1
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / เห็นจิตตนเองตลอดเวลา
« เมื่อ: 04 ม.ค. 2556, 08:25:04 »
เป็นประสบการณ์ที่อยากถ่ายทอดให้ฟัง เพื่อให้เราเข้าใกล้ปัจจุบันขณะกันมากขึ้น ไม่ใช่ว่าในช่วงเวลากลางวัน เราทำอะไรมากมาย ทั้งหลง ทั้งโกรธ เกลียด ชอบ ดีใจ เสียใจ มทั้งวัน แล้วจึงไปนั่งสมาธิและทำวิปัสสนาในตอนกลางคืน เพื่อไปนั่งดูจิตตนเอง จริงๆแล้วเราต้องรู้ความทุกข์ สุข ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงจะทำให้เราเกิดปิติได้ตลอด
วันที่ 1 มกราคม 2556 ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เพราะปีนนี้ลูกต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จึงเก็บตัวจากกิจกรรมที่ชอบกางเต็นท์ หันมาพักอยู่ที่บ้านตลอดวันหยุด 5 วัน วันที่ 1 เป็นวันปีใหม่ ผมชวนครอบครัวไปทำบุญที่วัดโดยจัดเตรียมปิ่นโตและเงินใส่ซองถวายพระ เมื่อไปถึงวัด เราก็รีบเอาอาหารในปิ่นโตไปจัดใส่จานเพื่อถวายวัด เมื่อทำเสร็จเราก็ไปนั่งรอเพระมาฉันเพล ระหว่างที่รอยายที่บ่้านที่มาด้วยก็ขยั้นขยอแฟนผมให้เอาเงินในซองไปหยอดตู้ แฟนผมก็เฉยเพราะตั้งใจจะถวายพระ เสียงขยั้นขะยอยังมีอยู่ตลอด ตอนนั้นอารมณ์ผมเริ่มขุ่นแล้ว หงุดหงิดว่าทำไม แต่ขณะที่ไม่สบายใจ ผมก็รีบไปมองที่จิตว่ามันเกิดอะไร เป็นเพราะมันเปิดรับอายตนะให้เข้ามากระทบจิตได้ จึงเกิดการปรุงแต่งอารมณ์ เมื่อเราคิดได้รู้ทันมันก็ปล่อยวาง จิตเกิดปิติขณะนั่งอยู่ในศาลาวัด หากเรามัวแต่ไปให้เหตุผลทางโลกว่าเราต้องการถวายพระมากกว่าใส่ตู้ ต่างคนต่างมีเหตุผลและจุดประสงค์ที่ต่างกันมันเกิดทุกข์ทั้งสองฝ่ายแน่ เราก็เปลี่ยนไปดูที่จิตว่าทำไมมันทุกข์เพราะมันเปิดให้เสียงเข้ามา เมื่อเรารับรู้คำพูด เราก็มาปรุงแต่งอารมณ์ ความไม่พอใจมันถึงเกิด เมื่อเห็นแบบนี้ เข้าใจแล้ว จิตก็ปล่อยวาง ไม่ทุกข์แล้ว
เมื่อพระฉันเพลเสร็จ เด็กที่วัดจะนำเอาถาดอาหารที่เหลือจากการฉันมาให้พวกเราได้กินต่อเพื่อเป็นมงคลที่ได้กินข้าวกันบาตร อาหารและผลไม้ที่อยู่ในถาดผมมีแต่ของดีดีทั้งนั้น แต่แล้วก็มีคุณยายเข้ามาแบ่งอาหารออกไป แบ่งผลไม้ออกไป จิตมันรู้สึกหวง เกิดความโลภ คิดว่าเป็นของของตนซะแล้ว ทุกข์เริ่มเกิดอีกแล้ว เมื่อเราหันไปดูจิต จะพบว่า นี่แหละที่เขาเรียกว่าตัวกูของกู ไปยึดมั่นถือมั่น ยึดกับตัวตน กายหยาบ จนเกิดทุกข์ จิตติดโลภเกิดขึ้น ทั้งที่อากหารเหล่านี้เมื่อผ่านลิ้นไปแล้วก็ไม่มีอะไร ย่อยเสร็จก็เป็นของเน่าเหม็น ไม่ได้เป็นทองคำเลย เมื่อจิตรู้ทันมันก็ปล่อยวาง ไม่เกิดความอยากที่จะรู้รสของอาหาร ความโลภ หลง ก็หายไป ปิติก็เกิดอีกครั้ง
สิ่งที่ผมถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่าน หรือเขียนให้เห็นสิ่งที่ผมพบเจอมา เพื่ออยากให้ทุกท่านเห็นว่า การดูจิต เห็นจิต หรือการรู้เท่าทัน มันต้องเกิดขึ้นทุกขณะ ไม่ใช่แค่ได้ยินหนอ ยินหนอ แต่ใจครุกรุ่นไปแล้ว หรือการทำวิปัสสนามันเกิดได้ทุกอริยาบท เกืดได้ทั้งวัน ไม่ต้องรอก่อนอน 15 นาทีแล้วจึงไปนั่งสมาธิ สามารถพิจารณาได้ทุกขณะจิต ซึ่งจะทำให้เราเข้ากิเลสอย่างหยาบ ไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียดได้
