึ่งหมายถึง ผู้ที่สามารถกำจัดอุปสรรคได้นานาประการ รวมทั้งให้นามว่า สิทธิบดี หมายถึง เจ้าแห่งความสำเร็จ 

            แต่ที่สำคัญคือ ทรงให้พรแก่พระคเณศอีกว่า ในการประกอบพิธีกรรมทั้งปวง ท่านจงเป็นใหญ่เป็นประธาน ผู้กระทำพิธีกรรมใดๆ หากไม่เอ่ยนามท่าน ไม่สวดสรรเสริญท่านก่อน พิธีกรรมนั้นจะไร้ผล และล้มเลิกโดยสิ้นเชิง บุคคลใดสวดสดุดีท่านก่อนทำกิจกรรมใดๆ กิจกรรมของเขาจะลุล่วงเป็นผลสำเร็จโดยง่าย และด้วยพรที่พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ประทานแก่พระคเณศนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลาย ต่างพากันบูชาและกล่าวสดุดี องค์พระพิฆเณศวร์ก่อนเทพองค์อื่น เพื่อความสำเร็จแห่งตน และนอกจากพระนามข้างต้นแล้ว พระคเณศยังมีอีกหลายพระนาม ซึ่งล้วนเรียกตามลักษณะของพระองค์ทั้งสิ้น เช่น อาขุรถ หมายถึง ผู้ทรงหนูเป็นพาหนะ, สัพโพทร หมายถึง ผู้มีท้องย้อย และ ลัมพกรรณ หมายถึง ผู้มีหูยาน เป็นต้น

             นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว พระคเณศยังได้ชื่อว่า เป็นเทพแห่งปัญญาด้วย โดยมีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่งพระแม่อุมา ได้นำมะม่วงผลหนึ่งมาถวายพระศิวะ โอรสทั้งสองคือ พระคเณศและพระขันธกุมาร ต่างอยากเสวยมะม่วงผลนี้บ้าง พระศิวะจึงได้ทดสอบดูว่า พระกุมารทั้งสองใครเก่งกว่ากัน โดยบอกว่าใครก็ตาม ที่เดินทางรอบโลกได้เจ็ดรอบ แล้วกลับมาถึงก่อนเป็นผู้ชนะ 

             ขันธกุมารได้ฟังปั๊บไม่รอช้า ขี่นกยูงออกไปท่องโลกทันที ฝ่ายพระคเณศแทนที่จะทำตาม กลับเดินประทักษิณ (เดินเวียนขวา) รอบพระศิวะผู้เป็นบิดาเจ็ดรอบ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระบิดา พระองค์คือจักรวาล และจักรวาลคือพระองค์ พระองค์เป็นผู้สร้างโลก และทรงเป็นบิดาแห่งข้าพระองค์  ข้าพระองค์ได้ทำประทักษิณพระบิดาเจ็ดรอบ ถือว่าได้กุศล เท่ากับเดินทางรอบโลกเจ็ดรอบ พระศิวะได้ยินคำตอบ ก็ชื่นชมในสติปัญญาของพระคเณศ จึงมอบผลมะม่วงให้พระองค์ทันที

            ที่ว่ามาข้างต้นถือว่าเป็นเรื่องในตำนาน  แต่ตามหลักวิชาการ เขาว่ากันว่า ลัทธิบูชาพระคเณศนั้น น่าจะมาจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งเป็นลัทธิที่บูชาสัตว์ และพระคเณศอาจมีต้นกำเนิด มาจากการเป็นเทพเจ้าประจำเผ่า ของคนที่อาศัยอยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่ และต้องเผชิญกับฝูงช้างอันน่ากลัว จึงได้เกิดการเคารพในรูปช้างขึ้น เพื่อปกป้องคุ้มครองตน และได้พัฒนาต่อมาเป็นเทพชั้นสูง จนกลายมาเป็นเทพผู้ขจัดอุปสรรค ที่มีความเฉลียวฉลาด และยังได้รับการยกย่อง ให้เป็นหัวหน้าแห่งเทพ ที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย และต่อมาก็ได้พัฒนาเรื่องราว จนกลายเป็นโอรสแห่งพระศิวะ และพระแม่อุมาตามตำนานข้างต้น   

             ส่วนหนูนั้น เขาว่าน่าจะเกิดจากการที่สมัยก่อน คนประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ หนูที่ชอบทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหาร จึงเป็นอุปสรรคต่ออาชีพ และเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง ดังนั้น การนำหนูมาเป็นพาหนะ ของเทพเจ้าที่ตนนับถือ จึงเป็นการแสดงความมีอำนาจเหนือกว่า และมีนัยของการขจัดอุปสรรคไปในตัว ทั้งหมดทั้งปวงที่ว่ามานี้ คงจะทำให้ทุกท่านได้รู้เรื่องราวขององค์พระพิฆเณศร์เพิ่มขึ้น และก่อนจบขอนำคาถาที่นิยมใช้บูชาพระองค์ มาให้ท่านผู้สนใจได้ท่อง คือ โอม ศรี คเณศายะ นะมะหะ หมายถึง ข้าฯ ขอนอบน้อมแด่พระคเณศ



....................................................
ข้อมูลและภาพจาก อ ส ม ท ข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ  กระทรวงวัฒนธรรม

ออฟไลน์ ~เสน่ห์โจรสลัด~

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 7913
  • เพศ: ชาย
  • " ถ้ามุ่งมั่นจะเป็นที่หนึ่งคุณจะเป็นที่หนึ่ง "
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 10 ก.พ. 2551, 10:56:29 »
ขอบคุณครับ  ;D

