กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด มิตรไมตรี => บทความ บทกวี => ข้อความที่เริ่มโดย: ธรรมะรักโข ที่ 04 ม.ค. 2553, 09:07:05

หัวข้อ: ใบเสมาโบราณของไทย...
เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะรักโข ที่ 04 ม.ค. 2553, 09:07:05
(http://img27.imageshack.us/img27/5637/3257z.jpg)

ใบเสมาโบราณของไทย

แต่ครั้งโบราณกาล เสมามีความสำคัญต่อพุทธสถานอย่างยิ่ง การที่จะเรียกว่าวัดนั้นเป็นวัดได้ จะต้องมีหลักแบ่งเขตชัดเจนสำหรับการทำพิธีกรรมทางศาสนา และหลักที่ปักเพื่อแบ่งเขตที่ว่านี้ มีชื่อเรียกว่า “ใบเสมา”

เสมา หรือที่มีนักวิชาการบางท่านเรียกว่า “สีมา” ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ หมายถึง เขตกำหนดความพร้อมเพรียงของสงฆ์ หรือเขตชุมนุมของสงฆ์ หรือเขตที่สงฆ์ตกลงไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายที่อยู่ภายในเขตนั้นจะต้องทำสังฆกรรมร่วมกัน

เสมา แบ่งเป็น ๒ ประเภทคือ ๑. พัทธสีมา แปลว่า แดนที่ผูก ได้แก่ เขตที่พระสงฆ์กำหนดขึ้นเอง ๒. อพัทธสีมา แปลว่า แดนที่ไม่ได้ผูก ได้แก่ เขตที่ทางราชการกำหนดไว้ หรือเขตที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นเครื่องกำหนด และสงฆ์ถือเอาตามเขตที่กำหนดนั้น โดยไม่ได้ทำหรือผูกขึ้นใหม่

ความสำคัญของการมีเสมานี้ เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดให้พระภิกษุต้องทำอุโบสถ ปวารณา และสังฆกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะการสวดปาฏิโมกข์ ซึ่งต้องสวดพร้อมกันเดือนละ ๒ ครั้ง จึงเกิดหลักแดนในการที่สงฆ์จะร่วมกันกระทำสังฆกรรม โดยมีหลักบ่งชี้คือใบเสมา

ใบเสมามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานมาก ในประเทศไทยสามารถสืบย้อนไปไกลถึงยุคสมัยแรกเริ่มของประวัติศาสตร์ นั่นคือ อารยธรรมทวารวดี

เป็นที่ทราบกันแล้วว่าอารยธรรมทวารวดีเป็นอารยธรรมเก่าแก่ มีเมืองสำคัญอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทยในปัจจุบัน และเป็นอารยธรรมที่นับถือพระพุทธศาสนาไปพร้อมๆ กับศาสนาพราหมณ์ แต่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองกว่ามาก ทั้งนี้เนื่องด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นจารึกหรือศิลปกรรมต่างๆ เป็นเครื่องยืนยันความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในอารยธรรมทวารวดีนี้ได้เป็นอย่างดี

(http://img13.imageshack.us/img13/3962/2162e.jpg)

บริเวณภาคอีสานของไทยในปัจจุบัน พบว่ามีร่องรอยของอารยธรรมทวารวดีที่เผยแพร่มาจากภาคกลาง แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ กลุ่มใบเสมาที่บริเวณภาคอีสานนี้มีความโดดเด่นกว่าภาคอื่น ในขณะที่ภาคกลางมีความโดดเด่นในเรื่องของการสร้างพระธรรมจักรขนาดใหญ่ ซึ่งใบเสมาที่ว่านี้ มีความแตกต่างจากรูปแบบของใบเสมาที่พบในปัจจุบันมาก นับว่าเป็นพัฒนาการของใบเสมาก็ว่าได้ ข้อสรุปเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องใบเสมาภาคอีสาน ซึ่ง รศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ เรียบเรียงไว้ ดังนี้

รูปแบบของใบเสมาทั่วไปจะเป็นลักษณะกลีบบัว มีขนาดสูงตั้งแต่ ๑ เมตรไปจนถึง ๒ เมตร รองลงมาได้แก่รูปเสาสี่เหลี่ยมและแปดเหลี่ยม ซึ่งพบเป็นจำนวนน้อยมาก ส่วนคติในการสร้างสันนิษฐานไว้ ๓ ประการ คือ

๑. ใช้ปักใบเดียวกลางลานในฐานะของเจดีย์องค์หนึ่ง เพราะโดยทั่วไปที่กลางใบเสมาจะมีรูปหรือสัญลักษณ์ของสถูปปรากฏอยู่ด้วยเสมอ

๒. ใช้ปักล้อมรอบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อแสดงขอบเขต ได้พบตัวอย่างเป็นจำนวนมากบนภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี อาจเป็นการแสดงขอบเขตที่สืบทอดมาจากวัฒนธรรมหินตั้ง ที่พบแล้วตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในภาคอีสาน เช่นที่เมืองเสมา จังหวัดนครราชสีมา