บทความนี้ถ่ายทอดจากประสบการณ์ผม ไม่ขอกล่าวอ้างโอ้อวดอันใด ที่จะหลบลู่ผู้รู้ท่านอื่น เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์มุมมองเท่านั้นครับ
วันที่ 1 มกราคม 2556 ผมไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เพราะปีนนี้ลูกต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จึงเก็บตัวจากกิจกรรมที่ชอบกางเต็นท์ หันมาพักอยู่ที่บ้านตลอดวันหยุด 5 วัน วันที่ 1 เป็นวันปีใหม่ ผมชวนครอบครัวไปทำบุญที่วัดโดยจัดเตรียมปิ่นโตและเงินใส่ซองถวายพระ เมื่อไปถึงวัด เราก็รีบเอาอาหารในปิ่นโตไปจัดใส่จานเพื่อถวายวัด เมื่อทำเสร็จเราก็ไปนั่งรอเพระมาฉันเพล ระหว่างที่รอยายที่บ่้านที่มาด้วยก็ขยั้นขยอแฟนผมให้เอาเงินในซองไปหยอดตู้ แฟนผมก็เฉยเพราะตั้งใจจะถวายพระ เสียงขยั้นขะยอยังมีอยู่ตลอด ตอนนั้นอารมณ์ผมเริ่มขุ่นแล้ว หงุดหงิดว่าทำไม แต่ขณะที่ไม่สบายใจ ผมก็รีบไปมองที่จิตว่ามันเกิดอะไร เป็นเพราะมันเปิดรับอายตนะให้เข้ามากระทบจิตได้ จึงเกิดการปรุงแต่งอารมณ์ เมื่อเราคิดได้รู้ทันมันก็ปล่อยวาง จิตเกิดปิติขณะนั่งอยู่ในศาลาวัด หากเรามัวแต่ไปให้เหตุผลทางโลกว่าเราต้องการถวายพระมากกว่าใส่ตู้ ต่างคนต่างมีเหตุผลและจุดประสงค์ที่ต่างกันมันเกิดทุกข์ทั้งสองฝ่ายแน่ เราก็เปลี่ยนไปดูที่จิตว่าทำไมมันทุกข์เพราะมันเปิดให้เสียงเข้ามา เมื่อเรารับรู้คำพูด เราก็มาปรุงแต่งอารมณ์ ความไม่พอใจมันถึงเกิด เมื่อเห็นแบบนี้ เข้าใจแล้ว จิตก็ปล่อยวาง ไม่ทุกข์แล้ว
เมื่อพระฉันเพลเสร็จ เด็กที่วัดจะนำเอาถาดอาหารที่เหลือจากการฉันมาให้พวกเราได้กินต่อเพื่อเป็นมงคลที่ได้กินข้าวกันบาตร อาหารและผลไม้ที่อยู่ในถาดผมมีแต่ของดีดีทั้งนั้น แต่แล้วก็มีคุณยายเข้ามาแบ่งอาหารออกไป แบ่งผลไม้ออกไป จิตมันรู้สึกหวง เกิดความโลภ คิดว่าเป็นของของตนซะแล้ว ทุกข์เริ่มเกิดอีกแล้ว เมื่อเราหันไปดูจิต จะพบว่า นี่แหละที่เขาเรียกว่าตัวกูของกู ไปยึดมั่นถือมั่น ยึดกับตัวตน กายหยาบ จนเกิดทุกข์ จิตติดโลภเกิดขึ้น ทั้งที่อากหารเหล่านี้เมื่อผ่านลิ้นไปแล้วก็ไม่มีอะไร ย่อยเสร็จก็เป็นของเน่าเหม็น ไม่ได้เป็นทองคำเลย เมื่อจิตรู้ทันมันก็ปล่อยวาง ไม่เกิดความอยากที่จะรู้รสของอาหาร ความโลภ หลง ก็หายไป ปิติก็เกิดอีกครั้ง
สิ่งที่ผมถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่าน หรือเขียนให้เห็นสิ่งที่ผมพบเจอมา เพื่ออยากให้ทุกท่านเห็นว่า การดูจิต เห็นจิต หรือการรู้เท่าทัน มันต้องเกิดขึ้นทุกขณะ ไม่ใช่แค่ได้ยินหนอ ยินหนอ แต่ใจครุกรุ่นไปแล้ว หรือการทำวิปัสสนามันเกิดได้ทุกอริยาบท เกืดได้ทั้งวัน ไม่ต้องรอก่อนอน 15 นาทีแล้วจึงไปนั่งสมาธิ สามารถพิจารณาได้ทุกขณะจิต ซึ่งจะทำให้เราเข้ากิเลสอย่างหยาบ ไปจนถึงกิเลสอย่างละเอียดได้
บทความนี้ถ่ายทอดจากประสบการณ์ผม ไม่ขอกล่าวอ้างโอ้อวดอันใด ที่จะหลบลู่ผู้รู้ท่านอื่น เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์มุมมองเท่านั้นครับ