ออฟไลน์ eak15

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 66
  • เพศ: ชาย
  • อย่ากลัวการทำดี
    • MSN Messenger - eak.thai@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 29 ก.ค. 2552, 10:33:28 »
ข้อมูลแน่นปึ๊ก ขอบคุณครับ เป็นวิทยาทานครับ :053:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ก.ค. 2552, 10:34:01 โดย eak15 »
จงกระทำความดีอย่าท้อถอย วันละน้อยค่อยๆเป็นค่อยๆไป
การทำดีที่ได้อยู่ที่ใจ ทยอยใช้กรรมเถอะจะเกิดดี

porvfc

  • บุคคลทั่วไป
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 29 ก.ค. 2552, 10:54:16 »
นมัสการค่ะหลวงพี่ :054:

ออฟไลน์ ชลาพุชะ

  • เราอาจไม่รู้มากนัก แต่เรารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1526
  • เพศ: ชาย
  • ที่นี่คือเว็บวัดบางพระ เราก็ศิษย์วัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 29 ก.ค. 2552, 11:48:26 »
กราบนมัสการครับ มาแบบมีสาระเช่นเดิม ได้อ่านอะไรที่ทำให้ประเทืองปัญญาเพราะหลวงพี่ทุกครั้งไป

ออฟไลน์ ~เสน่ห์ต้นน้ำ~

  • ลูกบางพระ
  • ผู้คุมกฎ
  • *****
  • กระทู้: 3234
  • เพศ: ชาย
  • แก้งค์ ศาลา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 29 ก.ค. 2552, 11:55:24 »
กราบนมัสการหลวงพี่เก่งครับ

ออฟไลน์ prathomsak

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 631
  • เพศ: ชาย
  • โอม หนุมานะ
    • MSN Messenger - prathomsak-pong@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • www.hi5.com
    • อีเมล
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 30 ก.ค. 2552, 05:52:11 »
ขอบคุณหลวงพี่ครับ ที่นำข้อมูลมาให้ ผมเป็นอีกคนที่มีความเคารพนับถือ เทพองค์นี้มากครับ ที่ตัวก็มี ที่ในรถก็มี และที่บ้านอีกครับ :054: :054: :054:
เวลาของเรามีน้อยนัก หมั่นทำบุญทำกุศลกันเถิด จักเกิดผล

ออฟไลน์ derbyrock

  • คณะกรรมการ
  • *****
  • กระทู้: 2494
  • เพศ: ชาย
  • สติมา ปัญญาเกิด........ปัญหามา ปํญญามี.......
    • MSN Messenger - derbyrock@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 30 ก.ค. 2552, 09:05:47 »
กราบนมัสการหลวงพี่เก่งครับ ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลน่ะครับ

ความสุขที่แท้จริงรอคอยคุณอยู่.......เพียงแค่คุณนั่งลงแล้วหลับตา

ออฟไลน์ job@love

  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 793
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 30 ก.ค. 2552, 09:20:13 »
กราบนมัสการหลวงพี่เก่งครับ
:054:

ขอก๊อปท่านต้นน้ำอีกที่หนึ่งครับ
      "สุญญตา"  "มีชีวิตโดยไม่มีตัวตน หรือ การมีตัวตนซึ่งมิใช่ตน"

ออฟไลน์ umpawan

  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 3112
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์วัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 30 ก.ค. 2552, 03:51:07 »
ขอบคุณฯหลวงพี่ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) ที่มาให้ความรู้ครับ


ตัวผมเป็นคนนับถือพระพิฆเณศเหมือนกันครับ...

ออฟไลน์ ~@เสน่ห์เอ็ม@~

  • ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย พระคุณบิดามารดาผู้มีพระคุณ แล ครูบาอาจารย์ผู้เกื้อหนุน สาธุ..
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 5894
  • เพศ: ชาย
  • ศิษวัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 30 ก.ค. 2552, 03:57:09 »
ขอบคุณหลวงพี่เก่ง และกราบมนัสการ ครับ ความรู้แน่นเช่นเคย ครับ สาธุ

ออฟไลน์ ~เสน่ห์ack01~

  • ผู้คุมกฎ
  • *****
  • กระทู้: 5330
  • เพศ: ชาย
  • " ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก"
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 30 ก.ค. 2552, 04:36:30 »
นมัสการหลวงพี่เก่งครับ....

... ครบถ้วนทุกกระบวนความเรื่องพระพิฆเณศน์เลยครับ... :002:

ทำบุญ วันคล้ายวันเกิด หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
วันอาทิตย์ ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ 

ออฟไลน์ gottkung

  • จะหมึกหรือน้ำมันไม่สำคัญ จงตั้งมั่นให้อยู่ในความดี
  • เด็กวัด
  • *****
  • กระทู้: 4088
  • เพศ: ชาย
  • "จะลูกใครนั้นไม่สำคัญ เป็นศิษย์ฉันเท่ากันทุกคนไป "
    • ดูรายละเอียด
    • www.gottkung.multiply.com
ตอบ: เจาะ..ตำนานศรัทธาบูชา พระพิฆเณศวร์
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 30 ก.ค. 2552, 08:23:12 »
นมัสการหลวงพี่ด้วยคนครับ

ข้อมูลเยอะแยะมากมาย เป็นความรู้ได้ดีมากๆครับผม :001:
เราเป็นศิษย์คิดมีครูดูก่อนเถิด อย่าละเมิดคำครูที่พร่ำสอน
ปุถุชนคนธรรมดาพึงสังวรณ์ ครูท่านสอนมอบสิ่งดีแก่เราๆ