๓. ใช้ปักแปดทิศรอบฐานอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า อาจมีตำแหน่งละ ๑ ใบ ๒ ใบ หรือ ๓ ใบ น่าจะเป็นคติการแสดงขอบเขตสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนสถานลักษณะเดียวกับโบสถ์ในปัจจุบัน

ด้วยขนาดของเสมาที่มีขนาดใหญ่ จึงเกิดภาพเล่าเรื่องบนใบเสมาขึ้น ซึ่งเรื่องราวที่นิยมสร้างขึ้นนั้น มักเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชาดก เป็นต้น

นอกจากนี้ยังพบว่า มีการตกแต่งใบเสมาด้วยรูปสถูปหรือหม้อปูรณฆฏะ ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า การปักใบเสมาแบบใบเดียวที่กลางลานนั้น อาจหมายถึงเครื่องหมายแทนสถูป โดยสังเกตจากรูปแบบของใบเสมาที่มีการสลักรูปสถูปหรือหม้อปูรณฆฏะไว้

หม้อปูรณฆฏะ เป็นเครื่องหมายของความอุดมสมบูรณ์ เป็นสัญลักษณ์ที่พบมาก่อนแล้วตั้งแต่ศิลปะอินเดียโบราณ และยังพบอีกในศิลปะลังกาสมัยอนุราธปุระ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๘-๑๐ ก็นิยมปักหินตั้งรูปปูรณฆฏะไว้บริเวณหน้าประตูทางเข้า

เนื่องจากปูรณฆฏะ เป็นเครื่องหมายของความอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์ในการอวยพรผู้มาศาสนสถานให้มีความสุขไปด้วย และด้วยเหตุนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันการรับสืบทอดวัฒนธรรมศาสนา และศิลปกรรมมาจากอินเดีย และลังกาด้วยเช่นกัน

(http://img300.imageshack.us/img300/4230/1195u.jpg)

สำหรับภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติ ส่วนมากเป็นตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมโปรดเหล่าบุคคล และภาพสลักบนใบเสมาที่เชื่อว่ามีความงดงามและสำคัญอย่างที่สุดชิ้นหนึ่งนั้น คือ ภาพตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากกรุงกบิลพัสดุ์ พบที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดขอนแก่น เป็นฉากที่สำคัญคือพระนางพิมพาสยายผมรองรับพระบาทของพระพุทธเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นท่าแสดงความเคารพอย่างสูงสุด การแสดงความเคารพในลักษณะเช่นนี้ โดยมากพบในศิลปะมอญและพม่า สะท้อนมุมมองการแผ่ขยายความนิยมของศิลปะในประเทศใกล้เคียงในเวลานั้น

การสลักภาพเล่าเรื่องชาดกนั้น พบว่ามีความนิยมอย่างมาก สันนิษฐานว่าน่าจะมีการสร้าง ครบทั้งสิบพระชาติ แต่ที่พบหลักฐานมากที่สุด เป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะเสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า นั่นคือ เวสสันดรชาดก ในตอน พระราชทานกัณหา-ชาลีให้กับชูชก หรือจะเป็นตอนที่ พระอินทร์ปลอมตัวมาขอพระราชทานนางมัทรี ส่วนชาดกในเรื่องอื่นที่พบก็มี สุวรรณสาม วิฑูรบัณฑิต มหาชนก เป็นต้น

การสลักเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกและพุทธประวัติไว้บนใบเสมานี้ คงจะมีคติการสร้างเดียวกันกับจิตรกรรมฝาผนัง คือมีความมุ่งหมายที่จะเป็นการให้ความรู้ โดยแฝงวัฒนธรรมการแต่งกาย รูปแบบเฉพาะของศิลปกรรมในภูมิภาค ทำให้กลุ่มใบเสมาที่ภาคอีสานมีความโดดเด่น มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งในสมัยต่อมาด้วยขนาดของใบเสมาที่เล็กลง ประกอบกับความนิยมในการสลักภาพเล่าเรื่องบนใบเสมาไม่ได้รับความนิยมแล้ว เราจึงไม่พบหลักฐานของใบเสมาในลักษณะดังกล่าวอีกเลย

(http://img682.imageshack.us/img682/4100/2681196674781jpg419.jpg)
ใบเสมาวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย

เสมา ๓ สมัย
ในครั้งก่อนได้กล่าวถึงใบเสมาโบราณของอารยธรรมทวารวดีภาคอีสาน ซึ่งมีความโดดเด่นที่ขนาด และการสลักภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติ และชาดกต่างๆ อันเป็นงานศิลปกรรมที่สะท้อนความศรัทธาและการให้ความรู้พุทธประวัติควบคู่กัน

ฉบับนี้ ขอนำเรื่อง ใบเสมาที่สะท้อนเอกลักษณ์ของยุคสมัยสุโขทัย ล้านนา และอยุธยา ซึ่งทั้งสามสมัยนี้มีความชัดเจนในวัฒนธรรมการนับถือพุทธศาสนาเถรวาท มีการสร้างวัดวาอาราม การเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ใบเสมาในสมัยสุโขทัยนั้น ใช้เสมาลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ทำด้วยหินชนวน ดังที่ปรากฏหลักฐานตามวัดโบราณต่างๆ ทั้งที่ค้นพบในตัวเมืองเก่าสุโขทัย และที่อำเภอศรีสัชนาลัย สวรรคโลก รวมไปถึงเมืองกำแพงเพชร พิษณุโลก พบว่า แผ่นศิลาที่สันนิษฐานว่าเป็นใบเสมา นี้มีรูปแบบที่ไม่ต่างกันมากนัก โดยสามารถจำแนกได้เป็น ๓ แบบคือ

๑. แบบแผ่นศิลารูปสี่เหลี่ยม ขอบปากมนยอดทั้งสองด้านไปบรรจบเป็นยอดแหลมตรงกลาง ตรงกลางใบเสมาสลักเป็นสันตรงตลอดคล้ายใบเสมาในสมัยทวารวดี

๒. แบบแผ่นศิลาปาดขอบกลมยอดแหลมแล้วคอดเล็กน้อย ส่วนล่างผายออกยกมุมแหลมเล็กน้อย ตัวใบเสมาสลักเป็นแนวสันเล็กๆ ลงมาถึงกึ่งกลาง แล้วสลักแยกออกเป็น ๒ ส่วนดูคล้ายรูปสามเหลี่ยม

๓. แบบแผ่นศิลาเรียบไม่มีลวดลาย ปาดขอบทั้งสองด้านเกิดเป็นสันแหลมตรงกลาง

(http://img64.imageshack.us/img64/7568/2681196674790jpg283.jpg)
ใบเสมาวัดมหาโพธาราม จังหวัดเชียงใหม่

ใบเสมาในสมัยล้านนา เป็นรูปแบบที่ไม่เน้นการประดับตกแต่งมากนัก จากหลักฐานที่ค้นพบตามวัดวาอารามในเขตเมืองเชียงใหม่และเมืองโดยรอบที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรล้านนาพบว่า ใบเสมามีรูปแบบที่เรียบง่าย พอจำแนกได้เป็น ๓ แบบคือ

๑. แบบแท่งศิลากลมยาว ปลายปาดมน รูปแบบในลักษณะนี้ น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรหริภุญไชย ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เติบโตมาก่อนล้านนา เป็นช่วงปลายของอาณาจักรทวารวดีแล้ว

๒. แบบศิลาเรียบไม่มีลวดลาย สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรสุโขทัยในรัชสมัยพระยาลิไท เมื่อครั้งรับพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์

๓. ใช้ก้อนหินธรรมดาเป็นใบเสมา สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือ ในสมัยล้านนานี้เป็นช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธมีความเจริญรุ่งเรือง อย่างมาก ทว่าใบเสมากลับไม่ได้รับการตกแต่งให้มีความวิจิตรงดงามมากนัก ซึ่งต่างกับใน ยุคก่อนหน้านั้นที่มีการสลักลวดลายเต็มพื้นที่ นั่นอาจเป็นไปได้ว่าในสมัยนี้ เสมาเริ่มลดบทบาทลง แต่มีความโดดเด่นที่พระพุทธรูปและพุทธสถานแทน

ใบเสมาในสมัยอยุธยา มีรูปแบบที่เชื่อมโยงกับอิทธิพลของอาณาจักรที่เกิดขึ้นก่อนการสถาปนากรุงเล็กน้อย นั่นคือ เมืองอู่ทอง ซึ่งทำจากหินทรายแดงและทรายขาวขนาดใหญ่ โดย เริ่มมีการสลักลวดลายแล้ว รูปแบบของใบเสมานี้มีลักษณะที่ผสมผสานระหว่างสุโขทัยและอู่ทองเข้าไว้ด้วยกัน รูปแบบที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้มีความเรียบง่าย และตกแต่งด้วยลวดลายเล็กน้อย ข้อสันนิษฐานประการหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับใบเสมาในสมัยอยุธยานี้คือ

ใบเสมาที่มีอายุเก่าที่สุดจะมีลักษณะใหญ่ตัน ทำจากหินชนวนขนาดใหญ่ มีความหนาและไม่สูงชลูด ผิดกับใบเสมาที่พบในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลายที่พบว่ามีขนาดไม่ใหญ่ มีความบางและสูงชลูดมากกว่าเดิม หินชนวนก็ยังคงเป็นวัสดุหลักที่ใช้อยู่ แต่เริ่มมีขนาดเล็กลง มีการใช้หินทรายเนื้อละเอียดร่วมด้วย

(http://img6.imageshack.us/img6/269/2681196674771jpg324.jpg)
ใบเสมาวัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ในช่วงอยุธยาตอนปลายนี้เอง ที่มีการสร้างฐานหรือแท่นสูงสำหรับปักเสมา หรือเรียกโดยรวมว่า “เสมานั่งแท่น” และให้ความสำคัญกับแท่นหรือฐานนี้ด้วยการประดับตกแต่งมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการสร้างเรือนหรือซุ้มครอบแผ่นเสมาไว้ เรียกว่า “ซุ้มเสมา” ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างมากในสมัยรัตนโกสินทร์ ด้วยระยะเวลาอันยาวนานของราชธานีกรุงศรีอยุธยา นักวิชาการจึงได้จำแนกรูปแบบของใบเสมาอยุธยาไว้ดังนี้

๑. เป็นใบเสมาศิลาเรียบ ตรงกลางสกัดเป็นสันแถบยาวตลอด และมีลายประจำยามอยู่ตรงกลาง

๒. เป็นใบเสมาศิลาเรียบนั่งแท่น แต่ตรงกลางสกัดเป็นสันแถบยาว และมีลายประจำยามอยู่ตรงกลางเป็นรูปคล้ายทับทรวง บ้างสลักเป็นรูปเทวดา หรือครุฑยุดนาค

๓. เป็นใบเสมาศิลาเรียบนั่งแท่นเช่นกัน แต่สกัดให้มีความเรียวมากขึ้น (อยุธยาปลาย) สลักลายที่ดูแข็งกระด้าง และบางแห่งเป็นเสมาเรียบไม่มีลวดลาย และเน้นความงดงามที่ซุ้มเสมา

จากที่กล่าวมาโดยสรุปทั้งหมด พอจะทำให้เห็นทิศทางของรูปแบบในเชิงศิลปกรรมของ ใบเสมาแล้วว่า มีความแตกต่างจากใบเสมารุ่นเก่าอย่างในสมัยทวารวดีมาก ด้วยขนาดที่เล็กลง พื้นที่ในการสลักลวดลายจึงมีอยู่อย่างจำกัด จากที่เคยเป็นภาพเล่าเรื่องจึงเป็นเพียงลายกระหนก ลายประจำยาม และลวดลายของพันธุ์พฤกษา แต่ความสำคัญที่ว่า ใบเสมาคือ เครื่องกำหนดเขตชุมนุมของสงฆ์ ยังคงทำหน้าที่เช่นเดิม

(http://img3.imageshack.us/img3/9350/281199749418jpg314.jpg)
ใบเสมาวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ  

เสมาแนบผนัง ยุครัตนโกสินทร์

เสมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นการสืบทอดรูปแบบมาจากสมัยอยุธยาตอนปลาย เช่นเดียวกันกับรูปแบบของศิลปกรรมแขนงอื่นๆ กล่าวคือในช่วงอยุธยาตอนปลาย มีการประดับลวดลายที่ซุ้มเสมาแล้ว มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ การตกแต่งลวดลายจึงไม่ใช่เพียงที่ซุ้มเสมาเท่านั้น หากแต่ยังปรากฏความหลากหลายของรูปทรงและลวดลายที่ประดับอยู่ที่ใบเสมาด้วย

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงลักษณะและแบบแผนของผังเสมาโดยสังเขป แบ่งออกเป็น ๔ ลักษณะคือ
๑. เสมาลอย คือการปักใบเสมาบนฐานที่ตั้งบนพื้นโดยตรง และตั้งอยู่โดดๆ รอบพระอุโบสถ
๒. เสมาบนกำแพงแก้ว คือเสมานั่งแท่นที่มีกำแพงแก้วชักถึงกันทั้ง ๘ แท่น
๓. เสมาแนบผนัง คือเสมาที่ตั้งหรือประดับเข้ากับส่วนของผนังพระอุโบสถ
๔. เสมาแบบพิเศษ คือการใช้แบบอย่างเสมาลักษณะพิเศษต่างจากแบบแผนทั่วไป

ซึ่งจะพบความหลากหลายของแผนผังการวางเสมาในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ รูปแบบของใบเสมาได้รับอิทธิพลมาจากสมัยอยุธยาตอนปลายอยู่มาก แต่ว่ามีการตกแต่งส่วนยอดของใบเสมาด้วยการให้มียอดเรียวสูงขึ้นควั่นเป็นสายปล้อง และประดับส่วนไหล่ของใบเสมาด้วยลวดลายคล้ายบัวคอเสื้อ ขอบใบเสมายกเป็นขอบสองชั้น ลายทับทรวงที่ประดับอยู่ตรงกึ่งกลางเป็นรูปรีคล้ายใบโพธิ์สองชั้น เชิงล่างบริเวณมุมทั้งสองสลักเป็นรูปนาค

จวบจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ซึ่งเป็นช่วงที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองขึ้นมาก มีการสร้างวัดวาอารามไม่ว่าจะเป็นที่เมืองหลวงหรือปริมณฑล รูปแบบของเสมาในรัชสมัยนี้มีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายที่ตรงกลางใบเสมามากกว่าเดิม และเพิ่มลวดลายริ้บบิ้นผูกประดับกับลายทับทรวงที่อยู่ตรงกลางนั้น

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ความหลากหลายของรูปแบบใบเสมาก็ถือกำเนิดขึ้น มีการคิดประดิษฐ์รูปทรงของใบเสมาให้แตกต่างจากแบบเดิมๆ โดยอาศัยรูปแบบของเสานางเรียงที่มีมาก่อนแล้วในสมัยโบราณ ซึ่งจะประดับรอบทางเดินของปราสาทหินต่างๆ โดยทำเป็นทรงหม้อ หรือหัวเม็ดทรงมัณฑ์คอดกิ่ววางอยู่เหนือแท่น ตรงมุมทั้งสี่สลักเป็นรูปเศียรนาค บางครั้งมีการทำเป็นรูปดอกบัวในส่วนตัวหัวเม็ด

ในสมัยนี้เองที่พบว่า มีการสลักใบเสมาด้วยลายพระธรรมจักร โดยยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงลวดลายที่มีความงดงามและรูปทรงที่ต่างจากยุคโบราณ หากแต่เป็นเรื่องของการประดิษฐานใบเสมาที่พบว่ามีความน่าสนใจไม่แพ้กัน]

(http://img94.imageshack.us/img94/1180/281199749425jpg209.jpg)
ใบเสมาวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ

กล่าวคือ ในสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากจะพบว่าการปักใบเสมารายล้อมรอบพระอุโบสถอันเป็นการบ่งบอกถึงเขตบริเวณให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรม ยังพบว่า นอกจากบริเวณรอบๆ พระอุโบสถแล้ว ยังพบการประดิษฐานใบเสมาแนบผนังของพระอุโบสถด้วย อาทิ

ใบเสมาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเสมาที่มีการสร้างได้วิจิตรงดงาม คือมีการสลักลวดลายตรงกลางใบเสมาด้วยรูปครุฑยุดนาค และขอบรอบใบเสมาคือตัวนาค นอกจากนี้ยังพบใบเสมาแนบผนังภายในพระอุโบสถ โดยสลักเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑอีกด้วย

ใบเสมาวัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ ที่มีการเพิ่มเติมลวดลายด้วยริ้บบิ้นผูกกับทับทรวงที่กลางใบเสมา รอบขอบเป็นรูปกนกนาค รองรับด้วยฐานบัวเหนือฐานสิงห์

ใบเสมาวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพฯ เป็นใบเสมาหินทรายแกะเป็นรูปดอกบัว ตามชื่อของวัด กรอบเป็นแนวสองชั้น รองรับด้วยกลีบบัว และรองรับด้วยฐานสิงห์ ๑ ฐาน

นอกจากนี้ ยังพบ ใบเสมาวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร จังหวัดนครปฐม เป็นเสมาสลักด้วยหินอ่อนติดอยู่ที่มุมทั้งสี่ทิศ ซึ่งสลักรูปท้าวจตุโลกบาลประจำทิศทั้งสี่ คือ ท้าวธตรส ท้าววิรูปักษ์ ท้าววิรุฬหก และท้าวเวสสุวรรณ

(http://img69.imageshack.us/img69/4295/2681199749446jpg948.jpg)
ใบเสมาวัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม

จากตัวอย่างข้างต้น ทำให้ทราบว่าเสมาแนบผนังพระอุโบสถได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยทีเดียว หากแต่ในช่วงนี้ความสำคัญของซุ้มเสมาก็มีเพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้เสมาที่ปักรายรอบพระอุโบสถมีความนิยมมากกว่า

 (http://img15.imageshack.us/img15/7897/2681202254138jpg103.jpg)
มหาเสมาวัดบรมนิวาส

มหาเสมา กรอบสังฆกรรมที่ใหญ่ขึ้น  

ดังที่ได้กล่าวมาในฉบับก่อนหน้านี้แล้วว่า ‘เสมา’ หรือ ‘สีมา’ คือหลักกำหนดเขตพุทธาวาส เพื่อให้พระภิกษุได้ทำสังฆกรรมร่วมกัน โดยที่ผ่านมาเสมามีรูปแบบและการประดับตกแต่งแตกต่างกันไปตามยุคสมัย ซึ่งนั่นเป็นเหตุให้เกิดความหลากหลายในเชิงช่าง

นอกจากนี้ยังพบว่ามีเสมาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีความแปลกและความสำคัญในเรื่องของแนวความคิด คติในการสร้าง เสมาที่ว่านี้ เรียกว่า ‘มหาเสมา’

พิทยา บุนนาค ได้อธิบายเรื่องมหาเสมา ไว้ในบทความ “เรื่องของเราสีมา” โดยอ้างถึง ‘กัลยาณีสีมา’ ซึ่งมีจารึกภาษามอญ และภาษาบาลี พอเป็นหลักฐานว่า สีมากัลยาณีได้พื้นฐานมาจากอรรถกถา ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นของพระอรรถกถาจารย์ชื่อ พระมหาสุมันตเถระ และพระมหาปทุมเถระ อรรถกถาดังกล่าวอธิบายถึงวิธีผูกมหาสีมา วิธีผูกขัณฑสีมา และวิธีผูกสีมา ๒ ชั้น

ในการผูกพัทธเสมา ๒ ชั้นนี้ สามารถเรียกแยกได้ว่า ‘มหาเสมา’ คือ พัทธเสมาใหญ่ และ ‘ขัณฑเสมา’ คือ พัทธเสมาที่อยู่ภายใน มีความหมายถึงเขตที่ย่อยลงไป ซึ่งอยู่ในมหาเสมาอีกต่อหนึ่ง

(http://img5.imageshack.us/img5/7844/2681202254198jpg177.jpg)
มหาเสมาวัดโสมนัสวิหาร

เมื่อมีเสมาสองชั้นเช่นนี้แล้ว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างสิ่งซึ่งคั่นเสมาทั้งสองไว้ไม่ให้ปนกันนั่นคือ ‘สีมันตริก’ สีมันตริก คือ ระยะของช่องว่างที่จะต้องเว้นไว้ระหว่างมหาเสมาและขัณฑเสมา โดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “เพื่อมิให้เขตของสีมาทั้งสองระคน (สังกระ) กัน” ในครั้งพุทธกาล มีเรื่องเกี่ยวกับสีมันตริกนี้ กล่าวคือ เมื่อพระฉัพพัคคีย์ได้สมมติเขตเสมาทับซ้อนเสมาที่มีอยู่แล้ว ภิกษุทั้งหลายจึงไปร้องต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ห้ามไม่ให้มีเขตเสมาทับกัน และให้เว้นที่ (สีมันตริก) ระหว่างเขตพัทธเสมาไว้

การประดิษฐานมหาเสมาหรือมหาสีมา เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ โดยทรงเห็นว่าหากเกิดการทำสังฆกรรมต่างลักษณะขึ้นพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน ย่อมไม่สามารถใช้พระอุโบสถที่มีอยู่แห่งเดียวร่วมกระทำได้ ต่อเมื่อมีมหาเสมาล้อมรอบแล้ว ทุกพื้นที่ภายในเขตมหาเสมาสามารถเลือกทำสังฆกรรมได้ เช่น พระวิหาร ศาลาราย ศาลาการเปรียญ หรือแม้แต่กุฏิสงฆ์

โดยวัดซึ่งรัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างนั้นล้วนมีมหาเสมาทั้งสิ้น ได้แก่ วัดบรมนิวาส วัดโสมนัสวิหาร วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม วัดมกุฏกษัตริยาราม และวัดปทุมวนาราม (มหาเสมาของวัดปทุมวนารามไม่สามารถสืบค้นลักษณะแบบอย่างและตำแหน่งได้ ทั้งนี้อาจถูกเคลื่อนย้ายหรือรื้อถอนไปครั้งมีการถมสระหรือขยายถนนหน้าวัด)

(http://img503.imageshack.us/img503/3731/2681202254177jpg272.jpg)
(http://img503.imageshack.us/img503/7041/2681207392419jpg175.jpg)
มหาเสมาวัดราชประดิษฐ์ฯ

สมคิด จิระทัศนกุล ได้ทำการจำแนกรูปแบบของมหาเสมาไว้ ๔ ลักษณะ คือ

๑. มหาเสมาแบบก้อนศิลา เป็นมหาเสมาที่ทำด้วยศิลาขนาดย่อม ไม่มีการตกแต่งลวดลายแต่ประการใด เพียงแต่ถากผิวให้มีสัณฐานเป็นรูปแท่งสี่เหลี่ยมมนหยาบๆ เท่านั้น รูปแบบนี้พบเพียงวัดเดียวที่ มหาเสมาวัดบรมนิวาส เท่านั้น

๒. มหาเสมาแบบยอดบัวตูม เป็นมหาเสมารูปแท่งสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำด้วยหินแกรนิต ส่วนปลายยาวรวบเข้าหากันทั้งสี่ด้านคล้ายรูปดอกบัวตูม พบที่ มหาเสมาวัดโสมนัสวิหาร ซึ่งมีส่วนครอบอีกชั้นหนึ่ง โดยสร้างซุ้มเป็นลักษณะคูหากลม มีทางเดินด้านในเพียงช่องเดียว หลังคาทำทรงสูงรูปโค้งอย่างจีน

๓. มหาเสมาแบบแท่งเสมา เป็นมหาเสมาที่ทำเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวละเลียดขึ้นไปตามแนวความสูงของกำแพง ส่วนปลายสลักด้วยหินแกรนิตเป็นรูปแท่งสี่เหลี่ยม บริเวณตัวแท่งนั้นสลักจารึกการประดิษฐานและตำแหน่งของทิศ พบที่ มหาเสมาวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม (การสร้างมหาเสมาโดยแบบที่ไม่ปรากฏขัณฑเสมาและสีมันตริก เป็นเพียงมหาเสมาเพียงอย่างเดียว พบที่วัดราชประดิษฐ์ฯ เท่านั้น)

๔. มหาเสมาแบบเสมาโปร่ง เป็นมหาเสมาที่ทำเป็นแท่งสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวแนบไปตลอดแนวความสูงของกำแพงเช่นกัน ส่วนปลายทำรูปทรงล้อเสมาแท่ง แต่ทำในลักษณะของเสมาโปร่ง คือแต่ละด้านเป็นซุ้มคูหาทะลุถึงกันทั้งสี่ด้าน พบที่ มหาเสมาวัดมกุฏกษัตริยาราม

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้ทราบถึงแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งมีพระราชประสงค์ให้เขตของการทำสังฆกรรมครอบคลุมพื้นที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งนับว่าสร้างความพิเศษให้เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีเพียงวัดที่พระองค์ทรงสร้างเพียง ๕ วัดเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ควรค่ากับการศึกษา ในเรื่องของการทำตามพระอรรถกถาว่าด้วยการสร้างมหาเสมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งยังส่งอิทธิพลในการสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยพระองค์มีพระราชดำริให้สร้าง วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม เป็นวัดประจำรัชกาล มีมหาเสมาเสาศิลาจำหลักยอดเป็นรูปเสมาธรรมจักร ๘ เสา ประดิษฐานไว้ที่กำแพงวัดทั้ง ๘ ทิศด้วยเช่นกัน

(http://img222.imageshack.us/img222/9061/2681202254156jpg943.jpg)
มหาเสมาวัดมกุฏกษัตริยาราม

(http://img689.imageshack.us/img689/8614/141d.jpg)
ซุ้มเสมาวัดสุทัศน์ฯ กทม.

หลากซุ้มคลุมเสมา

องค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งซึ่งส่งผลให้เสมามีความโดดเด่นและมีความงดงามมากยิ่งขึ้น นั่นคือ ‘ซุ้มเสมา’ ซุ้มเสมาเป็นอีกรูปแบบสถาปัตยกรรมหนึ่งที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม โดยสืบทอดแบบอย่างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นแบบแผนที่ยังคงมีให้ศึกษามาจวบจนปัจจุบัน ซุ้มเสมาที่พบสามารถจำแนกได้ดังนี้ คือ

(http://img44.imageshack.us/img44/6116/188qg.jpg)
ซุ้มเสมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กทม.

๑. ซุ้มเสมายอดเจดีย์ คือ ซุ้มเสมาที่ทำเรือนซุ้มเป็นรูปสี่เหลี่ยม ยอดซุ้มทำเป็นรูปทรงอย่างเจดีย์ เช่น ซุ้มเสมาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, วัดสุทัศนเทพวราราม กทม. เป็นต้น โดยซุ้มเสมายอดเจดีย์นี้ยังมีอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ กล่าวคือ มีการสร้างเป็นซุ้มเสมายอดเจดีย์ห้ายอด โดยทำเรือนซุ้มอย่างปราสาท มีมุขซ้อนและมุขลดทั้ง ๔ ด้านเทินรับเครื่องยอดทรงเจดีย์ ที่สันของมุขซ้อนแต่ละด้านเทินเจดีย์จำลองขนาดเล็กอีกด้านละองค์ รวมเป็นยอดเจดีย์แบบห้ายอด รูปแบบของซุ้มเสมาแบบนี้มีตัวอย่างที่ ซุ้มเสมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว), วัดระฆังโฆษิตาราม กทม. เป็นต้น

(http://img39.imageshack.us/img39/2366/126dv.jpg)
ซุ้มเสมาวัดอรุณฯ กทม.

๒. ซุ้มเสมายอดมณฑป คือ ซุ้มเสมาที่ทำส่วนยอดซุ้มให้มีลักษณะคล้ายอย่างเรือนยอดมณฑปหรือบุษบก เช่น ซุ้มเสมาวัดอรุณราชวราราม, วัดราชนัดดาราม กทม. และวัดขนอน จ.ราชบุรี เป็นต้น

(http://img689.imageshack.us/img689/5338/ae326.jpg)
ซุ้มเสมาวัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี

๓. ซุ้มเสมาทรงกูบ คือ ซุ้มเสมาที่ทำเรือนซุ้มเป็นรูปหลังคาโค้งอย่าง “กูบ” (ที่ใช้ประกอบสำหรับนั่งบนหลังช้าง) ส่วนยอดทำเป็นหัวเม็ดหรือปลีประดับ เช่น ซุ้มเสมาวัดดุสิตาราม, วัดช่องนนทรี กทม. วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี เป็นต้น

(http://img51.imageshack.us/img51/7909/248l.jpg)
ซุ้มเสมาวัดราชโอรส กทม.

๔. ซุ้มเสมาทรงเกี้ยว คือ ซุ้มเสมาที่ทำรูปแบบลักษณะซุ้มคล้ายอย่าง “เรือนเกี้ยว” (พาหนะที่ตั้งบนคานใช้คนแบกหามของจีน) เป็นแบบแผนซุ้มเสมาที่เริ่มนิยมมาตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นมา เช่น ซุ้มเสมาวัดราชโอรสาราม (วัดราชโอรส), วัดราชสิทธาราม กทม. และวัดเฉลิมพระเกียรติ จ.นนทบุรี เป็นต้น

(http://img13.imageshack.us/img13/266/707b.jpg)
ซุ้มเสมาวัดพิชัยญาติ กทม.

๕. ซุ้มเสมาทรงปรางค์ คือ ซุ้มเสมาที่นำรูปทรงลักษณะของพระปรางค์มาใช้ ซึ่งรูปแบบของพระปรางค์นี้มีความนิยมสร้างเป็นเจดีย์ประธานในสมัยอยุธยา เมื่อสร้างเป็นยอดของซุ้มเสมาจึงลดทอนรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ได้ยอดเจดีย์ที่มีทรงสูง โดยสร้างให้ส่วนของเรือนธาตุเปิดเป็นช่องโปร่งใช้เป็นที่ตั้งเสมา ซุ้มเสมาในลักษณะเช่นนี้พบที่ ซุ้มเสมาวัดพิชยญาติการาม (วัดพิชัยญาติ), วัดปทุมคงคา, วัดอัปสรสวรรค์ กทม. เป็นต้น

(http://img6.imageshack.us/img6/1870/ae128.jpg)
ซุ้มเสมาวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา
๖. ซุ้มเสมาทรงคฤห์ คือ ซุ้มเสมาที่สร้างเป็นเรือนหรืออาคารอย่างทรงคฤห์ (อาคารที่อยู่อาศัยของบุคคล) หลังคาประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แบบประเพณีทุกประการ ทำให้เครื่องยอดของซุ้มเสมานี้ดูคล้ายกับบ้านเรือนแบบไทยตามแนวประเพณีเช่นเดียวกับพระราชวัง ตัวอย่างที่มีความชัดเจนมากคือ ซุ้มเสมาวัดพุทไธสวรรค์ จ.พระนครศรีอยุธยา

ในการสร้างซุ้มเสมานั้น นอกจากจะเป็นการทำนุรักษาเสมาให้มีความสมบูรณ์แล้ว ยังมีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมอีกด้วย โดยสามารถบอกถึงรสนิยมของผู้สร้างในสมัยต่างๆ โดยรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนแต่เป็นการจำลองอาคารชั้นสูงมาแทบทั้งสิ้น โดยแฝงความหมายอันลึกซึ้งถึงเรือนเครื่องสูงอันเป็นที่ประดิษฐานเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเน้นย้ำความสำคัญของเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงเขตพุทธาวาสได้เป็นอย่างดี

ขอขอบคุณหนังสือธรรมลีลา โดย นฤมล สารากรบริรักษ์
คัดลอกมาจาก...หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์
 
หัวข้อ: ตอบ: ใบเสมาโบราณของไทย...
เริ่มหัวข้อโดย: ~@เสน่ห์เอ็ม@~ ที่ 04 ม.ค. 2553, 09:38:13
ขอบคุณพี่ธรรมมะรักโขมากเลยครับ ข้อมูลแน่นมากครับ ได้ความรู้เยอะเลยครับ
หัวข้อ: ตอบ: ใบเสมาโบราณของไทย...
เริ่มหัวข้อโดย: ~เสน่ห์โจรสลัด~ ที่ 04 ม.ค. 2553, 12:49:08
ขอบคุณพี่ธรรมะรักโขมากนะครับ ใบเสมาแต่ล่ะที่มีความแตกต่าง ...  :016:
หัวข้อ: ตอบ: ใบเสมาโบราณของไทย...
เริ่มหัวข้อโดย: ~เสน่ห์ack01~ ที่ 04 ม.ค. 2553, 08:12:06
ขอบคุณท่านธรรมะรักโข มากครับสำหรับความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับเสมาในแบบต่างๆ และความสำคัญของเสมาครับ... :016:
หัวข้อ: ตอบ: ใบเสมาโบราณของไทย...
เริ่มหัวข้อโดย: umpawan ที่ 05 ม.ค. 2553, 06:00:04
ขอบคุณครับ ข้อมูลเนื้อหาแน่นเหมือนเช่นเคยครับ  :016:   :053:
หัวข้อ: ตอบ: ใบเสมาโบราณของไทย...
เริ่มหัวข้อโดย: yout ที่ 05 ม.ค. 2553, 07:14:48
ขอบคุณครับ................. :090: :090: :114: :090: :090:..................
หัวข้อ: ตอบ: ใบเสมาโบราณของไทย...
เริ่มหัวข้อโดย: bamisak ที่ 05 ม.ค. 2553, 02:38:53
ได้ความรู้อีกแล้ว :002: ขอบคุณครับ :054: :054: