แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - กระเบนท้องน้ำ

หน้า: [1]
1






เรื่องนี้ เคยมีการนำเสนอ ออกรายการทีวี รายการชั่วโมงพิศวง   
จัดโดยนายป๋อง ได้นำไปชมพิธีล้างป่าช้า แห่งหนึ่ง ที่จังหวัดชลบุรี
ระหว่างทำการล้างป่าช้านั้น ก็ได้ขุดพบ ซากศพ ที่มีแต่แผ่นหนังมนุษย์
ไม่เน่าไม่เปื่อย และที่ด้านหลังแผ่นหนังนั้น ก็มีลายสักยันต์ ไว้เต็มหลัง
แล้ว ด้านล่าง จะมีรอยสัก เขียนไว้ว่า ที่ระลึก แห่งความคงกระพัน
เจ้าหน้าที่ล้างป่าช้า พร้อมทีมงาน ได้เข้ามาดู พร้อมวิพากษ์ วิจารณ์กันไป
ต่างๆ นานา จนมีคนหนึ่ง ไม่เชื่อเรื่องความคงกระพัน ได้รับอาสาทดลอง
โดยการ เอามีดปลายแหลมแทงแล้วกรีด แผ่นหลังนั้น ปรากฎว่า อำนาจ
ความแหลมคมของมีดนั้น ไม่สามารถระคายผิวได้ แม้แต่น้อย ลองหลายครั้ง
ก็ไม่เข้า จึงเกิดความกลัวที่ได้ลบหลู จึงไปนิมนต์พระเกจิอาจารย์ เจ้าพิธีมา
ทำพิธีล้างอาถรรพ์ โดยการทำพิธีแผ่เมตตา และน้ำมนต์ พรมที่แผ่นหลังนั้น
เป็นเสร็จพิธี หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่คนเดิม ได้ลองเอามีด กรีดและแทง อีก
ปรากฎว่า เข้าครับ จึงได้ตัดชิ้นส่วนไปทำพิธีทางศาสนา ต่อไป


ขอขอบคุณที่มาจาก… คุณ  Pong Rescue Tung

2
ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่...ท่องเมืองลับแล

ช่วงที่ 1
บริเวณชายแดนเหนือสุดขอบสยามเป็นสถานที่ที่พระอริยสงฆ์เจ้า หลายต่อหลายรูปได้เดินทางจาริกแสวงหาสัจธรรม เป็นแหล่งที่ครั้งหนึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญสูงสุดของอารยธรรม และเป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการธุดงวัตร ซึ่งเป็นภาคสำคัญของพระสงฆ์สายปฏิบัติหรือที่หมู่สาธุชนให้ชื่อว่าพระป่า ซึ่งในช่วงการอยู่ใต้ร่มกาสวพัตช่วงหนึ่งจะทำการเพื่อหลีกเร้นปลีกวิเวกมา อยู่ท่ามกลางป่าเขาธรรมชาติ แมกไม้ ลำธาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสายน้ำต่าง ๆ มีแนวเขาสลับซับซ้อน หมู่ถ้ำ ภูเขาน้อยใหญ่ มีทุ่งลานหินและป่าโปร่งทั้งป่าดิบสลับกันไปเหมาะแ ก่การแสวงหาสถานที่ในการบำเพ็ญตน ถือศีลปฏิบัติธรรมสำหรับผุ้มีศีลหรือคณะสงฆ์สายปฏิบัติหรือพระป่า รวมทั้งเหล่าฆราวาส ทายาทธรรมทั้งหลายเป็นอย่างมากและเป็นดินแดนที่ถูกกล่าวถึงในสมัยพุทธกาลไว้ ว่าพุทธสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จออกเผยแพร่ประกาศพระ ศาสนามาทางปัจจันต์ประเทศ (ประเทศแถบสยามในยุคสมัยทวาราวดี) และทรงกล่าวเป็นพุทธทำนายไว้เป็นหลักฐานทางพระไตรปิฎกไว้ว่า ในกาลล่วงสองพันห้าร้อยปีขึ้นพุทธศานาจัก เจริญยิ่งในดินแดนปัจจันต์ประเทศแห่งนี้ และยังทรงประทับรอยพระบาทไว้ เพื่อเป็นหลักบานแห่งความเจริญซึ่งจุดศูนย์กลางแห่งนี้ในกาลข้างหน้า ณ เทือกเขา เวภาพบรรพต ที่ได้ชื่อว่า พระพุทธบาทสี่รอย ในปัจจุบัน บริเวณแห่งนี้เองที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งดินแดนของพระศรีอาริยเมตไตย์องค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาลข้างหน้า

ข้าพเจ้าก็ได้หลีกเร้นมาถือศีลปฏิบัติธรรมดินแดนที่กล่าวถึง ข้างต้นนานนับเกินเดือนและเลยปีผ่านไป ได้พบครูบาอาจารย์ โดยบังเอิญท่ามกลางภูเขาและป่าไม้ห่างไกลจากความเจริญยิ่งนัก และทำให้ข้าพเจ้าเกิดติดกับธรรมชาติ ไม่อยากหวนคืนสู่สังคมมนุษย์ที่เป็นคนเมือง แต่เป็นเพราะกรรมและวาระผูกพัน ทำให้ข้าพเจ้าต้องไป ๆ มา ๆ และได้เก็บความรู้ประสบการณ์เขียนบันทึกเรื่องราวไว้มากมาย หลายเรื่อง ดังจะยกมาให้อ่านเป็นตอน ๆ ไป เมืองลับแล...

ข้าพเจ้ากำหนดจิตทำสมาธิภาวนาคาถาตามที่ครูบาอาจารย์ได้อบรม สั่งสอนมาเพื่อสำรวมจิตให้เป็นหนึ่ง เมื่อจิตดิ่งเข้าสู่สมาธิ ข้าพเจ้าก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน เพื่อที่จะได้เข้าสู่แดนที่จะไป เป็นการกำหนดจิตเพื่อดูให้รู้ว่า บริเวณแห่งใดเป็นแดนที่ใกล้ประตูเข้าออกของแดนที่เรียกว่า เมืองลับแล

เพียงครู่เดียวข้าพเจ้าก็เข้าสู่มิติอีกมิติหนึ่งซึ่งเป็น มิติที่ทับซ้อนกับโลกมนุษย์เราหรืออีกนัยหนึ่งตามหลักพุทธศาสนาเรียกว่าการ ทับซ้อนของภพภูมิ และนี่ก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่งซึ่งมีความผิดแผกต่างจากโลกมนุษย์ แต่ก็หาสิ้นเชิงไม่ เป็นดินแดนที่หลายต่อหลายคนกล่าวถึง และก็มีมากมายหลายคนที่ได้สัมผัส กล่าวขานกันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ก็ยากนักที่ผู้ใดจะอรรถาธิบาย ให้ข้าพเจ้าฟังและเข้าใจได้ดีพอจนทำให้ข้าพเจ้าสนใจที่จะทำการศึกษาค้นคว้า ให้เกิดความข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งด้วยตนเอง ซึ่งต้องมีผู้กำหนดเส้นทางชี้นำ การประพฤติปฏิบัติแนวทางวิธีการอย่างเป็นขั้นตอนซึ่งต้องใช้เวลา และความบริสุทธิ์แห่งการรักษาศีล ถือเนกขัมมะ ประพฤติพรหมจรรย์ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบ ทั้งทางกาย วาจาใจ และการที่จะผ่านแดนลี้ลับต่าง ๆ ขั้นต้นต้องมีพื้นฐานด้านการรักษาศีลก่อนทั้งสิ้น

การที่จะเข้าไปสัมผัสถึงภพภูมิต่าง ๆ นั้นจะต้องผ่านขั้นตาอนการฝึกความอดทนสร้างเสริมบารมี ทั้งทางกายและทางจิต เช่นเดียวกับการบวชทีเดียว หรืออีกนัยหนึ่งคือการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ คือฝึกหรือสร้างบารมี 10 ทัศ เมื่อผ่านการฝึกฝนโดยมีครูอาจารย์เป็นผู้กำกับแล้ว ยังต้องอาศัยบุญหรือกรรมเป็นด่านสุดท้าย ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอต่อโพธิสัตว์ซึ่งบารมีสูง โปรดจงช่วยรวมบุญบารมีของข้าพเจ้าทั้งหมดทั้งมวลแผ่ไปให้กับภพภูมิต่าง ๆ และข้อตั้งสัจจะอธิษฐานขอนำเรื่องราวต่าง ๆ มาเปิดเผย เพื่อเป็นแรงศรัทธา เครื่องชี้นำให้สำหรับผุ้อื่น ผู้ไฝ่รู้เร่งขวนขวาย ในการรักษาศีลปฏิบัติธรรม เพียรทำบุญกุศลเพื่อกาลข้างหน้าเพื่อมุ่งสู่ภพภูมิที่สูงยิ่งขึ้น ในการเวียนว่ายตายเกิด ขอความรู้ที่เกิดจากการอ่านเรื่องราวเหล่านี้จงเป็นพื้นฐาน สำหรับการดำเนินชีวิตสู่ ความสุข สงบ ถึงนิพพานในการต่อไป ก่อนที่โลกของเรา จะล่มสลายด้วยการแก่งแย่งอำนาจ รบราฆ่าฟันกันจนกลายเป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์ หรือสงครมล้างโลกและสงครามศาสนาที่กำลังอุบัติขึ้นในกาลปัจจุบัน

เมื่อข้าพเจ้าได้เข้าสู่เมืองลับแล หรือมิติมหัศจรรย์ที่หลายคนกล่าวถึง ในครั้งแรกก็เกิดความ มึนงงสงสัย ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่ใดกันแน่จึงถอนตัวกลับออกมาอยู่บ่อย ๆ จนจิตเคยชินกับความรู้สึก แปลก ๆ แล้วจึงได้มีความตั้งใจอย่างเด็ดขาดเพื่อให้เกิดความรู้ในสิ่งที่เราสัมผัส ได้ การได้สัมผัสในครั้งต่อ ๆ มา ก็ยังความรู้สึกที่แปลกไปอยู่ดี ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอต่าง ๆ ที่เข้ามาปะทะโสทประสาทของข้าพเจ้า

มันช่างเป็นสัมผัสอะไรกับสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนจาก ที่ใด ๆ ทั้งสิ้น และสามารถอธิบายของความบริสุทธิ์ สะอาด ความเยบสงบ ความอบอุ่น ความสบาย ความเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก ไร้สิ่งที่เป็นมลพิษทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ อย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกรับรู้ได้ถึงว่านี่คือเมือง เมืองหนึ่ง และสถานที่นี้คือหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีบ้านคนมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มียวดยานพาหนะใด ๆ ไม่มีถนนที่สร้างเป็นอน่างถาวร ไม่วัตถุใด ๆ แอบแฝงหรือปะปนท้องฟ้าดูรู้สึกเย็นตา ดูท้องฟ้าอยู่ไม่ไกลนัก เมฆลอยต่ำจนเกือบน่าจะสัมฟัสได้ถึงไอน้ำเลยเชียวแต่ก็ไม่ต่ำนัก ทำให้รู้สึกว่าเหมือนหมู่บ้านชาวเขาที่อยุ่ยอดดอยที่ใดที่หนึ่งปานนั้น แต่ดูพื้นที่ก็เป็นที่ราบ มีภูเขาบ้างก็เท่านั้น มีป่าไม้ชายเขา แต่ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกถึงความเจริญในยุคนี้เลย แม้ตัวข้าพเจ้าเองก็อาศัยขุนเขาและป่าไม้เป็นปกติอยู่ แต่สถานที่แห่งนี้เป็นอีกชั้นบรรยากาศหนึ่งหนึ่งหรืออย่างไร และมความรู้สึกว่าดินแดนแห่งนี้มิใช่ดินแดนแห่งความสับสนวุ่นวาย ไร้การแก่งแย่งชิงดี แย่งกันกินแย่งกันอยู่ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่พักอาศัย เป็นการปลูกสร้างโดยหลักธรรมชาติล้วน ๆ หรือที่เราเรียกว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยล้วน ไม่มีวัตถุปรุงแต่งแม้แต่ชิ้นเดียว ดูความเรียบร้อยของการปลูกสร้างบ้านแต่ละหลังคงไว้ซึ่งความใหม่และความสะอาด ฝุ่นละอองแม้เพียงนิด ก็ไม่มี ความสกปรกของขยะมูลฝอย สักชิ้นก็หามีไม่ บ้านเรือนแต่ละหลังคงสภาพเหมือนกันหมดไม่มีความเหลื่อมล้ำทางอายุการใช้งาน เหมือนการปลูกสร้างในเวลาเดียวกันและนี่เองที่ควรเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น สิ่งเนตมิต พื้นดินที่มีการเหยียบย่างของุ้คน เป็นพื้นดินที่ราบเรียบละเอียดอ่อน เมื่อเดินผ่านไปแล้วก็ไม่มีรอยใด ๆ เกิดขึ้น ต้นไม้ที่ปลูกใกล้กับบ้านคนก็ไม่มีใบที่ล่วงหล่นสักใบหรือเขาเก็บไปทิ้งหรือ อย่างไร บ้านเรือนแต่ละหลังมีลักษณะบ้านไม้กิ่งไม้ไผ่ ส่วนใหญ่เป็นเรือนไทยแบบชาวบ้านปลูกอย่างง่ายมีนอกชานยื่นมาเล็กน้อย เรือนแต่ละหลังไม่ใหญ่มากนัก เหมาะสำหรับอยู่อาศัย 3-5 คนโดยประมาณพอดีใต้ถุนบ้านสะอาดตาไม่มีสิ่งใด ๆ ที่มอบงแล้วสะดุดตาหรือไม่มีสิ่งใด ๆ ที่ทำให้มองแล้วรกรุงรังสักชิ้น เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ หมู่บ้าน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า และเป็นวันพระ 15 ค่ำ พอดีโดยมิได้กะเกณฑ์ จะเป็นสาเหตุใดก็ไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมไม่มีใครใส่ใจข้าพเจ้าเลยทุกคนมุ่งที่ จะทำกิจกรรมใด ๆ อยู่สักอย่าง จะมีก็เพียงกลิ่นไอ ความหอมกรุ่นของอาหารบางอย่าง ซึ่งก็มิใช่กลิ่นของอาหารในโลกมนุษย์เรา

3

เป็นภาพเพิ่มเติมในขณะกำลังลอดรูถ้ำเพื่อออกสู่ป่าอาถรรพ์ในภาคที่2









หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน...
ต่อไปเป็นภาพการเปลี่ยนแปลงของธาตุกายสิทธิ์




จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีชมพูและสีเหลืองเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นมาจากเดิม



จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองเปลี่ยนรูปทรงและเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก



จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีเขียวเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นมาและมีธาตุกายสิทธิ์ของปังปอนเพิ่มเข้ามาโดยได้สีของ
ทุกคนมารวมกันและมีรูปทรงที่ไม่เหมือนโคร



จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีขาวหลุดออกจากกรอบทองที่เลี่ยมไว้ในภาคที่3-4และเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น



จากภาพธาตุกายสิทธิ์สีม่วงเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นมาและธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองเปลี่ยนรูปทรงและเพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นมา



เป็นภาพที่ธาตุกายสิทธิ์สีต่างๆออกลูกเพิ่มมาอีก



เป็นภาพอีกมุมหนึ่งและธาตุกายสิทธิ์สีเขียวไม่ยอมออกลูกอีกเช่นเคย



เป็นภาพอีกมุมหนึ่งของธาตุกายสิทธิ์สีต่างๆที่ออกลูกมา



สรุปผล
1.ธาตุกายสิทธิ์สีแดงมีขนาดเท่าเดิม(ไม่เพิ่มขนาดอีก)เพราะออกมาจากถ้ำมีขนาดใหญ่อยู่แล้ว
2.ธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองของอาจารย์ชามาตอนแรกมีขนาดเล็กสุดแต่เดี๋ยวนี้มีขนาดใหญ่สุดแล้ว
3.ธาตุกายสิทธิ์สีขาวของพี่นวลมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่2
4.ธาตุกายสิทธิ์สีชมพูของมุกมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่3
5.ธาตุกายสิทธิ์สีแดงของเก๋มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่4
6.ธาตุกายสิทธิ์สีเขียวของพี่ต๋อยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่5
7.ธาตุกายสิทธิ์สีม่วงของผู้เขียนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่6


4
หลังจากภาคที่แล้ว…เหล็กไหลสายฟ้า ได้ล่องหนหายไปอย่างไร้วี่แวว และ
พี่อู๊ดได้ธาตุกายสิทธิ์สีม่วงส่วนพี่ปุ๊กได้พระธาตุจำนวน 2 องค์ นั้น
ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2554 พี่ต๋อยได้มารับท่านอาจารย์ชา มุกและข้าพเจ้าผู้
เขียนไปที่บ้าน เพื่อทำน้ำมนต์เพิ่มอีก บอกว่า เผื่อขาดเหลือจะได้มีน้ำมนต์เก็บ
สต็อกไว้ ใครมาใครไปเดือดร้อนจะได้มาเอาไปใช้ได้

หลังจาก ที่พี่ต๋อยได้นำโอ่งดินที่ทำน้ำมนต์เมื่อคราวก่อนมาไว้ที่ห้องพระ และได้
นำน้ำมนต์ที่ทำพิธี เมื่อครั้งที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก ที่พี่ต๋อยแบ่งมาเป็นหัวเชื้อใน
การทำพิธีครั้งนี้

เมื่อเดินทางถึงบ้านพี่ต๋อยแล้ว ขณะนั้นพี่นวลไม่อยู่ที่บ้านไปทำธุระข้างนอก ยังไม่
กลับมา เมื่อพวกเรา…ได้ขึ้นไปบนห้องพระ พี่ต๋อยก็ได้หยิบเพชรพญานาคที่มีเก้า
เม็ดเก้าสี มีสีน้ำเงิน ,ฟ้า,เขียว,แดง , ม่วง, ขาว ,ส้ม , ชมพูและสีชา
และสร้อยข้อมือที่ทำจากเงินและฝังเพชรพญานาคอีกแปดเม็ด ที่พี่นวลได้สั่งซื้อมา
ทางจังหวัดหนองคาย ให้ท่านอาจารย์ชาชมและดูว่าเป็นของแท้ที่มีจิตวิญญาณ
ถือครองอยู่หรือไม่………………………

เมื่อท่านอาจารย์ชาดูแล้ว บอกว่าเป็นหินแท้หรือคริสตรัล ที่ทำและเจียรนัยขึ้นมา
จากฝีมือของมนุษย์ และไม่มีจิตวิญญาณถือครอง แต่สามารถนำมาเสกเป็นวัตถุ
มงคลได้ พี่ต๋อยจึงได้ให้ท่านอาจารย์ชาเสกให้…………………….
ท่านอาจารย์ชา จึงกล่าวขึ้นว่าเสกด้วยกำลังของรูปฌานหรืออรูปฌานดี แต่อรูป
ฌานไม่ได้เข้ามาสี่ปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้เสนอว่า ให้เสกด้วยกำลังของอรูปฌานดี
กว่า ท่านอาจารย์ชา จึงแยกเสกเฉพาะเพชรพญานาค เก้าเม็ดเก้าสีก่อน ส่วน
สร้อยข้อมือจะเสกให้ต่อหน้าเจ้าของคือตอนที่พี่นวลกลับมาแล้ว

ต่อมา…ได้มีพี่เทพ ซึ่งเป็นเพื่อนของพี่ต๋อยได้นัดกับท่านอาจารย์ชา ไว้ว่าจะนำ
ล่อแก กระจกเว้า กระจกนูนและสิงห์คาบดาบ มาให้ท่านอาจารย์ชาเจิมและเสก
ให้ เพื่อจะนำไปติดที่บ้านต่างจังหวัดแถวจังหวัดอยุธยา เพื่อแก้เรื่อง ฮวงจุ้ย
พี่ต๋อยจึงโทรบอกพี่เทพ ให้ตามมาที่บ้านของพี่ต๋อยเลยเพราะท่านอาจารย์ชาอยู่
ที่นี่ เมื่อพี่เทพมาถึงที่บ้านพี่ต๋อยแล้ว ก็ได้ขึ้นไปสมทบบนห้องพระ และได้มาทัน
ตอนที่ท่านอาจารย์ชากำลังจะเสกเพชรพญานาคพอดี

หลังจากที่ท่านอาจารย์ชาเสกเสร็จแล้ว ได้ส่งคืนให้กับพี่ต๋อยและบอกว่าได้เสก
ด้วยกำลังของรูปฌาน ได้เสกไว้ ในเรื่องเมตตามหานิยม โชคลาภและป้องกันภัย
พิบัติต่างๆ และได้ทำการเจิมและเสกล่อแก กระจกเว้า กระจกนูนสิงห์คาบดาบให้
กับพี่เทพ พร้อมทั้งอันเชิญพระธาตุเสด็จมา อยู่บนฝ่ามือให้กับพี่เทพ หนึ่งองค์
หลังจากที่ พี่ต๋อยเอ่ยปากขอ ให้กับพี่เทพด้วยวิธีที่เคยทำมาแล้วในภาคก่อนๆ

ต่อมาสักพักนึง พี่นวลได้กลับมาและขึ้นมาบนห้องพระ ท่านอาจารย์ชาจึงได้เสก
สร้อยข้อมือทำจากเงินและฝังเพชรพญานาคอีกแปดเม็ดนั้นให้กับพี่นวลด้วยกำลัง
ของอรูปฌาน

สักครู่ต่อมา เมื่อท่านอาจารย์ชาเสกเสร็จ จึงได้กล่าวว่าเข้าอรูปฌานไม่ได้เพราะไม่
รู้มีอะไรมากระทบ ซึ่งมีพลังอำนาจมากอยู่ภายในบริเวณห้องพระนี่แหละ ท่านจึงไม่
เข้าอรูปฌาน เลยใช้แต่รูปฌานเสกเท่านั้น
พวกเรา…จึงได้แต่มองหาไปมาภายในบริเวณห้องพระ ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดแปลกปลอม
และมาเพิ่มหรือไม่ แต่หาไปจนทั่วแล้วก็ไม่มี

ต่อมาท่านอาจารย์ชา จึงถามหาเทียนขี้ผึ้งแท้สิบเล่มที่นำกลับมาจากที่วัดเมื่อครั้งทำ
น้ำมนต์คราวก่อน เมื่อได้แล้วท่านจึงนำมารวมกันเข้าทั้งสิบเล่ม และได้จุดเทียนเพื่อ
ทำน้ำมนต์พร้อมทั้งเจิมและเขียนยันต์ที่โอ่งน้ำมนต์ลูกนั้น หลังจากนั้นท่านอาจารย์
ชาได้ใช้ฝ่ามือแตะจับที่ขอบโอ่งทั้งสองข้าง พร้อมทั้งบริกรรมและเสกน้ำมนต์ไป

จนกระทั่งน้ำมนต์ในโอ่งนั้นหมุนวนไปมา ท่านอาจารย์ชา เห็นว่าเดี๋ยวโอ่งจะแตกจึง
ได้หยุดพิธีกรรมลงและได้กล่าวว่าแค่นี้ก็ขลังพอแล้ว เกินไปกว่านี้กลัวว่าโอ่งจะระเบิด
และแตกออกเป็นแน่ ……………………….

เมื่อเสร็จพิธีเสกน้ำมนต์ เรียบร้อยแล้ว พี่ต๋อยได้บอกให้ข้าพเจ้าตักน้ำมนต์หนึ่งขวด
แบ่งให้กับพี่เทพ ในขณะนั้นเอง ที่ข้าพเจ้ากำลังก้มลงใช้แก้วเพื่อจะตักน้ำมนต์ใส่
ขวดให้กับพี่เทพนั้น


เหล็กไหลสายฟ้า

ปรากฏว่า ข้าพเจ้าได้เห็นเจ้าเหล็กไหลสายฟ้า อยู่ภายในโอ่งน้ำมนต์………………
ข้าพเจ้าจึงได้ร้องบอกให้ท่านอาจารย์ชาและทุกคนได้ทราบ จึงขออนุญาตล้วงหยิบ
เจ้าเหล็กไหลสายฟ้าขึ้นมา และมอบให้กับท่านอาจารย์ชา……………….

ท่านอาจารย์ชา กล่าวว่า เป็นเพราะแสงรัศมีและพลังของเจ้าเหล็กไหลสายฟ้านี่เอง
ที่มากระทบเรา และคงอยากจะโชว์เดี่ยวในการทำน้ำมนต์ครั้งนี้

ท่านอาจารย์ชาจึงได้มอบให้กับพี่ต๋อยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านและบอกว่าคงอยากจะอยู่
กับพี่ต๋อยเป็นแน่………………..

พี่ต๋อยจึงได้เล่าให้ทุกคนฟังว่า ในระหว่างที่ขับรถและเดินทางจากอำเภอทุ่งสงไป
กรุงเทพฯนั้น พี่ต๋อยได้ขอยืมจากพี่บัติมาชมบารมี และกำไว้ในมือจึงเกิดอาการ
ตุ๊บ ตุ๊บ ในมือ เหมือนสัมผัสพลังได้ หลังจากที่เคยจับและชมของคนอื่นๆ มาบ้าง

แล้วไม่เป็นแบบนี้ เลยชอบและได้อธิษฐานจิตขอว่าถ้าแบ่งแยกตัวออกมาได้อีกขอ
ให้แบ่งแยกออกมาเพื่อจะได้ให้ลูกชายไว้ป้องกันตัวและคุ้มภัย และครั้งนึงช่วงที่อยู่
ที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ระหว่างที่นั่งรอทุกคนมาพร้อมกันตามนัดนั้น ได้ขอยืมจาก
พี่บัติ ซึ่งมาถึงก่อนแล้ว ได้กำไว้ในมือและนั่งทำสมาธิหลังจากนั้นก็ได้ พูดเปรยๆว่า
อยากจะให้แบ่งแยกตัวออกมาอีก เพื่อจะได้ให้กับลูกชาย ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ยิน

พี่ต๋อยเมื่อลำดับเหตุการณ์ดู จึงคิดว่า เหตุผลที่เหล็กไหลสายฟ้ามาอยู่ด้วยเป็นเพราะ
ด้วยแรงอธิษฐานเป็นแน่…………….





                                    +++จบบริบูรณ์+++

5
หลังจากภาคที่แล้ว…เอ๋ผู้จัดการร้าน…ของพี่บัติได้ธาตุกายสิทธิ์แบบลูกแก้วสีขาวใส
ซึ่งแบ่งแยกออกมาจากธาตุกายสิทธิ์ของพี่นวล

ต่อมา….หลังจากที่พี่ต๋อย และพี่นวลกลับกันแล้ว และใกล้จะปิดร้านแล้วก็ได้มี
นายผอม ซึ่งเป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ในครัวและยังเป็นญาติของท่านอาจารย์ชาเข้ามาขอ
ของดีจากท่านอาจารย์ชาบ้าง

ท่านอาจารย์ชา ตอบว่าได้แต่มีข้อตกลงกันก่อนว่า จะต้องปฏิบัตินั่งสมาธิก่อน
นอนทุกวันๆละห้าถึงสิบนาทีก็ได้ จะทำได้มั้ย นายผอมก็รับคำว่าได้ด้วยความตั้งใจ

หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชา ได้ให้นายผอมยื่นมือและให้แบฝ่ามือไว้
หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชา ก็ใช้ฝ่ามือของท่านวางคว่ำไว้บนฝ่ามือ
ของนายผอมโดยไม่ติดกัน ซึ่งมีระยะห่างกันประมาณ 2-3 นิ้ว แล้ววนไปวนมา

หลังจากนั้นสักพักนึง เมื่อท่านอาจารย์ชา นำฝ่ามือออกก็มีพระธาตุจำนวน 1 องค์
มาอยู่บนฝ่ามือทำให้นายผอม เกิดอาการตกตะลึงและดีใจมาก

เมื่อหันมาบอกกับข้าพเจ้า และกำลังดีใจอยู่นั้นเมื่อก้มกลับลงมองบนฝ่ามืออีกครั้ง
อัศจรรย์มากกับมีพระธาตุเสด็จเพิ่มมาอีก 3 องค์รวมเป็น 4 องค์ พอรีบจะ
ห่อกระดาษและใส่ในซองพลาสติกใส่ยานั้น กับลดลงอีกเหลือแค่ 3 องค์เท่านั้น

ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่ารีบๆ เก็บนะ แล้วอย่าลืม…
ปฏิบัติตัวตามที่ได้สัญญาและรับปากไว้กับท่านอาจารย์ชา และอย่าผิดสัญญาไม่งั้น
พระธาตุเสด็จกลับหมด อย่าลืมว่าเสด็จมาได้ก็เสด็จกลับได้เหมือนกัน

หลังจากนั้นต่อมาเมื่อปิดร้านแล้ว ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้แยกย้ายกลับบ้านไป และ
เวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่าท่านอาจารย์ชา ก็ได้โทรมาหาข้าพเจ้าถามว่า ตอนที่ยก
พานบายศรีบรมครูไปให้ท่านอาจารย์ที่ห้องนั้น เห็นอะไรผิดสังเกตุหรือไม่
ข้าพเจ้าตอบว่าไม่เห็นมี ก็ปกติดี หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาก็ได้เล่า…

ให้ข้าพเจ้าฟังว่าเห็นเหล็กไหลสายฟ้ามาปักเสียบอยู่ข้างเทียน บนยอดของบายศรี
พรุ่งนี้ลองเข้ามาดูว่าใช่ตัวเดิมที่หาย ไปตอนเวียนทักษิณาวัตร รอบองค์พระแก้ว
มรกตหรือไม่





เหล็กไหลสายฟ้ามาปักเสียบอยู่ข้างเทียน บนยอดของบายศรี



วันรุ่งขึ้นที่ 5 กันยายน 2554 ข้าพเจ้าได้เข้าไปดูเหล็กไหลสายฟ้า ที่ร้านรำมะนา
ค๊อฟฟี่ และได้บอกกับท่านอาจารย์ชาว่าใช่ ตัวเดิมแน่นอนเหมือนกันเปี้ยบ

ต่อมา…ตอนเย็น พี่บัติเข้ามาที่ร้าน…ท่านอาจารย์ชาจึงได้ให้พี่บัติดูและได้ถ่ายรูปไว้
เพื่อที่ข้าพเจ้าได้มีรูปภาพประกอบเรื่อง…ในภาคที่2 และภาคที่3
เพราะว่าก่อนหน้านั้นไม่ได้ถ่ายรูปเหล็กไหลสายฟ้าไว้เลย

ต่อมา…คืนนั้นเองมุกภรรยาท่านอาจารย์ชา ได้นั่งสมาธิและได้ส่งจิต ไปหาหลวงปู่
วิไลที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก และได้เกิดเห็นนิมิตว่าธาตุกายสิทธิ์ ทุกอย่างทุกชนิด
ของมุกแตกกระจายเป็นผงไม่มีชิ้นดี

มุกตกใจและเสียใจมาก ต่อมา…ได้ยินเสียงของหลวงปู่วิไล ได้เทศน์สอนธรรม
มาว่า “ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน” เพียงประโยคเดียวแต่กินใจ

ต่อจากนั้นมุกก็มีความรู้สึกว่ามีอะไรหล่นมาบนมือ ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้น จึงสงสัย
และได้ถอยออกจากสมาธิและลืมตาก้มลงดู ผลปรากฏว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์สีแดง
ขนาดเล็กรูปทรงแบบแฮมเบอร์เกอร์อยู่บนฝ่ามือ และรีบเปิดกระเป๋าดูธาตุกายสิทธิ์
สีชมพูว่ายังอยู่สภาพเหมือนเดิมหรือไม่ เมื่อเห็นว่าอยู่ในสภาพที่ดี และไม่ได้แตก
กระจายเป็นผงเหมือนในนิมิต ทำให้มุกดีใจมาก และกราบขอบพระคุณหลวงปู่วิไล
ที่ได้เมตตาสั่งสอนธรรม เพื่อให้มุกได้คิดและสะกิดใจ



ธาตุกายสิทธิ์สีแดงที่มุกได้ขณะนั่งสมาธิ


และมุกคิดว่าครั้งนี้ธาตุกายสิทธิ์คงมาจากที่พิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่…ที่วัดเป็นแน่!!!



วันรุ่งขึ้นวันที่ 6 กันยายน 2554 เอ๋ได้มาเล่าให้ข้าพเจ้าผู้เขียนฟังในตอนเย็นๆว่า
ได้เห็นท่านอาจารย์ชา คว้าลูกแก้วขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 3-4 นิ้วจาก
ในอากาศมาให้ชม เห็นแล้วสวยและงดงามมาก และกำลังตกตะลึงอยู่แทบควบคุม
สติไว้ไม่อยู่ จึงไม่ได้ขอจากท่านอาจารย์ชาไว้ ลูกแก้วจึงได้หายไป…

หลังจากนั้นข้าพเจ้าผู้เขียนจึงได้สอบถามท่านอาจารย์ชาว่า ที่เอ๋เล่ามานั้นจริงเท็จ
ประการใด ท่านอาจารย์ชาเล่าว่า…

วันนี้ช่วงกลางวัน ไม่มีแขกที่ร้าน…และอยู่กับเอ๋เพียงสองคน จึงรู้วาระจิตของเอ๋
ว่าที่ทำพิธีแยกธาตุกายสิทธิ์ให้เอ๋ ครั้งก่อนนั้น เอ๋ยังไม่เชื่อเต็มร้อยเปอร์เซนต์
และเห็นว่าเป็นคนนอกศาสนาพุทธ จึงได้แสดงให้เอ๋ดูว่า ของเหล่านี้มีอยู่จริงและ
เห็นต่อหน้าต่อตาแบบนี้คงจะปฏิเสธยาก

และหวังเพื่อที่จะสอดแทรกธรรมะให้เอ๋ ได้เข้าใจเพื่อจะได้ไม่เชื่ออะไรผิดๆ แบบ
งมงาย และไม่มีเหตุผลและยังบอกกับเอ๋อีกว่าไม่ได้ให้เอ๋ เลิกนับถือศาสนาอิสลาม
หรือเปลี่ยนศาสนา มานับถือศาสนาพุทธ เพราะทุกศาสนา ต่างก็สอนให้คนเป็น
คนดีเพียงแต่ได้ชี้ให้เห็นว่าส่วนไหน และสิ่งไหนที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นและ
ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์เท่านั้น

ต่อมา…ในวันที่ 7 กันยายน 2554 ข้าพเจ้าผู้เขียน ได้เข้ามาที่ร้านรำมะนา
ซึ่งเป็นร้านของพี่บัติและพี่บัติได้มอบให้ท่านอาจารย์ชาดูแล และบริหารจัดการอยู่

ได้นั่งสนทนา กับท่านอาจารย์ชาและพี่บัติ จนกระทั่งข้าพเจ้าได้เอ่ยถึงเจ้าเหล็กไหล
สายฟ้าว่าเป็นยังไงบ้าง เพื่อที่จะขอชมบารมีอีก ท่านอาจารย์ชาจึงได้บอกว่า
“มันไปเสียแล้ว” ท่านจึงได้สื่อถามเจ้าเหล็กไหลว่าเป็นเพราะอะไรถึงได้ไป มัน
ตอบมาว่าไม่อยากกลับไปที่เดิม แล้วหลังจากแยกตัวออกมา และตอนนี้มันเป็นตัว
ของตัวเองแล้ว จะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ และไม่มีใครเป็นเจ้าของแล้ว

เมื่อถึง…ตอนค่ำๆ ของวันนั้นเอง ได้มีพี่อู๊ดกับพี่ปุ๊ก เพื่อนที่ทำงานสมัยอยู่โตโยต้า
กับพี่เต่าเข้ามาที่ร้าน…มานั่งสนทนาและปรึกษาอยู่กับท่านอาจารย์ชา

สักพักพี่เต่าได้ตามเข้ามาที่ร้าน…และได้นั่งสนทนากัน
จนมาถึงเรื่องที่พี่เต่าได้ของดีคือธาตุกายสิทธิ์และได้เล่าเรื่องคร่าวๆที่พวกเรา…ไปได้
ของเหล่านี้มา จึงทำให้พี่อู๊ดอยากจะได้บ้าง

หลังจากนั้นข้าพเจ้ารู้สึกแปลกประหลาดคือรู้สึกเมตตาและสงสารอยากจะให้ธาตุกาย
สิทธิ์กับพี่อู๊ดมาก จึงได้ออกปากถามท่านอาจารย์ชาว่า ผมอยากจะให้ธาตุกายสิทธิ์
สีม่วงของผมแบ่งแยกให้กับพี่คนนี้จะได้มั้ย

ท่านอาจารย์ชา บอกว่าต้องลอง ให้เขาอธิษฐานจิตขอต่อธาตุกายสิทธิ์สีม่วงดู
ซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งชื่อธาตุกายสิทธิ์สีม่วงนี้แล้วว่า ” แก้วไชยสิทธิ์ รัตนมณี “

ต่อมา…หลังจากที่พี่อู๊ดได้ทำการอธิษฐานจิต ต่อแก้วไชยสิทธิ์แล้วนั้น ก็ได้ยื่น
ส่งให้ท่านอาจารย์ชา
ท่านอาจารย์ชา ได้นำธาตุกายสิทธิ์ลูกแก้วสีเหลือง และบอกให้นำธาตุกายสิทธิ์สี
ชมพูของมุกมาช่วยกันด้วยเพราะกำลังไม่พอ

จากนั้นท่านอาจารย์ชาได้ให้พี่อู๊ดยื่นและแบฝ่ามือไว้ ต่อจากนั้นได้นำธาตุกายสิทธิ์
ทั้งสามชนิดวางลงบนฝ่ามือของพี่อู๊ด และได้ทำลักษณะเหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา
ต่อมาสักพักนึง เมื่อพี่อู๊ดค่อยๆ แง้มมือออกเพื่อลุ้น ผลปรากฏว่า ธาตุกายสิทธิ์สี
ม่วงได้คลอดหลานออกมาสีม่วง มีขนาดเล็ก รูปร่างลักษณะกลมแบบลูกแก้ว



ธาตุกายสิทธิ์สีม่วงที่พี่อู๊ดได้


ทำให้พี่อู๊ดทั้งตื่นเต้น อัศจรรย์ใจ และดีใจเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าจึงได้ข้อสังเกต
ว่าธาตุกายสิทธ์ทุกชนิดที่ผ่านมาเมื่อเวลาแบ่งแยก หรือคลอดหลานออกมาแล้วนั้น
จะมีลักษณะรูปร่างไม่เหมือนกับตัวแม่และตัวลูกเลย

ต่อมาพี่ปุ๊กเพื่อนพี่อู๊ด อยากจะได้บ้าง ท่านอาจารย์ชาจึงบอกว่าจะให้เป็นพระธาตุ…
จะเอามั้ย พี่ปุ๊กจึงได้บอกว่าเอาค๊ะ แต่จะขอให้พี่ชายไปบูชา 1 องค์ และ
สำหรับตัวเองหนึ่งองค์

ท่านอาจารย์ชา จึงให้แบฝ่ามือไว้ และได้ทำลักษณะเหมือนเมื่อครั้งที่เคยทำให้พี่
หมูและผอม หลังจากที่พี่ปุ๊กได้พระธาตุแล้ว ก็ได้ถามว่าเป็นพระธาตุขององค์ไหนค๊ะ
ท่านอาจารย์ชาเมื่อดูแล้วได้บอกว่าเป็นของพระอัญญาโกญฑัญญะ



พระธาตุที่พี่ปุ๊กได้ 2 องค์


หลังจากนั้น…เมื่อได้เวลาพอสมควรแล้ว พี่อู๊ดพี่ปุ๊กและพี่เต่า ก็ได้กราบลาท่าน
อาจารย์ชากลับบ้านไป

ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้สอบถามท่านอาจารย์ชาว่าข้าพเจ้าผู้เขียนมีความเกี่ยวพันอะไร
กับพี่อู๊ดในอดีตชาติหรือไม่

ท่านอาจารย์ชาได้ตอบว่าเกี่ยว ในชาติที่เจ็ดนั่นแหละที่ข้าพเจ้าเป็นขุนพลแม่ทัพอยู่
พี่อู๊ดก็อยู่ภายในเมืองและใกล้ชิดกับข้าพเจ้าพอสมควร

หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาได้กล่าวอีกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่พวกเราได้มาพบเจอกัน
และได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมานั้น    ล้วนเป็นเพราะกรรมเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น





โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไปใน

ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค7…เหล็กไหลสายฟ้า…กลับมา

6
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค5…ปาฏิหาริย์ธาตุกายสิทธิ์และพระธาตุเสด็จ



หลังจากภาคที่แล้ว..ในวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2554 ระหว่างการเดินทางกลับ
กรุงเทพฯนั้น ท่านอาจารย์ชาได้เปลี่ยนไปนั่งรถคันของพี่เต่า เพื่อให้ท่านอ้วนได้
ย้ายไปรถคันที่จะรีบมุ่งหน้า ไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อบินกลับจังหวัดภูเก็ต
ซึ่งก็คือรถคันของพี่ต๋อย ที่มีพี่นวลอังเดรและเก๋นั่งอยู่ และมีท่านอ้วนอังเดรและเก๋
รวมทั้งหมดสามคน ที่จะต้องรีบบินกลับจังหวัดภูเก็ตด่วนในค่ำวันนั้น

ในระหว่างที่ท่านอาจารย์ชานั่งอยู่ภายในรถคันของพี่เต่า ที่มีพี่หมูเพื่อนพี่เต่าเปลี่ยน
มาขับแทนมีน้องแหม่มภรรยาพี่เต่า และพี่ตูนกับตุ่มนั่งรวมอยู่ด้วย ในระหว่างที่รถ
แล่นไปนั้นได้สนทนาธรรมกันอยู่หลายเรื่อง…………….

จนกระทั่งมาถึงเรื่องการแสดงและการทำอิทธิฤทธิ์ได้ ท่านอาจารย์ชา ก็เลยสาธิต
ให้……….ชมกันด้วยการให้พี่หมูยื่นมือและให้แบฝ่ามือไว้ หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชา
ก็ใช้ฝ่ามือของท่าน วางคว่ำไว้บนฝ่ามือของพี่หมูโดยไม่ติดกัน ซึ่งมีระยะห่างกัน
ประมาณ 2-3 นิ้ว แล้ววนไปวนมา

หลังจากนั้นสักพักนึง เมื่อท่านอาจารย์ชานำฝ่ามือออก ก็มีพระธาตุจำนวน 1 องค์
มาอยู่บนฝ่ามือ ทำให้พี่หมู เกิดอาการตกตะลึงและดีใจ จนแทบขับรถไม่ได้หลัง
จากตั้งสติได้แล้ว จึงได้ถาม…………….

ท่านอาจารย์ชาว่า พระธาตุเสด็จมาได้อย่างไร ท่านอาจารย์ชา ได้ตอบว่าจำ
ได้มั้ยตอนที่ลาหลวงปู่วิไลกลับกันนั้น… หลวงปู่…ได้บอกว่าคืนที่พวกเรา…ทำน้ำมนต์
กันนั้นมีพระธาตุเสด็จมาเพิ่มเป็นจำนวนมาก ที่พิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่…ที่วัด



ท่านอาจารย์ชาได้ทำให้…พระธาตุเสด็จมาอยู่บนฝ่ามือ


หลวงปู่วิไลซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านอาจารย์ชาแล้วนั้น ได้อนุญาตให้ท่านอาจารย์
ชามอบพระธาตุให้กับบุคคล ที่เห็นว่าเหมาะสม และคู่ควร โดยใช้ฤทธิ์อัญเชิญเอา
จากพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่…ได้ทุกเมื่อ…

เมื่อพวกเรา…ได้เดินทางถึงกรุงเทพฯ ด้วยเวลาประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ ของวันนั้น
พวกเรา…บางส่วนก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่ร้านรำมะนา ค๊อฟฟี่ ซึ่งเป็นร้านของพี่บัติ เพื่อ
พักเหนื่อยและทานอาหารเย็นกัน รวมทั้งแบ่งขวดน้ำมนต์กัน และข้าพเจ้าได้นำพาน
บายศรีบรมครูไปให้ท่านอาจารย์ชา ที่ห้องพักในระแวกใกล้เคียงนั้น

ระหว่างที่นั่งรออาหารเย็นอยู่นั้น พวกเรา…ได้นั่งคุยกันถึงเรื่อง ที่พี่หมูได้พระธาต…
และบางคนที่ยังไม่ได้อะไรเลย โดยเฉพาะน้องแหม่มกับพี่เต่า เพื่อนพี่โชคชัย
จึงลองขอท่านอาจารย์ชาดู ท่านอาจารย์ชาจึงให้น้องแหม่ม ลองอธิษฐานจิตขอต่อ
ลูกแก้วธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองของท่านอาจารย์ชาดู……………

ส่วนท่านอาจารย์ชาก็ได้พูดกับลูกแก้วสีเหลืองนั้นว่า “ แบ่งแยกออกให้เค้าเถอะ ”
และให้พี่โชคชัยนำธาตุกายสิทธิ์ของแก มาเป็นตัวช่วยในการดึงดูดด้วย………………
(ท่านอาจารย์ชา ได้บอกว่า ธาตุกายสิทธิ์สีดำ ของพี่โชคชัยมีพลังงานในเรื่องการ
ดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว)

หลังจากน้องแหม่มได้อธิษฐานจิต และส่งธาตุกายสิทธิ์สีเหลือง คืนให้ท่านอาจารย์
ชาแล้ว ท่านอาจารย์ชาก็ให้น้องแหม่มแบมือ……
ท่านอาจารย์ชาได้นำธาตุกายสิทธิ์ลูกแก้วสีเหลือง และธาตุกายสิทธิ์สีดำของพี่โชคชัย
วางลงบนฝ่ามือ และใช้มือของท่านอาจารย์ชาคว่ำปิดลง และให้ฝ่ามือของน้องแหม่ม
อีกข้างนึงคว่ำทับฝ่ามือของท่านอาจารย์ชาอีกที และให้พี่โชคชัย ทำจิตนิ่งเป็นสมาธิ
และท่องคาถาว่า “ เนี้ย เมี้ย เพี้ย เพี้ย ”

สักอึดใจนึง ท่านอาจารย์ชา ได้ชักฝ่ามือออกและให้ฝ่ามือของน้องแหม่มที่อยู่ด้าน
บนลงมา คว่ำปิดทับลงแทน และได้ให้น้องแหม่มค่อยๆแง้มเปิดฝ่ามือออกทีละนิด
เพื่อลุ้นว่า จะมีสิ่งใดปรากฏออกมาหรือไม่

ผลปรากฏว่า… ธาตุกายสิทธิ์ลูกแก้วสีเหลืองของท่านอาจารย์ชา คลอดหลานออกมา
สีเหลือง มีขนาดเล็กเท่าๆ กับลูกที่คลอดออกมาในโอ่งน้ำมนต์ครั้งก่อน………ต่างกัน
ตรงที่มีลักษณะกลมแบบแฮมเบอร์เกอร์ พวกเราต่างเฮ กันลั่นสนั่นร้านด้วยความตื่น
เต้นทึ่งและอัศจรรย์ใจมาก ที่ได้เห็นกับตาในครั้งนี้…….



ธาตุกายสิทธิ์สีเหลืองได้คลอดหลานให้กับน้องแหม่ม


ต่อมาได้ลองให้พี่เต่า นำธาตุกายสิทธิ์สีเขียวของพี่ต๋อยมา อธิษฐานจิตดูบ้างว่า ถ้ามี
บุญบารมีพอที่จะมีสิทธิ์ได้ครองครองเป็นเจ้าของกับเขาบ้าง…ก็ขอให้ได้ด้วยเทอญ
และให้พี่ต๋อยเจ้าของธาตุกายสิทธิ์ต้องอธิษฐานจิต…กำกับและเต็มใจที่จะมอบให้ด้วย
หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาก็ทำเหมือนเดิม เหมือนกับเมื่อครั้งที่ทำกับน้องแหม่มตะกี้
และให้พี่โชคชัยทำเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วด้วย



ธาตุกายสิทธิ์สีเขียวของพี่เต่า


ผลปรากฏว่า…เมื่อพี่เต่าค่อยๆ แง้มมือออกเพื่อลุ้น ก็มีหลานคลอดออกมาสีเขียว
ขนาดเล็ก มีลักษณะกลมแบบลูกแก้ว พวกเรา…รู้สึกอัศจรรย์ใจและแปลกประหลาด
ใจมากว่าธาตุกายสิทธิ์สีเขียวของพี่ต๋อยไม่ออกลูกมาเลยในโอ่งน้ำมนต์ เมื่อครั้งที่ทำ
พิธี…ที่วัด แต่กลับมาออกหลานให้พี่เต่าได้

จึงทำให้ข้าพเจ้า………ผู้เขียนสงสัยเป็นอันมาก

หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้มองเห็นบอสเข้ามานั่งในร้าน…พอดี( บอสก็คือเด็กหนุ่มรูปร่าง
อ้วนท้วนสมบูรณ์) ที่บ้านอยู่ในระแวกนั้น และเป็นลูกค้าขาประจำของที่ร้าน…
ซึ่งตอนแรกบอส ได้ตกลงกันว่าจะไปทำน้ำมนต์ที่วัดในครั้งนี้ด้วย แต่ได้ยกเลิก
กระทันหันเพราะติดธุระสำคัญ

และท่านอาจารย์ชาได้เคยบอกไว้ด้วยว่า บอสนี่ก็คือลูกชายของท่านอ้วนคนที่สอง
ในอดีตชาติครั้งนั้นที่ท่านอ้วนเป็นเศรษฐี พอภรรยาเสียชีวิตลงก็ได้แบ่งสมบัติให้ลูก
ทั้งสามและท่านอ้วนก็ได้ออกบวชเป็นฤาษี…

ข้าพเจ้า จึงได้เข้าไปตามบอสในร้าน…ให้มาพบท่านอาจารย์ชา เพราะอยากให้บอส
ได้ธาตุกายสิทธิ์บ้าง ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะได้เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหมู่บ้าน…..
ในครั้งอดีต…และถ้ำแห่งนั้นด้วย

และข้าพเจ้าก็เต็มใจที่จะให้ธาตุกายสิทธ์สีม่วงของข้าพเจ้า แบ่งแยกออกมาให้บอส
อีก หลังจากที่เคยออกลูกมาแล้วเมื่อครั้งที่ทำน้ำมนต์คราวก่อน

ต่อมา…เมื่อบอสได้อธิษฐานจิตและได้ส่งธาตุกายสิทธ์สีม่วงให้ท่านอาจารย์ชาและ
ท่านได้วางลงบนฝ่ามือของบอส โดยทำเหมือนกับทั้งสองครั้งที่ผ่านมาเมื่อบอสค่อยๆ
แง้มมือออกเพื่อลุ้น ผลปรากฏว่า คราวนี้ไม่มี และธาตุกายสิทธิ์สีม่วงไม่ออกหลาน
มาแต่ประการใด ทำให้พวกเรา…อึ้งและข้าพเจ้าได้พูดว่าบอสคงจะอธิษฐาน…ด้วยจิต
ที่ไม่สงบนิ่งเป็นแน่…

ต่อมามุกภรรยา ท่านอาจารย์ชา ก็มีความประสงค์ที่จะให้พี่ชาย ซึ่งเป็นเพื่อน
ของพี่ต๋อยบ้างเพราะเห็นว่าที่ไปวัดเพื่อทำน้ำมนต์ในครั้งนี้ มีพี่ชายคนเดียวที่ยังไม่ได้
จึงได้โทรติดต่อไปยังพี่ชาย ซึ่งได้กลับบ้านไปก่อนแล้ว พี่ชายได้ตอบกลับมาว่า
” เข้าบ้านแล้วขี้เกียจออกมา ”

มุกภรรยาท่านอาจารย์ชาได้มีความตั้งใจแล้วที่จะให้พี่ชายแต่พี่ชายไม่เอา จึงได้บอก
ให้บอสลองตั้งใจอธิษฐานจิต ดูอีกครั้งกับธาตุกายสิทธิ์สีชมพูของมุก เมื่อได้อธิษฐาน
จิต เสร็จแล้วจึงได้ส่งธาตุกายสิทธ์สีชมพู ให้กับท่านอาจารย์ชา


หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชา ก็ทำเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ถึงกับต้องใช้
พลังจิตมากและรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลียมาก เหมือนกับพึ่งเดินขึ้นเขา ลงเขามา
ต่อมาสักพักนึง เมื่อบอสค่อยๆ แง้มมือออกเพื่อลุ้น ผลปรากฏว่าธาตุกายสิทธิ์
สีชมพูคลอดหลานออกมามีขนาดเล็ก ลักษณะรูปทรงแบบแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้
บอสรู้สึกทึ่งและดีใจมาก



ธาตุกายสิทธิ์สีชมพูที่คลอดหลานให้กับบอส


ต่อมาหลายๆท่านก็กราบลาท่านอาจารย์ชาและแยกย้ายกันกลับบ้านไป คงเหลือ
แต่ข้าพเจ้าผู้เขียนพี่ต๋อยและพี่นวล ที่ยังนั่งทานอาหารกันอยู่
จนกระทั่งเอ๋ ผู้จัดการของร้านรำมะนา ซึ่งเป็นอิสลามได้ ถามว่าเมื่อตะกี้ ตอนอยู่
ข้างนอกร้านทำอะไรกันเหรอ เห็นมุงดูกันใหญ่และเฮกันลั่นเสียงดังมาก
ข้าพเจ้าจึงได้ตอบว่าท่านอาจารย์ชา ได้ทำปาฏิหารย์ให้ธาตุกายสิทธิ์ แบ่งแยกออก
หลานให้กับพี่เต่าน้องแหม่มและบอส

จึงทำให้เอ๋ อยากดูอีกและอยากได้บ้าง ท่านอาจารย์ชา ตอบว่าได้แต่มีข้อตก
ลงกันก่อนว่า จะต้องฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนทุกวันโดยเริ่มจากห้าถึงสิบนาทีเป็นอย่าง
น้อย เอ๋จะทำได้มั้ย เอ๋ซึ่งเป็นอิสลามก็ตอบว่าได้และได้สัญญากับท่านอาจารย์ชา

หลังจากนั้นต่อมา…………………..
ท่านอาจารย์ชา ได้ถามพี่นวลว่าอยากจะให้ธาตุกายสิทธิ์ของเราแบ่งแยกออกมา
มั้ย พี่นวลก็เต็มใจที่จะให้ และข้าพเจ้าได้ถามท่านอาจารย์ชาว่าจะสามารถทำได้
อีกมั้ยเพราะว่าธาตุกายสิทธิ์สีดำของพี่โชคชัยและตัวพี่โชคชัยก็ไม่อยู่แล้ว
ท่านอาจารย์ชาตอบว่าไม่แน่ใจเหมือนกันต้องลองดู…………..

ต่อจากนั้นพี่นวลนำธาตุกายสิทธิ์สีขาวใส รูปทรงแบบดวงตาของปลาหรือแบบแฮม
เบอร์เกอร์ ให้เอ๋ได้อธิษฐานจิต เสร็จแล้วจึงได้มอบให้ท่านอาจารย์ชา

ท่านอาจารย์ชาให้เอ๋ แบและหงายฝ่ามือไว้ หลังจากนั้นได้หยิบธาตุกายสิทธิ์
ลูกแก้วสีเหลืองของท่านอาจารย์ชาและบอกข้าพเจ้าว่ากำลังไม่พอ ให้นำธาตุกาย
สิทธิ์สีม่วงของข้าพเจ้ามาร่วมด้วย จากนั้นได้นำธาตุกายสิทธิ์ทั้งสามชนิดวางลง
บนฝ่ามือของเอ๋ และได้ทำลักษณะเหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา

ต่อมาสักพักนึง เมื่อเอ๋ค่อยๆ แง้มมือออก เพื่อลุ้น ผลปรากฏว่า ธาตุกายสิทธิ์
สีขาวใสคลอดหลานออกมา มีขนาดเล็ก รูปร่างลักษณะเป็นลูกแก้วกลมใส
ทำให้เอ๋ตกตะลึง อัศจรรย์ใจ และดีใจเป็นอย่างมากถึงกับ อุทานออกมา………
ว่า” ไม่น่าเชื่อเลยน๊า”



ธาตุกายสิทธิ์สีขาวของเอ๋








โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไปใน…

ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค6…ปาฏิหาริย์ธาตุกายสิทธิ์และพระธาตุเสด็จ (ต่อ)

7
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค4…การทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทย

หลังจากภาคที่แล้วพวกเรา…ได้นำน้ำมนต์จากศาลเจ้าพ่อหลักเมือง,วัดพระแก้ว
มรกต,พระปฐมเจดีย์ และวัดทรงธรรมกัลยาณี    เพื่อที่จะใช้เป็นส่วนผสมทำน้ำ
มนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทย

ท่านอาจารย์ชา บอกว่าให้พวกเรา… รวมธาตุกายสิทธิ์ ของทุกคนลงในน้ำมนต์
และจะต้องทำพิธีในถ้ำเท่านั้น ถ้ำใดก็ได้ ถึงจะขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก

พวกเรา…………. จึงได้ตกลงกัน ที่จะทำพิธีในครั้งนี้ ที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก
อ. คอนสาร จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นวัดที่ หลวงปู่วิไล เขมิโย เป็นเจ้าอาวาสอยู่

ท่านอาจารย์ชา ดูฤกษ์ยามแล้ว บอกว่าวันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2554 เวลา
ประมาณพลบค่ำ เป็นวันและเวลาที่ดี ที่จะทำพิธีในครั้งนี้ได้สำเร็จ

และจะทำให้น้ำมนต์นั้นขลังศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งอื่น ๆ
อาจจะทำได้ไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์ เท่าครั้งนี้

เมื่อถึงเช้า วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2554 เวลาประมาณ เก้าโมงเช้า พวกเรา…ได้
เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยพาหนะรถยนต์สามคัน สิบหกชีวิตและอีก
หนึ่งครอบครัวที่เดินทางล่วงหน้าไปเจอกันที่โน่น และได้จองบ้านพัก ที่เขื่อนจุฬา
ภรณ์หลังใหญ่ไว้ให้พวกเรา………………

เมื่อถึงเวลาประมาณ ห้าโมงเย็นกว่าๆ พวกเรา…ก็เดินทางถึงวัดถ้ำพญาช้างเผือก
อ.คอนสาร จ. ชัยภูมิ โดยพร้อมเพรียงกัน ใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้นเจ็ดถึงแปด
ชั่วโมง รวมทั้งระยะเวลาที่พักและรับประทานอาหารกันด้วย

เมื่อเข้าไปภายในวัดแล้ว ท่านอาจารย์ชา ได้เดินไปเพียงคนเดียวก่อน เพื่อตามหา
หลวงปู่วิไล เขมิโย เมื่อท่านอาจารย์ชา ได้ขึ้นเขาไปตามหาแต่ก็ไม่พบ….
สักพักนึงได้ยินเสียงหลวงปู่เรียกว่าอยู่ข้างล่างนี่ และหลวงปู่…ได้นั่งรอที่ศาลา
เก็บวัสดุก่อสร้างที่ด้านหน้าพระเมรุเผาศพเพื่อรอรับแขก…………

ท่านอาจารย์ชา ได้สนทนากับหลวงปู่วิไลและได้กล่าวคำขอฝากตัวเป็นศิษย์…..
จึงได้ให้พวกเรานำพานบายศรีบรมครู ซึ่งท่านอาจารย์ชาเป็นคนทำเองกับมือ ที่
รถ ภายในลานจอดมาให้ หลวงปู่วิไลได้กล่าวกับท่านอาจารย์ชา ว่าทำมาสวยดี
โน่ะ ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้เห็น….พานบายศรีบรมครูนั้นเลย………….


บายศรีบรมครู ที่ท่านอาจารย์ชาทำเอง


และท่านอาจารย์ชาได้ให้พวกเรา…ทุกคนตามขึ้นไปกราบหลวงปู่วิไล ที่ศาลาหลัง
นั้น…โดยพร้อมเพรียงกัน แล้วท่านอาจารย์ชาได้กล่าวนำ คำปวารณาตัวขอเป็น
ศิษย์ของหลวงปู่วิไล พร้อมทั้งส่งมอบพานบายศรีบรมครูให้หลวงปู่วิไล… หลังจาก
ที่หลวงปู่…ได้รับพานบายศรีบรมครูแล้ว ก็ได้เทศนาธรรมและให้พร…………
แก่พวกเรา…ทุกคน

ต่อมา ท่านอาจารย์ชา ก็ได้ขออนุญาตทำน้ำมนต์ภายในบริเวณ ถ้ำพญาช้างเผือก
และได้นำธาตุกายสิทธิ์ของทุกคนที่ได้มา… ให้หลวงปู่…ชมและเจิมเพื่อเป็นสิริมงคล
หลวงปู่วิไลกล่าวคำอนุญาตให้ทำน้ำมนต์ที่ถ้ำแห่งนั้นได้ และยังกล่าวอีกว่า อาจจะ
ได้เพิ่มกันอีกนะเพราะ ที่ถ้ำแห่งนี้ก็มีของดีอยู่เยอะ ตามวาสนาและบารมีของแต่ละ
คน ท่านอาจารย์ชาจึงได้นำธาตุกายสิทธิ์ทั้งหมด ใส่ลงในแก้วน้ำดื่มของหลวงปู่…
รวมธาตุกายสิทธิ์ทั้งสิ้น สิบเอ็ดชนิด (ของมุกสองชนิดมีหินสีน้ำตาลที่ตามมาจากถ้ำ
มาอยู่ในกระเป๋าสะพายเมื่อครั้งก่อนด้วย ) พร้อมกับรินน้ำใส่ในแก้ว เพื่อเป็น
ปฐมฤกษ์ และได้เดินทางไปยังถ้ำพญาช้างเผือกกัน


ธาตุกายสิทธิ์ภายในแก้วน้ำดื่มของหลวงปู่วิไล



พระประธานภายในถ้ำ


เมื่อได้เข้าไปภายในถ้ำ…แล้วพวกเรา…ได้กราบพระประธาน ภายในถ้ำ…และได้หา
ทำเลจุดที่จะนั่งทำน้ำมนต์กัน ก็ได้จุดที่อยู่สูงขึ้นจากถ้ำ ไปอีกหน่อยนึงซึ่งตรงนั้น
เป็นโพรงเข้าไป และหยุดลงตรงหน้าพระปางป่าเลไลย์ ซึ่งมีรูปปูนปั้นของพญางูอยู่
ด้วย ได้นำพานบายศรีบรมครูวางไว้ด้านหน้าพระปางป่าเลไลย์และโอ่งดินขนาดเล็ก
ที่จะทำพิธี พร้อมทั้งใส่น้ำมนต์ที่นำมาจากศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กรุงเทพมหานคร
วัดพระแก้วมรกต, พระปฐมเจดีย์ และวัดทรงธรรมกัลยาณี ลงในโอ่ง พร้อมน้ำดื่ม
บริสุทธิ์ขวดลิตรอีกหกขวด รวมทั้งสิ้นประมาณแปดลิตรกว่า


พระปางป่าเลไลย์



ปักเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว 10 เล่มบนปากโอ่ง


หลังจากนั้นได้นำเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว จำนวน 10 เล่ม เท่ากับจำนวนคนที่เป็นเจ้า
ของธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้น ปักไว้ที่โอ่งน้ำมนต์พร้อมทั้งโยง สายสิญจน์จากเทียน
แต่ละเล่มไปหาคนแต่ละคน เพื่อนั่งปลุกธาตุและคุมธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้น โดย
ท่านอาจารย์ชา ให้ท่องคำว่า….. “ นะมะพะทะ ” ไปจนกว่าจะเสร็จพิธี
และ ได้โยงสายสิญจน์ไปให้พี่โชคชัยด้วย โดยให้พี่โชคชัยท่อง คำว่า…………..
“ เนี้ยเมี้ย เพี้ย เพี้ย ” ซึ่งเป็นคาถาคุมของและเรียกของ
ของพี่โชคชัยเองในอดีตชาติ

ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่เจ้าของธาตุกายสิทธิ์ ก็นั่งร่วม…..อยู่ในพิธีด้วย
เมื่อเริ่มพิธีทำน้ำมนต์ ท่านอาจารย์ชาได้จุดเทียนแต่ละเล่มจนครบทั้งสิบเล่ม แต่เล่ม
ไหนที่เจ้าของมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลอยู่ ก็จะจุดเทียนติดยากสักหน่อย…

หลังจากนั้นพวกเรา…เก้าคนท่องคำว่า “นะมะพะทะ” และพี่โชคชัยท่องคำว่า “เนี้ย
เมี้ย เพี้ย เพี้ย” ส่วนท่านอาจารย์ชา ก็แยกจิตออกเป็นสาม จิตที่หนึ่งคอยคุมทุกคนที่
กำลังท่องคำว่า “ นะมะพะทะ” เพราะเป็นคาถาปลุกธาตุ กลัวของจะขึ้นกัน

จิตที่สองคอยคุมพี่โชคชัย และช่วยเรียกของให้อีกแรงนึง จิตที่สามกำลังทำน้ำมนต์
จากวิชาที่หลวงปู่สุภา…ได้ถ่ายทอดไว้ให้เมื่อครั้งก่อนที่เคยเข้าไปเยี่ยมหลวงปู่…ที่วัด
และได้ลองทำจากวิชานี้เป็นครั้งแรก (ก่อนที่จะสูญหายไปพร้อมกับหลวงปู่…เพราะ
หลวงปู่สุภา มีอายุถึง 116 ปีแล้ว)


กำลังช่วยกันยกโอ่งน้ำมนต์ลงมา


หลังจากนั้น เมื่อเสร็จพิธีแล้วได้ดับเทียน และแกะสายสิญจน์ออก พร้อมทั้งช่วยกัน
ยกโอ่งน้ำมนต์ลงสู่ด้านล่างเพื่อที่จะตักแบ่งใส่ภาชนะให้กับทุกคนต่อไป
ต่อมาท่านอาจารย์ชารู้สึกแน่นหน้าอกมากแถวๆลิ้นปี่ ข้าพเจ้าจึงได้ใช้มือช่วยกดที่
บริเวณนั้น ท่านอาจารย์ชาบอกว่าปรับธาตุไม่ทันเพราะได้แบ่งจิตออกเป็นสามจึง
เกิดอาการดังกล่าวขึ้น…………

ก่อนที่จะตักน้ำมนต์จากโอ่งแบ่งกันนั้น…………………..
ข้าพเจ้าผู้เขียน ได้แหวกดอกไม้ออกและก้มลงดูที่โอ่งน้ำมนต์นั้น……….
ผลปรากฏว่ามีธาตุกายสิทธิ์แตกเพิ่มออกมาอีกจำนวนนึง พวกที่ไปด้วยกัน
และยังไม่มีธาตุกายสิทธิ์ต่างก็ลุ้นกันว่ามีสีอะไร เผื่อว่าจะได้เป็นเจ้าของกันบ้าง
ท่านอาจารย์ชา จึงได้กล่าวว่าถ้าชิ้นไหนที่ออกมาใหม่และแม่เหล็กสามารถดูดติด
ได้ละก้อ ให้เป็นของพี่โชคชัย


พี่บัติกำลังตักน้ำมนต์แบ่งกัน






ธาตุกายสิทธิ์ที่เพิ่มออกมาในโอ่งน้ำมนต์



ธาตุกายสิทธิ์ที่ท่านอาจารย์ชา ล้วงหยิบขึ้นมาจากโอ่งน้ำมนต์


เมื่อตักน้ำมนต์จากโอ่งหมดแล้ว ท่านอาจารย์ชา จึงได้ล้วงหยิบลงไปในโอ่งเพื่อนำ
ธาตุกายสิทธิ์ทั้งหมดขึ้นมา ผลปรากฏว่าธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่างๆได้โคลนนิ่งออกมา
รูปทรงต่างๆเหมือนกับตัวแม่เลย แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก เฉพาะของพี่ต๋อยสีเขียว
ไม่ออกมา เหล็กไหลตัวผู้ตัวเมียของพี่ตูนและตุ่มไม่ออกมา หินสีน้ำตาลของมุกไม่
ออกมา นอกนั้นออกมาตามสีของธาตุกายสิทธิ์ของแต่ละคน ท่านอาจารย์ชา
บอกว่าสีและรูปร่างลักษณะเหมือนใคร ก็เป็นของคนนั้น (ดังภาพข้างล่างนี้)




ธาตุกายสิทธิ์ที่แยกตัวออกลูกมา


หลังจากนั้นพวกเรา…ก็ออกมาจากถ้ำพญาช้างเผือก ขณะนั้นเวลาประมาณสองทุ่ม
กว่าๆแล้ว พวกเราจึงได้เดินลงมาจากถ้ำเพื่อไปหาหลวงปู่วิไล แต่ขณะนั้นหลวงปู่…
ได้ทำสมาธิเข้าฌานสมาบัติแล้ว พวกเรา…จึงไม่รบกวนและได้เดินทางกลับบ้านพัก
บนเขื่อนจุฬาภรณ์ และได้ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้าจะมาใส่บาตรท่านที่วัดกัน

เมื่อเดินทางถึงบ้านพักหลังดังกล่าวแล้ว พวกเรา…ก็รับประทานอาหารเย็นกันและ
อาบน้ำอาบท่าพักผ่อนกันตามอัธยาศัย พวกเราบางกลุ่มต่างก็นั่งชมบารมีของธาตุ
กายสิทธิ์กัน


พวกเรา…นั่งชมบารมีของธาตุกายสิทธิ์กัน





ธาตุกายสิทธิ์ออกลูก……..มีสีเขียวที่ไม่ออก



พี่โชคชัยกำลังส่องดูธาตุกายสิทธิ์สีดำแบบแม่เหล็กดูดติดได้ของตัวเอง


จนกระทั่ง ท่านอาจารย์ชาจึงได้เล่าเรื่องในอดีต…เหตุผลที่พวกเราได้ธาตุกายสิทธิ์
เหล่านี้กันว่า ย้อนหลังไปชาติที่เจ็ดหรือประมาณหนึ่งหมื่นกว่าปีที่แล้ว

พวกเรา…ได้เคยอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก็คือบริเวณหมู่บ้านที่วัดวังหอนตั้งอยู่
ในปัจจุบันนี้และที่ถ้ำวังนายพุด ก็เคยเป็นที่อยู่ของฤาษีตนหนึ่งชื่อว่า ฤาษีอินทฤทธิ์
ท่านมีอิทธิฤทธิ์มาก สำเร็จอรูปฌาม 8 เป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านแห่งนั้นมาก
ใครไปหา ขอของดีของขลังจากท่านๆ ก็หยิบเอาหินหรือธาตุต่างๆที่อยู่บริเวณนั้นเสก
ด้วยกำลังของรูปฌามบ้าง อรูปฌามบ้าง ให้ไว้ป้องกันตัว ฤาษีองค์นั้นก็คือท่าน
อาจารย์ชา ในปัจจุบัน

และ ได้มีพี่น้องอยู่ห้าคน ที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของฤาษีองค์นั้น เพราะพ่อแม่ตายหมด
แล้วคือ 1.หมอสมชาย 2.พี่ต๋อย 3.พี่โบ้เม่ง 4.พี่โชคชัย 5.มุกน้องสาวคนเล็ก รวม
เป็นชายสี่คน หญิงหนึ่งคน

ซึ่งในชาติปัจุบันนี้ สี่คนแรกได้มาเกิดเป็นเพื่อนกัน ส่วนมุกมาเกิดเป็นภรรยาท่าน
อาจารย์ชา ส่วนนายบ้านที่ปกครองในหมู่บ้านแห่งนั้นก็คือพี่บัติ ซึ่งมีน้องสาวคือเก๋
ในชาติปัจจุบัน และมีชาวสวนปลูกผักขาย ชอบทำอาหารมาถวายฤาษีองค์นั้น
เป็นประจำก็คือพี่นวลซึ่งมีน้องสาวก็คือตุ่ม ในชาติปัจจุบัน นอกจากนั้นก็มีขุนพล
แม่ทัพจากเมืองแห่งหนึ่งปัจจุบันก็คือจังหวัดพัทลุง ชื่อว่าไชยสิทธิ์ ก็คือข้าพเจ้าผู้
เขียนเมื่อว่างเว้นจากศึกสงคราม ก็มักจะแวะมาพักอยู่กับฤาษีองค์นั้นซึ่งเป็นอาจารย์

และได้ศึกษาร่ำเรียนวิชาการต่างๆ โดยมักจะมีนายทหารคนสนิทติดสอยห้อยตามมา
ด้วยเสมอคนนั้นก็คือพี่ตูนในชาติปัจจุบัน และยังมีเศรษฐีอยู่คนหนี่งมีที่ทางมากมาย
ให้คนเช่าเมื่อภรรยาตายลงก็เสียใจเป็นอันมาก จึงได้ยกทรัพย์สมบัติให้ลูกทั้งสามคน
แล้วบวชเป็นฤาษีฝากตัวเป็นศิษย์ ร่ำเรียนพระเวทจาก ฤาษีอินทฤทธิ์

ฤาษีองค์ที่เป็นอาจารย์ได้ถ่ายทอดวิชาให้จนหมดสิ้น จนสามารถแสดงฤทธิ์ได้เสมือน
ผู้เป็นอาจารย์

จนกระทั่งฤาษีอินทฤทธิ์ตายลง ฤาษีองค์นั้นจึงมีชื่อเสียงโด่งดังแทนและมีชื่อสียง
มากกว่าฤาษีอินทฤทธิ์เสียอีก ดังจนกระทั่งหลายร้อยปีต่อมา จึงเหลือเพียงตำนาน
เล่าขาน ฤาษีองค์นั้นก็คือท่านอ้วนในปัจจุบัน

อยู่มาจนกระทั่ง พวกเราก็ได้ตายไปเปลี่ยนภพภูมิกัน สวรรค์บ้างมนุษย์บ้าง ของขลัง
เหล่านั้นที่ท่านฤาษีได้เสกให้ไว้ก็ยังคงอยู่ ณ.ที่แห่งนี้ แปรธาตุไปบ้าง จนกระทั่งพวกเรา
ได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ณ.ปัจจุบันและได้มา ณ .สถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่เคย
อยู่ จนธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้นพบเจ้าของเดิมเข้า………………..
จึงได้แสดงฤทธิ์ให้เห็นในรูปแบบต่างๆ ดังที่ผ่านมา

พอรุ่งขึ้นตอนเช้าพวกเรา…ก็แวะที่ตลาดนัดระหว่างทาง เพื่อซื้ออาหารคาวหวานและ
น้ำผึ้งเพื่อที่จะใส่บาตรหลวงปู่วิไล เดินทางมาถึงวัด พวกเรา…ได้ใส่บาตรทันพอดี หลัง
จากนั้นก็ร่วมกัน รับประทานอาหารที่วัด จนหลวงปู่วิไลฉันภัตตาหารเสร็จแล้วพวกเรา…
นำโดยท่านอาจารย์ชา ก็เข้ากราบลาหลวงปู่วิไล เพื่อเดินทางกลับกัน ก่อนกลับก็ได้รวม
กันถวายปัจจัยที่จะสร้างพระบนยอดเขา รวมทั้งธาตุกายสิทธิ์ของทุกคนให้หลวงปู่ได้ชม
ว่าเมื่อคืนได้เพิ่มมาและให้หลวงปู่แผ่บุญบารมีให้กับธาตุกายสิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่
พวกเรา…


หลวงปู่วิไล กำลังชมบารมีและอธิฐานจิตแผ่บุญบารมีให้กับธาตุกายสิทธิ์


หลวงปู่วิไล ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า เมื่อคืนตอนที่พวกเราทำน้ำมนต์กันในถ้ำ
นั้นมีพระธาตุเสด็จมาเพิ่มเต็มเลย และชี้ไปที่สวิทย์ไฟให้พวกเรา…เปิดไฟชม ที่ห้องพิพิธ
ภัณฑ์ของหลวงปู่วิไลว่าทุกอย่างล้วนมาเองทั้งสิ้น


ภายในพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่วิไล





พวกเรา…ได้ขออนุญาตหลวงปู่วิไล ถ่ายรูปหมู่ไว้เป็นที่ระลึก


หลังจากเดินทางออก จากวัดถ้ำพญาช้างเผือก พวกเรา…ก็ได้แวะไปกราบ หลวงพ่อ
สายทอง ที่วัดป่าห้วยกุ่ม และได้ให้หลวงพ่อสายทองชมธาตุกายสิทธิ์ รวมทั้งให้หลวงพ่อ
สายทอง อธิษฐานจิตแผ่บุญบารมีเพื่อเป็นสิริมงคลแก่พวกเราหมู่คณะทุกคน
หลังจากนั้นพวกเรา…ก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ กัน

ขณะนั้นเวลาประมาณ 11โมงกว่าแล้ว ของวันที่ 4 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา




โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไปใน

ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค5…ปาฏิหาริย์ธาตุกายสิทธิ์และพระธาตุเสด็จ

8
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค3…รวมธาตุกายสิทธิ์…ที่วัดพระแก้วมรกต

หลังจากที่พวกเราหมู่คณะได้แยกย้ายเดินทางกลับบ้าน ในวันที่ 14 สิงหาคม 2554
นั้น พอรุ่งขึ้นในวันที่ 15 สิงหาคม 2554 เวลาประมาณ 5 โมงเย็นกว่าๆ ก็เกิดเหตุ
การณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น….นั่นก็คือปังปอนลูกชายท่านอาจารย์ชาคนโตได้ยินเสียง
เหมือนคนพูดกระซิบ…ที่ข้างหู…ว่ามีของดีตามมาแล้ว ให้ไปหาในกระเป๋า…

ปังปอนก็ได้บอกเรื่องที่ได้ยินเสียงนี้…กับท่านอาจารย์ชาและมุกแม่ของปังปอนและ
ได้ไปหาในกระเป๋าเดินทางของตัวเองเป็นการใหญ่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ

ท่านอาจารย์ชา ก็เลยลองดูที่ กระเป๋าหนังใส่โทรศัพท์มือถือ ที่แน็บอยู่ข้างเอวบ้าง
พอรูดซิบออกดู เห็นสิ่งผิดปกตินั่นก็คือ พบหินก้อนนึง มีขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือได้
มาอยู่ในกระเป๋า ท่านอาจารย์ชา ก็ได้หยิบขึ้นมาดูและได้ส่งให้มุกดู ให้ลูกชายดู
และให้ญาติๆ ที่เห็นเหตุการณ์ดูกันประมาณ 3-4 คน

ต่อมา สักพักนึงก็ได้ส่งหินก้อนนั้น……
กลับมาที่มือท่านอาจารย์ชา หินก้อนนั้นก็กลิ้งขลุกขลิกๆ อยู่บนมือ สักพักนึงก็กลับ
กลายเป็นลูกแก้ว มีสีเหลืองสดใส และบนท้องฟ้าก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น ทั่วทั้งอำเภอ
ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช คล้ายๆกับพระอาทิตย์ทรงกลดหรือรุ้งกินน้ำ ซึ่งเวลาก็
จะใกล้ค่ำแล้ว กินเวลาที่เกิดสิ่งมหัศจรรย์นี้ เกือบจะหนึ่งชั่วโมง ผู้คนทั้งอำเภอทุ่งสง
ต่างหยุดถ่ายรูปบนท้องฟ้าและต่างพากันสงสัยว่าเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้น


ภาพลูกแก้วสีเหลืองขนาดเล็กของท่านอาจารย์ชา







ภาพลำแสงประหลาดที่เกิดขึ้นทั่วทั้งอำเภอทุ่งสง หลังจากที่หินได้กลายเป็นลูกแก้ว


หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาก็ได้โทรศัพท์ไปเล่าเรื่อง…ให้พี่ต๋อยฟัง เมื่อ…ได้ฟังแล้วพี่
ต๋อยก็พูดเล่นๆว่าถ้าของอาจารย์มาแล้ว สีเหลือง ของผมก็มีโอกาสมาเหมือนกัน ของ
ผมน่าจะเป็นสีเขียว ท่านอาจารย์ชา ตอบว่าสีเขียวคงจะยาก เพราะว่าสีเขียวนี่แหละ
ที่ทำให้พวกหมอที่มีวิชาอาคม กระโดดรูตายในถ้ำคนธรรพ์มาแล้ว

หลังจากนั้นต่อมา เช้าวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554 ท่านอาจารย์ชาและมุกได้เดินทาง
ถึงกรุงเทพมหานคร

บ่ายวันนั้นเองพี่ต๋อยและพี่นวล ได้มารับท่านอาจารย์ชาไปที่บ้าน เพื่อที่จะให้ท่าน…ดู
เรื่องการต่อเติมปรับปรุงบ้านใหม่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้ติดตามไป
ที่บ้านของพี่ต๋อยซึ่งเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า…ในครั้งนี้ด้วย

เมื่อไปถึงบ้านพี่ต๋อยได้เห็นบ้านสองชั้นที่ทาสีใหม่ทั้งหลัง สีนั้นคือสีเขียว ชั้นบนเขียวโทน
อ่อน ชั้นล่างเขียวโทนเข้ม รถเก๋งบีเอ็ม ซีรีย์ 7 ที่จอดอยู่ของพี่ต๋อยก็สีเขียว
เมื่อเข้าสู่ตัวบ้าน ท่านอาจารย์ชา ก็มานั่งที่โต๊ะอาหาร นั่งคุยกันถึงเรื่องของที่จะไหว้
เพื่อขมาและบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนของเรา
เพราะเมื่อใดที่เราต่อเติมบ้าน จะต้องบอกกล่าวเจ้าบ้านเจ้าเรือนทุกครั้ง
ส่วนเจ้าที่ ไม่เป็นไร

ต่อมา พี่นวลเห็นแสงสีขาวแว็บๆ มาจากห้องพระ แสงคล้ายๆ หลอดไฟนีออนที่เสียและ
กระพริบๆ คิดว่าข้าพเจ้าเปิดไฟและลืมปิดและหลอดไฟคงจะเสีย เพราะว่าข้าพเจ้าได้ขึ้น
ไปห้องพระที่อยู่ชั้นบนเพื่อนำรูปหล่อโลหะหลวงปู่เทพโลกอุดร ขนาดหน้าตัก 5 นิ้วไปเก็บ
ไว้ให้ที่บนโต๊ะหมู่ หลังจากที่พี่นวลเช่ามาในวันนั้น

พี่นวล ก็ได้มาบอกท่านอาจารย์ชาช่วยดูให้หน่อยว่าเป็นแสงของอะไร ท่านอาจารย์ชาก็
บอกว่าเป็นแสงของพระธาตุละมั้ง เพราะว่าท่านอาจารย์ชาได้นำพระธาตุมาให้พี่นวลด้วย
วันนั้น หนึ่งผอบ แต่…….เอ…เมื่อลองตรวจดูด้วยญาณอีกครั้ง ก็ทราบว่าเป็นของดีที่
ตามออกมาจากในถ้ำคนธรรพ์ รู้สึกว่าจะมีสามชิ้น ชิ้นแรกเป็นของท่านอาจารย์ชาแล้ว
ชิ้นนี้อาจจะเป็นชิ้นที่สองของพี่ต๋อยตามบุญบารมีเก่า

ท่านอาจารย์ชา พี่ต๋อยพี่นวลและข้าพเจ้าผู้เขียน ก็ได้รีบขึ้นไปยังห้องพระเพื่อที่จะหาของ
เผื่อว่าจะอยู่บนพาน และบนโต๊ะหมู่บูชาพระ หาสักพักนึงก็ไม่พบ ท่านอาจารย์ชาก็เลย
บอกให้พี่ต๋อยลองหาดูเองบ้าง เพราะว่าของแบบนี้ต้องบารมีของใครของคนนั้น หาสักพัก
นึงก็ไม่พบ พี่ต๋อยจึงได้กำหนดจิตอธิษฐานว่า ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะมาเป็นคู่บารมีและ
ร่วมสร้างบุญสร้างกุศลร่วมปฏิบัติธรรมกัน ตราบเข้าสู่นิพพาน และพรุ่งนี้ก็จะพาไปเที่ยว
ทำบุญที่วัดพระแก้วมรกตด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน ท่านอาจารย์ชาก็เห็นแสง พรุ่งตรงเข้าสู่ตัวพี่ต๋อยซึ่งกำลังนั่งสมาธิสงบ
อยู่ จึงได้นำพานขนาดเล็กและพวงมาลัยที่มีอยู่บนพานขึ้นรับแสง และได้นำพานวางไว้บน
มือของพี่ต๋อย พร้อมทั้งให้พี่ต๋อยใช้ฝ่ามือปิดลงบนพานนั้น
หลังจากนั้นแสงก็ได้หายไป

สักครู่ใหญ่ พี่ต๋อยก็ได้ลืมตาออกจากสมาธิ และได้หันไปถามท่านอาจารย์ชาว่ามาหรือยัง
ท่านอาจารย์ชาไม่ตอบ หันไปถามข้าพเจ้า ว่าจะมาบนพานมั้ย ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าตอบว่าจะ
มาหรือไม่มา เพราะว่าเปอร์เซนต์ ไม่มามันเยอะกว่าอยู่แล้ว ต่อจากนั้นมาพี่ต๋อยก็ค่อยๆ
แง้มฝ่ามือออกเพื่อลุ้นว่าบนพานจะมีหรือไม่

ผลปรากฏว่ามี ไม่น่าเชื่อ…สีเขียวมรกตด้วย ข้าพเจ้านึกว่าพูดเล่น ข้าพเจ้า พี่นวล ท่าน
อาจารย์ชา ต่างก็มาดูบนพานกัน พบว่า…มีสีเขียวมรกต รูปร่างลักษณะแบบรูปไข่ โดย
มีพวงมาลัยห่อหุ้มไว้อย่างดีเลย พี่ต๋อยและพี่นวลจึงได้ร้องเรียกแม่และลูกชายลูกสาวขึ้น
มาชมบารมีกันบนห้องพระ


ธาตุกายสิทธิ์สีเขียวมรกต ที่พี่ต๋อยได้


ต่อมา…พวกเรา…ก็ได้กลับมานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟสดรำมะนา ซึ่งอยู่ติดกับซอยคลองลำ
เจียก 21 ซึ่งเป็นร้านของพี่บัติ ได้นำธาตุกายสิทธิ์สีเขียว ของพี่ต๋อยมานั่งชมบารมีกัน

โทรตามพี่โชคชัยเพื่อนพี่ต๋อยและมุกภรรยาท่านอาจารย์ชา ซึ่งอยู่ช่วยทำอาหารที่ร้านแห่ง
นั้น มาชมบารมีกัน เมื่อพี่โชคชัยและมุกได้ชมบารมีเสร็จแล้วนั้น มุกก็ได้อธิษฐานจิตบ้าง
ว่าคนอื่นที่ไปถ้ำแห่งนั้น ได้กันเกือบหมดแล้ว มุกยังไม่ได้เลย ถ้ามาก็ขอเป็นสีชมพูนะพรุ่ง
นี้จะได้พาไปวัดพระแก้วมรกตกัน เพราะว่าพรุ่งนี้พวกเราได้นัดกันแล้วว่าจะไปไหว้และทำ
บุญที่วัดพระแก้วมรกตกัน ตามที่นายพรานนำทางคุณสุนัยได้เคยบอกไว้

ส่วนพี่โชคชัยก็ถามท่านอาจารย์ชาบ้างว่า แล้วผมจะมีสิทธิ์ได้กับเค้าบ้างมั้ย ท่านอาจารย์
ชาก็ตอบว่า ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะว่าคุณไม่ได้ไปที่ถ้ำแห่งนั้น แล้วจึงใช้ญาณตรวจดูอีก
ทีว่าจะมีโอกาสได้มั้ย ก็ตอบว่าของคุณมีโอกาสได้ ตอนที่พวกเรารวมธาตุกายสิทธิ์และไป
ทำน้ำมนต์กันที่วัดถ้ำพญาช้างเผือก จังหวัดชัยภูมิ ให้ท่องคาถาเรียก อาจจะมาได้ของคุณ
น่าจะเป็นสีดำ เป็นแบบแม่เหล็กดูดติดได้

ถึง…..ตอนค่ำประมาณ 2 ทุ่มสี่สิบห้า มุกได้ช่วยเก็บของปิดร้านและกลับยังที่พัก พอเปิด
ประตูห้องเข้าไปเท่านั้น ก็มองไปเห็นธาตุกายสิทธิ์สีชมพู มีลักษณะกลมรีแบบรูปไข่วางอยู่
บนที่นอน จึงทำให้มุกรู้สึกดีใจมากและได้ให้ท่านอาจารย์ชาดู พร้อมทั้งบอกให้โทรไปบอก
พี่ต๋อยว่าของมุกมาแล้วเหมือนกัน


ภาพธาตุกายสิทธิ์สีชมพูที่มุกได้


แต่แล้วจู่ๆธาตุกายสิทธิ์ที่อยู่บนฝ่ามือของท่านอาจารย์ชา ก็ได้ล่องหนหายไป จึงทำให้มุกรู้
สึกเสียใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่เมื่อตะกี้ เพิ่งดีใจไปหยกๆ ทำให้คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับ
ต่อเมื่อ…หลับไปแล้ว จึงได้ฝันไปว่ายังอยู่ภายในห้องนี้แหละ….ยังไม่ไปไหนหรอก!!!

ตี่นเช้า ขึ้นมาเวลาประมาณตีห้า มุกรีบหาธาตุกายสิทธิ์ ทั่วทั่งห้อง…แต่ก็ไม่พบ จึงได้แต่
ทำใจ ต่อมาประมาณ 8 โมงกว่าๆก่อนจะออกจากห้องมุกก็ได้บอกกับท่านอาจารย์ชาว่ามุก
คงไม่ได้ไปวัดพระแก้วมรกตแล้วละ เพราะว่าของมุกไม่มี ขอให้ท่านอาจารย์ชาไปกันเถอะ
พอก้าวขาออกจากประตูและจะปิดประตูห้องเท่านั้นละ ได้ยินเสียงกระโดดลงบนพี้นห้อง
เสียงดัง……เป๊ค……เป๊ค…….เป๊ค มุกจึงได้หยิบขึ้นมาดู และได้พูดขึ้นว่า
“ ชอบหยอกและขี้เล่นจริงๆนะ ”

หลังจากนั้นเมื่อถึงเวลานัดหมาย เวลาประมาณ สิบโมง พวกเรา…ได้นัดเจอกันที่ศาลเจ้า
พ่อหลักเมือง มีพี่บัติ, พี่ตูนกับตุ่ม ,พี่ต๋อยกับพี่นวล ข้าพเจ้าท่านอาจารย์ชาและมุก ส่วนเก๋
และท่านอ้วนที่อยู่ จ.ภูเก็ตไม่ได้มาเพราะติดธุระ แต่พี่ต๋อยก็ได้ให้เก๋และท่านอ้วนออกชื่อ
บอกกล่าวกับธาตุกายสิทธิ์นั้นๆแล้ว

เมื่อพวกเราได้มากันพร้อมหน้าแล้ว ท่านอาจารย์ชา..................
ได้ให้พวกเราทุกคนนำธาตุกายสิทธิ์ที่ได้มา รวมใส่ในถุงกำมะหยี่สีแดง รวมทั้งของพี่บัติซึ่ง
เป็นเหล็กไหลสายฟ้าที่ท่านอาจารย์ชาได้ให้ไว้ และได้ทำการตักน้ำมนต์ที่ศาลเจ้าพ่อหลัก
หลักเมืองไปหนึ่งขวด เพื่อจะได้ใช้เป็นส่วนผสม ทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทยต่อไป


เหล็กไหลสายฟ้าของพี่บัติ



องค์พระแก้วมรกต


ต่อจากนั้น…พวกเราก็เดินทางไปวัดพระแก้ว เมื่อเข้าถึงภายในพระอุโบสถที่พระแก้วมรกต
ประดิษฐานอยู่ ก็ได้มีเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลใส่ชุดสีกากีเข้ามาเชิญไปที่ด้านหน้าสุด โดยเข้ามาเชิญ
พี่ต๋อยเข้าไปเป็นคนแรก พวกเรา…ก็เลยกรูตามกันเข้าไปและได้นั่งกันแถวๆหน้าสุดใกล้กับ
องค์พระแก้วมรกต

ต่อจากนั้นท่านอาจารย์ชาได้นำถุงกำมะหยี่ที่บรรจุธาตุกายสิทธิ์ต่างๆวางลงบนกล่องบริจาค
ต่อหน้าองค์พระแก้วมรกต เพื่อให้องค์พระแก้วมรกตได้ประสิทธิประสาทพรเพื่อเป็นสิริมงคล
แก่ธาตุกายสิทธิ์ เหล่านั้น

หลังจากนั้นพี่ต๋อยได้ลุกขึ้น เดินเข้า ไปหาเจ้าหน้าที่…คนนั้น เพื่อขอน้ำมนต์หนึ่งขวดใหญ่รวม
ทั้งยังขอให้ถือถุงกำมะหยี่บรรจุธาตุกายสิทธิ์ต่างๆ ให้เดินเวียนทักษิณาวัตรรอบองค์พระแก้ว
มรกตสามรอบ ณ. บริเวณชั้นในที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเข้าไปได้
นอกจากพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ที่เข้าไปเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต
ตามฤดูต่างๆเท่านั้น

เมื่อเจ้าหน้าที่ได้เวียนทักษิณาวัตรครบสามรอบแล้วก็ได้นำขวดน้ำมนต์และถุงกำมะหยี่สีแดง
ส่งคืนให้กับพี่ต๋อย ท่านอาจารย์ชาจึงได้บอกว่าให้แกะถุงและส่งคืนธาตุกายสิทธิ์ให้แต่ละ
คนเลย เมื่อได้แกะเชือกที่มัดถุง ซึ่งผูกไว้อย่างแน่นหนาถึงสามชั้น พี่ต๋อยก็ตั้งใจว่าจะหยิบ
ของพี่บัติออกมาก่อน ซึ่งเป็นเหล็กไหลสายฟ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว เมื่อได้หยิบธาตุกาย
สิทธิ์นั้นขึ้นมา ผลปรากฏว่ามีลักษณะกลมสีขาวขุ่นมัวคล้ายลูกอม ก็
คิดว่าเป็นของมุกที่มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่มุกไม่ยอมรับและบอกว่าไม่ใช่

พวกเรา…จึงคิดว่าองค์พระแก้วมรกตคงดูดสีและความสดใสต่างๆไปหมดคงเหลือแต่ความ
หมองมัว พี่ต๋อยจึงนำธาตุกายสิทธิ์ชิ้นนั้นใส่ลงไปในถุงกำมะหยี่ใหม่
และไว้หยิบขึ้นมาทีหลังสุด เพื่อดูว่าจะเป็นของใคร

หลังจากนั้น…พวกเรา….ก็คอยลุ้นกัน ชิ้นที่หนึ่งหยิบออกมาแล้ว สีเขียวของพี่ต๋อยยังอยู่
เหมือนเดิม แต่กับสดใสขึ้นมากกว่าเก่า ชิ้นที่สอง สีชมพูของมุกยังเหมือนเดิม แต่กับสดใส
ขึ้นมากกว่าเก่า ชิ้นที่สามสีขาวใสของพี่นวล ยังเหมือนเดิมและยังสดใสขึ้นมากกว่าเก่า
ชิ้นที่สี่สีดำของพี่ตูนยังเหมือนเดิม ชิ้นที่ห้าสีดำของตุ่มยังเหมือนเดิม ชิ้นที่หกของ
ท่านอาจารย์ชายังเหมือนเดิม แต่กับสดใสขึ้นมากกว่าเก่า ชิ้นที่เจ็ดของข้าพเจ้า (ผู้เขียน)
ก็ยังเหมือนเดิมแต่กับสดใสขึ้นมากกว่าเก่าเช่นเดียวกับทุกสี ชิ้นสุดท้ายออกมาไม่มีใคร
แล้วคงต้องเป็นของพี่บัติ ทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกแปลกใจมากที่เหล็กไหลสายฟ้าได้หาย
ไปกลายเป็นอย่างอื่นแทน ท่านอาจารย์ชาจึงบอกว่า…ธาตุกายสิทธิ์นี้น่าจะเป็นตัวจริง
ของพี่บัติแล้วละ




รวมธาตุกายสิทธิ์ที่ไปวัดพระแก้วมรกต





ธาตุกายสิทธิ์ของพี่บัติกำลังกินน้ำผึ้งซึ่งเป็นเหล็กไหลชนิดหนึ่งเหมือนกัน



องค์พระปฐมเจดีย์


หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เดินทางไปพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ได้นำธาตุกายสิทธิ์
เวียนทักษิณาวัตรรอบองค์พระปฐมเจดีย์สามรอบ และตักน้ำมนต์มาหนึ่งขวดเพื่อจะได้
ใช้เป็นส่วนผสม ทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทยต่อไป

ต่อมาก็ได้แวะที่วัดทรงธรรมกัลยาณี จังหวัดนครปฐม วัดที่มีพระภิกษุณีในเมืองไทย
พร้อมทั้งได้เยี่ยมชมบรรยากาศภายในบริเวณวัด…………..ชมรูปเหมือนพระภิกษุณีที่
สำเร็จอรหันต์เมื่อครั้งพุทธกาล หลายพระองค์


พระไภษัชยคุรุไวทูรย์ประภาตถาคตเจ้า


พวกเรา…ยังได้นำธาตุกายสิทธิ์ของทุกคนมาวาง……………….
ที่หน้าพระไภษัชยคุรุไวทูรย์ประภาตถาคตเจ้า ซึ่งเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งที่
เก่งทางด้านหมอยารักษาโรคมาก พร้อมทั้งได้สวดมนต์บูชาพระไภษัชยคุรุไวทูรย์ประภา
ตถาคตเจ้า และขอน้ำมนต์เพื่อจะได้ใช้เป็นส่วนผสม ทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุด
ในเมืองไทยต่อไป

หลังจากนั้นพวกเรา…ก็เดินทางกลับกรุงเทพมหานคร และได้แยกย้ายกลับบ้านไป



โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไป

ในประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค4…การทำน้ำมนต์ที่สุดยอดที่สุดในเมืองไทย

9
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค2…ถ้ำวังนายพุดและป่าอาถรรพ์


หลังจากที่พวกเราหมู่คณะได้เดินทางกลับจากถ้ำคนธรรพ์ มาถึงที่บ้านจุดที่
พวกเราได้จอดรถไว้ ก็ได้พักเหนื่อยกันสักเล็กน้อย จึงได้เตรียมเต้นท์เสบียง
และสัมภาระเพื่อเดินทางกันต่อไป…………..

การเดินทางในครั้งนี้ไม่ต้องมีพรานผู้นำทาง เพราะท่านอาจารย์ชาเป็นคนนำ
ทางเอง ระหว่างการเดินทางได้เดินผ่านลำห้วยที่หนึ่ง สวนยางพารา ไร่หน่อ
ไม้ สวนทุเรียนพื้นเมือง การเดินทางจะเป็นคนละทาง กับทางไปถ้ำคนธรรพ์
แล้วก็มาเจอกับลำห้วยที่สอง หลังจากนั้นก็เดินขึ้นเขาและค่อยๆ สูงชันขึ้น
เรื่อยๆ จนขึ้นมาถึงยอดเขา และพบกับถ้ำวังนายพุด ซึ่งปากถ้ำมีลักษณะ
ใหญ่โตและโอโถงมาก………..









ถ้ำวังนายพุด



อังเดรกับทางเข้าถ้ำวังนายพุด



เพดานถ้ำวังนายพุด



ปังปอนกับหินก้อนใหญ่ สีออกเขียวคล้ายหยก รูปร่างคล้ายเต่าตัวใหญ่

พวกเรา…นั่งพักเหนื่อยกันสักพักนึงก็ออกเดินทางเข้าภายในถ้ำกัน พอเข้ามา
ได้สักระยะนึง ก็จะพบกับหินก้อนใหญ่ สีออกเขียวคล้ายหยก รูปร่างคล้าย
เต่าตัวใหญ่มาก เมื่อเดินผ่านหินรูปเต่ามาสักพักใหญ่ก็มาถึงทางที่จะออกไป
สู่ป่าอาถรรพ์ ซึ่งจะเป็นช่องรูเล็กๆ ที่สามารถลอด ได้ทีละคนเท่านั้น

ช่องรูนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเป็นซอกหินที่สามารถลอดขึ้นไปได้ทีละคน
โดยใช้หลังพิงผนังถ้ำ แล้วค่อยๆกระดึ้บๆ ขึ้นไป….

พวกเราจึงค่อยๆ คลานเข้าช่องรู และให้คนนึงขึ้นไปก่อน คนนั้นคือท่าน
อาจารย์ชา เพื่อรอรับสัมภาระที่จะส่งขึ้นไปทีละชิ้นๆ เมื่อหมดแล้วก็จะเป็น
พวกเราที่จะต้องลอดรูขึ้นไปทีละคนๆ จนครบทั้งหมด 14 คน

หลังจากลอดรูกันมาได้แล้วพวกเราหมู่คณะ ก็ลงเขากันแบบทุลักทุเลจน
ผ่านโขดหินภูผาและขอนไม้ใหญ่ จนถึงด้านล่างซึ่งเป็นทางราบเรียบลงสู่
ผืนป่า พวกเราหมู่คณะได้มีความสามัคคีกันมากได้ดูแลช่วยเหลือซึ่งกัน
และกันทั้งๆ ที่บางคนเพิ่งจะรู้จักกันเป็นครั้งแรก ทำให้ผู้เขียนรู้สึกประทับ
ใจมากกับทริปนี้………………….



สภาพผืนป่าแห่งนี้





อังเดรช่างภาพของพวกเรา…กับต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ


ต่อมาเมื่อเดินได้สักระยะนึง พบต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ ขึ้นเรียง
รายอยู่มากมายในผืนป่าแห่งนี้ ซึ่งท่านอาจารย์ชาได้เล่าให้ฟังว่าไม่มีใคร
สามารถตัดไม้และนำออกไปได้ เพราะว่าทางเข้าออกป่าแห่งนี้มีทางเดียว
เสมือนป่ามหาอุดมีภูเขาล้อมรอบ ต้องลอดรูถ้ำที่ผ่านมาดังกล่าว และในผืน
ป่าแห่งนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์มากมีสัตว์ป่าเช่นช้าง เสือ หมี เก้งกวาง ลิง
ค่าง ชะนี และต่างๆอีกมากมาย…………………

เมื่อเดินทางมาได้สักพักนึงก็ถึงลำห้วยซึ่งเป็นปลายน้ำตก สายน้ำที่ไหลก็จะ
ไหลลงรูไปโผล่ที่ไหนอีกไม่รู้ ท่านอาจารย์ชาบออกว่าไปโผล่ในถ้ำแห่งหนึ่ง
เพราะที่ภูเขาแห่งนี้มีถ้ำต่างๆ อีกมากมาย…………………..

ท่านอาจารย์ชาเห็นว่าพวกเราเดินทางกันมาทั้งวันและเหนื่อยล้ามามากแล้ว
จึงได้ตกลงกันที่จะพักค้างแรมที่ลำห้วยแห่งนี้ เพราะใกล้แหล่งน้ำที่จะใช้สอย
พวกเราจึงได้ทำการกางเต้นท์กันใกล้ๆ ลำห้วยแห่งนี้ และได้อาบน้ำอาบท่า
พักผ่อนกันตามอัธยาศัย หลังจากนั้นก็ก่อกองไฟกันเพื่อต้มน้ำร้อนและกิน
มาม่าคัพคนละถ้วยเพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นในวันนั้น



จุดที่พวกเรา…กางเต้นท์พักค้างแรมกัน



น้องเก๋...โภชนากำลังต้มน้ำร้อนเพื่อทำมาม่าให้พวกเราหมู่คณะทานกัน



พวกเราหมู่คณะกำลังพักผ่อนกันตามอัธยาศัย


ต่อมาท่านอาจารย์ชาบอกว่าได้มีเทวทูตผู้นำสารมาบอกท่านอาจารย์ชาว่า
จะมีเทวดามาขอฟังธรรมจำนวนมาก ในเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ให้พวกเราเตรียมตัว
กันไว้และมานั่งรวมกันบริเวณหน้ากองไฟ……………………

เมื่อได้ถึงเวลานัดหมายแล้ว พวกเราก็ได้มานั่งรวมกันบริเวณหน้ากองไฟ โดย
ที่ตอนนั้นไม่ค่อยจะมียุงเลย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเพราะในผืน
ป่าแบบนี้คงจะรอดจากยุงยาก…………….

ต่อมาท่านอาจารย์ชาให้นำธาตุกายสิทธิ์ที่ทุกคนได้จากถ้ำคนธรรพ์มาตรวจเช็ค
ดูว่าเป็นอะไรกันบ้าง ชิ้นแรกของเก๋สีแดง ดูแล้วบอกว่าแก้วพญานาคดูแลรักษา
อยู่ ชิ้นที่สองของข้าพเจ้าสีม่วง ดูแล้วบอกว่าแก้วพญาเต่าดูแลรักษาอยู่ ชิ้นที่
สามของพี่นวลสีขาวใส แก้วพญาเสือดูแลรักษาอยู่ ชิ้นที่สี่ของท่านอ้วนเป็น
พระธาตุพระสีวลี ชิ้นที่ห้าและหกของพี่ตูนและตุ่มเป็นพญาเหล็กไหลตัวผู้และ
ตัวเมีย เป็นชนิดที่ดีเกี่ยวกับเมตตาโชคลาภคุ้มครองภัย ไม่ใช่ชนิดแบบมหาอุด
เมื่อตรวจเช็คธาตุกายสิทธิ์เสร็จแล้ว ท่านอาจารย์ชาได้หันมาถามผู้เขียนว่าจะ
แสดงธรรมเรื่องอะไรดี ผู้เขียนก็ตอบว่า…….

แสดงธรรมเรื่อง บุญอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา และการไม่ยึดติดอยู่กับ
ความหลงในความเป็น เทวดา ซึ่งมีเหตุให้เสื่อมได้ แสดงไตรลักษณ์ และ
ความไม่ประมาท ท่านอาจารย์ชาก็เห็นดีด้วย…….

ท่านอาจารย์ชาจึงเริ่มพิธี และกล่าวว่าใครเห็นอะไรอย่าตกใจนะทำจิตใจ
ให้สงบอย่าวอกแวก จึงเริ่มกล่าวคำอาราธนาศีลอาราธนาธรรมและกล่าวคำ
เทศนาดังนี้

“กุศลกรรมเหล่าใด อันทำให้บุคคลเป็นเทวดา เสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ.
ขณะนี้ กุศลกรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายสมควร นำมาทบทวน
อันทิพยสมบัติที่เสวยอยู่นี้ แท้จริงเป็นของเสื่อมได้ หมดได้เป็น ของไม่
เที่ยง ไม่ยั่งยืน ด้วยเป็นเพียงโลกียสมบัติ เมื่อกุศลกรรมที่ได้ กระทำไว้
หมดลง ความสุขอันนี้ก็จะกลายเป็นทุกข์ หรือจะต้องไปเกิดใหม่ ตามภพ
ภูมิ ตามกรรมดีกรรมชั่วของตน ที่ยังมีเชื้อเหลืออยู่………………

ทิพยสมบัติมิใช่อัตตาตัวตน ที่เราท่านจะยึดถือหวงแหนเอาไว้ได้ ด้วย เหตุ
นี้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงตรัสย้ำเป็นคำสุดท้าย ก่อน ปรินิพพานว่า
ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความ ไม่ประมาทนั้น คือควร
ระลึกถึงกุศลกรรมที่ตนได้กระทำมาดีแล้วและ พากเพียรกระทำต่อไป มิให้ขาด
สวรรค์ก็ดี วิมาณก็ดี ล้วนเกิดขึ้น มีขึ้น ด้วยอำนาจของจิตที่เป็นกุศลธรรมส่ง
เสริมให้เป็น เช่นนั้น จิตเป็นนามธรรม ไม่มีรูปที่จะประกอบกรรมดี หรือชั่วได้
อย่าง มนุษย์ แต่จิตก็ใช่ว่า จะบริจาคทาน รักษาศีล เจริญสมาธิไม่ได้

แม้…มนุษย์เองก็ได้อาศัยจิตทำให้กายกระทำ ตามที่ตนปรารถนา ฉะนั้นท่านที่
เป็นเทวดาทั้งหลาย พึงใช้จิตบริจาคทาน ใช้จิตรักษาศีล ใช้จิต เจริญสมาธิเถิด
การบริจาคทานด้วยจิต   ก็คือให้ความกรุณา ให้ความเมตตาแก่   สรรพสัตว์ทั้ง
หลาย ผู้ใดมีทุกข์ ก็พึงอธิษฐานให้เขาพ้นทุกข์ เอาจิต ช่วยเขาให้เป็นสุข ผู้ใด
ผิดหวัง ก็เอาจิตช่วยให้เขาสมหวัง ซึ่งนับได้ว่า เป็น ทานบารมีอันยิ่งใหญ่

ศีลก็ย่อมรักษาได้ด้วยจิต ระลึกถึงศีลที่ทำให้เป็นเทวดา ก็จะเห็นได้ ว่า เพราะ
มีเมตตาละเว้นจากการฆ่า เบียดเบียนสัตว์อื่น เพราะมีเมตตาไม่ กล่าววาจา
ให้เขาหลงผิด กระทำในสิ่งผิด เพราะมีเมตตาไม่ทำผู้อื่นเศร้า เสียใจต้อง
การละเมิดลูกเขา ผัวเขา เมียเขา เพราะมีเมตตาไม่ถือเอาทรัพย์สินที่เจ้าของ
เขาหวงแหน ได้มาด้วยความทุกข์ยาก เพราะมีเมตตาต่อตนเอง ไม่เสพของมึน
เมา เช่น สุรา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษ ต่างๆ ดังนี้ จึงเป็นศีล

จิตของท่านเป็นกุศลจิต จึงนับว่าได้รักษาศีลไว้โดยสมบูรณ์ สมาธิก็คือทำจิตให้
ตั้งมั่น อะไรที่เป็นอุบายให้จิตตั้งมั่นเล่า ก็คือการ ตามระลึกถึงอนุสติ ๑๐ อย่าง
ใดอย่างหนึ่ง มีนึกภาวนาถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า เป็นต้น จิตภาวนาคำว่า
พุทโธ ให้เป็นอารมณ์จิตอยู่สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง กุศลธรรมก็จะสูงขึ้นไปเป็นลำดับ
เมื่อหมดบุญกุศลที่ทำให้เป็นเทวดา บุญแห่งการเจริญศีล เจริญ ภาวนา ก็จะมา
เพิ่มเติมให้คงความเป็นเทวดาต่อไปอีก เมื่อพ้นจากเทวดาไปแล้ว ก็อาจไปจุติใน
มนุษย์โลก ในที่ดีมีสุข ได้ปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา เกิดปัญญาญาณ
รู้แจ้งนิพพานต่อไป

เมื่อท่านผู้เป็นเทวดาได้ตระหนักชัดว่า ความเป็นเทวดานั้น ยังเป็น โลกียสมบัติ
ซึ่งเป็นสิ่งสมมติ ไม่คงทนถาวร เสื่อมได้ หมดได้ สิ้นไปได้ ก็จงอย่ามีความประมาท
เวลาในสวรรค์แม้จะยาวนานกว่าโลกมนุษย์ ถึงร้อยเท่าพันเท่า จะพ้นจากไตร
ลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้น ไม่ได้ สิ่งสมมติทั้งหลาย เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ
จงขวนขวายละสมมติ ไปสู่วิมุตติเถิด จึงจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

ข้าพเจ้า ได้อาราธนาธรรมคำสอนขององค์พระสัมมา สัมพุทธเจ้า มาเพื่อเป็นข้อระลึก
แด่ท่านผู้เป็นเทวดาพอสมควรแล้ว ขอเจริญพรแผ่เมตตาให้ท่านทั้งหลายอย่ามีทุกข์
เดือดร้อน อย่ามีภัยอันตราย ใดๆ อย่าเป็นผู้มีเวรมีกรรมต่อกันเลย จงเป็นสุข…เป็นสุข
ตามกุศลกรรม ของตนเถิด” เทวดาทั้งหลายกล่าว สาธุการ แล้วเสด็จกลับไปยังวิมาน
ของตน……..

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีสายฝนโปรยปรายลงมา พวกเราก็คิดว่าคงจะตกไม่หนักอาจ
เป็นเทวดาปะพรมน้ำมนต์ แต่ที่ไหนได้กับตกหนักลงเรื่อยๆ ท่านอาจารย์ชากล่าว
ว่าให้พวกเราเข้าเต้นท์ที่พักกันดีกว่า เมื่อฝนหยุดแล้ว ค่อยออกมาเพื่อปฏิบัติ นั่งสมาธิ
ภาวนากันต่อไป………………..

ฝนเริ่มตกตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท่านอาจารย์ชาจึงเพ่งดูด้วยทิพย
จักษุญาณจึงทราบว่าเป็นไปด้วยฤทธิ์ของพญามาร นี่ขนาดแค่ส่งลูกน้องมานะ…..
เพราะว่าผืนป่าอาถรรพ์แห่งนี้ จะมีระยะเวลาเป็นช่วงๆ ช่วงระยะเวลาใดของเทวดา
ช่วงระยะเวลาใดของมารและอสูร ท่านอาจารย์ชายังบอกอีกว่า พวกมารนี้มันคอย
จ้องที่จะขัดขวางการ บำเพ็ญความเพียรและการกระทำความดีต่างๆของมนุษย์และ
เล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่าในผืนป่าแห่งนี้ไม่เคยมีใครพักค้างแรมอยู่ได้ เคยมีพระธุดงค์
4 รูป มาปักกลดพักค้างแรม ณ.ผืนป่าแห่งนี้ ได้เสียชีวิต 3 รูป รอดชีวิตออกมาได้
1 รูป เแต่เป็นบ้าและเสียสติ

พวกเราเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าดังกล่าวจบแล้ว ก็หาได้มีความเกรงกลัวอันใดไม่ แต่กับนั่ง
สมาธิกันอยู่ภายในเต้นท์ของแต่ละคน ข้าพเจ้าผู้เขียนอยู่เต้นท์เล็กคนเดียวและรับ
น้ำฝนไม่ไหว เต้นท์เกิดรั่ว จึงได้ไปอาศัยอยู่เต้นท์ของพี่บัติ ซึ่งเป็นเต้นท์ขนาดใหญ่
สามารถนอนได้สี่ถึงห้าคน ซึ่งภายในเต้นท์มีพี่บัติ ข้าพเจ้าและท่านอ้วน
ต่อมา…..ได้ยินท่านอาจารย์ชา สวดมนต์เสียงดังลั่นสนั่นป่า พร้อมสลับกับพระ
ธรรมเทศนา ฝนที่ตกเริ่มซาๆลงบ้าง………..

แต่สักพักนึง………ก็เริ่มตกหนักอีก พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำราม….. ตูม…บึม…บึม…
บึม เสียงดังสนั่นหวั่นไหว….อย่างกับระเบิดไดนาไมค์….
น้ำในลำห้วยก็เริ่มไหลแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งค่อยๆเออท่วมเต้นท์ที่พักของพวกเรา…
ท่านอาจารย์ชาจึงบอกว่าพวกมารพยายามจะให้น้ำท่วมพัดพวกเรา…และเพื่อที่จะขับ
ไล่พวกเรา…ให้ไปเสียจากที่นี่…..เพื่อจะบำเพ็ญความเพียร…ไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้
ขณะนั้นข้าพเจ้าดูนาฬิกา เวลาประมาณ เที่ยงคืนเกือบจะตีหนึ่งแล้ว

ท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…จึงตกลงที่จะย้าย…แต่ไม่ได้ย้ายหนีออกจากป่า…เพียง
ย้ายจากจุดนั้น ไปหาที่จุดที่สูงกว่า ซึ่งอยู่ใกล้ติดกับต้นไม้ใหญ่และเพื่อหลบทางน้ำ
พวกเรา…จึงช่วยกันขนย้ายเต้นท์กันแบบทุลักทุเล

หลังจากนั้น………เมื่อเสร็จแล้วพวกเรา…ก็เข้านอนกันด้วยความอ่อนเพลียและได้ยิน
เสียงท่านอาจารย์ชา สวดมนต์อีกเป็นระยะๆ ส่วนตัวของข้าพเจ้า…นั้นเมื่อได้ยินท่าน
อาจารย์ชา สวดมนต์คราใดก็จะลุกขึ้นมานั่งสมาธิ เป็นระยะๆเหมือนกันครานั้น….

จนกระทั่งเสียงสวดมนต์เงียบไป ข้าพเจ้าก็ได้งีบหลับไปแบบหลับๆตื่นๆเพราะนอนไม่
ค่อยหลับ จะได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่รอบๆเต้นท์ของพวกเรา…ตลอด ส่วนฝนนั้น
ก็ยังคงตกอยู่พร้อม กับเสียงน้ำไหลเชี่ยวกราก ทั้งคืน

จนกระทั่งรุ่งเช้า ได้ยินเสียงท่านอาจารย์ชา สวดมนต์พร้อมกับพระธรรมเทศนา และคำ
ประกาศชัยชนะต่อพวกมาร…ที่พวกเราหมู่คณะบำเพ็ญความเพียรได้เป็นผลสำเร็จ
ข้าพเจ้าจึงได้ตื่น…ลุกออกจากเต้นท์มาล้างหน้าแปรงฟันที่ลำห้วย ก็แลดูน้ำในลำห้วย
ดูปกติดี ต่างจากเมื่อคืนลิบลับ
หลังจากนั้นพวกเรา…ก็ช่วยกันเก็บเต้นท์….
พร้อมกับสัมภาระต่างๆ…ต้มน้ำร้อนดื่มกาแฟและกินมาม่าคัพกัน

เมื่อเสร็จแล้วท่านอาจารย์ชา…ก็กล่าวนำพวกเรา…เพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้า
ที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาเทวดาอารักษ์ที่สิงสถิตย์อยู่ตามต้นไม้ใหญ่ ที่ช่วยดูแลคุ้มครอง
พวกเรา…เมื่อคืนนี้

หลังจากนั้นท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…ก็เดินทางกลับออกจากผืนป่าแห่งนั้นโดยเดิน
ทางกลับกันทางเดิมและต้องลอดรูทีละคนสู่ถ้ำวังนายพุด และเมื่อถึงหน้าถ้ำแล้วได้ร่วม
กันถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึกตามภาพนี้





ทั้งสองภาพ…พวกเราหมู่คณะ 14 ชีวิตที่ร่วมผจญภัยในวันนั้น

เมื่อเดินทางกลับถึงบ้าน…จุดที่พวกเราได้จอดรถไว้ ก็ได้มีชาวบ้านละแวกนั้นนั่งสนทนา
กันอยู่สี่ถึงห้าคนและกล่าวทักทายท่านอาจารย์ชาว่า เมื่อเวลาท่านอาจารย์ชากลับมา
ณ.สถานที่แห่งนี้และเข้าไปในป่าแห่งนั้น จะทำให้มีฝนตกหนักทุกที จนชาวบ้านไม่ได้
กรีดยางพารากัน และท่านอาจารย์ชาได้ถามชาวบ้านว่าช่วงนี้มีน้ำผึ้งป่าแท้ขายมั้ย!!!
ชาวบ้านตอบว่ามี ขวดละ 600 บาท จึงได้สั่งซื้อไปทั้งสิ้นจำนวน 5-6 ขวด

ต่อมา…พวกเรา…ก็เดินทางกลับมาที่วัดวังหอน ท่านอาจารย์ชาได้นำแบบแปลนที่จะ
สร้างเมรุเผาศพให้กับกรรมการวัดเพื่อที่จะให้ทางผู้รับเหมาคิดราคาและเสนอราคาค่า
ก่อสร้าง
ต่อมาท่านอาจารย์ชาและพวกเรา…ก็ขึ้นไปที่มณฑป…เพื่อกราบลา ตาหลวงแสง



มณฑป ตาหลวงแสง วัดวังหอน


ท่านอาจารย์ชาก็ได้นำธาตุกายสิทธิ์ของแต่ละคนให้ตาหลวงแสงเสกให้ โดยท่านอาจารย์
ชานำวางไว้บนฝาโลงแก้วแล้วกล่าวว่า ตาหลวง ตาหลวงลูกหลานได้ของดีมาจากในถ้ำ
ตาหลวงช่วยเสกเป็นสิริมงคลให้หน่อย สักครู่นึงก็เป็นอันเสร็จพิธี

ต่อมาพวกเราได้แวะที่บ้านนายพรานนำทางชื่อคุณสุนัย เพราะแกเคยบอกไว้ว่า ก่อนจะ
กลับกันให้แวะที่บ้านแกก่อน แกจะให้ดูรูปเหมือนฤาษีโบราณ ที่ขุดได้หลังวัด พ.ศ.หนึ่ง
พันสองร้อยกว่าปี ที่บ้านแก

และดูเหล็กไหลชนิดต่างๆ แกมีเยอะ ครบร้อยแปดชนิด ประเภทตอนที่แก
ได้มามีขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือปัจจุบันใหญ่หนักสองกิโลก็มี…

เมื่อไปถึงบ้านนายพรานนำทางแล้ว แกก็นำเหล็กไหลชนิดต่างๆมาให้พวกเราชมกันมีทั้ง
เหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลสายฟ้า และอื่นๆอีกมากมายพร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณ
ความสามารถพิเศษของเหล็กไหลชนิดต่างๆ จนมาถึงสรรพคุณของเหล็กไหลสายฟ้าว่า
สามารถควบคุมเหล็กไหลทุกชนิดได้ เมื่อเหล็กไหลชนิดใดอยู่ใกล้จะสำแดงฤทธิ์ไม่ได้
ต้องขออนุญาตจากผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลสายฟ้าก่อน และได้ให้พี่ตูนเลือกเหล็กไหล
ไปหนึ่งชิ้น บอกว่าเป็นส่วนยอดของเหล็กไหลชนิดที่พี่ตูนได้ และบอกอีกว่าของแก
เมื่อมีเหล็กไหลครบทุกชนิดแล้วจำเป็นต้องแบ่งๆให้คนอื่นๆที่มีบุญบารมีบ้าง ไม่งั้นจะร้อน

ต่อจากนั้นมาแกก็นำเหล็กไหลสายฟ้าเก็บใส่กล่องไว้บนหิ้ง……..
หลังจากนั้นแกก็นำรูปเหมือนฤาษี ที่แกขุดพบที่บริเวณหลังวัดเป็นเนื้อโลหะ มาให้ชม
รู้สึกว่าท่านอ้วนดูแล้วชอบอยากจะขอเช่า จากคุณสุนัย

นายพราน…แกบอกว่ามาช่วยสร้างเมรุเผาศพที่วัดวังหอนให้เสร็จแล้วแกจะให้…
ต่อจากนั้นคุณสุนัย…ก็ถามว่าใครที่ยังไม่ได้ของดีบ้าง แกจะให้ แล้วแกก็หยิบเพชรหน้าทั่ง
มาแจกคนที่ไม่ได้ของดีจากในถ้ำคนละชิ้น และก้อนแก้วขนเหล็กหนึ่งก้อนให้ไปตัดแบ่งกัน
สิบสี่คน



ก้อนแก้วขนเหล็กที่คุณสุนัยให้มา


หลังจากนั้นก่อนจะกลับท่านอาจารย์ชาได้ขอจับมือคุณสุนัยนายพรานและพูดขึ้น
ว่า” ขอบคุณมากนะ” แล้วนำเหล็กไหลสายฟ้าออกมาโชว์ให้กับพวกเรา…ดูที่หน้าประตูบ้าน
ต่อเมื่อนายพรานคุณสุนัย เห็นเข้าก็ตกใจ นึกว่าท่านอาจารย์ชา แอบหยิบของแกไปเพราะว่า
เหล็กไหลชิ้นนี้แกหวงมาก ไว้เป็นตัวคุมเหล็กไหลทุกชนิดด้วย แกจึงเรียกท่านอาจารย์ชาให้
นำเข้ามาดูใกล้ๆ และได้หยิบกล่องที่ใส่เหล็กไหลสายฟ้า ออกมาดู ปรากฏว่าของแกยังอยู่

ครบเหมือนเดิม เมื่อได้นำมาเทียบกันผลปรากฏว่ารูปร่างลักษณะเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด
(รูปร่างเป็นแท่งยาวคล้ายสากตำข้าว) พวกเรา…ก็เห็นกันทุกคน คุณสุนัยแกก็เลยยิ้มแบบ
เจือนๆ และกล่าวว่าทุกคนที่ได้ของดีจากในถ้ำคนธรรพ์นั้นเมื่อกลับไปกรุงเทพฯแล้วให้ไป
ไหว้และทำบุญที่วัดพระแก้วมรกต เพื่อเป็นสิริมงคลและจะได้ของดีตามมาอีกเรื่อยๆ
และพวกเรา…ก็ได้ร่ำลาคุณสุนัยนายพรานแห่งหมู่บ้านวังหอนเพื่อเดินทางกลับอำเภอ
ทุ่งสง เพื่อไปส่งท่านอาจารย์ชาที่บ้านต่อไป

เมื่อเดินทางมาถึงบ้านท่านอาจารย์ชาแล้ว พวกเรา…ก็แวะทานอาหารที่ตรงข้ามบ้านท่าน
อาจารย์ชา ระหว่างรอกับข้าวและเครื่องดื่มอยู่นั้น ก็ได้สนทนาพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ที่
พวกเรา…ได้ประสบพบพานกันมา จนมาถึงเรื่องเหล็กไหลสายฟ้าว่าท่านอาจารย์ทำอย่างไร
ถึงมีขึ้นมาได้ ท่าน…บอกว่าแสดงฤทธิ์ให้นายพรานนำทางเห็น บ้างว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าและ
ได้อธิษฐานถามเหล็กไหลสายฟ้าแล้วว่าสามารถแยกตัวออกได้มั้ย กับตอบมาว่าได้ ก็เลย
ลองให้แยกดู แต่มีความคิดว่า สักวันสองวัน ก็จะให้กลับไปที่บ้านนายพรานดังเดิม

เมื่อสนทนากันไปสักพักนึง ท่านอาจารย์ชาก็เริ่มมีไอเดียว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าให้ทุกคนมาเริ่ม
ประมูลกันว่าใครจะได้เป็นเจ้าของเหล็กไหลสายฟ้า แต่ไม่ได้ประมูลตีค่าเป็นเงินตรา…..
ให้ประมูลกันด้วยศีล โดยให้เริ่มต้นถือศีลห้าให้บริสุทธิ์ เริ่มต้นประมูลที่ถือศีลสองวันก่อน
แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่บัติเป็นคนยกมือเอาเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ไม่มีใครอยากจะ
ประมูลแข่ง เพราะว่าบางคนก็ได้ของดีมาบ้างแล้ว จึงอยากให้พี่บัติได้เป็นเจ้าของบ้าง



เหล็กไหลสายฟ้าที่ท่านอาจารย์ชาโคลนนิ่งมา


หลังจากนั้นเมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเรา…ก็กราบลาท่านอาจารย์ชาและก็แยก
ย้ายกันเดินทางไปภูเก็ตบางส่วนยะลาบางคนและกรุงเทพมหานคร



โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไป ภาค 3 รวมธาตุกายสิทธิ์…ที่วัดพระแก้วมรกต

10
ประสบการณ์ลี้ลับ…ภาค 1…ถ้ำคนธรรพ์
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์จริงของผู้เขียน (กระเบนท้องน้ำ)
เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2554
ณ.บ้านวังหอน อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช


เริ่มต้นออกเดินทางจากอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เวลาประมาณ 09.35
ด้วยพาหนะรถยนต์สามคัน สิบสี่ชีวิต ลัดเลาะวิ่งไปตามเส้นทางทุ่งสง-กะปาง
ก่อนถึงอำเภอกะปาง จังหวัดตรัง เพียงเล็กน้อย เราก็เลี้ยวซ้ายไปทางบ้านวังหอน
ตำบลวังอ่าง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช

ได้ไปถึงที่วัดวังหอนเป็นที่แรก พวกเราหมู่คณะนำโดยท่านอาจารย์ชา
ได้ขึ้นไปกราบขอพร ตาหลวงแสง ธมมฺสโร อดีตเจ้าอาวาสองค์แรก
บนมณฑป ตาหลวงแสง ธมมฺสโร ท่านนอนอยู่ในโลงแก้ว
สรีระร่างกายตาหลวงไม่เน่าไม่เปื่อย แต่กับแข็งเสมือนหิน


สรีระสังขารตาหลวงแสง วัดวังหอน

เสร็จแล้วพวกเราหมู่คณะได้ออกเดินทางไปยังบ้านของอดีตผู้ใหญ่บ้านวังหอน
ซึ่งเป็นญาติๆ ของท่านอาจารย์ชา ได้นำรถยนต์มาจอดไว้ที่บ้านหลังนี้
และได้คุณสุนัยชาวบ้านละแวกนั้นเป็นคนนำทางสู่ถ้ำคนธรรพ์ ส่วนชาวบ้าน
คนอื่นๆในละแวกนั้นไม่ค่อยมีใครอยากจะไปถ้ำคนธรรพ์กัน เพราะแหยงๆ
กลัวความอาถรรพ์ของถ้ำ

แล้วเริ่มออกเดินทางโดยที่ยังไม่ต้องนำเต้นท์และสัมภาระต่างๆไป
ด้วยเพราะท่านอาจารย์ชา จะพาไปเที่ยวที่ถ้ำคนธรรพ์กันก่อน
แล้วค่อยย้อนกลับมาขนเสบียงเต้นท์และสัมภาระ เพื่อที่จะไปค้าง
ที่ถ้ำวังนายพุดหรือในป่าอาถรรพ์ ท่านอาจารย์ชาบอกว่าให้ลองไป
ดูสถานที่กันก่อนแล้ว ค่อยตกลงกันว่าจะพักค้างตรงไหนดี
เพราะถ้าพักค้างกางเต้นท์ภายในถ้ำวังนายพุดก็จะไกล
จากแหล่งน้ำและห้องน้ำที่มีหมื่นกว่าไร่

อีกทั้งยังต้องขึ้นลงเขาที่สูงชันทำให้ไม่สะดวก พวกเราจึงได้ตก
ลงกันที่จะพักค้างในป่าอาถรรพ์(โดยที่ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นป่าอาถรรพ์)
เพราะท่านอาจารย์ชายังไม่บอกและยังไม่ได้เล่ารายละเอียด


เริ่มออกเดินทางกัน….(คนที่หันหน้ามาคือน้องเก๋ สาวสวยประจำทริปนี้)


นายพรานนำทางชื่อคุณสุนัย

ในระหว่างการเดินทางระยะแรกก็ผ่านลำห้วยที่หนึ่งมาก่อน ผ่านสวนยางพารา
และก็มาเจอลำห้วยที่สอง พอพ้นจากนั้นก็เริ่มขึ้นเขาบุกป่า ถางกิ่งไม้ใบหญ้า
ไปตลอดทางเพราะเป็นทางรกไม่มีผู้คนสัญจร เมื่อเดินได้สักระยะนึงนายพราน
นำทางก็พามาเจอทางตันไม่มีปากถ้ำมีแต่หน้าผาหิน
ท่านอาจารย์ชา เลยนำไปอีกทางโดยมีผู้เขียนตามไปเป็นคนที่สอง
และได้เดินไปพบปากทางเข้าถ้ำคนธรรพ์จนได้
พวกเราหมู่คณะก็เดินแบบเรียงหนึ่งตามๆกันไป จนครบสิบห้าชีวิต
(รวมทั้งนายพรานนำทางด้วย)


พวกเราเดินป่าแบบเรียงหนึ่งตามๆกันไป


พี่บัติกำลังนำกิ่งไม้มาให้เกาะยึดระหว่างที่จะลงสู่ลำห้วย


พี่ต๋อยกำลังช่วยพยุงท่านอ้วนลงสู่ลำห้วย


บริเวณปากทางเข้าถ้ำคนธรรพ์

เมื่อพักเหนื่อยและพักอิริยบทที่บริเวณปากทางเข้าถ้ำพอสมควรแล้ว
ท่านอาจารย์ชา ก็ได้จุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าถ้ำ

หลังจากนั้นก็เริ่มเดินทางเข้าสู่ภายในถ้ำซึ่งมืดมาก ด่านแรกที่พบคือ
ค้างคาวจำนวนเป็นแสนๆตัว บินสวนออกมาเสียงดังสนั่นอย่างกับเฮลิ
คอปเตอร์ พร้อมทั้งกลิ่นเหม็นตลบอลอวล ของขี้ค้างคาว ทำให้รู้สึก
แสบจมูกแทบหายใจไม่ออก

ด่านที่สองเจองูเหลือมขนาดเท่าขา 3 ตัว บริเวณริมฝั่งซ้ายของถ้ำ
หัวบอลลูกชายท่านอาจารย์ชาคนที่สองได้ร้องบอก พวกเราหมู่คณะ
ให้พยายามเดินชิดทางด้านขวากัน

เมื่อผ่านพ้นด่านงูไปแล้วก็พบเจอด่านที่สาม กับทางที่ลื่นมากพากัน
ล้มลุกคลุกคลานกันไม่เป็นขบวน เพราะพื้นถ้ำเต็มไปด้วยดินโคลน
และหุบเหว หลุมบ่อมากมาย ต้องค่อยๆเดินกันไป อย่างมีสติ
และคอยระวังตัว จนกระทั่งนายพรานนำทางพามาถึงทางตัน
ไม่มีทางไปแล้ว (แต่ก่อนนี้เคยเป็นทางไปได้)
เลยเดินย้อนกลับมาหน่อยนึง จึงได้พบทางแยกด้านซ้าย
เมื่อเดินไปได้ซักระยะนึงก็พบกับบริเวณด่านที่สี่
ซึ่งบริเวณนี้เป็นคนละเรื่องกับด่านต่างๆที่ผ่านมา
พื้นถ้ำสะอาดสะอ้านมีน้ำใสขังอยู่เทียมตาตุ่ม บาง
ช่วงถึงหัวเข่า อากาศไม่อับชื้น รู้สึกสบายๆ

จนกระทั่งตุ่มแฟนพี่ตูนรู้สึกว่าได้เหยียบอะไรเข้าลื่นๆ ท่านอาจารย์ชา
ที่เดินตามหลังมาก็ช่วยส่องไฟฉายดูที่พื้นให้ เพราะเห็นแสงสีแดงๆ
สะท้อนขึ้นมาจะดูว่าคืออะไรเมื่อท่านอาจารย์ชาเห็นแล้วก็เลยไล่ตะครุบ
มันก็วิ่งหนีไป หนีมา เหมือนมีชีวิต จับได้แล้วก็กระโดดทะลุฝ่ามือออกมา
พี่บัติและเก๋ก็ได้เข้ามาช่วยกันจับ เมื่อเก๋ได้ยื่นมือจะช่วยเท่านั้นเอง
มันก็วิ่งเข้ามาอยู่บนฝ่ามือเก๋อย่างสงบนิ่ง ช่างน่าแปลก ท่านอาจารย์ชา
เลยบอกว่าคงอยากจะอยู่กับเก๋เป็นแน่…

จึงได้ส่องไฟดูปรากฏว่ามีรูปร่างกลมรีขนาดใหญ่เท่าหัวแม่มือของผู้เขียน
มีสีแดงเข้มสวยงามมาก (ตามรูป)


ธาตุกายสิทธิ์ที่ได้ชิ้นแรก

หลังจากนั้นท่านอ้วนก็ได้ชิ้นที่สองในน้ำอีก อยู่ใกล้ๆกับบริเวณที่พบ
กับชิ้นแรก ตอนแรกที่ได้มีลักษณะคล้ายสี่หลียมลูกเต๋า
มีสีดุจสีสังข์หรือน้ำนม ต่อมาค่อยๆเริ่มมีความโค้งมนขึ้นมาบ้าง

หลังจากนั้นพวกเราในหมู่คณะก็เริ่มมีกำลังใจและเริ่ม
ส่องไฟและกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อเสาะหาของแปลกๆกันบ้าง
และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวบอลร้องเรียกขึ้นมาจาก
ด้านหน้าว่า “อาจารย์ๆมาดูเหล็กไหลเร็ว “ เร็วเข้า พวกเราจึงได้
กรูกันตามเข้าไปดู จึงได้เห็นเหล็กไหลเป็นครั้งแรก
ซึ่งโผล่ออกมาจากรังผนังถ้ำ ก้อนใหญ่เท่ากำปั้นได้ บริเวณโดย
รอบตัวเหล็กไหลมีลักษณะตะปุ่มตะป่ำและขี้เหล็กไหลเต็มไปหมด

พวกเราก็เลยทดลองดึงกันดูว่าจะหลุดออกมาจากรังมั้ย ลองกันหลาย
คนแต่ไม่สามารถดึงออกมาได้จึงได้หมดความสนใจลง
และเริ่มเดินทางกันต่อไป

จนกระทั่งพี่ตูนได้เดินไปพบชิ้นที่สามเข้าให้คราวนี้เป็นเหล็กไหลอีก
แต่ทีนี้ตัวเล็กอยู่ในรัง จึงได้ร้องเรียกท่านอาจารย์ชา
ให้ไปช่วยเอาออกให้หน่อย อาจารย์ชาจึงลองสะกิดดูเพียงเล็กน้อย
ก็หลุดออกมาจากรังอย่างง่ายดาย (อันนี้เค้าคงจะให้มั้ง)

หลังจากนั้นพี่ตูนกับตุ่มก็พบชิ้นที่สี่อีกเป็นเหล็กไหลเหมือนกันแต่โต
กว่าชิ้นแรกคงเป็นตัวผู้หลังจากได้ตัวเมียแล้ว

จากนั้นเมื่อเดินลึกเข้าถ้ำไปเรื่อยๆ ก็ไปพบกับรอยเท้าของคนธรรพ์
และผนังถ้ำที่ดูสวยงามแลดูเสมือนห้องหับห้องนอนอัน
วิจิตรงดงาม เสมือนมีใครบรรจงมาตบแต่งเอาไว้





รอยเท้าคนธรรพ์…สังเกตุดูจะมีนิ้วเท้าสี่นิ้ว

ต่อมานายพรานนำทาง บอกว่าเห็นทีคงจะพอแค่นี้ เพราะเดินทางอยู่
ภายในถ้ำก็สามชั่วโมงแล้ว เดินต่อไปถ่านไฟฉายคงไม่พอเป็นแน่
พวกเราหมู่คณะจึงเห็นพ้องกันว่าควรเดินกลับ จึงเริ่มหันหลังเดินทาง
กลับและเดินไปได้สักระยะนึง

คราวนี้!พี่นวลเป็นคนได้ชิ้นที่ห้า ท่านอาจารย์ชาก็เดินอยู่ใกล้ๆกันพอดี
พี่นวลได้พูดอยู่กับตุ่มว่าพี่ไปแล้วนะ… ตุ่มถามว่าพี่จะไปไหน พี่นวล
บอกว่าพี่จะไปเอาดวงตา…ดวงตา…

จึงได้เห็นอะไรแววๆอยู่ในน้ำ เมื่อได้หยิบขึ้นมาพอแบมือให้ท่านอาจารย์ชา
ดูปรากฏว่าชิ้นเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียวได้สีขาวใส แล้วค่อยๆโตขึ้น โตขึ้น
เป็นกลมใสเหมือนดวงตาจริงๆ ต่อหน้าต่อตาท่านอาจารย์ชา
จึงเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก


บริเวณใกล้ๆที่พบธาตุกายสิทธิ์….ลักษณะเหมือนดวงตาของปลา ใสเหมือนแก้ว



หลังจากนั้นข้าพเจ้าผู้เขียนก็ลองตริตรองดูว่า…เอ๊ เห็นทีต้องลองอธิษฐาน
ขอดูบ้างถ้าอยู่เฉยๆคงไม่ได้เป็นแน่ เพราะใจนึงก็อยากจะได้กับเขาบ้าง
เห็นได้กันหลายคนแล้ว อีกใจนึงก็รู้สึกเฉยๆเพราะไม่อยากได้อะไรอยู่แล้ว

จึงลองเสี่ยงอธิษฐานว่า
“ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ณ.สถานที่นี้จะมาเป็นคู่บารมีเพื่อบำเพ็ญประโยชน์สร้าง
บารมีและสืบทอดพระพุทธศาสนากับข้าพเจ้าละก้อขอให้ปรากฏและข้าพเจ้า
ได้พบเจอด้วยเถิด”

หลังจากนั้นก็เดินทยอยออกตามกันมาจนพ้นเขตด่านที่สี่ ซึ่งหมดพื้นที่ที่น้ำขัง
อยู่ ข้าพเจ้าก็ทำใจแล้วว่าคงจะไม่พบ หรือได้อะไรเป็นแน่แล้ว !

..……………..แต่เดชะบุญ!!! จู่ๆท่านอาจารย์ชาที่กำลังเดินอยู่หน้าข้าพเจ้า
ก็พูดออกมาว่ามีเทวดาสื่อมาบอกว่า “ยังมีอีกหนึ่งชิ้น”
ให้ไปล้วงหาในแอ่งน้ำสุดท้าย ก่อนที่จะหมดเขตแดนที่มีน้ำขังอยู่
ท่านอาจารย์ชาจึงเดินย้อนกลับไปล้วงหาในแอ่งน้ำนั้น โดยนึกว่า
คงบอกให้แกแน่แล้ว แต่หาเท่าไรๆก็ไม่พบ
พวกเราหมู่คณะได้ตามไปช่วยหา จึงได้ตกลงกันว่า
ให้ผลัดกันล้วงถ้าผู้ใดล้วงพบก็ให้เป็นของคนนั้น

ก็มีท่านอาจารย์ชาล้วงคนแรกไม่พบ คนที่สองเก๋ ก็ไม่พบ
คนที่สามพี่ต๋อยไม่พบ คนที่สี่ปังปอนลูกชายท่าน
อาจารย์ชาคนโต ไม่พบ คนที่ห้าพี่นวลก็ไม่พบ
คนที่หกมุกภรรยาท่านอาจารย์ชาไม่พบ คนสุดท้ายข้าพเจ้า
ก็ลองล้วงควานหากับเค้าบ้างเพราะว่าในแอ่งน้ำนั้นขุ่น
จนมองไม่เห็นอะไรแล้ว
ล้วงหาสักพักจนทั่วแล้วก็ไม่พบ แอ่งน้ำนั้นก็ใช่ว่าใหญ่
มากมายอะไรนัก จึงขอลองล้วงดูใหม่อีกสักครั้ง
คราวนี้ทำจิตนิ่งเป็นสมาธิ ก็ดูเหมือนไม่น่าจะมี
แต่จู่ๆก็มีอะไรไม่รู้ลื่นๆนิ่มๆเหมือนน้ำมันตับปลา
มาลอยอยู่ในฝ่ามือจึงกำและหยิบขึ้นมาดูและให้ท่านอา
จารย์ชาดู มันจึงค่อยๆแข็งขึ้นๆ ลักษณะกลมรีมีสีม่วงสดใส


บริเวณน้ำแอ่งสุดท้ายที่กำลังล้วงหาของกัน


ธาตุกายสิทธิ์ชิ้นสุดท้ายที่ได้จากในถ้ำคนธรรพ์


รวมธาตุกายสิทธ์ที่ได้จากในถ้ำคนธรรพ์


เป็นภาพที่กำลังวัดร่องรอยที่ธาตุกายสิทธิ์หลุดหล่นจากมือของผู้ที่มาขอชมบารมี


เป็นภาพที่หล่นกระแทกกับมีดพร้าของนายพรานผู้นำทางเข้าพอดี……ผลปรากฏว่ามีดพร้าบิ่น
ตามร่องรอยที่เห็นดังกล่าว


หลังจากนั้นเมื่อเดินทางออกมาถึงหน้าถ้ำแล้ว ท่านอาจารย์ชา
ได้นำกล่าวคำอธิษฐาน ขออนุญาตนำสิ่งที่ได้ทั้งหมด ออกจากสถาน
ที่แห่งนั้น และได้เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนนั้นมีพวกหมอที่มีวิชาอาคม
มาทำพิธีเรียกของหาของ ได้ของแล้ว…ของนั้น
กับวิ่งเข้าตัวแล้วกระโดดลงเหวลงรูภายในถ้ำแห่งนี้ตายไปจำนวน
สามศพแล้ว แต่พวกเราที่ได้นี้ไม่ได้ใช้วิชาอาคมบังคับหรือ
ลองดีอะไรแล้วแต่เขาจะให้ และยังบอกอีกว่าอาจารย์ได้เข้าไปในถ้ำ
แห่งนี้สี่ครั้ง ลักษณะภายในถ้ำจะไม่เหมือนกันสักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่
ห้าแล้วที่เข้าไป สี่ครั้งที่เข้าไปจะเข้าไปได้ไม่นานก็จะ
ได้ยินเสียงระฆังตี เพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ให้เข้าไปแล้ว แปลกครั้งนี้
ไม่ยักกะมีเสียงระฆังเลย

หลังจากนั้นพวกเราหมู่คณะ ก็เดินทางกลับไปยังบ้านจุดที่จอดรถไว้
เพื่อกลับไปเอาเต้นท์เสบียงและสัมภาระต่างๆ เพื่อที่จะไปพักค้างที่ถ้ำวัง
นายพุดและป่าอาถรรพ์ต่อไป

รวมระยะเวลาที่เดินทางไปกลับ…..
ทั้งสิ้น 5 ชั่วโมงกว่า ระยะทางไปกลับประมาณ 3 กิโลเมตรกว่าๆ



โปรดคอยติดตามอ่านกันต่อไป ภาค 2 ถ้ำวังนายพุดและป่าอาถรรพ์

11

         



เป็นนิทานริมกองไฟเรื่องหนึ่งของชาวป่าที่ชาวกรุงผู้ห่างไกลสัมผัสเพียงคำบอกเล่า ส่วนใหญ่พวกพรานไปนั่งห้างยิงสัตว์ตอนกลางคืน หรือเข้าป่าลึกถึงจะมีสิทธิ์เจอ เล่ากันว่าเป็นเสือแก่ที่กินคนมามากจนสามารถจำแลงร่างได้ พอเหยื่อเผลอก็ตะครุบกิน ส่วนการแปลงร่างก็ทำได้ไม่จำกัด เป็นชายก็มี เป็นหญิงก็มี และที่แนบเนียนกว่านี้ก็คือแปลงเป็นพระธุดงค์ เพราะคนจะไม่ระแวงเอาเลย


        เรื่องราวของเสือสมิงมีบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสต้นไปถึงจันทบุรี เป็นที่รู้กันว่าทรงโปรดที่จะเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในหัวเมืองต่างๆ หลายจังหวัดด้วยกัน เพื่อจะได้ทรงเห็นทุกข์สุขของราษฎรได้ใกล้ชิดมากกว่าจะทรงรับรายงานจากทางราชการเพียงอย่างเดียว และอีกอย่างก็เป็นการแปรพระราชฐานเพื่อพระพลานามัยจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นด้วย



        เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ไปถึงจันทบุรี



        ตอนนั้นจันทบุรีเป็นป่าเสียมากกว่าเป็นเมืองและสวนผลไม้อย่างเดี๋ยวนี้ มีสัตว์ป่าชุกชุมทั้งช้าง ม้าป่า และเสือ โดยเฉพาะเสือถือว่ามีมากเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าทางกรุงเทพต้องการเสือก็ต้องมาดักเอาที่นี่ เพราะเป็นสินค้าที่ต่างประเทศต้องการมาก เพราะเหตุนี้ เจ้าเมืองจันทบุรีนอกจากจะต้องดูแลราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณแล้วยังมีหน้าที่คล้ายๆ รพินทร์ ไพรวัลย์ คือต้องคอยปราบเสือไม่ให้มารังควานชาวบ้านอีกด้วย



        ใน พ.ศ. ๒๔๑๙ เสือที่จันทบุรีอุกอาจมาก บุกเข้าไปในบ้านคนแล้วคาบคนในบ้านไปกินเสียดื้อๆ ขนาดในเมืองมันก็ยังไม่กลัว กล่าวกันว่าเป็นเสือแก่ที่ไม่ว่องไวพอจะวิ่งไล่จับสัตว์อื่นๆได้ ก็เลยเข้าบ้านมาจับคนกินแทนเพราะง่ายกว่า ทำเอาชาวเมืองจันท์ระส่ำระสายเสียขวัญกันไปทั้งเมืองแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน



        พระยาจันทบุรีเห็นเสือชักจะกำแหงก่อกวนคนมากเกินไปเสียแล้ว ก็ตัดสินใจเปิดศึกขั้นเด็ดขาดด้วยการประชุมพรานมือดีมาหลายคน แจกปืนให้ แยกย้ายกันออกไปล่าเสือ คนไหนไม่มีปืนก็ทำจั่นดัก ล่ากันเอาจริงเอาจังฆ่าเสือตายไปมาก ที่เหลือก็เตลิดหนีเข้าป่าลึก ทำให้ชาวบ้านหายขวัญเสียกลับมาทำมาหากินอย่างสงบได้อีกครั้ง



        เรื่องเสือจริงสงบลงไม่ทันไร ชาวบ้านก็เริ่มขวัญเสียกันใหม่เพราะมีข่าวเล่าลือเรื่องเสือสมิง ประจวบกับเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพอดี ในพระราชนิพนธ์ ทรงบันทึกไว้ว่า





"...ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิงกันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวเข้า กลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัวเข้า กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นเขาจะเอาลูกของเขา จึงมาเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบปะเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤๅมิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลับเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังไม่ทันกินคน รังควานทันเสียแล้ว ถึงจะทำวิธีที่บอกก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้"


อ่านแล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวงกัน เพราะดูๆแล้วอาจารย์คนนี้คิดน้ำมันทาตัวคนให้เป็นเสือขึ้นมาเพื่อประโยชน์อะไรก็ยังแปลกๆอยู่ แล้วเสือลูกศิษย์ทำไมวิ่งถึงข้ามชายแดนมาไกลขนาดนี้แทนที่จะอยู่ถิ่นเดิมในเขมร อีกอย่าง ในเมื่อตอนนี้เสือกินคนเสียแล้วกลับคืนร่างเดิมไม่ได้ อาจารย์จะทำอย่างไรก็ยังไม่มีคำตอบ พระเจ้าอยู่หัวท่านก็คงจะไม่ทรงเชื่อข่าวลือนี้เท่าไร เพราะทรงบันทึกต่อไปว่า



"...เหมือนเมื่อครั้งก่อนเรามาสัตหีบครั้งหนึ่ง น้ำจืดในเรือหมด ต้องเกณฑ์ให้ทหารขึ้นไปตักน้ำที่หนองบนบกไกลฝั่งประมาณ ๓ เส้น พวกชาวบ้านบอกว่าที่นี่มีเสือสมิงมาเที่ยวอยู่ พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์มาติดตามเวลากลางคืน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นตาลริมหนองน้ำนั้น คอยจะแก้ศิษย์ซึ่งกลับเป็นคน ในเวลานั้นก็ยังอยู่ พวกทหารพากันกลัว กลับมาเล่าจนเรารู้ เราอยากจะให้ไปตามตัวลงมาให้เห็นหน้าอาจารย์สักหน่อยหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกเสียแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ไปเสียจากสัตหีบ ท่านขรัวอาจารย์นั้นป่านนี้เสือมันจะเอาไปกินเสียแล้วฤๅอย่างไรก็ไม่รู้ "

 

 

เสือสมิงที่สำแดงร่างเป็นพระธุดงค์ได้นี้ เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วก็ยังเคยได้ยิน เป็นคำบอกเล่าของพระธุดงค์รูปหนึ่ง ว่าได้ธุดงค์ผ่านไปถึงสำนักสงฆ์ที่มีลักษณะวิเวกเปลี่ยวร้าง ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา

ครั้งแรกเห็นไกล ๆ นึกว่าไม่มีพระจำพรรษาอยู่เลย แต่ปรากฏว่า พอเข้าไปถึงจริง ๆ กลับมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่รูปหนึ่ง มีหน้าตาดุน่ากลัว อย่างที่เรียกว่าดุอย่างเสือ ! พูดจาด้วยสำเนียงฟังดูแปร่งหู ภายในสำนักสงฆ์วางข้าวของอัฐบริขารดูรกรุงรังไม่เป็นระเบียบ

พระหน้าดุรูปนั้นชวนให้พระธุดงค์จำวัดอยู่ด้วยกันในสำนักสงฆ์ โดยอ้างว่าแถวนี้เสือดุ แต่พระธุดงค์ปฏิเสธ บอกแต่ว่าตั้งใจจะขึ้นมาขออนุญาตปักกลดภาวนาอยู่ที่ลานกว้างด้านหน้า ถัดออกไปสักประมาณ 100 เมตร หลังจากพูดคุยกันอีกคำสองคำก็ลากลับ

พระธุดงค์เคยได้ยินมาเหมือนกันเรื่องพระกลายเป็นเสือสมิง โดยอธิบายไว้ว่า เสือบางตัว หรือคนที่เคยเล่นคุณไสยอย่างหนักจนกลายเป็นเสือบางคน บางครั้งชอบอวดวิชาด้วยการจองเวรขบกัดแต่พระธุดงค์ จนในที่สุด สามารถกลายร่างเป็นพระธุดงค์ได้ ! โดยใช้อาคมแก่กล้าของตน

แต่พระธุดงค์รูปที่กำลังเล่าถึงอยู่นี้ก็มีวิชาไม่เบา ท่านมีควายธนูทำด้วยไม้ไผ่ติดมาในย่าม เย็นนั้น พอปักกลดเสร็จ ก็โอมอ่านคาถาปลุกควายธนูของตน แล้ววางขวางไว้หน้ากลด อธิษฐานว่า 'ใครมุ่งร้ายจึงให้ราวี'

คืนนั้นได้เรื่อง ขณะที่พระธุดงค์นั่งภาวนาอยู่ในกลด ได้ยินเสียงควายธนูหายใจฝืดฝาด เดินวนเวียนรอบกลด สักพักได้กลิ่นสาบเสือโชยมาอย่างแรง จากนั้นฟังคล้ายควายธนูของท่านตะกุยดินทะยานไปข้างหน้า สู้กับอะไรบางอย่างอยู่ในที่มืด นานสัก 10 นาทีก็เงียบสนิท

ตอนเช้าท่านจึงออกจากกลดมาเก็บควายธนู ซึ่งก็ได้กลับมายืนนิ่งอยู่หน้ากลดเป็นที่เรียบร้อย ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร รอบบริเวณมีร่องรอยดินและหญ้าถูกตะกุยเหมือนสัตว์ใหญ่สองตัวสู้กัน

เมื่อพระธุดงค์ขึ้นไปบนสำนักสงฆ์เพื่อจะลาเดินทางต่อ ก็พบพระหน้าดุรูปนั้น นอนบอบอยู่บนเสื่อ ท่าทางอิดโรยเหมือนไม่ได้นอน จีวรบางแห่งมีรอยขาด แต่ยังแข็งใจพยุงตัวเองขึ้นเอ่ยปากชวนให้พระธุดงค์อยู่ต่ออีกคืน แต่พระธุดงค์ปฏิเสธ จากนั้นจึงอำลาเพื่อธุดงค์ไปยังที่แห่งอื่นต่อไป


ตำนานเสือสมิง

เป็นตำนานที่กล่าวขานกันมาแต่นมนาน ถึงความน่ากลัวของศาสตร์อาถรรพ์ ที่มีปรากฏเกิดขึ้นว่า เสือที่ดุร้ายและมักชอบจับคนกินเป็นอาหาร เมื่อกินคนมากเข้าวิญญาณคนที่เสือกินเข้าไปนั้น ก็อยู่สิงสู่ในกายเสือ ทำให้เสือตัวนั้นมีความเป็นอาถรรพ์ ที่สามารถจำแลงแปลงกายบิดเบือนตนเสือให้กลายเป็นใครต่อใครก็ได้ เพื่อเที่ยวหลอกล่อคนที่เป็นเหยื่อให้หลงกล ทำให้จับกินได้ง่ายขึ้น ครั้นยิ่งกินคนมากขึ้น วิญญาณก็ยิ่งสิงสู่ในตัวเสือมากเข้าเท่าใด เสือตัวนั้นก็ยิ่งมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ซึ่งเรื่องความเป็นมาของเสือมิใช่มีแต่เสือมันกินคนแล้วมันจะกลายเป็นเสือสมิงได้เท่านั้น มีอีกอย่างที่ทำให้เกิดความเป็นเสือสมิง คือ พวกที่เรียนวิชาเสือ คือการเรียกเอาวิญญาณเสือนั้นมาเข้าสิงในตน ผนวกกับคนผู้นั้นร่ำเรียนอาคมในทางเดรัจฉานวิชาด้วย เมื่อนานเข้า เกิดการรวมตัวในทั้งสองเรื่องที่กล่าว คือ ทั้งวิชาเรียกเสือ และอาคม ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นเสือสมิง ครั้นเสือตนนี้ได้ไปกินคนเข้า ก็กลายเป็นเสือสมิงโดยสมบูรณ์ มีเรื่องเล่าขานและค่อนข้างดังมาก เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว และดูเหมือนว่า กลายเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของประเทศ ว่า

มีชาวบ้านทางภาคเหนือได้รับความเดือดร้อนที่ว่า มีเสือตัวใหญ่เข้าไปทำร้ายคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งนั้น เป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวบ้านมาก จึงได้ไปขอความคุ้มครองจากทหารหน่วย ตชด. เพื่อเข้ามาดูแลความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน ฝ่ายทหารหน่วย ตชด. จึงส่งกำลังเข้าไปคุ้มครองและได้ล่าเสือตัวนั่นไปในตัว

กลางดึกคืนหนึ่งนั้นฝ่าย ตชด. ได้จัดกำลังตรวจตราหน่วยหนึ่ง และส่วนที่เหลือก็เข้าที่พัก บนศาลาที่จัดกันไว้ เป็นที่พักผ่อนนอนหลับ และในตอนดึกคืนนั้น ศาลาที่หน่วย ตชด. พัก เกิดสั้นไหวโยกเอน เมื่อทหารที่นอนตื่นกันลุกขึ้นมาดู กลับเห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ พิงสีตัวอยู่ที่โคนเสาศาลา ทหารกำลังหน่วยนั้นได้ยิงใส่เสือโคร่งใหญ่นั้น ทำให้เสือตัวนั้น บาดเจ็บและหายไปในความมืดนั้น ครั้นรุ่งเช้า หน่วยทหารจึงทำการติดตามแกะรอยเลือดเสือตนนั้นไป จากการติดตามรอยเลือดนั้นผลปรากฏว่า รอยเลือดนั้นไปสิ้นสุดที่หลุม เนินดินแห่งหนึ่ง แล้วไม่ปรากฏรอยเลือดนั้น ไปทางไหนอีก ทหารที่ติดตามนั้นเห็นเนินดินแล้วจึงตัดสินใจในความสงสัยกันบางอย่าง จึงขุดหลุมเปิดเนินดินนั้น เมื่อขุดไปลึกพอประมาณ ก็ต้องอึ้งกันไปทั้งหมด เพราะสิ่งที่เห็นในหลุมนั้นปรากฏว่า เป็นศพผู้ชายคนหนึ่งแต่ตัวท่อนล่างนั้นเป็นสภาพของเสื่อลายพาดกลอน ดูเหมือนว่า เป็นการกลายร่างจากเสือเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นเอง จากการถามที่มาของศพชายผู้นี้ ได้ความว่า เป็นคนในหมู่บ้านย่านนั้น และสาเหตุที่ตายเพราะผิดผี จึงตาย

ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ว่า ชายผู้นี้ผิดผีอะไร อย่างไร ซึ่งหนังสือนั้นมิได้กล่าวถึง จึงยากต่อการวิเคราะห์ได้

ในช่วงสมัยนั้นก็มีวิชาที่คล้ายกันอีกอย่างหนึ่ง คือวิชาแปลงร่างเป็นจระเข้ ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าสนใจก็ลองค้นในประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า  ดูก็จะเห็นความใกล้เคียงในเรื่องความเป็นไป

เรื่องของวิชาแปลงร่างนี้ ก็มีปรากฏในเรื่องขอกสินดิน แต่โดยเฉพาะวิชาเสือสมิง และวิชาจระเข้แปลงรูปนี้ ได้สาบสูญไปแล้ว เพราะที่จริงวิชาอย่างนี้ที่สุดแล้วให้โทษมากกว่าให้คุณครับ

ปัจจุบันคณาจารย์ หรือผู้เรียนอาคม มักนิยมปลุกเรียกเสือ ลงเครื่องรางและลงอักขระยันต์มากกว่า เรียกลงคน
 
 
 
 


ขอขอบพระคุณที่มาจาก... http://www.vcharkarn.com/varticle/239

12
หลวงปู่เล่าว่า จิตวิญญาณของท่าน พอวูบวาบออกจากร่างไป ก็ไปรวดเร็วมากไม่สนใจใยดีร่างกายเดิมที่หมอบฟุบอยู่บนอาสนะเลย เหมือนคนเราถอดเสึ้อผ้าตัวเก่าทิ้งไว้แล้วไปใส่ชุดใหม่ไปเที่ยวนั่นแหละ สติของท่านตามจิตวิญญาณไป (ท่านผู้อ่านโปรดสังเกตนะครับว่า หลวงปู่คำคะนิงท่านแยก “สติ” ต่างหากกับ “จิตวิญญาณ” แต่ตามความเป็นจริงนั้น “สติ” ก็คือตัว “ญาณปัญญา” หรือ จิตฝ่ายกุศลนั่นเอง คือจิตในจิต)
“จิตวิญญาณของอาตมาไปอย่างรวดเร็วมาก เป็นลักษณะเดินไป แต่ไม่ได้สังเกตว่า จิตที่ไปนั้นมีร่างกายไปด้วยหรือเปล่า”
“อาตมาใช้สติตามไป สตินี้เป็นตัวปัญญาเบื้องสูง เป็นตัวบังคับบัญชาจิต สติของอาตมาตามจิตไป จะว่าจิตในจิตมันติดตามกันก็ได้”
จิตวิญญาณของท่านเดินไปแต่ไปอย่างรวดเร็วมาก (เข้าใจว่าเป็นสภาพของกายทิพย์พาจิตวิญญาณท่านไป) ทางที่ไปนั้น เป็นทางสายใหญ่กว้างมาก ความรู้สึกของจิตวิญญาณบอกว่า ทางสายนี้กว้างถึง 8,000 วา เป็นทางไปสู่ “ศาลาพันห้อง”
ศาลาพันห้อง อยู่ในโลกวิญญาณ เป็นศาลาใหญ่โตมโหฬารเป็นศาลากลางแห่งโลกวิญญาณ มีถนนใหญ่กว้าง 8,000 วา จำนวน 8 สาย พุ่งตรงไปยังศาลาพันห้องนี้
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า ท่านเห็นผู้คนทั้งชายและหญิง ลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มสาวและเฒ่าแก่ เดินหลั่งไหลตามกันไปแน่นถนนมองสุดลูกลูกตามองเห็นแต่หัวดำบ้างหงอกบ้างนับไม่ถ้วน คล้ายหัวตัวไหมนับล้าน ๆ ตัวในกระด้งใหญ่ที่เขาเลี้ยงตัวไหมตามหมู่บ้านชนบท ดูไปอีกทีคล้ายฝูงมดปลวก ดูไปอีกทีคล้ายกระแสน้ำไหลเอื่อยพัดพาผู้อื่นไปตามน้ำ
ผู้คนมากมายเหลือคณานับ ทุกคนเดินไปเงียบกริบไม่มีใครพูดจากันเลย ท่านได้พบพ่อแม่ที่ตายไปนานแล้ว เดินรวมอยู่ในหมู่ร่างวิญญาณ ได้แต่มองดูกัน ไม่อาจพูดทักทายกันได้ต่างต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนใบ้
พอไปถึงประตูทางเข้าศาลาพันห้องที่รวมคนบาปและคนบุญ มีทหารยามตัวสูงใหญ่ผิวดำ ถือหอกสามง่ามเป็นประกายแปลบปลาบคล้ายเปลวไฟลุกไหม้ทหารยามพูดกับหลวงปู่คำคะนิงว่า
“สร้างเวรสร้างกรรมพอแรงแล้วน้อ หลวงปู่ถึงได้มาทางนี้”ว่าแล้วก็เอาหอกสามง่ามจี้หน้าอกหลวงปู่ไว้ เกิดควันฉุยไหม้เสื้อผ้า แต่ไม่รู้สึกเจ็บทหารยามหลายคนในที่นั้นต่างก็ใช้หอกสามง่ามจี้หน้าอกร่างวิญญาณทุกร่าง เข้าใจว่าคงเป็นการประทับตราที่หน้าอกก่อนให้ผ่านเข้าไปในศาลาพันห้อง ตรงประตูทางเข้าชั้นใน
หลวงปู่ได้พบครูบาอาจารย์เก่า ๆ หลายท่านที่มรณภาพไปนานแล้ว ถูกควบคุมตัวมาเพื่อชำระโทษ ได้แต่มองหน้ากัน ทักทายกันไม่ได้ เพราะพูดไม่ออก ปากเป็นใบ้
จ่ายมบาล นำตัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ศาลาพันห้อง ร่างวิญญาณเข้าไปแออัดยัดเยียดมองสุดลูกหูลูกตา พญายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นประธานเอึ้อมมือไปแตะที่กองสมุดบัญชีเล่มใหญ่บันทึกประวัติคดีมนุษย์แต่ละคน เพียงแต่เอามือแตะเข้าที่ปกสมุดเล่มใหญ่เท่านั้น สมุดก็เปิดปั้บ ๆ ขึ้นเองอย่างรวดเร็ว พอถึงรายชื่อของใคร สมุดก็หยุดให้พญายมบาลอ่าน
พญายมบาลบอกว่า มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์คำพูดทุกคำมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทาน ตัวหนังสือจะปรากฏเด่นเป็นพิเศษขึ้นในสมุดของยมโลก (สงสัยจะคล้ายเครื่องโทรพิมพ์ในโลกมนุษย์เรา) เมื่อยมบาลเปิดดูบัญชีแล้วก็หันมาประกาศกับร่างวิญญาณทั้งหลายว่า
“เฮ้ย.....พวกเจ้าทำไมเนื้อตัวสกปรกแท้เว้ย โน่น.....สระน้ำอยู่โน่น พวกเจ้ารีบพากันออกไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเสียก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาพบข้า รีบออกไปเร็ว ๆ ข้าเหม็นจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็ก้มลงมองสำรวจดูร่างตัวเองแล้วได้พบด้วยความตกใจว่า ร่างวิญญาณของแต่ละคนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ เต็มไปด้วยอุจจาระส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว ไม่รู้ว่าอุจจาระนี้มาเปรอะเปื้อนได้อย่างไร
ต่างก็พากันวิ่งชุลมุนออกจากห้องตรงไปยังสระน้ำ หลวงพ่อคำคะนิงก็วิ่งตามไปด้วย สระน้ำนั้นกว้างใหญ่น้ำใสกระจ่างเหมือนกระจก กลางสระมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม
ทุกคนต่างพากันกระโดดลงไปในสระน้ำ หลวงปู่คำคะนิงกระโดดลงไปปรากฏว่าน้ำลึกแค่หัวเข่า น้ำนั้นร้อนลุกเป็นไฟแดงฉานไหม้แข้งขาทันทีหลวงปู่คำคะนิงตกใจบังเกิดความปวดร้อนอย่างแสนสาหัสต้องรีบกระโจนขึ้นไปยืนบนฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วไฟไหม้แข้งขาก็ดับไปความปวดร้อนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ร่างวิญญาณคนอื่น ๆ พากันจมลึกลงไปในสระน้ำแล้วบังเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้พรึบขึ้นแดงฉานโชติช่วงไปทั้งสระ คล้ายกับว่าน้ำในสระเป็นน้ำมันเบนซินไป ร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่ได้ตายไปในทันที หากแต่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสนส่งเสียงร้องโอดโอยโหยหวลอยู่ในสระน้ำเป็นภาพที่สยดสยองเหลือที่จะกล่าว
หลวงปู่คำคะนิงรู้ได้ในบัดดลว่า ที่แท้สระน้ำนี้เป็น “ขุมนรก” ขุมแรกสำหรับทดสอบบาปบุญคุณโทษของพวกวิญญาณนั่นเอง จ่ายมบาลนายหนึ่งเดินตรงเข้ามานิมนต์หลวงปู่ให้กลับเข้าไปเฝ้าพญายม
หลวงปู่คำคะนิงกลับเข้าไปในศาลาพันห้องใจคอไม่ดี รู้แน่แก่ใจแล้วว่า ที่นี่เป็นด่านเมืองนรกซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ท่านจะต้องกระโดดลงไปในสระนรกนั้นเมื่อตะกี้นี้ ทั้งนี้เพราะท่านเชื่อมั่นในตนเองว่า เป็นพระภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำบาปให้ส่ำสัตว์ใดต้องลำบากเลย แม้แต่มดตัวแดงแมงตัวน้อยก็ไม่เคยทำให้มันตกตาย ถึงอาจจะมีบ้างเมื่อเดินไปเหยียบมดปลวกตายโดยไม่เจตนา เพราะไม่เห็น
แต่เมื่อไม่มีเจตนาย่อมไม่ถือเป็นบาปเมื่อเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพญายมแล้ว พญายมบาลได้กล่าวด้วยเสียงดุห้าวทรงอำนาจ แต่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมว่า ตบะธรรมของหลวงปู่แก่กล้า ที่มาเมืองนรกนี้เพราะเศษกรรมเก่าส่งผลให้ดับจิตจากโลกมนุษย์มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อดูในบัญชีแล้ว บารมีของหลวงปู่ยังมากอยู่ ยังไม่อาจพิพากษาตัดสินได้ สมควรที่หลวงปู่จะกลับคืนสู่ร่างเดิมใน โลกมนุษย์ ไปสร้างบารมีให้เต็มสมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยกลับมา นิมนต์กลับได้แล้วขอรับ
หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกดีใจที่ไม่ถูกพิพากษาตัดสิน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระพุทธองค์ยิ่งขึ้นว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม อาตมาบำเพ็ญภาวนาอยู่ในธรรม กินในธรรมตลอดมา จะมาตกนรกได้อย่างไร




ขอขอบพระคุณ...เว็บธรรมะสาธุ

13
บทความ บทกวี / ขี้เป็ดเป็นทองคำ
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 11:55:34 »
ประมาณร้อยปีก่อนเป็นปลายสมัยราชวงศ์ชิง ครั้งนั้น ไต้หวันยังเป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีน ที่อำเภอไทเป ตำบลปาตู่ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อฮุ่ยโกว เธอถูกยกให้เป็นลูกสะใภ้บ้านแซ่กัวตั้งแต่ลืมตาดูโลกได้ไม่กี่เดือน มิใช่เพราะฐานะทางครอบครัวยากจน แต่เป็นเพราะแม่ของเธอมีลูกมาก และต้องทำงานบ้านเองทุกอย่างจนไม่อาจเลี้ยงดูลูกที่เกิดมาใหม่ได้อีก ครอบครัวแซ่กัวนั้นนอกจากสองสามีภรรยาซึ่งเป็นพ่อแม่ของเด็กชายชิงจือแล้ว ยังมีย่าแก่ ๆ อีกคนหนึ่ง เป็นครอบครัวที่สงบสุขและค่อนข้างจะเงียบเหงา ดังนั้นเมื่อได้หนูน้อยฮุ่ยโกวมาเลี้ยง จึงนำความสุขความยินดีมาสู่ครอบครัวแซ่กัวเป็นอันมาก เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนูน้อยฮุ่ยโกวจากเด็กทารกกลายเป็นแม่หนูไว้หางเปียน่ารักและเติบโตเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาด รอบรู้ขยันขันแข็ง ทุกคนในครอบครัวรักเธอมาก ขณะเดียวกันเด็กชายชิงจือก็เติบโตเป็นชายหนุ่มน่ารักอายุได้ 22 ปี พ่อแม่เห็นว่าเด็กทั้งสองรักใคร่กันดีจึงได้กำหนดวันอันเป็นมงคล แล้วจัดพิธีแต่งงานให้กับเด็กทั้งสองอย่างถูกต้อง ชีวิตแต่งงานของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความสุข ความราบรื่น ชิงจือไปทำงานค้าขายที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอจีหลงไม่ไกลออกไปเท่าใดนัก ส่วนฮุ่ยโกวอยู่บ้านปรนนิบัติรับใช้ย่าและพ่อแม่ของสามีด้วยความเคารพกตัญญู แต่ความสุขความราบรื่นก็มิได้คงอยู่ตลอดไป ไม่นานต่อมา ญี่ปุ่นยกทัพเข้ารุกรานประเทศจีนกวางสูฮ่องเต้ผู้ด้อยสมรรถภาพได้แก้ปัญหาสงครามด้วยการยกมณฑลไต้หวันทั้งเกาะให้แก่ญี่ปุ่นไป ประชาชนชาวจีนบนเกาะไต้หวันจึงต้องมีชีวิตอยู่อย่างกลัวตาย ภายใต้การปกครองอย่างกดขี่ทารุณของญี่ปุ่น ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นกาฬโรคยังระบาดครั้งใหญ่กวาดล้างชีวิตผู้คนไปมากมาย พ่อแม่ของชิงจือนอนป่วยอยู่ได้ไม่กี่วันก็ตายตามกันไป จากนั้นเป็นต้นมา ความทุกข์ความโศกเศร้าก็เข้าครอบงำครอบครัวแซ่กัว เหมือนความมืดของกลางคืนที่คืบคลานเข้ามาทุก ๆ ด้าน วันหนึ่งขณะที่ชิงจือกำลังขนถ่ายสินค้าอยู่ในร้านที่เขาทำงานอยู่ บังเอิญลังไม้บรรจุสินค้าหนักอึ้งชั้นบนโค่นลงมาชิงจือหลบไม่ทัน ขาข้างซ้ายถูกทับอย่างแรง กระดูกและเนื้อแหลกเหลวทันที ทางร้านรีบนำส่งโรงพยาบาล เขาถูกตัดขาข้างซ้ายทิ้งโดยไม่มีทางเลือกเลย แม้ว่าฮุ่ยโกวจะเป็นหญิงที่เข้มแข็งอดทน แต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นติด ๆ กันอย่างรุนแรงอย่างนี้ก็ทำให้เธอต้องนอนร้องไห้อยู่หลายคืน แต่กระนั้นก็ตาม ในเวลากลางวันต่อหน้าย่าผู้ชราฮุ่ยโกวยังคงยิ้มอย่างสดชื่นอ่อนโยน ดูแลปรนนิบัติรับใช้ท่านอยู่เช่นเดิม

เมื่อชิงจือกลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน เขากลายเป็นคนพิการและตกงาน ทางบ้านไม่มีเงินสำรองและรายได้อะไรเลยจึงจำใจต้องขายที่ขายบ้านที่อยู่อาศัย เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย แล้วสามชีวิตก็ย้ายไปอยู่ในกระท่อมมุงแฝกเชิงเขาตำบลยุ่ยฟัง หลังกระท่อมที่อยู่อาศัย มีถ้ำมืดที่ไม่รู้ว่าความลึกเท่าใดอยู่ถ้ำหนึ่ง รอบ ๆ ถ้ำเต็มไปด้วยขวากหนามหญ้ารก มีต้นไม้ใหญ่อยู่ปากถ้ำ เบื้องหน้าเป็นสระน้ำไม่ใหญ่นัก แต่น้ำในสระใสสะอาด ฮุ่ยโกวนำเสื้อผ้ามาซักในสระนี้ทุกเช้า พอมีเวลาว่างก็ปราบพื้นที่บริเวณสระน้ำ แล้วหาเมล็ดพันธุ์ผักมาปลูกเพื่อทุ่านค่าใช้จ่าย ชีวิตที่สันโดษสงบเงียบผ่านไปสามปี เงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญที่ได้จากการขายที่ขายบ้าน ถูกใช้อย่างกระเหม็ดกระแหม่ แต่ถึงจะเจียดใช้อย่างไรเมื่อมีแต่ทางจ่าย โดยไม่มีทางรับ เงินก็มีแต่ร่อยหรอลง และในที่สุดก็ใกล้จะหมด ฮุ่ยโกวยังคงเป็นหลานสะใภ้และภรรยาที่ดีโดยไม่เปลี่ยนแปลง เธอปรนนิบัติย่าและสามีเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใด ในที่สุดเมื่อข้าวสารกำมือสุดท้ายหมดลง ฮุ่ยโกวก็จำต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเธอเอง แม่แนะนำเธอว่า "อย่าทนอยู่กับความทุกข์ยากต่อไปเลย ผัวเจ้าก็พิการหาเลี้ยงไม่ได้ ควรจะแต่งงานใหม่เสียตั้งแต่อายุยังไม่มากนัก" เมื่อได้ยินแม่แนะอย่างนี้ ในสมองของฮุ่ยโกวปรากฎภาพย่าเฒ่า ซึ่งเธอต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ และสามีที่เหลือแต่ขาข้างเดียวขึ้นมาทันที แล้วน้ำตาของเธอก็หยดสู่พื้น เธอตอบแม่ว่า "ฮุ่ยโกวรู้ว่าแม่หวังดี แต่จะให้ฮุ่ยโกวเนรคุณต่อสามีและครอบครัวของสามีผู้มีพระคุณนั้น ฮุ่ยโกวทำไม่ได้" เมื่อฮุ่ยโกวปฏิเสธอย่างนี้แล้วแม่ก็ไม่พอใจ และไม่สนใจการกลับมาของฮุ่ยโกวอีก การจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจึงสะดุดอยู่แค่ลำคอ โชคดีที่พี่สะใภ้ของฮุ่ยโกวเป็นคนดี มีความเข้าใจ นางจูงมือน้องสามีเข้าไปในห้องส่วนตัวซับน้ำตาให้และยัดเยียดเงินยี่สิบเหรียญลงไปในมือน้องสามี ขณะนั้นเป็นเวลาหน้าหนาว เสื้อตัวเก่าที่ใส่มานานของฮุ่ยโกวบางเกินกว่าจะต้านลมหนาวได้ พี่สะใภ้จึงคะยั้นคะยอแกมบังคับจะพาฮุ่ยโกวไปซื้อผ้าตัดเสื้อที่อำเภอจีหลง ฮุ่ยโกวเติบโตขึ้นในชนบท แม้สามีจะเคยทำงานอยู่ที่อำเภอจีหลง แต่เธอก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง เธอจึงตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงของขายและผู้คนในอำเภอจีหลงยิ่งนัก เมื่อพี่สะใภ้เลือกซื้อผ้าให้เธอได้แล้ว ฮุ่ยโกวก็มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องจักสานแห่งหนึ่ง เธอได้ความคิดขึ้นมาว่า บนภูเขาหลังกระท่อมที่เธออาศัยอยู่มีต้นไผ่ขึ้นอยู่มากมาย หากเธอจะตัดลงมาให้สามีลองจักลองสานเป็นภาชนะบางอย่างแล้วนำมาขายบ้างก็คงจะดี เมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่ฮุ่ยโกวทำก็คือรีบตัดเย็บเสื้อผ้าที่พี่สะใภ้ซื้อให้ชิ้นนั้น แต่มิใช่เพื่อตัวเอง เธอตัดเย็บให้ย่าเพราะย่าก็ไม่เคยมีเสื้อผ้าใหม่มาหลายปีเต็มที หลังจากนั้นงานประดิษฐ์เครื่อง

จักสานก็เริ่มขึ้น ฮุ่ยโกวงานหนักหน่อย เธอจะต้องเป็นคนขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่ลงมาเพื่อให้ชิงจือสามีซึ่งพิการเหลือแต่ขาข้างเดียวของเธอเป็นผู้จักตอก แล้วทั้งสองก็จะขะมักเขม้นช่วยกันสาน แรกทีเดียวผลงานที่ทำออกมาทั้งหยาบ ทั้งไม่ได้รูปร่างสัดส่วน แต่ทั้งสองก็ไม่ละความพยายาม จนในที่สุดความชำนาญก็เกิดขึ้น ผลงานก็ประณีตงดงาม เมื่อรวบรวมได้พอประมาณแล้ว วันหนึ่งฮุ่ยโกวก็หาบไปขายในอำเภอจีหลง ปรากฎว่าเป็นที่ชื่นชอบของตลาดเธอขายหมดอย่างรวดเร็ว ได้เงินพอซื้อข้าว เกลือ น้ำมัน ถั่ว กลับมาด้วย เป็นกำลังใจให้ฮุ่ยโกวและชิงจือมีมานะพยายามยิ่งขึ้น ขณะนั้นย่าอายุเจ็ดสิบกว่ามากแล้ว ชีวิตที่แร้นแค้นทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม อ่อนแอ ฟันฟางแทบไม่มีเหลือ อาหารการกินได้แต่ของอ่อน ๆ โดยเฉพาะย่าชอบกินไข่เป็ด บัดนี้ฮุ่ยโกวพอมีเงินที่จะซื้อไข่เป็ดมาเลี้ยงดูย่าได้แล้ว และด้วยความกตัญญูจึงทำให้เธอคิดต่อไปว่าหลายวันกว่าเธอจะได้เข้าไปขายเครื่องจักสานในอำเภอเสียที ไข่เป็ดที่ซื้อมาเพื่อเก็บไว้กินก็จะไม่สด สู้ซื้อลูกเป็ดมาเลี้ยงไว้ออกไข่ไม่ได้ทุ่นเงินกว่าและได้ไข่สด ๆ กินอีกด้วย คิดได้ดังนั้นแล้ว คราวต่อไปเมื่อฮุ่ยโกวนำเครื่องจักสานเข้าไปขายในอำเภอ เธอก็เลือกซื้อลูกเป็ดตัวเมียกลับมาด้วยหลายตัว ฮุ่ยโกวทำเล้าไว้ใกล้ ๆ สระน้ำหลังบ้าน ถึงเวลาก็ปล่อยให้เป็ดลงไปว่ายน้ำไซ้หาอะไรกินตามธรรมชาติ เป็ดเหล่านั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและไข่ให้กินอย่างสม่ำเสมอ ชะรอยจะเป็นด้วยความกตัญญูของฮุ่ยโกวที่ทำให้เทพยดาฟ้าดินได้ประจักษ์ เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ฮุ่ยโกวกำลังทำความสะอาดลานบ้านก็บังเอิญเหลือบไปเห็นขี้เป็ดที่กำลังกวาดอยู่ มีก้อนกรวดเล็ก ๆ เป็นสีทองปนอยู่หลายเม็ด ด้วยความแปลกใจ ฮุ่ยโกวจึงเขี่ยแยกออกมาแล้วนำไปล้างจนสะอาด เธอไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นกรวดทองไปได้ จึงนำไปให้สามีดู ชิงจือรับไปดูแล้วก็ส่ายหน้าบอกว่า "เราเป็นคนมีกรรมอย่างนี้ ทองที่ไหนจะมาถึงมือเราได้" ฮุ่นโกวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็ยังเก็บก้อนกรวดสีทองเม็ดเท่าถั่ว

เหลืองเหล่านั้นไว้ วันรุ่นขึ้น เมื่อเธอนำเครื่องจักสานเข้าไปขายในอำเภอเธอก็ลองเสี่ยงนำก้อนกรวดเหล่านั้นเข้าไปในร้านซื้อขายทอง เธอส่งให้เจ้าของร้านโดยไม่พูดว่าอะไร เจ้าของร้านกลับถามเธอว่า "จะขายใช่ไหม" ฮุ่ยโกวพยักหน้า เจ้าของร้านก็นำไปชั่ง แล้วมอบเงินสิบกว่าเหรียญให้แก่เธอ ฮุ่ยโกวระงับความตื่นเต้นดีใจไว้ เอื้อมมือไปรับเงินแล้วเดินบ้างวิ่งบ้างกลับมาบ้าน "ชิงจือ ชิงจือ มันเป็นทองจริง ๆ " ฮุ่ยโกวตะโกนบอกสามีตั้งแต่ก่อนถึงประตูบ้าน เธอเล่าทุกอย่างให้สามีฟัง แล้วทั้งสองก็รีบเข้าไปในเล้าเป็ดช่วยกันกวาดเก็บขี้เป็ดไปล้างเพื่อรวบรวมกรวดทองไปขายทั้งสองทำอย่างนี้อยู่หลายวันจนขี้เป็ดในเล้าและตามที่ต่าง ๆ บริเวณที่เป็ดเดินไปถ่ายไว้ได้เก็บนำมาล้างจนหมด คราวนั้นฮุ่ยโกวนำไปขายในอำเภอ เธอได้เงินมาหลายร้อยเหรียญ ทั้งสองสังเกตเห็นว่าเป็ดเหล่านี้นอกจากจะไซ้ดินไซ้หญ้ากินอยู่รอบ ๆ สระแล้ว มันยังพากันไปหากินในถ้ำ ข้างสระ ถ้าเช่นนั้น ก้อนกรวดทองจะต้องมีอยู่ในถ้ำเป็นแน่ ฮุ่ยโกวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าเขา แล้วก็เข้าไปกอบโกยกรวดในถ้ำออกมาล้าง ปรากฎว่าเป็นจริงดังคาด มีกรวดทองมากมายอยู่ในถ้ำนั้น ทั้งสองสามีภรรยาช่วยกันนำมาล้างแล้วไปขาย เงินทองที่ได้ก็รวบรวมไว้ ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็รวบรวมได้หมื่นกว่าเหรียญ เมื่อกรวดทองในถ้ำหมดแล้ว ทั้งสองก็เอาเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปซื้อร้านค้าในอำเภอจีหลง พาย่าไปอยู่ดูแลให้มีความสุขความสบายยิ่งขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสามชีวิตก็กลายเป็นชาวอำเภอจีหลงที่มีฐานะมั่งคั่งสมบูรณ์ครอบครัวหนึ่ง บัดนี้เกือบร้อยปีผ่านไป ชาวอำเภอจีหลงยังคงเล่าขานกันถึงเรื่องราวเหล่านั้น ลูกหลานของฮุ่ยโกวและชิงจือก็ยังคงเป็นพ่อค้าคหบดีที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในอำเภอจีหลงนั่นเอง



ขอขอบพระคุณ...เว็บธรรมะสาธุ

14
ประสบการณ์วิญญาณ / ผีนางไม้
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 11:29:41 »

                         

ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดกล่าวไว้ ว่าเกิดมาเป็นลูกผู้ชายชาติหนึ่ง ถ้าต้องการรู้ว่าความเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างการเป็นทหาร กับการบวชพระ แล้วจะซาบซึ้งว่า รสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร...

อาตมาเกิดมาโชคดีเสมอ อะไรที่เพิ่มความมันแก่ชีวิต มักจะได้พบมากกว่าเขา เป็นทหารก็เป็นซะเอียน ตอนนี้ยังบวชพระอยู่อีก ขอให้คำจำกัดความง่าย ๆ ว่า “เป็นทหาร ลำบากกาย เป็นพระลำบากใจ” ถ้อยคำสั้น ๆ แค่นี้ จะแฝงความหมายสาหัสสากรรจ์เพียงไร ผู้ที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น ที่จะซาบซึ้งจนน้ำตาร่วง...
             
ด้วยเหตุจำเป็นบีบบังคับ ทำให้อาตมาต้องเป็นผู้เสียสละ หลบไปเรียนวิชาทหารและรับใช้ชาติอยู่ระยะหนึ่ง ตั้งแต่วาระแรกที่เหยียบย่างเข้าไป จนเบื่อระบบนายใครนายมัน ออกจากราชการมา บอกได้เลยว่า ไม่เคยพบความสุขใจเลยแม้แต่นิดเดียว...
             
ท่านลองนึกภาพดู...ว่าถ้าเป็นท่านแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องตื่นนอนแต่ตีห้า ภายในสามนาที ต้องอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเข้าส้วม แต่งกายให้เรียบร้อย แล้วลงมาเข้าแถว จัดระเบียบแถวให้เรียบร้อย ขอย้ำ...ภายในสามนาทีเท่านั้น...
             
หากไม่ทันหรือ...? สารพัดการลงโทษที่ท่านจะได้รับ จากนั้นก็วิ่งไปเถอะ จนกว่าครูฝึกจะพอใจ แล้วมาเล่นกายบริหารอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะได้กินข้าวเช้าบางทีเกือบจะได้เวลาเคารพธงชาติ ก่อนจะกินยังพบการทรมานจิตใจสารพัด บางทีให้เวลากินนาทีเดียว ซึ่งท่านไม่มีโอกาสโวย ไม่อย่างนั้นอด...
             
รีบ ๆ ยัดอาหารลงกระเพาะ แล้วไปตั้งแถวเคารพธงให้ทัน จากนั้นเป็นการตรวจร่างกาย ใครแต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่โกนหนวด ไม่ตัดเล็บ รับเละลูกเดียว... แล้วลงสนามฝึก ทั้งระเบียบแถว ท่าอาวุธ ยุทธวิธีในการรบ กว่าจะได้หยุดก็เที่ยงกว่า ยัง...ยังไม่ได้กินหรอก ต้องเดินแถวสวนสนาม จนกว่าครูฝึกจะพอใจ แล้วไปพบกับการกลั่นแกล้งทุกรูปแบบในโรงเลี้ยง จะได้กินแต่ละมื้อแทบน้ำตาร่วง...
             
เสร็จจากอาหารก็บ่ายโข ไปลงสนามฝึกต่อจนห้าโมงเย็น เวลาจะขึ้จะเยี่ยวยังไม่มี ไปวิ่งออกกำลังยามเย็นต่อ แล้วไปทนทรมานในโรงเลี้ยงอีกรอบ ถึงได้อาบน้ำอาบท่า ไม่ใช่นอนพัก ทฤษฎียังรออยู่อีกบานตะไท ไปเข้าห้องเรียนซะดี ๆ ...
             
เกือบสามทุ่มเลิกเรียน ให้เวลาจัดที่หลับที่นอน และขัดเครื่องหมาย รองเท้า เข็มขัด ทุกชิ้นต้องเงาวับ สามทุ่มตรงเป๊ะแตรนอนดังต้องหลับทันที ใครขยุกขยิกแม้แต่นิดเดียวถือว่าไม่อยากนอน ต้องลงไปวิ่งอยู่คนเดียว หรือ ถ้าโชคดีก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรม ที่หลับนั้นอย่าเพิ่งฝันดี...สี่ทุ่มนกหวีดปลุกดังสนั่นหวั่นไหว ไปฝึกการรบเวลากลางคืน ห้ามชักช้างัวเงีย ไม่เช่นนั้นเจ็บตัว...
             
กว่าจะจบการฝึกก็ตีสองขึ้นไปนอนได้ แต่พวกเวรยามต้องถ่างตาต่อไป ตีห้าแตรปลุก ให้ลุกไปพบกับระบบนี้ของวันใหม่ ใครทนไม่ได้จะหนีก็เชิญ ถ้าไม่มีค่ารถจะแถมให้ ไปเป็นคนเถื่อนไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน เกิดอะไรขึ้นมีหวังติดคุกหัวโต...
             
นั่นแค่ภาคที่ตั้งเท่านั้น ภาคป่าและเขานั้น ท่านต้องลุยไปแก้ปัญหาการฝึก ครึ่งเดือนไม่ได้อาบน้ำซักหยด ตัวเหม็นกว่าสกั๊งค์หลายเท่า เดินจนรองเท้าคอมแบ็ทพังเป็นคู่ ๆ กว่าจะแก้ปัญหาแต่ละจุดได้ แทบอ้วกเป็นเลือด...
             
ภาคที่ลุ่มนั้นระยะทางแค่ ๑๐๐ เมตร ให้เวลาตั้งแต่ ๑ ทุ่มถึงตี ๕ ยังไม่แน่ว่าท่านจะลุยโคลนถึงอกขึ้นฝั่งมาได้หรือไม่... ภาคทะเลนั้นท่านต้องฝึกร่วมกับมนุษย์กบที่มาจากหน่วยทำลายใต้น้ำของราชนาวี แต่ละคนว่ายน้ำอย่างกับปลา ให้เราแบกเรือยางวิ่งจนเม็ดทรายฝังเข้าหนังหัว เอาเราไปทิ้งกลางทะเลให้ว่ายน้ำกลับเอง หรือสามวันทิ้งให้อยู่บนเกาะร้างมีมีดให้หนึ่งเล่มกับน้ำอีกหนึ่งลิตร ทำอย่างไรก็ได้ที่ท่านจะรักษาชีวิตไว้ จนกว่าเขาจะมารับ...
             
ยังไม่หมดง่าย ๆ หรอก วิ่งเจ็ดไมล์นี่เจอทุกวัน ค้นแผนที่ปัญหาจากศพอย่างนี้ กระโดดร่มจนไส้เลื่อนแทบรับประทาน หรือดิ่งพสุธาจากผาสูงด้วยเชือกเส้นเดียว ท่านจะไม่กระโดดก็ได้ ครูฝึกยินดีช่วยถีบส่งให้... เขาโหดร้ายต่อท่าน เพื่อให้ท่านรักษาชีวิตอันมีค่าไว้ได้ในยามที่เกิดการรบขึ้นมาจริง ๆ ...
             
ความทุกข์สาหัสทั้งกายทั้งใจของการฝึกทหาร ไม่ได้หนึ่งในร้อยของการบวชพระ ที่มีเงื่อนไขว่า “ต้องเอาดีให้ได้” จะไม่เอาดีก็ไม่มีใครว่า ไฟนรกลุกท่วมฟ้ารอท่านอยู่ ไม่ต้องไปเลือกให้เสียเวลา “อเวจีมหานรก” คือที่ไป...
             
อาตมาถูกส่งไปเปลี่ยนกำลังพล ที่พื้นที่ชายแดนสามอำเภอของจังหวัดปราจีนบุรี คือวัฒนานคร อรัญประเทศ และตาพระยา หลังเหตุการณ์ที่บ้านโนนหมากมุ่นจบลงใหม่ ๆ มีการปะทะใหญ่ ๆ ย่อย ๆ เกือบสามสิบครั้ง สูญเสียเพื่อนรักและเจ้านายไป ๒๖ คน...
             
ปกติฐานแต่ละแห่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนพื้นที่กัน ฐานละ ๔ เดือน แต่อาตมาติดอยู่ที่ฐานหน้าตาพระยาเกือบครึ่งปี เพราะปะทะติดพันเปลี่ยนกำลังไม่ได้ และที่นี่เอง ที่อาตมาได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ มากมาย...
             
เวลาว่างเว้นจากการรบ ฝ่ายหมอเสนารักษ์ก็ทำการรักษา ทั้งชาวบ้านทั้งทหาร ที่บาดเจ็บ ฝ่ายกำลังพลก็ตรวจตราการวางกำลัง ต้องพร้อมรบอยู่ทุกขณะจิต อาตมาอยู่กับส่วนบัญชาการกองร้อย เมื่อว่างจากเวรยาม ก็ตรวจตราอาวุธ และซักซ้อมการใช้เพื่อความคล่องตัว ที่ชอบเป็นที่สุด คือ การซ้อมขว้างดาบปลายปืน...
             
ตั้งแต่ระยะห่าง ๗ ก้าว ถึง ๑๒ ก้าว เป็นระยะที่อาตมาแม่นยำที่สุด เป้าหมาย คือ ต้นไม้ใหญ่ที่สมมุติเป็นตัวคน เพื่อนก็ช่วยกันขว้างจนพรุนไปเป็นต้น ๆ พอเบื่อก็เปลี่ยนต้นใหม่ วันหนึ่ง...เพิ่งเปลี่ยนไปขว้างต้นใหม่กัน พอเที่ยงคืนเพื่อนก็มาปลุกไปเข้าเวร...
             
ตีหนึ่งกว่า อาตมานั่งถ่างตาอยู่คนเดียว ที่ด่านตรวจหน้าฐาน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งตรงมาหา อาตมาคิดว่าเป็นชาวบ้าน ที่มาตามหมอไปช่วยรักษาคนป่วย แต่แปลกที่ถามอะไรเธอไม่ยอมตอบซักคำ พอเพ่งดูถนัด อตามาก็เย็นวาบไปทั้งตัว...
             
ในความมืดสนิทนั้น อาตมากลับเห็นเธออย่างชัดเจน เธอใส่ผ้าถุงสีดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ ปล่อยผมดำสนิทยาวถึงเอว อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับดวงตาคู่นั้น มันไม่มีแววของคนมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย ซ้ำจ้องอาตมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ..ผีนี่หว่า...
             
นางผีร้ายไม่พูดพล่ามทำเพลง เอื้อมมือคว้าหมับเข้าที่คอ อาตมาเผ่นวูบไปสุดช่วงแขน เกือบจะพลัดตกจากป้อมลงไปคอหักตาย มันยังเดินทื่อเข้ามาอีก พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย...
             
“ชะยาสะนากะตาพุทธา...”พระคาถาชินบัญชรที่ท่องจำขึ้นใจ กระหึ่มขึ้นมาทันเวลา ร่างนั้นหายวับไปเหมือนถูกกระชาก อาตมาถอนใจเฮือกทั้งที่เหงื่อท่วมตัว มันเรื่องอะไรกัน มาถึงก็ไม่พูดไม่จา จะฆ่ากันท่าเดียว...
             
นั่งคิดทบทวนอยู่จนออกเวร “เราไม่เคยฆ่าผู้หญิงนี่หว่า...บรรดาศพที่ถูกพวกเขมรฆ่าตายเกลื่อนทุ่ง เราก็ช่วยฝังให้แท้ ๆ แล้วยายผีนี่มาจากป่าไหน... ป่า... เฮ้ย...! มาจากต้นไม้ละมั้ง...

ใช่แล้ว...นางไม้แน่ ๆ เลย...
             
รุ่งเช้า...อาตมาไม่ได้บอกใคร กลัวจะทำให้เพื่อน ๆ เสียขวัญ แอบเอาข้าวปลาอาหารไปขอขมาต่อเธอ เราไม่ได้เจตนาล่วงเกินเธอเลยสิ่งที่แล้วมาจงอภัยแก่เรา และเพื่อน ๆ ด้วยเถิด...
             
ยอมรับผิดก็หมดปัญหา เพราะบรรดาภูติผีปีศาจ เขามีเหตุมีผลอยู่แล้ว เรายอมขอขมา เขาก็ยินดีให้อภัย การขอโทษเป็นการขอที่ไม่น่าละอาย การให้อภัยเป็นการให้ที่ไม่สิ้นเปลือง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาตมาเลิกขว้างดาบปลายปืนโดยเด็ดขาด กลัวเจอแจ๊คพ็อตอีกนะซิ...


๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ



ขอขอบพระคุณที่มา...เว็บธรรมะสาธุ

15

         

  ในสมัยที่หลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านได้ปักกลดพักอยู่ใกล้บึงใหญ่แห่งหนึ่ง  ใกล้บริเวณนั้นมีหมู่บ้านเล็ก ๆ
ที่ชาวบ้านปลูกอาศัยอยู่ ๒-๓ หลัง ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน อากาศร้อนอบอ้าว ท่านจึงได้ผลัดผ้า-อาบ และลงสรงน้ำ
ในบึงใหญ่ พอดีชาวบ้านแถบนั้นเห็นเข้า จึงได้ร้องตะโกนบอกท่านว่า  "หลวงตาอย่าลงไป มีจระเข้ดุ"   แต่ท่านมิได้สนใจ
ในคำร้องเตือนของชาวบ้าน ท่านกลับเดินลงสรงน้ำในบึงอย่างสบายใจ ในขณะที่กำลังสรงน้ำอยู่นั้น ท่านได้แลเห็นพรายน้ำ
เป็นฟองขึ้นเบื้องหน้ามากมายผิดปกติ เมื่อได้เพ่งแลไปจึงได้เห็นหัวจระเข้โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ห่างจากตัวท่านประมาณ ๓ วา
พร้อมกันนั้นเจ้าจระเข้ยักษ์ มันหันหัวมุ่งตรงรี่มาหาท่าน แต่ท่านก็มิได้แสดงกิริยาหวาดวิตกหรือกลัวแต่ประการใดไม่ กลับยืน
สงบนิ่งตั้งจิตอธิษฐานเจริญภาวนา จนจระเข้ว่ายมาถึงตัวท่าน พร้อมกับเอาปากมาดุนที่สีข้างของท่านทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
 ข้างละ ๓ ครั้ง แล้วก็ว่ายออกไป โดยมิได้ทำร้ายท่านแต่อย่างใด

เรื่องนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งต่อชาวบ้านที่ยืนดูอยู่บนฝั่ง เมื่อท่านขึ้นจากน้ำชาวบ้านต่างบอกสมัครพรรคพวก
เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักและได้ขอของดีจากท่านคือ ตะกรุด ท่านได้บอกกับ
ลูกศิษย์ว่าในขณะที่เผชิญกับจระเข้ ท่านได้เจริญภาวนา อรหัง เท่านั้น




 ขอขอบพระคุณที่มา...เว็บพุทธคุณดอทโออารจี

16
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า บรรพชิตก็ตาม ฆราวาสก็ตาม ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า

๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
๔. เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งของและบุคคล อันเป็นที่รัก ที่พอใจ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นไปได้
๕. เรามีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับมรดกกรรม ต้องรับมรดกกรรมที่เราทำไว้, มีกรรมเป็นแดนเกิด, มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย, บุรุษก็ตาม สตรีก็ตาม ทำกรรมอันใดไว้ก็จักได้รับผลแห่งกรรมนั้น

... ... ... ในระหว่างที่ยังวนเวียนอยู่ในความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากสูญเสีย และความที่จะต้องเป็นผู้มีกรรม ได้รับผลของกรรม ยังไม่สามารถจะอยู่เหนือกรรมได้ เราก็ควรทำชีวิตให้มีคุณภาพ แก่ก็แก่อย่างมีคุณภาพ มีคนถามว่า นางวิสาขามีอายุ ๑๒๐ ปีแล้ว ยังสวยอยู่ สวยได้อย่างไร ก็บอกว่าสวยไปตามวัย หมายความว่าวัยงาม นางวิสาขาได้ลักษณะเบญจกัลยาณี ความงาม ๕ อย่าง มีอย่างหนึ่งคือวัยงาม งามสมวัยอายุ ๑๒๐ ปี ก็สวยแบบคนอายุ ๑๒๐ ปีทำนองนั้น แก่อย่างมีคุณภาพ มีประโยชน์ ทำประโยชน์ได้ตามประสาคนแก่

ถึงเวลาเจ็บก็เจ็บอย่างมีสติสัมปชัญญะ เจ็บอย่างเอาความเจ็บมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณธรรม เจ็บคราวใดก็ฉลาดขึ้นคราวนั้น ได้รู้ลีลาท่าทางอะไร ๆ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความเจ็บ เอาความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมาเป็นประโยชน์กับความรู้สึกนึกคิดจิตใจ โรคทุกอย่างที่เกิดขึ้นแก่เรา ไม่ได้เกิดขึ้นแก่เราคนเดียว เกิดขึ้นแก่คนอื่นด้วย ลองไปดูเถอะ ที่โรงพยาบาล ไปหาหมอแห่งใดก็ได้ มันต้องมีเพื่อนร่วมเจ็บกับเราอยู่ทั้งนั้น

ในทางศาสนาจึงบอกให้มีจิตเกื้อกูลต่อกัน มองดูกันในฐานะเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย พอคิดได้อย่างนี้ ความอาฆาต พยาบาท ความเกลียดชัง ความรู้สึกไม่ดีอะไรต่าง ๆ ถึงจะไม่หายไปทั้งหมด มันก็ลดลงไป เพราะเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย กับเรา เขาจะเป็นอย่างไร ๆ เขาก็เป็นเพื่อนเราในฐานะหนึ่ง ฐานะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ก็ต้องพลัดพรากสูญเสียจากสิ่งที่รักที่พอใจเช่นกัน

นึกถึงความสูญเสียทีไร ก็ให้นึกถึงพระเจ้าฆตราชทรงสูญเสียราชสมบัติ อิสรภาพ แต่ก็ทรงรักษาพระทัยไว้ได้ไม่ให้หม่นหมอง หน้าตาผ่องใสเหมือนเดิม จนพระเจ้าธังกราชที่เป็นศัตรูจับพระเจ้าฆตราชมาขังต้องเลื่อมใส ปล่อยพระองค์ไป เราเองก็สูญเสียกันบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ มันเล็กน้อยเหลือเกิน เท่ากับขี้ฝุ่นนิดหน่อยที่ติดเล็บอยู่ ก็ได้กำลังใจจากเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่เป็นไร สูญเสียอะไรก็สูญเสียไป ให้รักษาสุขภาพจิตไว้ก่อน

แล้วก็ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้บ่อย ๆ ว่าท่านเสียสละราชสมบัติออกมาบวช ไม่ได้ยึดว่าอะไรเป็นของพระองค์เลย มาบวชแล้วก็จาริกไปในที่ต่าง ๆ แบบอนาคาริกมุนี เป็นมุนีผู้ที่ไม่มีเรือน ไม่มีอะไรเป็นของพระองค์เลย ก็เป็นเรื่องที่เป็นกำลังใจให้กับพวกเราที่เป็นชาวพุทธว่า ท่านมีถึงขนาดนั้นแล้ว ท่านยังสละออกมาเป็นผู้ไม่มี แล้วอย่างเรา ๆ นี่จะมีอะไรสูญเสีย มันเทียบกันไม่ได้เลย ความรู้สึกต่าง ๆ ของคนเรา ความรู้สึกทุกข์ก็ตาม ความรู้สึกสูญเสีย ความรู้สึกเศร้าโศก ความรู้สึกได้มาต่าง ๆ ก็ตาม มันอยู่ที่ความรู้สึก ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ได้มาหรือสิ่งที่สูญเสียไป

ถ้าเป็นมหาวีรสตรี มหาบุรุษ อะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่สูญเสียไป ที่คนอื่นรู้สึกว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับบุคคลเช่นนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย เพราะไม่ได้ยึดถืออะไรว่าเป็นของตน เป็นแต่เพียงอาศัยใช้ชั่วคราว อาศัยใช้ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ เพราะในที่สุดเราก็ต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป “อสฺสโก โลโก” สัตว์โลกไม่มีอะไรเป็นของของตน... ต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไปในที่สุด เลยไม่มีอะไรจะสูญเสีย ได้เตรียมใจเอาไว้แล้วว่า ในที่สุดเมื่อความตายมาถึงเข้า เราจะต้องสูญเสียหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือแม้แต่อย่างเดียว ร่างกายของเราซึ่งเป็นที่รักที่หวงแหน เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เรารัก ก็เอาไปไม่ได้ ในที่สุด ต้องเอาไปฝังไปเผาแล้วแต่คนที่อยู่ข้างหลังเขาจะทำอย่างไร ถ้าทำใจไว้ล่วงหน้าอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นกันเองกับความเจ็บไข้ กับความตาย กับความสูญเสียกับการพลัดพราก กับอะไรต่ออะไรต่าง ๆ ปลงไปได้เยอะทีเดียว นี้คือข้อที่ ๔ เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นธรรมดา

ข้อที่ ๕ ให้พิจารณาถึงกรรมให้มาก ๆ ในชีวิตประจำวันเราทำกรรมทุกวัน เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง มีเจตนาที่จะทำกรรมดีบ้าง กรรมชั่วบ้าง เพียงแต่คิดมันก็เป็นกรรมแล้ว ทั้งกรรมดีกรรมชั่วมันมากมายเหลือเกินแต่ละวัน ๆ สลับซับซ้อนกันอยู่ในจิตของเรา ลึกจนไม่รู้จะลึกอย่างไร มหาสมุทรสุดที่จะลึกมากแล้ว แต่ว่าอะไร ๆ ที่มันอยู่ในจิตของเรา มันลึกมากกว่านั้นอีก มันหยั่งถึงได้ยาก เพราะสะสมมานานหลายแสนปี หลายล้านปี ในสังสารวัฏที่ยาวนานนี้ ... เพราะฉะนั้นให้นึกถึงกรรมว่า เราจะต้องเป็นไปตามอำนาจของกรรม แต่ก็เปลี่ยนแปลงได้ พยายามเปลี่ยนแปลงให้มันดี กรรมก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ แล้วแต่เราจะทำ แล้วแต่เราจะเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นไปอย่างไร เพราะมันไม่เที่ยง ถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยให้ดี มันจะเปลี่ยนไปในทางดี ถ้าเราสร้างเหตุปัจจัยไม่ดี มันจะเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีเช่นกัน ... ... ...




(คัดย่อ เรียบเรียง จากบางส่วนหนังสือ ธรรมดาของชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง.....อาจารย์วศิน อินทสระ)


ขอขอบพระคุณที่มาจาก...เว็บลานธรรมจักร

17



หลักความจริง ที่ทุกคนรวมทั้งสัตว์จะต้องได้รับโดยเสมอหน้า และยุติธรรมอย่างยิ่ง คือหลักความจริงที่ว่า ทุกคนจะต้องแก่ชรา ต้องเจ็บป่วย ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากของรักและต้องรับผลแห่งการกระทำ ที่ตนเองได้ทำเอาไว้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (หลักอภิณหปัจจเวกขณะ) พระพุทธองค์ตรัสว่า
หญิงก็ตาม ชายก็ตาม ผู้ที่บวชก็ตาม ไม่ได้บวชก็ตาม ควรพิจารณาความจริงของชีวิต ๕ ประการ คือ
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้
๒. เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้
๔. เราจำต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งของซึ่งเรารักเราชอบทั้งสิ้น
๕. เรามีกรรมเป็นของของตน เราทำดีต้องได้ดี เราทำชั่วต้องได้ชั่ว

หลักความจริงที่ทุกคนควรพิจารณา ๕ ข้อ นี้ เป็นสิ่งที่ผู้มีชีวิตตามอายุขัยจะต้องได้ประสบทุกคน ไม่มีใครจะหลีกหนีได้พ้น ต่างแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น
เมื่อรู้กฎความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่ควรประมาท ควรหมั่นพิจารณาอยู่เป็นประจำ เพื่อการทำใจหรือปรับใจ ยอมรับความจริงไว้ก่อน เมื่อเหตุการณ์ใน ๕ ข้อนี้เกิดขึ้น เราก็จะได้ไม่ต้องฝืนกฎธรรมดาของโลก เมื่อเราไม่ฝืนกฎของธรรมดาหรือธรรมชาติ ความทุกข์ก็เกิดได้น้อย หรือไม่เกิดเลย

การสำรวจเรื่องนี้ ก็เพื่อไม่ให้เรามัวเมา ประมาท สำหับความประมาทนั้นคืออะไร ได้แก่ การปล่อยเสียซึ่งสติ ไม่ระลึกตรึกตรอง มองพิจารณา ปล่อยให้จิตน้อมไปทางอกุศล เช่น ทางความโลภ โกรธ หลง เป็นต้น ไม่ดำริไปทางกุศล มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ดังนี้เรียกว่า ความประมาท สิ่งที่เกื้อหนุนให้เกิดความประมาทคือความเมา ๓ อย่าง คือ
๑. ความเมาในวัย คือคิดว่าเรายังหนุ่มสาว ยังไม่ต้องละอกุศล ยังไม่ต้องเจริญกุศล
๒. ความเมาในความไม่มีโรค คือคิดว่าเรายังแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ยังไม่ต้องละอกุศล ยังไม่ต้องเจริญกุศล
๓. ความเมาในชีวิต คือคิดว่าเรายังไม่ตาย ยังมีชีวิตสืบต่อไปได้นาน ยังไม่ต้องละอกุศล ยังไม่ต้องเจริญกุศล
ความมัวเมาทั้ง ๓ นี้ เป็นเครื่องเกื้อหนุนให้เกิดความประมาท เพราะว่าเป็นเหตุให้กระทำบาปทางกาย วาจา ใจ คิดประทุษร้ายแก่ผู้อื่น เป็นเหตุให้เสื่อมจากกุศล ทาน ศีล ภาวนา ฟังพระธรรมเทศนา เป็นต้น

การหมั่นระลึก พิจารณาถึงหลักความจริงดังกล่าว ย่อมถือได้ว่า เป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมา สามารถตัดความยินดีในภพทั้งหลายได้ คลายความรักใคร่ในชีวิตเสียได้ จะเว้นเสียซึ่งบาปกรรม ทำให้เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ไม่สะสมหวงแหน ตระหนี่ข้าวของ จะคุ้นเคยในอนิจจสัญญา คือรู้ว่าสังขารคือรูปธรรม นามธรรม ร่างกาย จิตใจ ไม่เที่ยง ทุกขสัญญา คือรู้ว่าเป็นทุกข์ อนัตตสัญญา คือรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา จะเป็นผู้ไม่กลัวตาย เวลาจะตายจะมีสติไม่หลงตาย เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จะเป็นผู้ไม่ประมาท จะเป็นผู้ขยันขันแข็งในการละอกุศลกรรม และจะเป็นผู้ขยันขันแข็งในการเจริญกุศลกรรม บุคคลผู้มีความไม่ประมาทในกุศลธรรมนี้ ย่อมเป็นมงคลอันประเสริฐในชีวิต




(รวบรวม เรียบเรียง คัดย่อ จากคัมภีร์มงคลทีปนีและหนังสือพุทธมงคลอานิสงส์)


ขอขอบพระคุณที่มาจาก...เว็บลานธรรมจักร

18



เมื่อสมเด็จองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วได้ประมาณ 236 ปี พระมหาโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ เล็งญาณดูกาลอนาคตของพระพุทธศาสนาเห็นว่าต่อไปชมพูทวีปซึ่งเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาจะไปเจริญรุ่งเรืองในทวีปอื่น จึงได้ถวายพระพรพระเจ้าอโศกมหาราช ขอความอุปถัมภ์ เพื่อจัดส่งพระเถรานุเถระเป็นคณะไปเผยแพร่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศนอกชมพูทวีป ด้านใต้ถึงเกาะลังกา ด้านตะวันตกถึงเปอร์เซีย ด้านเหนือถึงประเทศแถบเชิงเขาหิมาลัย ด้านตะวันออกถึงสุวรรณภูมิ เหตุการณ์ก็จริงดังคาด พอพระพุทธศักราช ประมาณ 1100 ปีเศษ พระพุทธศาสนาก็อันตรธานจากชมพูทวีป ไปเจริญรุ่งเรืองยังนานาประเทศจริงๆ สุวรรณภูมิ ก็คือแหลมทอง ซึ่งหมายถึงผืนแผ่นดินตั้งแต่อ่างเบงกอลมาจนถึงทะเลญวณ ได้เป็นที่รองรับพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่พระพุทธศักราชประมาณ 236 ปีเศษ มีโบราณวัตถุสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นสักขีพยานในโบราณสถานนั้นๆ เช่นพระปฐมเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม มีวงล้อธรรมจักรทำด้วยศิลาขนาดใหญ่โตมาก  ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น เพราะยังไม่เกิดประเพณีสร้างพระพุทธรูปที่เมืองเสมา (ร้าง) ในจังหวัดนครราชสีมา ก็มีวงล้อธรรมจักรทำด้วยศิลาขนาดเดียวกันกับที่นครปฐม และที่ตำบลฟ้าแดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีภาพแกะสลักศิลาเป็นเรื่องพุทธประวัติ ซึ่งเป็นพยานว่าพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรือง ณ. แหลมทอง โดยเฉพาะที่นครปฐมและนครราชสีมาในสมัยเดียวกัน ประมาณว่าในราวพุทธศตวรรตที่ 4 การที่พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องเป็นระยะไกลถึงเกือบพันปีเช่นนี้ ย่อมต้องมีทิพยจักขุญาณแจ่มใสจริงๆ แน่นอน เมื่อทราบแล้ว ท่านก็ดำเนินการแก้วิกฤตการณ์ไว้ล่วงหน้าทันที
 
ผลดีที่เกิดขึ้นคือ พระพุทธศาสนาแพร่หลายและดำรงอยู่ได้ในนานาประเทศนอกชมพูทวีปมาจนถึงปัจจุบัน ชมพูทวีปคือ ประเทศอินเดียซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพระพุทธศาสนา ได้ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนามานานประมาณพันปีแล้ว พึ่งจะมีพระภิกษุจากลังกา พม่า และอาหม เข้าไปทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในชมพูทวีปอีกเมื่อประมาณ 60 ปีมานี่เท่านั้น ถึงกระนั้นก็ยังหวังความเจริญรุ่งเรืองเหมือนในสมัยพุทธกาลได้ยาก เพราะสภาพการณ์ของบ้านเมืองและประชาชนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ลัทธิศาสนาอื่นได้ฝักรกรากแทนที่พระพุทธศาสนามานาน บุคคลผู้จะนำพระพุทธศาสนาไปปลูกฝังลงยังอินเดีย ได้อีกจะต้องเป็นผู้มีบุญญาภิสมภารและอิทธิภินิหารเป็นอัศจรรย์ยิ่งกว่าเจ้าลัทธิคณาจารย์ในถิ่นเป็นอย่างมาก
 
มีคำทำนายโบราณชิ้นหนึ่งได้เป็นที่ตื่นเต้นสนใจกัน เมื่อประมาณ 60 ปีกว่ามานี้ มีว่า เมื่อพระพุทธศาสนาอายุถึงกึ่ง 5,000 ปีนับแต่พุทธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดคล้ายสมัยพุทธกาล แลจักมีผู้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงภูมิพระอรหันต์ เชี่ยวชาญทางอภิญญา พระมหาเถระโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภิสมภาร แลถึงพร้อมด้วยบุญญฤทธิ์อิทธาภินิหาร ในสุวรรณภูมิแคว้นประเทศ จักได้เป็นประธานาธิบดีสงฆ์ทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก โดยเริ่มต้นที่อินเดียไปยุโรปและอเมริกา ประชาชนชาวโลกจะหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนามากมาย คนทั้งหลายจะนิยมในการฝึกฝนอบรมจิตในทางพระพุทธศาสนา ประเทศชาติบ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข ด้วยร่มเงาของพระพุทธศาสนา เงาเจริญแห่งพระศาสนาเริ่มปรากฏแล้ว ชาวอัศดงประเทศกำลังหันมาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น แต่ใครเป็นตัวการตามทำนายนั้น ยังมิได้ปรากฏแก่วงการพระพุทธศาสนา ขอให้คอยดูกันต่อไปว่า จะจริงเท็จแค่ไหน ถ้าคำทำนายเป็นจริงขึ้นก็แปลว่า ชาวพุทธผู้ให้คำทำนายไว้นั้น มีทิพยจักขุญาณวิเศษที่สุดได้แน่ๆ ทีเดียว และตัวการในคำทำนายนั้น จะเป็นบุคคลที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของโลกสมัยใหม่ด้วย ข้าพเจ้าได้เรียนถามพระอาจารย์ภูริทัตตเถระ (มั่น) ว่า คำทำนายโบราณนี้จะเป็นจริงไหม ท่านว่าเจ้าพระคุณพระอุบาลีปมาจารย์ (สิริจันทเถระ จันทร์) บอกว่าจริง เมื่อข้าพเจ้าถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของท่าน ท่านก็บอกว่าเป็นจริง เวลานี้ก็จวนถึงเวลาแล้ว เราคอยดูกันต่อไป เอวัง.............
 
 
(ขอบคุณที่มาจากหนังสือ ทิพยอำนาจ แต่งโดยพระอาจารย์ เส็ง ปุสโส ป.ธ.6)

19
เรื่องชีวิตและกรรม มีความสลับซับซ้อนมากดังพรรณนามา คนที่มองชีวิตและกรรมในสายสั้น จึงไม่อาจเข้าใจชีวิตและกรรมอย่างแจ่มแจ้งโดยตลอดได้ แม้ผู้ได้ญาณระลึกชาติหนหลังได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) และได้ญาณรู้อนาคต (อนาคตตังสญาณ) แต่ได้ระยะสั้นเพียงชาติ ๒ ชาติ ก็ยังหลงเข้าใจผิดได้ เพราะเห็นผู้ประกอบกรรมชั่วในปัจจุบันบางคนตายแล้วไปบังเกิดในสวรรค์ เห็นผู้ทำกรรมดีบางคนตายแล้วเกิดในนรก เขาไม่มีญาณที่ไกลกว่านั้น จึงไม่อาจเห็นกรรมและชีวิตตลอดสายได้ ส่วนผู้มีญาณทั้งในอดีตและอนาคตไม่มีที่สิ้นสุดเช่นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถเห็นกรรมและชีวิตได้ตลอดสาย ทรงสามารถชี้ได้ว่า ผลอย่างนี้ๆ มาจากกรรมอย่างใด
มีตัวอย่างแห่งกรรมมากมายที่ปรากฎในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า บุคคลนั้นๆ ได้ประสบผลดีผลชั่วอย่างนั้นๆ อันแสดงถึงผลกรรมที่สามารถให้ผลข้ามภพข้ามชาติ จะขอนำบางเรื่องมาประกอบพิจารณาในที่นี้

๑. ภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อจักขุบาล ท่านทำความเพียรเพื่อบรรลุมรรคผลจนตาบอดทั้ง ๒ ข้าง พร้อมกับสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นผลของกรรมที่เมื่อชาติหนึ่ง พระจักขุบาลเป็นหมอรักษาโรคตา ประกอบยาให้คนป่วยตาบอดโดยเจตนา เพราะคนป่วยทำทีบิดพลิ้วจะไม่ให้ค่ารักษา เรื่องนี้ปรากฎในอรรถกถาธรรมบทภาค ๑ เรื่องจักขุบาล

๒. ชายคนหนึ่ง ชื่อจุนทะ มีอาชีพทางฆ่าหมูขาย คราวหนึ่งป่วยหนัก ลงคลาน ๔ ขาร้องครวญครางเสียงเหมือนหมู ทุกข์ทรมานอยู่หลายวันจึงตาย เรื่องนี้ปรากฎในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๑ เรื่องจุนทสูกริก

๓. ชายคนหนึ่ง มีอาชีพทางฆ่าโคขายเนื้อ วันหนึ่งเนื้อที่เก็บไว้เพื่อบริโภคเอง เพื่อนมาเอาไปเสียโดยถือวิสาสะ จึงถือมีดลงไปตัดลิ้นโคที่อยู่หลังบ้านมาให้ภรรยาทำเป็นอาหาร ขณะที่เขากำลังบริโภคอาหารอยู่นั้นลิ้นของเขาได้ขาดหล่นลงมา เขาคลาน ๔ ขา เหมือนโค ร้องครวญครางทุกข์ทรมานแสนสาหัสและสิ้นชีพพร้อมกับโคหลังบ้าน เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบทภาค ๗ เรื่องบุตรของนายโคฆาต

๔. ภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อติสสะ เป็นแผลเปื่อยพุพองรักษาไม่หายพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ไปช่วยดูแลให้อาบน้ำอุ่น แสดงธรรมให้ฟังพระติสสะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกับนิพพานในวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าที่เป็นแผลพุพองนั้นเพราะชาติก่อน พระติสสะเป็นพรานนก จับนกขายเป็นอาหาร ที่เหลือก็หักปีกหักขาไว้เพื่อไม่ให้มันบินหนี เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๒ เรื่องปูติคัตตติสสะ

๕. พระนางโรหิณี ๑ พระขณิษฐาของพระอนุรุทพระญาติของพระพุทธเจ้า ทรงเป็นโรคผิวหนังอย่างแรง ทรงละอายจนไม่ปรารถนาพบผู้ใด เมื่อพระอนุรุทเถระมาถึงเมืองกบิลพัสดุ์ พวกพระญาติต่างก็มาชุมนุมกัน เว้นแต่พระนางโรหิณี พระอนุรุทจึงถามหา ทราบความว่าพระนางเป็นโรคผิวหนัง พระเถระให้เชิญพระนางออกมาแล้วทรงแนะนำให้ทำบุญโดยให้ขายเครื่องประดับต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แล้วนำทรัพย์มาสร้างศาลาโรงฉัน ท่านขอแรงพระญาติที่เป็นชาย ให้ช่วยกันทำโรงฉัน
พระนางโรหิณีทรงเชื่อ เมื่อสร้างโรงฉัน ๒ ชั้นเสร็จแล้ว ทรงปัดกวาดเอง ทรงตั้งน้ำใช้น้ำฉันสำหรับพระภิกษุสงฆ์เอง ถวายขาทนียะโภชนียาหารแก่ภิกษุสงฆ์เป็นประจำทุกวัน โรคผิวหนังของพระนางค่อยๆ หายไปทีละน้อยจนเกลี้ยงเกลา โรคนี้เป็นโรคที่เกิดแต่กรรม ต้องเอาบุญมาช่วยรักษา ลดอิทธิพลแห่งกรรมจนไม่มีอานุภาพในการให้ผลอีกต่อไปเหมือนคนกินยาเข้าไปปราบเชื้อโรค
วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จมาเสวยที่โรงฉันของพระนางโรหิณี แล้วตรัสให้พระนางทราบว่าโรคนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรมของพระนางเอง
ในอดีตกาล พระนางโรหิณีเป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสีมีจิตริษยาหญิงนักฟ้อนคนหนึ่งของพระราชา ได้ทำเองด้วย ให้คนอื่นทำด้วย คือการเอาผลเต่าร้างหรือหมามุ้ยโรยลงบนสรีระของหญิงนักฟ้อนคนโปรดของพระราชา นอกจากนี้ยังให้บริวารเอาผงเต่าร้างไปโปรยบนที่นอนของหญิงนักฟ้อนคนนั้นอีกด้วย หญิงนักฟ้อนคันมาก เป็นผื่นพุพองขึ้นมา ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส นี่คือบุพพกรรมของพระนางโรหิณี พระพุทธเจ้าตรัสเตือนว่าพึงละความโกรธความถือตัวเสีย
เรื่องนี้ ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๖ เรื่องพระนางโรหิณี

๖. ในอรรถกถาสาราณียธรรมสูตร ภาค ๓ หน้า ๑๑๐–๑๑๒ เล่าไว้ว่า ในพุทธกาลมีภิกษุรูปหนึ่ง มีนิสัยชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ได้ปัจจัยอะไรมาก็แบ่งปันแก่ภิกษุอื่นเสมอๆ ด้วยอานิสงส์นี้ ท่านกลายเป็นผู้มีโชคดีในเรื่องลาภอย่างประหลาด ในที่บางแห่ง ภิกษุอื่นไปบิณฑบาตไม่ได้อาหารอะไรเลย แต่พอภิกษุรูปนั้นไป ปรากฏว่ามีคนมีจิตคิดทำบุญใส่บาตรให้ท่านจนเต็ม ท่านได้นำอาหารเหล่านั้นมาแบ่งให้ภิกษุอื่นๆ จนหมด คราวหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินมีพระประสงค์จะถวายผ้าแก่พระทั้งวัดมีผ้าเนื้อดีที่สุด ๒ ผืน (คงจะเป็นผ้านุ่ง คือผ้าสบงผืนหนึ่ง ผ้าห่มคือจีวรผืนหนึ่ง) พระรูปนั้นทราบเข้าจึงพูดไว้ล่วงหน้าว่า ผ้าเนื้อดี ๒ ผืนนั้น จะต้องตกมาถึงท่านอย่างแน่นอน อำมาตย์ได้ทราบเรื่องนี้ จึงนำเรื่องไปทูลกระซิบพระราชา พระราชาเป็นผู้ถวายผ้าเอง ก็ทรงสังเกตผ้าที่วางซ้อนๆ กันอยู่ พอมาถึงลำดับภิกษุหนุ่มรูปนั้น ก็เป็นผ้าเนื้อดีทั้ง ๒ ผืน ทั้งอำมาตย์และพระราชาต่างมองหน้ากันเป็นเชิงประหลาดใจ เมื่อทำพิธีถวายผ้าเสร็จแล้ว พระราชาเสด็จเข้าไปหาภิกษุหนุ่มรูปนั้น ด้วยเข้าพระทัยว่าพระรูปนั้นเป็นพระอรหันต์มีญาณวิเศษอย่างแน่นอน จึงตรัสถามว่าพระคุณเจ้าได้บรรลุโลกุตรธรรมตั้งแต่เมื่อไร ภิกษุหนุ่มถวายพระพรว่ายังไม่ได้บรรลุอะไรเลย แต่ที่รู้ว่าผ้าเนื้อดีจะต้องตกแก่ตนนั้นก็เพราะท่านเป็นผู้บำเพ็ญสาราณียธรรมคือการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่เป็นนิตย์ ตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญมาก็ได้ผลอย่างประหลาดอยู่เสมอ คืออะไรที่ดีที่สุด ถ้ามีการแจกกันโดยไม่เจาะจง สิ่งนั้นก็ต้องตกมาถึงท่าน พระราชาทรงชื่นชมยินดีและทรงอนุโมทนา

๗. ในคัมภีร์อปทาน(อันเป็นพระประวัติที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าถึงเรื่องในอดีตของพระองค์) พระไตรปิฎก เล่ม ๓๒ ตั้งแต่หน้า ๔๗๑ พระองค์ได้ทรงเปิดเผยถึงอดีตกรรมของพระองค์ อันเป็นเหตุบันดาลให้เกิดผลแก่พระองค์ในปัจจุบันมากเรื่องด้วยกัน ขอนำมากล่าวเพียงบางเรื่องดังนี้ ๒

          ๗.๑ ชาติหนึ่ง พระองค์เป็นนักเลงชื่อปุนาสิ กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายพระองค์เลยแม้แต่น้อยผลของกรรมนั้นทำให้พระองค์ต้องตกนรกอยู่นาน ในพระชาติสุดท้ายถูกนางสุนทรีใส่ความว่าพระองค์ได้เสียกับนาง เป็นเรื่องอื้อฉาวมากเรื่องหนึ่งในพุทธกาล
         

          ๗.๒ ชาติหนึ่ง พระพุทธองค์ได้ใส่ความสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสัพพาภิภู (พระนามของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ชื่อสาวก) สาวกนั้นชื่อนันทะ ด้วยผลกรรมนั้น พระองค์ต้องนกนรกอยู่นาน ในพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงถูกนางจิญจมาณวิกาใส่ความว่าได้เสียกับนางในพระคันธกุฎีจนนางมีครรภ์ เป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในพุทธกาล
         

          ๗.๓ ชาติหนึ่ง พระองค์ทรงฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะอยากได้ทรัพย์เพียงผู้เดียว โดยผลักน้องชายลงซอกเขาเอาหินทุ่ม ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงถูกพระเทวทัตปองร้ายเอาศิลาทุ่ม แต่เพราะกรรมนั้นเบาบางมากแล้วจึงไม่ถูกอย่างจังถูกเพียงสะเก็ดเล็กน้อยที่นิ้วพระบาทเท่านั้น*


ขอบคุณที่มาจากหนังสือ "หลักกรรม และ การเวียนว่ายตายเกิด เขียนโดย วศิน อินทสระ

20
คาถาอาคม / คาถารักษาโรคกรรม
« เมื่อ: 11 ธ.ค. 2553, 10:11:01 »
เมื่อครั้งหลวงปู่ฝั้นพักอยู่บ้านจีด มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งแกไอทั้งวันทั้งคืน แม้ขณะนั่งฟังเทศน์ก็ไอตลอดเวลา
รบกวนสมาธิผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทศน์จบหลวงปู่ฝั้นจึงเอ่ยถามว่า  "ทำไมไม่รักษา"    โยมผู้นั้นก็ตอบว่า
กินยามานับขนานไม่ถ้วนก็ยังไม่หาย ท่านจึงบอกโยมผู้นั้นว่า "คงเป็นกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน" จึงขอให้โยม
ผู้นั้นหัดภาวนา แล้วบอกคาถาให้บริกรรมว่า " ปฏิกะ มันตุ ภูตานิ "

ท่านให้ภาวนาตั้งจิตบริกรรม โดยกำหนดจิตที่ใดที่หนึ่ง วันแรกนั่งบริกรรมได้สักพักก็ยังไออยู่ตลอด วันที่สอง
ปรากฏว่ามีอาการค่อยชุ่มคอขึ้น อาการไอห่างไปบ้าง พอถึงวันที่สามอาการไอก็หายราวกับปลิดทิ้ง โยมผู้นั้นนั่ง
บริกรรมอยู่จนดึกดื่น ใครๆก็หลับกันหมด ก็ยังไม่ยอมหลับ ในที่สุดอาการไอก็หายโดยเด็ดขาดตั้งแต่วันนั้น
เป็นต้นมา...



ขอบคุณที่มา : http://www.geocities.com/samadhinet

21
กฎแห่งกรรม / บวชหนีกรรม
« เมื่อ: 27 ก.ย. 2553, 11:56:43 »


ณ.มุมหนึ่งแห่งย่านหัวลำโพง มีครอบครัวๆหนึ่งอาศัยอยู่...ซึ่งครอบครัวนี้มีลูกชายชื่อว่าหยู และเป็นเด็กเสเพล เกเรมากๆ จนอยู่มาวันหนึ่ง....

เมื่อถูกพ่อและแม่เคี่ยวเข็ญมากๆ   หยูก็ได้หนีออกจากบ้าน  ไปอาศัยอยู่กับเพื่อน ๆ และคลุกคลีมั่วสุมกินเหล้าเมายา  ไม่ไปเรียนหนังสือ
ครั้นยามใดไม่มีเงินใช้ หยูก็จะไปลักเล็กขโมยน้อย อย่างที่เพื่อนๆทำกันเป็นประจำ นานๆไปก็ออกปล้นอย่างจริงจังขึ้น  หยูใช้ชีวิตดำมืดนาน
8 ปี เขาปล้นทรัพย์มามากต่อมากแต่ยังไม่เคยฆ่าคนตาย

ต่อมาเพื่อนๆที่ร่วมขบานการ ถูกตำรวจจับกุมได้เพราะว่าเคยฆ่าคนตายบ้าง เคยข่มขืนผู้หญิงบ้าง หยูจึงเหลือเพื่อนคนเดียวคือชัย วันหนึ่งชัย
มาชวนไปปล้นบ้านหลังหนึ่งที่ชานเมืองแถวๆบางบัวทอง

และได้สนทนากันว่า..."เป็นบ้านคนมีเงินแน่นอน ไม่ค่อยจะมีคนอยู่บ้านหรอก บ้านสร้างเสร็จใหม่ๆหลังใหญ่โต สงสัยจะยังไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่
อย่างถาวรล่ะมั้ง"

"เอาไว้ก่อนเถอะนะชัย" หยูปฏิเสธเพราะนึกเบื่อๆ ชีวิตโจรขโมยของตน และอยากจะมองหางานอื่นทำ...

จะไปทำอะไรได้ ใครเขาจะรับ ความรู้ก็ไม่มี วุฒิการศึกษาก็ไม่มี มิสู้หาเงินสักก้อนเพื่อลงทุนค้าขายเล็กๆน้อยๆ คำพูดของชัยทำให้หยูคิดถึง
อนาคตของตน แต่ด้วยสันดานโจร แทนที่จะทำงานสุจริตเก็บเงินเพื่อลงทุนค้าขาย แต่เขากลับคิดหาเงินทุนจากการออกปล้นอีกครั้ง!!!

คืนหนึ่งได้ฤกษ์ หยูกับชัยไปปล้นบ้านปลูกใหม่ หลังนั้น ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ห่างๆ จากหลังอื่นพอสมควร พอไปถึงพบว่าหน้าบ้านเปิดไฟอยู่เพียง
ดวงเดียว และมีรถคันหนึ่งจอดอยู่ในบ้าน แม้จะอยากปล้นตอนที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว หยูก็ไม่เปลี่ยนใจ

เมื่องัดประตูครัวด้านหลังเข้าไปในบ้าน ทั้งสองก็ช่วยกันค้นหาทรัพย์สินมีค่า เก็บกวาดข้าวของใส่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ โจรทั้งสองลงมืออย่างรวดเร็ว
และแผ่วเบาเพราะเป็นมืออาชีพ

แต่แล้วไฟที่บันไดก็สว่างพรึ่บ!!!

"ใครน่ะ"

ชายเจ้าของบ้านยืนอยู่กลางบันไดพร้อมปืนสั้นกระบอกหนึ่งในมือ ชัยเห็นเข้าตกใจมากจึงยิงใส่เจ้าของบ้านหนึ่งนัด เจ้าของบ้านกลิ้งตกบันได และ
ยิงสวนมาสองนัด แล้วเสียงวี้ดว้ายของผู้หญิงก็ดังขึ้น

ส่วนหยูกระโดดหลบที่มุมหนึ่งในห้องโถงใหญ่ ชัยสบถแล้วยิงไปอีกนัด เจ้าของบ้านก็ยิงสวนมา กระสุนนัดหนึ่งวิ่งเข้าใส่ที่แขนขวาของหยู ขณะที่
เขาทั้งหมอบทั้งคลานไปที่ประตูหลังบ้าน เขาก็หันไปเห็นว่าชายอีกคนหนึ่งยืนถือเก้าอี้อยู่และฟาดลงใส่ตัวเขาอย่างแรง

หยูรีบส่ายกระบอกปืนไปที่ชายคนนั้น ขณะเหนี่ยวไกปืน เขาก็เห็นผู้หญิงวิ่งปราดเข้ามาหาชายคนนั้นแล้วร้องลั่นว่า...เขามีปืน
หยูลั่นไกอย่างไม่ทันได้คิด แค่คิดว่าจะหนีไปจากตรงนั้นให้ได้ ...เสียงผู้หญิงร้องกรีด เสียงดังโครมครามอื้ออึง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเร็วในเวลา
ไม่กี่นาที

ในที่สุดหยูก็หนีรอดมาได้...ส่วนชัยตายในบ้านหลังนั้น ภรรยาสาวของเจ้าของบ้านไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนพี่ชายของภรรยาเจ้าของบ้านบาด
เจ็บถูกยิงเข้าที่ช่วงไหล่ เขาเป็นคนที่ถือปืนมาเจอหยูกับชัย

หยูเสียใจที่รู้ว่ามีคนตาย และเป็นผู้หญิง!!!
และเขาก็รู้สึกผิดนักเมื่อรู้ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 4-5 เดือนแล้ว...!!!

หยูหลบหนีคดีไปอยู่ตามต่างจังหวัด หลายๆแห่ง หางานทำเป็นลูกจ้างรายวันไปเรื่อยๆ จน 8 ปีผ่านไปเขาจึงได้เดินทางกลับบ้านไปหาพ่อแม่เป็นครั้ง
แรก ผู้เป็นพ่อแม่ร้องไห้ดีใจเมื่อได้พบหน้าลูกอีก และขอร้องให้เขาบวช หยูอยู่ที่บ้านนาน 3 เดือน จึงได้ตัดสินใจบวช...

เมื่อได้ครองเพศบรรพชิตแล้ว หยูก็ตั้งใจท่องสวดมนต์ภาวนาและถือศีลเคร่งครัด เขาบวชได้นานเดือนเดียวก็ป่วยและต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ขณะเดินทางนั่งรถโดยสารไปโรงพยาบาล   มิคาดว่ารถโดยสารคันนั้นเกิดอุบัติเหตุชนกันและพลิกคว่ำมีคนตายและคนบาดเจ็บมากมาย

หยูซึ่งอยู่ในเพศบรรพชิต...ก็ได้เสียชีวิตตายคาที่...ในที่แห่งนั้นด้วย!!!




ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม




+++++++++++++++++++++++++++++กระเบนท้องน้ำ++++++++++++++++++++++++++++++


 
 

22
บทสวดมนต์ / บทกรวดน้ำ..ชอบมาก
« เมื่อ: 09 ส.ค. 2553, 09:32:50 »


     ธรณี นี่นี้ เป็นพยาน
  อันตัวลูกได้ทำทาน เสร็จแล้ว
  จึงยืมถังท่านสมภาร มากรวด น้ำเฮย
  คนอื่นใช้ขวดและแก้ว ลูกว่า เล็กไป
    เพราะสิ่งหวังในใจลูก มากมี
  ขึ้นศกใหม่ทั้งที ต้องเริ่ด
  จะขอเผื่อสามี และบุตร ด้วยแฮ
  ชวนมาวัดทำเชิ่ด ทั้งลูก และผัว
       
    หากชาติหน้าเกิดอีก ฉันใด
  ขอเกิดประเทศไทย นะแม่
  เกิดต่างแดนคงทำใจ ลำบาก
  ภาษาอังกฤษฉันแย่ แต่เล็กจนโต
       
    ขอให้สวยสุดหล้า ปฐพี
  ได้ประกวดบนเวที หมู่บ้าน
  มีสติปัญญาดี มิโง่
  ให้โลกสะเทือนสะท้าน นี่แหละ หญิงไทย
       
    ขอผัวที่ดี เก่ง และรวย
  ผัวกระบักกระบวย ขอเว้น
  มีผัวผิดคิดจนงงงวย ผัวเหี่ยว
  ได้ดั่งใจลูกจะเซ่น ด้วยกิ๊กหนึ่งคน
       
    ถ้ามีลูกขอลูกอย่า ทิ้งฉัน
  เวลาแก่ตัวมัน ลำบากเน้อ
  เลี้ยงโตแล้วทิ้งกัน หนีหมด
  ปล่อยแม่คิดถึงเก้อ นี่หรือลูกเรา
       
    ขอตัดเวรกับเจ้าหนี้ ทั้งปวง
  ชาตินี้ไม่มีดวง จ่ายให้
  จงอย่าเสียเวลาทวง วานบอก ทีแม่
  ชาติหน้าอาจจ่ายได้ ถ้าผัวฉันรวย
       
    ขอมากไป? หรือแค่ ชิวชิว?
  แต่ตอนนี้ ลูกเป็นตะคริว ช่วยด้วย!!!!!



ขอบคุณเพื่อน : F.W.mail

23


กรรม และ เหตุ-ผล ของกรรม และวิธีแก้ไข




1.กรรมที่ไม่มีลูก

กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น

วิธี ลดกรรม : งดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ7วันในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์ หรือมูลนิธิเด็กอ่อน



2.เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย

กรรมจาก : เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์

วิธี ลดกรรม : ทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต



3.ตาบอด หรือ เป็นโรคตา

กรรมจาก : เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สาธารณะ

วิธี ลดกรรม : ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันตะเกียงที่วัด



4.ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย

กรรมจาก : เคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ

วิธีลดกรรม : หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ



5.สูญเสียคนใกล้ชิด

กรรมจาก : เคยยิงนกตกปลา

วิธีลดกรรม : ทำบุญไถ่ชีวิตโคกระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อย สัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ3เดือนทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา



6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย

กรรมจาก : เคยพูดจาให้เป็นเหตุ ให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน

วิธีลดกรรม : พิมพ์หนังสือธรรมมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข



7.มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด

กรรมจาก : เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา

วิธี ลดกรรม : ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี



8.ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร

กรรมจาก : ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ

วิธีลดกรรม : ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร เป็นต้น



9.ตั้งหลักปักฐานไม่ได้โยกย้ายบ่อย

กรรมจาก : ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์วิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ

วิธีลดกรรม : ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหารร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้พระศาลเจ้าพ่อหลักเมือง



10.มักถูกรังแก เบียดเบียน

กรรมจาก : ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช

วิธี ลดกรรม : บวชด้วยจิตศรัทธาปวารณาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วันหรือ 15 วัน 1เดือน 1 พรรษา แล้วแต่จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือ ศีล8 ตามเวลาที่สะดวกหรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้



11.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ขาดเสน่ห์

กรรมจาก : ไม่เคยถวายของหอม

วิธี ลดกรรม : หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียนดอกไม้ พวงมาลัย ทองคำเปลว ประพฤติดี ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดีทำดีพูดดีให้ผู้อื่น



12.เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว

กรรมจาก : ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน

วิธี ลดกรรม : หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น พิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี



13.ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค

กรรมจาก : เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้านหรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก

วิธี ลดกรรม : บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วยสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะ หรือทางสัญจร



14.เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป

กรรมจาก : เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน

วิธีลดกรรม : ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธ พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์



15.ขัดสน อดมื้อกินมื้อ

กรรมจาก : เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ

วิธีลดกรรม : แบ่งปันอาหาร น้ำเสื้อ แก่คนยากไร้อนาถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ



16.อาภัพคู่ ร้างคู่

กรรมจาก : เคยผิดลูกผิดเมียเขา

วิธี ลดกรรม : บวชพระหรือบวชชี ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่เป็นต้น



17.ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์

กรรมจาก : เคยข่นขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่

วิธีลดกรรม : บวชพระ หรือ บวชชี ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา



18.อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย

กรรมจาก : เคยจับสัตว์ขัง

วิธีลดกรรม : ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำปล่อยนกปล่อยกาทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา



19.รูปร่างหน้าตาไม่งดงาม

กรรมจาก :ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม

วิธีลดกรรม :ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล



20.มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน

กรรมจาก :เคยคดโกงผู้อื่น

วิธีลดกรรม :สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลทุกๆเดือน



21.พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ

กรรมจาก :เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่หรือทำร้ายพ่อแม่

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล5 ศีล8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน



22.มีคดีความ

กรรมจาก :เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วย

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล5 ศีล8 เดือนละ 7 วัน



23.ไร้ที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง

กรรมจาก :ไม่สงเคราะห์คนอนาถาที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก

วิธีลดกรรม :ร่วมทำบุญซื้อกระเบื้องหลังคาโบสถ์ หมั่นกราบไหว้บูชา ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด



24.จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห

กรรมจาก :มักตระหนี่ในการทำบุญ

วิธี ลดกรรม :สวดมนต์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล5,8 ทุกๆ3เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือสิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากหรือทำบุญบริจาคทาน



25.ไม่มีชื่อเสียง

กรรมจาก :เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย

วิธีลดกรรม :ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา



26.ไม่มีวาสนาบารมี

กรรมจาก :ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมะ

วิธีลดกรรม :ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน



27.มีลูกหลานไม่ดีเกเร ไม่เชื่อฟัง

กรรมจาก :ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน

วิธีลดกรรม :บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง



28.เจอแต่คนเอาเปรียบ

กรรมจาก :เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้

วิธีลดกรรม :หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์
อธิษฐานบารมีขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต



29.เกิดในสกุลต้อยต่ำ

กรรมจาก :โอหัง อวดดีจิตใจคับแคบ

วิธีลดกรรม :ร่วมทำบุญ สร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี



30.ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา

กรรมจาก :เคยเมาสุราอาละวาด ระรานผู้อื่น

วิธีลดกรรม :นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี



31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์

กรรมจาก :เคยชักจูงคนทำชั่ว

วิธีลดกรรม :ถือศีล8เป็นเวลา7วันทุกๆ3เดือนหมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน



32.จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์

กรรมจาก : เคยริษยาผู้อื่น

วิธีลดกรรม :ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงแม่น้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร



33.ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ

กรรมจาก :เคยทำแท้ง

วิธีลดกรรม :ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ9เดือนหรือ 1ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรอยู่เสมอ



34.เป็นเมียน้อย เมียเก็บ

กรรมจาก :เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่า
กี่ภพกี่ชาติก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน

วิธีลดกรรม :ถวายธงคู่ รูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน
อุทิศ ให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง
สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อๆไป ทำบุญสังฆทาน ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้แก้เจ้ากรรมนายเวรใน
อดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม



35.เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว

กรรมจาก :เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในครอบครัว เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัว และคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก
ในอดีตและปัจจุบันชาติ ต้องบวชชีพราหมณ์เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีขึ้นเพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น





36.เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

กรรมจาก :ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ

วิธี ลดกรรม :ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศล ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง
กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด





37.เป็นมะเร็ง

กรรมจาก :รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น

วิธีลดกรรม :ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพรามหณ์1เดือนเพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างวัดศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน





38.ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า

กรรมจาก :เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาชินบัญชร



39.ด้อยปัญญา

กรรมจาก :ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมะ

วิธีลดกรรม : พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ



40.ตกงาน

กรรมจาก :เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา



41.ไม่มีโชคลาภ

กรรมจาก :ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว



42.เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค

กรรมจาก :ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม

วิธีลดกรรม :หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ



43.มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน

กรรมจาก :ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน

วิธีลดกรรม :ถือศีล5,8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือ ทุกๆ3เดือน



44.ครอบครัวยากจน

กรรมจาก :ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน

วิธีลดกรรม :หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น
ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด



45.เป็นทุกข์เพราะความรัก

กรรมจาก :ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก

วิธีลดกรรม :ประพฤติปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นให้สมรัก




ขอบพระคุณที่มา...http://dhammathai.org/store/karma/view.php?No=330

24

 

 
 
ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม
หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใด แล้วเกิดอุปสรรค = ถูกปิดกั้นหนทาง                                                 
มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆมันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ

ข้อคิด
จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาด

 
 
 
 

 

 
 

 
ปรัชญาที่ 2   มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน
มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันต์ฤดู จะคงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น มันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์ ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา

ข้อคิด
จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคต
 
 

 
 

 
 

 

 
 

 
ปรัชญาที่ 3  มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาว
ท่ามกลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันห์ มันจะเตือนตัวเองว่า "ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้" เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพรงอีกครั้ง และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันใด



                                                                                     



 
ข้อคิด
จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลา

ปรัชญาที่ 4  ทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ
มดสามารถเก็บเกี่ยวเสบียงตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้

ข้อคิด
จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลัง




 
สรุป

1) อย่ายอมแพ้

2) มองไปข้างหน้า

3) มองโลกในแง่ดี

4) ทำเต็มความสามารถ


 
Though Small body but high performance

25
กฎแห่งกรรม / กรรม...ของช่างซ่อมรถ
« เมื่อ: 06 ส.ค. 2553, 12:01:48 »

           

ณ.มุมหนึ่งของจังหวัดสุราษฏร์ธานี นายเดเป็นช่างซ่อมรถมาตั้งแต่วัยรุ่น เมื่ออายุย่างเข้า 30 เขาก็เปิดอู่ซ่อมรถเล็กๆเป็นของตนเอง
และเขาได้มีลูกน้องช่วยงาน 3 คน

นายเดเป็นช่างที่มีฝีมือคนหนึ่ง แต่เขากลับไม่ใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำอาชีพของเขา เพราะว่านายเดจะชอบฉวย
โอกาสคิดราคาค่าซ่อมรถสูงๆเกินจริงกับลูกค้าที่นำรถมาซ่อม รถบางคันเสียแห่งเดียว  นายเดก็โกหกว่าซ่อมยากเพราะเสียหลายจุด
ต้องคิดราคาทั้งค่าอะไหล่สูง  และคิดค่าแรงแพงๆ  แต่พอลงมือซ่อมรถนายเดกลับซ่อมอย่างไม่เต็มที่นัก  และใช้อะไหล่เก่าๆบ้าง
ใช้ของปลอมบ้าง

บางครั้งเขาก็สอนให้ลูกน้องแอบเปลี่ยนเอาอะไหล่ดีๆ จากรถลูกค้าโดยใส่ของเก่าของชำรุดไปแทน ลูกค้าบางคนต้องทิ้งรถไว้นานๆ
พอมารับรถตามนัดก็มาเก้อหลายครั้ง เพราะนายเดยังซ่อมไม่เสร็จแต่ที่จริงเขายังไม่ได้ลงมือซ่อม  เพราะมัวแต่ไปเที่ยวร่ำสุราเพลิน

แม้จะเป็นคนไม่ซื่อตรงต่ออาชีพของตนเอง แต่นายเดก็ยังเปิดกิจการได้ เพราะในย่านนั้นไม่มีอู่ซ่อมรถเลย เมื่ออายุได้ 39 ปีนาย
เดก็ได้ภรรยา เขารักภรรยาคนนี้มาก เธอเป็นหัวหน้าแม่บ้านบริษัทแห่งหนึ่ง แต่เธอเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดี เมื่อแต่งงานกันได้ 4
 ปี เธอต้องลาออกจากงานมาอยู่บ้าน เพราะป่วยบ่อยด้วยโรคเกี่ยวกับเม็ดเลือดขาวและเป็นโรคหัวใจด้วย

คืนหนึ่ง ภรรยาป่วยหนัก นายเดรีบขับรถพาภรรยาไปโรงพยาบาลกลางดึก ขณะขับรถไปได้ครึ่งทาง รถของเขาก็เกิดเสียและ
เครื่องดับกระทันหัน!!! นายเดรีบหาไฟฉายไปเปิดกระโปรงรถและหาทางซ่อมแซมแก้ไข แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆเลยเขาพยายาม
หาสาเหตุอยู่นานเกือบ 15 นาที แต่แล้วก็จนใจเพราะไม่อาจหาสาเหตุได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถ

ภรรยานายเดเริ่มมีอาการหนัก หายใจขัดมากขึ้น นายเดรีบออกเดินไปตามถนนเพื่อหารถและคอยโบกเผื่อมีรถผ่านมาบ้าง แต่เผอิญ
คืนนั้นไม่มีรถผ่านมาเลย เขาร้อนใจจนแทบเสียสติ ครั้นกลับมาที่รถก็พบว่าภรรยาสลบไปแล้ว  นายเดไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยลอง
สตาร์ตรถอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าเกิดสตาร์ตติด แล้วรีบขับพาภรรยาไปโรงพยาบาล แต่ทว่าเมื่อถึงโรงพยาบาลก็สายไปเสียแล้ว ภรรยา
ของเขาสิ้นลมเพราะสมองขาดอากาศและหัวใจวาย นายเดร้องไห้และตรอมใจอยู่นานหลายเดือน

วันหนึ่งญาติของเขาที่เป็นพระมาเยี่ยมเขาที่อู่ซ่อมรถ ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่นาน พระก็เอ่ยขึ้นว่า " ชาติก่อน แกเคยช่วยสร้างโบสถ์ ไม่
ใช่บริจาคทรัพย์หรอก แกช่วยสร้างด้วยแรงกายแรงใจอย่างเต็มใจและมีศรัทธา "

ญาติผู้พี่ที่เป็นพระกล่าวว่าบุญเก่ายังไม่หมด กรรมใหม่จึงมาไม่ถึงตัวเขาเองโดยตรง นายเดไม่อยากเชื่อนักในตอนแรกแต่เขาก็ประหลาด
ใจมิรู้วายว่าเป็นเพราะอะไร หากภรรยาเขาหัวใจวายสิ้นใจที่บ้าน มันก็ไม่น่าแปลกนักเพราะเธอป่วยอยู่แล้ว แต่นี่ทำไม เธอต้องมาตาย
บนรถของเขาและทำไมรถต้องมาเสียโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งๆที่รถไม่เคยเสียและที่สำคัญก็คือ ตัวเขาเองเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถแท้ๆ

ภรรยาต้องมาตายบนรถที่เขามิอาจซ่อแซมแก้ไขได้เลย...


เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า " การทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ควรที่จะมีความซื่อสัตย์ต่ออาชีพและต่อลูกค้า มิฉะนั้นจะเป็นกรรมที่จะต้อง
รอการชดใช้ ไม่เจอกับตัวเองก็เจอกับคนที่เรามากรักที่สุด "



ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


*****************************กระเบนท้องน้ำ*******************************

26

               
                              วัดกุฏิดาว กรุงศรีอยุธยา

กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของไทย ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบอาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย ขุนนาง ขุนศึก พ่อค้าและชาวบ้านทั้งหลายยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตรุ่งเรืองถึงขีดสุด จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย

จนกระทั่งเกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย ผู้คนและเหล่าทหาร ช้าง ม้า วัว ถูกฆ่าตายกลาดเกลื่อน สมบัติมากมายที่สะสมกันไว้จึงถูกซุกซ่อนฝังไว้ตามจุดต่างๆ

ขุนนาง คหบดีและเจ้านายบางพระองค์ นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้ว ยังถึงกับฆ่าบริวารหรือทหารของตนให้ตายโหงอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ เพราะหวังจะให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เฝ้าสมบัติของตนก็มี

เมืองกรุงเก่าอยุธยานับแต่อดีตถึงปัจจุบันจึงขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องของวิญญาณ ที่มักมาปรากฏตามสถานที่โบราณต่างๆ หลายเรื่องน่ากลัว หลายเรื่องฟังแล้วน่าตื่นเต้นดีและทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจริงในอดีตเกี่ยวกับลายแทงสมบัติอันบ่งบอกจุดที่ซ่อนของขุมทรัพย์มากมาย ภายในอาณาบริเวณอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ลายแทงนั้นบอกว่า พระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ "วัดกุฏิดาว" มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง

ลายแทงขุมทรัพย์มีค่ามหาศาลนี้ผู้ที่ได้ครอบครองไว้เป็นเจ้านายระดับพระองค์เจ้า พระองค์หนึ่ง การได้มาของลายแทงนี้ไม่ทราบชัดว่าท่านได้มาอย่างไร...จากใคร...แต่พิสูจน์ได้แน่ชัดว่า ต้องมีทรัพย์มีค่าฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ

เพราะพระองค์เจ้าพระองค์นี้ กับพระสหายชาวต่างประเทศได้นำเอาเครื่อง "ไมน์ดีเทคเตอร์" ซึ่งเป็นเครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุมาสำรวจตรวจดูแล้ว และปรากฏว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ระบุว่าจุดที่ตรวจค้นมีสมบัติล้ำค่าถูกฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ

วัดกุฏิดาวเป็นวัดร้าง มีร่องรอยว่าเคยเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในสมัยอยุธยาในลายแทงขุมทรัพย์บอกว่า ที่วัดแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าถูกฝังไว้รอบอุโบสถถึง 16 แห่ง ดังนั้นพระองค์เจ้าพระองค์นี้และพระสหายหลายคน

จึงได้ทำเรื่องเสนอต่อกรมศิลปากร ขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว โดยขอแบ่งทรัพย์ที่ขุดขึ้นได้เพียง 10% และอีก 90% จะมอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติ ท่านจึงเริ่มดำเนินการขุดค้นที่วัดกุฏิดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ.2503

น่าประหลาดที่การขุดสมบัติที่วัดกุฏิดาว เมื่อขุดลงไปตรงจุดที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งที่ก่อนลงมือขุดได้ใช้เครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูก่อนแล้ว เครื่องก็ส่งสัญญาณว่ามีสิ่งมีค่าฝังอยู่แน่นอน แต่พอขุดลงไปกลับไม่มีอะไรเลย

การขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏิดาวในครั้งนั้น นอกจากจะพบความผิดหวังแล้ว พระองค์เจ้าฯและพระสหายยังพบกับเหตุการณ์อัศจรรย์ที่น่ากลัวอีกหลายอย่าง

นั่นก็คือท่านและพระสหายเห็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" มาปรากฏต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ เป็นร่างของนักรบไทยโบราณ ร่างใหญ่โต แต่ไร้หัว นอกจากนี้ภายในวังของท่านก็ยังมีเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา เสียงนั้นดังชัดเจนได้ยินกันหลายคน

เหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้น ทำให้พระองค์ต้องเชิญอาจารย์ที่นั่งทางในเก่งๆ มาช่วยดู อาจารย์ท่านนั้นก็บอกว่า วิญญาณที่ปรากฏเป็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เขาเป็นเจ้าของสมบัตินั้น และโกรธแค้นมากที่เจ้านายพระองค์นี้ มาทำการขุดค้นสมบัติของเขา จึงมาสำแดงกายให้เห็นทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน

คำสาปแช่งนั้นต่อมาก็เป็นจริง  เพราะพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดสมบัติกับท่านได้เสียชีวิตกระทันหัน  ทั้งๆ  ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงทุกอย่าง ส่วนประสหายอีกคนก็หายสาบสูญไป โดยไม่ทราบชะตากรรม ส่วนตัวท่านเองทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุน

ขุมทรัพย์โบราณที่วัดกุฏิดาว ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ที่เดิม เพราะยังไม่มีใครกล้าหาญไปขุดค้น เพราะเกรงว่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ จะมาหลอกหลอนและสาปแช่ง

วัดกุฏิดาวเป็นวัดเล็กๆ ป้ายชื่อวัดไม่มีบอก ต้องอาศัยถามจากชาวบ้าน แถวใกล้วัดกุฏิดาวยังมีวัดใกล้เคียงหลายวัด รวมถึงวัดมเหยงค์ซึ่งขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" อีกวัดหนึ่ง

"วัดมเหยงค์"  นี้เคยเป็นวัดร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังของอุโบสถซึ่งกระเทาะหลุดร่อนเหลือแต่อิฐแดงๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงให้เห็นว่าเคยเป็นศาสนสถานที่สวยงามในอดีต

วัดมเหยงค์แห่งนี้เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่า มีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ในท่วงทำนองอันไพเราะ ดังแว่วมาจากอุโบสถ เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ สวดช้า และเยือกเย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบัน และจะดังขึ้นในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...





ขอบคุณที่มา : หญิงไทย-แม็ก ดอทคอม
ภาพประกอบเรื่องจากอินเตอร์เน็ต

27



วันก่อนบริเวณริมแม่น้ำปิง หน้าศาลเจ้าพ่อ-เจ้าแม่หน้าผา ถนนโกสีย์เหนือ เมืองนครสวรรค์ ที่ตั้งของโรงสูบน้ำการประปาเทศบาลฯ มีประชาชนจำนวนหลายร้อยคนแห่กันมาดูต้นไม้ที่จมอยู่ก้นแม่น้ำปิง

มีขนาดความยาว 4.73 ม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.70 เมตร คาดว่าจะเป็นต้นตะเคียนทองที่จมอยู่ในแม่น้ำปิงมานานเกือบ 100 ปี

โดยก่อนนี้ นางศิริพร บุญเรืองขาว ปลัดเทศบาลนครนครสวรรค์ เดินทางมาตรวจโรงสูบน้ำของการประปาเทศบาลนครนครสวรรค์ และพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำปิงลดลงไปมากจนมองเห็นต้นคะเคียนทองที่จมอยู่ จึงให้คนช่วยกันหารถลากมาใช้โซ่ดึงเพื่อจะเอาขึ้นมาจากแม่น้ำ

ครั้งแรกปรากฏว่าโซ่ขาด ครั้งที่สองก็ไม่สำเร็จเนื่องจากระบบไฮดรอลิกเสีย จึงยังเอาต้นไม้ขึ้นไม่ได้

ต่อมามีคณะคนทรงมาทำการเข้าทรงที่บริเวณดังกล่าว พร้อมมีดนตรีไทยบรรเลง โดยนางแนน อิ่มโพธิ์ แม่ค้าขายปลาทูตลาดบ่อนไก่ บอกว่าทราบข่าวว่ามีต้นตะเคียนทองจมอยู่ในแม่น้ำปิง จึงมาดูเมื่อวันที่ 22 ก.ค. พอตกกลางคืนฝันไปว่ามีหญิงชรามาบอกว่าอาศัยอยู่ในต้นตะเคียนดังกล่าวพร้อมกับลูกและเพื่อนลูก อยู่ในน้ำมานานแล้ว อยากให้ช่วยเอาขึ้นจากน้ำ โดยต้องทำพิธีใช้ผลไม้ 9 อย่าง หมาก พลู ขนมจีนน้ำยา ขนมหวาน ขนมปลากริม ขนมบัวลอย ผ้านุ่งสีแดง แล้วจะขึ้นได้ง่าย

จากนั้นจึงไปเชิญนางเล็ก รุ่งเรือง คนทรงมาทำพิธีทรง บอกว่าที่อาศัยอยู่ในต้นตะเคียนทองเป็นเจ้าแม่สไบทองและลูก พร้อมลูกบุญธรรม ขอให้ช่วยนำขึ้นจากน้ำด้วย

ขณะนั้นปรากฏว่ามีผู้หญิงรูปร่างสูงคนหนึ่งที่มุงดูอยู่ล้มหงายหลังลงไปและมีอาการเหมือนถูกประทับทรง ร่างของผู้หญิงคนดังกล่าวบอกว่าตนเป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในต้นตะเคียน อยากจะไปหาแม่ บ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับบอกชอบผ้าสีเขียว อยากขึ้นจากน้ำขอให้ช่วยเอาขึ้นด้วย

ต่อมาชาวบ้านใช้กล้องมือถือถ่ายภาพต้นตะเคียน และพอถ่ายแล้วก็มาดูที่จอโทรศัพท์มือถือก็พบว่าข้างต้นตะเคียนที่ถ่ายมานั้นปรากฏภาพผู้หญิงยืนอยู่

จึงลือกันว่าน่าจะเป็นเจ้าแม่สไบทองที่อยู่ในต้นตะเคียน




ขอบคุณที่มา...

28
กฎแห่งกรรม / ชีวิตติดกรรม
« เมื่อ: 29 ก.ค. 2553, 10:23:57 »

นางสาเป็นแม่บ้านทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ในบ่อนแห่งหนึ่งที่เขมร นางเพิ่งจะอยู่กินกับสามีซึ่งเป็นพนักงานในบ่อนเดียวกันนั้นเอง

ปีต่อมานางสาตั้งครรภ์ แม้อายุ 39 ปี แล้วแต่หมอตรวจครรภ์ก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะนางสาสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี
สามีก็ช่วยต้มน้ำซุปบำรุงครรภ์ผู้เป็นภรรยาอยู่เสมอๆ แต่ทว่าเคราะห์ร้ายนัก เมื่อตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน นางสาก็แท้งลูก!

เหตุเกิดจากวันหนึ่งที่บ่อนเกิดเรื่อง มีคนวางเพลิง นางสาวิ่งหนีออกมาพร้อมๆกับผู้คนมากมายที่เบียดเสียด แย่งกันหนีไฟที่ลุกไหม้
จนควันเต็มไปหมด นางสาพลาดตกบันไดจนแท้งลูกในที่สุด

สองสามีภรรยาทุกข์ใจนัก แต่ก็พยายามรักษาสุขภาพจนสามารถตั้งครรภ์ได้ในอีก 2 ปีต่อมา คราวนี้สามีให้นางสาลาพักงานตั้ง
แต่ช่วงตั้งครรภ์แต่แรกเลย ทั้งสองประคบประหงมดูแลครรภ์อย่างดี จนกระทั่งคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชาย สองสามีภรรยาดีอก
ดีใจมาก แต่ทว่าลูกชายของนางสา มีความผิดปกติทางสมอง!

เมื่อลูกชายโตขึ้นได้ขวบกว่า จึงเห็นได้ชัดว่าลูกเป็นเด็กปัญญาอ่อน นางสาและสามีเป็นทุกข์มาก นางสาสงสารลูกพยายามเลี้ยงลูก
อย่างดี แต่ 3ปีต่อมาสามีก็หนีหายไปเพราะอับอาย นางสาต้องทุกข์ใจและลำบากกายเลี้ยงลูกตามลำพัง โชคดีที่นายเก่าใก้กลับ
ไปทำงานได้ นางสาจึงฝากลูกให้คนข้างบ้านดูแล ช่วงที่นางไปทำงานกะกลางคืน เพื่อนบ้านก็คิดค่าดูแลไม่แพงเพราะกลางคืนเด็ก
จะนอน ไม่ต้องดูแลมาก

 " มันเป็นกรรมของฉันเอง ฉันไม่โทษหรอกที่แฟนเขารับไม่ได้ " นางสาตัดพ้อบอกกับเพื่อนๆที่ทำงาน ว่าไม่โกรธแค้นในโชคชะตา
กรรมที่มีลูกพิกลพิการและสามียังมาทอดทิ้งไปอีก และยังเล่าต่อว่า ตอนที่แม่ฉันตายฉันไปอยู่กับป้าที่ฐานะยากจน และมีลูกหลายคน
ฉันจึงต้องออกไปทำงาน ที่มุมถนนแถวบ้านมีคลีนิคแห่งหนึ่ง ฉันไปทำงานเป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด อยู่มาไม่กี่เดือนก็ได้เลื่อนขั้นเป็น
ผู้ช่วยหมอ...ที่นั่นเป็นคลีนิครับทำแท้งเถื่อน!!!

นางสาเล่าว่าตอนนั้นอายุแค่ 17 ปี นางช่วยพาคนไข้สาวๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พาขึ้นนอนบนเตียงขาหยั่ง เตรียมยาสลบให้หมอ คอย
จับคนไข้ถ้าฟื้นขึ้นมากลางคัน จากนั้นก็เอาเด็กอ่อนตัวน้อยๆบ้าง เอาก้อนเลือดบ้างใส่ถุงไปฝัง เหล่านี้คือหน้าที่ที่นางทำอยู่นานถึง
5 ปีเต็ม!

ฉันควรจะรีบหางานอื่นแล้วก็ลาออกจากงานนรกนั่นซะ แต่ฉันกับทำอยู่นาน เพราะได้เงินดี และหมอ 2 คนที่นั่นก็ดีต่อฉันมาก ไม่นึก
เลย...ว่ามันจะเป็นกรรมตามมาอย่างนี้.



เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า "การรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับหน้าที่การงานที่ทำแม้จะเป็นเพียงผู้กระทำการสนับสนุน แต่วิบากกรรมนั้น
เที่ยงตรงแและก็ส่งผลโดยไม่มีการยกเว้น"




****************************กระเบนท้องน้ำ******************************

29


พระพุทธรูปปางนาคปรกวัดปู่บัว พุทธลักษณะงดงามเป็นที่หมายตาของนักสะสมโบราณวัตถุอย่างยิ่งยวด
หลังกรุแตกประมาณ พ.ศ.2475 นั้น พระพุทธรูปปางนาคปรกทยอยออกจากวัดปู่บัว ตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ไปเกือบสิ้น ที่เหลือชาวบ้านนำไปประดิษฐานไว้ในห้องเล็กๆบนเจดีย์เก่าของวัดจำนวน 2 องค์ เรียกกันว่า หลวงพ่อนาคสองพี่น้อง ตามชื่อปางและจำนวนพระที่เหลืออยู่

สมบัติอันล้ำค่า ทำไมนำมาประดิษฐานไว้บนเจดีย์โดยไม่มีอะไรป้องกัน นายประโลม ฟักข้อง อายุ 68 ปี บ้านเลขที่ 28/3 หมู่ 1 หรือบ้านหัวถนน ตำบลสนามชัย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งของวัดปู่บัวบอกว่า ความเชื่อของคนสมัยก่อน จะไม่นำเอาของวัดเข้าบ้าน ถ้านำเข้าไปจะถือว่าเป็นเสนียด จัญไร ชาวบ้านจึงไม่คิดว่าใครจะมาขโมย

ร่องรอยพระพุทธรูปปางนาคปรก หรือตามคำเรียกขานของชาวบ้านหัวถนนว่า หลวงพ่อนาคสองพี่น้อง ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์เก่าของวัด รูปทรงเจดีย์แปลกตา หันหน้าเข้าหาแม่น้ำท่าจีนด้านทิศตะวันตก หน้าเจดีย์เก่ามีเจดีย์องค์เล็กๆเรียงรายอยู่ 6 องค์ ด้านนี้เองมีบันไดขั้นเล็กๆไล่ระดับสูงขึ้นสู่ห้องประดิษฐานพระ

ภายในห้องประดิษฐาน มีพระเล็กพระน้อยวางอยู่มากมาย ที่สะดุดตาคือ ฐานพระพุทธรูป 2 องค์ที่ถูกขโมยตัดไป รอยตัดอยู่เหนือปลายสังฆาฏิไปเล็กน้อย เหลือปลายสังฆาฏิไว้ให้เห็นประมาณ 5 เซนติเมตร พระหัตถ์ประสานกันบนพระเพลา ขนดนาคมีเกล็ดให้เห็นชัดเจน

 


ประเสริฐ - ประโลม - รังษี

เหตุการณ์ในคืนหลวงพ่อนาคถูกตัด นายดำ หรือประเสริฐ ภิญญะโพธิ์ อายุ 54 ปี ชาวบ้านหัวถนน หมู่ที่ 1 ตำบลสนามชัย ย้อนอดีตให้ฟังว่า "ขโมยหักพระไปในคืนวันโกน คืนนั้นฝนตก ตื่นเช้ามาก็ได้ยินเสียงชาวบ้านเล่ากันว่า หลวงพ่อนาคสององค์ถูกหักไป ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่เลย เรียนอยู่ประมาณชั้น ป.2 อายุประมาณ 10 ขวบเห็นจะได้" นายประเสริฐย้อนอดีตอย่างเศร้าใจ

พลางบอกอีกว่า เย็นวันเดียวกันนั้นเอง ตนเดินผ่านวัดปู่บัว เพื่อมาหาหอยเอาไปให้เป็ดกิน เมื่อผ่านหน้าเจดีย์เก่าก็ยกมือไหว้หลวงพ่อด้วยความเคารพศรัทธา การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของชาวบ้าน

สภาพของเจดีย์ "ยังไม่ชำรุดขนาดนี้ เมื่อพระหายเราก็มาดูกัน มีผู้ใหญ่ นักเรียนที่วัดปู่บัว มาดูกันเต็มเลย แต่โรงเรียนวัดปู่บัวเดี๋ยวนี้ยกเลิกไปแล้ว ชาวบ้านมาสาปแช่งกันไปต่างๆนานา แต่มันก็พิสูจน์ไม่ได้ หาหลักฐานอะไรไม่ได้ ไม่ได้ร่องรอยอะไร" นายดำบอก

แม้จะคิดไปอย่างนั้น แต่ในใจของนายดำและชาวบ้านเชื่อกันว่า น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตในสมัยนั้นเอาไป คนธรรมดาๆอย่างชาวบ้านคงไม่มีใครกล้าทำได้ เพราะต่างเชื่อกันว่า ของวัดไม่อยากให้นำเข้าบ้าน และพระพุทธรูปทั้งสองเป็นที่เคารพสักการะของทุกๆคน

 



พระในกรุที่พบพร้อมหลวงพ่อนาคมีจำนวนมาก เฉพาะพระนาคปรกมีไม่น้อยกว่า 32 องค์ และยังมีพระร่วงองค์เล็กๆอีกประมาณ 500-600 องค์

นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสุพรรณ มนัส โอภากุล เล่าไว้ในหนังสือพระฯเมืองสุพรรณ ว่า อาจารย์ใย เจ้าอาวาสวัดปู่บัว ต้องการทำทางจากกุฏิไปยังศาลาการเปรียญ เมื่อปรับเนินดินออกก็เห็นศิลาทราย ครั้นยกออกก็พบพระปางนาคปรกวางอย่างเป็นระเบียบ

พระพุทธรูปนาคปรก เนื้อหินทรายขาว องค์ใหญ่สูง 4-5 ฟุต และเล็กที่สุดประมาณ 1 ฟุตเศษ จำนวน 32 องค์ และบางคนก็บอกว่ามีถึง 40 องค์ นอกจากพระนาคปรกยังมีไหอยู่ 1 ใบ ในไหนั้นมีพระเนื้อชิน หรือพระร่วงวัดปู่บัวอีก 120 องค์ แต่มีผู้เฒ่าเล่าว่ามีนับ 1,000 องค์

เหตุการณ์ "กรุแตก" อยู่ในความสนใจของชาวบ้านทั่วไป

น่าสังเกตว่า พระพุทธรูปนาคปรกขนาด 4-5 ฟุต ทำไมถึงมาอยู่ รวมกันได้มากขนาดนั้น เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น หรือวัดทำเก็บไว้เอง แต่ประวัติวัดก็ไม่ได้บอกว่าอายุเก่าแก่ไปถึงศตวรรษที่ 18

นายประเสริฐบอกว่า สมัยนั้นตาของตนชื่อหลวงตาทอง กล่อมจิต บวชและจำพรรษาอยู่ที่วัด เล่าให้แม่ของตนฟังว่า พบพระนาคปรกประมาณ 60 องค์ และมีพระอื่นๆอีกมากมาย ส่วนนายประโลมบอกว่า น้าของตนชื่อ ยุ้ย เกร็งสุวรรณ เป็นเด็กวัดในสมัยนั้น เล่าให้ตนฟังว่า พบพระกรุเป็นจำนวนมาก หลังจากคนขุดกันไปแล้ว เด็กๆก็เข้าไปหากัน น้าของตนขุดได้พระเป็นจำนวนมาก ใช้ผ้าห่อกลับไปบ้าน เมื่อแม่ของน้ายุ้ยพบเข้าก็ไล่ให้เอามาคืนวัด เพราะเชื่อกันว่า ของวัดห้ามนำเข้าบ้าน

พระนั้นคือ พระร่วง "เมื่อน้าเอากลับมาไม่รู้ว่าจะเอาไปไว้ ที่ไหน จะไปให้พระก็กลัวโดนตี เมื่อลงไปอาบน้ำหน้าวัดก็สาดพระนั้นลงไปทั้งหมด" นายประโลมเล่า

นายประเสริฐเสริมว่า ลักษณะพระที่พบ ไม่ว่าจะเป็นพระนาคปรกหรือพระร่วง แม้ขนาดจะไม่เท่ากัน แต่ใบหน้าคล้ายๆกัน

หลังข่าวกระจายไป นายรังษี สุวรรณประทีป อายุ 80 ปี บ้านเลขที่ 43 หมู่ 1 ตำบลสนามชัย บอกว่า บรรดานักเล่นพระเข้ามาขุดกันหลายคณะ แต่ไม่มีใครได้ไป อาจเป็นเพราะว่าชุดแรกๆขุดกันไปหมดแล้ว คณะที่เข้ามาขุดนี้ นายรังษีตั้งข้อสังเกตว่า ราชการน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะแค่ชาวบ้านธรรมดาไม่น่าจะกล้าเข้ามาขุดได้

 


ร่องรอยจากปากคำชาวบ้าน พอประมาณได้ว่า พระพุทธรูปปางนาคปรก ที่ขุดพบจากกรุวัดปู่บัวมีไม่น้อยกว่า 32 องค์ ส่วนพระร่วงวัดปู่บัวนั้น จากปากคำของชาวบ้าน และที่มนัส โอภากุล บันทึกไว้อย่างเป็นทางการ ประเมินแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 องค์

จำนวนพระร่วงวัดปู่บัว นอกจากที่พบในไหแล้ว ร่องรอยจากปากคำของนายประโลมที่น้าชายไปขุดนั้น แสดงว่าเด็กคนอื่นๆก็ต้องขุดได้เหมือนกัน แต่ขุดได้แล้วเอาไปทำอย่างไร เอาไปไว้ที่ไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่ง

พระร่วงนับ 1,000 องค์นั้น มนัส โอภากุล แยกไว้ 4 พิมพ์คือ พิมพ์เศียรโต เป็นพระปางประทานพร สูงประมาณ 7 เซนติเมตร กว้าง 2.25 เซนติเมตร พุทธลักษณะ เช่น พระเศียรใหญ่ พระเนตรโปน พระศกคล้ายผมหวี ริมพระโอษฐ์บนสั้น ริมฝีปากล่างยื่นออกมา ส่วนอีก 3 พิมพ์คือ พิมพ์รัศมี พิมพ์พระเนตรโปน และพิมพ์ลพบุรี

เกี่ยวกับวัดปู่บัว กรมศิลปากรได้สำรวจและขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้ ระบุว่า ไม่ทราบประวัติการก่อสร้างที่แน่ชัด แต่จากลักษณะรูปแบบศิลปกรรมของเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป ที่ตั้งอยู่ภายในวัดเป็นแบบที่แปลกตา สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

และบอกว่า ในอุโบสถที่สร้างขึ้นมาได้ไม่นาน พบพระพุทธรูปหินทรายปางนาคปรกจำนวน 1 องค์ ที่มีรูปแบบศิลปกรรมแบบเขมรในประเทศไทย แต่ก็ไม่มีประวัติที่แน่ชัด จึงสันนิษฐานว่าน่าจะมีการนำมาจากที่อื่น และมาเก็บรักษาไว้ที่วัดปู่บัวแห่งนี้

ลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม 1. เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป เป็นศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น 2. พระพุทธรูปนาคปรก สลักจากหินทราย เป็นศิลปกรรมร่วมแบบเขมรในประเทศไทย (สมัยบายน)

สภาพปัจจุบัน เจดีย์ยังไม่ได้ทำการบูรณะ ส่วนพระพุทธรูปนาคปรกหินทราย ทางวัดได้ทารักสีดำ

หมายความว่า กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนพระพุทธรูปในพระอุโบสถและเจดีย์ของวัดไว้แล้ว และการขึ้นทะเบียนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อนาคสองพี่น้องที่เหลือแต่ฐาน และไม่บอกว่าพระพุทธรูปนาคปรกนั้นมาอยู่ที่วัดได้อย่างไร

 


พระครูสิริวิริยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดรูปปัจจุบัน อนุญาตให้ผู้เขียนและชาวบ้านเข้าไปดูพระพุทธรูปที่กรมศิลปากรกล่าวถึง พบว่าเป็นพระพุทธรูปนาคปรก ลงรัก ปิดทองบางจุด หน้าตักกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร สูงประมาณ 1.5 เมตร ใกล้ๆกันมีพระพุทธรูปปางนาคปรกอีก 1 องค์ ความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ชาวบ้านยืนยันว่าได้มาจากกรุเดียวกับหลวงพ่อนาคสองพี่น้อง

จำนวนพระพุทธรูปนาคปรกไม่ต่ำกว่า 32 องค์ เราพบแล้วถึง 4 องค์ ที่เหลือประดิษฐานอยู่ที่ไหนบ้าง และที่สำคัญ พระพุทธรูปมาประดิษฐานที่วัดปู่บัวได้อย่างไร

คำตอบคงไม่ใช่แค่กระแสน้ำท่าจีนที่ไหลผ่านวัดปู่บัวอย่างแน่นอน.





ขอบคุณที่มา...ไทยรัฐออนไลน์

30

ณ.มุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เมืองที่มีผู้คนมากมายและเป็นเมืองแห่งความวุ่นวายและสับสน มีครอบครัวๆหนึ่งมีเชื้อสายจีนพำนักอยู่

นายไช้มีพี่น้อง 3 คน นายไช้เป็นคนกลางและเป็นคนขยันขันแข็งในการทำงาน ปู่ของเขาหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีนทำงานรับ
จ้างจนตั้งตัวได้พ่อของนายไช้ก็ทำการค้าเก่ง สืบทอดกิจการขายส่งอยู่แถวย่านเจริญกรุง จนกิจการเจริญรุ่งเรือง และหันมาจับธุรกิจขาย
ทองคำรูปพรรณซึ่งนายไช้ก็ได้ช่วยงานพ่อและต่อมาเปิดร้านเป็นของตนเองแถวย่านเยาวราช

นายไช้เป็นคนรูปร่างเตี้ย หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ผิวก็ดำคล้ำทั้งๆที่เป็นลูกจีน  ตั้งแต่เล็กมักถูกเพื่อนล้อ จนเติบโตเป็นหนุ่มก็ไม่เคยมีแฟนอย่าง
คนอื่น นายไช้จึงทำแต่งานตลอดมา

ครั้นเมื่ออายุล่วงเลยวัย 30 ไปครึ่งค่อนทางแล้วจึงรู้สึกเงียบเหงา เพื่อนๆก็มีลูกมีเมียกันหมดแล้ว พี่ชายกับน้องชายก็มีครอบครัวที่อบอุ่น
นายไช้เริ่มให้พ่อสื่อแม่สื่อที่เป็นผู้ใหญ่คุ้นเคยกันช่วยหาคู่ให้  แต่ก็ไม่เคยลงเอยกับใครได้  จนนายไช้เข็ดขยาดการดูตัวเพราะผู้หญิงเห็น
เขาแล้วก็รังเกียจ

"คนบางคนหน้าตาอัปลักษณ์กว่าเรา ทำไมเขายังมีเมียได้ ทั้งๆที่ยากจนกว่าเราอย่างเทียบกันไม่ได้" นายไช้มักจะคิดเช่นนี้เสมอ  เพราะ
แม้จะรู้ตัวว่าเป็นคนขี้ริ้วรูปไม่งาม แต่ตนก็มีเงินมีทองและเป็นคนมีน้ำใจไมตรีคนหนึ่ง แม้กิจการจะเจริญรุ่งเรืองดี นายไช้มีคนนับหน้าถือ
ตานึกอยากไปเที่ยวเมืองนอกก็ไปได้ตามประสาคนมีเงิน แต่ก็กลับไม่เคยมีความสุขใจ เพราะชีวิตมีแต่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวหลาย
ต่อหลายปีผ่านไป

ตรุษจีนปีหนึ่ง นายไช้พาลูกน้องไปเที่ยวเมืองจีน ตนเองได้ไปไหว้พระเป็นครั้งแรกที่อธิษฐานขอคู่ ขอพรพระว่าตนไม่มีคนรู้ใจที่อยู่เป็น
เพื่อนกันไปยามบั้นปลายชีวิต เมื่อกลับมาเมืองไทยได้ไม่นาน นายไช้ได้ไปกินเลี้ยงงานแต่งงานคนรู้จักกัน  และเจอซินแสเฒ่าคนหนึ่ง
นั่งร่วมโต๊ะจีนด้วยกัน ซินแสทักขึ้นว่า "เถ้าแก่ยังไม่แต่งงานใช่มั้ย" นายไช้ไม่แปลกใจเพราะคิดว่าซินแสคนนี้อาจรู้มาจากคนอื่นๆ  แต่
กลับต้องประหลาดใจที่ซินแสผู้เฒ่าผมสีเทาท่าทางสุขุมเยือกเย็นพูดต่อไปว่า "เรื่องบางอย่างแม้ขอฟ้า  ฟ้าก็ไม่ประทานให้เพราะเป็น
กรรมเก่าแต่ชาติก่อน"


นายไช้สนใจนักจึงขอนัดคุยกับซินแส ต่อมานัดพบกันที่บ้านซินแสแถวท่าพระ ซินแสบอกว่าการที่ชาตินี้นายไช้อายุจะ 40 แล้วแต่หาคู่
ไม่ได้และไปไหนมาไหนก็ถูกคนดูหมิ่นดูแคลนในรูปลักษณ์ ทำให้มีแต่ความรู้สึกอับอายไม่เคยได้ภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่เคยมีความสุข
ความพอใจ ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพราะชาติก่อนนายไช้เคยทำผิดไว้ 2 ประการ ที่เป็นบาปเป็นกรรม

กรรมแรกคือข่มเหงเมียของตน ไม่เคยให้เกียรติ ให้ความรักตามที่สามีควรให้แก่ภรรยา ชาตินี้จึงหาเมียไม่ได้
อีกกรรมหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดมารูปไม่งามเป็นเพราะเคยกดขี่ข่มเหงบ่าวไพร่ไว้มาก ดูถูกเขา แกล้งเขาให้เหนื่อยบ้าง ให้ได้อายบ้าง ดูถูก
ดูแคลนว่าเขาเป็นคนต่ำต้อยคนละชั้นกับตัวเรา ซินแสตรวจดวงและนั่งทางในครู่เดียวจึงได้เอ่ยเล่าความทั้งหมดออกมาเช่นนั้น

ส่วนนายไช้จึงว่าชาตินี้ตั้งแต่สมัยยังช่วยกิจการของพ่อของปู่ ตนก็เป็นคนที่ไม่เคยดูถูกคนงานและคนใช้เลย แม้ทุกวันนี้บางครั้งนายไช้
ยังเคยกินข้างกล่องอย่างเดียวกับคนงานและนั่งกินด้วยกันบ่อยๆ เวลาต้องอยู่แก้งานดึกๆ ตนดูแลลูกน้องและบ่าวไพร่คนรับใช้อย่างดี
ตลอดมา ยิ่งกิจการดีก็ยิ่งแบ่งปันให้แก่ลูกน้องและคนใช้ตามเหมาะสม

ซินแสก็ว่ากรรมเก่าก็คือกรรมเก่าที่ส่งผลมา แต่สิ่งที่ดีในชาตินี้ก็เป็นกรรมดีอย่างใหม่ เป็นการสั่งสมบุญที่จะให้ผลในเวลาต่อไปข้างหน้า
ซึ่งอาจจะเป็นชาตินี้หรือชาติต่อไปก็ไม่มีใครรู้ได้

หลังจากนั้นนายไช้ก็หมั่นทำบุญมากขึ้น ใส่ใจเลี้ยงดูลูกน้องและคนรับใช้อย่างดีและสม่ำเสมอ ซึ่งก็เคยได้ทำเช่นนั้นมาก่อนอยู่แล้ว แต่
ก็ใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้น หมั่นถามไถ่ทุกข์สุข และให้ความดูแลช่วยเหลือเผื่อแผ่ไปถึงคนในครอบครัวของบริวารด้วย อีกทั้งยังชื่น
ชมให้เกียรติ ไม่ดูถูกดูแคลนแบ่งชั้นเจ้านายกับลูกน้อง

เวลาผ่านไปจนอายุ 50 ปี นายไช้แม้ยังไม่มีคู่ แต่ก็รู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจในตัวเอง เมื่อมองกระจกก็ไม่น้อยใจโชคชะตาหรืออับ
อายรูปร่างหน้าตาของตนเองอีก เพราะรู้สึกว่าตนมีดี ตนเป็นคนดีที่ทำสิ่งดีๆต่อผู้อื่น ฉนั้นแม้ไม่มีคู่ก็ไม่รู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป เพราะก็
ยังมีคนรอบข้างที่รักใคร่เขา แต่ทว่า 3 ปีต่อมานายไช้ได้พบกับลูกค้าคนหนึ่งเป็นแม่ม่ายสาวใหญ่วัย 40 กว่าปี ได้ติดต่อธุรกิจกันและ
พบเจอกันบ่อยๆ จนเกิดเห็นใจและถูกใจกันในที่สุด


ปีต่อมานายไช้ได้แต่งงานและแถมได้ลูกติดคนหนึ่งวัย 7 ขวบและก็ได้ลูกชายของตัวเองในปีต่อมานั่นเอง.



เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า คนเราไม่ควรยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา ถึงแม้จะถูกกรรมเก่าเล่นงานอยู่เท่าไหร่ก็ตาม แต่หมั่นขยันทำบุญ
และทำความดีอย่างไม่ย่อท้อ แล้วความดีและผลบุญนั้นก็จะส่งผลให้เราเองไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า เพราะเมื่อเราทำบุญและทำความดีแล้ว
ย่อมได้รับความสุขและความอิ่มเอิบใจทันที





ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


*******************************************กระเบนท้องน้ำ***************************************

31
กฎแห่งกรรม / กรรมตกทอด...
« เมื่อ: 24 ก.ค. 2553, 10:27:36 »

     

ณ.โรงงานแห่งหนึ่ง โรงงานแห่งนี้ผลิตสินค้าลอกเลียนแบบยี่ห้อแบลนด์เนม สินค้าต่างๆ นั้นมีทั้งกระเป๋า รองเท้า
หมวก และเสื้อผ้า
 
ที่แผนกหนึ่งมีเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี โดนทำงานหนักเกือบตลอดคืน เด็กเหล่านั้นมีอายุตั้งแต่ 12 ปี 11 ปี  ลงไป
จนถึงอายุ 7 ขวบ !!!
 
พวกแรงงานเด็กจะถูกจับตัวมาทำงานบ้าง บางคนพ่อแม่ขายลูกให้โรงงานแลกกับเงินเล็กน้อยบ้าง เด็กๆถูกบัง
คับให้ทำงานตั้งแต่ตี 4 จนถึงตี 2 ของวันใหม่ ได้นอนแค่ 2 ชั่วโมง ก็จะถูกปลุกมาทำงาน ได้กินอาหารแค่ 2 มื้อ
ตอน 8 โมงเช้าและตอน 3 ทุ่ม โดยได้กินแค่ข้าวต้มถ้วยเดียวบ้าง แกงราดเศษผักต้มจืดบ้างในแต่ละมื้อ
 
นายหว่องที่คุมแผนกเด็กจะใช้เข็มขัดเฆี่ยนตีเด็กๆ ที่อู้งานหรือเผลอหลับ  เขาเป็นหนุ่มหน้าตาหน้ากลัว ตาโปน
ผิวคล้ำ นายหว่องเป็นน้องชายเจ้าของโรงงานแห่งนี้ หากวันใดนายหว่องอารมณ์ไม่ดี เด็กๆเกือบยี่สิบคนจะโดน
ทุบตีอย่างโหดร้ายทารุณ จนมีบาดแผลตามเนื้อตามตัวเต็มไปหมด
 
นายหว่องทำหน้าที่โหดๆได้ 8 ปี โรงงาน copy สินค้าของพี่สาวก็ถูกปิดตัวลง นายหว่องได้แยกจากพี่สาวไปมี
ครอบครัวอยู่ที่ทางเหนือ และเขาได้มีลูก 4 คน ภรรยาของเขาค้าขาย  ส่วนนายหว่องนั้นทำงานขับรถส่งของให้
กับโรงงานแห่งหนึ่ง
 
สิบปีต่อมา ลูกคนโตของนายหว่อง ซึ่งมีอายุได้ 8 ขวบ ถูกรถบรรทุกเฉี่ยวจนถึงกับพิการขาหักข้างหนึ่ง  นาย
หว่องและภรรยาเสียใจมาก แต่ความเสียใจมิทันจางหาย ลูกสาวคนเล็กวัย 2 ขวบ ก็เป็นโรคเกี่ยวกับสมอง มี
อาการเหมือนเป็นเด็กปัญญาอ่อนไปเลย
 
หลายปีต่อมานายหว่องถูกวัยรุ่นรุมซ้อม จนต้องเข้าเฝือกที่แขนและขับรถไม่ได้ วัยรุ่นพวกนั้นที่จริงแล้วมีเรื่องกับ
ผู้จัดการของโรงงาน มิได้มีเรื่องกับนายหว่อง

ภรรยาของนายหว่องชวนเขาทำบุญเพื่อลดบาปกรรมแต่กาลก่อน แต่นายหว่องไม่สนใจ เขาคิดแก้แค้นวัยรุ่นกลุ่ม
ที่มาทำร้ายเขา ซึ่งยังไม่ถูกจับกุม แต่ทว่าเขากลับถูกแก๊งค์วัยรุ่นเกเรรุมทำร้ายจนถึงกับพิการเป็นอัมพาตต้องนอน
อยู่กับที่ ช่วยตัวเองก็ไม่ได้

ภรรยาของเขานำเขาไปฝากที่สถานสงเคราะห์เพราะตนต้องออกค้าขายเลี้ยงลูกพิการกับลูกปัญญาอ่อนและลูกอีก
2 คน นายหว่องจึงได้รับความลำบากและทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น.



เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง ไม่ช้าก็เร็ว และกรรมนั้นยังตกทอดไปถึงลูกหลาน
ไม่เฉพาะตัวเองเท่านั้นที่จะต้องรับกรรม แต่ทำให้ลูกและภรรยาต้องรับกรรมด้วย





****************************กระเบนท้องน้ำ*******************************

32

555+  คุณยายคนนี้  แกต้องเป็น ยายของ ศรีธนญชัย แน่ๆ เชื่อดิ!!!
 

   


หญิงชรานางหนึ่งถือถุงใบเขื่องเดินเข้าไปในธนาคาร
และกล่าวกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ ว่าต้องการ
ฝากเงินสามล้านบาทแต่ขอคุยกับผู้จัดการโดยตรง
พนักงานเห็นว่าหญิงชรามีเงินจำนวนมาก เลยพาไปห้องผู้จัดการเมื่อไปถึง
ผู้จัดการเกิดความสงสัยว่า
หญิงชราไปเอาเงินมาจากไหนเลยถามขึ้นว่า
ผู้จัดการ - คุณยายเอาเงินมาจากไหนมากมายครับ?
คุณยาย - ยายชนะพนันมาจ้ะ
ผู้จัดการ - ยายไปพนันอะไรมาเหรอครับ?
คุณยาย - ก็ไม่มีอะไรมากหรอกพ่อหนุ่ม....อยากรู้ใช่ไหม?
เรามาลองพนันกันก็ได้สักแสนนึง เอาไหมล่ะ?

ว่าก่อนเก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ไข่ของพ่อหนุ่ม
จะกลายเป็นสี่เหลี่ยม
ผู้จัดการ - ฮ่าฮ่าฮ้า ล้อเล่นน่า จะพนันกันจริงๆเหรอ?
คุณยาย - จริงๆซิ ยายมีเงินไม่เห็นเหรอนี่ไงตั้งสามล้าน
คุณยายเปิดถุงเงินให้ผู้จัดการดู
ผู้จัดการเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ไข่ของตนจะกลาย เป็นสี่เหลี่ยมเลย
ตอบตกลงรับคำท้าและนัดแนะกันว่าพรุ่งนี้เช้าเก้าโมงจ ะมาพบกันอีกที
ตลอดวันนั้นผู้จัดการไม่เป็นอันทำงานเฝ้าแต่คอยคลำไข ่ตัวเองว่ายังกลมๆรีๆ
อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาผู้จัดการก็ไม่ลืมที่จะ
ตรวจสอบลูกน้อยทั้งสองใบว่ายังกลมอยู่เหมือนเดิมจริง ๆ
เมื่อคลำดูแล้วก็ยังกลมๆดีอยู่ ผู้จัดการเลยรู้สึก
กระหยิ่มใจว่าวันนี้รวยแน่


เวลาเก้าโมงตรงหญิงชรามาที่ธนาคารและตรงไปที่ห้องผู้ จัดการทันทีพร้อมกับชายอีกคน
ผู้จัดการ - สวัสดีครับคุณยาย อ้าว...พาใครมาด้วยละนี่?
คุณยาย - อ๋อ…ทนายน่ะ ยายเห็นเงินพนันมันมากเลยพาทนายมาด้วย
ผู้จัดการ - ฮุฮุ…คุณยายผมเสียใจด้วยนะคุณยายแพ้พนันผมแล้วหละไข่ ผมยังกลมอยู่เลยนี่ไง

ว่าแล้วผู้จัดการก็จัดแจงปลดกางเกงลงและเรียกให้หญิง ชรามาตรวจสอบน้องชายได้

หญิงชราจึงเดินเข้าไปแล้วก็ลูบๆคลำๆไข่ผู้จัดการอยู่ สักพักแล้วพูดขึ้นว่า
คุณยาย - อืมมมม ยังกลมอยู่จริงๆ ยายยอมแพ้แล้ว
ขณะที่คุณยายกำลังคลำไข่ผู้จัดการอยู่นั้น...
ผู้จัดการเหลือบไปเห็นทนายที่มากับหญิงชรากำลังเอาหั วโขกกำแพงอย่างแรงติดๆ
กันหลายครั้ง

เลยถามคุณยายว่า
ผู้จัดการ - ยายๆ ทนายของยายเขาเป็นอะไรเหรอ?
คุณยาย - อ๋อ… เขาแพ้พนันยายน่ะ
ยายบอกเขาว่า ภายในเที่ยงวันนี้ยายจะได้คลำไข่ผู้จัดการแบ็งค์ใน
officeของผู้จัดการเองเลย
ทนายเขาไม่เชื่อ เราเลยพนันกันสองแสน....อิอิอิ..................


    5 5 5+


... กำไรเห็น ๆ ....



 
ขอขอบคุณ...เพื่อน F.W mail

33
การจัดสร้างรูปหล่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะ บนพระทันตธาตุจำลองของท่าน



รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์เกรียงไกร คุ้มไพโรจน์ ได้ขออนุญาติสร้าง...กับหลวงปู่เจี๊ยะโดยใช้ทันตธาตุ หลวงปู่มั่นที่มอบให้หลวงปู่เจี้ยะเก็บรักษาไว้เป็นองค์ต้นแบบ เริ่มดำเนินงาน สร้างตั้งแต่ ปีพ.ศ.2542

จำนวนการสร้าง

สร้างครั้งแรก
เนื้อทองคำ 35 องค์ มีผู้ถวายหลวงพ่อทุยบรรจุเจดีย์ไปแล้วไม่น้อยกว่า 11 องค์
เนื้อเงิน 85 องค์
เนื้อโลหะ 2543 องค์
ลองพิมพ์ 55 องค์ (จะมีแต่รูปฟันยังไม่มีองค์หลวงปู่มั่น)

สร้างครั้งที่สอง
หลังจากได้จัดสร้างพระชุดแรกเสร็จแล้ว ขณะที่นำพระไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอธิษฐานจิต หลวงพ่อทุยมีความประสงค์ให้สร้างเนื้อพิเศษขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่งโดยมีมวลสาร 5 ชนิด ทองคำ 5 บาท, นาค, เงิน, เหล็กเปียก, ฝาบาตรของหลวงปู่คำตัน นำมาหลอมรวมกัน ในการสร้าง ผู้สร้างจึงมากราบขออนุญาติหลวงปู่เจี๊ยะ อีกครั้ง ใน ครั้งนี้เทพระได้จำนวน ประมาณ ๓๖๘ องค์ เท่านั้น

สร้างครั้งที่สาม
หลังวันงานเททอง 23 ธันวาคม 2545 ชนวนที่เทเหลือ หลวงปู่ลี ใด้เมตตาสั่งให้เก็บ ทางผู้สร้างทันตธาตุได้นำไปเทพระทันตธาตุ โดยใช้ทองชนวนล้วนๆ เทเป็นองค์พระได้พระจำนวน 42 องค์ โดยนำขึ้นขอเมตตาจาก หลวงปู่ลีและถวายท่านแจก เป็น 2 วาระ ที่ผาแดง 22 องค์ ที่สวนแสงธรรม 20 องค์ ลักษณะพระจะมีสีออกเหลือง เพราะเป็นเนื้อทองเหลืองไม่ออกแดง เหมือนแบบแรก
หลังจากสร้างเสร็จได้นำไปขอเมตตาจาก หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่บุญมี หลวงปู่เพียร หลวงปู่ลี ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ท่านพระอาจารย์เลื่อม ท่านพระอาจารย์ฟิลิป หลวงพ่อทุย วัดป่าดานวิเวก ตลอดทั้งพรรษา
ระหว่างนั้นได้นำพระเข้าพิธีต่างๆที่วัดหลวงปู่เจี๊ยะ ตลอดเวลาที่ทางวัดจัดงาน และได้นำพระทั้งหมดเข้าพิธีงานบุญข้าวเปลือกที่วัดป่าบ้านตาด ปี2545 กับพิธีเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่มั่น ที่สวนแสงธรรม ในวันที่ 23 ธ.ค 45 เป็นวาระสุดท้าย จึงเริ่มแจกโดยถวาย

...หลวงปู่เจี๊ยะบรรจุในเจดีย์ท่าน ประมาณ 500 องค์
...หลวงพ่อทุยแจกและบรรจุเจดีย์ อีกประมาณ 700-800 องค์
ที่เหลือถวายครูบาอาจารย์ หลายท่านและแจกจ่ายกันในหมู่ลูกศิษย์


รายละเอียดในการสร้าง

ประวัติความเป็นมาของทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น คือ ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๒ พระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุณฺโท(พระครูสุทธิธรรมรังสี) ขณะนั้นท่านศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ บ่ายวันหนึ่งได้เข้าไปถวายน้ำล้างหน้าให้ท่านพระอาจารย์มั่น ขณะที่ท่านพระอาจารย์มั่นล้างหน้าอยู่นั้น ฟันรองเขี้ยวของท่านพระอาจารย์มั่นหลุดออกและท่านพระอาจารย์ได้ยื่นฟันที่หลุดให้หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะ จึงเก็บรักษาฟันนั้นไว้
ในเวลาต่อมาฟันท่านพระอาจารย์มั่นได้กลายเป็นพระทันตธาตุเป็นที่เจริญศรัทธาแก่การกราบไหว้ พระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะดำริสร้างเจดีย์ให้เป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระคุณ ตลอดจนเมตตาอันยิ่งใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่น

เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ข้าพเจ้าทันตแพทย์เกรียงไกร คุ้มไพโรจน์ ได้มีโอกาสกราบพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุณโท โดยคุณลุงชิน เนียวกุล ท่านเป็นประธานหมู่บ้านเกษตรนิเวศน์(แจ้งวัฒนะ หลักสี่ กทม.) ได้กราบนิมนต์พระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะมาที่หมู่บ้าน คุณลุงชินได้กรุณาเชิญข้าพเจ้าให้ไปร่วมทำบุญกับหลวงปู่ ซึ่งเป็นพระอาจารย์สายวิปัสสนาสายท่านพระอาจารย์มั่น

หลวงปู่เจี๊ยะท่านเมตตากรุณาสอนภาวนาอยู่ ๒-๓ ครั้ง แล้วก็กลับไปที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี คุณลุงชินท่านได้กรุณานำบุญมาให้แก่ข้าพเจ้าด้วยการนิมนต์หลวงปู่เจี๊ยะมารักษาฟันที่คลีนิค ข้าพเจ้าได้ไปที่วัดหลวงปู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่ในระยะ ๑๐ ปีหลังข้าพเจ้าจะไปวัดหลวงปู่บ่อยขึ้น โดยปกติจะไปทำบุญกับหลวงปู่เจี๊ยะ เกือบจะทุกวันเสาร์ หรือบางครั้งในบางโอกาสก็จะไปในช่วงเวลาอื่นๆ ในระยะที่จะมี”
การจัดสร้างเจดีย์พระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ” หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านได้เอาพระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาให้ลูกศิษย์ชมกัน คุณทวีวรรณ บุญญานุศาสน์ ท่านได้เสนอที่จะทำผะอบทองคำบรรจุองค์พระทันตธาตุของหลวงปู่มั่น กระผมจึงเกิดความคิดว่าเมื่อบรรจุพระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น แล้วอาจจะไม่ได้เห็นหรือเห็นได้ในระยะไกล ข้าพเจ้าจึงขอประทานอนุญาตจากท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ เพื่อที่จะจัดสร้างรูปเหมือนองค์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตต ไว้บนองค์พระทันตธาตุของท่าน ไว้เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจต่อไป โดยกราบเรียนท่านว่าจัดสร้างเป็นเนื้อนวโลหะ ๒,๕๔๓ องค์ เป็นเนื้อเงิน ๘๕ องค์ และเป็นเนื้อทองแล้วแต่ผู้ที่ต้องการของศิษยานุศิษย์

ท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุณฺโท ได้เมตตาให้ท่านเขียว (พระประสิทธ์ สิทธิจิตต) มาเปิดตู้นิรภัยเอาองค์พระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น ออกมาให้คุณหมอฯ ใช้วัสดุทำฟันที่จัดเตรียมมาพิมพ์ลอกแบบรายละเอียดองค์พระทันตธาตุของท่านพระอาจารย์มั่นเก็บเอาไว้ คุณหมอฯ ได้จัดทำรูปเหมือนองค์ท่านพระอาจารย์มั่นบนองค์พระทันตธาตุตามที่ได้กราบเรียนหลวงปู่เจี๊ยะ ตั้งแต่ต้นแล้ว โดยได้เริ่มจัดสร้างในปีพ.ศ. ๒๕๔๒ และได้ไปอธิฐานจิตขอกับองค์หลวงปู่มั่นที่เจดีย์วัดป่าสุธาวาสจังหวัดสกลนคร เพื่อให้การจัดสร้างได้สำริดตามความประสงค์ทุกประการเพื่อเป็นการเทิดทูลองค์ท่าน ที่ศิษยานุศิษย์เคารพบูชาอย่างสูง

ขณะที่จัดสร้างพระทันตธาตุ ได้รองทำก่อน มีเนื้อโลหะที่ใช้ทำฟันปลอมที่เรียกว่า "Vitalium" 2 ชิ้น เป็นโลหะที่แปลกออกไป ได้ให้ ดร. ไพทูรย์ กิติสุนทร ลูกศิษย์ท่านอาจารย์เดียวกัน ไปหนึ่งองค์อยู่ที่เจ้าของหนึ่งองค์ ดร.ไพทูรย์ กิติสุนทร บอกว่าเนื้อแปลกดี ระยะที่เริ่มสร้างเจดีย์พระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เกิดความคิดว่าจะจำลองพระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่นที่ไม่มีองค์ท่านบนตัวฟันบ้างเพื่อให้ได้ดูกัน เพื่อที่จะจัดสร้างรูปเหมือนองค์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตต ไว้บนองค์พระทันตธาตุของท่านทันตธาตุพระอาจารย์มั่นเปล่าๆ มี 55 องค์ (ขนาดเท่าฟันจริงของท่าน) เป็นทองคำ ๑ องค์ นอกนั้นเป็นทองแดง กับชินตะกั่ว หลังจากถอดแบบจากองค์พระทันตธาตุหลวงปู่มั่นแล้ว ก็พยายามเพิ่มชนวนหุ่นเองโดยใช้วัสดุทางทันตกรรมความละเอียดจะใกล้ของจริงมาก และหล่อแบบเอามาให้ช่างขึ้นรูปเป็นองค์หลวงปู่อยู่บนทันตธาตุ(จากหินสบู่) และหล่อขึ้น

เมื่อการจัดสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหมอฯ ได้นำเอาพระหลวงปู่มั่นที่ติดบนองค์พระทันตธาตุของท่านให้ท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ ได้เมตตาอธิฐานจิตให้ และเมื่อวันคล้ายวันเกิดท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะในปี พ.ศ.๒๕๔๓ ได้นำขึ้นบนเจดีย์ทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เพื่อร่วมพิธีสวดพุทธมนต์ในวันงานท่านโดยขออนุญาตจากท่านชิน (วัดธรรมสถิตย์) โดยมีอาจารย์สายวิปัสสนาธุระหลายองค์ เสร็จพิธีมีการเทศน์ของท่านพระอาจารย์คำพอง ติสโส และได้นำมาเพื่อร่วมพิธีสวดพุทธมนต์ เนื่องในงานวันคล้ายวันเกิดท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ที่ปรำพิธีด้านล่าง และได้นำมาเพื่อร่วมพิธีสวดพุทธมนต์เนื่องในงานวันคล้ายวันเกิดท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ ที่ปรำพิธีด้านล่าง ตลอดพรรษาในปีพ.ศ. ๒๕๔๔ ได้กราบเรียนท่านพระอาจารย์ปรีดา (ทุย) ฉันทกโร ไว้ที่พระประธาน บนศาลาที่วัด ณ. ศาลาวัดป่าดานวิเวก อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย หนึ่งพรรษา ในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ ได้รับความกรุณาจากท่านพระอาจารย์บุญมี ปริปุณโณ วัดป่าบ้านนาคูณ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ท่านพระอาจารย์เพียร วิริโย วัดป่าหนองกอง ต.บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานีและท่านพระอาจารย์ลี กุสลธโร วัดป่าเกสรศีลคุณ ธรรมเจดีย์(ภูผาแดง)วิเวก อ. หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ได้เมตตาอธิษฐานจิตให้ นำเข้าพิธีเทหล่อรูปเหมือนท่านพระอาจารย์มั่น โดยองค์พระอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณโนเป็นองค์ประทานฝ่ายสงฆ์รวมทั้งประทานเททองและสวดพุทธมนต์ พร้อมพระพุทธพจน วราจารย์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ และท่านอาจารย์ ลี กุสลธโร วัดป่าเกสรศีลคุณ ธรรมเจดีย์(ภูผาแดง)วิเวก อ. หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ตอนที่เททองพระประธานที่วัดโพธิญาณ เพื่อไปประดิษฐานที่ประเทศออสเตเรีย พระสายหลวงพ่อชา ท่านพระอาจารย์เลี่ยม ขออธิษฐานจิตจากท่านพระอาจารย์เปลี่ยนในวันนั้นด้วย เนื่องจากท่านมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และอีกครั้งประทายข้าวที่บ้านตาด(ขอท่านอาจารย์กนก)ไว้ใต้พระประทานที่พิธี ต่อมาคุณหมอฯ ได้ขออนุณาตท่านอาจารย์กนก นำทันตธาตุทั้งหมดไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาของพระประธานในพิธี

หลวงตามหาบัวท่านเทศน์อบรมฆราวาส ณ. สวนแสงธรรมเมื่อ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ (เช้า) เรื่องหล่อรูปเหมือนหลวงปู่มั่น ว่า “ หลวงปู่มั่นท่านเป็นต้นลำอันสำคัญ คือครูบาอาจารย์ที่ได้รับการอบรมศึกษามาจากท่านเต็มที่แล้ว กระจายไปแน่ะนำสั่งสอนโลก คือออกจากองค์หลวงปู่มั่นเป็นอันดับหนึ่ง แตกกิ่งก้านออกไปก็ไปเป็นครูเป็นอาจารย์ แน่นำสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย ”

การสร้างครั้งที่สอง



ขณะที่นำพระไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอธิษฐานจิต หลังจากเก็บไว้ที่พระประธานที่วัดป่าดานวิเวก ท่านพระอาจารย์ปรีดา(ทุย) ฉนฺทกโร ท่านให้ขออนุญาตท่านพระอาจารย์หลวงปู่เจี๊ยะ จุณฺโท พระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตต โดยใช้เนื้อ ๕ ชนิด ได้แก่ทอง ๕ บาท , เงิน (เป็นเงินแผ่นหนาของประเทศจีนแบบเก่า (เป็นเงินฮาง)), นาก ๕ บาท, เหล็กที่เหลือจากจัดสร้างพระชัยวัฒน์ หลวงปู่คำตัน, และทองเหลืองฝาบาตรหลวงปู่คำตัน รวมเป็น ๕ อย่างโดยดร. ไพทูรย์ กิติสุนทรนำเอาไปหลอมรวมกัน ได้ประมาณ ๓๖๘ องค์ (ตามที่ได้บันทึกไว้) สร้างเสร็จถวายท่านพระอาจารย์หมด

การสร้างครั้งที่สาม
วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ มีพิธีการเทหล่อรูปเหมือนท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตต มีเศษทองเหลือมีคนเก็บไว้ ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านเรียกคืนและอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปหล่อพระทันตธาตุท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตต ได้ ๔๒ องค์ ไม่ได้ผสมเนื้ออื่นเลย ถวายท่านที่วัด ๒๒ องค์ เพื่อให้ศิยษ์ที่อุดรได้และถวายที่วัดป่าภูริทัตตฯ ๒๐ องค์ ลักษณะพระจะมีสีออกเหลือง เพราะเป็นเนื้อทองเหลืองไม่ออกแดง เหมือนแบบแรก สำหรับทันตธาตุพระอาจารย์มั่นที่ขออนุญาตพระอาจารย์หลวงปู่ลี จะมีโค๊ตว่าลี เป็นอักษรธรรม " ลี " ตอกอยู่คู่โค๊ตเดิม






ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ทันตแพทย์เกรียงไกร คุ้มไพโรจน์ ที่ได้กรุณาเผยแพร่ข้อมูลไว้ที่
www.chiangmai1900.com/

34
กฎแห่งกรรม / หมู่ป่าอาฆาต
« เมื่อ: 21 ก.ค. 2553, 10:51:00 »
             

 การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนับว่าเป็นบาปมาก ผลกรรมจากการฆ่าสัตว์นั้นจะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาก ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ จึงเป็นเหมือนกับสร้างความชั่วร้ายให้กับชีวิตของตนเอง กรรมที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบางครั้งก็ให้ผลในชาติต่อๆไป บางครั้งก็ให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ ดังเรื่องราวของนายสมทรง ชายหนุ่มคนหนึ่งของอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
       
       หมู่บ้านที่สมทรงอาศัยอยู่ ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มีทั้งแม่น้ำ ทั้งภูเขา ทำให้ชาวบ้านสามารถหากินได้ตลอด โดยไม่ต้องซื้อเลยก็ว่าได้ บางคนทำนาเสร็จก็จะหาจับปลาในแม่น้ำ บางคนก็ขึ้นเขาไปยิงนก ยิงสัตว์ป่ามาเป็นอาหาร สมทรงก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ไปจับสัตว์มากินเป็นประจำ เขาเป็นคนที่หากินเก่งมาก เวลาหาปลาก็หาได้มาก เวลาไปล่าสัตว์ป่าก็มักจะได้สัตว์ใหญ่ๆ อยู่เป็น ประจำ มองในแง่หนึ่งสมทรงเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะได้สัตว์น้อยใหญ่มาเป็นอาหารทุกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง ความโชคดีของเขานั้น เป็นเหมือนกับเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาได้ทำเวรทำกรรมมากขึ้น
       
       ทุกครั้งที่ออกไปล่าสัตว์ สมทรงจะแบกปืนผาหน้าไม้ไปด้วย วันหนึ่งสมทรงได้ยิงหมูป่าตัวหนึ่งเข้าที่สะโพก มันเจ็บปวดมาก และหันมามองสมทรงด้วยความเคียดแค้น แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ เดินตรงเข้าไปแบกหมูป่ากลับบ้านอย่างสบายใจ เมื่อกลับถึงบ้านสมทรงก็เตรียมที่จะฆ่ามันทันที หมูป่ามองสมทรงพร้อมกับร้องเสียงดังราว กับอ้อนวอนขอชีวิต แต่เขาก็ไม่สนใจ แถมหยิบมีดขึ้นมาแทงเข้าไปที่คอของมันเต็มแรง หมูป่าร้องดิ้นสุดกำลัง จนขาดใจตาย!! สมทรงจึงเอาน้ำร้อนลวกหมูทั้งตัวและทำความสะอาด แล้วหั่นออกเป็นชิ้นๆ เอาไปทำอาหารบ้าง ที่เหลือก็ตากแห้งไว้กินวันหลัง
       
       ตั้งแต่วินาทีที่หมูป่าถูกยิง จนกระทั่งถึงวินาทีที่มันถูกแทงซ้ำนั้น มันได้ฝากความอาฆาตแค้นให้กับสมทรงตลอดเวลา มันคงนึกอยู่ในใจว่ามันทำอะไรผิด ทำไมเขาจะต้องฆ่ามันด้วย แต่สมทรงก็ไม่ได้มีความสะทกสะท้านกับสิ่งที่ทำแต่อย่างใด เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของเขา ตลอดชีวิตตั้งแต่เล็กจนโต เขาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาแล้วจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปลา นก ไก่ เป็ด หมู และอื่นๆ อีกมากมาย เท่าที่จะล่ามาเป็นอาหารได้
       
       ตราบใดที่ผลของกรรมชั่วยังไม่ให้ผล คนก็มักจะไม่ รู้สึกสำนึกอะไร ยังคงทำความชั่วต่อไปอย่างสบายใจ ต่อเมื่อกรรมชั่วส่งผลมาถึงตัวเขานั่นแหละ เขาจึงจะค่อยๆ สำนึก และรับรู้ถึงความทุกข์ที่เคยทำไว้กับผู้อื่น สมทรงก็เช่นเดียวกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้น มันจะส่งผลชั่วให้กับตัวเขาอย่างไร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่ดีอีกต่างหาก เพราะเขามีอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย เป็นคนเก่งที่ออกล่าสัตว์ เมื่อใดก็ได้เมื่อนั้น ความคิดผิดๆเหล่านั้นฝังหัวสมทรงมานานตั้งแต่ยังเด็ก จนกระทั่งอายุได้ 45 ปี ผลแห่งกรรมที่ค่อยๆ คืบคลานตามเขามานั้น ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
       
       แล้ววันนั้นก็มาถึง เป็นวันที่สมทรงขึ้นเขาไปล่าสัตว์ตามปกติ เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง คิดแต่เพียงว่า ขอให้ล่าสัตว์ได้มากๆ อย่างเช่นหมูป่าไก่ป่า สมทรงได้เตรียมทำกับดักสัตว์ไว้ และเตรียมปืนไว้พร้อมที่จะยิงได้ทันทีเมื่อเห็นสัตว์เดินผ่านมา เขานั่งรออยู่นาน ในที่สุดก็มีหมูป่าเดินผ่านมา เขารู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีว่าวันนี้โชคดีแล้ว ได้กินเนื้อหมูอย่างแน่นอน
       
       แต่เผอิญหมูป่าตัวนั้นไม่ได้เดินมาตรงกับดักที่เขาวางไว้ สมทรงจึงใช้ปืนยิงแทน ดังนั้น พอได้จังหวะก็ลั่นไกปืนยิงทันที เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้หมูป่าตกใจวิ่งหนี ขณะที่สมทรงหงายหลังผลึ่งลงไปนอนกับพื้น เพราะปืนที่เขายิงออกไปนั้น กระบอกปืนแตกหมดและสะเก็ดเหล็กต่างๆ พุ่งมาเสียบตัวเขา จนเลือดไหลอาบไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นเข้าจับขั้วหัวใจของสมทรง!!
       
       แต่ด้วยความที่อยากได้หมูป่า เขาจึงตั้งสติแล้วกัดฟันพยุงกายขึ้น รีบวิ่งไล่หมูป่าไปทันที โดยลืมนึกไปว่าตนเองได้วางกับดักสัตว์ไว้ สมทรงจึงวิ่งไปเหยียบกับดักของตนเอง หน้าไม้ที่ดักไว้ก็ทำงานทันที มันพุ่งมาเสียบท้องของเขาอย่างแรง จนทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเหลือประมาณ!!
       
       แต่เมื่อดวงของสมทรงยังไม่ถึงฆาต เขาจึงรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พาร่างซึ่งโชกเลือดกระเสือกกระสน ลงจากภูเขาอย่างทุลักทุเล เพื่อกลับไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างกว่ากิโล แต่ละก้าวของสมทรงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน และก่อนที่เขาจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนขาดใจตาย ก็พอดีมีคนในหมู่บ้านมาเห็นเข้า จึงพาเขาไปหาหมอรักษาได้ทัน
       
       บทเรียนอันแสนเจ็บปวดที่สมทรงได้รับในครั้งนี้ ทำให้เขาคิดขึ้นได้ว่า เป็นเพราะกรรมที่เขาเคยทำไว้นั่นเอง กรรมนั้นมันได้มาสนองเขาอย่างเต็มที่แล้ว เขาจึงตั้งใจว่า จากนี้ต่อไปจะไม่เข้าป่าล่าสัตว์อย่างที่เคยทำเป็น อันขาด
       
       นี่แหละคือผลของกรรมชั่วที่ตามมาสนองในชาตินี้ เท่านี้ยังไม่พอ กฎแห่งกรรมยังจะต้องตามสนองสมทรงต่อไปจนถึงชาติหน้า มีทางเดียวที่ชายหนุ่มจะลดกรรมอันหนักให้บรรเทาลงได้บ้าง นั่นคือการทำความดีให้มากๆ ยิ่งทำความดีได้มากเท่าไหร่ กรรมชั่วที่มีอยู่ก็จะเบาบางลงไปมากเท่านั้น เปรียบเหมือนกับน้ำสีดำในแก้ว หากเติมน้ำดีลงไปมากๆ น้ำสีดำนั้นก็จะค่อยๆ ใสขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเติมน้ำดีลงไปมากเท่าไหร่ ความเข้มของสีดำที่อยู่ในน้ำ ก็จะค่อยๆ เจือจางลงไปมากเท่านั้น แต่จะให้ลบล้างไปเลยร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น คงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น จงหมั่นทำความดีเสียตั้งแต่วันนี้ก่อนที่จะไม่มีเวลาเหลือให้ทำอีกต่อไป       




ขอบคุณที่มา : จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 116 กรกฎาคม 2553 โดย มาลาวชิโร

35
กฎแห่งกรรม / กรรม...เกิดเป็นหมู
« เมื่อ: 20 ก.ค. 2553, 01:35:13 »

       


ณ.อำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี มีนักเลงโตคนหนึ่งชื่อด้วน เขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่ชอบทำงาน  ด้วนมักจะคลุกคลีอยู่กับเพื่อนๆที่เป็น
อันธพาลในแต่ละวันมีแต่คอยหาเรื่องชกต่อยกับคนอื่น มีเรื่องตีรันฟันแทงเกือบทุกวัน
 
พวกชาวบ้านทั้งเอือมระอาทั้งหวาดผวา  เพราะบางทีแค่เดินชนหรือเผลอไปมองหน้า  ด้วนก็จะไล่เตะไล่ต่อยไม่เว้นแม้แต่เด็กหรือ
ผู้หญิง บางครั้งก็เอาก้อนหินขวางหัวคนเล่นจนเขาหัวร้างค่างแตก
 
แต่ทว่าวันหนึ่งด้วนนักเลงโตล้มป่วยลง กินยาเท่าใดก็ไม่หาย เมื่อนอนป่วยนานวันเข้า จนเวลาล่วงเลยมาเป็นเดือน ด้วนก็ป่วยหนัก
ใกล้สิ้นลมทุกที
 
คืนหนึ่งมีหลวงปู่องค์หนึ่ง ซึ่งเป็นพระผู้บำเพ็ญภาวนาจนฌามสมาธิแก่กล้า ท่านได้ถอดจิตท่องเที่ยวผ่านมาเห็นเข้า ท่านจึงนิมิตให้
ด้วนเห็น ด้วยท่านปรารถนาจะโปรดสัตว์ หลวงปู่เอ่ยขึ้นด้วยเมตตาว่า "เจ้ามีกรรมหนักหนา เมื่อสิ้นลมหายใจแล้วเจ้าจะต้องไปเกิด
เป็นหมูในชาติหน้าเพื่อใช้กรรม ก่อนตายเจ้าจงทำสมาธิให้ได้ ทำจิตให้สงบ จะได้สำนึกถึงความผิดที่เคยก่อกรรมทำเข็ญมา"

ด้วนได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกเสียใจ และบังเกิดความสำนึกผิด แต่ทว่าเพราะป่วยหนักจนยกมือไม่ไหว แม้ปรารถนาจะยกมือขึ้นพนมไหว้
หลวงปู่ และเพื่อจะสำรวมจิตขออโหสิกรรม แต่ทว่ามีเรี่ยวแรงพอจะยกมือขึ้นได้เพียงข้างเดียวเท่านั้น
 
ด้วนยกมือข้างหนึ่งมาไว้กลางอก แล้วก็พยายามยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาพนม แต่ทว่าไม่สามารถยกได้สำเร็จ ด้วนก็สิ้นใจตายไป
เสียก่อน
 
เมื่อด้วนตายไป ชาวบ้านพากันดีใจยิ่งนัก เดือนหนึ่งผ่านไป  ทุกคนพากันลืมเรื่องของด้วนกันไปบ้างแล้ว แต่อยู่มาวันหนึ่งที่บ้าน
ของลุงขาว ก็มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้น ชาวบ้านได้พากันแห่ไปที่บ้านลุงขาว เพราะแม่หมูที่ลุงขาวเลี้ยงนั้นได้ออกลูกหมูตัวหนึ่ง  ซึ่ง
ลูกหมูตัวนี้ไม่ใช่ลูกหมูธรรมดาๆ  เพราะลูกหมูตัวนี้มีขาขวาด้านหน้าเป็นมือคน!!! ขาขวาที่มีลักษณะเหมือนมือคนนั้น คือมีนิ้วทั้ง
ห้านิ้วมีความสั้นยาวแตกต่างกัน จนดูเป็นนิ้วก้อย นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือของคนไม่ผิดเพี้ยน! แต่ละนิ้วมีเล็บเรียบ
เหมือนนิ้วมือคน
 
ชาวบ้านพากันร่ำลือฮือฮามากว่าเป็นด้วนมาเกิดเพราะเคยได้ยินพี่น้องของด้วนพูดว่า  ก่อนตายด้วนยกมือขึ้นมาที่อกเหมือนจะ
ไหว้พระ แต่ยกได้มือเดียวก็สิ้นใจตายไปก่อน
 
จากนั้นชาวบ้านก็ลือกันว่า ด้วนมาเกิดเป็นหมู และเรียกลูกหมูว่าไอ้ด้วน ครอบครัวของด้วนอับอายมาก จึงขอซื้อลูกหมูจากลุง
ขาวแล้วนำไปปล่อยไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสัตว์อยู่หลายชนิดและเป็นเขตอภัยทาน
 
บรรดาผู้คนที่ไปเที่ยวชมสัตว์ในวัดนี้ ต่างก็มักจะมุงดูลูกหมูที่มีขาเป็นมือคนตัวนั้น และมันมักจะวิ่งหนีคนไปหลบมุมอยู่ไกลๆ
เหมือนอับอายที่ผู้คนมายืนมุงดูตนเช่นนั้น.
 
 
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้รู้ว่า...
"เวรกรรมนั้นมีจริง ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว แต่ทว่าสุดท้ายด้วนนั้นก็รู้จักละอายและสำนึกผิด ไม่เหมือนกับใครบางคน
ที่ทำชั่วแล้วไม่รู้จักละอายเกรงกลัวต่อบาปและสำนึกผิดบ้างเลย"

 
 
 
******************************กระเบนท้องน้ำ********************************
 

36
เหรียญกายทิพย์หลวงปู่ดุลย์ สุดยอดประสบการณ์  จัดสร้างเมื่อปีพ.ศ.  2521

สร้างโดยวัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ สมัยที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ทรงสมณศักดิ์ที่" พระรัตนากรวิสุทธิ์ " เมื่อปีพ.ศ. 2521
จัดเป็นเหรียญที่มีประสบการณ์มากที่สุดรุ่นหนึ่ง เป็นที่นิยมแสวงหาของศิษย์และผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่...




เนื้อกะหลั่ยทองลงยา สร้างจำนวน 2,000 เหรียญ



เนื้อทองแดง จัดสร้างจำนวน 10,000 เหรียญ


อีกด้านหนึ่งของเหรียญ จะทำเป็นรูป "หลวงพ่อพระชีว์" วัดบูรพาราม อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งใช้เป็นที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยามาแต่โบราณกาล
รูป?ต้นแบบ? ปรากฏ ?กายทิพย์? หลวงปู่ดูลย์ในท่านั่งสมาธิซ้อนอยู่ที่อกของหลวงปู่อีกชั้นหนึ่ง น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

หมายเหตุ 1 เคยอ่านหนังสือยุคเก่า(ไม่แน่ใจว่าหนังสือ?ธนาทิพ?หรืออะไรสักอย่าง) ทราบว่า มีคนเอารูปนี้ไปถามกับองค์หลวงปู่ดูลย์เองถึงที่มาของ?กายทิพย์? ที่ปรากฏซ้อนอยู่ในภาพ ด้วยความสงสัยว่า หากว่าจะเป็นการถ่ายซ้อนฟิล์ม ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า หลวงปู่ดูลย์ไม่นิยมและไม่เคยโพสต์ท่าวางมาดให้ถ่ายรูป ยิ่งเป็นภาพที่?ลืมตานั่งสมาธิจ้องใส่กล้อง?อย่างที่เห็นซ้อนในภาพดังกล่าว ยิ่งเป็นสิ่งที่พ้นวิสัยและไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาทั้งสิ้นฯ


เมื่อได้ฟัง หลวงปู่ดูลย์ตอบแต่เพียงสั้นๆว่า


" ตอนที่เขาถ่ายภาพนี้ เรากำลังกำหนดจิตอยู่ที่ตรงหน้าอกของเราอยู่ "




หมายเหตุ 2 เหรียญกายทิพย์รุ่นนี้ แม้จะมิใช่เหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่ดูลย์ แต่ก็เป็นที่นิยมแสวงหากันมาก เพราะมีความหมายพิเศษเชิงเหนือธรรมชาติและมีประสพการณ์เหลือที่จะคณานับ เคยมีพวก? มอเตอร์ไซค์ซิ่ง?วัยรุ่นชาวสุรินทร์ เคยถูกชาวบ้านบางคนที่รำคาญเสียงแข่งรถที่หนวกหูเต็มทีเอา?ลวดขึงขวางถนน? พร้อมกับตั้งระดับเดียวกับ?คอหอย? ด้วยกะว่า เวลาซิ่งผ่านมา ลวดจะได้?ปาด?ให้?หัวขาด? ลงไปประลองความเร็วต่อในพิภพมัจจุราชเสียเลยทีเดียว ปรากฏว่า การก็เป็นไปตามที่กะไว้ทุกประการ คือเมื่อพวกแข่งรถซิ่งผ่านมาที่มาการขึงลวงดักไว้ ก็สะดุดลวดจนทั้งรถทั้งคนพลิกคว่ำคะมำหงายกันไม่มีดี แต่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งๆที่ลวดก็หนียวแบบสุดๆ และรถก็มาด้วยด้วยความเร็วและแรงขนาดนี้ ปกติ ก็น่าที่จะ?หัวขาด? กระเด็นตายสนิทชนิดไม่รู้สึกตัวได้แล้ว แต่การกลับเป็นว่า ?ไม่เป็นอะไรเลย?!!??!! อย่างเหลือเชื่อที่สุด สืบไปสืบมาพบว่า วัยรุ่นดวงแข็งรายนั้น มี"เหรียญกายทิพย์ หลวงปู่ดูลย์ " :016:
ห้อยติดคออยู่นั่นเอง?!!!!!




หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ก่อนจะดับขันธ์ ท่านได้แสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้ายว่า

" เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสร้าง พระพุทธศาสนาให้ก่อเกิดอย่างบริบูรณ์ดังประสงค์แล้ว พระองค์จึงได้ทรงละ วิภวตัณหา นั้นเสด็จเข้าสู่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ทรงเป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหาทรงเป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเส สนิพพานของพระองค์ ลำดับแรกก็เจริญฌาณ ดิ่งสนิทเข้าไปจนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปลึกสุดอยู่เหนืออรูปฌาณ

ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังมิได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเด็ดขาดแต่อย่างใด เพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการเข้าสู่นิพพานหรือนิโรธเป็นครั้งสุด ท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้สร้างได้พากเพัยรก่อเป็นทางเป็นแบบอย่างไว้เป็น ครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่า สิ่งอันเกิดจากการที่พระองค์ได้ยอมรับกับ ธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา มีจิตหยาบเกินกว่าที่จะสัมผัสว่ามันเป็นทุกข์

นี่แหละ กระบวนการกระทำจิตตนให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธเป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมา สัมพุทธเจ้าผู้เป็นยอดศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผยแจ้งออกสู่โลกให้พึงปฏิบัติตาม
เมื่อทรงสิ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่ภาวะต้น คือปฐมฌาณ แล้วตัดสินพระทัยครั้งสุดท้ายเสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์แห่งชีวิตและร่างกายนั้นได้ดับไปเสียตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่ปฐมฌาณ นานแล้ว เพราะต้องดับสังขารขันธ์หรือสังขารธรรมขั้นแรกก่อนวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น

พระองค์เริ่มดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุดอีก อันจะส่งผลให้ก่อวิภวตัณหาได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเลื่อนเข้าสู่ทุติยฌาณ แล้วจึงดับสัญญาขันธ์เลื่อนเข้าสู่ตติยฌาณ เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนขึ้นสู่จตุตถฌาณ คงมีแต่เวทนาขันธ์สุดท้ายแห่งชีวิต นั้นแลคือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ


เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว ก็มาดับเวทนาขันธ์อันเป็นจิตขันธ์ หรือนามขันธ์ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาณ พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือนามขันธ์สุดท้ายจริงๆ ที่ตรงนี้พระองค์ไม่ได้เข้าสู่พระนิพพานในฌาณสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก


เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌาณแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือนั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันเป็นปกติของมนุษย์ครบพร้อมทั้งสติสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะอันนั้นจะเรียกว่ามหาสุญญตาหรือจักรวาลเดิม หรือเรียกว่า พระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้เราปฏิบัติมาก็เพื่อถึงภาวะอันนี้







ขอขอบคุณที่มา...http://www.chiangmai1900.com/index.php?topic=596.0

37
เป็นที่ทราบกันว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่มนุษย์เราทุกคนจะต้องประสบ และเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนที่สุด
ในชีวิตของเราทุกคน แต่ก็คงจะไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับตนเองเมื่อไหร่ รู้กันเพียงแต่
ว่าจะต้องแก่ เจ็บ ตาย โดยเฉพาะการตายเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะกำหนดรู้ได้
 
ท่ามกลางความยากเย็นเช่นนี้ ก็ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งสามารถกำหนดรู้วันตายของตัวเองได้  คือรู้ว่าตัวเองจะมรณ
ภาพเวลาไหนและเพราะเหตุใด พระภิกษุรูปนี้มีชื่อว่าหลวงพ่อชาย ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งไหม้ อำเภอร่อนพิบูลย์
จังหวัดนครศรีธรรมราช
 
ท่านมีชีวิตอยู่ในคนละยุคกับผม ผมจึงไม่มีโอกาสได้พบกันกับท่าน แต่นั่นมิได้หมายความว่าผมจะไม่ได้ทราบเรื่อง
ราวของท่านเลย  จริงอยู่แม้ผมจะไม่มีโอกาสเห็นท่าน แต่ก็ได้รับทราบเรื่องราวของท่าน จากญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ได้เล่าเรื่องอัศจรรย์ของพระภิกษุรูปหนึ่งให้ฟังว่า...
 
มีพระภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดในป่า ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านรู้ดีว่าวันนี้ตัวเองจะต้องถูกเสือตัวหนึ่งกัดถึง
แก่ความตายแน่ๆ ท่านว่ามันเป็นผลกรรมที่ท่านเคยทำมันไว้ ปรากฏว่าวันนั้นท่านถูกเสือบุกเข้ามากัดจนท่านมรณ
ภาพจริงๆ ท่ามกลางการอารักขาอย่างเหนียวแน่นของบรรดาญาติโยม
 
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ก่อนที่จะมาบวชนั้น สมภารชายท่านก็เป็นชาวบ้านอยู่ที่นี่เอง สมัยที่ท่านยังเป็นหนุ่มได้ร่ำเรียน
วิชาคาถาอาคมกับหมอผู้เก่งทางไสยศาสตร์คนหนึ่งซึ่งเป็นคนใกล้ๆบ้าน เมื่อท่านมีครอบครัว (แต่ไม่มีลูก) ก็เกิด
มีเสือร้ายตัวหนึ่งเที่ยวอาละวาดกัดกินผู้คน  และสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านละแวกนั้น  ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน
พร้อมกันทั่วหน้า และในที่สุดชาวบ้านตัดสินใจรวมทีมกันออกล่าเจ้าเสือร้ายตัวนั้น ซึ่งในครั้งนั้นอาจารย์ของสมภาร
ชายก็ร่วมเดินทางไปด้วย โดยมีตัวท่านสมภารชายเองก็ติดสอยห้อยตามไปด้วย
 
ขบวนล่าเสือออกเดินทางรอนแรมไปหลายที่ ผจญภัยกับสัตว์ร้ายต่างๆ นานามากมาย โดยเฉพาะเจ้าเสือร้ายที่กำลัง
ถูกตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ได้พบและประมือกับมันหลายครั้ง ซึ่งความร้ายกาจของมันทำให้ผู้ร่วมเดินทางจบ
ชีวิตลงหลายคน ในที่สุดฝ่ายออกล่าก็เพลี่ยงพล้ำต่อเสือตัวนั้น เสียชีวิตเกือบหมด เหลือพรานป่าซึ่งเป็นเพื่อนของ
อาจารย์สมภารชาย อาจารย์สมภารชาย และตัวสมภารชายเองเท่านั้น
 
ถึงแม้ว่าขบวนล่าเสือจะไม่สามารถดับชีวิตเสือร้ายได้ตามต้องการ แต่ก็ได้ทำร้ายมันบาดเจ็บปางตาย โดยเฉพาะจาก
ฝีมือของอาจารย์ของสมภารชายและตัวสมภารชาย  เมื่อกลับจากล่าเสือมาได้ไม่เท่าไร อาจารย์ของสมภารชายก็เสีย
ชีวิตด้วยโรคร้ายที่ติดมาจากป่า และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองภรรยาของสมภารชายก็เสียชีวิตลงด้วยโรคฝีดาษในท้อง
ท่านเสียใจมาก จึงตัดสินใจบวช และเอาที่ทางซึ่งเคยเป็นที่อยู่ที่ทำกินของตนทำเป็นวัด ให้ชาวบ้านทำขนำให้จำพรรษา
 
สมภารชายท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่นนานจนชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงช่วยกันบุกเบิกแผ้วถางบริเวณนั้นช่วย
กันสร้างเสนาสนะขึ้นทำเป็นวัด โดยเรียกกันว่า "วัดทุ่งไหม้"(น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่าม่าย เพราะท่านสมภารเป็นม่าย)
 
สมภารวัดทุ่งไหม้ เป็นผู้รอบรู้วิชาคาถาอาคมมาก่อน เมื่อบวชก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม จนบรรลุคุณอันวิเศษ  คือ
สามารถหยั่งรู้ชะตากรรมของตัวเองได้  เมื่อท่านมีอายุมากเข้าท่านก็ทราบได้ด้วยญาณว่าตัวเองใกล้จะถึงอายุขัยแล้ว
และรู้ด้วยว่าจะเป็นวันไหน ด้วยเหตุใด ท่านจึงเรียกญาติโยมมาประชุมแล้วแจ้งให้ทราบว่า ท่านจวนจะมรณภาพแล้ว
 
ชาวบ้านพากันสงสัยว่าทำไมท่านจึงจะมรณภาพเร็ว ทั้งที่อายุก็ยังไม่มากนัก อีกอย่างร่างกายก็ยังแข็งแรงดีไม่มีโรค
ภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน  ท่านสมภารได้อธิบายให้ทราบว่า ท่านได้ทำกรรมไว้กับเสือตัวที่ออกล่ากัน  เมื่อคราวมันมา
อาละวาดแถวๆนี้ โดยทำร้ายมันบาดเจ็บปางตาย ตอนนี้เสือตัวนั้นหายดีแล้ว และมันกำลังจะมาทวงผลกรรมครั้งนั้น
คืน คือจะเอาชีวิตของท่านเป็นการแก้แค้น 
 
ชาวบ้านทราบดังนั้นก็พากันหวั่นวิตกกันทั่วหน้า จึงพร้อมใจกันป้องกันท่าน  โดยพยายามหาทางป้องกันภัยจากเสือ
ร้ายตัวนั้น พวกเขาช่วยกันอย่างเต็มที่ พวกหนึ่งลงมือขุดคูรอบกุฏิของท่านสมภารเพื่อมิให้เสือข้ามเข้ามาได้ อีกพวก
หนึ่งลงมือทำเครื่องมือทำอาวุธ โดยการเผาเหล็กทำมีด ตีดาบ โดยทำกันในวัดนั่นเอง
 
เมื่อใกล้ถึงวันที่ท่านสมภารบอกว่าท่านจะมรณภาพแน่แล้ว พวกชาวบ้านก็พร้อมกันมาอยู่ยามเฝ้าอารักขาท่าน ผลัด
กันทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนก็ก่อไฟรอบๆ กุฏิท่านสมภาร ดูสว่างไสวประดุจกลางวัน และผู้ชายวัยฉกรรจ์พร้อม
อาวุธหลายคนก็อยู่ยามเตรียมรับมือเสือร้าย
 
แล้ววันหนึ่ง ท่านสมภารได้บอกกับญาติโยมว่า "วันนี้อาตมาต้องถึงแก่มรณภาพแน่แล้ว เสือร้ายตัวนั้นมันจะเอาชีวิต
อาตมาภายในค่ำคืนนี้
" ชาวบ้านทราบอย่างนั้นก็พากันตกใจเป็นการใหญ่ เพิ่มความอารักขากันเต็มที่ อยู่เวรอยู่ยาม
ก็เข้มงวดมาก ถึงกับไม่ยอมหลับยอมนอน

           
 
แต่แล้วในคืนวันนั้นเอง ก็เกิดสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น  อยู่ๆทุกคนก็เกิดเผลอหลับพร้อมๆกัน โดยนอนรายรอบกุฏิ
ท่านสมภารนั่นเอง ท่านสมภารท่านนั่งสมาธิอยู่ในห้องแต่เพียงลำพัง แล้วต่อมาผู้อยู่ยามคนหนึ่งก็ได้ยินเสียงเสือดัง
มาจากในห้องท่านสมภาร จึงรีบผลุนผลันเข้าไปดู คนอื่นๆเมื่อรู้สึกตัวก็ตามไปติดๆ  ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตกใจจน
แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ท่านสมภารนอนร่างอาบโชกไปด้วยเลือด สีแดงฉานอยู่บนที่นอน ส่วนเสือร้ายยังไม่
หนีไปไหน แต่พอชาวบ้านเข้าไปมันก็กระโดดหนีไปทางหน้าต่าง ท่านสมภารมรณภาพในคืนนั้นจริงๆ ชาวบ้านเสีย
อกเสียใจมาก  จึงช่วยกันจัดการฌาปนกิจศพท่านตรงบริเวณหน้ากุฏิท่านนั่นเอง  หลังจากนั้นจึงช่วยกันสร้างสถูป
เล็กๆบรรจุอัฐของท่านสมภารไว้
 
           

ด้วยความเสียใจและไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พวกชาวบ้านจึงย้ายวัดไปสร้างใหม่ในที่ห่างจากที่เดิม 1 ก.ม.
ซึ่งมีหมอกลางบ้านคนหนึ่งได้อุทิศให้ วัดนั้นจึงได้ชื่อว่า "วัดหมอบุญ" มีชื่อเป็นทางการว่า "วัดเจริญบุญเขต"  ซึ่ง
ต่อมาวัดแห่งนี้เจริญ ตราบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
 
ส่วนวัดทุ่งไหม้ ถูกปล่อยให้รกร้างเป็นป่าดงดิบอยู่นานจนกระทั่ง มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้มาปักกลดพัก และเกิดชอบ
ความสงบ ณ.ที่แห่งนี้ ก็เลยอยู่ประจำที่นั่น ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็พร้อมใจกันฟื้นฟูพัฒนาวัดขึ้นมาใหม่ จึงได้ร่วมกัน
สร้างเสนาสนะและศาสนสถานขึ้นมาใหม่หลายอย่าง ซึ่งปัจจุบันได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์จนอยู่ในสภาพดี แทบ
ไม่เหลือร่องรอยของวัดเก่า  ซึ่งมีตำนานลึกลับชวนพิศวงให้เห็น  คงมีแต่เพียงเรื่องเล่าขานที่ได้รับทราบต่อ ๆ
กันมาเพียงเท่านั้น.
 
 
 ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
 
 
 
*************************กระเบนท้องน้ำ**************************

38
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง...ซึ่งเกิดขึ้นกับคุณจำปา...

เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2529 ณ.ที่บ้านโพนไค อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร

คุณจำปาเล่าว่า คืนวันหนึ่งเขานอนหลับแล้วฝันไปว่า ได้มีชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ล่ำสัน ผิวดำเกรียม หน้าตาหน้าเกลียด
น่ากลัวมาก การแต่งกายคล้ายคนโบราณ เพราะไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าแบบโจงกระเบนสีแดง เหน็บเตี่ยวแต่เพียงผืนเดียว ที่ข้อ
แขนข้อเท้าสวมกำไลทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ หูสองข้างก็แขวนไว้ด้วยตุ้มหูขนาดใหญ่ ซึ่งดูเป็นสีทองสัมฤทธิ์อีกเช่นกัน

ชายผู้นั้นได้เข้ามาหาคุณจำปาแล้วบอกว่า เขาเองคือเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ทรัพย์อยู่ในอาณาเขตแห่งนี้ โดยมีลูกน้องปกครอง
อีกนับร้อยคน ที่เขามานี้ต้องการให้คุณจำปาไปขุดเอาสมบัติในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งฝังไว้นับพันปีมาแล้ว

ชายผู้นั้นได้บอกตำแหน่งที่อยู่ของทรัพย์ให้คุณจำปาทราบอย่างละเอียด ก่อนจากไปชายผู้นั้นยังกำชับอีกว่า "ของยังมีอีก
มาก คราวนี้ให้แค่นี้ก่อน คราวหน้าหากทำถูกใจจะบอกให้อีก แต่มีข้อแม้ว่าให้ทำงานคนเดียว อย่าเอาคนอื่นไปร่วมด้วย"
ชายผู้นั้นกล่าวจบก็จากไป คุณจำปาก็ตื่น เมื่อตื่นขึ้นมา คุณจำปาก็จำความฝันได้อย่างจะแจ้งแม่นยำ  ก็เลยนึกอยากจะทด
สอบความฝันของตัวเองดูว่าจะเป็นความจริงแท้แค่ไหน เขาจึงตัดสินใจไปขุดหาสมบัติในเช้าวันนั้นเลย ทั้งๆที่ใจให้นึกหวาด
ๆอยู่ไม่น้อย

การขุดสมบัติของเขาถึงจะไม่บอกใคร แต่ก็ไม่พ้นสายตาคนอื่นไปได้ เพราะเขาขุดกลางวัน และที่สำคัญตรงที่เขาขุดนั้นไม่
ใช่ที่ดินของเขา มันเป็นปลายนาของเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ที่มีที่นาต่อแดนกับนาของเขา คุณจำปาก็อึกอักไม่รู้จะทำประการใด
เลยเผยความจริงจากความฝันให้ทราบ พอเจ้าของนาได้ฟังก็ตาลุกเลยเออออขอเอี่ยวด้วย แค่นั้นยังไม่พอ ได้มีเจ้าของนาที่
อยู่ใกล้ๆกันอีก 2 ราย เดินมาประสบเหตุเข้า เมื่อทราบความก็ขอร่วมวงไพบูลย์อีก ก็เลยกลายเป็น 4 แรงแข็งขัน


             


เมื่อขุดลงไปประมาณเมตรเศษๆ ก็เจอสมบัตินั้นตรงตามความฝันทุกอย่าง ของที่พบนั้นประกอบไปด้วยฆ้องทองใบใหญ่เท่า
กระด้ง ฝัดข้าว 2 ใบ โดยหันด้านในประกบกันเอาไว้ และภายในที่ประกบกันอยู่นั้น ได้มีฉาบและฉิ่ง อีกอย่างละ 2 คู่ซ้อนอยู่
ของทั้งหมดล้วนทำขึ้นจากทองสัมฤทธิ์


             


เมื่อได้ของมาแล้ว คุณจำปาก็ได้แบ่งของนั้นตามสัดส่วนกันไป โดยคุณจำปาเอามากกว่าเพื่อนหน่อยในฐานะผู้ฝันเห็นสมบัติ
แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป คุณจำปาได้เอาของเหล่านั้นไปเก็บอย่างซ่อนเร้นมิดชิด ตกกลางคืนก็ฝันเห็นชายโบราณมาพบ
กับเขาอีก แต่การมาของชายผู้นั้นคราวนี้น่ากลัวมาก เพราะชายผู้นั้นถือหอกเล่มใหญ่ติดมือมาด้วย และการมาก็ใช่จะมาคน
เดียว แต่มีลูกน้องห้อมล้อมมาอีกนับสิบ

ลักษณะของลูกน้องแต่ละคนนั้นตัวย่อมกว่าลูกพี่หน่อย แต่การแต่งกายเหมือนกันหมด ในมือของแต่ละคนก็ถือหอกอยู่ครบ
อีกการเคลื่อนไหวของแต่ละคนนั้นมีลีลาว่องไวไม่ผิดกับลิง เมื่อคนเหล่านั้นมาถึงก็กระจายรายล้อมคุณจำปาเอาไว้ทันที ทั้ง
หัวหน้าลูกน้องต่างเพ่งมองคุณจำปายังกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วกล่าวว่า "กูจะมาฆ่ามึง มึงทำผิด เอาคนอื่นไปขุดด้วย"

ชายผู้เป็นหัวหน้าเอาหอกจี้คอหอยคุณจำปา ขู่ตะคอกเสียงดังลั่น พอพูดขาดคำ ก็เปลี่ยนเป็นเอาหอกปักฉึกไว้กับดิน แล้ว
เข้ารวบคอคุณจำปากระชากมาอย่างแรง ทำเอาคุณจำปาตัวลอยหวิว "มึงผิดสัญญา มึงต้องตายๆๆ" มันพูดสำทับไม่ขาด
ปากพร้อมกับเค้นคอคุณจำปา เพิ่มความหนักหน่วงลงไปทุกขณะ เมื่อลูกพี่บีบคอ  ฝ่ายลูกน้องทั้งหลายก็เต้นเข้าเต้นออก
ทำท่าอย่างกับจะเข้ามาช่วยลูกพี่เค้นคอเพื่อให้ตายไปไวไว

คุณจำปาดิ้นเร่าๆหายใจไม่ออก แต่กระนั้นเขาก็ตะเบ็งร้องเสียงหลง เพื่อบอกให้ชายคนนั้นทราบว่าเขาไม่ได้บอกใคร แต่
คนพวกนั้นเห็นเองก็เลยมาขอขุดด้วย เพราะมันเป็นกลางวันเขาเลยขัดไม่ได้ ชายผู้นั้นไม่ยอมรับฟังเหตุผลจากเขา คงบีบ
เค้นฟัดเหวี่ยงเขาต่อไป

คุณจำปาดิ้นสุดฤทธิ์พร้อมทั้งตะเบ็งเสียงร้องลั่นเพื่อให้คนช่วย จนเสียงร้องในขณะหลับฝันของเขาดังสะท้อนออกมาเป็น
ละเมอลั่นบ้าน ภรรยาของเขาซึ่งนอนอยู่ข้างๆต้องปลุกให้ตื่น เมื่อตื่นขึ้นกลางดึก เขารีบลุกขึ้นจุดธูปเทียนบอกกล่าวพร้อม
สวดมนต์ไหว้พระแล้วก็นอนต่อ

แต่ทว่าพอหลับไป คุณจำปาก็ฝันเห็นชายผู้นั้นพร้อมลูกน้องกลับมาหาอีก และทำในลักษณะเก่าๆ จนคุณจำปาละเมอถูก
ภรรยาปลุกให้ตื่นอีกเป็นครั้งที่สอง  พอตื่นก็สวดมนต์ไหว้พระพร้อมบอกกล่าวขอขมาลาโทษต่อชายผู้นั้นอีกแล้วก็นอนต่อ
แต่พอหลับเข้าสู่ภวังค์ก็ฝันในลักษณะเก่า จนละเมอร้องลั่นถูกภรรยาปลุกให้ตื่นอีกเป็นครั้งที่สาม

คุณจำปาไม่อยากจะฝันซ้ำซากเป็นครั้งที่สี่ เขาเลยไม่ยอมนอน และนั่งอ่านหนังสืออยู่จนสว่าง  พอสว่างคุณจำปาก็พาลูก
และภรรยาไปทำบุญตักบาตรที่วัด กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ชายผู้นั้นพร้อมบริวาร แล้วรดน้ำมนต์ให้กับตนเองลูก และ
ภรรยา จากคืนนั้นก็ไม่ฝันเห็นชายผู้นั้นอีกเลย

คุณจำปาเล่าว่า นอกจากเขาแล้วเมื่อหลายปีก่อนก็เคยมีชาวบ้านเดียวกัน ขุดได้ไหเงินไหทองคำจำนวนมากจากความฝัน
เช่นเดียวกัน และอยู่ในบริเวณไม่ไกลจากตรงที่เขาขุดไว้สักเท่าใดนัก.



เรื่องเล่าจากคุณจำปา...ก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ...สวัสดี





************************กระเบนท้องน้ำ*************************

39
คาถาอาคม / รอดตายเพราะคาถา...
« เมื่อ: 08 ก.ค. 2553, 09:50:56 »
เมื่อ 45 ปีก่อน ณ.หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี คนในหมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา เนื่องจากหมู่บ้านนี้เป็นที่ลุ่ม
มีแม่น้ำลำคลองไหลผ่าน พอหน้าน้ำๆ ก็ท่วมล้นขึ้นมาสองฟากฝั่ง พวกชาวบ้านจึงมีอาชีพเสริมขึ้นมาอีก อาชีพหนึ่งคืออาชีพจับปลา
 
ลุงอ่ำ อายุ 60 กว่าปี เป็นคนร่างเล็กผอมเกร็ง นิสัยขรึมไม่ค่อยชอบพูดล้อเล่นกับใคร เขาลือกันว่าสมัยหนุ่มๆ ลุงอ่ำเป็นคนเกะกะเกเร
ไม่กลัวใคร เคยมีเรื่องมีราวกับคนอื่นบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้แกจึงชอบเล่นคาถาอาคมเป็นชีวิตจิตใจ พอแต่งงานมีภรรยาและมีลูกแกก็เลิก
ประพฤติตัวเป็นอันธพาล หันมาตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ถึงหน้านาก็ทำนา พอหน้าน้ำก็เที่ยวจับปลามาขายบ้างกินเองบ้าง
 
วันหนึ่งลุงอ่ำกับเพื่อนอีกคนก็ชวนกันไปสุ่มปลาที่บริเวณนาร้างริมแม่น้ำซึ่งมีปลาชุกชุม น้ำในบริเวณนี้สูงเลยหัวเข่ามาหน่อย ขณะที่
ลุงอ่ำกำลังสุ่มปลาเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายมาทางด้านหลัง พอหันขวับไปมองก็ต้องตกใจแทบช็อก เมื่อเห็นจระเข้
ใหญ่ตัวหนึ่ง ยาวประมาณ 7-8 ศอก สีดำมะเมื่อม เนื้อตัวเกาะเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ อ้าปากกว้างพุ่งเข้าหาหมายงับตัวแกให้จมเขี้ยว
 
ด้วยสัญชาตญาณรักตัวกลัวตาย ลุงอ่ำกระโดดพรวดออกไปด้านข้างอย่างว่องไว จระเข้ตัวใหญ่ที่พุ่งเข้าหาจึงพลาดเป้าอย่างหวุด
หวิด "ช่วยด้วยๆ" ลุงอ่ำร้องบอกเสียงหลง พร้อมกับทะลึ่งพรวดขึ้นหาฝั่งด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ จระเข้พองับผิดก็หมุนตัวโบกหาง
อันใหญ่ฟาดน้ำดังตูมตามเข้าหาอย่างดุร้าย
 
เพียงแค่เห็นตัวจระเข้ ลุงอ่ำก็แทบจะหัวใจวาย เมื่อมาเจอกับความดุร้ายของมัน มือไม้ก็ถึงกับอ่อนปวกเปียกไปหมด คิดว่าอีกไม่ช้า
คงจะถูกกระชากออกเป็นชิ้นๆแน่แล้ว ในขณะนั้นแกจึงตัดสินใจยกสุ่มฟาดโครมไปที่ปากของจระเข้ซึ่งอ้ากว้างอยู่อย่างแรง พลาง
กระโดดถลาล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ยังกระเสือกกระสนถอนหนีอย่างไม่คิดชีวิต
 
ทันใดนั้น ลุงอ่ำก็สะท้านเฮือกใหญ่ รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที เมื่อจระเข้อ้าปากคาบร่างแกไว้ แล้วหมุนตัวกลับลงไปในน้ำอย่างรวด
เร็ว ลุงอ่ำตกใจแทบสิ้น พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ร่างของแกก็ขยับอยู่แค่ในปากอันแข็งแรงของเจ้าเดรัจฉานที่ทรงพลังเท่า
นั้น สองหูได้ยินเสียงน้ำแตกกระจายและเสียงตะโกนของเพื่อนดังอยู่บนฝั่งว่า "ไอ้เข้...ไอ้เข้"


                    

 
ไม่ถึงอึดใจมันก็คาบร่างของลุงอ่ำ ลงสู่แม่น้ำและมุดตัวดำดิ่งลงไปใต้น้ำ ลุงอ่ำเอื้อมมือเปะปะลงไปบนส่วนตะปุ่มตะป่ำสัมผัสได้กับ
เนื้อเย็นๆเปียกๆลื่นๆ ทำให้รู้สึกขยะแขยงและหวาดกลัวจนบอกไม่ถูก แต่ด้วยความรักตัวกลัวตาย แกจึงพยายามเอื้อมมือไปยังปลาย
ปากแล้วจิกแหย่ลงในโพรงจมูก เพื่อให้มันคายร่างแกออก แต่ก็ไร้ผล เพราะจระเข้คงเจ็บจึงสะบัดดิ้นไปมาจนลุงอ่ำทำอะไรมันไม่ได้
 
ลุงอ่ำนึกถึงความตายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็ถึงกับเสียววูบ เริ่มจะหายใจไม่ออก หูอี้อไปหมด ร่างถูกพาดำดิ่งลึกลงไป
ทุกที จนในที่สุดลุงอ่ำก็นึกอะไรขึ้นมาได้ว่า "คาถา" นอกจากคาถาแล้วแกก็นึกไม่ออกว่าจะเอาตัวรอดจากการเป็นเหยื่อของจระเข้
ตัวนี้ได้อย่างไร พอนึกได้ ลุงอ่ำรีบกลั้นหายใจท่อง "คาถาพระเจ้า 16 พระองค์" เท่าที่พอจะนึกออก ทั้งๆที่เคยท่องจนขึ้นใจมาตั้ง
แต่สมัยหนุ่มๆ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่า จระเข้คาบแกไปซุกอยู้ใต้แพ มันพยายามจะเอาร่างแกไปขัดตรงโน้นตรงนี้เพราะกลัวว่าจะลอย
ขึ้นมา ตอนนี้ลุงอ่ำเริ่มกลั้นหายใจต่อไปไม่ค่อยจะไหว แต่ก็พยายามรวบรวมสมาธิ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่และ
ครูบาอาจารย์ ตั้งจิตแน่วแน่จดจ่ออยู่กับพระคาถา ในใจก็มุ่งมั่นว่าถึงจะตายก็ขอตายอยู่กับพระคาถาบทนี้
 
ชั่วเดี๋ยวเดียวลุงอ่ำก็กลั้นหายใจไม่อยู่ ต้องอ้าปากกินน้ำเข้าไปหลายอึก รู้สึกอึดอัดแทบขาดใจให้ได้ เพิ่งรู้รสชาติของความรู้สึกก่อน
ตายว่ามันอึดอัดทรมานขนาดไหน แกสำลักน้ำจนแทบหมดสติ พลันก็มีความรู้สึกเหมือนจระเข้จะคาบร่างเปลี่ยนที่ใหม่ แล้วก็คาบออก
มาจากใต้แพ ว่ายลิ่วขึ้นสู่ผิวน้ำ ทำให้ร่างถูกชูขึ้นเหนือผิวน้ำอีกครั้ง ขณะที่ความรู้สึกกำลังจะดับวูบลง สายตาอันพร่ามัวเลอะเลือน
ของลุงอ่ำก็เห็นคนยืนตะโกนลั่นอยู่บนแพ ลุงอ่ำพยายามยกสองมือกระทุ่มน้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ความรู้สึกจะดับวูบลง
 
เมื่อลุงอ่ำรู้สึกตัวลืมตาขึ้น ก็เห็นคนมายืนมุงล้อมรอบตัวเต็มไปหมด กวาดตามองคนโน้นทีคนนี้ทีแล้วโพล่งออกมาอย่างดีใจว่า
"ข้ายังไม่ตายอีกเหรอ" เอ็งไม่ตายหรอก ไอ้เข้มันปล่อยเอ็งที่หน้าแพข้า ข้าเห็นเอ็งจมลงไป ข้ากับไอ้เหม่าเลยช่วยกันงมขึ้นมา
ลุงจ้อยเจ้าของแพบอก  พลางมองอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นแขนและลำตัวของลุงอ่ำ โดนจระเข้กัดจนเลือดออกหลายแห่งแล้วถามต่อว่า
"เอ็งเป็นยังไงมั่ง" ลุงอ่ำส่ายหน้าแล้วค่อยๆยันกายลุกขึ้น "ข้านึกว่าข้าต้องตายแน่แล้ว" ลุงอ่ำพูดพร้อมยิ้มทั้งน้ำตา มีความรู้สึก
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
 
เมื่อสำรวจดูบาดแผลไม่สาหัสอะไร เพียงแต่ปวดระบมไปทั้งตัว แล้วลุงอ่ำก็เล่าให้ชาวบ้านที่มารุมล้อมฟัง ซึ่งทุกคนฟังด้วยความ
แปลกใจไม่นึกว่าลุงอ่ำจะรอดชีวิตมาได้ เพราะจระเข้เปลี่ยนใจปล่อยร่างแกขึ้นมา
 
"ที่ข้ารอดมาได้นี่เพราะคาถาพระเจ้า16 พระองค์แท้ๆ"  ลุงอ่ำบอกอย่างภาคภูมิใจ
 
ทุกคนในที่นั้นก็ลงความเห็นเหมือนกันคือ ลุงอ่ำรอดตายมาได้เพราะคาถาพระเจ้า16 พระองค์ เป็นแน่...อย่างไม่ต้องสงสัย...
 
 
คาถาพระเจ้า 16 พระองค์นั้นว่าดังนี้...
 
นะมะนะอะ   นอกอนะกะ  กอออนออะ
 
นะอะกะอัง   อุมิอะมิ    มะหิสุตัง
 
สุนะพุทธัง   อะสุนะอะ
 
 
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


              ****************กระเบนท้องน้ำ*****************

40


ตำรับการสร้างวัวธนูนั้น...จากคัมภีร์ใบลานที่เป็นแบบแผนการสร้างในยุคปัจจุบันได้จารึกไว้ว่า เป็นตำรับที่สืบทอดมาแต่สมัยกรุง
ศรีอยุธยา ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คัมภีร์ใบลานเกี่ยวกับการสร้างวัวธนูนี้ มีข้อน่าสังเกตอยู่ว่า จารไว้ด้วยภาษาขอม ลาว
อันปรากฏว่าครั้งหนึ่งเคยตกไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ ซึ่งต่อมาพระเถราจารย์ฝ่ายไทยได้ไปค้นพบแล้วนำกลับมาฟื้นฟูกันอีกครั้งหนึ่ง
 
จากสาระในคัมภีร์มีการอ้างชื่อของ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นพระมหาเถระในฐานะสังฆราชฝ่ายอรัญวาสีแห่งกรุงศรีอยุธยา
เอาไว้ด้วย
อนึ่ง วัดป่าแก้วที่ว่านี้ ตามตำนานดั้งเดิมกล่าวไว้ว่าเป็นวัดที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ ทั้งสมเด็จพระพนรัตก็เป็น
พระอาจารย์ของพระองค์ท่านด้วย ข้อสันนิษฐานถึงสมเด็จพระพนรัต จึงมีว่า ท่านคงเป็นพระมหาเถระ ที่แก่กล้าเวทย์วิชาคาถามหา
อาคม เป็นครูอาจารย์ที่แตกฉานชำนาญในไตรเพทและด้านกรรมฐานอย่างแน่นอน
 
คัมภีร์ใบลานเกี่ยวกับตำราการสร้างวัวธนูได้ระบุชื่อ สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ไว้เช่นนี้ ก็น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าสมเด็จพระพนรัต รูปนี้เป็นองค์ปฐม เป็นปรมาจารย์ผู้สร้าง "วัวธนู" ขึ้นเป็นลำดับแรกในแผ่นดินสยาม
 
ข้อความจากใบลานคัมภีร์ดังกล่าวที่พอจะยืนยันถึงเรื่องนี้ อีกประการหนึ่งก็คือ ส่วนท้ายของใบลานผูกนี้ ได้จารคาถาของสมเด็จพระพนรัตเอาไว้ด้วย คาถามีชื่อว่า "คาถายาจินดามณี" ซึ่งตรงกับการสร้าง ยาจินดามณี หรือสมเด็จพระนเรศวรเม็ดดำอันลือชื่อของพระ
พุทธวิถีนายก หลวงปู่บุญ ขันธโชติ และ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นยาอาคมใช้ได้สารพัดประโยชน์
 
ยานี้เป็นตำรับเดียวกับที่สมเด็จพระพนรัต ปรุงถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จากตำราเรื่องเดียวกันได้ปรากฏมีเคล็ดวิชาอันศักดิ์
สิทธิ์อีกบทหนึ่งคือ ตำรับการสร้างลูกประคำ ซึ่งระบุว่าสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว เคยสร้างลูกประคำถวายสมเด็จพระนเรศวรมหา
ราชคราวออกศึก ประคำนี้มีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่ผู้เฒ่าผู้แก่ แห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี ว่า "ประคำนเรศวรปราบหงสาวดี"
ซึ่งพระพุทธวิถีนายก หลวงปู่บุญ ได้นำมาสร้างขึ้นในเวลาต่อมานั่นเอง
 
   

 
จากหลักฐานดังกล่าวก็พอจะเชื่อถือได้เป็นแน่แท้ว่า วัวธนูในแผ่นดินสยามนี้ คงจะมีต้นกำเนิดมาแต่สมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่นอน
 
วิธีการสร้างวัวธนู
 
"วัวธนู" ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ใบลานเก่าแก่นั้น ระบุถึงวัสดุที่ใช้สร้างมีอยู่เพียง 2 ชนิด คือสร้างจากเขากระทิงอย่างหนึ่งกับสร้าง
จากครั่งอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำจากเขากระทิงนั้นจะต้องเอาเฉพาะแต่ส่วนปลายยอดเขาส่วนเดียวเท่านั้น มาแกะเป็นรูปวัวธนูและเขาหนึ่ง
เขาก็สามารถนำมาแกะวัวธนูได้เพียงหนึ่งตัวเท่านั้น การแกะต้องตามเวลาฤกษ์ที่กำหนดเท่านั้น และจะต้องแกะคราวเดียวให้เสร็จ
ทันเวลาด้วยมิฉะนั้นใช้ไม่ได้
 
สำหรับที่ทำจากครั่ง ต้องใช้ครั่งที่เกาะติดอยู่บนกิ่งพุทราเท่านั้นและกิ่งพุทรานั้นปลายจะต้องชี้ไปทางทิศตะวันออกด้วย วัวธนูหนึ่ง
ตัวต้องนำครั่งจากกิ่งพุทรา 3 กิ่งขึ้นไปมารวมกันสร้าง แต่การสร้างนี้มีกรณีพิเศษอยู่ว่า ถ้าครั่งนี้อยู่กับกิ่งพุทราตายพราย ท่านให้
ใช้เพียงกิ่งเดียวก็เพียงพอเพราะจะมีอานุภาพสูงส่งอยู่แล้ว
 
สิ่งที่จะต้องเตรียมไว้ก่อนทำพิธีก็คือลวดทองแดงและแผ่นทองแดง ลวดนั้นนำไปใช้ในการตัดทำเป็นโครงร่างของตัววัว ซึ่งเป็นโครง
ชั้นในที่พอดูเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น วิธีการทำก็โดยดัดให้เป็นแกนตัว ขา คอ หาง และเขา แต่สำหรับส่วนเขาในขั้นต้นนั้นยังไม่ต้อง
ดัดโค้งเป็นรูปเขา แต่เผื่อลวดเอาไว้ ดังนั้นจากโครงตัวต่อไปยังช่วงคอก็จะเป็นเส้นยาวเป็นโครงร่างเอาไว้เท่านั้น ที่ต้องทำเช่นนั้น
ก็เพื่อไว้สำหรับบรรจุตะกรุด ที่สร้างขึ้นเฉพาะในพิธีนี้ไว้ตรงช่วงคอก่อนที่จะดัดต่อเป็นเขา และก่อนนำเอาครั่งหุ้มนั่นเอง.
 

41


เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2169 ณ.ดินแดนแห่งหนึ่งใกล้ๆกับ แม่น้ำอาร์โน ช่วงเมืองปิซ่า ซึ่งอยู่ในแคว้นตอสกาน่า ประเทศอิตาลี
มีนายพรานมือฉมัง  นายหนึ่งมีนามว่า อันโวลตาโร่ (La Stella V Zero) อาชีพหลักคือล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ ของสะสมหลักๆ
ก็มี เขี้ยวเสือ,เขี้ยวหมูป่า,งาช้าง,หนังงูเหลือม,กระดองเต่า นอแรด ที่ได้จากการล่าสัตว์ในแต่ละครั้ง
 
อยู่มาวันหนึ่ง...อันโวลตาโร่ ได้พบกับเหตุการณ์ที่ต้องสยองขวัญ  เพราะมีเสือโหย...ตัวหนึ่ง  ได้เข้ามาคาบเอาสุนัขที่ตนเลี้ยงไว้
ชื่อเจ้าเมาโร่...ไปกิน สุนัขตัวนี้ทั้งดุ  เห่าก็เก่ง วันที่เกิดเหตุไม่มีแม้แต่...ที่จะส่งเสียงเห่า..คงเป็นเพราะมันไม่ทันได้ระวังและตั้งตัว                         
พรานอันโวลตาโร่ จึงออกติดตามร่องรอยเท้าเสือ...ก็พบเศษซากของสุนัขเกลื่อนกลาดไปเป็นทาง...
 
ระหว่างที่กำลังก้มหน้าก้มตาแกะรอยเท้าเสืออยู่นั้น พอเงยหน้าขึ้นมามองทางก็เจอเข้ากับ เสือ 2 ตัว  เข้าอย่างจัง ห่างกันเพียง
 2 เมตรเท่านั้น พรานอันโวลตาโร่ ตัวเย็นวูบ มือไม้ชา พอตั้งสติได้ จึงตัดสินใจ ยกปืนขึ้นเหนี่ยวไกทันที เสือก็ตกใจ ตัวหนึ่งเผ่น
หนีไปทันที ส่วนอีกตัวที่ถูกลูกกระสุนปืน มันกระโดดถาโถมเข้ามาทันที เป้าหมายคงอยู่ที่หน้าหรือคอ แต่ด้วยสัญชาติญาณของ
พราน... จึงใช้ปืนขึ้นขวางรับ โดยจับปืนขึ้นสองมือแล้วเบี่ยงตัวหลบ  แต่เสือเร็วกว่า   กระโดดโถมเข้ากัดที่มือหัวไหล่และลำคอ 
จนปืนกระเด็นไป เหลือแต่มือเปล่า...

จึงได้ทำการต่อสู้ด้วยมือเปล่า กอดรัดฟัดเหวี่ยง เตะด้วยขาขวา เสือก็งับเข้าที่ขาขวา เตะด้วยขาซ้ายเสือก็งับที่ขาซ้าย ทั้งหมัด
เข่าและแข้งต่างประเคนใส่แบบไม่ยั้ง จนเวลาล่วงเลยมาประมาณ 15 นาที ทั้งพราน...และเสือต่างเหนื่อยล้า และอ่อนแรง เสือ
ตัวนั้นได้ทรุดลงและเสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลจากกระสุนปืนไม่ไหวและคงจะช้ำในตาย
 
ส่วนพรานอันโวลตาโร่ ก็ได้ประคองร่างที่โชกเลือด เดินโซซัดโซเซในป่าไปอีกประมาณ 500 เมตร ก็ทรุดกายลงและเสียชีวิต
เช่นกันเพราะมีบาดแผลฉกรรจ์และเสียเลือดมาก...
 
 
เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์...ดังสำนวนไทยกล่าวไว้ว่า "หมองูตายเพราะงู"ฉันใด "นายพรานก็ตายเพราะเสือฉันนั้น"
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างต่างก็รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น....ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายและเบียดเบียนกัน

 
                         .............เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร..............


 
เรื่องโดย.....กระเบนท้องน้ำ

42


ประมาณปี ๒๕๓๑-๒๕๓๒ ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก จะพบว่ามีขันและพานที่ใช้ในพิธีรับขันธ์ ๕ วางเรียงต่อกันหลายแถวหลายชั้นจนท่วมศีรษะ

คนจำนวนไม่น้อยที่เข้าพิธีรับขันธ์ ๕ นัยว่าเป็นการเปิดรับกายทิพย์ของหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ บ้างก็อ้างว่าเป็นดวงวิญญาณ
บูรพกษัตริย์ไทยในอดีต หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ เพื่อเข้ามาคุ้มครองป้องกันภัย หรือเสริมชีวิตให้เกิดความเป็นสิริมงคล

แต่แท้จริงแล้ว หลวงปู่กล่าวว่า

"ส่วนใหญ่นั้นหลอกลวงกันแทบทั้งสิ้น หากจะมีก็มักเป็นวิญญาณชั้นต่ำที่มาอาศัยกินเครื่องบวงสรวง"

หลวงปู่สอนมาโดยตลอดที่จะให้เราฝึกฝนอบรมจิตใจให้บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วด้วยเหตุใดคนเราจึงพากันยินดีปฏิบัติในทางตรงกันข้าม โดยให้สิ่งอื่นเข้ามาครอบงำกายใจของเราได้!

หลวงปู่ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยในแต่ละวัน ๆ กับการสงเคราะห์พวกที่เคยไปรับขันธ์แล้วเปลี่ยนใจ เพราะต้องการความเป็นไทแก่ตัว ต้องการควบคุมตนเองให้ได้เหมือนแต่ก่อน ไม่ใช่อยากจะร่ายรำ หรือพูดภาษาแปลก ๆ หรือตัวสั่นงันงกในที่สาธารณชน ก็ทำขึ้นมาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้

นอกจากการแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณที่มาสิงสู่ร่างเหล่านั้นออกไปแล้ว หลวงปู่ก็เน้นย้ำว่าตัวผู้ (ป่วย) นั้นก็ต้องช่วยตัวเองด้วยเช่นกันด้วยการทำภาวนาเพิ่มสติสัมปชัญญะให้กับตัวเอง มิเช่นนั้นก็เหมือนประตูบ้านยังปิดไม่มิดชิด สิ่งแปลกปลอมก็อาจกลับเข้ามาใหม่ได้อีก

"หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก"

เห็นกองขันที่เขาเอามาทิ้งไว้ที่วัดก็ให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทนหลวงปู่ แล้วไหนยังจะต้องไปรับมือกับบรรดาเจ้าสำนักที่สูญเสียผลประโยชน์อีก บางครั้งหลวงปู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า 'เขาส่งของมา กะจะเอาเราให้ตาย'

บัดนี้ สิ้นหลวงปู่แล้ว และถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ยังคงให้การคุ้มครองดูแลศิษย์ทั้งหลายอยู่ แต่เราเองก็ต้องไม่ประมาท ต้องรีบเร่งสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นด้วยตนเอง และก็มิใช่โดยพระเครื่องของท่าน เพราะนั่นก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งที่สูงสุด หากแต่ต้องอาศัยการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของเราเองให้ดีงาม เพื่อให้เกิดเป็นธรรมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม บนฐานที่มั่นคงของการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ได้ตลอดทุก ๆ อิริยาบถ




ขอบคุณที่มาโดย พี่สิทธิ์


43
คาถาอาคม / คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร...
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2553, 11:24:30 »
คาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ)

ตั้งนะโม 3 จบ


ปัญจะมาเร ชิโนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

จะตุสัจจัง ปะกาเสสิ ธัมมะจักกัง ปะวัตตะยิ

เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม  ชะยะมังคะลัง


ป้องกันอันตรายทั้งปวง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักแล.

44


 -  ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนิน
แปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่ง
ไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง
ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว

วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้าน
ห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกัน
อย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าจะเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์
 
ชาวบ้านผู้นั้นกล่าวว่า
ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้..
"วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ..
พระองค์ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว"

วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร
ในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและ
ทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า
"วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."



-  มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง
คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง
พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ
คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า "เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง"

ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า "เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง"

(สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง
พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได
รีบลงมาก้มกราบ

ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า "แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"



-  เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านให้เพื่อนๆ ฟังตั้งหลายเรื่อง
วันนี้เริ่มเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะ เรื่องมีอยู่ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2513
วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่
ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ
ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปู
สำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจน
มีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ
จึงกระซิบทูลว่า ควรจะทรงทำท่าเสวย
แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง
แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเก?ี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า

"ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ



  -เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด
ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย
จึงทูลถามท่านว่า
"ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?"

ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่า
ก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม


-  ผู้หญิงตกเป็นของใคร
บางครั้ง ในหลวงของเราก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า
เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย
แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า
สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ
ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ
รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า
“แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป… ผู้หญิงนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน”
รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล
สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย
“ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่รู้…”


-  "สามร้อยตุ่ม"

มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงตาง ๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผ้ส่องถวายอยางไม่สะดุ้นสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบา ๆ เท่านั้น

ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณ์ขันว่า

"..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่
เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง
ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแดง
ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.."



-  พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนครเพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน
และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้า
เพราะแขนเจ็บเข้าเฝือกอยู่...

ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า "แขนเจ็บไปโดนอะไรมา"
ชายคนนั้นตอบว่า "ตกสะพาน "

แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า
"แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ"

ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า
"แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วย ตกข้างเดียว"
ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล


-  พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ทางภาคใต้
คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรด มีความเค็ม
พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้านที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า

"ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม "
ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง
ก่อนตอบกลับมาว่า "ไม่เคยชิมซักที"
ในหลวงก็ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารที่ ตามเสด็จว่า
"ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ"



ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง...
มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯ(คนนั้นแหล่ะไม่อยากจะเอ่ย)
บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์ สร้างความขุ่นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร

ในหลวงทรงตรัสว่า "ไม่เป็นไรหรอก หากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้
หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้"

ท่านพูดเสียงเรียบ ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลย พูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก เคยมีคนถามผมว่า นับถือใครมากที่สุด คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือ
ในหลวง ท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้า ยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์
ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่


.....เราจับได้แล้ว.....

ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ....ครั้งหนึ่งในงานนิทรรศการ "ก้าวไกลไทยทำ" วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 The BOI Fair 1995 commemorates the 50th Anniversary of His Majesty King Bhumibol Adulyadej's reign"
(Board of Investment Fair 1995 BOI) หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามศาลาการแสดงต่างๆ
ก็มาถึงศาลาโซนี่ (อิเล็กทรอนิกส์) ภายในศาลาแต่งเป็น "พิภพใต้ทะเล" โดยใช้เทคนิคใหม่ล่าสุด "Magic Vision" น้ำลึก 20,000 league จะมีช่วงให้แลเห็นสัตว์ทะเลว่ายผ่านไปมา ปลาตัวเล็กๆ สีสวยจะว่ายเข้ามาอยู่ตรงหน้า
ข้อสำคัญเขาเขียนป้ายไว้ว่า... ถ้าใครจับปลาได้เขาจะให้เครื่องรับโทรทัศน์ พวกเราไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับ ไม่ได้
เพราะเป็นเพียงแสงเท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า "เราจับได้แล้ว"
พร้อมทั้งทรงยกกล้องถ่ายรูปชูให้ผู้บรรยายดู แล้วรับสั่งต่อ "อยู่ในนี้" ต่อจากนั้นคงไม่ต้องเล่า
เพราะเมื่ออัดรูปออกมาก็จะเป็นภาพปลาและจับต้องได้ บริษัทโซนี่จึงต้องน้อมเกล้าฯ
ถวายเครื่องรับโทรทัศน์ตามที่ประกาศไว้...


.....ทุกข์ยามดึก.....

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ ผู้อำนวยสำนักงานโครงการพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ....การที่ได้ทรงพระกรุณารับฟัง และติดต่อทางวิทยุตำรวจเป็นประจำ
จึงทรงทราบความลำบาก ความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย

.....ตำรวจประจำตู้ยามบางคนคับแค้นใจ เกี่ยวกับปัญหาครอบครัว ปัญหาการครองชีพ
เมื่อเสพสุราแล้วครองสติไม่ได้ ไม่รู้จะระบายความในใจกับใคร จึงได้พล่ามบรรยายมาทางวิทยุ

.....บางคนหลับยามไม่พอกดคีย์ ไมโครโฟนค้าง ทำให้มีเสียงกรนออกอากาศมาด้วย

.....บางคนตะโกนร้องเพลงลูกทุ่ง ออกอากาศมาเป็นการแก้เหงา ก็มี

..... ที่จัดได้ว่าโชคดี คือ ศูนย์ควบคุมข่ายตำรวจแห่งชาติ "ปทุมวัน" กล่าวคือ
ในยามดึกวันหนึ่ง .....พนักงานวิทยุคนหนึ่งได้ระบายความเดือดร้อน เนื่องจากหิวโหยไม่สามารถ
หาอาหารรับประทานได้เพราะต้องเข้าเวร เมื่อทรงรับฟังแล้วทรงสงสาร
จึงได้รับสั่งทางวิทยุกับผู้เขียนในฐานะที่เป็น ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นโดยตรงว่า

"โปรดเกล้าฯ พระราชทานตู้เย็นเพื่อ เก็บอาหารสำรอง สำหรับเวรยามดึกให้ 1 ตู้"


-  ส่งเสี่ยกลับวัง
เมื่อสมัยก่อนเสด็จแปร พระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง
และบางครั้งโดยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่งระหว่างจะ เสด็จกลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า
“ไปไหมเสี่ย” ปรากฎว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยัง พระราชวังไกลกังวล
โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ
เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร ?


เคยมีคนต่างชาติสงสัยว่า ”ทำไมคนไทยรักในหลวง"


คำตอบคือ .............“คุณมีเวลามากพอที่จะฟังหรือเปล่า "


เหตุใดทรงไม่โปรดเสวยปลานิล
         


"เหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล" มีใจความว่า..

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดเสวยปลานิล
ทุกครั้งที่มีผู้นำปลานิลไปตั้งเครื่องเสวย
จะโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่น โดยไม่รับสั่งอะไรเลย


จนวันหนึ่งมีผู้กล้าหาญชาญชัยกราบบังคมทูลถามว่า
เพราะเหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล มีรับสั่งว่า
“ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก แล้วจะกินมันได้อย่างไร”


เรื่องนี้มีตำนาน เชิญอ่าน
20 ปีก่อน ราวพุทธศักราช 2524 แรกครั้ง
พระจักรพรรดิอากิฮิโต แห่งญี่ปุ่น ยังทรงฐานันดรศักดิ์เป็นมกุฎราชกุมาร
ได้ส่งปลานิลทางเครื่องบินจำนวน 100 ตัวมาทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง ปรากฏว่า เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทย ปลาตายเกือบหมด เหลือรอดแบบใกล้ตายเพียง 10 ตัว


ในหลวงทรงเป็นห่วงเป็นใยปลานิลเหล่านี้ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้นำ ไปไว้ในพระที่นั่ง ทรงเลี้ยงอย่างประคบประหงม ให้อาหารด้วยพระองค์เอง จนปลานิลทั้ง 10 ตัวรอดชีวิต


แล้วปลานิลทั้ง 10 ตัว ได้สนองพระเดชพระคุณแพร่พันธุ์ไปอีกมากมาย
ตามพระราชประสงค์เป็นอาหารคนไทย 62 ล้านคน มาจนถึงทุกวันนี้


ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 



ขอบคุณที่มา...F.W.mail

45


วันนี้(7 มิ.ย.) ฮือฮาสัตว์ประหลาด ชาวบ้านผวามาจากต่างดาวครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปบ้านเลขที่ 18 หมู่ 8 บ้านวังสามหาบ ต.เทพคีรี อ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู หลังจากที่มีข่าวลือว่าพบสัตว์ประหลาดที่ตกใส่หลังคาชาวบ้าน ซึ่งเมื่อเดินทางถึงในขณะนั้นได้มีชาวบ้านเกือบร้อยคนกำลังมุงดูซากสัตว์ ที่มีลักษณะใบหน้าเหมือนค้างคาว ลำตัวขนาดเท่าแมว แต่ไม่มีขน มีผิวหนังคล้ายผิวหนังมนุษย์ มีใบหูโต ปลายแหลม ลักษณะกางเหมือนมนุษย์ต่างดาวในภาพยนตร์อีที มีสี่ขา มีหางหนึ่งหาง แต่มีนิ้วและเล็บ เหมือนสุนัขหรือแมว มีอวัยวะสืบพันธุ์ นอนหงายอ้าปากค้างอยู่ในภาชนะรองด้วยผ้าขาวบางที่นางแสงเดือน แสนพุ เจ้าของบ้านจัดไว้ บนแคร่ ใต้โครงหลังคาบ้าน ขณะที่ชาวบ้านบ่างส่วน ได้จุดธูปบูชา พร้อมดอกไม้ เทียน และด้ายสายสิญจน์อธิษฐานไปต่างๆ นานา ตามความเชื่อ

จากการสอบถามนางฉวีวรรณ อัฒสุวรรณ อายุ 51 ปี พี่สาวเจ้าของบ้าน เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่าในคืนวันที่ 3 มิ.ย. ที่หมู่บ้านมีฝนตก ลมกรรโชกแรง และมีเสียงฟ้าผ่าดังลั่น ต่อมาตนได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรตกลงบนหลังคาบ้าน คิดว่าเป็นกิ่งไม่ก็เลยไม่สนใจ แต่พอตื่นนอนตอนเช้า พบเสียงร้องครวญครางเหมือนนกแสกดังอยู่ ตนจึงเดินตามหาต้นเสียงจนพบสัตว์ประหลาดดังกล่าวนอนซมอยู่ใต้แคร่ในห้องนอน เลยอุ้มขึ้นมาดูแต่ไม่นานก็เสียชีวิต ครั้งแรกไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร ลองสอบถามเพื่อนบ้านก็ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตัวอะไร สุดท้ายเลยเก็บไว้ในตู้เย็น หลังจากนั้น จึงเริ่มมีข่าวลือสะพัดว่าเป็นสัตว์ประหลาดหลงฝูงมา ต่อมา ตนจึงได้นิมนต์พระมาชักอนิจจาและทำบุญให้สัตว์ประหลาดดังกล่าว ซึ่งตนจะนำไปดองใส่ขวดโหลไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษา อย่างไรก็ตาม ได้มีชาวบ้านที่เชื่อในเรื่องของโชคลาภ พากันจุดธูปเทียนบูชาหาเลขเด็ดเช่นเคย

ด้านนายไวพจน์ หิมารัตน์ ปศุสัตว์จังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวว่า ตนเองยังไม่ได้ไปตรวจพิสูจน์ซากสัตว์ประหลาดดังกล่าว แต่จากการดูภาพถ่ายวีดีโอของสื่อมวลชนแล้วคาดว่าน่าจะเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก หรือ แมวสายพันธุ์หนึ่ง ปีนขึ้นบนหลังคาบ้านแล้วถูกฝนพายุที่ตกหนักพลัดตกลงมาเลยอาจทำให้เสียชีวิตก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม เท่าที่สอบถามข้อมูลเบื้องต้น ยังไม่มีใครแสดงตนเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดดังกล่าว ซึ่งตนเองจะให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สัตว์ประหลาดดังกล่าว มีรูปร่างคล้ายแมวพันธุ์สฟิงซ์ ซึ่งจะไม่มีขน ผิวหนังย่น หน้าตาค่อนข้างน่ากลัว และเป็นที่นิยมเลี้ยงกันเฉพาะกลุ่มคนรักแมวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าในหมู่บ้านวังสามหาบ จะมีครัวเรือนใดเลี้ยงแมวสายพันธุ์ดังกล่าวเอาไว้



ขอบคุณที่มา : Daily News Online > หน้าภูมิภาค > ฮือฮา...สัตว์ประหลาด..โผล่หนองบัวลำภู

46
สิบเอกเที่ยง  แสนกล้า จำอดีตชาติได้
 
สิบเอกเที่ยง แสนกล้า เป็นบุตรของ นายเจริญ และ นางพวน แสนกล้า เกิดเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2467(1924) ที่หมู่บ้านระไซร์ ต.ตรำดม อ.ลำดวน จ.สุรินทร์(ห่างจากตัวอำเภอเมืองไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กม.) สิบเอกเที่ยงจำอดีตชาติได้ว่าเป็น “นายโพธิ์ แสนกล้า” หรือ “เสือโพธิ์” ซึ่งเป็นพี่ชายของนายเจริญ




เมื่อปี พ.ศ.2465 ในเขตจังหวัดสุรินทร์มีโจรก๊กหนึ่ง มีชื่อเสียงในทางลักขโมยปล้นจี้วัวควาย เป็นที่เรื่องลือ หัวหน้าก๊กนี้ชื่อ “โพธิ์” หรือ “เสือโพธิ์” เสือโพธิ์คุมลูกน้องบริวารออกปล้นสะดมชาวบ้าน สุจริตชนเป็นที่หวาดเกรงไปทั่ว เจ้าหน้าที่บ้านเมืองพยายามออกปราบปรามจับกุมหลายครั้งหลายหน แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากฝ่ายโจรชำนาญภูมิประเทศมากกว่า จึงสามารถหลบหนีหลุดรอดเงื้อมมือได้ทุกครั้ง แต่ด้วยพื้นสันดานของเสือโพธิ์ไม่ใช่อาชญากรโดยกำเนิด เมื่อถลำเข้าไปในทางชั่ว จึงเตลิดเปิดเปิงไปพักหนึ่ง นานวันเข้าก็มองเห็นหายนะแห่งชีวิตชัดเจนมากขึ้นทุกที จึงคิดกลับตัวกลับใจเลิกละจากชีวิตโจร เพื่อหาทางกลับไปสู่วิถีของสุจริตชนอีกครั้ง โดยคิดว่า ถ้ายอมมอบตัวให้กับทางการและรับสารภาพผิดแต่โดยดี คงจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษจากหนักเป็นเบา แม้จะติดคุกติดตะรางอย่างไรก็ไม่มีวันพ้นโทษ เสือโพธิ์ได้นำความคิดนี้ไปเกลี้ยกล่อมลูกน้อง ให้ยอมมอบตัวพร้อมกับตน และยืนยันว่าตนได้ตัดสินใจเป็นเด็ดขาดแล้ว ที่จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีอีกครั้ง

คราวนี้ลูกน้องก็เกิดความคิดแบ่งแยกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยกับความคิดของหัวหน้า แต่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วยเพราะยังเห็นว่า การเป็นโจรดีกว่าอยากได้สิ่งใดก็ใช้อำนาจเถื่อนแย่งชิงเอามาง่ายๆ แต่ละวันไม่ต้องทำงานทำการอะไรให้เหนื่อย ก็สามารถอยู่กินได้สบายๆ ไปที่ใดมีแต่คนกลัวเกรงครั่นคร้าม พวกที่คิดว่าควรเป็นโจรต่อไปมีมากกว่าพวกที่อยากกลับตัว แม้ลูกน้องจะมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในความคิดจะเข้ามอบตัวต่อทางการ เสือโพธิ์ก็ยังยืนยันมั่นคงว่าสำหรับตนแล้วขอวางมือจากการเป็นโจรอย่างแน่นอน กลุ่มลูกน้องที่เห็นดีเห็นงามกับการเป็นโจรอยู่ ก็เกิดความหวาดหวั่นว่า ถ้าเสือโพธิ์เข้ามอบตัวกับทางการเมื่อใด ก็ต้องเปิดเผยต่อเจ้าหน้าที่หมดสิ้น ว่ามีใครเป็นลูกน้องบริวารบ้าง อีกทั้งคงเปิดเผยสถานที่หลบซ่อนหลีกเร้น อันเป็นความลับไม่มีแน่ หากเป็นเช่นนั้นพวกตนซึ่งยังประพฤติตัวเป็นโจรอยู่ ย่อมได้รับความเดือดร้อนตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ลูกน้องกลุ่มนี้จึงแอบขบคิดวางแผน ที่จะสังหารเสือโพธิ์เสียเลย เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ยอมให้เสือโพธิ์นำความลับไปเปิดเผย ให้ทางการรู้อย่างเด็ดขาด

ดังนั้นวันหนึ่งได้โอกาสเหมาะ สมุนโจรที่ไม่เห็นด้วยกับการวางมือของเสือโพธิ์ จึงรวมหัวกันฆ่าเสือโพธิ์ โดยสมุนคนหนึ่งที่ชื่อช้างใช้มีดขนาดใหญ่ฟันเสือโพธิ์จากด้านหลัง ถูกบริเวณหลังศีรษะด้านซ้าย เป็นแผลฉกรรจ์จนเสือโพธิ์ล้มฟุบลงจมกองเลือด ก่อนเสือโพธิ์จะสิ้นใจตาย ได้คิดอาฆาตพยาบาทลูกน้องทรยศ อย่างจับจิตจับใจถึงกับคิดอาฆาตในใจว่า ถ้าเกิดใหม่ชาติใดจะขอตามล้างแค้นเอาชีวิตลูกน้องทุกคนที่รุมกันทำร้ายเขาให้หมดสิ้น จากนั้นเสือโพธิ์ก็หมดสิ้นลมหายใจ ศพถูกทิ้งไว้กลางป่าตรงที่ถูกรุมฆ่านั้นเอง แต่การตายของเสือโพธิ์ไม่ได้เงียบหายไปเฉยๆ เพราะมีผู้ไปพบศพของเขาจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทราบและทำการชันสูตรพลิกศพตามระเบียบ เสือโพธิ์เสียชีวิตที่บ้านอาวุธ ต.แตล อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เมื่อเดือน กรกฎาคม 2467(1924)ขณะอายุได้ 40 ปีข่าวการจบชีวิตของเสือโพธิ์เป็นที่กล่าวถึงอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆจางหายไป

ห่างจากจุดที่ “เสือโพธิ์” หรือ นายโพธิ์ แสนกล้า ถูกฆ่าตายไปประมาณ 25 กิโลเมตร ที่หมู่บ้านระไซร์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่น้องชายของเสือโพธิ์ที่ชื่อ นายเจริญ แสนกล้า อาศัยอยู่พร้อมกับ นางพวน แสนกล้า ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ หลังจากเสือโพธิ์เสียชีวิตไปได้ 3 เดือน ในเดือนตุลาคม 2467 ภรรยาของน้องชายเสือโพธิ์ก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย ผู้เป็นพ่อตั้งชื่อให้ว่า “เที่ยง” แรกเกิด ด.ช.เที่ยง มีรอยตำหนิและความผิดปกติที่ตรงกันกับรอยตำหนิและความผิดปกติของ นายโพธิ์ ถึง 6 ตำแหน่ง ซึ่งมีทั้งรอยแผลเป็นแบบนูนขึ้นมาจากผิวหนังขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 1-1.5 ซม. ยาวประมาณ 5-6 ซม.ตรงกันกับรอยบาดแผลของนายโพธิ์ที่ถูกลูกน้องฟันด้วยมีดขนาดใหญ่ที่บริเวณศีรษะด้านหลังจนเสียชีวิต มีรอยปานดำที่บริเวณหลังมือและหลังเท้าทั้งสองข้าง(รวม 4 ตำแหน่ง) ตรงกันกับรอยสักของนายโพธิ์ และเขามีนิ้วโป้งเท้าข้างขวาที่มีเล็บหนา ผิวหนังย่น มีขนาดใหญ่กว่าและผิดรูปไม่เหมือนกับนิ้วโป้งเท้าข้างซ้าย ซึ่งก็คล้ายกันกับอาการบวมและเป็นแผลหนองเรื้อรังที่บริเวณนิ้วโป้งเท้าขางขวาของนายโพธิ์ขณะที่ยังมีชีวิต

 


ภาพรอยแผลเป็นที่ด้านหลังศีรษะ


ภาพความผิดปกติของนิ้วโป้งเท้าข้างขวา
(ภาพจากเอกสารทางวิชาการของ ดร.เอียน สตีเวนสัน)


เมื่อเด็กชายเที่ยงเจริญเติบโตขึ้นมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงและมีจิตใจห้าวหาญเกินตัว ครั้นเด็กชายเที่ยงพูดจาได้คล่องแคล่ว ก็สร้างความตื่นเต้นตกใจให้กับพ่อแม่ของเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเด็กพูดว่าเขาคือ “เสือโพธิ์” มาเกิด และบอกเล่าว่าชาติก่อนเขาตายเพราะถูกลูกน้องทรยศรุมทำร้าย(เขาบอกด้วยว่ามีใครชื่ออะไรบ้าง) เมื่อเกิดมาชาตินี้เขาจะตามไปล้างแค้นฆ่าให้ตายหมดทุกคน แม้ผู้ใหญ่สั่งสอนห้ามปรามมิให้ผูกพยาบาทอาฆาตมาดร้ายเพียงใด เด็กชายเที่ยงก็ไม่ยอมเชื่อฟัง คงพร่ำจะตามฆ่าล้างแค้นให้ได้ ตอนนั้นพ่อแม่ของเขาหวนคิดถึงความฝันประหลาด ก่อนที่นายเที่ยงหรือ ด.ช.เที่ยงในขณะนั้นจะเกิดมา ทั้งนายเจริญและนางพวนฝันตรงกันเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า นายโพธิ์ แสนกล้า หรือ ”เสือโพธิ์” พี่ชายของนายเจริญที่เสียชีวิตไปแล้ว มาปรากฏตัวให้พวกเขาเห็น และบอกว่าเขาจะมาเกิดเป็นลูกของทั้งสองคนพวกเขาไม่คาดคิดว่าความฝันในครั้งนั้นจะกลายเป็นความจริง

ตอนนั้นเด็กชายเที่ยงได้พูดและแสดงออกถึงเรื่องราวในอดีตชาติที่เคยเกิดเป็นเสือโพธิ์หลายครั้ง แต่พ่อแม่ของเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้กับใคร เพราะเด็กชายเที่ยงพูดถึงแต่การจะแก้แค้นและพูดถึงชื่อของบรรดาคนที่ร่วมกันฆ่าเสือโพธิ์ ทำให้พวกเขาเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับลูกชาย จึงปกปิดเรื่องนี้มาตลอด จนกระทั่งพ่อของเขาป่วยหนักใกล้จะเสียชีวิต ตอนนั้นเด็กชายเที่ยงอายุได้ประมาณ 4 ขวบ เขาจึงยอมบอกกับญาติๆคนสนิทว่า เด็กชายเที่ยง คือ นายโพธิ์ แสนกล้า หรือ “เสือโพธิ์” พี่ชายของตนมาเกิด

เมื่อเด็กชายเที่ยงเติบโตเป็นหนุ่มขึ้นมา ความอาฆาตพยาบาทก็ยังไม่ลบเลือนไปจากความคิด และถึงกับสะสมอาวุธจะไปทำร้ายผู้อื่นอย่างแน่วแน่ พร้อมกันนั้นก็ออกสืบหาบรรดาลูกน้องทรยศอย่างเอาเป็นเอาตาย สร้างความหนักใจให้แก่พ่อแม่อย่างยิ่ง แต่กาลเวลาซึ่งผ่านมาเนิ่นนานกว่า 20 ปี พวกลูกน้องของเสือโพธิ์จึงแยกย้ายกระจัดกระจายไปอยู่คนละทิศละทาง บางคนเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กโดยเฉพาะนายช้างคนที่ฟันเขาจนเสียชีวิต บางคนถูกตำรวจยิงตาย บางคนติดคุกติดตะรางยังไม่ออก และบางคนก็หนีหายสาบสูญไปหลบซ่อนต่างถิ่นต่างแดน กระนั้นหนุ่มเที่ยงหรือเสือโพธิ์มาเกิดใหม่ก็พยายามสืบหาลูกน้องเก่าไม่ลดละ จิตใจหมกมุ่นอยู่กับความเคียดแค้นอาฆาตไม่ยอมเลิกรา

ต่อมาเมื่อนายเที่ยงอายุได้ 15 ปี แม่ของเขาก็มาเสียชีวิตลงไปอีกคน เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับลุง และลุงของเขาก็ห้ามไม่ให้เขาพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติโดยเด็ดขาด เมื่อเขาฝ่าฝืนก็จะถูกเอาไฟจี้ที่หน้าอก ตอนนั้นลุงของนายเที่ยงเห็นว่า ถ้าหากเขายังไม่ละทิ้งความอาฆาตพยาบาทที่ฝังใจมาตั้งแต่ในอดีตชาติ สักวันหนึ่งหากนายเที่ยงตามไปฆ่าลูกน้องเก่าตายไปจริงๆ ตัวนายเที่ยงเองก็ต้องติดคุกติดตะรางหรือถูกประหารชีวิตในที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ลุงของเขาและญาติผู้ใหญ่จึงได้พูดอธิบายให้นายเที่ยงได้รู้ถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้น ถ้าหากนายเที่ยงยังมุ่งมั่นที่จะแก้แค้นให้ได้ โดยอธิบายว่า หากนายเที่ยงไปฆ่าลูกน้องเก่าเมื่อไหร่ก็เท่ากับทำผิดกฎหมายบ้านเมืองอย่างร้ายแรง มีบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต หากไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมก็ต้องหนีกระเซอะกระเซิงเข้าป่าเข้าเขา ได้รับความอดอยากทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อใดที่ตำรวจติดตามไล่ล่าไปจนถึงตัว ถ้าต่อสู้ไม่ยอมให้จับกุมแต่โดยดี ก็อาจถูกตำรวจยิงตายได้ทุกเมื่อ ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อนายเที่ยงไปฆ่าคนอื่นเมื่อไหร่และถือว่าแก้แค้นสำเร็จ ผู้ตายจะผูกพยาบาทจองเวรสืบไปไม่มีที่สิ้นสุด และจะต้องตามล้างแค้นกันไปทุกๆชาติ พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ยกเหตุผลมาแสดงให้มองเห็นความจริงที่เกิดขึ้น ทั้งยังเตือนสตินายเที่ยงให้นึกถึงความรักความหวังดีที่พ่อแม่ญาติพี่น้องมีให้ จึงไม่ควรทำลายความรู้สึกดีๆเหล่านั้น เพราะอารมณ์ชั่ววูบของตัวเอง

นายเที่ยงนำคำเตือนสติไปคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดก็มองเห็นโทษภัยจากความอาฆาตแค้นของตน จึงให้สัญญาต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ว่าจะล้มเลิกการแก้แค้น ยินดีอโหสิกรรมให้กับพวกลูกน้องที่ฆ่าตัวเอง และไม่อาฆาตพยาบาทต่อผู้ใดอีก จากนั้นได้ไปให้สัจจวาจาต่อหน้าพระพุทธรูป และยินยอมอุปสมบทเป็นพระภิกษุนานพอสมควร ก่อนจะสึกมาแต่งงานมีครอบครัว

ต่อมานายเที่ยงสมัครเข้ารับราชการเป็นทหาร ได้รับยศเป็นสิบเอก สังกัดกองทัพบก ดำเนินชีวิตด้วยความเป็นปกติสุข ล้มเลิกความคิดแค้นที่ฝังใจจำมาตั้งแต่ชาติที่แล้วจนหมดสิ้น เมื่อคณะของ มิสเตอร์ ฟรานซิส สตอรี่ ไปพบ สิบเอกเที่ยง เพื่อสอบสวนหาข้อมูลการระลึกชาติได้ของเขา สิบเอกเที่ยงยังจำเหตุการณ์ในชาติที่แล้วได้ดี และชี้ให้ดูรอยแผลเป็นบริเวณด้านซ้ายของกะโหลกศีรษะ บอกว่านี่คือรอยที่ถูกลูกน้องที่ชื่อช้างใช้ดาบฟันเขาเป็นแผลฉกรรจ์ นอกจากแผลตรงศีรษะก็ ยังมีความผิดปกติของเล็บ ผิวหนัง และขนาดหัวแม่เท้าขวาที่ผิดรูปผิดปกติอีกแห่งหนึ่ง สิบเอกเที่ยงบอกว่ารอยแผลเป็นตรงหัวแม่เท้า ตรงกับที่เขาเคยเป็นแผลเรื้อรังในอดีตชาติตอนที่เป็นเสือโพธิ์ แผลนี้รักษาอย่างไรก็ไม่หาย เนื่องจากต้องเดินบุกป่าฝ่าดง เหยียบย่ำสิ่งสกปรกตลอดเวลา รอยแผลเป็นทั้งสองแห่งเป็นมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนปานดำที่บริเวณหลังมือและหลังเท้าทั้งสองข้างที่มีมาตั้งแต่กำเนิดเช่นเดียวกันนั้น ได้จางหายไปเมื่อเขาโตขึ้น

มิสเตอร์ ฟรานซิส สตอรี่ได้เดินทางมาพบและสัมภาษณ์ สิบเอกเที่ยง แสนกล้า เป็นครั้งแรก ที่ค่ายทหารในตัวเมือง จ.สุรินทร์ เมื่อปี 2506 ซึ่งต่อมาเมื่อปี 2511 ได้รับพระราชทานนามว่า "ค่ายวีรวัฒน์โยธิน" ตามเบาะแสข้อมูลเบื้องต้นที่ ร้อยเอกนิต วัลลศิริ ทหารในค่ายเดียวกันเป็นผู้ส่งไปให้ ตามที่อยู่ที่ มิสเตอร์ ฟรานซิส สตอรี่ ได้ลงประกาศในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับในขณะนั้น ส่วน ดร.เอียน สตีเวนสัน นั้นได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นจาก มิสเตอร์ ฟรานซิส สตอรี่ ก็ได้เข้ามาสอบกรณีนี้เพื่อเป็นข้อมูลศึกษาวิจัยในเชิงวิชาการ เมื่อปี 2512 จากข้อมูลการสอบสวนและสัมภาษณ์ทั้งตัวของสิบเอกเที่ยงเอง ญาติๆ และพยานที่เกี่ยวข้อง ของทั้งสองท่าน พอจะประมวลความได้ดังนี้คือ

สิบเอกเที่ยงเล่าเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติของเขาให้ฟังว่า ตอนนี้เขายังจำเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติ ตอนที่เขาเกิดเป็น นายโพธิ์ แสนกล้า หรือ “เสือโพธิ์” ได้ดี ในอดีตชาติเขาถูกลูกน้องบางคนในก๊กโจรของเขาเองรวมหัวกันฆ่าเขา โดยลูกน้องของเขาคนหนึ่งที่ชื่อ “ไอ้ช้าง” ได้ใช้มีดขนาดใหญ่ฟันเข้าที่ศีรษะด้านหลังอย่างแรง จนเขาเสียชีวิต

เมื่อเขาเสียชีวิตไปแล้ว เขาได้เห็นร่างของตัวเองนอนอยู่บนพื้น และมีเลือดไหลออกจากบาดแผล เขาอยากที่จะกลับไปเข้าร่างที่นอนอยู่ แต่เขาไม่กล้าเข้าไปเพราะมีคนที่ฆ่าเขายืนอยู่รอบๆร่างของเขา จากนั้นวิญญาณของเขาได้ไปเที่ยวหาเพื่อนๆแต่เพื่อนๆก็มองไม่เห็นตัวของเขา ตอนนั้นเขาเกิดคิดถึงและอยากไปหาน้องชาย(นายเจริญ แสนกล้า) ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเขาได้มาอยู่ที่บ้านของน้องชายแล้ว และเหมือนมีอะไรมาดลใจให้เขาเข้าไปหาภรรยาของน้องชาย(นางพวน แสนกล้า)ที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่ เขาเห็นว่าภรรยาของน้องชายกำลังตั้งครรภ์อยู่ ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาผลักดันให้เขาเข้าไปในร่างของน้องสะใภ้ โดยที่เขาไม่สามารถฝืน ขัดขืน หรือบังคับตัวเองได้ แล้วเขายังบอกด้วยว่า หลังจากที่เขาเข้าไปอยู่ในร่างของน้องสะใภ้แล้ว ตัวเขาเองรู้สึกตัวโดยตลอด

เมื่อเขาเกิดมาและโตขึ้นจนพูดได้ เขาก็บอกกับพ่อแม่ในปัจจุบันชาติของเขาว่า เขาเป็นนายโพธิ์ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อมาเกิด เขาเคยถามพ่อแม่ของเขาว่า “พ่อกับแม่จำได้ไหม ที่ผมมาบอกพ่อกับแม่ในความฝัน” ตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้พ่อแม่ในปัจจุบันชาติของเขาฟัง ทั้งสองคนก็จำได้ว่าตอนที่แม่กำลังตั้งท้องตัวเขานั้น ทั้งแม่และพ่อฝันตรงกันเป็นที่น่าอัศจรรย์ ว่าตัวเขาคือ นายโพธิ์ แสนกล้า หรือ ”เสือโพธิ์” พี่ชายของพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว มาปรากฏตัวให้เห็น และบอกว่าตัวเขา(เสือโพธิ์)จะมาเกิดเป็นลูกของทั้งสองคน

ตอนเด็กๆ เด็กชายเที่ยงมักจะเรียกตัวเองว่า “โพธิ์” แต่เขาจะแสดงความไม่พอใจถ้ามีเด็กๆด้วยกันมาล้อเลียนและเรียกเขาว่า“ไอ้โพธิ์” เวลาโกรธเขาก็มักจะพูดว่า “กูเป็นเสือโพธิ์นะ” เขาเรียกพ่อว่า “น้อง” และเรียกพี่สาวของพ่อว่า “น้อง” เช่นเดียวกัน แทนที่จะเรียกว่า “ป้า” ตามปกติ

ตอนเด็กๆ เด็กชายเที่ยงมีอาการกลัวมีดอย่างผิดปกติ และกลัวที่จะเข้าไปยังหมู่บ้านที่เสือโพธิ์ถูกฆ่าตาย แต่เขาบอกว่า ถ้าเขาโตขึ้นเขาจะเข้าไปตามหาคนที่ฆ่าเขา เพื่อแก้แค้นให้ได้

เขาจำได้ว่าในอดีตชาติเขามีภรรยาแล้ว ภรรยาเขาชื่อ “ไพ” ตอนที่เด็กชายเที่ยง อายุได้ 5 ขวบ นางไพ แสนกล้า ภรรยาของ เสือโพธิ์ เคยเดินทางจากบ้านของเธอ ที่หมู่บ้านอาวุธ ต.แตล อ.ศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ซึ่งห่างจากบ้านระไซร์ ประมาณ 25 กม. มาพบกับเด็กชายเที่ยง เธอนำสิ่งของต่างๆที่เป็นของนายโพธิ์และสิ่งของอื่นๆที่ไม่ใช่ของนายโพธิ์มาด้วย โดยนำปะปนกันมาหลายๆอย่าง แล้วถามเด็กชายเที่ยงว่า สิ่งของอันไหนเป็นของนายโพธิ์บ้าง เด็กชายเที่ยงบอกว่าสบายมาก และเขาสามารถเลือกสิ่งของทั้งหมดที่เป็นของนายโพธิ์ได้ถูกต้อง และยังเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่เขากับนางไพแต่งงานกันให้ฟังด้วย นางไพถามเรื่องราวส่วนตัวที่รู้กันเฉพาะคนในครอบครัวของเธอเท่านั้น เด็กชายเที่ยงก็สามารถตอบคำถามได้ถูกต้องโดยไม่ลังเล เด็กชายเที่ยงยังจำลูกสาวของนายโพธิ์ที่ชื่อว่า “ผา” ได้ และเรียกเธอว่า “ลูก” ทำให้นางไพภรรยาของนายโพธิ์และลูกสาวของนายโพธิ์แน่ใจว่า เด็กชายเที่ยงคือสามีและพ่อของพวกเธอมาเกิดจริงๆ เพราะเขาจำรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตที่รู้กันเฉพาะคนในครอบครัวได้ จำเหตุการณ์ขณะที่นายโพธิ์ถูกฆ่าตายได้ และสามารถบอกเล่าได้อย่างถูกต้อง เหมือนกับเขาได้ประสบกับเหตุการณ์ที่เกิดกับนายโพธิ์มาด้วยตัวเอง เป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ นางไพ ภรรยาของ เสือโพธิ์ เสียชีวิตเมื่อปี 1962 (2505) ขณะอายุได้ 76 ปี

สิบเอกเที่ยงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่นางไพมาพบกับเขาเมื่อตอนเด็กๆ นางไพบอกกับเขาว่า หลังจากที่ตัวเขา(เสือโพธิ์)ตายไป เธอได้บวชเป็นชี และเธอไม่คิดที่จะมีสามีใหม่ สิบเอกเที่ยงเล่าพร้อมกับควักเอาภาพของแม่ชีไพ ที่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีออกมาให้ดู

มีพยานคนหนึ่ง ที่ทราบเรื่องราวของทั้งเสือโพธิ์และสิบเอกเที่ยงดี ซึ่งเป็นอดีตปลัดอำเภอจังหวัดสุรินทร์ชื่อ นายประมวล ทวีสุข นายประมวลผู้นี้เคยไปทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพเสือโพธิ์ตอนตายใหม่ๆ นายประมวลยืนยันว่า ศพของเสือโพธิ์มีรอยแผลที่ศีรษะและที่หัวแม่เท้าขวาจริง และนายประมวลเคยมาพบกับเด็กชายเที่ยงตอนอายุได้ประมาณ 4-5 ขวบ ปรากฏว่าเด็กชายเที่ยงทักทายเขาโดยการเรียกชื่อของเขา เด็กชายเที่ยงจำเขาได้ทั้งๆที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเด็กชายเที่ยงบอกกับนายประมวลว่านายช้างเป็นคนฆ่าเสือโพธิ์

สำหรับการสืบชาติมาเกิดใหม่ของเสือโพธิ์ โดยเกิดเป็นนายเที่ยงนี้ มีข้อน่าสังเกตที่ค่อนข้างแปลกอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ มารดาของนายเที่ยงได้ตั้งครรภ์อยู่ก่อน เมื่อเสือโพธิ์ตายไปได้เพียง 3 เดือน มารดาของนายเที่ยงก็คลอดนายเที่ยงออกมา แถมบนร่างกายของเด็กชายเที่ยงยังมีรอยแผลเป็น และรอยปาน ที่ตรงกันกับบาดแผลและรอยสักของเสือโพธิ์อีกด้วย จึงยังคงเป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า รอยแผลเป็นและรอยปานที่ติดตัวของเด็กชายเที่ยงมาตั้งแต่กำเนิดเหล่านี้ เกิดมีขึ้นบนร่างกายของเด็กทารกตั้งแต่ก่อนเสือโพธิ์จะเสียชีวิต หรือเกิดขึ้นหลังจากที่นายโพธิ์เสียชีวิต ถ้าร่องรอยเหล่านี้เกิดมีขึ้นก่อนเสือโพธิ์จะเสียชีวิตร่องรอยเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด และถ้าร่องรอยเหล่านี้เกิดมีขึ้นหลังจากที่เสือโพธิ์เสียชีวิตแล้ว ร่องรอยเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด ?
                        ...

 
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล :
แปลความจากหนังสือ : Where Reincarnation and Biology Intersect โดย Ian Stevenson
แปลความจากหนังสือ : Rebirth as doctrine and experience: essays and case studies โดย Francis Story
จากหนังสือ : ตายแล้วเกิดใหม่ คนระลึกชาติ(เล่ม 1) โดย นที ลานโพธิ์

47




ที่แห่งนี้คือป่าศักดิ์สิทธิ์ ป่าลี้ลับ ป่าอาถรรพ์ … และคือป่าที่มีตำนาน ที่ชาวไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชาวลาวให้ความนับถือ เพราะเชื่อกันว่าเป็นที่ตั้งของเมืองนาคินทร์ และวังพญานาค ต้นตำนานแม่น้ำโขง เป็นป่าที่มีความน่าสนใจในแง่พฤกษศาสตร์ ที่โลกต้องทึ่ง!!! กับต้นคำชะโนดที่มีอายุนับหลายร้อยปี และมีอยู่ที่เดียว ณ ป่าคำชะโนด มีพื้นที่ราว 20 ไร่ ณ ต.วังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี คือ ที่ตั้งของ ป่าคำชะโนด ที่ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ เนื่องจากบริเวณนั้นมีต้นชะโนด (อยู่ในตระกูลเดียวกับปาล์ม คล้ายๆ ต้นตาล ต้นหมาก หรือไม่ก็ต้นมะพร้าว แต่สูงกว่า) ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทิวชะโนดสูงเด่นเป็นสง่า ปี 2520 เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านได้ทำการสำรวจจำนวนต้นชะโนดในป่าแห่งนี้ มีอยู่ราว 2,000 กว่าต้น จนมาถึงปี 2544 ชาวบ้านสำรวจอีกครั้งพบว่าต้นชะโนดลดลงเหลือเพียง 1,865 ต้น ถึงกระนั้นที่นี่ยังคงความเย็นชื้นและให้บรรยากาศวังเวงเหมือนเดิม แต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว นี่เองจึงทำให้ผืนดินราว 20 ไร่ ถูกตั้งฉายาให้เป็นป่าแห่งชะโนดขนานแท้ "เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะ แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ด หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นใบแห้งๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด"

ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด กล่าว อย่างไรก็ตามผืนป่าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่เลื่องชื่อชั่วข้ามคืน เพราะเรื่องเล่า "ผีจ้างหนังที่คำชะโนด" (คนอีสานเรียก ผีบังบด หรือเมืองลับแล ไม่สามารถมองเห็นได้ทั่วไป นอกเสียจากว่าจะมีอะไรดลใจให้เห็น) …. โดยเมื่อปี พ.ศ.2532 ธงชัย แสงชัย เจ้าของบริษัทหนังเร่ดังกล่าว ได้เล่าว่า ตนเองถูกว่าจ้างจากใครคนหนึ่งให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่งานวัด ที่หมู่บ้านวังทอง แถวป่าคำชะโนด ด้วยจำนวนเงิน 4,000 บาท แต่มีข้อแม้คือ ต้องฉายจบแค่ตี 4 ของวันใหม่ และให้ออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง โดยห้ามหันหลังกลับมามอง... หลังจากที่วางเงินมัดจำเสร็จ เจ้าของหนังก็จัดแจงเตรียมของอุปกรณ์สัมภาระ ฟิล์มหนังที่จะนำไปฉาย ไปกับลูกน้องอีก 4 รวมเป็น 5 คน โดยขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อมีหลังคา ออกจากตัวจังหวัดบ่ายแก่ ๆ ขับรถเข้าไปแถวป่าคำชะโนดก็เริ่มมืด ยิ่งขับไปทางเส้นทางตามที่ผู้ว่าจ้างบอกก็ไม่เห็นว่าจะเจอหมู่บ้านหรือคนที่จะมารับ จึงนึกว่าหลงกัน ระหว่างจอดรถว่าจะย้อนกลับไปดีหรือไม่ ก็มีผู้หญิง 2 คนใส่ชุดดำมาร้องเรียกว่าจะนำไปที่วัด คนขับที่เป็นเจ้าของหนังก็รับขึ้นรถ แต่แกก็สงสัยว่า 2 คนนี้โผล่มาจากไหนในที่มืดๆ อย่างนี้ พาหนะอะไรก็ไม่มี เมื่อขับเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งให้ชวนสงสัยใหญ่ว่า ทำไมไม่มีเสียงลำโพงออกมาจากงานวัด ไม่มีเสียง หมอลำ หรือการละเล่นอะไรเลย พอไปถึงหมู่บ้านก็มีคนมารับ แต่แปลกว่าทุกคนจะใส่เสื้อสีขาวกับดำ ถ้าเป็นผู้ชายใส่ชุดขาว ผู้หญิงใส่ชุดดำแยกให้เห็นชัดเจนแม้แต่เด็ก แต่ที่แปลกทุกคนจะทาหน้าขาวหมดเหมือนใช้ครีมพอกหน้า





เมื่อถึงที่แล้วทุกคนก็เริ่มตั้งจอภาพยนตร์ เดินสายไฟ และเปิดเครื่องปั่นไฟ ระหว่างที่กำลังกุลีกุจอติดตั้งก็เริ่มเห็นผู้คนทยอยมานั่งดูหนัง แต่จะแยกชายหญิงชัดเจน ไม่นั่งรวมกัน และปกติของงานวัดจะต้องมีแม่ค้าแม่ขายมาขายน้ำ ขายถั่ว ขายปลาหมึกย่าง แต่ที่นี่กลับไม่มีแม่ค้าสักคน พอติดตั้งเสร็จก็เริ่มฉายหนัง หนังที่เอาไปฉายมี 4 เรื่อง เรื่องแรกเป็นหนังสงคราม เรื่องที่ 2 เป็นหนังตลกแอ็คชั่น เรื่องที่ 3 กับ 4 เป็นหนังผี ระหว่างฉายคนพากย์ก็พยายามพากย์ยิงมุกตลกๆ แต่ไม่มีใครหัวเราะหรือแสดงอารมณ์อย่างใดเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไปฉายที่ไหน คนก็จะหัวเราะตลอด จนเริ่มฉายเรื่องที่ 3 ที่เป็นหนังผี สังเกตท่าทางคนที่มาดูเริ่มตั้งใจดู ทั้งที่บรรยากาศตอนนั้นก็เที่ยงคืนดูน่ากลัวมากๆ ระหว่างนั้นทางเจ้าภาพก็จัดข้าวต้มถ้วยเล็กมาให้ทีมงานฉายหนังกินกัน ทางทีมงานเห็นแล้วก็ละเหี่ยใจ มีแต่ข้าวต้มซีดๆ กะเนื้อชิ้นเล็กๆ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ ทางทีมงานก็เลยกินกัน ปรากฎว่าเป็นข้าวต้มที่อร่อยที่สุดที่เคยกินกันมา หลังจากฉายหนังจบถึงตี 2 ผู้คนก็แยกย้ายกันกลับ แป๊บเดียวก็สลายไปหมด ไม่มีใครเหลืออยู่เลย ทางทีมงานก็เก็บอุปกรณ์ขึ้นรถ โดยมีผู้หญิงสองคนนั่งรถออกมาส่ง ก่อนจะร่ำลาก็จ่ายค่าจ้างที่เหลือซึ่งเป็นเงินเหรียญทั้งหมด

พอออกมาส่งถึงปากซอยผู้หญิงสองคนนั้นลงจากรถ พอรถออกตัวคนขับที่เป็นเจ้าของหนังกลางแปลงหันกลับมาดูก็ไม่เห็นผู้หญิง 2 คนนั้นแล้ว หลังจากกลับมาถึงบริษัท ธงชัย ก็เกิดความสงสัย จึงเช็คประวัติกับผู้ว่าจ้างที่ถ่ายเอกสารให้ตอนวางมัดจำ ก็พบตัวว่ามีชื่อนี้จริง แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เคยไปว่าจ้างใครไปฉายหนังตามวันและเวลาที่บอก เมื่อสงสัยจัดก็เลยสอบถามไปยังเจ้าอาวาสวัดที่เอาหนังไปฉาย ทางเจ้าอาวาสก็บอกว่าในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด แต่เจ้าอาวาสเล่าว่า ในคืนวันที่เจ้าของหนังมาบอกว่ามีการฉายหนัง ที่ป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ๆ เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามา ทั้งๆ ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย...
นอกจากจะมีเรื่องเล่าผีจ้างหนังที่ป่าคำชะโนดแล้ว ผืนป่าแห่งนี้ยังมีเรื่องน่าประหลาดอีกเรื่องคือ เวลาน้ำแล้งก็จะเห็นว่าดินเชื่อมต่อกันไม่มีอะไร แต่เวลาน้ำท่วม ที่ดินรอบๆ จะท่วมหมด แต่ปรากฏว่าป่านี้น้ำไม่ท่วม น้ำขึ้นสูงอย่างไรก็ไม่ท่วม ชาวบ้านจึงเชื่อว่า เกาะนี้ลอยน้ำได้






อีกหนึ่งเรื่องเล่าของป่าแห่งนี้ ซึ่งคนภายนอกฟังดูอาจคิดว่าเป็นเรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนกลัวกันเล่นๆ สำหรับชาวบ้านที่อยู่มานานนมกลับเชื่อสนิทใจ ไม่ใช่นิทานปรัมปรา หรือนิยายประโลมโลก แต่นั่นคือแรงศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อป่าอันลี้ลับและเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย … ทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ๆ กับป่าคำชะโนด ได้ย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในป่าคำชะโนดว่า เดิมทีคนท้องถิ่นจะเรียกที่นี่ว่า "วังนาคินทร์คำชะโนด" ที่มาก็คือมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กๆ แต่กลับมีน้ำซึมออกมาตามธรรมชาติตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำประทานมาให้โดยพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณผืนป่า สำหรับบ่อน้ำในป่าคำชะโนด ว่ากันว่าเป็นบ่อน้ำที่ความศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น มีหลายคนเคยลองอธิษฐานตรงหน้าบ่อน้ำก็ได้ตามประสงค์ บางคนเจ็บป่วยไปดื่มหรืออาบโรคร้ายก็หายเป็นปลิดทิ้ง สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่ทุกคน อยู่ที่ความเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน หลายคนไม่เชื่อแถมยังลบหลู่ ตักน้ำจากบ่อแล้วนำมาล้างเท้าแทนที่จะหายป่วยไข้กลับทุกข์ทรมานซ้ำหนักกว่าเดิม เช่นเดียวกับใครที่อยากจะเข้าไปสัมผัสป่าลี้ลับคำชะโนดก็ต้องสำรวมและปฏิบัติตามข้อ

ห้ามอื่นๆ เป็นต้นว่า ห้ามใส่รองเท้าทั่วทั้งบริเวณป่า หมวก แว่นตา ร่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ห้ามเด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้คือการดูถูกดูหมิ่นต่อผู้ปกปักรักษาผืนดิน "แต่ก่อนห้ามใส่เสื้อสีแดงด้วย ไม่ได้เลยนะ ใครใส่เข้ามานี่เป็นเรื่อง อยู่ไม่ได้นานหรอก ต้องรีบออกไป ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนท่านไม่ชอบ แต่พอหลวงปู่ (หลวงตาคำ สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศรีสุทโธ วัดละแวกป่าคำชะโนด) ได้ทำพิธีขอยกเว้นตอนหลังก็ใส่ได้" ทองหล่อ ตลิ่งชัน กำนันตำบลวังทอง กล่าว ความเชื่อเรื่องพญานาคของคนที่นี่นั้นอาจไม่แตกต่างจากชาวหนองคายที่เชื่อว่าพญานาคมีจริง บั้งไฟพญานาคเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแห่งเมืองบาดาล ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ธรรมดาเหมือนเมื่อครั้งถูกนำเสนอผ่านหนัง รวมถึงสื่อทีวีบางช่องเมื่อหลายปีก่อนโน้น ชาวบ้านละแวกป่าคำชะโนดก็คล้ายกัน พวกเขาสร้างทางเดินที่เชื่อมจากโลกภายนอกกับผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์เข้าไว้ด้วยรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร นอนเลื้อยยาวไปจนสุดทางเดินราว 300 เมตร เพื่อสะท้อนถึงพลังอำนาจและบารมีของพญานาคราช กระทั่งในวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านก็มีความเชื่อว่าเป็นวันที่พญานาคจะขึ้นมาหายใจ ดวงไฟสีแดงที่ผุดกลางบ่อน้ำแล้วลอยขึ้นท้องฟ้า (คล้ายๆ กับบั้งไฟพญานาคผุดกลางลำน้ำโขงที่ จ.หนองคาย) นั่นละคือ ลมหายใจพญานาค โดยชาวบ้านเชื่อว่าใครเห็นจะเป็นบุญของชีวิตเลยทีเดียว





ตามตำนานกล่าวว่า เมืองชะโนด มี เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ เป็นใหญ่ ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง มีบริวาร 5,000 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค และมีบริวาร 5,000 เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันด้วยความรัก สามัคคี มีอะไรก็แบ่งกันกินเป็นเช่นนี้ตลอดมา จนอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค พาบริวารออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ได้ช้างมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้ สุทโธนาค ครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างก็อิ่มหนำสำราญ และอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค ก็ออกหาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้สุทโธนาคไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนไปให้เพื่อเป็นหลักฐานเช่นเคย เม่นตัวนิดเดียวแต่ขนใหญ่ เมื่อแบ่งให้ สุทโธนาค ก็ไม่พอใจ เพราะพิจารณาดูแล้ว ขนาดขนยังใหญ่ขนาดนี้ แล้วตัวคงใหญ่กว่านี้แน่นอน จึงไม่รับเนื้อเม่น พร้อมกับส่งคืน สุวรรณนาค เห็นดังนั้นจึงไปชี้แจงให้ทราบ ขอให้รับไว้เป็นอาหาร และผลสุดท้าย

ทั้งสองจึงประกาศสงครามกัน สาเหตุที่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งออกหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ต้องออกไป เพราะกลัวว่าบริวารจะปะทะกันเมื่อประกาศสงครามกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ระดมไพร่พลบริวาร สงครามเกิดขึ้น ไม่มีฝ่ายไหนแพ้ ชนะ พญานาคทั้งสองรบกันอยู่เป็นเวลา 7 ปี ก็ไม่มีใครแพ้ ชนะ เพราะต่างฝ่ายต่างก็หวังครองหนองกระแสเพียงฝ่ายเดียว จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่รอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหาย เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหว เทวดาต่างก็เดือดร้อนกันไปด้วยสามภพ ความเดือดร้อนทราบไปถึงพระอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาทั้งหลายต่างก็พากันไปร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พระอินทร์ได้ทราบ ดังนั้นจึงได้หาวิธีให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกัน เพื่อความสงบสุขของไตรภพ จึงได้เสด็จลงจากดาวดึงส์มายังเมืองมนุษย์โลก ที่หนองกระแส แล้วตรัสเป็นเทวราชโองการ ว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้" การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน และให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงคราม และให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำคนละสาย จากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกไปไว้ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือเอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอให้ไฟจากภูเขาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุลหลังจากพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการเช่นนั้น สุทโธนาค พร้อมไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำ

มุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาก็คดโค้งไปตามภูเขา หรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยากง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง ได้ถึงทะเลก่อนจึงได้เป็นผู้ชนะ ปลาบึกจึงอยู่แม่น่ำโขง ส่วนฝั่งลาวเรียกว่าแม่น้ำของ ฝ่าย สุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการก็พาบริวารไพร่พลออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาค เป็นคนตรงพิถีพิถันและยังเป็นผู้มีจิตใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรง แม่น้ำนี้เรียกว่า แม่น้ำน่าน แม่น้ำแห่งนี้จึงเป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสายในประเทศไทยการสร้างแม่น้ำแข่งขัน ปรากฏว่า สุทโธนาค สร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาค เป็นผู้ชนะ และปลาบึกจึงต้องไปอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก จากนั้น สุทโธนาค จึงได้แผลงฤทธิ์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า "ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาค จะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้" จึงได้ขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ เอาไว้ 3 แห่ง พร้อมกับทูลถามว่า "จะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน" พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ ที่ธาตุหลวง

นครเวียงจันทน์ ที่หนองคันแท และที่พรหมประกายโลก(คำชะโนด) ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ และหนองคันแท เป็นทางขึ้น-ลงของพญานาคเท่านั้น ส่วนพรหมประกายโลก คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน เมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลให้สุทโธนาค และมีลักษณะ 31 วัน โดยข้างขึ้น 15 วัน ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ" มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น และอีก 15 วันข้างแรม ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค และเรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ" ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล
 
 
 
credit : hero
http://free-from.blogspot.com/

48


ฮือฮาชาวบ้านแห่ขุดทอง ท้ายหมู่บ้านบ่อนางชิง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เผยพบสายแร่ทองคำเมื่อ 3 เดือนก่อน ข่าวแพร่ออกไปคนมาขุดเจอทองเกือบทุกวัน จนรวยยกหมู่บ้านกลายเป็นเศรษฐีใหม่-ซื้อรถป้ายแดง...

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ได้มีกระแสข่าวพบบ่อแร่ทองคำในพื้นที่ ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว บริเวณท้ายหมู่บ้านบ่อนางชิง ม.4 ต.ห้วยโจด เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง เมื่อไปถึงพบว่ามีประชาชนมากกว่า 100 คน กำลังลงมือขุดดินเป็นหลุมลึกประมาณ 1-2 เมตร กว้างประมาณ 2-3 เมตร กว่า 50 หลุม เพื่อหาแร่ทองคำ โดยที่นายไสว กุลศิริ อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48 ม.4 ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร เป็นผู้โชคดี โดยขุดได้ทองคำน้ำหนักประมาณ 1 กรัมแล้ว

ด้านนายสุบันท์ เซียมกิ่ง ผู้ใหญ่บ้าน ม.4 ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร กล่าวว่า พื้นที่ซึ่งประชาชนขุดทองครั้งนี้ เป็นที่ดินมีหลักฐาน นส.3 ก. ของนายอัมพร ซังชมแก้ว ซึ่งฐานะดี บ้านอยู่ ต.ท่าเกษม อ.เมือง จ.สระแก้ว มีเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ เจ้าของได้อนุญาตให้ชาวบ้านเข้ามาขุดหาทองโดยเก็บค่าเช่าหน้าดินล็อกละ 300-500 บาท ขนาดยาว 4 เมตร กว้าง 2 เมตร ส่วนที่ดินแปลงติดกันเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เป็นของ จ.ส.อ.บุญลือ ชุยอิว อายุ 80 ปี บ้านอยู่เลขที่ 180 ม.4 ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร ซึ่งเปิดให้ชาวบ้านขุดทองฟรี แต่ทองที่ได้ต้องขายให้ จ.ส.อ.บุญลือ ราคากรัมละ 950 บาท จนมีชาวบ้านจากหลายพื้นที่แห่กันมาขุดทองในที่ดินทั้ง 2 แปลง

ทั้งนี้ ชาวบ้านเริ่มขุดตั้งแต่เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ละวันได้ทองเกือบทุกคน เฉลี่ยประมาณ 1 กรัมต่อวัน ส่วนผู้โชคดีเมื่อเดือนที่ผ่านมาได้ทองคำก้อนใหญ่ไม่ทราบน้ำหนัก แต่นำไปขายร้านทองได้เงิน 4 ล้านบาท จนกลายเป็นเศรษฐีใหม่ในหมู่บ้านบ่อนางชิงไปอีกคน ส่วนชาวบ้านทั่วไปในหมู่บ้านไม่น้อยหน้ามีรายได้จากการขุดหาทองทุกคน โดยจะเห็นได้จากการสร้างบ้านหลังใหม่และซื้อรถป้ายแดง

นายสุบันท์ กล่าวต่อว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านบ่อนางชิงแห่งนี้โชคดี เพราะพื้นที่ทั่วทั้งหมู่บ้านมีเนื้อที่ประมาณ 18,000 ไร่ มีแร่ทองคำและทองคำน้ำหนักตั้งแต่ 1 กรัม จนถึงหลายกิโลกรัมแทบทุกตารางวา ซึ่งจากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า ในพื้นที่รอบบริเวณบ้านบ่อนางชิงนี้ เคยเป็นเหมืองทองคำมาก่อน โดยจะเห็นได้จากหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการขุดหาทองคำของคนโบราณที่ชาวบ้านขุดได้.

 


ขอบคุณที่มา...ไทยรัฐออนไลน์

49



แมงมุมดักทรัพย์ตาเพชร รุ่น มหาเศรษฐี ตาเป็นเพชรท้องเป็นถุงเงิน ปี 2547 เนื้อเงินขัดเงา สร้างน้อย หายากมากๆ ลูกศิษย์ต่างหวงแหน ล.ป.สุภา กันตสีโล วัดสีลสุภาราม จ.ภูเก็ต ขนาดตัวแมงมุม(ไม่รวมเลี่ยม) 2 x 2.5 ซ.ม.

 *แมงมุมรุ่นนี้ ตอนหลวงปู่ปลุกเสก เคลื่อนไหวดุจมีชีวิต กระโดดออกมาจากพาน อยู่รายรอบ และบางตัวก็กระโดดมาเกาะอยู่บนตัวหลวงปู่ครับ


เป็นที่ทราบกันดีว่าวิชาสำคัญถือเป็นสุดยอดเด็ดขาดและแน่นอนสร้างชื่อเสียงให้หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล พระอริยสงฆ์ห้าแผ่นดิน อายุ 115 ปี (ปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ) คือ " วิชาแมงมุมเรียกดักทรัพย์ " ที่ท่านได้รับถ่ายทอดยอดปรมาจารย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท โดยตรงเพียงองค์เดียว เมื่อครั้งที่หลวงปู่สุภาธุดงค์ไปเรียนวิชากับหลวงปู่ศุข เรียน
สำเร็จจะลากลับหลวงปู่ศุขได้เรียกหลวงปู่สุภาไปสอนวิชา " แมงมุมเรียกดักทรัพย์" โดยมีเคล็ดวิชาว่า " แมงมุมเป็นสัตว์วิเศษไม่ต้องออกไปหากินมีเหยื่อหรืออาหารเข้ามาถึงรังเข้ามาถึงปาก เพียงชักใยดักเหยื่อไว้เท่านี้ก็ไม่อดมีกินอิ่มตลอดการ"การเปิดร้านทำกิจการก็เช่นเดียวกันถ้าได้วิชาแมงมุมเรียกดักทรัพย์ไปก็เหมือนเปิดร้านกิจการค้าขายดักเหยื่อ ดักทรัพย์ ดักูลูกค้า ดักโชคดักลาภ ดักเงินดักทอง ให้เข้ามาติดกับง่ายดาย เห็นผลเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและแน่นอน หลวงปู่สุภาได้เรียนรู้วิชาแมงมุมเรียกดักทรัพย์และได้สร้างแมงมุมเรียกดักทรัพย์ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้ใช้ต่างเห็นผลมีประสบการณ์มากมายสุดจะพรรณนา อาทิ กิจการค้าขายลูกค้าเข้ามากค้าขายดี กิจการเติบโตก้าวหน้าเจริญขึ้น มีโชคมีลาภ ได้เงินได้ทอง ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก็มาก ใครได้แมงมุมของหลวงปู่สุภาไปต่างมีประสบการณ์ดีขึ้นแทบทั้งนั้นจนเรียกได้ว่า วิชาดักทรัพย์โชคลาภค้าขายไม่มีอะไรเกินแมงมุมของหลวงปู่สุภาไปได้

หลวงปู่สุภาได้ปลุกเสกแมงมุมเรียกดักทรัพย์แบบรูปหล่อแมงมุมเหมือนจริงเป็นครั้งแรก ช่างได้ออกแบบอย่างสวยงามสมส่วน มีเอกลักษณ์อมตะสง่าสมชื่อว่าเป็นพญาแมงมุม ด้านหลังแมงมุมได้ลงหัวใจยันต์ "ทะล้อมกะ" ที่หลวงปู่สุภาใช้เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวท่านดีทางป้องกันอันตรายทั้งแปดทิศ ใต้ท้องแมงมุมมีลักษณะเป็นเหมือน "ถุงทรัพย์" จาลึกอักขระหัวใจรับทรัพย์เป็นการถอดสูตรผ้ายันต์รับทรัพย์ทั้งผืนลงในอักขระที่ใต้ท้องแมงมุม (ตั้งตัวแมงมุม ตรงๆ ท้อง แมงมุมจะเหมือนถุงทรัพย์หรือถุงเงินถุงทอง) เป็นสูตรรวมขุมทรัพย์โภคสมบัติทั้งปวง เหนืออื่นใดแมงมุม รุ่นมหาเศรษฐี นี้พิเศษตรงที่ในตาของแมงมุมทั้ง 2 ข้างได้ฝังเพชร ซึ่งเปรียบเสมือนดวงแก้วล้ำค่าของหลวงปู่ที่มี อานุภาพทางชี้ช่องทาง บอกทางให้เจริญรุ่งเรืองสมความปรารถนา มีอานุภาพครอบจักรวาลเหมือนบรรจุดวงแก้วสารพัด นึกในตาของแมงมุม เป็นการซ้อนความขลังลงในวิชาแมงมุมเรียกดักทรัพย์อีกโสตหนึ่ง (เพชรที่ฝังเป็นตาแมงมุมเป็น แก้วชนิดพิเศษตระกูลคริสตอล สั่งจากประเทศออสเตรเลีย เพื่อมาบรรจุในตาแมงมุมของหลวงปู่สุภารุ่นมหาเศรษฐี โดยเฉพาะ) สรุปรวมความว่าแมงมุมเรียกทรัพย์รุ่นมหาเศรษฐีของหลวงปู่สุภาเพียบพร้อมไป ด้วยอานุภาพครอบคลุม ทุกทางกล่าวคือ

1. เรียกทรัพย์
2. ดักทรัพย์
3. ป้องกันอันตราย
4. เป็นแก้วสารพัดนึก
5. วิชาแมงมุมตำรับหลวงปู่ศุขอยู่ไหนก็อิ่มไม่อดอยาก
6. ค้าขายดีลูกค้าเข้ามาก


และเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่สุภาปลุกเสกแมงมุมเรียกทรัพย์มีตาเป็นเพชร


คาถาปลุกแมงมุมดักทรัพย์

(ตั้งนะโม 3 จบ) สวดวันละ 9 จบ ก่อนคล้องออกจากบ้าน และก่อนนอน


สุวันนะระชะตัง มะหาสุวันนะ ราชะตัง อังคะตะเศรษฐี มหาอังคะตะเศรษฐี มิคะตะเศรษฐี มะหามิคะตะเศรษฐี ปุริเศษสาวาอิตถีวา พราหมณ์มะณีวา มะอะอุ มานิมามา




ขอบคุณที่มา...เว็บพลังจิตดอทคอม

50


เริ่มสักยันต์ต่าง  ๆ ใส่ในตัวเองตั้งแต่จบ ป.4ตัวอักษรสักเป็นอักขระทั้งตัว

มีความสนใจในศาสตร์เร้นลับมาตั้งแต่เด็ก สืบเสาะหาอาจารย์ที่ว่าเก่ง, ค้นคว้าวิชา, คาถาอาคม มาเป็นระยะเวลามากกว่า 30 ปี

การปฏิบัติทรมานตนเอง(บำเพ็ญตบะโดย นั่งกองไฟ, ลงไปดำน้ำ, เดินเท้าเปล่าตากแดดร้อน ๆ, ทรมานตัวเองในหลุมดิน) จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบกับตำราโบราณ "ตำราพิชัยสงคราม"ซึ่งหายสาบสูญไปกว่า 50 ปี ซึ่งเกจิอาจารย์องค์หนึ่งใช้เรียนอยู่ที่นครปฐม(หลวงพ่อเต๋  คงทอง), อาจารย์เทพ  สารีบุตร ได้รวบรวมคำภีร์ต่าง ๆ แยกไว้เป็นแขนงโดยมีทั้งหมด 11 เล่มด้วยกัน


ตำราพิชัยสงคราม
   
  
   

          ประเทศไทยมีอยู่ ๔ สมัย ได้แก่ สมัยสุโขทัย, สมัยอยุธยา, สมัยกรุงธนบุรี และในสมัยปัจจุบันมีชื่อเรียกว่ากรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยมีชื่อดั้งเดิมว่าสยามประเทศ ซึ่งในสยามประเทศหรือประเทศไทยในปัจจุบันมีพระมหากษัตริย์ทั้งหมด ๙ พระองค์ แต่ละพระองค์มีความปรีชาสามารถแตกต่างกันไป ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ในทวีปเอเชียที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใครในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งอยู่ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งท่านได้ใช้ความปรีชาสามารถในการปกป้องพื้นแผ่นดินสยามให้เป็นอิสระ ในความหมายของประเทศไทยหมายความว่าอิสระ และเสรีภาพ

            สยามประเทศในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยโดยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๕ ท่านโปรดปราณที่เสด็จดำเนินไปทั่วทุกสารทิศ จนกระทั่งท่านทรงเสด็จไปตอนเหนือของบางกอกหรือกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน ได้เจอเมืองร้างที่มีชื่อว่า อโยธยา โดยเป็นเมืองร้างมากกว่า ๑๐๐ กว่าปี ซึ่งในปัจจุบันคือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นกรุงเก่าที่ยาวนานที่สุดถึง ๔๑๗ ปี โดยมีการเล่าขานถึงยุทธศาสตร์ที่ล่ำลือมายาวนานถึงเรื่องตำราพิชัยสงคราม ถึงแม้ว่าในสมัยอยุธยาจะแตกสลายจากการทำสงครามในครั้งนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคือการสูญเสียหรือการปราชัย เพียงแต่ในสมัยนั้นอยุธยานั้นได้เสียหายมากมายยากกว่าการเยียวยาเลยได้ย้ายมาอยู่กรุงธนบุรี และจากกรุงธนบุรีสู่กรุงรัตนโกสินทร์ก็ยังมีการกล่าวขานล่ำลือถึงตำราพิชัยสงคราม

            ตำราพิชัยสงครามถือว่าเป็นตำราสูงสุดของทางด้านยุทธศาสตร์การต่อสู้ ซึ่งเหมือนมีมนต์ขลังที่ทำให้ใครอยากได้มาครอบครอง โดยมีอาจารย์ท่านหนึ่งได้รวบรวมและเรียบเรียงคัมภีร์พุทธเวทย์มหามนต์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในตำราพิชัยสงครามไว้เป็นเวลา ๑๐๐ กว่าปี จนในสมัยปัจจุบันคัมภีร์ชุดนี้ได้ตกมาเป็นของอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งมีความชำนาญในศาสตร์และศิลป์ทางด้านการสัก ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการสักยันต์แต่เป็นการสักคำโบราณตามตำราของพิชัยสงครามซึ่งเป็นคำขอมโบราณในสมัย ๒,๐๐๐ ปีที่แล้วเป็นการสักเพื่อปกป้องและคุ้มครองชีวิตในการต่อสู้และการดำเนินชีวิตในสมัยนั้น และในปัจจุบันได้มีการปรับปรุงและปรุงแต่งให้ใช้ได้กับการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน

            โดยการสักของอาจารย์ท่านนี้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างของชีวิตที่แตกต่างกันไปแต่ละครั้งจะเน้นถึงความสำคัญในด้านของชีวิตปัจจุบันและอนาคต ไม่ว่าในด้านการงานอำนาจบารมีฯลฯ จะต้องผ่านการตรวจสอบทางด้านโครงสร้างของกระดูก ซึ่งหมายถึงชะตาชีวิตของแต่ละบุคคล และในการสักแต่ละครั้งนั้นแตกต่างกันออกไปก่อนที่จะสัก ซึ่งท่านอาจารย์จะพินิจพิจารณาว่าบุคคลนั้นสมควรที่จะใช้คำโบราณหรือการสักแบบใดแล้วแต่ชะตาชีวิตและความจำเป็นในการดำเนินชีวีต





ที่มาของเศียรฤาษีอุรุเวกัสสปะ สมัยแรกเริ่มด้วยความชอบส่วนตัว อาจารย์จ๊อดได้เริ่มสะสม เศียรกว่าสิบเศียร แต่ไม่เคยได้เจอเศียรที่ถูกใจจริง ๆ จนกระทั่งพบกับช่างปั้นศิลป์ท่านหนึ่ง ซึ่งปั้นเศียรทีที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นตา (รับทำเศียรถวายในวัง) ช่างปั้นได้หยอกเล่นกับอาจารย์จ๊อดว่า “ ฤาษีป่าแค่นี้ปั้นสิบห้าวันก็เสร็จแล้ว” แต่ปรากฏว่าช่างปั้นได้พบกับความยากลำบากในการปั้นมากอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วใช้เวลาปั้นเศียรฤาษีนี้ ร่วมกว่าหกเดือน และค่าจ้างก็แพงขึ้นเป็นเงาตามตัวร่วมค่อนแสนบาท

ยันต์ทุกยันต์ท่านเขียนเองตามคำภีร์...






เขียนเองไม่มีพิมพ์




















ผลงานการสัก...ของอาจารย์จ๊อด












เพื่อเผยแพร่วิชาอีกแขนงหนึ่ง...เป็นวิทยาทาน
...จากศิษย์น้อง  ++กระเบนท้องน้ำ++

ขอขอบพระคุณ:อาจารย์จ๊อด
ที่มา: http://www.thaispell.com/default.asp


51
คำว่า  “กริ่ง”  นี้ มาจากคำถามที่ว่า “กึ กุสโล”  คือเมื่อพระโยคาวจรบำเพ็ญสมณธรรมมีจิตผ่านกุศลธรรมทั้งปวงเป็นลำดับไปแล้ว ถึงขั้นสุดท้าย จิตเสวยอุเบกขา  เวทนา  ปฺญญาภิสังขารเปลี่ยนไป อเนญชา  เป็นเหตุให้พระโยคาวจรเอะใจขึ้นว่า “กึ กุสโล” นี้เป็นกุศลอะไร  เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นแปลกประหลาดไม่เหมือนกับกุศลอื่นที่ผ่าน “ดับสนิท” คือ หมายถึงพระนิพพานนั่นเอง พระกริ่งจะมีรูปทรงเหมือนพระชัยวัฒน์ แต่พระกริ่ง จะมีขนาดใหญ่กว่าและที่ฐานจะบรรจุเม็ดโลหะกลมๆไว้ โบราณท่านบอกว่า “ พระกริ่งนั้นไว้แช่น้ำมนต์ พระชัยวัฒน์นั้นไว้พกติดตัว”


พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ ปวเรศ วัดบวรนิเวศวิหาร ปี 2530



พระกริ่ง ยอดแก้ว วัดบวรนิเวศวิหาร

สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศเทพวรารามทรงสร้างพระกริ่ง และพระชัยวัฒน์นั้น มีดังต่อไปนี้ คือ

          ทรงเล่าว่า  เมื่อพระองค์ทรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีมหาโพธิ์ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง)  สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ยังมีชีวิตอยู่และครั้งหนึ่งสมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเสด็จมาเยี่ยม  เมื่อสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้ว  รับสั่งว่าเคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯ สมเด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์ให้คนไข้เป็นอหิวาตกโรคกินหายเป็นปกติ พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จ ไปนำพระกริ่งที่วัดบวรนิเวศ แต่สมเด็จฯ ทูลว่าพระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จสมณเจ้าจึงรับสั่งให้นำมาแล้ว


สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว)

อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐานขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์โรคอหิวาก็บรรเทาหายเป็นปรกติ

           พระกริ่งที่อาราธนาขอน้ำพระพุทธมนต์นั้นเป็นพระกริ่งเก่าหรือไม่  ก็คงเป็นพระกริ่งของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ องค์ใดองค์หนึ่ง

          ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ก็เริ่มสนพระทัยในการสร้างพระกริ่งนี้ขึ้นเป็นลำดับ ค้นหาประวัติการสร้างพระกริ่งและก็ได้เค้าว่า การสร้างพระกริ่งนี้มีมาแต่โบราณแล้ว    เริ่มขึ้นที่ประเทศธิเบตก่อน ต่อมาก็ประเทศจีนและประเทศเขมร 

           เรื่องกำเนิดพระกริ่งของอาจารย์เสถียร  โพธินันทะ เรียบเรียงไว้ในหนังสือ “ชีวิต” ปีที่ 5 มกราคม – กุมภาพันธ์ 2505 เป็นว่ามีสาระประโยชน์อย่างยิ่ง  จึงขอนำมากล่าว เพื่อเชิดชูในเกียรติที่ท่านผู้มีปัญญาเลิศผู้หนึ่งในยุค 25   ความว่า   ในอาณาจักรพระเครื่องรางที่นับถือว่ามีอานุภาพขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่นักนิยมพระเครื่อง  ฝ่ายพระผงเห็นจะได้แก่พระผงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)  ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “สมเด็จ” วัดระฆัง” ฝ่ายพระโลหะเห็นจะได้แก่ พระกริ่งของสมเด็จพระสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกร หรือที่เรียกกันว่า “กริ่งปวเรศ” พิธีกรรมการสร้างพระผงแต่โบราณมาต้องทำผงวิเศษ  ซึ่งสำเร็จจากสูตรสนธิต่าง ๆ ที่ขีดเขียนลงในกระดาษชนวน แล้วลบถมจนได้ที่ เป็นจำนวนผงที่ต้องการ  สำหรับผสมกับการอื่นๆ พิมพ์เป็นองค์พระ  การสร้างพระโลหะหรือพระกริ่งก็เช่นเดียวกันจะต้องลงเลขยันต์ในแผ่นโลหะ อันจะเป็นชนวนผสมในการหล่อด้วย เลขยันต์ที่นิยมลงยันต์โดยมากท่านนิยมลงด้วยพระยันต์ 108 นปถมัง  14  นะ  ว่ากันว่าเป็นตำรับของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว  ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  การสร้างก็ต้องมีพิธีพระพุทธาภิเษก และมีพิธีโหร พิธีพราหมณ์ ประกอบ

          พระกริ่งปวเรศนี้ เล่ากันว่าสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ  สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว  สมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระยาปวเรศฯ  ทรงสร้างพระกริ่งในเบื้องปัจฉิมสมัยแห่งพระชนมายุ  แต่สร้างคราวละเล็กน้อยเชื่อกันว่ามี 2 คราวเท่านั้น  ทรงแจกเฉพาะผู้ใกล้ชิดและเจ้านาย ข้าราชการประชาชนที่มาสดับพระธรรมเทศนาในวัดบวรนิเวศวิหาร  ฉะนั้น  พระกริ่งปวเรศฯ จึงมีน้อยไม่แพร่หลาย  ต่อมาเจ้าคุณวัดมกุฏกษัตริยาราม เลียนแบบของพระองค์ท่าน ไปจัดสร้างขึ้นบ้างก็เป็นจำนวนน้อย  ภายหลังตำราไปตกอยู่กับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรรดิราชวาส  ตามปากราษฎรเรียกว่า “ท่านเจ้ามา” เป็นพระเถระเชี่ยวชาญทางสมถภาวนา  อาจสามารถจุดเทียนระเบิดน้ำลงไปลงตะกรุด  ณ ท่าแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดได้  ต่อมาท่านเจ้าก็มาเป็นประสาธน์ตำราแก่พระเทพโมฬี (แพ  ติสฺสเทวา) วัดสุทัศนเทพวรารามซึ่งภายหลังพระเทพโมฬีเจริญสมณศักดิ์โดยลำดับ จนได้ครองสมณอัครฐานันดรศักดิ์ ที่สมเด็จพระสังฆราชในรัชกาลที่ 8 พระเทพโมฬีไดสร้างพระกริ่งขึ้นเป็นครั้งแรก  และได้สร้างติดต่อกันเรื่อยมาเป็นนิตย์ครั้งละมากบ้างน้อยบ้าง  จนถึงดำรงฐานะสมเด็จพระสังฆราช และจำเดิมแต่นั้นก็มีพระเกจิอาจารย์ต่างสำนักเลียนแบบสร้างพระกริ่งกันแพร่หลาย


พระกริ่งปทุมสุริยวงค์ วัดบวรนิเวศวิหาร ปี  ๒๔๙๑

พระพุทธลักษณะของพระกริ่งเป็นแบบพระพุทธรูปมหายานทาง ประเทศธิเบต และปรากฏในประเทศเขมรก็มีพระกริ่งแบบนี้เหมือนกันกับเราเรียกว่า “กริ่งปทุม” ประเพณีสร้างพระกริ่งของไทยจะได้ครูจากเขมรเป็นแน่แท้  และมีการสร้างกันในยุคกรุงสุโขทัยแล้ว ที่กล่าวว่าตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้  เดิมเป็นของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้วก็น่าจะจริง  เพราะสมเด็จพระพนรัตองค์นั้นท่านคงได้รวบรวมวิธีการสร้างตำรับตำราเก่า ๆ และในสมัยนั้นวัดป่าแก้ว ก็นับถือกันว่าเป็นสำนักอรัญญิกาสมถธุระวิปัสสนาธุระ


พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า แบบ ธิเบต

อันที่จริงพระกริ่ง ก็คือ พระปฏิมาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง  พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่นิยมนับถือของปวงพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายานยิ่งนัก  ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตรหนึ่งคือ “พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาราชามูลประณิธานสูตร”  แปลเป็นจีนในราวพุทธศตวรรษที่ 10 ซึ่งขอแปลโดยย่อสู่กันว่าดังนี้

          สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระศากยมุนี พุทธะ   เสด็จประทับ   ณ    กรุงเวสาลีสุขโฆสวิหาร  พร้อมด้วยพระมหาสาวก 8,000 องค์  พระโพธิสัตว์ 36,000 องค์  และพระราชาธิบดี  เสนาอำมาตย์ตลอดจนปวงเทพก็โดยสมัยนั้นแล  พระมัญชุศรีผู้ธรรมราชาบุตรอาศัยพระพุทธภินิหารลุกขึ้นจากที่ประทับทำจีวรเฉลียงบ่าข้างหนึ่งลงคุกพระชาณุอัญชลีกราบทูลขึ้นว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดปรานพระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธานและคุณวิเศษอันโอฬาร แห่งปวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อยังผู้สดับพระธรรมกถานี้ให้ได้รับหิตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ”  พระบรมศาสดาทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรี โพธิสัตว์แล้วจึงทรงแสดงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่า

          “ดูก่อนกุลาบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออกผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที 10 นทีรวมกัน  ณ  โลกธาตุหนึ่งนามว่าวิสุทธิไพฑูรย์โลกธาตุ นั้นมีพระพุทธเจ้า  ซึ่งมีทรงนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาคถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์  เป็นผู้ตรัสรู้รู้ดีชอบแล้วด้วยพระองค์เอง  เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว  เป็นผู้รู้แจ้งทางโลก  เป็นผู้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเปรียบ  เป็นสารถีฝึกบุรุษ  เป็นศาสดาแห่งเทวดา  และมนุษย์เป็นผู้เบิกบานแล้ว  เป็นผู้จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดูก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตกาล เมื่อพระตถาคตเจ้าพระองค์นี้ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่  พระองค์ทรงตั้งมหาปณิธาน 12 ประการ เพื่อยังความต้องการแห่งสรรพสัตว์ให้บรรลุ

          มหาปณิธาน  12  ประการเป็นไฉน

1.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  ซึ่งมีวรกายอันรุ่งเรือง ส่องสาดทั่วอนันตโลกุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 และอนุพยัญชนะ 80 ขอให้สรรพสัตว์จึงมีวรกายดุจเดียวกับเรา

2.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  ขอให้วรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูรย์  มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่งกว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตข์  ประดับด้วยคุณาลังการอันมโหฬาร ไพศาลพันลึกส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติ ให้หลุดพ้นเข้าสู่คติที่ชอบตามปราถนา

3.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  ก็ขอให้เราได้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีที่สิ้นสุดยังสรรพสัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจนเลย

4.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งมั่นในสัมมาทิฐิในโพธิมรรคหากมีสัตว์ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปัจเจกยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนิดปฏิปทาแบบมหายาน

5.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  หากมีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมณ์จรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอให้เขาเหล่านั้นอย่างได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีลทั้ง 3 เถิด หากผู้ใดศีลวิบัติ เมื่อสดับนามแห่งเราก็ขอให้ จงบริบูรณ์ดุจเดิมไม่ตกสู่ทุคคตินิรยาบาย

6.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์มีกายอันเลวทรามมีอินทรีย์ไม่ผ่องใสโง่เขลาเบาปัญญา  ตาบอดหรือหูหนวกเป็นใบ้หรือหลังค่อม สารพัดพยาธิทุกข์ต่าง ๆ เมื่อได้สดับนาม แห่งเราก็ขอให้เขาหลุดพ้นจากปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใสสมบูรณ์

7.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากยังมีสรรพสัตว์ ปราศจากวงศาคณาญาติอันความยากจนค้นแค้นมีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นามแห่โสตของเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศไปสิ้น เป็นผู้มีกายในอันผาสุข มีบ้านเรือนอาศัยพรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติจนที่สุดก็จัดได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ

8.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสสตรีใดมีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปราถนาจะกลับเพศเป็นบุรุษไซร้  มาตรว่าได้สดับนามแห่งเราก็จงสามารถเปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายตามปราถนา จนที่สุดก็จะได้สำเร็จแก่โพธิญาณ

9.   ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  เราจะสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมารและเครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฏฐิให้สัตว์เหล่านั้น ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิและให้ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยาจนบรรลุพระโพธิญาณในที่สุด

10. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  มีสัตว์เหล่าใดถูกต้องพระราชอาญาต้องคุมขังรับทัณฑกรรมในคุกตารางหรือต้องอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่มเหงคะเนงร้ายดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่น ๆ เป็นผู้มีอันคับแค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอัววิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่งเรา ได้อาศัยบารมี และมีคุณาภินิหาร ของเรา ขอให้สัตว์เหล่านั้นจงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว

11. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ  มีสัตว์เหล่าใดมีความทุกข์ ด้วยความหิวกระหายและประกอบอกุศลกรรม  เพราะเหตุแก่งอาหารไซร้ หากได้สดับนามแห่งเรา มีจิตมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจะได้ประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันปราณีตแก่เขา ยังให้เขาอิ่มหน่ำสำราญ แล้วจะประทานธรรมรสแก่เขา ให้เขาได้รับความสุข

12. ในการใด ที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดที่ยากจนปราศจากอาภรณ์นุ่งห่ม อันความหนาวร้อนและเหลือบยุงเบียดเบียน ทั้งกลางวันกลางคืน หากได้สดับนามแห่งเราและหมั่นรำลึกถึงเราไซร้เขาจักได้สิ่งที่ปราถนาและจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติสรรพอาภรณ์เครื่องประดับและเครื่องบำรุงความสุขต่าง ๆ ฯลฯ

          ครั้นแล้ว  พระบรมสาสาคาศากยะมุนีพุทธเจ้า ตรัสต่อไปว่า พระไภษัชยคุรีพุทธนี้ มีพระโพธิสัตว์ใหญ่ 2 องค์ พระสุริยไวโรจนะและพระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยของพระไภษัชยคุรุพระพุทธเจ้า  เบื้องปลายแห่งพระสูตรนั้นทรงแสดงอานิสงส์ของการบูชาพระไภษัชยคุรุว่า “ผู้ใดก็ดี” ได้บูชาพระองค์ด้วยความเคารพเลื่อมใสแลไซร้ก็จักเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา  ไม่ฝันร้ายศาสตราวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้  ยาพิษทำอันตรายมิได้ ฯลฯ  นอกจากนี้ยังทรงแสดงถึงพิธีจัดมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกด้วยว่า  ต้องจัดพิธีบูชาเครื่องนั้น ๆ และทรงประธานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุด้วย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ “สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรกฏรัศมีไพโรจน์ขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แล้วตรัสพระคาถามหาธารณี ดังนี้

          “นโม  ภควเต  ไภษชฺยคุรุ  ไสฑูรฺยปรฺภาราชาย  ตถาคตยารฺทเต  สมฺยกสมฺพุทฺธาย  โอมฺ  ไภเษชฺเย  สมุรฺคเตสฺวาหฺ”

          ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏสัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพพยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีตแล้วพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ามีกุลบุตรกุลธิดาใดอันพยาธิทุกข์เบียดเบียนแล้ว  ถึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้วนำพระมหาธารณีบทนี้ ปลุกเสกอาหารหรือยาหรือน้ำดื่มครบ  108  หน แล้วดื่มกินเข้าไปเถิด  จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ฯลฯ” พระสูตรนี้ตอนปลาย ๆ ยังมีเรื่องราวพิศดารอีกมากแต่จำต้องของดไว้เพียงเท่านี้ เป็นอันว่าท่านผู้ชมได้ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์และความสำคัญของพระพุทธไภษัชยคุรุโดยสังเขปเท่านี้ สำหรับพระคาถามหาธารณีนั้นท่านพระคณาจารย์สร้างพระกริ่งได้และควรนับถือว่าเป็นมนต์ประจำพระกริ่ง  โดยเฉพาะทีเดียว

          เมื่อความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของพระพุทธรูปไภษัชยคุรุปรากฏตามที่ได้พรรณามา  พวกพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายาน จึงเคารพนับถือยิ่งนักมีพระพุทธปฏิมาขอพระไภษัชยคุรุบูชากันทั่วไปในวัด  ประเทศจีน ญี่ปุ่น  ธิเบต  เกาหลีและเวียดนามที่สุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย  สำหรับประเทศไทยแม้จะนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายลังกาวงศ์ลัทธิสาวกยานแต่ก่อนนั้นขึ้นไปเราก็เคยรับเอาลัทธิมหายานมานับถืออยู่ระยะหนึ่งเป็นลัทธิมหายานซึ่งแพร่ขึ้นมาจากอาณาศรีวิชัยทางใต้  และที่แพร่หลายมาจากเขมร ไทยเพิ่งจะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ฝ่ายลังกาวงศ์ก็เมื่อยุคสุโขทัยนี้เท่านั้น  อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งตั้งแว่นแคว้นอยู่บนคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ พ.ศ.1200 – 1700 รวมเวลานานราว 600 ปี เป็นอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน  และนำลัทธิมหายานให้แพร่หลายในหมู่เกาะชวา  มลายู  ตลอดขึ้นมาจนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนเขมรนั้นปรากฏว่ามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณ์เจริญแข่งกัน กษัตริย์ของเขมรหรือขอมในสมัยนั้นบางองค์ก็เป็นพุทธมามกะ  บางองค์เป็นพราหมณ์มามกะ ในราว พ.ศ.1546 – 1592 กษัตริย์เขมรพระองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าสุริยะวรมันที่ 1 ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจนถึงกับเมื่อสวรรคตแล้วมีพระนามว่า “พระบรมนิวารณบท”  พระองค์เป็นเชื้อสายกษัตริย์จากอาณาจักรศรีวิชัย  ฉะนั้น  จึงไม่ต้องสงสัยว่า ลัทธิมหายานจะไม่เฟื่องฟุ้งขึ้น ในรัชสมัยของพระองค์  แต่ก็ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7  ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1724 – 1748 พระองค์ทรงเป็นมหายานพุทธมามกะโดยแท้จริง  ทรงพยายามจรรโลงลัทธิราชองค์สุดท้ายของเขมร  เพราะเมื่อสิ้นพระรัชสมัยแล้ว  เขมรก็เข้าสู่ยุคเสื่อม  พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์นี้ปรากฏว่าเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ ชื่อนครชัยศรี คือ ปราสาทพระขรรค์สำหรับเป็นพุทธสถานประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์  อันเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความเมตตากรุณาที่สำคัญอย่างยิ่งองค์หนึ่งของลัทธิมหายานทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าธรณินทรวรมันพระมหาชนก แล้วสร้างพระปราสาทตามพรหม ประดิษฐานพระปฏิมาปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์แห่งปัญญา  อุทิศแด่พระวรราชมารดามีจารึกกล่าวว่า ปราสาทตาพรหมเป็นอาวาสสำหรับพระมหาเถระ 18 องค์และสำหรับพระภิกษุอีก 1,740 รูปด้วยแล้วทรงสร้างพระปราสาทบายนเป็นที่ประดิษฐานพระรูป สนองพระองค์เอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างโรงพยาบาล คือ “อโรยศาลา” เป็นท่านทั่วพระราชอาณาจักรถึง 102  แห่งด้วยทรงเคารพนับถือพระพุทธไภษัชยคุรุยิ่งนัก  จึงทรงพยายามอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

          นอกจากนั้นกษัตริย์นักก่อสร้างพระองค์นี้ ยังได้สร้างรูปพระปฏิมา “ชยพุทธมหานาถ” พระราชทานไปประดิษฐานไว้ในเมืองอื่น ๆ 23 แห่ง  ทรงสร้างธรรมศาลา ขุดสระน้ำ สร้างถนน จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ข้าพเจ้าปราถนาจะกล่าวว่าพระกริ่งปทุมของเขมรได้สร้างขึ้นอย่างแพร่หลายกว่าทุกยุคในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นี้ เพื่ออุทิศบูชาแด่พระพุทธไภษัชยคุรุ และได้มีการสร้างบ้างแล้วในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในการสร้างนั้นได้มีพิธีปลุกเสกประจุฤทธิ์เข้าไปตามกระบวนลัทธิมหายาน  ซึ่งปรากฏในพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลประณิธานสูตรนั้น พระกริ่งปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์  ภายหลังเมื่อลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสร้างพระกริ่งยังคงสืบทอดกันมาและกลับมาแพร่หลายในหมู่ชาวไทย ลาว แต่นานวันเข้าก็ลืมประวัติเดิม  วิธีสร้างแบบเดิม ทั้งนี้เพราะพระสูตรมหายานเป็นภาษาสันกฤตเลือนไปตามลัทธิมหายาน  ด้วยพระเกจิอาจารย์ท่านได้ดัดแปลงวิธีสร้างใหม่ตามแบบไสยเวท เช่น การลงยันต์ 108 และนะปถนัง 14 นะ ในแผ่นโลหะ เป็นต้น  ก็ให้ผลความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน  ถ้ามาตรว่าทำให้ถูกพิธีกรรมใหม่นี้จริง ๆ ส่วนเม็ดกริ่งในองค์พระนั้นสันนิษฐานได้เป็น 2 ทาง คือทางหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธภาวะอันมีคุณลักษณะ อนาทิเบื้องต้นไม่ปรากฏ  จึงทำเป็นเม็ดกลม อีกทางหนึ่งชะรอยจะอนุวัติที่ว่าแม้เพียงได้สดับพระนามก็อาจให้ได้รับความสวัสดีได้ จึงใช้ประจุเม็ดกริ่งไว้  เพราะเมื่อสร้างองค์พระทุกครั้งจะได้บุญ 2 ต่อ คือสร้างเท่ากับได้เจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุ ส่วนผู้อื่นที่ได้ยินเสียงกริ่งก็พลอยได้บุญตามไป ฉะนั้น

          ส่วนพระกริ่งเขมร พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ พระเจ้าแผ่นดินเขมรเป็นผู้สร้าง  ที่ได้ยินชื่อเรียกบ่อย ๆ  “เรื่องพระกริ่งปทุมนี้ข้าพเจ้าได้ทูลถามเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่าพระกริ่งของพระองค์ที่สร้างครั้งก่อน ๆ เลียนแบบจากพระกริ่งของประเทศใด สมเด็จฯ รับสั่งว่าได้แบบจากพระกริ่งปฐมวงศ์เพราะเห็นพระกริ่งที่ท่านทรงสร้างก่อน ๆ นั้นพระนั่งปางมารวิชัยพระหัตถ์ซ้าย ถือวชิราวุธประทับบนบัวคว่ำบัวหงาย 7 กลีบด้านหลังของพระเกลี้ยงไม่มีกลีบบัว และก็ไม่ได้มีเครื่องหมายอะไร พระองค์ทรงสร้างกริ่งในตัวเนื้อโลหะเป็นทองชนิดเดียวกัน

          สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  เมื่อยังมีพระชนย์มายุอยู่เคยเสด็จมาคุยกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ  สมัยเป็นพระพรหมมุนีบ่อย ๆ ครั้งเหมือนกันทราบว่ามาชมหลวงพ่อดำ (พระเชียงแสน)  เจ้าคุณอาจารย์เล่าว่า พระบูชาที่หล่อในยุคนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นผู้แนะนำแบบพิมพ์ด้วยเหมือนกันของฉันหล่อ 2 องค์เลย

          อนึ่ง  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มาเที่ยวนี้ได้ตั้งใจสืบสวนการเรื่องหนึ่ง คือเรื่องพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่าพระกริ่งเป็นของที่นับถือและขวนขวายหากันในเมืองเราแต่ก่อน กล่าวกันว่าเป็นของพระเจ้าปทุมสุริวงศ์สร้างไว้ เพราะไปจากเมืองเขมรทั้งนั้น เมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 พระอมรโมลี (นพ) วัดบุป้างราม ลงมาส่งพระมหาปานราชาคณะธรรมยุติ ในกรุงกัมพูชาองค์แรก  ซึ่งต่อมาได้เป็นสมเด็จสุคนธ์นั้นมาได้พระกริ่งขึ้นไปให้คุณตา (พระยาอัมภันตริกามาตย์) ท่านให้แกเราแต่ยังเป็นเด็กองค์หนึ่ง  เมื่อเราบวชเป็นสามเณรได้นำไปถวาวเสด็จฯ พระอุปัชฌาย์ ทอดพระเนตร ท่านตรัสว่าเป็นพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์นั้นมี 2 อย่าง สีดำอย่างหนึ่ง สีเหลืององค์ย่อมมากกว่าสีดำอย่างหนึ่ง  แต่อย่างสีเหลืองนั้นเราไม่เคยเห็น ได้เห็นของผู้อื่นก็เป็นอย่างสีดำทั้งนั้นต่อมาเมื่อเราอยู่กระทรวงมหาดไทย  พระครูเมืองสุรินทร์เขามากรุงเทพฯ  เอาพระกริ่งมาให้อีกองค์หนึ่งก็เป็นอย่างสีดำได้เทียบเคียงกันดูกับองค์ที่คุณตาให้ เห็นเหมือนกันไม่ผิดเลย  จึงเขาใจว่าพระกริ่งนั้น เดิมเห็นจะตีพิมพ์ทำทีละมาก ๆ และรูปสัณฐานเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างจีนมาได้หลักฐานเมื่อเร็ว ๆนี้  ด้วยราชฑูตประเทศหนึ่งเคยไปอยู่เมืองปักกิ่ง  ได้พระกริ่งทองทางของจีนมาองค์หนึ่ง  ขนาดเท่ากันแต่พระพักตร์มิใช่พิมพ์เดียวกับพระกริ่ง  พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ถึงกระนั้นก็เป็นหลักฐานว่าพระกริ่งเป็นของจีนคิดแบบตำราในลัทธิฝ่ายมหายาน เรียกว่า “ไภษัชยคุรุ” เป็นพระพุทธรูปปางทรงถือเครื่องยาบำบัดโรค  ถือบาตรน้ำมนต์หรือผลสมอ เป็นต้น  สำหรับบูชาเพื่อป้องกันสรรพโรคคาพาธและอัปมงคลต่าง ๆ เพราะฉะนั้นพระกริ่งจึงเป็นพระสำหรับทำน้ำมนต์  เรามาเที่ยวนั้นตั้งใจจะมาสืบหาหลักฐานว่าพระกริ่งนั้นหากันได้ที่ไหนในเมืองเขมร ครั้นมาถึงเมืองพนมเปญพบพระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ลองไต่ถามก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรือเคยพบเห็นพระกริ่ง มีออกญาจักรี่คนเดียวเห็นบอกว่า สัก 20 ปีมาแล้วได้เคยเห็นองค์หนึ่งเป็นของชาวบ้านนอก แต่ก็หาได้เอาใจใส่ไม่ครั้นมาถึงนครวัดมาได้ความจริงจากเมอร์ซิเออร์มาร์ชาล ผู้จัดการรักษาโบราณสถานว่า เมื่อสัก 2 – 3 เดือนมาแล้วเขาขุดซ่อมเทวสถานซึ่งแปลงเป็นวัดพระพุทธศาสนาบนยอดเขามาเก็บ พบพระพุทธรูปเล็ก ๆ อยู่ในหม้อใบหนึ่งหลายองค์เอามาให้เราดู เป็นพระกริ่งสุริยวงศ์ทั้งนั้น มีทั้งอย่างเนื้อดำและเนื้อเหลือง  ตรงกับที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ทรงอธิบายจึงเป็นอันได้ความแน่ว่า  พระกริ่งที่ได้ไปยังประเทศเราแต่ก่อนนั้นเป็นของหาได้ในกรุงกัมพูชาแน่  แต่จะนำมาจำหน่ายจากเมืองจีน  หรือพวกขอมจะเอาแบบพระจีนมาหล่อขึ้นในประเทศขอม ข้อนี้ไม่ทราบได้  พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพตอนนี้ก็เห็นชัดว่า พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์ใครเป็นผู้สร้างและแพร่หลายมาเมืองไทยเรามากพอควร

          สมเด็จฯ จะได้รับตำราการสร้างพระกริ่งมาจากผู้ใดนั้นปรากฏหลักฐานตามหนังสือหลายเล่มได้สันนิษฐานไว้เป็นสองทาง คือ บางเล่มก็สันนิษฐานว่าได้รับตำรามาจาก “พระพุฒาจารย์” (มา)  วัดจักรวรรดิราชาวาส บางเล่มก็สันนิษฐานว่าได้รับตำรามาจาก “พระมงคลทิพย์มณี” (เทียบ) วัดพระเชตุพนฯ 

          สมเด็จฯ  ภายหลังจากที่ได้รับตำราการสร้างพระกริ่งมาแล้วพระองค์ก็ทรงค้นคว้า มุ่งแสวงหาแร่ธาตุที่มีคุณมีอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ มาทดลองหล่อผสม  หาวิธีการที่จะทำเนื้อโลหะ ให้เกิดความบริสุทธิ์และมีฤทธิ์สมดังคำบรรยายที่มีเขียนไว้ในตำรา  และทรงค้นควาอย่างจริงจังดังปรากฏตามคำบอกของท่านเจ้าคุณราชวิสุทธาจารย์ (แป๊ะ) วัดสุทัศน์ฯ และอาจารย์นิรันดร์ แดงวิจิตร ว่า เมื่อคราวจัดงานพระศพของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ลงไปใต้ถุนตำหนัก เพื่อสำรวจสถานที่ที่เตรียมจัดงานพระศพได้พบก้อนแร่หลายชนิด พบอ่างเคลือบประมาณ 10 กว่าใบ พบครกเหล็กขนาดใหญ่วัดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 14 นิ้วฟุต มีรอยตำมาอย่างมากจนก้นทะลุ พบสูบนอนทำด้วยไม้สัก แต่ผุจวนจะหมด แสดงว่าเลิกค้นคว้ามานาน พบเบ้าหลอมแร่ที่แตก ๆ จำนวนมากเป็นกองโต พร้อมกับก้อนแร่เป็นจำนวนมาก เป็นที่น่าเสียดายว่าขณะนั้นเป็นการเวลาที่รีบเร่ง เพราะกำลังจัดงานพระศพ ประกอบกับการเสียใจในการจากไปของท่าน ทำให้ผู้ที่พบทั้งสองท่านไม่ได้คิดว่าจะอนุรักษ์ความเพียรพยายามของสมเด็จฯ ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังดูจึงได้ทำการเกลี่ยดินและกระทุ้งจนแน่น เทพื้นซีเมนต์ทับ ทำให้หลักฐานหมดไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อทรงพระชนม์อยู่เคยรับสั่งกับอาจารย์นิรันดร์ แดงวิจิตร  ขณะอุปสมบทว่า “ค้นหาแร่ธาติที่นำมาสร้างพระกริ่ง ถ่านหมดไปหลายลำเรือ” เป็นความจริงตามหลักฐานปรากฏ และเป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าทรงพยายามค้นคว้าอย่างจริงจัง ด้วยเจตนาที่ต้องการความเข้มขลัง

          ในศิลาจารึกของอาณาจักรขอม ได้จารึกไว้ว่า ประมาณ พ.ศ.1725 – 1729 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7  ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามความเชื่อในศาสนาพุทธ โดยสร้างสถานพยาบาลเรียกว่า “อโรคยาศาลา” ขึ้นไว้ 102 แห่ง ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและบริเวณใกล้เคียงและยังกำหนดผู้ที่ทำหน้าที่รักษาพยาบาลไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ พยาบาล เภสัช ผู้จดสถิติ ผู้ปรุงอาหาร รวม 92 คน รวมทั้งพิธีกรรมบวงสรวงพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภา ตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน ด้วยการบูชายาและอาหารก่อนจ่ายให้แก่ผู้ป่วย ปัจจุบันมี “อโรคยาศาลา” ที่ยังเหลือปราสาทที่สมบูรณ์ที่สุดคือ ปราสาทกู่บ้านเขว้า จังหวัดมหาสารคาม




 : เรื่องเล่าจาก Internet

ขอขอบพระคุณที่มา...http://catkm.cattelecom.com/

52
สามเณรวิ่งเล่นหายลึกลับในป่าช้า โผล่อีกทีตอนเช้าเผยซุกโพรงต้นกระบก อ้างหญิงแต่งชุดขาวจูงแขนพาไป



พบแล้วสามเณรวัย 14 ปี หายตัวลึกลับในป่าช้าฝังศพ เผยถูกซุกอยู่ในโพรงต้นกระบกปลอดภัยดี ยังมีอาการหวาดผวา อ้างถูกหญิงแต่งชุดขาวจูงแขนเข้าไปพาไปเลี้ยงอาหารอย่างดี เจ้าอาวาสเร่งทำพิธีขอขมาเทวดา เชื่อสามเณรอาจลบหลู่ ส่วนชาวบ้านเชื่อเป็นฝีมือผีบังบดที่ออกมาตักเตือนเท่านั้น


จากกรณีที่ สามเณรสุธี  ศรีโสดา อายุ 14 ปี หรือ สามเณรกีต้า วัดประชานิมิตร ตำบลนาจารย์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ หายตัวไปอย่างลึกลับไปในป่าช้าฝังศพท้ายวัด ระหว่างกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนสามเณรด้วยกัน ซึ่งเจ้าอาวาสและลูกบ้านได้ช่วยกันตามหาก็ไม่พบ จนเชื่อว่าถูกผีบังบดอำพรางตัวออกไปตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น . วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ต.ท.โสณกุญช์  ทรัพย์สมบัติ รอง ผกก.สืบสวนตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งจากทางวัดประชานิมิตรว่า ได้พบตัว สามเณรสุธีแล้ว จึงเข้าทำการตรวจสอบภายในวัดพบชาวบ้านหลายร้อยคนพากันจับกลุ่มวิพากวิจารณ์ กันไปต่างๆ นานา โดย สามเณรสุธี อยู่ภายในกุฎิทั้งข้อมือซ้ายและขวามีสายสิญจน์ที่ชาวบ้านพากันสู่ขวัญให้ แต่ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนก ตาลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว



พระนพดล  ทิพวรรณโส พระพี่เลี้ยง กล่าวว่า อาตมาเป็นองค์แรกที่เห็น สามเณรสุธี โดยเมื่อเวลาประมาณ 08.00 น. ก่อนภัตตาหารเช้า เห็น สามเณรสุธี เดินออกมาจากป่าด้านทิศใต้ จึงได้รีบบอก เจ้าอาวาสและชาวบ้านที่มาติดตามข่าว และจากการสอบถาม สามเณรสุธี เล่าว่า ในช่วงก่อนที่จะหายไป(เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม เวลาประมาณ 17.30 น.) ได้วิ่งเล่นกับ สามเณรเอ็ม ในวัดตามปกติ โดยได้วิ่งไปตามโบถส์ ที่ฝังศพ แต่แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตนเองเกิดอะไรขึ้น เหมือนมีคนมาวิ่งนำหน้า จากนั้นก็พาตนวิ่งเข้าไปในป่าช้า จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว จนไปรู้ตัวอีกทีก็วันที่มีคนตามหาไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือตำรวจ เห็นหมดซึ่งขณะนั้น สามเณรสุธีบอกว่าอยู่ในโพรงของต้นกระบก แต่ไม่สามารถ ที่จะส่งเสียงร้องหรือขยับตัวได้ อีกทั้งคนที่เดินผ่านไปมาก็มองไม่เห็นตัวเอง


 สามเณรสุธี เล่าต่อว่า ตลอดทั้ง 48 ชั่วโมง 2 วันที่หายไปอยู่ที่ต้นกระบก จะมีหญิงสาวแต่งชุดขวา นำอาหารข้าวปลาไปเลี้ยงเป็นอย่างดี จนเมื่อเช้าของวันที่ 15 พฤษภาคม จึงได้ปล่อยออกมา ในความรู้สึกก็ตกใจและกลัวมากๆและไม่กล้าที่จะเดินไปเล่นที่ไหนแล้ว



   ต่อมาพระครูมงคล  พุทธิคุณ เจ้าคณะตำบลนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชานิมิตร ได้นำพาชาวบ้าน พระลูกวัดพร้อมด้วยสามเณรภายในวัด ได้ทำพิธีขอขมาเทวดาฟ้าดิน เนื่องจากเมื่อคืนนี้ ที่วัดมีการทำพิธีติดต่อกับวิญญาณและทราบว่า สามเณรสุธี ไปทำผิดไม่เคารพสถานที่จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งการขอขมา ได้แต่งขัน 5 พร้อมทั้งน้ำและขนมทำการกราบไหว้บูชาที่บริเวณต้นจิก ที่ด้านหน้าพระอุโบสถ

 

 พระครูมงคล พุทธิคุณ เจ้าคณะตำบลนาจารย์ เจ้าอาวาสวัดประชานิมิตร กล่าวว่า เหตุการณ์ เกิดจากอิทธิฤทธิ์ของ ผีสางเทวดาแน่นอน เพราะการติดตามหาตั้งแต่วันเกิดเหตุ ก็มีการตามหาตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่ หนองน้ำมีการติดตามหาก็ไม่เห็น จนเมื่อคืนที่ผ่านมา ทางวัดได้ทำพิธีติดต่อทางไสยศาสตร์และทราบว่าปลอดภัย และจะมีการนำสามเณรมาคืนในรุ่งเช้า   จึงได้เตรียมการที่จะทำการขอขมา ประกอบกับเมื่อพบ สามเณรสุธีแล้ว แถมยังมีสุขภาพแข็งแรงปลอดภัย ก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของผีสางเทวดาแน่นอน ทั้งนี้ก็ได้กำชับให้ สามาเณร และพระรวมถึงชาวบ้าน เมื่อเข้ามาภายในวัดจะต้องคิดดีทำดี ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

 

   ด้านนายบุญชื่น  คำยุธา อายุ 57 ปี สมาชิกเทศบาลตำบลนาจารย์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้เชื่อว่าเป็นฝีมือของผีบังบด เพราะในลักษณะนี้เท่าที่จำได้เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน เหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ซึ่งในช่วงนั้นเกิดขึ้นกับฝูงควาย ได้หายไปเป็นตัวๆ แต่แล้วประมาณ 2-3 วันก็กลับมา แต่เมื่อก่อนขึ้นกับสามเณร ก็คงจะต้องระวัง แต่ในส่วนตัวไม่กลัวแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ กับความเชื่อจึงไม่ควรที่จะลบหลู่




ขอบคุณที่มา...http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273907313&grpid=01&catid

53
อานุภาพผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม

: ยึดเทือกเขาภูพานคืน





ธงมหาพิชัย สงคราม


ในสมัยนั้นผกค.มีอิทธิพลสูง ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้จะต้องใช้กำลังหลายกองพล และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต. ยุทธศิลป์ เกสรสุข (ยศในขณะนั้นปัจจุบันมียศพล.ท.) ซึ่งเป็นรองแม่ทัพ จึงนำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีช่วยเป็นกำลังใจให้กับทหารได้ดังนี้





๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะ เพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนที่ฐานทัพของทหาร
๒. แจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้นทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)
๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีกันรบกัน เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรกันนั้น พระท่านต้องอุเบกขา
ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรีประชา สิกขวานิช ร.น.ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองค์หลวงพ่อเท่านั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายอยู่ที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง) หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำหลวงพ่อ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร เมื่อบรรยายจบปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถามได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวกผกค.เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปในแผนที่ทหาร ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องอือพร้อม ๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ บางคนไม่ฉลาดถามก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องอื่น ๆ ผมฟังไป ๆ คงจะตื่นเต้นมาก เลยเกิดทุกข์หนัก ต้องขอตัวขอเวลานอกไปพิจารณาทุกข์ที่ห้องสุขา และผมคงจะพิจารณาทุกข์ ขณะกำลังบรรเทาทุกข์แล้วมีผล คือ เห็นอริยสัจ เพราะธรรมะของพระองค์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้ชัดว่าให้ปฏิบัติตลอดเวลาทุกเวลา ทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ คือ เป็นอกาลิโก ผมก็ปฏิบัติตามท่านอย่างเพลิดเพลิน พอจบภารกิจส่วนตัวของผมแล้ว ก็ออกมารีบเดินเข้าห้องยุทธการ ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว ชักใจไม่ดีรีบวิ่งออกมาข้างนอก ก็ปรากฏว่ารถหลวงพ่อและคณะหายไป ไม่พบใครสักคนเลย หันรีหันขวางอยู่ บังเอิญมีนายทหารท่านหนึ่งท่านจำผมได้ เห็นผมจึงถามว่าคุณมากับหลวงพ่อใช่ไหม ผมก็ตอบว่าใช่ครับ ทหารผู้นั้นก็บอกว่าหลวงพ่อกับคณะไปนานแล้ว คุณไปอยู่ที่ไหนมา ก็ตอบไปว่าอยู่ในห้องน้ำครับ ท้องมันไม่ค่อยดี ขณะนั้นผมเองรู้สึกเง็งไปหมด (ไม่ใช่งง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่างง) แต่เคราะห์ยังดีที่ นายทหารท่านนั้นช่วยแก้สถานการณ์ให้ทันควัน โดยส่งรถจิ๊ปเล็ก พร้อมคนขับให้ผมกระโดดขึ้นพร้อมกับท่านรีบบึ่งตามคณะหลวงพ่อไปจนทัน การปฏิบัติธรรมของผมเป็นที่ครื้นเครงของพวกเราทุก ๆ คนที่ได้หัวเราะกันจนฉี่จะออก

หลังจากที่หลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหารตามหน่วยต่าง ๆ แล้วก็กลับไปกทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต.ยุทธศิลป์ ก็สั่งทหารแค่หนึ่งกองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของผกค.เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่ข้างบนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าดีมากเกินคาดหมาย แต่มีรายงานจากวิทยุว่ามี ทหารเสียชีวิต ๑ นาย ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่า ทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่าไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว ท่านรู้สึกผิดหวังมากที่เขาไม่พกเอาผ้ายันต์แดงแดงไปด้วยทั้ง ๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวกลับฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์สีแดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับเข้ามาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ.ปากท่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ
 
วันที่ สอง ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็นสองกองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุจากไม่มีผ้ายันต์แดงติดตัวเช่นกัน เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่นความลับไม่มีในโลกทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าวรู้อิทธิปาฏิหาริย์ของผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามกันหมด ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์ สีแดง จะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้นเพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน
วันที่ ๓ ทุกคนมีขวัญและกำลังใจเต็ม ๑๐๐% ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่าสามารถยึดฐานใหญ่และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมดชนิดที่ผกค. ขวัญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี้ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อ ๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็นผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้าคงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด เหมือนกับยิงทหารที่ทำจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพเสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อท่านทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ ท่านพร้อมคณะไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา
หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยพิเศษนี้แล้ว ผมพอจะสรุปผลย่อ ๆ ได้ดังนี้
๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค.ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดนแต่เฉี่ยวหรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด แต่ไม่ยักโดนตัว
๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้าย ๆ มีแมลงหรือผึ้งบินมาชนตัวเท่านั้น
๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่าว่าขณะที่เดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิ่งปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่าทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนี่ยวนัก เลยคายออกมาจากปากดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวแต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้ แล้วจึงหล่นลงไปในกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่
๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้น บางครั้งก็มองเห็นข้าศึกที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นตามันค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่าคงเป็นอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ “ นะจังงัง ” ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริง ๆ ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยอมหลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง
๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้มีทั้งร.พ.และเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพละศึกษา, สนามบาส, โรงครัวขนาดใหญ่พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี, อาวุธมากมาย, เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองแม่ทัพบอกว่าต้องใส่รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี
๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากจะยึดพื้นที่ไว้ก็เสี่ยงเกินไปเพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้ จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็นผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น) เหล่านี้อีก
๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นตันมา ผกค.ก็หายซ่าไปเลย
เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมาก ยากที่ผมจะเล่าให้ฟังหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วนกลับไม่ได้ผลหรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิด หากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไป ก็กลายเป็นมะเร็ง สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน “ปฐมเทศนา” ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนไป (อยากมากเกินไป,ขี้เกียจมากไป) จะไม่มี
ผล ให้เดินสายกลาง ผมจึงต้องขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบ ขอสรุปเรื่องผ้ายันต์แดงธงมหาพิชัยสงครามไว้ เพื่อเตือนความจำ ดังนี้
๑. ความศักดิ์สิทธิ์ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
๒. ผู้นำไปใช้หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจรปล้น-ฆ่าเขา-ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย หากถูกยิงลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุออกท้ายทอยทุกราย
๓. ธงมหาพิชัยสงครามไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
๔. เวลาทำพิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงครามกับผ้ายันต์เกราะเพชรนั้น ทำเหมือนกัน มีคุณภาพเหมือนกันทุกประการ ใช้แทนกันได้
๕. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน, พายุใหญ่ หรือวาตภัย มีผู้เล่าให้ฟังเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องอธิษฐานขอ และผลขึ้นอยู่ที่ความมั่นคงของจิตของแต่ละคนด้วย
 
 
 
 
 
เหตุการณ์ระหว่างปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐ เล่าโดยพล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอบคุณที่มา  : จากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก



54
บทความ บทกวี / สะดือแม่น้ำโขง
« เมื่อ: 15 พ.ค. 2553, 08:59:32 »
สะดือแม่น้ำโขง

หรือชาวบ้านเรียกกันว่าแก่งอาฮง เชื่อกันว่าบริเวณดังกล่าวเป็นสะดือของแม่น้ำโขงหรือเมืองหลวงของเมืองบาดาล ในตลอดแนวของแม่น้ำโขงจากธิเบตถึงทะเลจีนใต้ ในหน้าแล้งจะมีน้ำลึก ชาวบ้านเคยเอาก้อนหินผูกเชือกแล้วหย่อนลงวัดความลึกได้ 99 วา ตรงนั้นจะมองเห็นได้ด้วยตาว่าเป็นแอ่ง แก่งอาฮง เป็นอีกจุดที่มีบั้งไฟพญานาค ทั่วไปปกติบั้งไฟพญนาคจะเป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู แต่ที่นี่เป็นลูกไฟสีเขียว เมื่อหลายปีก่อนมีชาวบ้านเห็นบั้งไฟพญานาคขนาดเท่าแท๊งน้ำขนาดหนึ่งพันลิตรสีเขียวสว่างไสวเป็นอย่างมากพุ่งสูง 20 เมตร ยังมีเรื่องลึกลับอีกว่าสะดือแม่น้ำโขงมีถ้ำใต้น้ำทะลุไปถึงภูงูซึ่งเป็นฝั่งของประเทศลาว



ในภาพที่เห็นจุดนี้คือ "สะดือแม่น้ำโขง" หรือที่ชาวบ้านแถบๆ อำเภอบึงกาฬ รู้จักในนามของแก่งอาฮง
เพราะเป็นจุดที่แม่น้ำโขงแคบที่สุด น้ำไหลเชี่ยวกรากที่สุด และแม่น้ำโขงลึกที่สุด

แก่งอาฮง...บริเวณดังกล่าวเมื่อวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ บรรดาวิญญาณทั้งหลายก็จะมารวมกันที่นี่ ส่วนจะมารวมกันเพื่ออะไรนั้นยากที่จะบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ บรรดาวิญญาณทั้งหลายจะมารวมกัน แต่หากผู้ใดมีจิตใจเข้มแข็ง เข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ ไม่วอกแวก ก็จะได้ยินเสียงโหยหวน บ้างก็มีเสียงปี่ เสียงกลอง เหมือนกับคนกระทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แต่หากคิดอีกทางหนึ่งก็เพราะว่าบริเวณแก่งอาฮงนี้ หากมีคนตายไหลตามน้ำมาก็จะติดอยู่แก่งนี้ เมื่อก่อนหากมีคนตายในแม่น้ำโขง ก็จะมาโผล่ที่นี่ติดอยู่ตามเกาะ แก่งที่มีอยู่มากมายในหน้าแล้ง แม้แต่หน้าฝนที่นี่ก็จะมีคลื่น เนื่องจากกระแสน้ำกระทบเข้ากับแก่งหิน จึงเป็นที่รวมวิญญาณต่าง ๆ ก็เป็นไปได้

เทพเจ้าทางน้ำ...สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นตามริมแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดหนองคาย จากตัวจังหวัดลงไปถึงอำเภอบึงกาฬ ซึ่งสิ่งนี้คือ หอเจ้าแม่สองนาง ซึ่งจะมีอยู่ที่วัดหายโศก อ.เมืองหนองคาย เรื่อยไปที่ อ.โพนพิสัย อยู่ที่ปากห้วยหลวง แก่งอาฮง และที่หน้าโรงพยาบาล อ.บึงกาฬ คำว่า สองนางในที่นี่คือ งู 1 คู่ คือ งู 2 ตัว

               สมัยก่อนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะใช้การติดต่อกันในทางทำธุรกิจค้าขาย ต้องเดินทางกันทางน้ำ เพราะไม่มีรถยนต์เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นจะต้องใช้เรือล่องผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ และหมู่บ้านก็จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะการเดินทางไปมาสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นการเดินทางค้าขายจึงต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เทพเจ้าทางน้ำ ที่เขาเชื่อและนับถือว่าจะให้ความปลอดภัยในการเดินทาง ในการทำพิธีบวงสรวงก็จะมีเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เหล้าขาว หมากพูล ข้าวดำ ข้าวแดง ก่อนออกเรือก็จะเทเหล้าขาวลงน้ำ เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่า การออกเรือครั้งนี้ขอให้มีความปลอดภัย ประสบความสำเร็จในการค้าขายและเดินทาง ก่อนออกเดินทางทุกครั้งชาวลุ่มแม่น้ำโขงจะต้องทำพิธีบวงสรวงให้เกิดโชคลาภทุกครั้ง และการเดินทางทางเรือจะต้องใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ ยิ่งตอนกลับทวนน้ำแล้วยิ่งต้องใช้เวลานาน

               บ่อยครั้งเหมือนกันที่มีชาวลุ่มน้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางทางน้ำ แต่นั้นพวกเขาจะเชื่อว่าเป็นการทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือเทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษ เหตุการณ์เหล่านี้จะถูกเรียกว่า "เงือกกิน" "เงือก" "งู" เป็นสิ่งเดียวกัน "พญานาค" ก็เป็นสิ่งเดียวกัน แต่พญานาคนั้นมีภพที่อยู่อีกมิติหนึ่ง พญานาคจึงสามารถแปลงร่างได้หลายชนิด และแปลงกายเป็นมนุษย์ หรืออะไรก็ได้ สุดแท้แต่จะแปลง เพียงแค่คิดก็แปลงร่างแล้ว ถึงแม้จะแปลงเป็นมนุษย์ได้ แต่การอยู่ก็มีภูมิ หรือภพอยู่ต่างมนุษย์

               จึงมีปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา บางครั้งถึงกับมีการแปลงร่างเป็นหนุ่มมาเกี้ยวสาว จนกระทั่งมีการติดพันเกิดความรักระหว่างพญานาคกับมนุษย์ ก็มีอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้สามารถสอบถามชาวบ้านท่าม่วง ตาลชุมได้ ขึ้นต่อกิ่ง อ.รัตนวาปี จ. หนองคา ย เพราะสมัยก่อนสาว ๆ บ้านท่าม่วง และบ้านตาลชุม จะมีพญานาคแปลงกายเป็นหนุ่ม ๆ ขึ้นมาเกี้ยวพาราสีอยู่เป็นประจำ ถึงขนาดได้ชวนสาว ๆ ลงไปชมเมืองบาดาล แต่หลังจากนั้นอีก 7 วัน สาว ๆ ที่ลงไปก็เกิดอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตไปในที่สุดก่อนเวลาอันสมควร คือหลังจากขึ้นมาได้ 7 วัน ก็เสียชีวิต

ในแต่ละปีของวันออกพรรษา อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จะเป็นแหล่งนัดพบของบรรดาผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความจริงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ได้ยินแต่คนอื่นพูดให้ฟังว่า ที่เขต อ.โพนพิสัย นั้นมีลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาใต้แม่น้ำโขง เป็นลุกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีแสง และไม่มีควัน ไม่มีโค้งตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วๆ ไป และลูกไฟที่ว่านี้จะไม่เป็นที่กำหนดว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด จำนวนกี่ลูก และจะขึ้นสูงขนาดไหน ไม่มีกำหนด แต่จะเฉลี่ยแล้วจะขึ้นไม่แน่นอน จุดละ 3-20 ลูก ขึ้นสูงกว่า 100 เมตร ตามจุดต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ลูกไฟนี้ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย ตั้งแต่สมัยผู้เฒ่าผู้แก่ เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะเป็นที่เชื่อว่าจะเป็นบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมา เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ไปโปรดพระมารดา เป็นเวลา 3 เดือน จึงมีทั้งเมืองมนุษย์ สวรรค์ และเมืองบาดาล ที่ต่างก็สาธุการจัดงานสมโภช ที่ประเพณีไทยทำมาก็คือ การตักบาตรเทโวในวันออกพรรษา.

55
เรื่องต้นหางนกยูงล้มนี่เป็นอย่างงี้ จะเล่าให้ฟังย่อๆ เมื่ออาตมาเป็นนาคใกล้จะบวช มีเด็กสาวคนหนึ่งถูกทำ เขาทำกันด้วยวิชาการที่เรียกว่าคุณคน ในวันแรกที่เธอมาเธอถูกหามเข้ามา แล้วอาตมาก็เป็นหมอรดน้ำมนต์ หลวงพ่อปานไม่เห็นว่าอะไร นั่งคุยโอ้ น้ำในตุ่มมีก็สั่งรดลงไปๆ เด็กสาวคนนี้แกก็ดิ้น ยิ่งรดแกก็ยิ่งดิ้นหนักเข้าๆ แกก็ฉีกเสื้อขาดหมด อีตรงนี้ไม่ค่อยดีเหมือนกันนา เขาอายุ ๑๕ หยกๆ ๑๖ หย่อนๆ เป็นคนขาวค่อนข้างสวย หมอก็ชักใจเต้นเหมือนกัน แต่เวลานั้นจะบวชตัดสินใจได้ว่าเราจะปฏิบัติในด้านเนกขัมบารมี คือหากไม่คิดอย่างนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะคนมุงดูประมาณ ๒๐๐ คน จะไปปลุกไปปล้ำแกน่ะมันไม่ถูก ตะรางแน่ เข้าใจว่าไม่ถึงตะราง ต้องโดนประชาทัณฑ์แน่

..........เมื่อแกฉีกเสื้อหมดแกก็ดิ้นไปดิ้นมาแล้วล้มฟุบ คว่ำลงไป คนก็มุงดูกันตอนฉีกเสื้อ ก็เห็นแล้วว่ามีแต่เนื้อกับหนัง แกไม่มีอะไรผูกมาด้วย หลวงพ่อปานก็สั่งให้รดน้ำมนต์หนัก แกก็สงบจากการดิ้น หลวงพ่อปานสั่งใหญ่ รดใหญ่ ปรากฏว่าแกลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมามีมีดโต้ยาว มีสายตราสังฆ์ผูก ๓ เปลาะ หล่นเป๊งจากอกแกลงไป จะหาว่าแกซุกไว้ในเสื้อก็ไม่ได้ มีดโต้นี่ใหญ่มาก มีด้ามเหล็กไม่มีที่ซ่อนแน่ หลวงพ่อปานก็ให้คนนำมาแล้วก็บอกว่านี่เขาทำมานะ ถ้าเด็กคนนี้อยู่ถึง ๗ วัน ตายแน่ มีดมันจะขยายตัวเต็มที่ แล้วครั้งที่สองก็โดนอีก คราวนี้โดนเลื่อยตัดเหล็ก ครั้งที่ ๓ โดนพวงตะปู เล่าย่อๆ อาการเหมือนกันเมื่อถึงวาระที่ ๓ แล้ว ต่อไปหลวงพ่อปานก็บอกทุกคน บอกว่าจงระมัดระวังให้ดีนะ พระทุกองค์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปหน้าต่างด้านทิศตะวันตกห้ามเปิด ได้ยินเสียงอะไรโป๊ะเป๊ะๆ ละก็อย่านะ อย่าทักเป็นอันขาด มันจะทำคุณไสยมาใส่ตัว ก็เป็นอันว่าทุกองค์รับฟังแล้วก็ปฏิบัติตาม เป็นความจริงเพราะเวลาค่ำคืน เสียงหน้าต่างบ้าง หน้าจั่วบ้าง คล้ายๆ ของหนักขว้างมาถูก แต่เวลาตอนเช้าไปดูจะเป็นเศษดิน เศษหิน เศษอิฐ ก็ไม่มีทั้งนั้น ถ้าเป็นคนขว้างมาสิ่งเหล่านี้จะต้องตกอยู่ใกล้ๆ

..........ต่อมา คืนสุดท้ายเป็นวันเสาร์ หลวงพ่อปานสั่งตีระฆัง ตอนเย็นป่าวหมู่เทวฤทธิ์ทั้งหมด บอกว่าวันนี้เขาเอาเราแน่ ทุกองค์มารวามอยู่ที่หน้ากุฏิฉันอย่าไปไหนเป็นอันขาด ปวดท้องขี้ปวดท้องเยี่ยว ขี้เยี่ยวมันบนนี้ ห้ามไปนอกบริเวณกุฏิฉัน ตัวฉันไม่เป็นไร ฉันห่วงใยพวกเธอว่าจะมีอันตราย ก็เลยกราบเรียนหลวงพ่อปานว่า เขาจะทำอะไรขอรับ หลวงพ่อปานก็บอกว่าวีนนี้เขาฆ่าเราแน่ เขามุ่งเอาแน่ ไม่ใครคนใดคนหนึ่งเคราะห์ร้าย วันนี้โดน แต่ไม่เป็นไร ถ้านั่งอยู่หน้ากุฏิฉันไม่เป็นไร ก็เลยรวมกันอยู่ที่นั่น เวลาประมาณ ๒ นาฬิกา หลวงพ่อปานปลุก บอกนี่ เขาเริ่มจะลงมือแล้ว เขาตั้งพิธีแล้วนะ พวกเธอตั้งบารมีของพระพุทธเจ้าไว้ พุทโธนะ อย่าลืม พุทโธเท่านั้นะ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ไม่ต้องว่าอะไรมาก นึกถึงบารมีพระพุทธเจ้าไว้จะปลอดภัย พวกเราก็ตั้งท่าเลย นั่งกรรมฐานกันหมด แทนที่จะนอนภาวนาเฉยๆ เมื่อนั่งกรรมฐานใจสบายพอจิตสงัด เสียงปี๊ดแหวกอากาศ คล้ายๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่แหวกอากาศแต่มันดังมากกว่านั้น พอวี๊ดเข้ามาเสียงโพ๊ะ ทางด้านหน้าโบสถ์แล้วได้ยินเสียงต้นไม้ค่อยๆ ล้ม อย่างสุภาพ เมื่อเสียงนั้นหมดไปแล้วหลวงพ่อปานก็เรียกบอก ปลอดภัยแล้วลูก เขาหมดฝีมือเท่านี้ แล้วท่านก็บอกว่าไปดูหน้าโบสถ์ซิ ฉันว่าต้นหางนกยูงล้มนะ ต้นหางนกยูงต้นนี้ โอบไม่รอบเกือบจะ ๒ โอบ เห็นจะได้ ๒ โอบ ใหญ่มากมาก มันล้มแบบสุภาพจริงๆ ล้มไปทางด้านทิศตะวันออก พาดโคกโบสถ์ แล้วกราบเรียนถามหลวงพ่อปานว่าเขาทำด้วยอะไร หลวงพ่อปานบอก ครกตำข้าว นี่ถ้าใครโดนเข้า ตายทันที ฉันจึงเกรงว่าพวกเธอน่ะ จะมีเคราะห์หรือปากไม่ดี ไปทักเข้ามันจะเข้าตัว อย่างนี้เขาเรียกกันว่าคุณคน ทีนี้เวลาเช้าก็ไปค้นกันดู ปรากฏว่าเจ้าครกลูกนั้นไปอยู่ในสระ แต่ว่าสระมันแห้งแล้ว หลวงพ่อปานท่านขุดเอาดินมาทำโคกโบสถ์ สระนั้นแห้งแล้ว ไปค้นได้ในวัดไม่เคยมีใครตำข้าว

..........เมื่อเวลานั้นผ่านไป ความปลอดภัยมาถึงแล้ว แต่ก็ยังไม่ปลอดหมดอยู่มาอีกไม่กี่วัน ปรากฏว่าลาวคนหนึ่งเดินทางมาถึงทีวัดตอนเย็น แล้วเดินไปในป่าช้า ไปพบพระเข้า ก็ถามพระว่ากระท่อมที่เขาเอาไว้ผีว่างๆ มีไหม อยากจะอาศัยนอน บรรดาพระก็บอกว่ากุฏิว่างมีเยอะ ศาลาก็ว่าง พักที่กุฏิพักที่ศาลาดีกว่า ลาวคนนั้นเขาบอกเขาไม่ต้องการ เขาต้องการจะนอนในป่าช้า เพราะว่าเขาต้องนอนในที่สงัด วิชาการที่เขาเรียนมานั้น เขาต้องนอนในที่สงัด พระก็ตามใจ ก็จัดหากระท่อมที่เขาเอาไว้ศพ และเขาเอาศพไปเผาแล้วซึ่งมีว่างอยู่ให้พัก เมื่อพักแล้วพระก็เอาเสื่อเอาหมอนเอามุ้งตักน้ำไปให้ เขาก็คุยถึงหลักวิชาการ่า เขาดียังงั้นยังงี้ พระก็ชอบใจอยากจะเรียนกับเขา เขาก็บอกจะให้เรียน แต่วันนี้เรียนไม่ได้ เอาไว้วันหน้า ไว้วันพฤหัสจะให้เรียน เมื่อถึงเวลาค่ำพระก็กลับ ทุกคนอยู่ในสภาพสงบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลา ๒ ทุ่ม ไปหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ไม่ได้ว่าอะไร หลวงพ่อปานอธิบาย ธัมมะธัมโม วิธีปฏิบัติ ตำหนิความชั่วของพวกเรา ส่งเสริมความดีของพวกเราเป็นอันว่าทุกวัน ต้องโดนหลวงพ่อปานด่าเสียบ้าง แล้วก็ชมบ้าง 2 อย่าง ทุกวัน แต่วิธีด่าของท่าน ท่านไม่ได้ด่าหยาบ ท่านด่าคนอื่น ด่าพระวัดอื่น ด่าคนอื่นแต่ว่ามันมาชนพวกเรา แต่ความจริงท่านไม่ได้ไปเห็นใครเขาที่ไหน เห็นพวกเราทำไม่ดี ก็พูดว่า แหม ถ้าพระของฉันเป็นยังงั้น ฉันจะเสียใจมาก แต่ว่าพระของฉันดีนะ อย่างนี้เป็นต้น อย่างพระไปร้องเพลงที่ศาลาปรก ศาลาปรก คือศาลาไว้ผี สวดผี ศาลาสวดศพ อยู่ที่ป่าช้า เห็นพระร้องเพลง ๒ องค์ ท่านไปส้วมท่านเห็นเข้า ท่านจำหน้าได้ แต่ท่านไม่พูด แล้วถึงเวลาวันประชุม วันโกน ถือเป็นการประชุมใหญ่ ทุกวันใครขาดไม่ได้ ถ้าป่วยไข้ไม่สบายจะต้องลา ท่านก็คุยบอกว่าท่านไปวัดโน้น ไปตรวจงานก่อสร้าง ผ่านหน้าวัดๆ หนึ่งได้ยินเสียงคนร้องเพลง ๒ เสียง แล้วท่านก็ถามคนแจวเรือ ว่าใครร้องเพลง คนแจวเรือเขาบอกว่าพระ ถามว่าร้องที่ไหน คนแจวเรือก็บอกว่าที่ศาลาปรก ถามว่าวัดอะไร เขาก็บอก แต่ลืม ท่านว่ายังงั้น ลืมชื่อวัด แล้วท่านก็บอกว่าพระร้องเพลงนี่นะ ฉันว่ามีความเลวยิ่งกว่าหมามาก หมาไม่มีการหลอกลวงคนอื่น ท่านว่ายังงั้น หมาน่ะไม่หลอกลวงใคร มันแสดงตัวเป็นหมาอยู่เสมอ แต่พระไปร้องเพลงนี่เลวกว่าหมา คือจิตใจเป็นฆราวาส แต่ทำตัวเป็นพระหลอกลวงชาวบ้าน กินข้าวของชาวบ้านแล้วลงนรก หมาดีกว่าตั้งเยอะ กินข้าวของใครก็ไม่ลงนรก ชาวบ้านเลี้ยงหมา มีอานิสงส์ดีกว่าเลี้ยงพระร้องเพลง สบายใจไปเลย นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ปรากฏว่าพระร้องเพลงไม่มี ท่านด่าพระวัดอื่นหรอกนะ ท่านไม่ได้ด่าพระที่วัด แต่ว่าชมพระที่วัดของท่านว่าดีจริงๆ ไม่มีอย่างนั้น ถ้ามีอย่างนั้นท่านจะเสียใจมาก นี่เป็นวิธีด่าพระของท่าน พวกเราได้รับทั้งคำชมคำด่า ทุกวันเป็นปกติ สบายถ้าไม่ถูกด่าเสียบ้าง ไม่โดนชมเสียบ้าง ไอ้ชมนี่ไม่สบายใจเท่าไร ถ้าด่าเมื่อไรสบายเมื่อนั้น มันชื่นใจ เพราะว่าจะมีโอกาสตัดความเลวลงไป แต่วิธีด่าของท่านก็ด่าแบบนั้นแหละ ด่าชาวบ้านชาวเมืองที่ไหนก็ไม่ทราบ ไอ้คนผิดนะไม่ได้ถูกด่า แต่ว่ามันไปชนเข้าเอง

..........ในเมื่อประชุมมาแล้วตอนหัวค่ำ ท่านพูดธัมมะธัมโมให้ฟัง ชมบ้าง ด่าบ้างตามปกติแล้ว พวกเราก็เข้ามานอน ท่านก็ไม่บอกยังไง ถึงเวลาตี ๒ มาแล้ว ตาเชิดมาปลุก ปลุกอาตมา บอกไปปลุกพระทุกองค์อันตรายเกิดขึ้นกับหลวงพ่อแล้ว เมื่อมีคำสั่งแบบนั้น ก็เข้าไปดู เห็นตะขาบตัวเบ้อเร่อมันนอนอยู่ ท่านก็เลยรายงานว่าลาวมันทำฉัน ไปปลุกพระเร็ว ประชุมกันด่วนตี ๒ แล้วนี่มานั่งปลุกกันยังไง พ่อเจ้าประคุณนอนหลับก็ไม่ค่อยตื่น แต่วิธีตื่นง่ายมีอย่างหนึ่ง คือตีระฆังผิดเวลา พวกนี้ไม่ได้พร้อมเสมอ ถ้าเป็นทหารเขาเรียกว่าเตรียมพร้อมอันดับหนึ่งตลอดเวลา ก็เลยย่องไปนวดระฆังเข้าให้ระฆังใหญ่ เสียงประตูเปิดโครมครามๆ วิ่งตึงตังๆ ต่างคนต่างถือเหล็ก คือขวานถือค้อนมาตามๆ กัน คิดว่าอันตรายเกิดแก่วัด เขามาที่ระฆังถามว่าตีระฆังทำไม บอกหลวงพ่อให้ตีโว้ย ข้าไม่รู้หรอก โน่น เรื่องของเรื่องจะรู้เรื่องก็ไปที่หลวงพ่อ ไป ไปกันเดี๋ยวนี้ เร็วด่วน หลวงพ่อต้องการพบด่วน ทุกองค์ก็ไปขัดเขมร ไม่ได้เรียบร้อยหรอก เตรียมตีกันแล้ว เตรียมรบเพราะเขารักหลวงพ่อมาก เขาเคารพหลวงพ่อมาก เกรงว่าอันตรายจะเกิดแก่หลวงพ่อ อาวุธที่เขาถือมานั้นไม่ใช่อะไร มันเครื่องมือทำงาน พวกค้อนบ้าง พวกสิ่ว พวกขวานอะไรพวกนี้แหละ เครื่องมือทำงานทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับรบ แต่มันก็ใช้ได้เมื่อยามจำเป็น
 
..........พอเข้าไปถึงหลวงพ่อแล้ว เขาขัดเขมรไม่มีอังสะ ท่านก็ไม่ว่ายังไง บอก เอ้า พวกเรามาดูอะไร นี่แน่ะ ท่านมีตะเกียงลานอยู่ 3 ลูก ท่านไขจ้าจุดสว่าง บอกว่าเห็นอะไรไหม ก็มองดูตะขาบตัวใหญ่ พระทุกองค์ก็ถามว่าตะขาบตัวใหญ่มันมายังไง ท่านก็ถามว่า เมื่อตอนเย็นนี้ มีลาวมาพักที่ป่าช้าบ้างหรือเปล่า ทุกองค์ก็บอกว่ามี เพราะต่างองค์ต่างก็รู้ บอกว่าไอ้ลาวคนนั้นมันทำฉัน มันจะปล่อยตะขาบให้กัดฉัน แล้วเข้าไปในตัว ถ้ากัดเข้าแล้วพวกเธอแก้ไม่ทันหรอก ฉันตายแน่ ก็เลยเรียนถามท่านว่าทำไมตะขาบมันไม่กัดหลวงพ่อเล่าขอรับ บอกจะกัดยังไงเล่า ฉันรู้ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ฉันก็เลยไม่หลับ ตั้งท่า มันก็มาได้แค่เส้นนี้ ก็เห็นเส้นที่ท่านขีดด้วยชอล์คพอดี ท่านก็ชี้ให้ดูว่ามันจะมาได้แค่นี้ มันจะเข้าไปอีกไม่ได้ ตะขาบตัวนี้ถ้ากัดใครเข้าก็ตาย บวมทั้งตัว ดีไม่ดีก็เข้าไปอยู่ข้างใน เขาต้องการให้กัดเป็นพิษด้วย แล้วก็เข้าไปในตัวเราด้วย เราก็จะตายทันที พระทุกองค์ถืออาวุธอยู่แล้ว เครื่องมือทำงาน ตั้งท่าฮึดฮัดจะไปจัดการกับเจ้าลาว ท่านก็เลยโบกมือบอกว่าไม่ควร เราเป็นพระ ทำยังงั้นไม่ได้ ช่างเขา มันเป็นกรรมของเขานะลูกนะ มาปรึกษากันยังงี้ดีกว่า ถ้าเราทำเขาเราก็บาป แต่ไอ้ของเขาเราส่งคืนเขานี่เราไม่บาปนะลูกนะ มันของๆ เขา เราจะคืนเขาดีไหม ทุกองค์ก็พร้อมใจบอกว่าควรคืน แล้วก็หลายองค์บอกว่า คืนแล้วให้มันตายไปเลย ท่านก็ยิ้ม ตายไม่ได้หรอกลูก เราตั้งใจให้ตายไม่ได้ เราบาป ศีลขาด ถ้าเราคืนเขาไปแล้ว เขาจะตายหรือไม่ตายมันก็เป็นเรื่องของเขานะ เจตนาเราตั้งใจเฉพาะคืน ทุกองค์พร้อมใจกันว่าควรทำแบบนั้น ท่านก็เอาหวายวนกลับ มันขดอยู่นี่ ก็วนทวนมา วนทวนมาแล้วก็ปรากฏว่าเจ้าตะขาบเหยียดตัวตรง เมื่อเหยียดตัวตรงท่านก็เอาหวายเคาะกระดาน ๓ ที เสียงกั๊กกั๊ก กั๊ก พอกั๊กที่ 3 เจ้าตะขาบวิ่งปรื๊ด หายไป ทั้งๆ ที่มีฝา หน้าต่างก็ปิด หาทางลอดไปไม่ได้ ตัวมันใหญ่ขนาดแขน ไม่ทราบว่ามันไปยังไง

..........ในเมื่อมันไปแล้วท่านก็สั่ง รีบเข้าไปในป่าช้าด่วน ไปหามเจ้าลาวมาเดี๋ยวมันจะตาย นั่นเป็นยังงั้น ถ้าเป็นอย่างพวกเราละก็ปล่อยให้มันเป็นผีไปแล้ว นี่หลวงพ่อปาน พวกพระก็วิ่งไป ตะเกียงถือไป ตะเกียงรั้ว ที่ไหนได้ แผล็บเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าเจ้าลาวนอนครวญคราง ตัวใหญ่เบ้อเร่อ ไม่ใช่ตัวอะไรใหญ่ ตัวลาวมันใหญ่ มันบวม หามเอามา หลวงพ่อปานก็สอบสวนว่าเอ็งทำตะขาบมาใช่ไหม มันก็รับว่าใช่ ท่านก็เลยบอกว่า ฉันไม่ได้ทำเธอ นี่ฉันส่งกลับไปให้เธอ เธอไม่เก่งจริงเลย ท่านก็ถามว่าจะให้รักษาไหม เขาก็บอกว่าขอให้รักษา ท่านบอกว่ารักษาก็ได้ แต่ต้องสัญญาก่อนว่า ๑. ต้องเลิกให้วิชานี้ ๒. ต้องยอมบวช ๓. ต้องเจริญพระกรรมฐาน ทำได้ไหม ทีแรกมันเสียใจ บอก บวชได้ ทำกรรมฐานได้ แต่วิชานี้ขอให้ทำต่อไปได้ ท่านบอกถ้าต้องการทำวิชานี้ต่อไปก็เชิญตาย เชิญปวดไป ฉันไม่แก้ ในที่สุดมันปวดหนักเข้ามันก็ยอมแพ้ บอว่ายอมเลิก หลวงพ่อปานก็ให้พระสวดมนต์บทหนึ่ง สวดอะไรจำไม่ได้ พอสวดจบท่านก็บอกว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป วิชาของเธอที่เรียนมาในด้านไสยศาสตร์ฉันถอนหมดแล้ว เธอใช้อะไรไม่ได้อีก จงตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ทำบุญทำกุศล บวชแล้วเจริญกรรมฐาน แหมมันร้องไห้เสียเกือบแย่ แล้วท่านก็ให้การรักษา ทำน้ำมนต์ให้มันดื่ม พอดื่มเสร็จประเดี๋ยวเดียวสัก ๕ นาทีก็ปวดอุจจาระ การปวดก็คลายตัวไป พอไปถ่ายอุจจาระ แทนที่อุจจาระธรรมดาจะออกมา กลายเป็นโซ่ขนาดย่อม หล่นลงไปข้างล่างปริ๊ด เสียงถ่ายดังสนั่น แต่สิ่งที่ออกไปไม่มีอุจจาระเลย กลายเป็นโซ่ทั้งเส้น หลวงพ่อปานก็ให้พระคีบมา เอามาดู ถามว่านี่โซ่ที่เธอเตรียมมาทำฉันใช่ไหม มันก็รับว่าใช่

..........เป็นอันว่าวันรุ่งขึ้นก็บวช พอบวชแล้วลาวคนนี้ ภายในพรรษาเดียวก็สำเร็จอภิญญา ๖ ด้านฌานโลกีย์
..........นี่แหละท่านผู้ฟัง วันนี้รู้สึกว่าได้เรื่องมากเรื่องด้วยกัน เอาเรื่องเบ็ดเตล็ดมาเล่าให้ฟัง ไอ้การเล่านี่มันก็แสลงกับโรคกระเพาะเหมือนกัน รู้สึกว่าอาการเครียดเกิดมาก จะรีบเลิกเสียเรื่องมันไม่จบก็ทนเอา ไปหาหมอให้ช่วยรักษาเอา แต่ทว่าไม่ช้าก็ต้องพยายามให้จบ เพราะว่าอะไร เพราะว่าร่างกายมันชักจะไม่ค่อยดีแล้ว

..........เอาหล่ะสำหรับวันนี้เหลืออีก ๒ นาที ก็หมดเวลา วันนี้ก็เป็นอันว่าหมดกันแค่นี้นะ ขอลาก่อน ขอควมสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูลผล จงมีแด่ทุกคนที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี...




ขอบคุณที่มาจาก...หนังสือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

56


การติดต่อเกี่ยวข้องกับสิ่งลี้ลับที่ยากกับการพิสูจน์เช่น ผีสาง เทวดา คนตาย อะไรเหล่านี้ มาได้จากหลายเหตุผล เช่น การนั่งสมาธิแล้วได้ไปรู้ไปเห็นเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเห็น การคุยกับผี เทวดา พรหม หรือแม้แต่สัมภเวสีคือ คนที่ตายไปแล้วแต่ยังไม่สามารถไปเสวยบุญหรือกรรมของตนเอง เหล่านี้เป็นเรื่องราวที่มักจะได้ยินอยู่เสมอ บางทีก็ไปพิสูจน์ถึงจานบิน มนุษย์ต่างดาวซึ่งก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัว ซึ่งเราทุกคนสามารถจะเรียนรู้และนำไปใช้ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลย

ปัจจุบันคนเราใช้ความสามารถทางจิตของตัวเองน้อยเกินไป ทำให้ไม่อาจติดต่อรับรู้ถึงสภาวะความเป็นทิพย์หรืออีกมิติของสิ่งเหล่านั้น เพราะเรามีความหยาบของจิตมาก ในการที่จะติดต่อหรือรับรู้กับสิ่งอื่นได้ ต้องมีความถี่ที่ตรงกันจึงจะเห็นหรือคุยกันได้ ซึ่งถ้าจะให้อธิบายก็คงเป็นเรื่องของการทำจิตใจให้ใสสะอาด แม้จะชั่วขณะหนึ่งที่จิตเป็นสมาธิ ก็อาจจะทำให้เรารับรู้อะไรบางอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านไปตลอดกาลก็ได้ นับเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างที่สุด สำหรับข้าพเจ้าแล้วถือว่า "การเอาชนะใจของตัวเองได้นับเป็นชัยชนะที่เยี่ยมยอดยิ่งกว่าชัยชนะอื่น"

เรื่องของพญานาคมีการถกเถียงกันอย่างแพร่หลายมาก  ว่าพญานาคมีจริงหรือไม่อย่างไร แต่ส่วนใหญ่มีความเชื่อกันว่าพญานาคเป็นแค่เรื่องเล่า เป็นตำนานไม่มีจริง กระทั่งนักวิทยาศาสตร์อยากจะส่งอุปกรณ์ไปสำรวจในแม่น้ำโขง จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต มีนักท่องเที่ยวไปเมืองหนองคายมากเป็นพิเศษ เพราะต้องการจะดูจะเห็น ถึงความแปลกมหัศจรรย์ของสิ่งนี้ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เรื่องของพญานาคนั้นข้าพเจ้าสัมผัสได้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ ซึ่งเป็นปีแรกที่ข้าพเจ้าเริ่มไปธุดงค์ในวัดท่าซุง และอีกหลายครั้งในวันออกพรรษาที่จังหวัดหนองคาย

สำหรับข้าพเจ้าแล้วแม้ว่าจะฝึกสมาธิมาหลายปี แต่ก็ออกจะติดนิสัยชอบทดสอบทดลอง เพราะถ้าไม่รู้ไม่เห็นแล้วจะอธิบายหรือพูดไปได้อย่างไร จะเป็นการโกหกเสียเปล่าๆ ซึ่งก็เหมือนเป็นการท้าทาย คำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นั้น" ข้าพเจ้าก็ลองมานักเหมือนกัน นับเป็นนิสัยที่ไม่ค่อยจะดี และก็เจอของจริงมาเยอะเหมือนกัน พลาดไปหลายหนแต่จะให้เข็ดก็คงจะไม่เสียทีเดียว เพราะเป็นสันดานที่แก้ยากมากสำหรับเรื่องนี้

ในการธุดงค์นั้นจะเป็นช่วงที่ต้องอยู่ในอาการสงบทั้งกายและใจ เป็นช่วงที่จิตใจจะมีความใสสะอาดกว่าปกติ เพราะต้องอยู่ในศีล ๘ สวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรเช้า-เย็น และต้องนั่งสมาธิวันละหลายเวลา พิจารณาธรรมะตามความชอบใจ ต้องนอนในกลดหรือเต้นท์ ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีแค่ร่างกายกับจิตของเราเท่านั้น ถึงแม้จะมีคนรอบตัวมากมายก็เหมือนไม่มี ในขณะนั้นทางวัดท่าซุงได้จัดให้พราหมณ์หญิงพักที่สวนไผ่ เพราะมีคนไปธุดงค์ยังไม่เยอะแค่หลักร้อยกว่าเท่านั้น (ปัจจุบันธุดงค์พราหมณ์หญิงก็พันกว่าคนแล้ว) ข้าพเจ้าเลือกนอนเสื่อกางมุ้งเรียกว่าได้บรรยากาศอย่างที่สุด เพราะเดือนธันวาคมนั้นก็เย็นพอสมควร ปกติตอนก่อนจะนอนก็ต้องมีการสวดมนต์ไหว้พระ ว่าคาถากรณียเมตตสูตร และคาถาขันธปริตร นับเป็นเรื่องปกติที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนให้ปฏิบัติระหว่างธุดงค์

คืนแรกในสวนไผ่ข้าพเจ้าสวดมนต์ช่วงประมาณสองทุ่มกว่าๆ ก็รู้สึกว่ามีเหมือนเงาสีขาว ลำตัวใหญ่ขนาดต้นกล้วยได้ ยาวมากล้อมรอบมุ้ง ลักษณะเหมือนงูตัวใหญ่ ขนาดหน้าตาใหญ่เท่าๆ กับหน้าของคน แต่มีหงอนและเครายาวใหญ่ ตามีลักษณะสีแดงเห็นได้ชัดเจน แต่ข้าพเจ้าเห็นแค่แวบเดียวเท่านั้น ตอนนั้นก็คิดว่าเราอุปทานหรือเปล่า และก็ตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์ต่อให้จบเพื่อจะเข้านอน เหลือแต่ความสงสัยและความกังวลเก็บเอาไว้ เพราะเป็นไปได้ที่ข้าพเจ้าจะถูกทดสอบทดลองในขณะปฏิบัติ

คืนต่อมา ในช่วงสวดมนต์ก็ยังมีความรู้สึกคล้ายมีงูใหญ่มาอีก แต่คราวนี้หลังจากสวดมนต์เสร็จ ข้าพเจ้าก็สวดบทแผ่เมตตาให้กับสิ่งที่มา เพราะคิดว่าเขามาหาอาจจะต้องการให้อุทิศส่วนกุศลให้ แต่ที่ไหนได้งูใหญ่นั้นกลับมาใกล้จนชิดมุ้งทีเดียว แต่แค่สักครู่ก็หายไป พอข้าพเจ้านอนปกติจะเป็นการภาวนาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับ ช่วงที่เคลิ้มมีความรู้สึกว่าอะไรสักอย่างเลื้อยผ่านมาบนตัวจากขวาไปซ้าย พอลืมตาก็เห็นเป็นเงาสีขาวเหมือนหมอกชัดเจน คราวนี้สวดมนต์บทที่ถนัดที่สุดคือ อิติปิโสฯ แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรเกิดขึ้น ในใจได้แต่คิดว่า "คราวนี้เจอของจริงแล้ว จะทำยังไงดีล่ะ" เป็นความรู้สึกตื่นเต้นปนความกลัวแต่ก็ยังสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด สักสองสามนาทีตั้งสติได้ก็คิดว่า "เอาเถอะ ถ้าจะตายตอนนี้ก็ดี อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าตายแล้วจะไปไหน" เงาสีขาวนั้นก็เลื้อยหายไปในบริเวณกอต้นไผ่ ที่ห่างจากมุ้งข้าพเจ้าสักสี่ห้าเมตร

และคิดว่าถ้ามีครั้งต่อไป ข้าพเจ้าจะต้องรู้ให้ได้ว่านั่นคืออะไร เป็นดังคาดเพราะข้าพเจ้าก็ได้เจอในช่วงเวลาเดิมอีก แต่คราวนี้ข้าพเจ้าก็ขออาราธนาบารมีของพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และอธิษฐานขอให้สิ่งนั้นปรากฏร่างจริง ข้าพเจ้าก็เห็นได้อย่างชัดเจน และความรู้สึกตอนนั้นก็ตอบว่าคือ    "พญานาค" ท่านก็ให้เห็นเป็นร่างแบบมนุษย์ผู้ชาย และก็แนะนำตัวว่า อยู่บริเวณนี้มานานแล้ว เห็นว่ามีคนมาปฏิบัติดีท่านก็เลยมาเพื่อโมทนาบุญ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนเห็น พอทราบว่าข้าพเจ้าสัมผัสได้ก็เลยมาให้เห็นบ่อยๆ เพื่อจะแสดงตัวว่าท่านจะให้ความคุ้มครอง และขอให้อุทิศบุญในการธุดงค์นี้ให้กับเทวดาทั้งหลายที่รักษาเขตนี้ด้วย เพื่อการฝึกจะได้ไม่มีอุปสรรคมาก และท่านจะแวะมาคุยด้วย ซึ่งท่านก็แนะนำเรื่องการปฏิบัติให้

รุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็ไปลองถามคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน บางคนก็เจออะไรแปลกๆ มีสัตว์รบกวน บางคนก็ได้ยินเสียงร้องดังกลางดึก แต่มีคนเล่าว่าสัมผัสได้ถึงสิ่งที่คุ้มครองที่นั่น แต่ไม่ทราบว่าอะไร แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังตอนนั้นเพราะเดี๋ยวจะมีความวิตก หรือความกลัว แต่ก็เชื่อว่าที่ข้าพเจ้าเห็นและสัมผัสไม่ผิด สุดท้ายก็ได้เรียนถามครูบาอาจารย์ที่แนะนำข้าพเจ้าตั้งแต่ต้น ท่านก็ยืนยันว่าใช่ สิ่งนั้นคือ "พญานาค" และยังมีอยู่มากมายบริเวณท่าน้ำเลี้ยงปลาวัดท่าซุงด้วย สำหรับประเทศไทยนั้นมีพญานาคอยู่มากมายหลายแห่ง ท่านคอยดูแลรักษาสมบัติมีค่าของประเทศไทย ไม่ใช่แค่เรื่องสมมติที่แต่งขึ้นเพื่อสร้างเป็นความเชื่อให้เราหลงงมงาย ไร้สาระ

บางทีท่านเองอาจจะเคยเจอเรื่องแปลกอธิบายไม่ได้ เพียงแต่ท่านไม่ทราบว่านั่นคืออะไร ในโลกนี้มีอีกหลายเรื่องราวที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ 
   




ขอบคุณที่มา...พ่อแก้วแม่แก้ว เว็บพลังจิตดอทคอม

57
วันนี้ขอเสนอ...พระโคนสมอ..ปางมารวิชัย..มาให้ชมกันครับ



                     
                       พระโคนสมอพิมพ์เล็กลงรักปิดทอง(หายาก)

ประวัติพระโคนสมอ

หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาได้ตกไปเป็นเมืองขึ้นของข้าศึกในปี พ.ศ.๒๓๑๐ นั้น ก็ได้เกิดวีระชนคนกล้ามา กู้ชาติ สร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาใหม่ ก่อเกิดกำเนิดเป็นมหาอาณาจักรขึ้นบนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในปี พ.ศ.๒๓๒๕ “ กรุงรัตนโกสินทร์ “ และนอกจากจะสร้างบ้านเมืองแล้ว ก็ยังมิลืมที่จะให้เมืองแห่งนี้ มีความงดงามประดุจกรุงเก่า ที่ได้เคยมีมาแต่เดิมในครั้งอดีต ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ สภาพความเป็นอยู่ รวมถึงสิ่งมงคลล้ำค่า อย่างพระพุทธรูปต่างๆ รวมทั้งพระพิมพ์ที่พอจะรวบรวมได้จากกรุงเก่าเข้ามาในเมืองแห่งนี้ เพื่อที่จะได้อนุรักษ์และรักษาไว้ให้ชนรุ่นหลังสืบต่อไป อย่างเช่น พระโคนสมอ ที่เราจะกล่าวถึง เป็นพระเครื่องที่มีมาตั้งแต่ สมัยอยุธยาตอนปลาย สร้างจากเนื้อดิน ส่วนใหญ่ และก็มีเนื้อชินอีกด้วย พระส่วนมากจะเป็นพระพิมพ์ประจำวัน  และมีพิมพ์อื่นๆอีก เช่น พิมพ์ปางมารวิชัย พิมพ์ซุ้มปราสาท พิมพ์ปางพญาชมภู เป็นต้น พุทธลักษณะองค์พระทั้งทรงพิมพ์ก็สวยงามมาก หาได้จัดทำแบบลวกๆไม่ ลายเส้นของพิมพ์สวย คม ชัด ลึก ตามพระพุทธลักษณะ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะฝากไว้ ในการที่จะสืบอายุพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงอยู่ จนถึงพุทธกาล ๕๐๐๐ ปี และผู้คนในสมัยอยุธยาครานั้น คงจะร่วมแรงร่วมใจในการสร้างพระนี้ขึ้นมาและด้วยเพราะมีพระเป็นจำนวนมาก ต่อเมื่อหลังจากเสียกรุงศรีฯแล้ว พระชุดนี้ถูก

ทิ้งร้างมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีผู้ที่เห็นคุณค่าจึงได้นำพระกลับมาบรรจุไว้ที่เมืองแห่งนี้ ด้วยเหตุที่ความเชื่อของคนในสมัยก่อนนั้นไม่นิยมที่จะนำเอาพระเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน จึงได้นำพระไปฝากไว้ที่วัดบ้าง บ้างก็บรรจุกรุตามวัดต่างๆ นี้ก็เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมานาน จึงนำพระชุดนี้มาฝากไว้ตามกรุต่างๆโดยเฉพาะบริเวณ พระราชวังหน้า(บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงเทพฯ) ก็เช่นกันได้นำพระชุดนี้มาเก็บรักษาไว้ บ้างก็ไว้ตามวัด และบางวัดที่มีเจดีย์ที่ว่างเปล่า ก็จะนำพระที่สร้างขึ้นมาบรรจุรวมทั้งพระชุดนี้ด้วย หากมีจำนวนเหลือก็นำมาเก็บไว้ตามเพดานพระอุโบสถก็มี หากมีมากเกินที่บรรจุไม่ทันก็เลยเอามากองกันที่โคนต้นไม้บ้าง พอคนเดินไปเดินมาเห็นพระกองอยู่ก็เลยเก็บกลับบ้าน เพราะเห็นสวยดี เก็บกันคนละชิ้นสองชิ้น อะไรมันจะไปเหลือก็หมดล่ะสิ แต่ไม่รู้ว่าพระชื่ออะไร เลยเรียกตามสถานที่ที่ไปพบ และเก็บมาก็ที่โคนต้นสมอน่ะแหล่ะ เลยถือวิสาสะเรียกว่า “ พระโคนสมอ “ มาแต่นั้นเอง  ถ้าจะพิจารณาพระพิมพ์เหล่านี้สามารถแยกออกได้เป็น ๒ ชนิด คือ

๑.พระเนื้อดินกรุเก่า เนื้อดินจะนุ่มกว่า ทั้งรักทองที่ปรากฎ จะติดแน่นและเรียบร้อยกว่า จึงสามารถบอกได้ว่าเป็นพระที่สร้างขึ้นในสมัย อยุธยาแน่นอน

๒.พระเนื้อดินกรุใหม่ จริงๆแล้วก็ไม่ได้ใหม่อย่างที่บอกน่ะครับ สร้างมาก็ตั้งแต่ก่อตั้ง กรุงรัตนโกสินทร์ ขึ้นมาในช่วงนี้ เนื้อหาของดินค่อนข้างหยาบกว่าเล็กน้อย รักทองก็ดูจะใหม่สดกว่า ส่วนพิมพ์นั้น เป็นพิมพ์เดียวกันกับพิมพ์กรุเก่าทุกประการ

สำหรับพระโคนสมอเนื้อชิน แต่เดิมเป็นพระผิวปรอท แต่ภายหลังเมื่อได้บรรจุกรุแล้ว องค์พระที่แตกกรุมาส่วนใหญ่ จะปรากฎถูกสนิมกัดกินผิวผุกร่อน จนถึงเนื้อในหลุดร่อน เรียกสนิมชนิดนี้ว่า “ สนิมเกล็ดกระดี่ “ เพราะมีลักษณะการหลุดร่อนคล้ายเกล็ดปลากระดี่นั้นเอง ต้องเอาน้ำมันชโลมเลี้ยงไว้ไม่ให้สนิมกินลามจนเสียสภาพไป

พระโคนสมอ มีการค้นพบ และขึ้นตามกรุต่างๆตามวัดทั่วไป ทั้งที่พบในกรุ เจดีย์ ตามเพดานพระอุโบสถแต่ที่พบมากที่สุดก็ที่ กรุวังหน้า วัดโพธิ์ฯ วัดพระแก้ว และนอกจากนี้ยังมีขึ้นที่วัดอื่นๆอีก เช่น ในปี พ.ศ.๒๕๐๖ ที่วัดเชิงท่า จ.นนทบุรี ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ ที่วัดสระเกศ ก็มีในเจดีย์เหมือนกันในจำนวนมาก และหากเป็นพระโคนสมอขนาดเล็ก เนื้อดินก็จะพบในกรุของ วัดประยูรฯ และวัดสระเกศ เท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็นเนื้อชิน จะเป็นของกรุกรุวังหน้า และวัดพระแก้วเท่านั้นเอง ไม่ปรากฎว่ามีขึ้นอีกในที่ใด จำนวนก็น้อย และหายากครับ

พระโคนสมอนับว่าเป็นพระที่ทรงคุณค่ามาก มีครบทั้งศาสตร์ และศิลป์ เป็นพระเครื่องที่มีความเชื่อว่าให้คุณเด่นในด้าน คงกระพันชาตรี และนิรันตรายเป็นเยี่ยม จัดในประเภทของดีราคาเบา แสดงอิทธิปาฎิหารย์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มีข่าวในบางกระแสด้วยว่า แม้องค์พระประมุขของเราอาราธนาติดพระองค์อยู่เสมอ เป็นพระเนื้อชิน พิมพ์ห้อยพระบาท รวมอยู่ด้วย เคยมีผู้รู้ได้บอกเล่าให้ฟังว่า ในสมัยโบราณนั้น เขาเอาพระโคนสมอให้ม้าศึก และช้างศึกคล้องไว้ เมื่อออกศึกคราใด ก็จะแคล้วคลาดจาก คมหอกคมดาบที่ไปศึกมา เรียกว่าไม่ได้กิน ไม่ได้ระคายผิวเลย เป็นที่เลื่องชื่อมาก และมาในสมัยที่ไม่ไกลเท่าไรนัก ในยุคสงครามอินโดจีน นี้แหล่ะ เชื่อหรือเปล่าว่า นักรบชาติไทยเรา นอกจากจะเป็นทหารหาญ ที่มีจิตใจเข้มแข็ง ขวัญดี และมีฝีมือแล้ว ยังมีอีกสิ่งที่ทหารเวียดนาม และอเมริกัน ต้องยอมรับนั้นก็คือพระเครื่องที่เป็นที่ยอมรับมากๆ ว่าเยี่ยมจริงๆ โดยเฉพาะการสู้รบของ “ จงอางศึก “ ขนาดข้าศึกมีมากถึง ๑๐ ต่อ ๑ ยังทำอะไรไม่ได้ หรือจะเป็น “ กองพลเสือดำ “ ที่ลือชื่อ สร้างกิตติคุณฝากไว้ยังมีปรากฎอยู่จนถึงเดี๋ยวนี่ แม้ขณะนี้เองก็ตาม

บ้านเมืองมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนจากสงครามมาเป็นความเสี่ยงจากการทำงานก็ตาม พุทธคุณก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง นับว่าพระโคนสมอยังเป็นพระที่อยู่ในกระแสที่ผู้ที่ต้องการเสาะแสวงหาของดีๆ มีพุทธคุณที่พิสูจน์ได้ จะได้นำมาใช้คุ้มกาย ส่วนสนนราคาก็ว่ากันไปตามสภาพ ว่าสวยคมขนาดไหน พิมพ์ยากง่ายเพียงไร นิยมหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ในปัจจุบันไม่ค่อยพบตามสนามพระแล้วโดยเฉพาะพิมพ์ที่อลังการ สวย คมๆ เนื่องจากมีผู้ที่มีอันจะกิน คอยเก็บสะสมเข้ารัง นำไปใส่แท่น ล้อมกรอบไม้ บูชาติดฝาบ้าน ตามบ้านเศรษฐีเขา พอมองแล้วคลาสสิกดี เลยเดี๋ยวนี้ค่อนข้างจะหาสวยๆยากอีกทั้ง ราคาก็สูงขึ้นมากตามลำดับความต้องการ และหากใครคิดเก็บก็ต้องรีบหน่อย และอย่าประมาทว่าไม่มีของทำเลียนแบบน่ะครับมีเหมือนกัน แต่พิจารณาได้ไม่ยากนักเพราะของเก๊ มันตื้นๆ ไม่ได้รูปทรง เนื้อหาไม่ได้อายุ และทองก็ไม่เก่า และหากจะสะสมทั้งทีก็ หาเอาจากผู้ที่น่าไว้ใจมีการรับรองอย่างถูกต้อง และมีความน่าเชื่อถือกันนะครับ.

ขอบคุณที่รับชมกันนะครับ..สวัสดี

58

นายบัวลอย แสงวงศ์
(นางงูเหลือมสืบชาติมาเกิดเป็นคน)



เรื่องนี้เกิดที่บ้านแซง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มแต่ เด็กชายบัวลอย แสงวงศ์ ตัวเรื่องเกิดประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เมื่อเริ่มรู้เรื่องราวกันในวงแคบๆ แล้ว ก็บอกเล่ากล่าวขานกันกว้างขวางออกไป มีคณะบุคคลร่วมกันไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามคำเล่าลือคณะหนึ่ง ประกอบด้วยพระคุณท่านเจ้าคุณพระมงคลเมธี เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พระมหาถวัลย์ จารยสุโภ(วัดทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี) ท่านปลัดอำเภอเลิงนกทา และบุคคลที่ไม่ได้กล่าวชื่ออีก ๕ คน กับภิกษุสามเณร และชาวบ้านผู้อยากรู้อยากเห็น ร่วมเดินทางไปอีกจำนวนมาก ในการพิสูจน์สอบสวนเด็กชายบัวลอยต้นเรื่องแล้วยังขอสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องอีกหลายราย พอสรุปเนื้อหาสาระได้ดั้งนี้

เด็กที่สืบชาติจากงูเหลือมมาเกิด ชื่อ เด็กชายบัวลอย แสงวงศ์ ขณะคณะบุคคลดังกล่าวไปพิสูจน์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ เขามีอายุ ๑๓ ปีแล้ว เขาเป็นลูกคนที่ ๘ ของ นายดา แสงวงศ์ กับ นางหนูพุก แสงวงศ์ ด.ช.บัวลอยจำอดีตชาติได้ ๒ ชาติ เขาเล่าแก่คณะพิสูจน์ว่า เขาจำได้แม่นยำในชาติก่อนหน้าที่เขาจะเกิดมาเป็นงูเหลือม เขาเคยเกิดเป็นกวางตัวเมียเคราะห์ร้ายถูกพรานป่ายิงตาย วิญญาณ(โอปปาติกะ)เขาออกจากร่างกวางไปพบเจ้าพ่อแห่งผีตนหนึ่ง ชื่อเจ้าศรีสงครามเจ้าพ่อแห่งผีให้เขาไปเกิดเป็นงู เฝ้าสมบัติ(พระพุทธรูป)ในถ้ำอ่างน้ำจาง ซึ่งอยู่ในท้องที่อำเภอเลิงนกทา ที่ถ้ำนี้มีงูเหลือมใหญ่เฝ้าสมบัติอยู่หลายตัว ชาวบ้านกลัวงูเหลือมเหล่านี้จึงไม่กล้าเข้าไปในถ้ำ ตัวเขาเอง(ตอนที่เป็นโอปปาติกะหรือวิญญาณกวาง)จึงได้ไปเกิดเป็นงูเหลือมตัวเมีย เมื่อตัวเขา(ตอนที่เป็นงูเหลือม)เติบโตเป็นงูสาวก็ได้สมสู่กับงูตัวผู้ในถ้ำ จนมีลูกในท้อง
 
คราวหนึ่งนางงูเหลือมท้องไปหากินที่ห้วยน้ำจาง มีหมา ๒ ตัว มาเห่ากระโชก นางงูเหลือมไม่กลัวคิดจะจับหมากินเสีย แต่ยังไม่ทันมีโอกาสได้จับกิน ก็มีเจ้าของหมา ๒ ตัวนั้น มาพบงูเหลือมแสดงท่าร้ายจึงเกิดต่อสู้กับงู งูเหลือมเมื่อได้โอกาสก็หนีไปได้ เมื่อไปถึงปากถ้ำอ่างน้ำจางอันเป็นถ้ำที่อยู่เฝ้าพระพุทธรูป ยังไม่ทันเข้าในถ้ำ นึกว่าปลอดภัยจึงนอนพักผึ่งแดดจนงีบหลับไปรู้สึกตัวอีกทีก็มีเชือกบ่วงรัดคอแน่น นางงูเหลือมเหลือบตาดูก็เห็นชายคนที่ต่อสู้กันที่ห้วยน้ำจาง กับชายอีกคนหนึ่ง ช่วยกันรัดคองูเหลือม(คือตัวเขา)แล้วใช้ท่อนไม้ร่วมกันตีหัวงูจนความรู้สึกดับวูบไปรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นโอปปาติกะงู(วิญญาณงู) เห็นชายทั่งสองร่วมกันตัดร่างงูเหลือม(คือร่างเดิมของเขา)เป็นท่อน โอปปาติกะงู ติดตามไปจนกระทั่งเขานำเนื้องูเหลือมไปแกงกินกัน

เขาจำชายคนแรกที่สู้กลับเขาทำร้ายเขาได้ติดตา และโกรธเคืองไม่หาย(พยาบาท) ในบรรดาพวกคนที่เขากินเนื้องูกันอยู่ มีอยู่คนหนึ่งมาร่วมกินด้วย โอปปาติกะงูเห็นชายนั้นมีลักษณะท่าทางไม่ค่อยดุร้าย เมื่อพวกคนเขากินกันเสร็จแล้วก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน โอปปาติกะงูตัดสินใจไปกับชายท่าทางใจดีคนนั้น โดยโดดเกาะไหล่เขาไป จนกระทั่งถึงบ้านของชายคนนั้น พอชายคนนั้นขึ้นบันไดบ้าน เขาจึงออกจากบ่าของชายคนนั้นไปอยู่บนเสารั้วใกล้ๆบันไดบ้าน

ต่อมาเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งออกจากห้องมาดื่มน้ำ โอปปาติกะงูจึงโดดจากปลายเสารั้วไปหาหญิงนั้นเลยตกลงไปในขันน้ำ ผู้หญิงนั้นดื่มน้ำเข้าไปก็ติดโอปปาติกะลงท้องไปด้วย ต่อมาเขา(โอปปาติกะงู) ก็รู้สึกตัวว่าเขาได้เกิดมาเป็นเด็กชายบัวลอย ชายคนนั้นที่เขา(โอปปาติกะงู)เกาะบ่ามาก็คือ นายดา แสงวงศ์ พ่อของเขาเอง และผู้หญิงที่ดื่มน้ำติดเขา(โอปปาติกะงู) ลงท้องไปด้วยก็คือนางหนูพุก แสงวงศ์ แม่ในชาตินี้ของเขานั้นเอง



นางหนูพุก แสงวงศ์

เด็กชายบัวลอย เกิดมาจำอดีตชาติได้ และผิวหนังประหลาด มีลายเป็นเกล็ดคล้ายเกล็ดงูเหลือมในชาติก่อนของเขา จะเช็ดถูอย่างไรก็ไม่หายเป็นอันเดียวกับหนัง เด็กชายบัวลอยรู้สึกนึกคิดเหมือนอย่างมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่ความรู้สึกสะเทือนใจ เคียดแค้นเมื่อตอนที่เขาเป็นงูแล้วถูกคนฆ่าตายยังติดอยู่ในใจมาตลอดถึงชาตินี้
เมื่อเขาเป็นเด็กโตพอจำความได้ คราวหนึ่งเขาไปเที่ยวงานที่บ้านห้องแซง เขาพบชายแก่คนที่ฆ่าเขาเมื่อตอนที่เขาเป็นงูเหลือม แล้วตัดร่างเขา(งูเหลือม)ออกเป็นท่อนๆแล้วแกงกิน เขายังจำได้แม่นยำ เขาแสดงสีหน้าโกรธแค้นแต่เขายังเป็นเด็กทำอะไรชายแก่นั้นไม่ได้ เพียงแต่จับดึงผ้านุ่งของชายแก่จนหลุดเท่านั้น
ชายแก่ผู้นี้คือ นายเหี่ยว กุมารสิทธิ์ ในตอนนั้นเขารู้สึกมึนงงสงสัยว่า เด็กที่ไหนลูกเต้าเหล่าใครมาดึงผ้านุ่งของเขาจนหลุด แล้วยังมาทำหน้าดุๆใส่เขาอีก ต่อมาเขาได้ทราบจากครอบครัวของเด็กชายคนนั้นว่า เด็กชายบัวลอยคืองูเหลือมที่เขาเคยฆ่ามาแกงกินกลับชาติมาเกิด เขาจึงซื้อเสื้อผ้ามาให้และด้ายผูกข้อมือรับขวัญเด็กชายบัวลอย อธิษฐานขอขมาลาโทษ อย่าได้จองเวรจองกรรมกันเลย ต่อมานายเหี่ยว กุมารสิทธิ์ ก็กลายเป็นคนจิตใจอ่อนโยน กลัวบาปกลัวกรรมมากขึ้น และนายเหี่ยวก็เป็นคนหนึ่งที่พาคณะพิสูจน์ไปสัมภาษณ์ เด็กชายบัวลอย



นายเหี่ยว กุมารสิทธิ์

นายเหี่ยว เล่าถึงความหลังให้ฟังว่า เขาเป็นคนบ้านสีแก้วห่างจากบ้านห้องแซงบ้านเกิดของ ด.ช.บัวลอย ประมาณ ๒๐ กม. คราวหนึ่ง(ประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๗ ) เขาตั้งใจไปจับเต่าที่ห้วยน้ำจาง จึงพาหมาไปด้วย ๒ ตัว เมื่อไปถึงห้วยลำห้วยน้ำจาง ได้ยินหมาเห่ากระโชกอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงข้ามลำน้ำไปดู ก็พบงูเหลือมตัวโต นายเหี่ยวเห็นก็คิดจะฆ่าเอางูไปเป็นอาหาร แต่พอจะจับงูก็สู้ เกิดการต่อสู้กัน สุดท้ายงูเหลือมตัวนั้นหนีไปได้ เมื่องูตัวนั้นเลื้อยหนีไปเขาจึงรีบกลับไปบ้าน พาเพื่อนคนหนึ่งมาช่วยตามจับงูด้วย พวกเขาตามรอยงูเหลือมไปจนไปพบมันนอนนิ่งอยู่(หลับ) ใกล้ปากถ้ำ พวกเขาจึงช่วยกันฆ่างูเหลือมตาย แล้วนำไปตัดเป็นท่อนๆ แล้วแกงกินกัน(เหตุการณ์ที่นายเหี่ยวเล่ามา ตรงกับคำบอกเล่าของเด็กชายบัวลอยชาติที่เป็นงูเหลือมถูกฆ่าทุกประการ)
และต่อมาเมื่อนายเหี่ยวทราบเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายบัวลอย ก็เชื่อมโยงเรื่องราวได้ว่า วันนั้นที่เด็กชายบัวลอยแสดงสีหน้าโกรธเคืองถึงกับกระชากผ้านุ่งเขาหลุด ในงานบ้านห้องแซง ทั้งที่เขาไม่เคยรู้จักหรือพบหน้ากันมาก่อนเลยนั้น ก็คืองูเหลือมที่เขาฆ่าตายสืบชาติมาเกิดนั่นเอง เด็กชายบัวลอยจำหน้าเขาได้ เมื่อครั้งที่เป็นงูเหลือมที่ต่อสู้กันและโดนเขาฆ่าตาย เอาเนื้อไปกินเมื่อครั้งกระโน้น

ข้อมูลเพิ่มเติม :
- ปัจจุบัน นายบัวลอย แสงวงศ์ อายุ 55 ปี
- ตอนตั้งท้อง ด.ช.บัวลอย นางหนูพุกผู้เป็นแม่ฝันว่ามีงูตัวใหญ่มากกลิ้งมาหาเธอ และขอมาอยู่ด้วย
- ด.ช.บัวลอย แสงวงศ์ มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด 2 รอย ที่บริเวณหลัง และบริเวณรักแร้ ซึ่งเป็นร่องรอยบาดแผลที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีตชาติ ที่นางงูเหลือมถูกพรานเหี่ยวใช้มีดฟันจนตาย และจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน



รอยแผลเป็นบริเวณหลัง


รอยแผลเป็นบริเวณรักแร้

- พรานเหี่ยวมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากการถูกงูเหลือมฉกกัดที่บริเวณไหล่ขวา ในเหตุการณ์การต่อสู้ครั้งนั้นด้วย




ร่องรอยบาดแผลบริเวณไหล่ขวาของพรานเหี่ยว

- นายเหี่ยว กุมารสิทธิ์ เมื่อได้พิสูจน์เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ ด.ช.บัวลอย แล้วรู้สึกสำนึกผิดในบาปกรรมที่ทำไว้ เขาจึงบวชอุทิศให้กับงูที่ถูกตัวเองฆ่าในครั้งนั้น เป็นเวลา 3 พรรษา



ขอบคุณที่มา...
ภาพประกอบทั้งหมดจากรายการวีไอพี
เรื่องจาก...www.reincarnation.tk

59








วันนี้...ผมขอนำเสนอพระบูชาหลวงปู่เพิ่ม พิมพ์พระพุทธไชยศรี ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว ออกในงานครบรอบ 33 ปี มูลนิธิเพิ่มวิทยา
ทางมูลนิธิเพิ่มวิทยา ได้จัดพิธีปลุกเสกอย่างยิ่งใหญ่  ในอำเภอนครชัยศรี  จังหวัดนครปฐม 

และเป็นรองแค่พิธีปลุกเสกพระเครื่อง 25 ศตวรรษ เท่านั้น ( นับตั้งแต่ ปี2500 เป็นต้นมา ) จัดพิธีปลุกเสก 3 ครั้ง
ครั้งแรก คืนวันเสาร์ 19 ตุลา 2517 เสกแผ่นทองลงยันต์ และตะกรุดของพระเกจิอาจารย์ที่มอบให้กับมูลนิธิ
ครั้งที่สอง จัดพิธีปลุกเสกอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด 3 วัน 3 คืน ตั้งแต่วันที่23-25 เมษา 2518 ต่อด้วยการปลุกเสกเดี่ยว
ในอุโบสถโดยพระที่มีชื่อเป็นจำนวนมาก อีก 5 วัน ส่วนพิธีครั้งสุดท้าย จัดในวันที่25 ธ.ค. 2518
ชุมนุมพระนั่งเสก 108 รูป นั่งทั้งในโบสถ์ และนอกโบสถ์ ภายในกำแพงแก้วของวัด ทั้ง3 พิธีได้จัด
อย่างถูกต้องตามตำรับโบราณ

โดยนิมนต์พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ( ในยุคนั้น ) ที่ท่านเมตตามาปลุกเสกทั้ง3 ครั้ง รวมกันร้อยกว่ารูป
พระแต่ละรูปที่มานั้นก็เก่งๆทั้งนั้น เช่น หลงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงปู่เขียว วัดหรงมล หลวงปู่คลิ้ง วัดถลุงทอง หลวงพ่อเงิน
หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช หลวงปู่คง วัดวังสรรพรส
หลวงปู่ฟัก วัดนิคมประชาสรร ( ประจวบ ) หลวงปู่พริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู หลวงพ่อบุญมี วัดอ่างแก้ว
หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ หลวงพ่ออบ วัดถ้ำแก้ว หลวงปู่แสง วัดคลองน้ำเจ็ด
เป็นต้น ดูจากรายชื่อพระเกจิอาจารย์ ( แค่ยกตัวอย่างพระที่มาเสกไม่กี่รูป ) เชื่อได้เลยว่า
พระชุดมูลนิธิเพิ่มวิทยา มีพุทธคุณสูง (พุทธคุณ ไม่แพ้พิธีพระเครื่อง 25 ศตวรรษ ) เลยทีเดียว


"พระพุทธไชยศรี" นี้เป็นพระนามที่ตั้งโดย "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธ (เมื่อวันที่20 กันยายน 2517 ) เนื่องในโอกาศฉลองครบรอบ 33 ปี โรงเรียนเพิ่มวิทยา ทางมูลนิธิเพิ่มวิทยาจึงได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น..

...พระบูชา " พระพุทธไชยศรี " นี้จำลองมาจากพระประธานเก่าแก่ ศักดิ์สิทธื์ ของวัดกลางบางแก้ว หล่อด้วยชนวนของ ๕ สมเด็จ และ ๒๑๙ เกจิอาจารย์ ใต้ฐานองค์พระได้บรรจุเทียนชัย ยาจินดามณี และพระเครื่องของหลวงปู่เพิ่มในพิธีเดียวกันนี้ แล้วอุดฐานด้วยปูนพลาสเตอร์ที่ผ่านพิธีปลุกเสกแล้ว ผสมกับน้ำพระพุทธมนต์จากพิธีพุทธาภิเษกทั้ง ๓ ครั้ง เรียกว่าอัดพลังพุทธานุภาพไว้อย่างเต็มที่ ...

" พระพุทธไชยศรี "สร้างทั้งหมด 5 แบบ
1. กะไหล่ทองคำ
2. ลงรักปิดทอง
3. ขัดเงา
4. รมดำ
5. เนื้อหินหยกพิเศษ

...จำนวนการสร้างไม่มากนัก "พุทธไชยศรี" รุ่นนี้จึงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในพระบูชาที่นิยมกันมากเป็นพิเศษ...
 
จึงได้นำมาให้พี่ๆน้องๆทุกท่านศึกษาและชมครับ ขอขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกท่านที่ได้มาเยี่ยมชม ขอบคุณครับ

60

แบบแปลน “หลวงพ่อทวดปูนปั้นแบบโบราณ ”ขนาดหน้าตัก ๙.๙ เมตร สูง ๑๙ เมตร



พิธีวางฤกษ์แท่นฐานหลวงพ่อทวด เมื่อวันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา



พระครูปุณณสิริวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดสันติวรคุณ ต.สะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา



พิธีวางฤกษ์แท่นฐานหลวงพ่อทวด เมื่อวันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา



พระเทพวีราภรณ์


 

แผ่นทองบูชา ๙๙ บาท จารึกชื่อ สกุล วัน เดือน ปีเกิด ของผู้ร่วมทำบุญ เพื่อนำไปบรรจุในองค์พระ



 
โครงการจัดสร้างพระหลวงปู่ทวดขนาดใหญ่ ในระยะ ๔-๕ ปีที่ผ่านมา มีหลายโครงการ ทั้งในภาคเหนือ มีการจัดสร้างหลวงปู่ทวด ปางยืนธุดงค์ องค์ใหญ่ที่สุดในโลก หล่อด้วยโลหะผสม ขนาดความสูงรวมฐาน ๒๙ เมตร ซึ่งจะประดิษฐาน ณ วัดแม่ตะไคร้ ต.ทาเหนือ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ โดยมี นายสมพงษ์ กันภัย (อ.หนู กันภัย) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอักขระ-เลขยันต์ รับเป็นประธานดำเนินการจัดสร้าง


ในขณะที่ภาคกลาง มีการจัดสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อสำริดนอก (บรอนซ์) องค์ใหญ่ที่สุดในโลก หน้าตัก ๒๔ เมตร ประดิษฐาน ณ พุทธอุทยาน หลักกิโลเมตรที่ ๔๔ ถนนสายเอเชีย ต.บ้านใหม่ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา

ส่วนโครงการจัดสร้างพระหลวงปู่ทวดขนาดใหญ่ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ โครงการจัดสร้างหลวงพ่อทวดปูนปั้นแบบโบราณ ขนาดหน้าตัก ๙.๙ เมตร สูง ๑๙ เมตร ประดิษฐาน ณ อุทยานธรรมสถาน วัดสันติวรคุณ ซึ่งนับเป็นองค์ใหญ่ที่สุดในชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่มี พระครูปุณณสิริวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดสันติวรคุณ อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นผู้นำศรัทธาชาวพุทธไทยและชาวมาเลเซีย เป็นผู้นำศรัทธาสร้าง

“หลวงพ่อทวดปูนปั้นแบบโบราณ เกิดขึ้นได้จากความร่วมแรงร่วมใจของผู้เคารพเลื่อมใสศรัทธา ทั้งชาวไทยและชาวมาเลเซีย ในการร่วมแรงร่วมใจกันทำบุญ และผลักดันให้วัดมีแรงขับเคลื่อนในการก่อสร้าง โดยสามารถระดมเงินทุนในการซื้อที่ดินใกล้บริเวณวัด เพื่อแปรสภาพเป็นอุทยานธรรมสถาน จำนวน ๖ ไร่ เป็นเงินจำนวน ๖ ล้านบาท การสร้างหลวงพ่อทวดปูนปั้นแบบโบราณครั้งนี้ นอกจากเพื่อให้เป็นหลักชัยประจำชายแดนแห่งประวัติศาสตร์ชายแดนไทยและ มาเลเซียแล้ว อาตมามีความตั้งใจและมุ่งมั่นถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงพระเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป และตั้งใจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อให้ทันเฉลิมฉลองทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๗ รอบในปีหน้า” นี่คือ เหตุผลของพระครูปุณณสิริวัฒน์

พร้อมกันนี้ พระครูปุณณสิริวัฒน์ ยังบอกด้วยว่า อ.สะเดา ถือเป็นประตูบานสำคัญ ที่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียจะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย และนับเป็นนักท่องเที่ยวตลาดหลัก ที่นำเม็ดเงินเข้าสู่พื้นที่ภาคใต้ตอนล่างปีละหลายพันล้านบาท ที่สำคัญ นักท่องเที่ยวเพื่อนบ้าน ล้วนแล้วแต่เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่อทวดอย่างมาก ดังนั้น การสร้างหลวงพ่อทวดปูนปั้นแบบโบราณ ประดิษฐาน ณ อุทยานธรรมสถาน วัดสันติวรคุณ ซึ่งอยู่ใกล้พรมแดนของทั้งสองประเทศ จึงเป็นดั่งสัญลักษณ์อันเป็นมงคลแก่พี่น้องชาวไทยและชาวมาเลเซีย ที่จะได้กราบไหว้สักการบูชาขอพร ทั้งก่อนและหลังเข้าออกผ่านประตูพรมแดน

“ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวมาเลย์ จะมีโอกาสแวะกราบชื่นชมบารมีองค์หลวงพ่อทวดที่ประดิษฐานตั้งตระหง่านเด่น เป็นศรีเมืองที่บริเวณพรมแดน ซึ่งถือเป็นสิริมงคลแก่ทุกคน ระหว่างเดินทาง เพราะกิตติศัพท์ของพระหลวงพ่อทวดเป็นที่รู้กันดีว่า มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาด ดังนั้น คงจะไม่ผิดนัก หากอาตมาจะบอกว่า นี่เป็นหนึ่งครั้งประวัติศาสตร์ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่คนทั้งสองประเทศร่วมกันสร้างสิ่งดีงาม เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” เจ้าอาวาสวัดสันติวรคุณ กล่าว
ร่วมศรัทธาชาวพุทธ ๒ แผ่นดิน

ปัจจัยที่นำไปใช้ใน การก่อสร้างพระหลวงพ่อทวดนั้น พระครูปุณณสิริวัฒน์ บอกว่า มาจากญาติโยม ลูกศิษย์ลูกหาทั้งชาวไทยและมาเลเซีย ที่ศรัทธาในองค์หลวงพ่อทวด โดยเฉพาะการบูชาแผ่นทองในราคา ๙๙ บาท โดยให้พุทธศาสนิกชนจารึกชื่อ สกุล วัน เดือน ปีเกิด ลงบนแผ่นทอง เพื่อนำไปบรรจุในองค์พระ และร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว ในการสร้างหลวงพ่อทวดองค์ประวัติศาสตร์ พรมแดนไทย-มาเลเซีย

ทั้งนี้ คาดว่าในการจัดสร้างหลวงพ่อทวดปูนปั้นแบบโบราณ ขนาดหน้าตัก ๙.๙ เมตร สูง ๑๙ เมตร จะใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ ๖-๗ ล้านบาท ซึ่งวัดยังเปิดรับบริจาคปูน หิน ดิน ทราย หรือทำบุญบูชาแผ่นทองในราคา ๙๙ บาท เพื่อร่วมเป็นประจักษ์พยานแห่งการร่วมสร้างพระหลวงพ่อทวด ประดิษฐาน ณ พรมแดนไทย-มาเลเซีย แห่งนี้ โดยได้ทำพิธีวางฤกษ์แท่นฐานหลวงพ่อทวด เมื่อวันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในวันอาทิตย์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตรงกับขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ จะมีพิธีทอดผ้าป่าไทย-มาเลเซีย ประจำปี ๒๕๕๓ และร่วมพิธีตอกเสาเข็มเป็นปฐมฤกษ์ เพื่อหารายได้สร้างหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในชายแดนไทย-มาเลเซีย ณ วัดสันติวรคุณด้วย โดยมี พระเทพวีราภรณ์ เจ้าคณะภาค ๑๘ วัดโคกสมานคุณ พระอารามหลวง ในฐานะประธานอำนวยการสร้าง เป็นประธานในพิธีฝ่ายสงฆ์

ในวันดังกล่าว พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาฯ มูลนิธิรัฐบุรุษ ประธานในพิธีฝ่ายฆราวาส ดาโต๊ะ ซิ่วสุ่น แก้วมณี ประธานชมรมชาวพุทธไทย-มาเลเซีย ประธานในพิธีฝ่ายมาเลเซีย คุณเจียม ลักษณพันธ์ ประธานเจ้าภาพผ้าป่าฝ่ายมาเลเซีย คุณเมธาภรณ์ จรัสอาชา ประธานเจ้าภาพผ้าป่าฝ่ายไทย และคุณปุณยวัฒ สมศรีสกุลดี ประธานโครงการเทิดไท้องค์ราชันร่วมร้อยดวงใจถวายพ่อของแผ่นดิน เป็นประธานเจ้าภาพผ้าป่าจากกรุงเทพฯ

หลวงพ่อทวดปูนปั้นแบบโบราณ ของวัดสันติวรคุณ ยังต้องการแรงศรัทธาจากพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวมาเลเซีย ในการร่วมกันสร้างหลวงพ่อทวดปูนปั้นแบบโบราณครั้งนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แก่คนทั้ง ๒ ประเทศในการเคารพ สักการบูชา เมื่อสร้างแล้วเสร็จ จะเป็นพลังบุญอันมหาศาลของชาวชาวพุทธ ๒ ชาติ ที่เกิดจากเบ้าศรัทธาเดียวกัน จนในที่สุด สามารถนำไปสู่การหล่อหลอมความร่วมมือให้เกิด “หลวงพ่อทวดองค์ประวัติศาสตร์” แห่งนี้

"นี่เป็นหนึ่งในครั้งประวัติศาสตร์ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่คนทั้งสองประเทศร่วมกันสร้างสิ่งดีงาม เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ”





ขอบคุณที่มา:คมชัดลึก
เรื่อง - ภาพ... "สุพิชฌาย์ รัตนะ"

61


ชาวบ้านอำเภอขาณุวรลักษบุรี จ.กำแพงเพชร พบเจดีย์โผล่กลางแม่น้ำปิง คาดอายุกว่า100 ปี ต่างแย่งหาพระเครื่อง นับร้อยคน เตรียมให้นักโบราณคดีมาศึกษาข้อมูล...
เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 6 เม.ย. 2553 นายประเสริฐ บัวสด อายุ 59 ปี บ้านเลขที่ 14 หมู่ที่ 3 ตำบลแสนตอ อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร อาชีพปลูกสวนผัก ในที่ดินบริเวณหลังโรงเรียนวัดน้อยวรลักษณ์ ติดแม่น้ำปิง ใกล้สถานีสูบน้ำพลังไฟฟ้าบ้านแสนตอ 2 ได้ไปพบเจดีย์โบราณโผล่จากกองทราย สูงกว่า 1 เมตร กว้าง 2 คนโอบ มีสภาพยอดเจดีย์หัก และพบอิฐแดงจำนวนมาก วางระเกะระกะตามแนวยาวริมตลิ่งแม่น้ำปิง จึงได้รีบนำเรื่องดังกล่าวไปกราบเรียนให้กับ พระครูสิทธิวชิรธรรม เจ้าอาวาสวัดน้อยวรลักษณ์ เจ้าคณะตำบลแสนตอ -เกาะตาล ที่วัดอยู่ห่างมาทางเหนือจากบริเวณที่พบเจดีย์ประมาณ 500 เมตร จึงรีบพากันไปดูเจดีย์ โดยมีชาวบ้านที่ทราบเรื่องนับร้อยคนต่างพากันตามมาดูด้วย บางคนถึงกับค้นหาสิ่งของมีค่า วัตถุมงคลกันจ้าละหวั่น พบมีพระเครื่องเนื้อดิน สีดำ พิมพ์อู่ทอง พิมพ์พระรอด จำนวนหลายองค์กระดูก ถ้วยโถโอชามโบราณ ไห และ งาช้างชาวบ้านต่างคนต่างรีบแย่งกันจนท้ายที่สุดเจดีย์ที่พบพังทลายกลายเป็นกองอิฐไปในเวลาไม่นาน ชาวบ้านเมื่อพบของที่ต้องการต่างรีบพากันกลับบ้านใครบ้านมัน เพราะเกรงว่า จะถูกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาเอาคืนในภายหลัง โดยไม่มีใครห้ามปรามเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

นายออมสิน สุขภิการนนท์ นายอำเภอขาณุวรลักษบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่อาสมัครรักษาดินแดน และนายสวอง คชฤทธิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ตำบลแสนตอเมื่อทราบข่าว ได้เดินทางมายังสถานที่พบเจดีย์ดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่ามีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ขึ้นไป ต้องสืบทราบประวัติอีกครั้ง

ด้านพระครูสิทธิวชิรธรรม เปิดเผยว่า น่าจะเป็นเจดีย์เก่าของวัดน้อยวรลักษณ์แห่งนี้ เนื่องจากบริเวณดังกล่าว เคยเป็นสถานที่ที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอขาณุวรลักษบุรี สมัยที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จทางชลมารคมาเมืองกำแพงเพชร เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา และ คณะของท่านเคยประทับแรมที่บริเวณตำบลแสนตอแห่งนี้ และได้ทรงฉายภาพของหมู่บ้านคนผมแดง ตำบลแสนตอ ภายหลังบริเวณดังกล่าวถูกน้ำในแม่น้ำปิงกัดเซาะ ทั้งวัดทั้งโรงเรียน ทั้งอำเภอเลยแยกย้ายกันตั้งในสถานที่แห่งใหม่ เจดีย์ ที่พบจึงสันนิษฐานว่าจะเป็นเจดีย์เก่าของวัดน้อยวรลักษณ์ ส่วนที่โผล่ออกมาในครั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะแม่น้ำแม่ปิงเปลี่ยนทิศทางการไหลกัดเซาะตลิ่งอีกครั้ง ทำให้ได้พบเจดีย์ที่ฝังอยู่ในบริเวณผืนทรายดังกล่าว และได้นำสิ่งของที่พบและที่เหลือจากชาวบ้าน เช่น พระเครื่องบางส่วน ไห งาช้าง กระดูกเก่า ไปเก็บรักษาไว้ที่วัด เพื่อรอให้นักโบราณคดีมาศึกษาข้อมูลที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่งต่อไป




ขอบคุณ

ไทยรัฐออนไลน์

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ.2553

62
หนังสือประวัติศาสตร์โบราณวัตถุ History and Antiquities of Afterdate ของอังกฤษ มีรายงานการค้นพบโครงกระดูกขนาดใหญ่ในประเทศอังกฤษ เป็นประวัติการค้นพบที่เกิดขึ้นในสมัยกลาง-Middle Ages (นักประวัติศาสตร์ให้การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในศตวรรษที่ 5 เป็นจุดเริ่มต้นของสมัยกลาง จนในศตวรรษที่ 15 ชาติต่างๆ ในยุโรปสามารถรวมตัวกันเป็นประเทศ รัฐ จนพัฒนาเป็นประเทศต่างๆ ในปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ให้การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ค.ศ.1453 เป็นจุดสิ้นสุดสมัยกลาง)

ใจความตอนหนึ่งของหนังสือระบุว่า การขุดครั้งนั้นที่ตำบลคัมเบอร์แลนด์ ได้ขุดเจอซากศพของมนุษย์ยักษ์โบราณ สุสานหรือหลุมศพนั้นอยู่ลึกลงไปจากระดับพื้นดินซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดประมาณ 4 หลา (3 เมตร หรือ 12 ฟุต) ศพนั้นมีแต่โครงกระดูกอยู่ภายในเสื้อเกราะเหล็กแบบโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นชุดเสื้อเกราะในยุคสมัยใด

จากโครงกระดูกวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายนิ้วเท้าพบว่ามีความยาวถึง 4 หลาครึ่ง สองข้างของศพมีดาบและขวานขนาดมหึมาวางนอนอยู่ข้างละเล่ม หัวขวานเป็นเหล็กหนา 6 นิ้ว ส่วนดาบก็เป็นเหล็กสองคมยาว 2 หลา รวมกับตัวด้ามถืออีก 16 นิ้วเป็น 2 หลา 16 นิ้ว...ศพซึ่งมีแต่กระดูกพบว่ามีหัวกะโหลกหน้าผากกว้างถึง 18 นิ้ว มีกรามใหญ่และมีฟันยาวยื่นขนาด 6 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว

หนังสือบอกไว้ด้วยว่าชิ้นส่วนต่างๆ ของโครงกระดูกยักษ์ที่พบนั้น ถูกพวกนักสะสมของเก่าหรือของแปลกๆ แย่งกันประมูลซื้อกันไปคนละชิ้นสองชิ้น กระจัดกระจายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของใครต่อใครกันหมด จนไม่เหลือซากให้คนรุ่นหลังได้เห็นกัน เช่น บอกว่า เครื่องแต่งกายชุดเสื้อเกราะโบราณของศพได้ตกไปเป็นสมบัติส่วนตัวของ แซนด์แห่งเรดิงตัน (Sands of Redington) ส่วนอาวุธขนาดยักษ์ตกไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่าชื่อ ไวเบอร์แห่งเซนต์บีส์ (Wybers of St.Bees)

รายงานอีกชิ้นหนึ่งเป็นบันทึกเก่าแก่ของ ดร.มาซูเรียร์ เขียนไว้เป็นแพม เฟลต หรือเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูล ความตอนหนึ่งกล่าวว่า มีสุสานแห่งหนึ่งถูกขุดพบใกล้บริเวณปราสาทคูมองต์ในอังกฤษ สุสานนี้มีศพของมนุษย์ที่เหลือแต่โครงกระดูกที่มีความยาวตั้งแต่หัวกะโหลก ถึงปลายเท้าวัดได้ 25 ฟุต มีช่วงไหล่กว้างถึง 10 ฟุต...

รายงานกล่าวว่า ดร.มาซูเรียร์ได้พยายามของซื้อชิ้นส่วนของโครงร่างนั้น แต่เขาไม่มีเงินมากพอ และพวกคนงานนักขุดหาของเก่าก็โก่งราคา มีหลากพวกยื้อแย่งกันโดยหวังจะนำไปขายในตลาดมืดของเก่าซึ่งได้ราคาสูงกว่า เขาจึงได้มาเพียงกระดูกหน้าแข้งชิ้นเดียวและนำไปเก็บไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ Musee de Paleontologie กรุงปารีส

ยังมีหลักฐานการค้นพบมนุษย์ยักษ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรากษส หรือยักษ์ อีกจำนวนไม่น้อย อาทิ ค.ศ.1969 นักโบราณคดีชาวอิตาลี ขุดพบสุสานโครงกระ ดูก 50 โครง บรรจุรวมกันอยู่ในโลงศพใหญ่ที่ทำด้วยดินเผาซึ่งไม่มีลวดลายแกะสลัก หรือเขียนคำจารึกใดๆ ไว้ โดยขุดพบบริเวณตำบลเตอร์ราซินา ห่างจากกรุงโรมไปทางใต้ประมาณ 60 ไมล์ ดร.ลุยจิ คาวาลลูซซิ นักโบราณคดีตรวจสอบโดยละเอียดแล้วลงความเห็นไว้ในบันทึกทางโบราณคดีว่า

โครงกระดูกทั้ง 50 โครง มีความสูงไม่ต่ำกว่า 7 ฟุต โครงที่สูงที่สุดวัดจากหัวกะโหลกถึงปลายเท้าสูงถึง 9 ฟุต 8 นิ้ว ทั้งหมดตายเมื่ออายุ 35-40 ปีโดยประมาณ พวกเขายังมีฟันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีเกือบทั้งหมด เราตั้งเป็นทฤษฎีขึ้นอธิบายไว้อย่างหยาบๆ ว่า พวกนี้อาจเป็นพวกนักรบป่าโบราณที่ถูกทหารโรมันเกณฑ์มาเป็นทาสทหาร และคงถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลบางประการ แต่ที่น่าแปลกคือไม่พบเครื่องแต่งกายหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ ในบริเวณหลุมฝังศพนั้นเลย









ขอบคุณที่มา : โดย ข่าวสด

63


ทางการ จ.บี่งซเวือง (Binh Duong) สร้างพระนอนองค์มหึมานี้ ให้เป็นศูนย์รวมชาวพุทธอีกแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศ กินเนสบุ๊คเวียดนามได้บันทึก ให้เป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้
 
 

 เวียดนามเพิ่งทำพิธีเปิดให้ประชาชนชาวพุทธทั่วไปได้เข้านมัสการพระพุทธรูปปางนิพพานขนาดมหึมา ที่วัดโฮยแค๊ง (Hoi Khanh) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตนิคมถูเดิ่วโหมต (Thu Dau Mot) จ.บี่งซเวือง (Binh Duong) พิธีจัดขึ้นวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา

พระนอนมีความยาวตลอดองค์ 52 เมตร ช่วงสูงที่สุดมีความสูง 24 เมตร ล้อมรอบด้วยดอกบัวที่ทำจากปูนปั้นจำนวน 840 ดอกและพระพุทธรูปขนาดเล็กอีกจำนวนมาก ประดิษฐานอยู่บนแท่นยกสูงในพื้นที่รวม 3,200 ตารางเมตร ในบริเวณศูนย์วัฒนธรรมพุทธศาสนาบี่งซเวือง

ใต้พระนอนขนาดใหญ่นี้ทำเป็นห้องขนาดใหญ่จำนวน 4 ห้อง เพื่อใช้ประโยชน์เป็นห้องนิทรรศการ ห้องประชุมและทำเป็นห้องสมุด ทั้งนี้เป็นรายงานของสำนักข่าวซเวินจี๊ (Dan Tri)

บันได้ขึ้นไปยังพระนอนมี 49 ขั้น แทนเวลา 49 ปีที่พระพุทธเจ้าทรงศึกษาพระพุทธศาสนาจนกระทั่งตรัสรู้ รอบๆ ฐานเป็นรูปสลักนูนต่ำแสดงภาพพุทธประวัติ ตั้งแต่ประสูติ จนถึงปรินิพพาน และยังมีรายละเอียดเชิงสัญลักษณ์อื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง

คณะกรรมการประจำ สมาคมพุทธศาสนาบี่งซเวือง ได้จัดสร้างพระนอนองค์มหึมานี้ขึ้นมาเพื่อให้เป็นศูนย์รวมของชาวพุทธอีกแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศ

และในวโรกาสที่เปิดให้ประชาชนเข้านมัสการนี้ ประธานาธิบดีเวียดนาม นายเหวียนมีงเจี๊ยต (Nguyen Minh Triet) ได้ส่งสารแสดงความยินดีถึงสมาคมพุทธศาสนาของจังหวัด ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไปในจังหวัดนี้ด้วย

กินเนสบุ๊คเวียดนามได้บันทึกเอาไว้ เป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ซเวินจี๊กล่าว.



บันได 49 ขั้น แทน 49 ปีที่พระพุทธองค์ทรงผนวชและศึกษาพระธรรมจนกระทั่งตรัสรู้ ยังมีรายละเอียดที่เป็นสัญลักษณ์เช่นนี้อีกมาก




ภาพสลักนูนต่ำแสดงพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ กระทั่งเสด็จปรินิพพาน รายรอบฐานเบื้องล่างของพระนอน ให้ผู้คนได้ศึกษา




ขอบคุณที่มา...http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9530000045657

64
ประวัติวัดใหญ่ชัยมงคล



กำเนิดวนวาสี

อนิจจังของพุทธศาสนาในลังกาทวีป
 
ใน พ.ศ. ๒๗๕ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ราชาภิเษกเป็นพระเจ้าราชาธิราชปกครองมคธราษฎร์ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งและทรงทำนุบำรุงพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนายิ่งกว่านักบวชในศาสนาอื่นๆ ทำให้นักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “เดียรถีย์”ปลอมตนเข้าบวชเป็นพระภิกษุด้วยหวังลาภสักการะเป็นอันมาก จนเกิดแตกสามัคคีเพราะรังเกียจกันในหมู่สงฆ์ จึงมีการไต่สวนและกำจัดพวกเดียรถีร์ออกเสียจากภิกษุภาวะ พระสงฆ์ที่ทรงธรรมวินัยโดยถ่องแท้ได้พร้อมกันทำตติยสังคายนา ที่เมืองปาตลีบุตร มี พระโมคคลีบุตรติสเถระ เป็นประธาน ในพระราชูปถัมภ์ของ พระเจ้าอโศกมหาราช

หลังจากทำตติยสังคายนาแล้วได้จัดส่งพระเถรานุเถระไปสั่งสอนพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ ๙ สายด้วยกัน คือ

     ๑. พระมัชฌันติก ไปประเทศกัสมิระ และคันธาระ(แคว้นแคชเมียร์ และอาฟฆานิสถาน)
     ๒. พระมหาเทว ไปมหิสมณฑล (ไมสอ)
     ๓. พระรักขิต ไปวนวาสีประเทศ (เหนือบอมเบข้างใต้)
     ๔. พระธรรมรักขิต ไปอปรันตกประเทศ (ชายทะเลเหนือบอมเบ)
     ๕. พระมหาธรรมรักขิต ไปมหารัฐประเทศ (ห่างบอมเบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)
     ๖. พระมหารักขิต ไปโยนกโลกประเทศ (อยู่ในเปอร์เชีย)
     ๗. พระมัชฌิม ไปหิมวันตประเทศ (ในหมู่เขาหิมาลัย)
     ๘. พระโสณะ และ พระอุตตระ ไปสุวรรณภูมิประเทศ (ไทย)
     ๙. พระมหินทเถระ ไปลังกาทวีป

ในลังกาทวีปการพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่งทั้งนี้โดยความอุปการะช่วยเหลือของ พระเจ้าอโศกมหาราช
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาล่วงไปลังกาทวีปได้ถูกพวกทมิฬ ซึ่งเป็นชนชาติหนึ่งอยู่ตอนใต้ปลายแหลมชมพูทวีปมาแต่เดิมรุกราน และมีอำนาจเหนือลังกาทวีปหลายครั้งประการหนึ่ง การแย่งราชสมบัติรบราฆ่าฟันกันเองประการหนึ่ง ทำให้การพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปปั่นป่วน และแตกแยกเป็นหลายลัทธิ และบางทีก็เสื่อมลงถึงที่สุด จนไม่มีพระเถระสำหรับบวชกุลบุตร และสืบพระศาสนา ต้องส่งทูตไปขอพระเถระจากต่างประเทศ เข้าไปบวชกุลบุตรเป็นหลายครั้ง รวมทั้งประเทศไทยด้วย

ในระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๒๙พระพุทธศาสนาเสื่อมลงอย่างมาก เพราะเกิดพวกอลัชชี ถึงกับต้องชุมนุมสงฆ์ชำระและกำจัดภิกษุอลัชชีหลายคราว

เหตุที่เกิดอลัชชีมี ๒ ประการ คือ
     ๑. ลังกาทวีปถือพระพุทธศาสนาก็จริง แต่ได้รับขนบธรรมเนียมอย่างอื่นมาจากชมพูทวีปด้วย โดยเฉพาะการถือชั้นวรรณะตามคติของพราหมณ์ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสิงหฬมีอำนาจมากก็กีดกันคนชั้นต่ำเข้าบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ครั้นอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินสิงหฬเสื่อมทราม คนชั้นต่ำก็เข้าบวชมาก ผู้ดีบวชน้อยลง
     ๒. ระหว่าง พ.ศ. ๔๓๙-พ.ศ. ๔๕๕ พระเจ้าวัฏคามินีอภัย เสียราชธานีแก่พวกทมิฬ เที่ยวหลบหนีอยู่ในมลัยประเทศ ไม่มีพระราชทรัพย์ทำนุบำรุงพระสงฆ์ จึงทรงอุทิศที่ดินพระราชทานแทนเรียกว่า “ที่กัลปนา” (นับเป็นครั้งแรก) ให้ราษฎรซึ่งอาศัยได้ผลประโยชน์จากที่ดินนั้น ทำการอุปการะตอบแทนแก่พระสงฆ์ จึงเป็นราชประเพณีสืบต่อมา
เมื่อคน ชั้นเลวเข้าบวชมากขึ้น พระภิกษุพวกนี้ก็ขวนขวายหาลาภสักการจากที่ดินเลี้ยงตน ถึงกับเอาลูกหลานบวชไว้สำหรับครองอารามอย่างรับมรดก การบำเพ็ญกิจแห่งสมณะตามพระธรรมวินัยก็หย่อนยาน

ด้วยเหตุ ๒ ประการดังกล่าว จึงเกิดพระสงฆ์พวกหนึ่งเรียกว่า “วนวาสี” ซึ่งถือความสันโดษ ไม่ข้องแวะต่อการแสวงหาลาภสักการมาบำรุงรักษาอาราม

ปรากฏในตอนหลังๆ ว่า ชาวลังกาทวีปนับถือพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีมาก แต่พระภิกษุฝ่ายคามวาสีที่ดีก็คงมีจึงนิยมเป็นสงฆ์ ๒ ฝ่ายวนวาสี ก็คือ อรัญวาสี นั่นเอง และเป็นแบบอย่างมาถึงประเทศไทยเราด้วย
 


วัดเจ้าพระยาไทยคณะป่าแก้ว
วัดใหญ่ชัยมงคลครั้งบรรพกาล
 
อนึ่งพระสงฆ์ไทยที่ไปบวชแปลงที่สำนักพระวันรัตนวงศ์ในลังกา ที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า “คณะป่าแก้ว” นั้น เมื่อเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยาก็ได้เข้าพักอยู่ในวัดเจ้าพระยาไทยซึ่งเป็นอรัญวาสีอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อคณะ ป่าแก้วเข้ามาก็ทำให้เพิ่มความคึกคักในการปฏิบัติธรรมกันฝ่ายนี้กันมากขึ้น วัดเจ้าพระยาไทยจึงเป็นวัดชั้นนำทางด้านอรัญวาสี พระเถระที่เป็นหัวหน้าควบคุมจึงได้นามว่า “สมเด็จพระวันรัตน” (พระพนรัตน์) ตามพระนามพระวันรัตนมหาเถระซึ่งเป็นอาจารย์ในลังกาทวีป

การที่คณะ ป่าแก้วเข้ามีเมืองไทยนั้น ได้จัดเป็นคณะหนึ่งต่างหาก ผู้คนจะเลือกศึกษาได้ตามสมัครใจไม่บังคับเหมือนในเมืองมอญ ฉะนั้น ในชั้นแรกจึงเรียกชื่อวัดว่า “วัดเจ้าพระยาไทยคณะป่าแก้ว” ภายหลังจึงได้เหลือ วัดป่าแก้ว แต่อย่างเดียว

อย่างไรก็ดี เนื่องจาก วัดเจ้าพระยาไทย หรือ วัดป่าแก้ว เป็นพระอารามหลวงมีพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายเข้าทรงผนวช และเป็นที่ประกอบการพระราชพิธีบางอย่าง รวมทั้งใหญ่โตกว้างขวาง ชาวบ้านจึงได้เรียกกันว่า “วัดใหญ่” มาแต่แรกสร้าง
 
พระเจดีย์ชัยมงคล
โทษตายกลายเป็นสร้างบุญ
 
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีได้ชัยชนะพระมหาอุปราชาแห่งพม่าแล้ว ได้ทรงมีพระราชศรัทธาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ขึ้นเป็นงานใหญ่ พร้อมทั้งได้ทรงสร้างพระเจดีย์ชัยมงคลเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติอีกด้วย

ชัยชนะในสงครามยุทธหัตถีในครั้งนั้น เป็นชัยชนะครั้งสำคัญที่สุด นับตั้งแต่ สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงประกาศอิสรภาพของชาติไทยที่เมืองแครง เมื่อปีวอก พุทธศักราช ๒๑๒๗ หลังจากที่ประเทศไทยต้องตกอยู่ใต้อำนาจของชาติอื่นมาเป็นเวลาถึง ๑๕ ปี

จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสรณ์แห่งชัยชนะครั้งนี้ขึ้นสองแห่งเป็นพระสถูปเจดีย์ตรงที่ทรงยุทธหัตถีกับ พระมหาอุปราชา แห่งหนึ่ง และทรงสร้างพระมหาสถูปคือ พระเจดีย์ชัยมงคลขึ้นที่ วัดป่าแก้ว เป็นเหตุสำคัญ

นอกจากนั้นก็ยังมีเหตุอื่น อีกด้วย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวร ว่า

“ยังมีของ โบราณอยู่บางสิ่งซึ่งชวนให้เห็นว่า เมื่อสมเด็จพระวันรัตทูลขอโทษข้าราชการแล้ว ได้ทูลแนะนำ สมเด็จพระนเรศวร ให้เฉลิมพระเกียรติที่มีชัยครั้งนั้นด้วยทรงบำเพ็ญกุศลกรรม และคงยกเรื่องประวัติพระเจ้าทุษฐคามมินีมหาราชอันมีในคัมภีร์มหาวงศ์ พงศาวดารลังกาทวีปมาทูลถวายเป็นตัวอย่าง ในเรื่องนั้นว่า

"เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘ พวกทมิฬมิจฉาทิฎฐิยกกองทัพข้ามมาจากชมพูทวีป มาตีได้เกาะลังกาแล้วครอบครองบ้านเมืองอยู่หลายปี ทุษฐคามนีกุมาร ราชโอรสของ พระเจ้ากากะวรรณดิศ ซึ่งเป็นกษัตริย์สิงหฬพระพุทธศาสนาหนีไปอยู่บนเขา พยายามรวบรวมรี้พลยกไปตีเอาบ้านเมืองคืน ได้รบเอา พระยาเอฬาระทมิฬ ซึ่งครองเมืองลังกา ถึงชนช้างกันตัวต่อตัวที่ชานเมืองอนุราธธานี

ทุษฐคามินีกุมาร มีชัยชนะฆ่า พระยาเอฬาระทมิฬ ตายกับคอช้าง ได้เมืองลังกาคืนจากพวกมิจฉาทิฏฐิ มีพระเกียรติเป็นมหาราชสืบมาในพงศาวดาร เมื่อ พระเจ้าทุษฐคามนี ทำยุทธหัตถมีชัยครั้งนั้น โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์ขึ้น ไว้เป็นอนุสรณ์ตรงที่ชนช้างกับ พระยาเอฬาระทมิฬ องค์หนึ่ง แล้วให้สร้างพระมหาสถูปอันมีนามว่า “มริจิวัตรเจดีย์” ขึ้นที่เมืองอนุราธบุรีอีกองค์หนึ่ง เฉลิมพระเกียรติปรากฏสืบมากว่าพันปี"

สมเด็จพระ นเรศวร ทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระสถูปเป็นอนุสรณ์ไว้ในทุ่งหนองสาหร่าย ตรงที่ทรงทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาองค์หนึ่ง  แล้วทรงสร้างพระมหาสถูปขึ้นไว้ที่วัดป่าแก้ว ขนานนามว่า “ชัยมงคลเจดีย์” อีกองค์หนึ่ง (คือพระเจดีย์พระองค์ใหญ่ที่อยู่ทางฝ่ายตะวันออกทางรถไฟ แลเห็นเมื่อก่อนเข้าเขตพระนครศรีอยุธยา)”
 

นอกจากนั้น ยังมีอีกเหตุหนึ่งซึ่งคงจะเป็นเครื่องชักจูงพระราชหฤทัย ให้ทรงสร้างพระมหาสถูปนี้อยู่ไม่น้อย เมื่อพุทธศักราช ๒๑๑๒ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ตีได้กรุงศรีอยุธยาในรัชกาล สมเด็จพระมหินทราธิราช ครั้งนั้นไทยได้รับความเสียหายแสนสาหัส ข้อความในพระราชพงศาวดารแสดงให้เห็นความอัปยศนี้อยู่เป็นอย่างดียิ่ง

ในชัยชนะ ครั้งนั้น พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ได้ให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่แบบมอญขึ้น ไว้เป็นอนุสรณ์ที่วัดซึ่ง สมเด็จพระราเมศวรสร้างไว้นอกพระนครทางด้านเหนือ และให้เรียกพระเจดีย์นั้นว่า “ภูเขาทอง” เป็นเหตุให้ชาวบ้านเรียกวัดนั้นว่า “วัดภูเขาทอง”

ต่อมาพระเจดีย์ภูเขาทองนั้น นอกจากจะเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแล้ว ยังเป็นเครื่องเตือนใจคนไทยทั้งปวง ให้ระลึกถึงความอัปยศอดสูในครั้งนั้นอีกด้วย
 

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมหาสถูปชัยมงคลที่วัดพระยาไทย มีขนาดสูงกว่าพระเจดีย์ภูเขาทอง ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นเครื่องล้างความอัปยศอดสูของชาติไทย และเป็นเครื่องให้เกิดกำลังใจแก่คนไทยทั้งชาติอีกด้วย นับว่าเป็นพระบรมราโชบายอันลึกซึ้ง และมีประโยชน์ต่อชาติไทยจนตราบทุกวันนี้

พระเจดีย์ชัยมงคล จึงนับเป็นปูชนียวัตถุอันสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของชาติไทย เพราะเป็นนิมิตรหมายของเอกราชของชาติ เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงความกล้าหาญเสียสละ ที่สมเด็จพระมหาวีรราชเจ้าและวีรบุรุษของชาวไทยได้มีมาในอดีต อันเป็นผลตกทอดมาถึงคนไทยทุกคนในปัจจุบันนี้ในวิถีแห่งชีวิตทุกทาง นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องหมายแห่งชาวไทยทั้งมวล ที่ได้ร่วมมือกันกอบกู้เอกราชของชาติและธำรงไว้ซึ่งเอกราชนั้นตลอดมา เป็นสิ่งเตือนใจให้คนรุ่นหลังได้ทำกิจการงานทั้งปวงตามหน้าที่ของแต่ละบุคคล โดยสุจริตและความพากเพียร เพื่อให้ชาติไทยนั้นได้อยู่ได้โดยเสรีและเป็นปกติสุข
 
พระเจดีย์ ชัยมงคลนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ แห่งการอภัยทานของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเนื่องมาจากธรรมอันประเสริฐแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งได้มีอิทธิพลเหนือชีวิตและความเป็นอยู่ของคนไทยมาแต่โบราณกาล จนเป็นวิสัยในจิตใจทั้งปวงถึงทุกวันนี้

พระเจดีย์ ชัยมงคล ซึ่ง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงสร้างขึ้นที่วัดใหญ่ชัยมงคลเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการที่ได้ทรงทำยุทธหัตถี ได้ชัยชนะแก่สมเด็จพระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ นั้น ประมาณว่ามีความสูงจากพื้นดินราว ๑ เส้น ๑๐ วาและชาวบ้านได้นำเอาชื่อวัดกับนามพระเจดีย์มาประกอบกันเรียกขานกันต่อมาว่า “วัดใหญ่ชัยมงคล” จนกระทั่งทุกวันนี้   

65


ฉันรู้จักยายครั้งแรกที่วัดพระธาตุจอมกิตติเมื่อครั้งไปกราบนมัสการพระธาตุในปีพ.ศ. ๒๕๓๗ ยายบอกว่า ยายมากราบหลวงพ่อเจ้าอาวาส ( พระครูวิกรมสมาธิคุณ ) ฉันรู้สึกถูกชะตากับยายมาก ฉันชอบมาฟังเทศน์หลวงปู่กฤษณ์ สปฺปุณฺโณ เป็นพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งของวัดพระธาตุจอมกิตติ และ ปวารณาเป็นศิษย์ของท่าน ฉันได้พบปะและพูดคุยกับยายบ่อยขึ้น ทำให้ทราบมาทีหลังว่า ยายเป็นโยมอุปัฏฐากของหลวงปู่ จึงทำให้มีความรู้สึกเป็นกัลยาณมิตรกันอย่างแนบแน่นภายในเวลาอันรวดเร็ว

เมื่อฉันไปเยี่ยมยายที่บ้าน และในโอกาสที่มีเวลาอยู่กับยายตามลำพัง ยายมักจะเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฉันฟังเสมอๆ คล้ายกับว่า อยากถ่ายทอดเรื่องราวที่ยายประทับใจให้ลูกหลานได้ซึมซับเรื่องราวในอดีต และสืบทอดเรื่องราว ความดีงามซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน

พ่อของยายย้ายครอบครัวมาจากประเทศลาว มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ละทิ้งตำแหน่งเจ้าพระยาสรรพศรีสมบูรณ์ ที่ปรึกษาพระมหากษัตริย์และผู้แทนพระองค์ ของประเทศลาวในสมัยนั้น ด้วยเหตุผลที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับฝรั่งเศสผู้ล่าอาณานิคม

ยายเล่าว่าประวัติศาสตร์ของประเทศลาวที่พ่อของยายเคยเรียน ได้กล่าวถึงพระเจ้าล้านตื้อไว้ว่า พระเจ้าล้านตื้อเป็นพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่ มีลักษณะงดงามมาก ในสมัยพระเจ้าอนุวงศ์เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศลาว อยากได้เมืองเชียงแสนเป็นเมืองขึ้น จึงยกทัพมาตี หลายครั้งหลายครา แต่ไม่เคยสำเร็จเพราะชัยภูมิของเมืองดีมากได้เปรียบเรื่องที่ตั้งจึงออกอุบายโดยให้กล่อม*(กะ–หล่อม) ขุดร่องเปลี่ยนทิศทางแม่น้ำโขง เพื่อให้กระแสน้ำเซาะกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือ เป็นผลทำให้กำแพงเมืองพังทลาย และยังกัดเซาะวัดที่ตั้งเรียงรายเป็นแนวเลียบแม่น้ำโขงไปทางทิศใต้ ล่มจมลงไปในแม่น้ำโขง ราว ๒๐ วัด รวมถึงวัดที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านตื้อด้วย

เมื่อพ่อของยายย้ายมาอยู่เมืองเชียงแสนแล้ว ท่านได้คิดถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เคยเรียนมาเมื่อครั้งเป็นนักศึกษา จึงทำให้ท่านเกิดความคิดที่จะอัญเชิญพระเจ้าล้านตื้อขึ้นมาจากแม่น้ำโขง

วันหนึ่งในราวต้นปี พ.ศ.๒๔๘๘ พ่อก้อนแก้ว สุ่มใจยา ไปหาปลาที่แม่น้ำโขง บริเวณเหนือเกาะดอนแห้ง พ่อก้อนแก้วได้เหวี่ยงแหลงไป แล้วแหไปเกี่ยวกับวัตถุใต้น้ำ ทำให้ดึงแหไม่ขึ้น ท่านจึงดำลงไปงมเพื่อที่จะปลดแห ปรากฏว่าแหได้เกี่ยวกับเศียรพระพุทธรูปขนาดใหญ่ใต้น้ำ พ่อก้อนแก้วบอกว่าท่านยืนบนอังสาของพระพุทธรูปแล้วเขย่งเท้าจึงจะสามารถแตะปลายติ่งพระกรรณของพระพุทธรูปองค์นั้น พ่อก้อนแก้วสูงประมาณ ๑๗๐ เซนติเมตร ทำให้ทราบว่าพระพุทธรูปองค์นี้ใหญ่มาก ประมาณจากสัดส่วนพระพุทธรูปองค์นี้ จะมีหน้าตักกว้างราว ๑๑ - ๑๒ เมตร

พ่อของยายที่ชาวเชียงแสนเรียกว่า “ เพียสมบูรณ์ หรือพ่อพระยาสมบูรณ์ “ ทราบเรื่องจึงคิดที่จะอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นมาจากแม่น้ำโขง ด้วยความศรัทธาในพระเจ้าล้านตื้อ ศรัทธาในชาวเมืองเชียงแสน ที่สามารถสร้างพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่เพียงนี้ อยากกราบไหว้ ชื่นชมเป็นขวัญตา และเพื่อให้เป็นศูนย์รวมของชาวพุทธทั้งสองฝั่งโขง มิได้คิดที่จะลบหลู่แต่ประการใด ตำแหน่งที่พบและขนาดของพระพุทธรูป ตามที่พ่อก้อนแก้วบอกเล่า ท่านบอกยายว่า พระพุทธรูปองค์นี้แหละคือ “ พระเจ้าล้านตื้อ “ ล้านตื้อคือหน่วยนับจำนวนโบราณของล้านนา มีค่าเท่ากับสิบล้านล้านในปัจจุบัน

หลังจากเสร็จสงครามเชียงตุง ประเทศพม่าราวปี พ.ศ. ๒๔๘๘ พ่อของยายจึงรวบรวมสมัครพรรคพวก มีผู้พันเกษม ผู้บังคับการทหารม้าที่ ๒ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๘๕ – ๒๔๘๘) ขณะนั้นกองร้อยนี้ตั้งฐานอยู่ที่บริเวณโรงเรียนบ้านห้วยเกี๋ยง และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติ อำเภอเชียงแสนในปัจจุบัน ท่านได้นำทหารในบังคับบัญชาทั้งกองร้อยเข้าร่วมกับพ่อของยาย เพื่อที่จะอัญเชิญพระเจ้าล้านตื้อ
เพียสมบูรณ์ พ่อของยาย และคณะพร้อมด้วยทหารประมาณกว่าร้อยนาย ลงเรือไปยังเกาะดอนแห้ง แล้วจัดพิธีบวงสรวง สร้างศาลเพียงตาที่เกาะดอนแห้งเพื่ออัญเชิญพระเจ้าล้านตื้อ

ทันทีที่พิธีเริ่มขึ้น ก็เกิดพายุอย่างรุนแรง เศษหินและทรายปลิวว่อน ทั่วทั้งบริเวณ พ่อของยายและคณะรวมทั้งทหารจึงต้องรีบลงเรือกลับฝั่ง แต่พ่อของยายยังไม่ละความพยายามที่จะอัญเชิญพระเจ้าล้านตื้อขึ้นมาจากแม่น้ำโขงอีก

หลังจากนั้นเจ็ดวัน ท่านได้จัดเตรียมพิธีบวงสรวงเพื่ออัญเชิญพระเจ้าล้านตื้ออีกครั้ง โดยมีคณะพร้อมทั้งทหารชุดเดิม ลงเรือไปร่วมพิธี ในครั้งนี้ได้นำเชือกหวาย และเชือกมะนิลายาวประมาณเส้นละหนึ่งร้อยเมตรไปด้วย พ่อของยายเป็นผู้ประกอบพิธีเอง พิธีที่ว่านี้เรียกว่า”พิธีคนสวาทน้ำ” คือจัดคนเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มละ ๕ - ๖ คน กลุ่มแรก ให้มีหน้าที่ดำน้ำสำรวจโดยนำเชือกหวายและเชือกมะนิลาที่เตรียมมาไว้ใช้สำหรับผูกองค์พระเพื่อฉุดลาก กลุ่มหลัง มีหน้าที่เฝ้ารักษาเปลวเทียนที่จุดเท่าจำนวนคนที่ดำน้ำและต้องไม่ให้เทียนดับ เพื่อรักษาลมหายใจของคนที่ดำน้ำ

เมื่อเริ่มพิธีกลุ่มคนดำน้ำก็ดำลงไป พอเจอองค์พระก็โผล่ขึ้นมาเพื่อบอกตำแหน่งที่พบ นายทหารที่อยู่บนเกาะก็ส่งเชือกให้คนดำน้ำ เพื่อให้คนดำน้ำนำเชือกไปผูกองค์พระ ยังไม่ทันที่จะใช้เชือกผูกองค์พระ ก็เกิดพายุฝนกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง น้ำท่วมเกาะซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 54 ไร่ เพียงเวลาอึดใจ พ่อของยายจึงต้องพาคณะลงเรือกลับฝั่งอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พ่อของยายทำพิธีอัญเชิญพระเจ้าล้านตื้อขึ้นจากแม่น้ำโขงแล้วไม่สำเร็จ ผู้คนในละแวกนั้น หรือแม้กระทั่งตัวของยายเอง ได้พบเห็นงูใหญ่ สีดำเมื่อม เกล็ดเลื่อม ลำตัวขนาดต้นมะพร้าว ความยาว ๖ – ๘ เมตร ตาสีเขียวเหลือบแดง มักโผล่มาเล่นน้ำ ที่หัวเกาะดอนแห้งแล้วเลื้อยไปทางทิศใต้ บางทีก็ขึ้นฝั่งที่ท่าทัพม่าน บริเวณที่ตั้งด่านศุลกากรในปัจจุบัน

ข่าวนี้เลื่องลือสะพัดไปทั่วเมือง ชาวเมืองเชียงแสนเกิดความกลัวไม่กล้าลงเล่นน้ำไปช่วงเวลาหนึ่ง โดย เฉพาะเมื่อตะวันลับฟ้าไปแล้ว ยิ่งเด็กๆ ก็ยิ่งไม่กล้าลงไปเล่นแม่น้ำโขงตามลำพัง ปกติในฤดูหนาวกับฤดูร้อน แม่น้ำโขงจะไม่ขุ่น แต่ถ้าปีไหนที่น้ำในแม่น้ำโขงขุ่นตลอดปี ผู้ใหญ่มักเตือนห้ามไม่ให้เด็กๆ ลงไปเล่นน้ำกันตามลำพัง เพราะมีความเชื่อว่า แม่น้ำโขงจะกินคน ประกอบกับมักมีอุบัติเหตุทางน้ำทำให้คนเสียชีวิต จึงเป็นการตอกย้ำความเชื่อดังกล่าว ให้ระลึกว่าเหตุการณ์ที่เล่าขานนั้นเป็นจริง

พญานาค… หรืองูใหญ่ มีรูปลักษณะคล้ายงู ตาโปนสีเขียวเหลือบแดง เกล็ดสีเขียวเหลือบดำ ผิวมันเลื่อม มีกลิ่นกายเหม็นคาวมาก บางตัวมีรูจมูกเรียงกันเหนือริมฝีปาก ๓ รู บางตัวมีถึง ๖ รู ชาวบ้านไม่อาจระบุได้ว่าสิ่งที่ตนเองพบเห็นนั้นคืออะไรกันแน่ เพราะลักษณะไม่อาจเทียบเคียงกับสัตว์ที่ตนเองพบเห็นในโลกปัจจุบัน แต่มันสามารถสั่นคลอนความกล้าหาญของผู้คนลงไปได้อย่างไม่มีเหตุผล

เรื่องราวเหล่านี้พ่อพระยาสมบูรณ์ได้เล่าให้ลูกหลานของท่านฟังทุกคน ลูกหลานของพ่อพระยาสมบูรณ์ทราบและเข้าใจในความตั้งใจของท่านดี เมื่อพ่อพระยาสมบูรณ์สิ้นบุญ หลานชายพ่อพระยา ฯ จำนวน ๙ คน ได้อุปสมบท ณ วัดพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งมีพระครูวิกรมสมาธิคุณ เป็นเจ้าอาวาส หลังการอุปสมบท ก็ได้ปรึกษากับญาติ และพระผู้ใหญ่ คือหลวงพ่อแม้น ขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดพระธาตุจอมกิตติ ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดสันธาตุ ตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน โดยปรึกษากันคิดที่จะสร้างพระพุทธรูปปูนปั้น ให้มี รูปร่างลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับพระเจ้าล้านตื้อ ในที่ประชุมได้ตกลงขอสร้างพระพุทธรูปที่บริเวณบ่อน้ำทิพย์ วัดพระธาตุจอมกิตติ เมื่อขออนุญาตพระครูวิกรมสมาธิคุณ เจ้าอาวาส ท่านก็อนุญาต เมื่อสร้างเสร็จ ลูกหลานพ่อพระยาสมบูรณ์จึงร่วมกันถวายชื่อองค์พระพุทธรูปองค์นี้ว่า “ พระเจ้าล้านตื้อ “ เพื่อเป็นพุทธบูชา และทดแทนพระคุณแผ่นดินทั้งในฐานะที่เป็นลูกหลานของพ่อพระยาสมบูรณ์

นอกจากนั้นยายยังเล่าว่า ได้ทำพิธีอัญเชิญหัวใจพระเจ้าล้านตื้อในแม่น้ำโขงมาประดิษฐานไว้ในพระเจ้าล้านตื้อองค์ใหม่ ด้วยความศรัทธาในพระเจ้าล้านตื้อ ตามรอยศรัทธาของพ่อพระยาสมบูรณ์

ปัจจุบันเกาะดอนแห้งได้หายไปจากลำน้ำโขง เนื่องจากกฎของธรรมชาติ กฎของกาลเวลา และกฎของอนิจจัง ความไม่เที่ยง คนรุ่นใหม่ไม่สามารถระบุได้ว่าหัวเกาะอยู่ที่ไหน ท้ายเกาะอยู่ที่ใด ความเชื่อและความศรัทธาก็อาจถูกลบเลือนไปเหมือนเกาะดอนแห้ง ทั้งนี้มิได้รวมถึงลูกหลานของพ่อพระยาสมบูรณ

เมื่อมีผู้เฒ่าผู้นี้มาเล่าขาน เราสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือพระเจ้าล้านตื้อจะเหลือเป็นแค่เพียงตำนานที่นับวันจะถูกลบเลือนไปกับกาลเวลา

กล่อม*ในที่นี้หมายถึงขมุหรือกำมุ
ขอขอบคุณ...คุณยายมณีจันทร์ พงษ์สวรรค์ และลูกหลานพ่อพระยาสมบูรณ์ทุกท่าน


ขอบคุณ
ผู้เขียนมิตาพร

66

"ถ้ำและ ภูเขา"


ถ้ำและภูเขาต่าง ๆ ในชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล ที่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า และถูกบันทึกลงในพระพุทธประวัติที่นำมาประมวลไว้ ณ ที่นี้มีดังนี้

๑. คาราโครัม ภูเขาคาราโครัมอยู่ทางตอนเหนือของชมพูทวีป มียอดเขาสูงเป็นอันดับ ๒ ของโลกชื่อกอดวินออสเตน สูง ๘,๔๗๕ เมตร (ปัจจุบันอยู่ในเขตรัฐแคชเมียร์ของประเทศอินเดีย)





คาราโครัม


๒. คิชฌกูฏ ภูเขาคิชฌกูฏเป็นหนึ่งใน ๕ ของบรรดาภูเขาที่ล้อมรอบพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ ซึ่งเรียกกันว่า เบญจครี ภูเขาคิชฌกูฏเป็นสถานที่สำคัญที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับพระพุทธ และพระพุทธประวัติดังนี้




ภูเขาคิชฌกูฏ


พระคันธกุฏี คือเรือนที่ประทับของพระพุทธเจ้าบนภูเขา คิชฌกูฏ พระคันธกุฏีมีฝาเป็นไม้เนื้อหอม หลังคามุงด้วยใบไม้ใหญ่ ๆ พระพุทธเจ้าโปรดที่ประทับบนเขาคิชฌกูฏีมาก เพราะเป็นที่สงบมีอากาศเย็นสบาย พระองค์ทรงดำเนินขึ้นลงเขาเพื่อบิณฑบาตทุกวัน (คันธกุฏี แปลว่า กุฏีอบกลิ่นหอม เป็นชื่อเรียกพระกุฏีที่ประทับของพระพุทธเจ้า)






พระคันธกุฏี


กุฏิของพระ อานนท์ ที่ซึ่งพระเทวทัตกลิ้งหินทับพระพุทธเจ้า ด้วยหวังจะประหารพระบรมศาสดาในเวลาเสด็จขึ้นบนภูเขาคิชฌกูฏก็ไม่อาจทำ อันตรายพระพุทธเจ้าได้ เป็นเพียงสะเก็ดศิลาได้กระเด็นไปกระทบพระบาทจนห้อพระโลหิต นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่พระพุทธเจ้าต้องประสบอันตรายถึงเสียพระ โลหิตจากพระกาย




กุฏิของพระอานนท์



สถานที่ที่พระเทวทัตกลิ้งหิ้นลงมาใส่พระพุทธเจ้า



ถ้ำสุกรขาตา ณ ที่นี้ พระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาได้สำเร็จพระอรหัต หลังจากอุปสมบทได้กึ่งเดือน พระสารีบุตรได้สดับพระธรรมเทศนาขณะนั่งถวายงานพัดอยู่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรง แสดงแก่ปริพาชก ชื่อ ฑีฆนขะผู้เป็นหลานของพระสารีบุตร ทีฆนขะได้ดวงตาเห็นธรรม แสดงตนเป็นอุบาสกในพุทธศาสนา






ถ้ำสุกรขาตา


ถ้ำพระโมคคัลลานะ ที่พำนักของท่านพระโมคคัลลานะ บริเวณนี้เองที่ท่านได้มองเห็นเปรต เวลาลงมาจากเขาคิชฌกูฏ ดังเรื่องมีในธรรมบท เช่น อชครเปรต






ถ้ำพระโมคคัลลานะ


ที่ประทับของ พระเจ้าพิมพิสาร ก่อนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

ถนนพระเจ้าพิมพิสาร ถนนนี้กว้าง ประมาณ 4 เมตร. ยาวประมาณ 1-2 กิโลเมตร. เทด้วยซีเมนต์ เป็นทางลาดขึ้นเขา มีความชัน ประมาณ 30 องศา.
เมื่อพระเจ้าพิมพิสาร เสด็จมาเข้าเฝ้า พระพุทธองค์ ส่วนมาก มักจะเสด็จมา ในตอนดึก ซึ่งเสร็จสิ้นภาระกิจ บ้านเมืองแล้ว. กองทัพม้าที่นำ เสด็จ ต้องจุดคบเพลิงกันมา สว่างไสว.
ระหว่าง ทางเดินขึ้นเขา ตามถนน พระ เจ้าพิมพิสารนั้น จะมีสถานที่พักกองทัพ ของพระเจ้าพิมพิสาร ไว้เป็นระยะๆ.จน เมื่อใกล้จะถึงทางขึ้น ส่วนบนยอดเขา อันเป็นที่พำนัก ของเหล่า พระภิกษุสงฆ์แล้ว. พระองค์จึง เสด็จประทับบน เสลี่ยง ให้คนหามขึ้น ไป ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเสียง อึกทึกเกินไปนัก. ส่วนกองทัพนั้น พักอยู่ระหว่างทางที่พัก ไม่ต้องตามเสด็จ.จน เมื่อใกล้จะถึงที่ประทับ ของพระ พุทธองค์แล้ว พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้เปลี่ยน เครื่องทรงให้เหมาะ แล้วเสด็จพระราชดำเนิน ด้วยพระบาทเปล่า เข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ที่ยอดเขาคิชฌกูฏนั้น.สอง ข้างทาง ของถนนพิมพิสาร มีต้นไม้ขึ้น อยู่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่รกนัก มีต้นมะตูมอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีพืช ที่ชาว อินเดียเรียกว่า โพธิมาลา เป็นเม็ดกลมๆ เล็กๆ ดูเหมือนลูกตะขบ แต่เปลือกแข็งมาก เขาเก็บมา ร้อย เป็นพวงมาลัย คล้องคอ คล้ายๆเป็นลูกประคำ.





ถนนพระเจ้าพิมพิสาร


เหวทิ้งโจร ณ ที่นี้ ทรงแสดงนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์
มาตะกุฉิ สถานที่ซึ่งพระนางโกศลเทวีพระอัครมเหสี ของพระเจ้าพิมพิสาร จะทำการรีดพระครรภ์เพื่อกำจัดโอรสในพระครรภ์ทิ้งเนื่องจากเมื่อพระนางเสวย โหรทำนายว่า พระโอรสที่อยู่ในครรภ์เกิดมาจะทำปิตุฆาต พระนางโกศลเทวีพยายามทำลายด้วยการให้แท้งเสียแต่ไม่สำเร็จ ครั้นจะรีดพระครรภ์ ณ ที่นี้ พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงห้ามไว้ ในที่สุดพระโอรสของพระเจ้าพิมพิสารคือ พระเจ้าอชาตศัตรูก็คบคิดกับพระเทวทัตฆ่าประราชบิดาตามที่โหรทำนายไว้
ที่คุมขังพระ เจ้าพิมพิสาร อยู่ ณ ที่ราบเชิงเขาคิชฌกูฏ เมื่อพระเจ้าอชาติศัตรูจับพระราชบิดามาคุมขังไว้ไม่ให้อาหารเสวย แต่พระเจ้าพิมพิสารยังทรงมีชีวิตอยู่ได้ ณ ที่นี้ เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นลงเขาคิชฌกูฏทุกวัน เพื่อบิณฑบาตทำให้เกิดปีติเบิกบานพระทัยเสด็จเดินจงกรม เจริญกรรมฐาน เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเห็นพระราชปิดายังคงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ จึงสั่งให้ช่างตัดผมเอามีดกรีดพระบาทแล้เอาเกลือกับน้ำมันทาแผลย่างไฟ ในที่สุดพระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จสวรรคต ณ ที่นี้ ส่วนพระเจ้าอชาตศัตรูในภายหลังทรงสำนึกถึงความผิดทั้งปวงและกลับพระทัยได้ หันมาทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาและได้เป็นพุทธศาสนูปถัมกในการสังคายนา ครั้งที่ ๑




ที่คุมขังพระ เจ้าพิมพิสาร



จุดที่เป็นแอ่งน้ำมีการขุดพบโซ่ ตรวน จึงเชื่อกันว่าเป็นจุดที่พระเจ้าพิมพิสารสวรรค์คต จากจุดนี้สามารถมองเห็นกุฎีของพระพุทธเจ้าบนเขาคิชกูฎได้


ชีวกัมพวัน เป็นโรงพยาบาลแห่ง แรกในพระพุทธศาสนา หมอชีวกได้รับแต่งตั้งให้เป็นแพทย์ประจำราชสำนัก ปัจุบันมีลักษณะเป็นลานกว้าง มีหินก่อไว้พอสังเกตุได้ว่าเป็นห้อง ๆ มีรั้วรอบขอบชิด เป็นสถานที่อีกแห่งที่ผู้แสวงบุญจากเมืองไทยนิยมแวะชม




ชีวกัมพวัน


๓. จาลิยบรรพต ภูเขาลูกนี้ พระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาที่ ๑๓ และพรรษาที่ ๑๘ และ ๑๙ ภายหลังจากตรัสรู้ในระหว่างเวลา ๔๕ ปีแห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ
๔. ทักขิณาคีรี ณ ภูเขาลูกนี้ ที่หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลาพระพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาที่ ๑๑ ภายหลังจากตรัสรู้ ในระหว่าง เวลา ๔๕ ปีแห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ
๕. เบญจคีรี พระนครราชคฤห์เมืองหลวงของแคว้นมคธ นั้น ตั้งอยู่ในเขตที่ภูเขา ๕ ลูกล้อมรอบ อันเรียกว่าเบญจคีรี ซึ่งประกอบไปด้วยภูเขาคิชฌกฏ ภูเขาปัพภาระ ภูเขาเวลปุระ ภูเขาเวภาระ และภูเขาอิสิคิริ
๖. ปัพภาระ เป็นหนึ่งใน ๕ ของบรรดาภูเขาที่ล้อมรอบพระนครราชคฤห์ ที่เรียกว่าเบญจคีรี ลัฏฐิวัน หรือสวนตาลหนุ่ม ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้นอกกำแพงเมืองราชคฤห์ อยู่ ณ เชิงเขาปัพภาระแห่งนี้
๗. อิสิคิลิ ภู เขาอิสิคิลิ เป็นภูเขา ๑ ใน ๕ ที่ล้อมรอบพระนครราชคฤห์ ซึ่งเรียกกันว่า เบญจคีรี ที่กาฬสิลาซึ่งอยู่ข้างภูเขาอิสิคิลิเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนิมิตต์โอภาส แก่พระอานนท์
๘. เวปุลละ ภูเขาปุลละ เป็นหนึ่งใน ๕ ของบรรดาภูเขาที่ล้อมรอบพระนครราชคฤห์ ที่เรียกว่า เบญจคีรี





เบญจคีรี




๙. ปิปพลิคูหา ถ้าปิปผลิคูหาอยู่ ณ เชิงเขาภารบรรพต เป็นที่พักอาศัยของพระมหาสาวกกัสสปะ ผู้เป็นเลิศสุดด้านธุดงค์ และเป็นองค์ประธานสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก ถ้ำปิปผลิคูหาอยู่ใต้ถ้ำสัตตบรรณคูหาลงมาประมาณ ๑๒๐ เมตร
๑๐. มกุลพรรพต ภูเขากุลพรรพตหรือกุฏบรรพต เป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับจำพรรษาที่ ๖ ภายหลังตรัสรู้ ในระหว่าง ๔๕ ปี แห่งการบำเพ็ญพุทธกิจ (สันนิษฐานกันว่า ภูเขานี้อยู่ในแคว้นมคธหรือแคว้นโกศล หรือปริเวณใกล้เคียง) แต่ใน "ปฐมสมโพธิกถา" "เสด็จไปสถิตบนมกุฏบรรพต ทรงทรมานหมู่อสูร เทพยดา และมนุษย์ให้ละเสียพยศอันร้ายแล้ว และให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา"
๑๑. วินทัย ภูเขาวินทัยตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตกของแคว้นมคธ และอยู่ทางทิศใต้ของแคว้นอัวันตี


๑๒. เวภาระ ภูเขาภาระ หรือเวภารบรรพตเป็นหนึ่งใน ๕ ของบรรดาภูเขาที่ล้อมรอบพระนครราชคฤห์ ที่เรียกว่า เบญจคีรี บ่อน้ำตโปธารหรือตโปทา ซึ่งเป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่อาบน้ำของพระสงฆ์บ่อน้ำแร่นี้ไหลตลอดปีตลอด ชาตินับแต่สมัยพุทธกาล จวบจนปัจจุบันมิเคยเหือดแห้งเลย ตโปธารอยู่เชิงเขาเวภารบรรพต เช่นเดียวกับตโปทารามสวนซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทำนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์ ถ้ำปิปผลิคูหาและถ้ำสัตตบรรณคูหา อยู่ ณ เวภารบรรพตเข่นกัน
๑๓. สัจจพันธ์ ภูเขาสัจจพันธ์อยู่ในแคว้น สุนาปรันตะเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมายังแคว้นสุนาปรันตะพร้อมด้วย พระภิกษุสงฆ์สาวกจำนวนมากระหว่างทางทรงหยุดประทับโปรดสัจจพันธดาบสที่ภูเขา สัจจพันธ์ จากนั้นพระสัจจพันธ์ ซึ่งบรรลุพระอรหัตตผลแล้วมาในขบวนด้วย หลังจากทรงแสดงธรรมโปรดชาวสุนาปรันตะ และประทับรอยพระบาทรอยแรกไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทาแล้ว จากนั้นเสด็จต่อไปถึงภูเขาสัจจทันธ์ตรัสสั่งพระสัจจพัธ์ให้อยู่สั่งสอน ประชาชน ณ ที่นั้น พระสัจจพันธ์ทูลขอสิ่งที่ระลึกไว้บูชา พระพุทธเจ้าทรงประทับรอบพระบาทไว้ที่ภูเขาสัจจพันธ์นั้น อันนับว่าเป็นประวัติการเกิดขึ้นของรอยพระพุทธบาทสองรอยแรก
๑๔. สัตตบรรณ ถ้ำสัตตบรรณคูหาอยู่ที่ภูเขาเวภารบรรพต ณ ที่นี้ พระพุทธเจ้าเคยทรงทำนิมิตต์โอภาสแก่พระอานนท์ ถ้ำสัตตบรรณคูหา อยู่เหนือถ้ำปิปผลิคูหาที่พักอาศัยของพระมหากัสสปะขึ้นไป ๑๒๐ เมตร เมื่อหลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน การประชุมสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรกขึ้นที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา โดยพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธานและเป็นผู้ถาม พระอุบาลี เป็นผู้วิสัชนาพระวินัย พระอานนท์ เป็นผู้วิสัชนาพระธรรม โดยพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก สิ้นเวลา ๗ เดือน จึงเสร็จ










ถ้ำสัตตบรรณคูหา


๑๕. สัตตบริภัณฑ์หรือเขาล้อมทั้ง ๗ เป็นคำเรียกหมู่ภูเขา ๗ เทือก ที่ล้อมรอบภูเขาพระสุเมรุ คือ ภูเขายุคนธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวิก ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธร ภูเขาวินตก และภูเขาอัสสกัณณ์
๑๖. สุกรขาตา ถ้ำสุกรขาตาอยู่ที่ภูเขา คิชฌกูฏ อันได้กล่าวถึงมาแล้วในเรื่องราวของภูเขาคิชฌกูฏ
๑๗. สุเมรุ คือภูเขาพระสุเมรุหรือสิเนรุ หรือเมรุ เป็นภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตามคติฝ่ายพระพุทธศาสนาในชั้นอรรถกถายอดเขาสิเนรุเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่สถิตของพระอินทร์ เชิงเขาสิเนรุซึ่งหยั่งลึกลงไปในมหาสมทุรเป็นอสูรพิภพ สูงขึ้นไปกึ่งทางระหว่างแดนทั้งสองนั้น เป็นสวรรค์ของท้าวจาตุมหาราช สวรรค์ชั้นอื่น ๆ และโลกมนุษย์ ก็เรียงรายกันอยู่สูงบ้าง ต่ำบ้าง รอบเขาสิเนรุแห่งนี้





เอเวอร์เรสต์หรือเขาพระสุเมรุ



ภูเขาสุเมรุตามคติความเชื่อ



๑๘. หิมพานต์ คือภูเขาหิมาลัย เป็นภูเขาใหญ่ที่อยู่ทางทิศเหนือของชมพูทวีป บริเวณป่าที่อยู่โดยรอบภูเขาหิมพานต์ หรือภูเขาหิมาลัยนี้เรียกกันว่าป่าหิมพานต์ ภูเขาหิมาลัยเป็นเทือกเขาที่ยาวและสูงใหญ่มากมีความยาวถึงประมาณ ๙๓๗ กิโลเมตร กว้างประมาณ ๑๒๕ กิโลเมตร มียอดเขาสูง ๆ และหุบเขาลึก ๆ เป็นจำนวนมาก ยอดสูงที่สุดในโลก คือ ยอดเขาเอเวอเรสต์หรือที่เรียกกันว่า ภูเขาสุเมรุ มีความสูงประมาณ ๘,๗๐๐ เมตร (ปัจจุบันอยู่ในเขตแดนประเทศเนปาล)




หิมพานต์หรือภูเขาหิมาลัย

๑๙. สีรธชะ ภูเขาอุสีรธชะเป็นภูเขาที่ กั้นอาณาเขตมัชฌิมชนบทหรือถิ่นกลางที่มีความเจริญรุ่งเรือง กับปัจจันตชนบทหรือหัวเมืองชั้นนอกถิ่นที่ยังไม่เจริญ ทางด้านเหนือนับจากภูเขาอุสีรธชะเข้ามาถือเป็นมัชฌิมชนบท





ขอบคุณที่มา...เว็บพลังจิตดอทคอม

67
นำรูปมาให้ชมกัน...เพื่อศึกษาและเป็นวิทยาทาน











พระบูชาหลวงปู่ทวดหน้าตัก 3 นื้ว เนื้อปูนพลาสเตอร์ ปี 2500 วัดช้างไห้ ชำรุดคอหักอย่าเพิ่งทิ้ง
หรือนำไปไว้ที่วัดหรือทิ้งไว้ใต้ต้นโพธิ์ ถ้าเขย่าองค์พระแล้วมีเสียงดังก๊อกแก๊กๆใต้ฐานพระลองเจาะ
ใต้ฐานดูก่อนว่ามีอะไร...

ลองเจาะดูแล้ว...พบว่ามี





















หลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์ต้อใหญ่ปี 2497 สวยกริ๊บ 1 องค์ห่อกระดาษคาถากำกับของวัด ราคาไม่ต้องพูดถึง...

ใส่ตลับเงินฝังเพชรไว้ก่อน...


ตามตำนานประมาณ 35 ปีก่อนเคยมีเด็กปั้มที่ยะลาไปพบพระบูชาหลวงปู่ทวดหน้าตัก 5 นิ้ว ปี2504 หักแตกชำรุดทิ้งอยู่ใต้ต้นโพธิ์
ก็เลยหยิบมาหักแกะเล่นใต้ฐาน ก็เลยพบพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี 2497 อยู่ 2 องค์ พิมพ์อะไรไม่รู้แล้วแต่หลวงพ่อทิมจะใส่ไว้
ได้นำไปปล่อยให้เซียนพระเช่าในสมัยนั้น...



กราบขออภัย...ภาพถ่ายหลวงปู่ทวดไม่ค่อยชัด...มือใหม่สมัครเล่น





68
มาชมยันต์...กันต่อนะครับ


ความหมายความเชื่อเป็นมหาอำนาจมหาบารมีแคล้วคลาดคงกระพัน


ความหมายความเชื่อเป็นมหาอำนาจคงกระพันชาตรีทรหดอดทน


ความหมายความเชื่อเป็นมหาอำนาจแคล้วคลาดคงกระพันชาตรีศัตรูเกรงขามพ่ายแพ้ภัยพาล


ความหมายความเชื่อเป็นมหาอำนาจมหาบารมีแคล้วคลาดคงกระพัน มหาอุตม์


ความหมายความเชื่อแคล้วคลาดคงกระพันชาตรีอาสาเจ้านายดี เจ้านายรักใคร่เอ็นดู


ความหมายความเชื่อเป็นมหาอำนาจมหานิยมแคล้วคลาดปลอดภัยครอบจักรวาล


ความหมายความเชื่อเป็นมหาอำนาจรับราชการดีเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า


ความหมายความเชื่อเป็นเมตตามหานิยมแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง


ความหมายความเชื่อเป็นเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์


ความหมายความเชื่อเป็นเมตตามหานิยมมหาเสน่ห์ มหาหลง มหาละลวย


ขอบคุณภาพจาก...http://bbznet.pukpik.com

69


อาถรรพ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯที่วัดป่าแก้ว
เรื่องนี้มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันนานแล้ว เป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์หลายรูป ที่เล่าตรงกันเกี่ยวกับขุมทรัพย์โบราณมูลค่ามหาศาลภายใน "วัดป่าแก้ว" หรือ วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา วัดนี้ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เดิมเป็นวัดราษฎร์เรียกกันว่าวัดป่า ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดสำคัญประจำนครอโยธยาเดิมคือวัดพนัญเชิง วัดมเหยงค์ วัดกุฎีดาว และวัดอโยธยา ครั้งถึงแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้งไท เชื้อพระวงศ์ที่เป็นอหิวาตกโรคตาย ขึ้นพระราชทานเพลิงที่วัดนี้แล้วทรงซ่อมแซมบูรณะเจดีย์วิหาร ก่อนจะทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพญาไท" ให้เป็นที่พำนักของพระพนรัต ซึ่งเป็นพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี และด้วยอาณาเขตของวัดที่กว้างใหญ่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกชื่อ "วัดใหญ่" ตั้งแต่นั้นมา
จนล่วงมาถึงปี พ.ศ. 1991 - 2031 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระสงฆ์ไทยคณะหนึ่งนำกันออกไปอุปสมบทแปลงเป็นสิงหนีนิกาย และศึกษาพระพุทธศาสนา ณ สำนักพระพนรัต มหาเถระในลังกาทวีป สำเร็จแล้วกลับมาตั้ง "คณะป่าแก้ว" ที่ "วัดเจ้าพญาไท" จึงนิยมเรียกชื่อกันว่า "วัดเจ้าพญาไทคณะป่าแก้ว" ภายหลังเรียกเหลือสั้นลงแค่ "วัดป่าแก้ว" และเปลี่ยนเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล" ในปัจจุบัน
วัดโบราณเก่าแก่ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา หลาย ๆ วัดเป็นที่รู้จักดีในหมู่เซียนพระ และนักเล่นของเก่าแก่ว่าจะต้องมีสมบัติมีค่ามหาศาลฝังไว้ใต้ดิน และแน่นอนว่าแต่ละที่จะต้องมี "ภูต" ที่เรียกว่า "ปู่โสม" เฝ้าอยู่ คนที่เชื่อและขยาดในอิทธิฤทธิ์มักไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่กับกลุ่มคนที่ชอบลักลอบเข้าไปขุด พวกนี้จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกิเลสและความละโมบที่มีอยู่ ทำให้ตามืดบอด มองไม่เห็นหายนะและความตายจากคำสาปแช่งที่กำลังจะมาถึง
วัดป่าแก้วหรือวัดใหญ่ชัยมงคล ในอดีตมักจะมีพระธุดงค์แวะเวียนมาปักกลดแสวงหาความวิเวกอยู่เป็นประจำ สมัยนี้เล่ากันว่าบริเวณวัดมีแต่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น งูเหลือม งูจงอาง เป็นสถานที่อันตราย เปลี่ยว และยังลือกันว่า "ผีดุ" จนชาวบ้านได้กล้าย่างกรายเข้าไป แต่ก็ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ใช้สถานที่นี้เป็นที่ปักกลดท่านคือ "หลวงปู่สีโห" พระป่ากรรมฐาน ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์กรรมฐานแห่งภาคอีสาน
"หลวงปู่สีโห" ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกัน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย แต่ไม่ชอบอยู่วัดเพราะท่านรักที่จะอยู่ตามป่า ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" มากจนได้รับการยกย่องว่า มีเมตตาและพลังจิตแก่กล้า มีอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์และอภิญญา
หลวงปู่สีโหท่านเคยมาปักกลดอยู่ในวัดป่าแก้ว ใกล้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงสร้างเฉลิมฉลองพระเกียรติ ภายหลังที่มีชัยแก่พม่าแล้ว ขณะที่ท่านพำนักอยู่ได้มีคนกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาภายในวัดมองดูลักษณะคล้ายพวกโจร คนเหล่านี้มาขอร้องให้หลวงปู่ถอนกลดย้ายไปจากที่นั่น หลวงปู่ถามว่าเหตุใดจึงมาไล่ท่าน คนพวกนั้นตอบตามตรงว่าพวกเขาจะมาขุดทรัพย์ตามลายแทง แต่ไม่อยากให้หลวงปู่ร่วมรับรู้ด้วย และยังได้เล่าต่อไปว่าภายในเขตกรุงศรีอยุธยานี้มีลายแทงโบราณ บอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติไว้มากมายถึง 713 แห่ง พวกเขาขุดพบมาแล้ว 5 แห่ง และตามลายแทงยังบ่งบอกไว้ว่าในบริเวณรอบพระเจดีย์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ สร้างนี้มีขุมทรัพย์อยู่ถึง 27 ขุม มีข้าวของเงินทอง และเพชรนิลจินดาอยู่มากมาย จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เอาสมุดข่อย ซึ่งเขียนด้วยอักขรไทยโบราณมีรูปแสดงที่ตั้งขุมทรัพย์ใต้ดินในบริเวณรอบ ๆ พระเจดีย์ให้หลวงปู่ดู นอกจากนี้ในสมุดข่อยยังมีแผนที่แสดงขุมทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วกรุงศรีอยุธยาอีกมากมายนับไม่ถ้วน และที่น่ากลัวก็คือ ภายในสมุดข่อยเล่มนั้นมีอยู่หน้าหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้ซีด ๆ ปรากฏคำสาปแช่งเอาไว้ด้วยโดยที่ไม่รู้ว่า กลุ่มโจรพวกนี้ จะเห็นหรือไม่
เรื่องขุมทรัพย์รายรอบพระเจดีย์นี้เป็นเรื่องที่คนโบราณว่าไว้จริง ซึ่งหัวหน้าแม่ชีท่านหนึ่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลเคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ในสมัยที่ท่านเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ใหม่ ๆ นอกจากจะได้เห็น "ดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรฯ" แล้วท่านยังเคยเห็น "ทองลุก" ซึ่งเป็นไฟพะเนียงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงบริเวณหน้าพระเจดีย์องค์นี้ ซึ่งคนโบราณบอกไว้ว่าถ้าเห็นลักษณะนี้แสดงว่า ใต้ดินบริเวณนั้นต้องมีสมบัติฝังอยู่แน่นอน สำหรับที่มาของขุมทรัพย์เหล่านี้ตามลายแทงโบราณได้บอกไว้ว่าเป็นมหาสมบัติอันล้ำค่า ของอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขุดพบ และนำมาฝังไว้ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ป่าแก้ว ผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย แก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่ตกต่ำ ร่วงโรยมานานให้รุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของพระองค์
การขุดสมบัติของกลุ่มโจรในวันนั้นเล่าว่ามีการนำอาจารย์ทางไสยศาสตร์มาทำพิธีด้วย มีการเสกไข่เสี่ยงทายและพบไข่เป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง แดง เขียว ดำ ซึ่งบอกให้รู้ว่ามีขุมทรัพย์ประเภททองคำ เพชรนิลจินดา และเงินตราโบราณอยู่มากมาย ทำให้พวกโจรดีใจกันมาก แล้วก็ช่วยกันทำการขุด เมื่อขุดลงไปประมาณ 7 ฟุต ก็พบโครงกระดูก 4 โครง นอนหัวชนกันหันเท้าชี้ไป 4 ทิศ และพอขุดลงไปอีกจอบก็ไปกระทบกับพื้นคอนกรีตโบราณ ซึ่งเป็นหลังคาอุโมงค์เก็บสมบัติ จึงพยายามช่วยกันแซะปากอุโมงค์ให้กว้างขึ้น และน่าประหลาดที่ภายในอุโมงค์มีกระแสลมแรงมาก พัดออกมาตลอดเวลา คล้ายมีพัดลมขนาดใหญ่อยู่ข้างใน อาจารย์ทางไสยเวทย์ที่ร่วมทีมจึงทดลองเอาด้ามเสียมแหย่ลงไปดูปรากฏว่า เสียมถูกกระแสลมตีเศษเหล็กกระจาย ทำให้แน่ใจว่าภายในหลุมนี้มี "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" ที่คนโบราณผูกไว้สำหรับป้องกันขุมทรัพย์
"หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" นี้ทำด้วยเหล็กกล้าเนื้อดี และคมกริบเคลื่อนไหวด้วยกลไกที่ผลักดันจากแสง และอากาศที่อัดลงไป นอกจากนี้ยังมีการปลุกเสกลงอาถรรพณ์ ด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ หากจะทำลายก็ต้องแก้ด้วยเวทมนตร์ แต่สำหรับกลุ่มโจรเหล่านี้ แม้จะมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มาคอยแก้อาถรรพณ์อยู่ด้วยก็ยังทำได้ยาก เพราะขณะกำลังทำพิธีล้างอาถรรพณ์หุ่นพยนต์นั้น อุโมงค์ขุมทรัพย์ก็ได้เลื่อนออกไป เสียงดังครืด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ หนำซ้ำยังมีดินถล่มลงมาถมปากอุโมงค์จนเต็ม เป็นการปิดไม่ให้คนเหล่านั้นได้ล่วงล้ำเข้าไปอีก แต่ถึงจะเจออภินิหารซึ่งหน้าเช่นนี้ กลุ่มโจรก็ยังไม่ย่อท้อ ตั้งใจว่าจะเริ่มขุดใหม่ในวันรุ่งขึ้น

ดึกดื่นคืนนั้นพวกโจรกลับกันหมดแล้ว ได้ปรากฏร่างใหญ่โตของคน 4 คน ซึ่งไม่มีหัวมายืนอยู่หน้ากลดหลวงปู่สีโห ทั้งหมดคือภูตที่คอยเฝ้ามหาสมบัติให้สมเด็จพระนเรศวรฯ มาแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่า กลุ่มโจรเหล่านี้มาขุดพระราชทรัพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ที่ทรงสาปแช่งไว้ แล้วยังทำพิธีไสยศาสตร์ ทำลายข่ายอาถรรพณ์ที่พระครูปุโรหิตโบราณาจารย์ทำไว้ให้เสื่อมอีก เท่ากับเป็นการทำลายดวงชะตาของบ้านเมือง พวกตนจะมาเอาชีวิตไปให้หมดแต่ติดขัดว่ามีหลวงปู่อยู่ด้วย จึงมาแจ้งให้ทราบ แต่หลวงปู่สีโห ซึ่งท่านได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีจิตเมตตา ท่านจึงได้ขอบิณฑบาตชีวิตคนเหล่านั้น ขอแค่ดัดนิสัยให้เข็ดหลาบก็พอ ทำให้วิญญาณทั้ง 4 นิ่งอึ้ง และบอกว่าต้องให้หลวงปู่ลองพูดกับพญายมบาลเอง พวกเขาไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้นพูดเสร็จก็เดินหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์

หลวงปู่สีโหจึงเข้าฌานติดต่อกับพญายมบาล เมื่อพญายมบาลเปิดบัญชีดูจึงรู้ว่าพวกขุดลักพระราชทรัพย์เหล่านี้ ดวงยังไม่ถึงฆาตในตอนนี้ แต่กรรมหนักกำลังจะตามมาในไม่ช้า แต่ถึงอย่างไรพวกนี้ก็ควรจะได้รับผลจากคำสาปแช่งบ้างจะได้หลาบจำ เป็นอันว่าท่านพญายมตกลงจะไว้ชีวิตพวกโจร ครั้นรุ่งเช้าหลวงปู่สีโหตื่นขึ้นจะไปสรงน้ำ เพื่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นโจรกลุ่มนั้นกำลังนอนดิ้นทุรนทุราย เอามือกุมท้องบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขอให้หลวงปู่ช่วย ขณะเดียวกันบนองค์พระเจดีย์ใหญ่ก็เกิดเสียงดังครืน ทำให้ทุกคนหันไปดู เพราะคิดว่าพระเจดีย์จะถล่ม แต่แล้วก็พากันตกตะลึง เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งเดินลงมาจากพระเจดีย์พร้อมด้วยผีหัวขาดร่างใหญ่โต และพากันเดินหายไปทางกำแพงแก้วด้านทิศใต้ พวกโจรในที่นั้นร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีด หลวงปู่จึงบอกว่า "พวกเขาคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า" พอได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนี้ พวกโจรทั้งหมดก็เกิดความกลัว ตาหูเหลือกลาน จนอาการปวดท้องกำเริบ ทำให้หมดสติไปตามๆกัน หลวงพ่อเห็นแล้วก็ยิ่งเกิดความสังเวชที่เห็นโจรเหล่านี้ถูกลงโทษ เช้าวันนั้นท่านจึงจาริกออกจากอยุธยาไป ปล่อยให้โจรเหล่านั้นนอนสลบไสลเฝ้าขุมทรัพย์ภายในวัดป่าแก้วไปตามยถากรรม

"ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั้นมีจริงหากใครไม่เชื่อคิดลบหลู่ลองของก็เชิญพิสูจน์ได้ที่ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดใหญ่ชัยมงคล" จ.อยุธยา เพราะสมบัติมีค่ามหาศาล ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ ณ ปัจจุบันก็ยังคงฝังอยู่ใต้ดินรอบองค์พระเจดีย์นั่นเอง ซึ่งคงต้องรอผู้มีบุญ ผู้มีวาสนาขุดขึ้นมาใช้เป็นพระราชทรัพย์บำรุงแผ่นดิน และพระพุทธศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป

ยาวสักหน่อยแต่ก็ทำให้ได้รู้ว่าสมบัติชาติ สมบัติแผ่นดิน ไม่ควรตกเป็นของใครคนใดคนหนึ่งแต่ผู้เดียวค่ะ



ขอบคุณเรื่องจาก : FW Mail

70
ประสบการณ์เร้นลับทางจิต ซึ่งเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอาจเกิดขึ้นกับผู้ที่มีสัมผัสพิเศษบางคน ผู้มีประสบการณ์ทางจิตหลายท่านเคยมีสัมผัสที่เรียกว่า "ซิกเซ้นส์" โดยไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงรู้และมองเห็นอะไรล่วงหน้า ทำไมถึงสัมผัสกับคลื่นวิญญาณในต่างภพภูมิได้ เรื่องนี้ผู้รู้หลายท่านให้คำตอบตรงกันว่า เป็นเพราะบุคคลผู้นี้มี "ของเก่า" หรือของเดิม ซึ่งเป็น "ญาณทิพย์" อันเกิดจากบุญบารมีที่เคยปฏิบัติทางด้านศีล สมาธิ และภาวนามาแต่อดีตชาติ

คุณช่อแก้ว ช่วยบำรุง ผู้อำนวยการบริหารท่านหนึ่งของบริษัทพรูเด็นชียล ทีเอสไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีประสบการณ์พิเศษ ในเรื่องของซิกเซ้นส์มาตั้งแต่วัยเด็ก เธอมักรู้และเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ได้ล่วงหน้า หรือได้ยินคำสนทนาของผู้อื่นทั้งๆที่อยู่ไกลกัน และที่สำคัญเธอมักสัมผัสกับ "วิญญาณ" หรือ "เห็นผี" ในรูปแบบต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่จำความได้ และยังคงต่อเนื่องจนปัจจุบัน

"คือเรื่องนี้มันมีติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆน่ะค่ะ เริ่มเห็นครั้งแรกที่จำความได้ประมาณ 4-5 ขวบ ตั้งแต่พี่เรียนชั้นประถม จำได้ว่าตอนนั้นไปเรียนหนังสือก็เห็นผีริมโรงเรียน มันเป็นโครงกระดูก มีน้ำเหลืองเฟอะๆ เละๆ เห็นครั้งแรกกลัวมาก นอนไม่หลับ เสร็จแล้วก็เห็นอะไรแปลกๆมาเรื่อยๆ ตอนนั้นคุณพ่อ คุณแม่ก็คิดว่าเราเพ้อเจ้อ และก็ตอนที่กลัวมากคือที่บ้านเนี่ยมีสวน เวลากลางคืนจะต้องมาเฝ้าทุเรียนหล่น เฝ้าค้างคาวไม่ให้กินเงาะ ก็ไปทำกระท่อมเล็กๆในสวน คอยชักกระดึงหรือที่ทางใต้เขาเรียก 'โหลกโค่ก' ตอนนอนน่ะเห็นหมดเลย เห็นวิญญาณ เห็นผีมาเดินแซ่กๆๆ ลืมตาก็ยังเห็น ปากโบ๋ๆ หนังเฟอะๆ ตาแดงเป็นไฟก็มี พวกนี้เป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่แถวนั้น หรืออย่าง 'ผีกระสือ' ก็เคยเห็นนะคะ สมัยก่อน
กระสือมันไม่มีไส้นะ มันเป็นดวงไฟ พี่จำได้ว่ามียายคนนึงชื่อว่า 'ยายไพ' บ้านยายไพจะอยู่ใกล้ๆบ้านคุณปู่พี่ แล้วกลางวันแกจะหลับทั้งวันเลย พอกลางคืนแกก็จะออกมาจากร่าง เป็นดวงไฟ แล้วสมัยก่อนมันจะมีหนังตะลุง หนังกลางแปลง พี่ก็จะเห็นดวงไฟลอยออกมาจากบ้านยายไพ ดวงไฟดวงนี้มันจะกลมๆเท่าบาตรพระได้ พอเห็นก็นึกว่าหิ่งห้อย แต่แหม! ตัวใหญ่นะ ตอนนั้นก็มีพี่สาว มีเพื่อนที่ไปด้วย แล้วดวงไฟนี้มันก็ไปเลียผ้าถุงคนที่คลอดลูกใหม่ๆ เหม็นน้ำคาวปลา สมัยโบราณมันไม่มีผ้าอนามัย เขาใช้ผ้าเตี่ยว เสร็จแล้วมันก็กลับเข้าไปในบ้านยายไพ หลังจากนั้นพี่ก็เห็นอีกคือเห็นผีที่อยู่ในทุ่งนา ที่รู้เพราะแม่เคยบอกว่าผีจะไม่มีตัวตน หน้ามันจะไม่เหมือนคน หน้าตาน่ากลัว ตาโบ๋ๆ 'ผีต้นตาล' ก็เคยเห็น เห็นเป็นตัวยาวๆ มีหัวสูงเท่าต้นตาล ตอนนั้นไม่รู้ว่าคือ 'เปรต' ตอนหลังถึงรู้"

การมองเห็น "วิญญาณ" ด้วยตาเนื้อของคุณช่อแก้ว สร้างความประหลาดใจให้กับคนใกล้ชิดในวัยเด็กอยู่ไม่น้อย และนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นคือรู้แม้กระทั่งว่า ใครกำลังทำอะไร ที่ไหน หรือรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
"คือสมัยก่อนนาฬิกาไม่มี เขาใช้มองชายคาเงาบ้านว่าเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้ วันนึงจู่ๆพี่ก็พูดขึ้นว่า 'เดี๋ยวคืนนี้พ่อจะกลับมานะ' คือคุณพ่อพี่เป็นตำรวจชายแดน แม่ก็บอก 'รู้ได้ยังไง' แล้วคืนนั้นพ่อก็กลับมาจากชายแดนจริงๆ สิ่งที่พูดหลายๆเรื่องมันเป็นจริงหมด คนก็เริ่ม เอ๊ะ! มันยังไง แล้วยังรู้เรื่องคนจะตายด้วย รู้ล่วงหน้าว่าเอ๊ย...ลุงคนนี้เดี๋ยวจะตายนะ ก็เห็นลุงคนนี้ตายจริงๆ ที่สำคัญคือรู้เรื่องของคุณอา น้องของคุณพ่อ ขณะที่พี่อยู่ในสวนกำลังขึ้นต้นมังคุด ก็เห็นภาพของคุณอากำลังทะเลาะกับผู้หญิงที่บ้านเขา หูได้ยินตลอดแล้วรู้ว่าเดี๋ยวคุณอากินยาตายแน่เลย ก็รีบวิ่งไปเห็นจริงๆ คุณอากำลังทะเลาะกับแฟน และกำลังกินยาตายต่อหน้า ชักดิ้นน้ำลายฟูมปาก ปากคอนี่ไหม้หมดเลย ตอนนั้นโรงพยาบาลก็อยู่ไกลมากแล้วก็มีอีกเหตุการณ์นึงที่น้องเขาตกน้ำ ตอนนั้นน้ำท่วมชุมพรก็เห็นภาพว่าน้องจะตก ก็รีบวิ่งมา น้องกำลังตกน้ำจริงๆ มันเป็นภาพขึ้นมาในนิมิต เห็นจากตาเปล่า แต่ว่าตอนนั้นมันยังไม่ค่อยชัดเจนเหมือนตอนหลัง"

ปาฏิหาริย์ในเรื่องเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในวัยเด็กของคุณช่อแก้ว ส่วนหนึ่งเธอเชื่อว่าเกิดขึ้นจากวาจาศักดิ์สิทธิ์ของ "หลวงพ่อคล้าย" เกจิชื่อดังทางใต้ที่คุณแม่เคยพาไปให้ท่านเจิมยันต์ตรงหน้าผากให้ และท่านได้ให้พรให้เธอ "เป็นคนพิเศษที่ไม่เหมือนใคร" และนอกจากนี้จาก "ประสบการณ์เฉียดตาย" เมื่อครั้งยังเยาว์เหตุการณ์นั้นทำให้เธอได้พบกับ "ภพภูมิ" หนึ่งในภาวะที่จวนเจียนจะไป ซึ่งเมื่อผ่านพ้นมาได้ กลับยิ่งเพิ่มเหตุมหัศจรรย์ให้กับชีวิตคุณช่อแก้วมากยิ่งขึ้น

"สมัยนั้นพี่เรียนหนังสือที่หลังสวน จ.ชุมพร ที่วัดบางลำพู เรียนอยู่ชั้น ป.4 นักเรียนทั้งหมดมี 11 คน ผู้ชาย 2 ผู้หญิง 9 คน พี่อายุประมาณ 10 ขวบ แต่ตัวเล็กกว่าเพื่อนก็ไม่ถูกกับเพื่อนที่ตัวโตกว่าที่อยู่หัวแถว ไม่รู้อาฆาตอะไรกัน บ้านก็อยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ วันนั้นสอบเสร็จจะจบ ป.4 แล้ว เพื่อนคนนี้ก็มาชวนไปว่ายน้ำ เราก็ไปนั่งเรือเล่นที่ท่าน้ำวัดบางลำพู พอนั่งปุ๊บเพื่อนก็ผลักเรือออกไปกลางน้ำ น้ำกำลังเชี่ยวกรากมาก เป็นเดือน 12 เรือมันก็เลยคว่ำ เสร็จแล้วเขาก็ยังเอาไม้ยาวๆมาตี พี่ก็ขึ้นไม่ได้แล้วก็ว่ายน้ำไม่เก่งด้วย ก็เลยจมขึ้นจมลงตั้งหลายเที่ยวก็ยังไม่มีใครมาช่วย พี่ก็จมลงไปแต่ความรู้สึกขณะอยู่ใต้บาดาลมันเหมือนพี่เดินลงไปเฉยๆ เดินลงไปๆ พี่ได้เห็นพญานาค ที่นั่นมีถ้ำและมีวังอยู่ใต้น้ำ พญานาคที่เห็น 2 ตัว ใหญ่มากมีเกล็ด ตามลำตัว และภายในถ้ำก็มีสมบัติเป็นแก้ว แหวน เงินทองเยอะแยะ แล้วเขาชวนอยู่แต่พี่บอกว่า 'อยู่ไม่ได้หรอก ยังเป็นห่วงคุณแม่' แล้วก็บอกเขาว่าจะกลับแล้วนะ ซึ่งช่วงเวลานั้นคุณลุงมาพอดีมาช่วยพี่ตอนที่หมดสติ คุณลุงเอาตัวขึ้นมาตอนนั้น เขาบอกว่าตัวเขียวหมดแล้ว เพราะลงไปประมาณ 3 ชั่วโมง จนเขาบอกว่าตายแล้วเพราะกว่าจะไปตามคุณลุงบ้านนอกเราไม่มีจักรยาน ไม่มีโทรศัพท์ คุณลุงจับขึ้นมาก็เล็บเขียว ตัวเขียวหมด ทรายอยู่ในจมูกเต็มเลย เขาก็เอามาพาดบ่ากระแทกๆ วิ่งรอบวัดจนสำรอกน้ำและทรายออกมา พอฟื้นขึ้นมาพี่ก็จะจำเรื่องราวตรงนี้ได้จนป่านนี้ และหลังจากนั้นก็จะยิ่งเห็นอะไรแปลกๆ มากขึ้น ชัดเจนขึ้น"

"ยิ่งเวลาไปวัดหรือไปงานศพก็จะเห็นวิญญาณ แล้วจะรู้ว่าเขาจะได้ไปเกิดหรือเขาต้องทรมาน แล้วถ้าเราอยากจะรู้เรื่องเขา เราไปเพ่งที่ศพก็จะสื่อได้คือเขาจะมาบอกเล่ากับพี่เอง หรือบางงานก็จะเห็นยมทูตมารอเลย มีอยู่ศพนึงคนนี้โดนยิงตาย พี่ก็ได้เห็นยมทูตตัวใหญ่มากมารอเก็บวิญญาณคนๆนี้ในงานศพของเขา วิญญาณเขาก็ยังมาสื่อกับพี่ว่าความจริงเขายังไม่อยากตาย ยังห่วงลูก เขายังไม่อยากไป และเขายังบอกหมดว่าใครยิงเขาตาย ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน เพียงแต่เราบอกใครไม่ได้ และในเรื่องที่เห็นผี บางทีก็เห็นเป็นรูปร่าง บางทีก็เลือนราง บางทีก็ได้เห็นความทุกข์ทรมานของเขา อย่างไปที่ฝังศพของคนจีนบางคนก็ยังอยู่ตรงนั้น ทั้งร่างและวิญญาณ และก็เคยเห็นบางคนไปไหว้ฮวงซุ้ยเฉยๆ มีแต่ดินกับโครงกระดูกไม่มีวิญญาณเพราะเขาไปแล้ว ซึ่งการตายแล้วไปไหนแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะไปเกิด โดยอาจเป็นสัตว์หรือเป็นมนุษย์"


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.yingthai-mag.com/

71


เรื่องเล่าปรัมปราของชาวเมืองลับแล เมืองเล็ก ๆ
ที่ปัจจุบันเป็นอำเภอลับแล อำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์
ซึ่งเล่าสืบทอดกันต่อมาจนเป็นที่แพร่หลาย เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
คือเรื่อง ตำนานรักภายใต้กฎเกณฑ์แห่งความยึดมั่นในศีลและสัจจะ
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า
ชายหนุ่มจากทุ่งยั้งผู้มีอาชีพหาของป่าได้พลัดหลงเข้าไปในเขตเมืองลับแลแล้วหาทางออกไม่ได้
จนไปพบรักกับห?ิงสาวชาวลับแลแล้วอยู่กินเป็นผัวเมียกันอย่างมีความสุขในเมืองลับแลนั่นเอง

ทั้งคู่ครองรักกันมาเนิ่นนานกระทั่งมีลูกด้วยกัน
ภายใต้กฎเข้มของเมืองลับแลที่ยึดถือสัจจะเป็นที่ตั้งห้ามกล่าวคำโป้ปดมดเท็จโดยเด็ดขาด
วันหนึ่งฝ่ายชายเลี้ยงลูกอยู่บ้านตามลำพัง ฝ่ายห?ิงออกไปเก็บผักตักน้ำ
เจ้าลูกก็เกิด ร้องไห้จ้าไม่ยอมหยุดขึ้นมา พ่อคงไม่รู้จะปลอบยังไง
เลยหลุดปากออกไปว่า แม่กลับมาแล้ว ทำให้ลูกเงียบเสียงในบัดดล
แต่บรรดาท่านผู้ชมที่อยู่ไม่ห่างคือพ่อแม่ฝ่ายห?ิง
มองไปไม่เห็นลูกสาวกลับมาจริง ก็ถือเป็นความผิดอันให?่หลวง
ถึงขั้นต้องเนรเทศส่งลูกเขยกลับออกไปให้พ้นเขต

ก่อนส่งกลับยังมีการแถมของชำร่วยจัดใส่ย่ามให้เจ้าหนุ่มกลับไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย
แต่คงเป็นด้วยกรรมของคนที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในศีลในสัจจะ
ระหว่างทางรู้สึกหนักจึงเปิดย่ามดู ก็เห็นเป็นแท่งขมิ้นไม่มีค่าอะไร
เลยเดินไปทิ้งไปตลอดทาง พอกลับถึงบ้านกลับกลายเป็นว่าแท่งขมิ้นนั้น
แท้จริงเป็นทองคำแท่ง ซึ่งก็เหลือมาเพียงแท่งเดียว
ด้วยความเสียดายจึงย้อนรอยกลับไปทางเดิม
แต่ก็ไม่พบทั้งแท่งขมิ้นและเมืองลับแลอีกเลย ฟัง ๆ แล้วก็สะใจดี
สาสมกับความไม่มีสัจจะ ไม่มีน้ำอดน้ำทน ซ้ำยังเห็นของคนรักมอบ
ให้เป็นของไร้ค่าของเจ้าหนุ่มทุ่งยั้ง
แต่ก็น่าเห็นใจสาวลับแลที่ต้องเป็นแม่ม่ายเพราะคำเท็จ
ที่ไม่น่าจะร้ายแรงนัก

จากตำนานเรื่องเล่าเมืองลับแล
นอกจากจะบอกถึงความเร้นลับของเมืองลับแลที่ยาก จะมีใครพบได้แล้ว
ยังอาจสะท้อนได้ถึงวิถีชีวิตของชาวลับแลที่เปี่ยมไปด้วยศีลและสัจจะ
ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในสังคมที่วางไว้อย่างเคร่งครัด
ชาวลับแลจึงอยู่กันอย่างสุขสงบตลอดมา

แม้จะไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่ก็นับว่าเป็นอุบายที่แยบยลยิ่งในการอบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี
อย่างน้อยก็ยังรักษาศีลได้ข้อหนึ่ง นี่ก็เป็นเรื่องเล่าสนุก ๆ
ที่สืบทอดกันมา ส่วนความเชื่อเรื่องการสร้างบ้านแปลงเมือง
จนกำเนิดเป็นเมืองลับแลนั้น
มีเรื่องสืบทอดกันมาว่าชาวเมืองลับแลอพยพโยกย้ายมาเมื่อประมาณพุทธศักราช
1500 ซึ่งเป็นสมัยแห่งอาณาจักรโยนกนคร

มีราชธานีชื่อ นครนาคพันธ์สิงหนวัติโยนกชัยบุรีเชียงแสน
(ปัจจุบันคืออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย)
ครั้งนั้นราษฎรทนความทุกข์ยากอันเกิดจากสงครามและโรคระบาดไม่ไหว
พากันละทิ้ง ถิ่นฐานแยกย้ายไปหาที่ทำกินใหม่ ราษฎรประมาณ ๒๐ ครอบครัว
ภายใต้การนำของหนานคำลือ และหนานคำแสน ได้เดินทางล่องลงใต้
ตามความเชื่อว่าวิ??าณเจ้าปู่พ?าแก้ววงเมือง กษัตริย์องค์ที่ ๑๓
แห่งนครโยนก มาเข้าฝันบอกว่า มีแหล่งหากินอันอุดมสมบูรณ์
มีน้ำตกและธารน้ำไหลตลอดทุกฤดูกาล ดินฟ้าอากาศไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป

ราษฎรกลุ่มนี้ ได้อันเชิ?ดวงวิ??าณของปู่พ?าแก้ววงเมืองไปด้วย
เดินทางผ่านจังหวัดลำปาง
จังหวัดแพร่จนไปพบแหล่งทำมาหากินในฝันแห่งใหม่เมื่อถึงหุบเขาลับแล
ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศตรงตามที่วิ??าณเจ้าปู่พ?าแก้ววงเมือง คือ
มีน้ำตก ธารน้ำไหล ดินฟ้าอากาศ ชุ่มชื้น มีภูเขาเตี้ย ๆ
อุดมไปด้วยพันธุ์ไม่นานาชนิดแสงแดดส่องถึงพื้นดินเพียงครึ่งวัน

จากนั้นก็ลงหลักปักฐานตั้งบ้านเมืองขึ้นที่เมืองลับแล ให้ชื่อว่า
บ้านเชียงแสน บรรดาช้าง ม้า วัว ควาย
ที่นำมาด้วยก็ตั้งเป็นบ้านคอกควายและบ้านคอกช้างให้อยู่
(ปัจจุบันยังมีชื่อบ้านคอกควายและบ้านคอกช้างอยู่ที่ตำบลฝายหลวงและตำบลศรีพนมมาศ)
เมื่อสร้างบ้าน เมืองแล้วก็แต่งตั้งหนานคำลือเป็น "เจ้าแคว้น"
(เทียบเท่ากำนัน) หนานคำแสนเป็น "เจ้าหลัก" (เทียบเท่าผู้ให?่บ้าน)
ปกครองบ้านเมือง ๗ ปีผ่านไปด้วยความคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน

หนานคำลือก็ได้เป็นหัวหน้านำราษฎรราว 10 คน
เดินทางจากลับแลไปยังโยนกเพื่อกราบทูลให้พระเจ้าเรืองธิราช
กษัตริย์องค์ที่ 21 ของโยนก
ได้ทรงทราบถึงการตั้งหลักแหล่งทำมาหากินแห่งใหม่ของพวกตน
และขอนิมนต์พระสงฆ์กลับไปลับแล เนื่องจากที่นั่นยังขาดพระสงฆ์
พระเจ้าเรืองธิราชได้พระราชทาน พระสงฆ์จำนวน 6 รูป พระธรรม พระไตรปิฎก
และเครื่องใช้สอยเกี่ยวกับศาสนพิธี ให้หนานคำลือนำกลับไปเมืองลับแล

เมื่อกลับไปถึงได้สร้างวัดชื่อ
วัดเก้าเง้ามูลศรัทธาขึ้นเป็นวัดแห่งแรกในเมืองลับแล
(ปัจจุบันคือวัดใหม่ในตำบลฝายหลวง
อาคารวัดเดิมอยู่ตรงบริเวณสนามโรงเรียน แต่ชำรุดหักพังลงหมดแล้ว)
เรื่องราวอันเป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาแต่หนหลังของเมืองลับแลยังไม่จบลงแค่นี้
ยังมีสิ่งที่สืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบันอีกหลายเรื่อง


 
ขอบคุณที่มา...http://www.geocities.com/ikbeki/story44.html

72


ก็ขอเลี้ยวไปจุดหนึ่ง เอาแค่เป็นจุด ๆ ก็แล้วกันนะ ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นจังหวัดขอนแก่นหรือจังหวัดสุรินทร์ อาจจะเป็นจังหวัดสุรินทร์ขอโทษด้วยนะ เพราะว่ามีต้นลานมาก ขณะที่ไปถึงดงลาน ก็ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะปักกลดได้ไหม ท่านบอกว่า ที่ไหนก็ปักได้ ในเมื่อพวกกระผมคอยคุ้มครองท่านอันตรายย่อมไม่มี ก็ถามว่า ในเขตนี้จวนจะหมดเขตประเทศไทยหรือยัง ท่านก็บอกว่า ยัง ถ้าหมดเขตประเทศไทยต้องเดินไปอีกนานหน่อย

แต่ใกล้จะถึงแม่น้ำโขงอยู่แล้ว ก็เป็นอันว่า ปักกลดที่นั่น เมื่อปักกลดตอนกลางคืน ตอนนี้ไปเดี่ยว หลวงพ่อปานไม่ได้ไปด้วย ความจริงหลวงพ่อปานท่านพาไปด้านเชียงตุง อาตมาขอเลี้ยวไปด้านนี้ก่อน ในปีต่อมานะ

ก่อนที่จะปักกลด ก็ชุมนุมเทวดาบวงสรวงตามที่เคยปฏิบัติ แล้วก็อาบน้ำอาบท่ากันตามสบาย สิ่งที่พวกเราชอบใจมากก็คือ ช้าง ในเขตนั้นรู้สึกว่ามีช้างมาก ขณะที่กำลังปักกลดอยู่ ก็มีช้างโขลงหนึ่งประมาณ ๖๐ ตัว มายืนมองอยู่ ไกลประมาณสัก ๒๐๐ เมตร ไม่ห่างนัก แต่พวกเราก็มัวมุ่งอยู่กับการปักกลด ไม่ได้ไปสนใจช้าง ไม่รู้ว่าช้างมา พอหันหน้าไปเห็นเข้าช้างหัวหน้าโขลง ซึ่งเป็นช้างสีดอมีงาสั้นตัวใหญ่มาก คุกเขาลงยกวงขึ้นชูแสดงว่าทำความเคารพ ช้างทั้งโขลงก็ปฏิบัติตนเหมือนกันหมด ก็รวมความว่า เบาใจ

เมื่อปักกลดเสร็จก็ถามว่า พ่อปู่ คือ ย่าเคยบอกว่า ช้างนี่เขาชอบให้เรียกว่าพ่อปู่ ถ้าเรียกพ่อปู่ จะเป็นที่พอใจของเขามาก ถามว่าพ่อปู่ น้ำมีที่ไหนบ้าง ท่านสีดอท่านลุกขึ้น ท่านก็หันหน้าไปเดิน ๒-๓ ก้าว แล้วหันหน้ากลับมาใหม่ พวกเราก็เดินตามไป ท่านเดินนำไปข้างหน้าประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหนองน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาดมาก ท่านก็เอางวงชี้ว่า ที่นี่มีน้ำ ในเมื่อพวกเราเห็นน้ำแล้ว ก็อาบน้ำสรงน้ำกันแบบสบาย ๆ บรรดาช้างทั้งหลายก็มายื่นล้อมบ่อหันหน้าออกทั้งหมด แสดงว่าที่นั่นยังมีอันตรายมาก เพราะเป็นป่าทึบอาบน้ำเสร็จก็ขอบใจท่าน ท่านก็เดินทางกลับ พวกเราก็เข้ากลด

ตอนเข้ากลดนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็นั่งกรรมฐานกันตามธรรมดา ๆ อย่าลืมว่าพวกเราไม่ใช่พระอริยเจ้า จะเป็นพระอะไรนั่นไม่สำคัญ เป็นพระธุดงค์ก็แล้วกัน ความกลัวถามว่า มีไหม ก็ต้องตอบว่า ทุกคนถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ต้องกลัว ถ้าไม่มีความกลัว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็เป็นการฝึกเพื่อทำลายกิเลสแต่ว่าจะทำลายได้ขนาดไหนก็เป็นเรื่องของจิตใจ

เมื่อปักกลดไปแล้ว กลางคืนนั่งกรรมฐาน ปรากฏว่าเวลาประมาณตี ๒ มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ยอดกลด ก็รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดานกอะไรจะมาตอนเวลาตี ๒ จะว่าเป็นนกแร้งก็ไม่ใช่จะว่าเป็นนกกระเรียนก็ไม่ใช่ จะเป็นเหยี่ยวก็ไม่ใช่แน่ เพราะโตกว่าเหยี่ยวมาก ก็มีความเข้าใจว่า ที่นี่มีไสยศาสตร์มาก จึงถามท่านอินทกะว่า นกนั่นคืออะไร

ท่านก็บอกว่า หนังควาย เขาทำมาเพื่อให้เข้าตัวพวกท่าน แต่ผมกันไว้ ถ้าท่านอยากรู้ ก็เอาไม้แหลม มันมีไม้แหลมเล็ก ๆ อยู่ ๒-๓ อัน สำหรับไว้แคะเล็บบ้าง อะไรบ้าง เพราะมีมีดไปไม่ได้ก็แทงทะลุกลดขึ้นไปถูกนก นกก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ หล่นลงมา เป็นอันว่าอีก ๒ กลดก็เหมือนกัน เขาก็ถูกนกจับเหมือนกัน พร้อม ๆ กัน เขาก็ทำแบบเดียวกัน เขาก็ถามท่านอินทกะเหมือนกัน

พอตอนเช้า ก็ไม่ทราบว่าที่นั่นใกล้บ้าน เพราะเป็นป่าทึบ บังเอิญเป็นเขตใกล้บ้าน กำลังจะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะก็บอกว่าไม่ต้องบิณฑบาตกับต้นไม้ เพราะว่าที่นี่ประเดี๋ยวคนจะมาทำบุญ ก็ถามท่านว่า คนเขารู้ได้อย่างไรว่า คณะของเรามา ท่านบอกว่าไม่เป็นไร พวกผมบอกเขาเอง เขาอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ ให้รับบุญรับกุศลกับเขาหน่อยหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่า เมื่อคืนนี้ที่นกบินมา นั่นคือใคร ใครเป็นคนทำให้นกบินมา แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะบิน ตั้งใจจะเข้าตัว ถ้าเข้าตัวก็หมายถึงตายทันที เพราะหนังควายผืนใหญ่

ก็นั่งรอคนไม่ไปบิณฑบาต คนเขาก็นำอาหารมา พวกเราทั้ง ๓ คน ก็เอาหนังควายที่ได้เมื่อคืนนี้ มารองนั่งเป็นพรมรองนั่ง แต่ว่าคนที่มาก่อนคณะอื่นทั้งหมด ก็มีคนแต่งตัวดี ๒ คน นุ่งขาว ห่มขาว ท่าทางเรียบร้อย มีข้าวสุกสีขาวมาก และมีต้มยำพุงกับไข่ปลา ไม่เป็นอาหารของภาคอีสาน เป็นอาหารของภาคกลาง แต่คนอื่นทั้งหมดแต่งตัวรุงรังมากกว่า แต่ใช้อาหารของภาคอีสาน มีข้าวเหนียว แล้วก็มีปลาร้า ปลาจ่อม และมีส้มตำ เป็นต้น เอามาถวายคณะที่นั่งฉันข้าว ท่านเจ้าของข้าวก็บอกว่า ท่านเป็นพระภาคกลาง นิมนต์ฉันข้าวเจ้าครับ ผมนำมาถวายข้าวสวยมาก นิมนต์ฉันต้มยำ

ทั้ง ๓ องค์ ก็มองดูหน้ากัน สงสัยว่าคน ๒ คนแต่งตัวเรียบร้อยมาก ลีลาดีกว่าคนอื่นทั้งหมดก็ถามท่านอินทกะ อินทกะท่านบอกว่า ไอ้เจ้า ๒ คนนี่แหละ ที่มันทำให้นกมาจับบนหลังคากลด พุงปลากับไข่ปลาก็ฉันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหนาม หนามผูกไขว้กันไว้ ถ้าฉันเข้าไปลำไส้จะทะลุ เอาวางไว้เฉย ๆ ก่อน แล้วก็ฉันอาหารของคนอื่น เมื่อฉันอาหารของคนอื่นเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า ให้ตั้งนะโม ฯ ๓ จบ ว่า อิติปิโสฯ ๑ จบ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า

ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่ง ขณะที่นั่ง ๆ อยู่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไอ้หนังที่รองนั่งมันค่อย ๆ เล็กมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงเข่า ท่านอินทกะก็เตือนบอกว่า นี่มันเริ่มทำแล้วนะ จะให้หนังเข้าตัว เอาน้ำสำหรับจะฉันมาพรมซิ ก็พรมน้ำลงไป ปรากฏว่าหนังยืดไปตามเดิม เมื่อฉันอิ่มเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า เอาน้ำที่ฉันนี่ไปพรหมข้าว พอพรมข้าว รู้สึกว่าข้าวเป็นทรายทั้งหมด พอพรมต้มยำ ต้มยำก็เป็นน้ำธรรมดา มีหนามผูกไขว้ คนทั้งหลายพอเห็นเข้าอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า คน ๒ คน ที่ทำมาเพื่อจะฆ่าพระธุดงค์ เขาถือว่า ถ้าพระธุดงค์ได้เป็นความดีมาก เป็นคนเก่ง ชาวบ้านต่างคนก็ต่างโกรธจะทำร้ายร่างกายสองคนนั่น อาตมาก็เลยขอร้องบอกว่า อย่าทำร้ายเขาเลยเป็นเรื่องของกฎของกรรม ตามธรรมดา พระธุดงค์ต้องมีของป้องกันตัวเป็นของธรรมดา

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า เสียงก็แห้งเต็มที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธ ศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี





ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.palungjit.com/

73

หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ในวัยชราท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนานิคม) เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

ในวัยฉกรรจ์... พระเถราจารย์ท่านนี้ยึดถือธุดงค์เป็นวัตรตลอดเวลา ๙ เดือนของกาลออกพรรษาเป็นเวลานับ ๑๐ ปี

ตลอดเวลาอันยาวนานซึ่งหลวงปู่หลอดจาริกสู่ป่าเขาอันเปล่าเปลี่ยว ห่างไกลจากผู้คนพลุกพล่านและร้อนเร่าด้วยไฟกิเลส ก็เพื่อพารูปกายสังขารนี้ไปสู่ความวิเวก มุ่งหน้าฝึกจิตด้วยการปฏิบัติสมณธรรมอย่างอุกฤษฏ์ มุ่งมั่นตัดขาดปวงกิเลสทั้งหลายซึ่งเกาะติดจิตวิญญาณข้ามภพข้ามชาติเหลือที่จะนับมาแล้วให้จงได้

และในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น หลวงปู่หลอดได้เผชิญกับประสบการณ์ซึ่งไม่ผิดกับพลังแห่งสัจจธรรมที่หล่อหลอมดวงจิตให้แข็งแกร่งภายใต้สติอันมั่นคง
ดังเช่นการเผชิญกับเสือเป็นครั้งแรกในชีวิตของท่าน

"เสือ" ...เดรัจฉานผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น "จ้าวป่า" คือสัตว์กินเนื้อที่น่ากลัวที่สุด อานุภาพน่าพรั่นพรึงสุดขีดของมันจะปรากฏให้เห็นขณะออกล่าเหยื่อหรือได้รับบาดเจ็บ หรือจนตรอก
เพียงแค่เสียงเสือคำรามสะท้อนสะท้านมาให้ได้ยิน ส่ำสัตว์ในป่าดิบดงลึกก็แตกตื่นหนีกันกระเจิง

ว่ากันว่า ขนาดลิงอยู่บนยอดไม้สูงลิบ เสืออยู่บนพื้นดินโคนต้นไม้เพียงแค่เสือแผดเสียงคำรามสนั่น ลิงถึงกับมืออ่อนตีนอ่อนด้วยความหวาดกลัวสุดขีด หล่นลิ่วลงมาให้เสือตะปปกินง่ายๆเสียยังงั้นแหละ
แม้แต่สัตว์มนุษย์เช่นเราท่านก็เถอะ ต่อให้มีอาวุธปืนทรงอานุภาพสังหารเฉียบขาดในมือ ก็ยังไม่กล้าบังอาจประจันหน้ากับเสือตรงๆ
ขนาดเสืออยู่ในกรงยังอดแหยงมันไม่ได้
แต่...หลวงปู่หลอดท่านเคยเผชิญกับเสือมาแล้ว และประจันหน้าห่างกันไม่ถึง ๒ วาเสียด้วยซ้ำ

ครั้งนั้น...หลวงปู่หลอดเพิ่งจะออกธุดงค์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นที่จังหวัดอุดรธานี เดินลัดตัดป่าไปทางอำเภอหนองบัวลำภู ทะลุออกบ้านหนองภัยศูนย์ บ้านกกคร้อ กระทั่งมาถึงบ้านผาวัง
บ้านผาวัง ฝังตัวเองอยู่บนพื้นที่ของป่าซึ่งยังอุดมสมบูรณ์ และชุกชุมด้วยสัตว์ป่า โดยเฉพาะ "เสือ" ปรากฏโฉมให้เห็นเป็นประจำ
หลวงปู่หลอดเลือกทำเลปักกลดในที่อันสงบสงัดแล้วเร่งกระทำความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ใกล้ๆกับกลด หลวงปู่ทำทางเดินจงกรมเอาไว้เพื่อสลับกิริยานั่งภาวนามาเป็นยืนและเดิน

คืนนั้น...เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว หลวงปู่หลอดเปลี่ยนจากนั่งภาวนามาเป็นเดินจงกรม โดยจุดโคมเทียนแขวนไว้ที่ข้างทางเดินพอสว่างรำไร ขณะที่กำหนดกิริยาก้าวเดินโดยมีสติรับรู้ทุกเสี้ยวความเคลื่อนไหว พลันนั้น เสียงเสือก็คำรามโฮกสนั่นขึ้นมาใกล้ๆ แล้วร่างของเสือใหญ่ลายพาดกลอนได้เยื้องย่างออกมาจากเงามืดข้างๆทางเดินจงกรม

ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวสุดขีดจู่โจมโถมกระแทกหลวงปู่หลอดชนิดไม่เคยเจอมาก่อน ความรักตัวกลัวตายไม่รู้ว่ามาจากไหน อารมณ์พรั่นพรึงของจิตนี้เล่นงานสติเสียจนย่อยยับป่นปี้
ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป หากตกอยู่ในภาวะที่เสือกำลังจะเข้ามาตะปปขบขย้ำเห็นๆอยู่ห่างไม่ถึง ๒ วา ก็คงสติแตกเพราะความกลัวไปแล้ว
สำหรับหลวงปู่หลอดผ่านการฝึกจิตควบคุมสติมาพอสมควร จึงเสียศูนย์ไปแค่วูบเดียว วูบหนึ่งที่กลัวจนเลยขีดสุด ความกลัวก็ดับวูบไปเหลืออยู่แต่ตัว "สติ" จะอยู่หรือตายก็ไม่สำคัญอีกต่อไป จิตวูบเข้าไปยึดเหนี่ยวพระบารมีของพระพุทธเจ้าแนบแน่น คิดอยู่แต่ว่าถ้ามีกรรมกับเสือตัวนี้มาก่อนก็ให้มันฆ่ามันกินไปเสียเถอะ จะได้ชดใช้หนี้เวรหมดสิ้นกันเสียที

แล้วหลวงปู่ก็หลับตาปิดสนิท พุ่งจิตไปที่คำภาวนา "พุทโธ" กำหนดลมหายใจเข้าออกตามแนวทางอานาปานสติ จิตก็ดิ่งสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
ไม่รับรู้ว่ามีเสืออยู่หรือไม่ ไม่มีความเป็นความตายหลงเหลืออยู่แต่อย่างใด
จิตสงบเงียบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน กระทั่งใกล้เวลาเกือบฟ้าสาง จิตจึงค่อยคลายออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้นดูปรากฏว่าเสือหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเสือมันหายไป ทางไหนและไปเมื่อไหร่ หลวงปู่หลอดก็บังเกิดธรรมปีติอย่างล้นพ้น

รู้แล้วว่าอานุภาพแห่งสมณธรรมนั้นทรงพลังสุดจะประมาณได้
รู้แล้วว่ากฎแห่งกรรมนั้นเป็นเช่นไร
และรู้แล้วว่าวิถีทางที่จะปฏิบัติสืบต่อไปเบื้องหน้านั้นควรกระทำอย่างไร

หลายพรรษาผ่านไป...กระทั่งถึงกาลออกพรรษาหนึ่ง หลวงปู่หลอด ปฏมทิโต ได้จาริกธุดงค์ไปกับ หลวงปู่บัวพา ปัญญาพาโส แห่งวัดพระสถิตย์ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เพียง ๒ รูปโดยมุ่งหน้าไปทางบ้านนาศรีนวลผ่านบ้านห้วยหีบ บ้านนาตะงอย บ้านจันทร์เพ็ญ จากนั้นก็ถึงบ้านควนปุ่น
บ้านควนปุ่นแห่งนี้อยู่ติดเชิงเขา ภูมิประเทศเป็นป่าดงกันดาร ชาวบ้านทำไร่ทำนหาเลี้ยงชีวิตไปตามประสา เมื่อหลวงปู่หลอด หลวงปู่บัวพามาถึงเชิงเขาบ้านควนปุ่นจึงได้ปักกลดอยู่ห่างจากหมู่บ้านตามสมควร ด้วยเห็นเป็นสถานที่ร่มรื่นสงบสงัดเย็นกายเย็นใจ และเหมาะสมที่จะกระทำความเพียรสักระยะหนึ่ง
ชาวบ้านควนปุ่นเห็นพระธุดงค์กรรมฐานมาปักกลดบำเพ็ญธรรม ก็พากันมากราบไหว้หลายคน ในจำนวนนี้มีหญิงวัยกลางคนชื่อ "คำต้น" รวมอยู่ด้วย
แม่คำต้น แนะนำตัวเองว่าเป็นคนทรงผีประจำหมู่บ้าน เวลาชาวบ้านมีเรื่องราวเดือดร้อนอะไร หรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาหาแม่คำต้น ให้แม่คำต้นเข้าทรงผี แล้วผีที่สิงร่างจะให้คำแนะนำต่างๆให้กลับไปปฏิบัติ ซึ่งก็ต้องมีการจัดหาเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆมาบูชาผีให้ผีได้เสพทุกครั้งไป


แม่คำต้นเล่าถวายพระธุดงค์กรรมฐานต่อไปอีกว่าเป็นคนทรงผีนี้ลำบากทรมานเหลือเกิน จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพราะกลัวจะผิดผี เวลาทำผิดผีคราวใดผีก็จะเข้าสิงจนหมดสติไม่รู้สึกตัว ผีต้องการให้ทำอะไรก็ต้องทำตามที่ผีบัญชาทุกอย่ง ไม่มีความสุขสบายเช่นคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย เพราะผีที่เข้าสิงไม่ได้มีตัวเดียว หากมีผีหลายตัวคอยรบกวนไม่ได้หยุด


แม่คำต้นถามหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาว่า ท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลืออย่าให้ผีเข้าสิงได้หรือไม่ อยากให้ไล่ผีออกไปจากร่างไม่ต้องการให้ผีมากระทำเช่นที่ผ่านมาอีก

หลวงปู่หลอดจึงถามว่า "โยมคิดอย่างไร ถึงไม่อยากเป็นคนทรงต่อไปอีกล่ะ"
แม่คำต้นตอบว่า "...เกิดจากข้าน้อยฝันประหลาดเหลือหลาย คือในคืนหนึ่งกำลังหลับสนิท ฝันว่าข้าน้อยอยู่ในห้องหนึ่ง มีประตูสองบานอยู่คนละฟาก ประตูหนึ่งมีชายร่างสูงใหญ่ดำมืดไปทั้งตัวยืนอยู่ อีกประตูหนึ่งมีพระแก่ชรารูปหนึ่งยืนอยู่ ชายสูงใหญ่ตัวดำมืดบอกให้ตามเขาไป พระผู้เฒ่าก็บอกให้ตามท่านไปเช่นกัน ในฝันนั้นข้าน้อยก็เกิดความลังเลไม่รู้ว่าควรจะไปกับใครดี ในที่สุดก็เชื่อว่าพระต้องดีกว่าผีแน่ จึงตัดสินใจไปกับพระ จากนั้นได้ตกใจตื่น..."
แม่คำต้นเชื่อมั่นว่าความฝันต้องเป็นความจริงแน่ๆ เพราะเพิ่งฝันเมื่อคืนนี้เอง พอล่วงเข้าตอนบ่ายพระธุดงค์คือหลวงปู่หลอดกับหลวงปู่บัวพาก็มาถึงหมู่บ้าน แม่คำต้นได้ขอให้หลวงปู่หลอดเมตตาช่วยเหลือด้วยเถิด

หลวงปู่หลอดได้ปรึกษากับหลวงปู่บัวพาว่าพอจะช่วยโยมคำต้นได้หรือไม่ เพราะหลวงปู่บัวพานั้นท่านเก่งทางพุทธาคมไสยเวท มีความชำนาญในการสงเคราะห์ญาติโยมที่ถูกผีเข้าสิงหรือถูกกระทำทางคุณไสย
หลวงปู่บัวพาบอกว่าถ้ามีหลวงปู่หลอดช่วยอีกแรงหนึ่งก็คงสงเคราะห์ให้ได้ แม้วิญญาณจะกล้าแข็งสักเพียงใดก็คงไม่อาจต้านทานกระแสจิตของสมณะถึงสองรูปได้แน่นอน

ดังนั้นหลวงปู่หลอดจึงบอกให้แม่คำต้นมาทำพิธีในวันรุ่งขึ้นและกำชับให้พาลูกหลานมาด้วยหลายคน เพราะเวลาวิญญาณที่สิงร่างอาละวาดจะมีกำลังแรงเกินคนธรรมดาหลายเท่า
ชาวบ้านนอกชนบททางภาคอีสานสมัยก่อนนั้นมีความเชื่อและนับถือผีกันแทบทุกบ้าน เวลาใดที่เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือทำไรทำนาไม่ได้ผลอุดมสมบูรณ์ ก็มักคิดว่าเกิดจากการดลบันดาลของภูตผี หรืออาจจะทำให้ผีขุ่นเคืองไม่พอใจ
ดังนั้นจึงมีการบูชาผีด้วยเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆ ทั้งๆที่ผีไม่ได้กระทำกลั่นแกล้งแต่อย่างใด หากเป็นเพราะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยไข้ป่าหรือไข้มาเลเรียถึงขั้นขึ้นสมอง จึงมีอาการเพ้อคลั่งไปต่างๆนานา ชาวบ้านไม่มีการศึกษาไม่รู้สมมติฐานของโรคก็เชื่อไปว่าถูกผีกระทำเอา หรือพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่เจริญงอกงามเนื่องจากดินฟ้าอากาศแปรปรวน หรือดินจืดขาดปุ๋ย ชาวบ้านก็เหมาเอาว่าภูตผีดลบันดาลด้วยความไม่รู้ข้อเท็จจริง

ส่วนที่ว่าถูกผีกระทำ ถูกผีสิง หรือมีเหตุการณ์ผิดปกติอันเนื่องกับอำนาจของภูตผีปีศาจนั้นได้เกิดขึ้นจริงๆก็มี ในกรณีเช่นนี้ขออธิบายแต่เพียงย่อๆว่า ผีหรือวิญญาณของผู้ตายนั้นไม่มีรูป สัมผัสไม่ได้ การติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผีกระทำได้ด้วยจิตทางเดียว ถ้าจิตของคนไม่เปิดรับ คือไม่ยอมรับอำนาจกระแสจิต วิญญาณของผีก็ไม่สามารถต่อเชื่อมกับกระแสจิตคนได้ การติดต่อรู้เห็นซึ่งกันและกันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

ขอให้สังเกตว่า...ในเขตเมืองหรือชุมชนที่เจริญแทบไม่มีเรื่องผีมาปรากฏเลย ทั้งนี้ก็เพราะผู้คนซึ่งเจริญแล้วด้วยการศึกษาพอสมควรไม่เชื่อว่าพลังอำนาจของผีมีจริง ไม่ยอมรับหรืออาจต่อต้านเสียด้วยซ้ำ จิตที่ไม่เชื่อไม่ยอมรับก็เท่ากับปิดประตูสนิท ตัดขาดการติดต่อกับกระแสจิตวิญญาณไปโดยปริยาย ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะมีใครพบเห็นผีเข้าสิงชนิดจังๆในเขตเมืองที่เจริญแล้ว
แต่คนบ้านนอกอยู่ห่างไกลความเจริญ มีความเชื่อว่าผีมีจริงๆมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยิ่งประกอบกับบรรพบุรุษนับถือผี ได้รับรู้รับเห็นพิธีกรรมเซ่นสรวงสังเวยบูชาผีเข้าไปอีก จิตของบุคคลเหล่านี้เท่ากับเปิดประตูรับกระแสจิตวิญญาณโดยไม่เคลือบแคลงสงสัย ดังนั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผีจึงเกิดขึ้นได้ง่าย
ดังนั้น เรื่องผีเข้าสิงและทรงผีจึงมิใช่เป็นเรื่องงมงายไร้สาระไปเสียทีเดียว
ดังเช่นรายแม่คำต้นนี้ หลวงปู่หลอด "พิจารณา" แล้วเห็นว่าตกอยู่ใต้อำนาจจิตวิญญาณจริงๆ ท่านกับหลวงปู่บัวพาจึงตกลงรับปากช่วยสงเคราะห์ ให้ตามกำลัง

เช้าวันรุ่งขึ้น...หลวงปู่ทั้งสองได้ไปบิณฑบาตรที่หมู่บ้านควนปุ่น กลับมาที่กลดก็กระทำภัตตกิจเป็นที่เรียบร้อย กระทั่งสายพอสมควร แม่คำต้นและลูกหลานตลอดจนชาวบ้านซึ่งรู้ว่าแม่คำต้นจะเลิกเป็นคนทรงผีเด็ดขาด ก็รวมกลุ่มกันมาที่กลดของหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพา

หลวงปู่ทั้งสองได้ถามย้ำแม่คำต้นว่า ตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดแล้วหรือ แม่คำต้นก็ยืนยันเป็นมั่นคงว่าจะไม่ยอมเป็นทาสผีอีกต่อไป หลวงปู่บัวพาจึงได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ในบาตร และให้แม่คำต้นรับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
จากนั้นก็บอกให้แม่คำต้นสงบใจตั้งจิต รำลึกนึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์เอาไว้ให้แน่วแน่ แล้วหลวงปู่บัวพาก็กล่าวนำไหว้พระเริ่มต้นที่ "อิติปิโสภควา...."

ระหว่างนั้น หลวงปู่หลอดก็รวมจิตลงสู่สมาธิแผ่กระแสกุศลเมตตาเป็นพลังช่วยหลวงปู่บัวพาอีกทางหนึ่ง เมื่อแม่คำต้นสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วก็นั่งพนมมือหลับตา พยายามทำจิตน้อมรำลึกถึงพระรัตนตรัย ขณะที่หลวงปู่บัวพาสวดพุทธาคมทำน้ำพระพุทธมนต์ไล่ผี

ตอนแรกๆแม่คำต้นก็นั่งนิ่งเฉยเป็นปกติ พอเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งก็เกิดอาการกระสับกระส่าย ร่างกายสั่นเทิ้มไม่ได้หยุด พร้อมกับส่งเสียงครางเครือในลำคอตลอดเวลา พอดีกับหลวงปู่บัวพาทำน้ำพระพุทธมนต์เสร็จสิ้นท่านจึงใช้กำหญ้าคาจุ่มน้ำพระพุทธมนต์พรมไปที่แม่คำต้น
ทันทีที่หยาดน้ำพระพุทธมนต์กระทบร่างแม่คำต้น หญิงวัยกลางคนก็กรีดร้องสุดเสียง ทะลึ่งพรวดสุดตัวประหนึ่งน้ำพระพุทธมนต์เป็นน้ำร้อนเดือดพล่าน ญาติพี่น้อง ๔-๕ คนซึ่งคอยทีอยู่แล้วต่างถลันเข้าไปช่วยกันจับยึดตัว แม่คำต้นเอาไว้ทั้งแขนทั้งขา ก่อนจะดิ้นรนเกลือกกลิ้งไปกับพื้น

แม่คำต้นไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่อ้วนล่ำแต่อย่างไร ออกจะเป็นหญิงร่างเล็กและผอมบางเสียด้วยซ้ำ แต่เวลานั้นไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ญาติพี่น้องซึ่งช่วยกันจับยึดเป็นชายฉกรรจ์ก็หลายคน ส่วนที่เป็นหญิงจัดว่าร่างใหญ่แข็งแรงเอาการทีเดียว กระนั้นแต่ละคนก็ต้องออกแรงจับกดกันจนเหงื่อหยดโซมหน้า
หลวงปู่บัวพาท่านสาธยายมนต์ไม่หยุด พร้อมกับพรมน้ำพระพุทธมนต์เข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แม่คำต้นพยายามดิ้นสะบัดให้หลุดจากคนหลายคนที่จับยึดเอาไว้แน่นจนตัวแอ่น เบิ่งนัยน์ตาขุ่นขวางแทบถลนออกนอกเบ้า หน้าตาบิดเบี้ยวถมึงทึงเหมือนไม่ใช่แม่คำต้นคนเดิม คำรามเสียงแหบห้าวอย่างกราดเกรี้ยวว่า

"เอาน้ำร้อนมารดกูทำไม! กูร้อน! ปวดแสบปวดร้อนทนไม่ไหวแล้ว! หยุดสาดน้ำร้อนใส่กูเดี๋ยวนี้! หยุดเดี๋ยวนี้!"

หลวงปู่บัวพาและหลวงปู่หลอดมิได้โต้ตอบแต่อย่างใด หลวงปู่บัวพายิ่งพรมน้ำพระพุทธมนต์หนักมือกว่าเดิมเข้าไปอีก แม่คำต้นก็อาละวาดด้วยกิริยาโกรธแค้นสุดขีด ปากก็ตะโกนโวยวายไม่ยอมหยุด หลวงปู่บัวพาบอกให้ผีที่แอบสิงอยู่ในร่างแม่คำต้นออกไปเสีย แต่ผีก็ยังดื้อดึงสุดฤทธิ์ทั้งๆที่ท่าทางของมัน (แม่คำต้นแสดงออกมา) กำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
คราวนี้หลวงปู่บัวพาไม่พรมน้ำพระพุทธมนต์แล้ว หากยกบาตรขึ้นเทน้ำพระพุทธมนต์รดลงไปที่กลางกระหม่อมแม่คำต้นตรงๆ หญิงกลางคนซึ่งเป็นร่างทรงของผีทะลึ่งพรวดสุดตัว นัยน์ตาเหลือกค้างเห็นแต่ตาขาว หวีดร้องโหยหวนน่าขนพองสยองเกล้า

"โอย...ทนไม่ไหวแล้ว...ข้ายอมแล้ว...จะออกไปแล้ว...อย่าทำข้า"

สิ้นคำร้องร่ำไม่เป็นส่ำ ตัวแม่คำต้นก็อ่อนยวบฟุบหมอบคาที่ หลวงปู่บัวพารดน้ำพระพุทธมนต์ที่เหลือในบาตรลงไปบนศีรษะจนหมด คราวนี้แม่คำต้นไม่มีปฏิกิริยาอะไร คงฟุบหมอบหายใจระรวยแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นแสดงว่าวิญญาณผีที่แอบแฝงสิงร่างอยู่เตลิดเปิดเปิงหนีหายไปหมดแล้ว
พักใหญ่ๆแม่คำต้นจึงได้ฟื้นคืนสติ เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางมึนงงเต็มที่ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองบ้างขณะที่วิญญาณผีร้ายเข้าสิงญาติพี่น้องต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังกระทั่งผีออกไปจากร่าง แม่คำต้นก็ปีติดีใจนักที่หลุดพ้นจากอำนาจผีเสียที หลังจากเป็นทุกข์ทรมานมานานหลวงปู่บัวพากับหลวงปู่หลอด ได้ผูกข้อมือแม่คำต้นด้วยด้ายสายสิญจน์และทำมงคลคล้องคอให้อีก เพื่อป้องกันไม่ให้ผีแอบแฝงมาเข้าสิงต่อไป

นับแต่นั้น...แม่คำต้นร่างทรงผีก็ไม่ปรากฏมีผีมาเข้าทรงเข้าสิงอีกเลย ทว่า หลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาก็ต้องอยู่ที่บ้านควนปุ่นต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะผีซึ่งเข้าสิงแม่คำต้นได้กลับไปรังควานชาวบ้านคนอื่นๆ เป็นภาระให้หลวงปู่ทั้งสองต้องทำพิธีไล่ออกหลายราย
หลวงปู่หลอด จึงได้ให้ชาวบ้านควนปุ่นมารับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะทุกคน แล้วสอนให้สวดมนต์ไหว้พระและปฏิบัติภาวนาพร้อมกันนั้นยังสอนให้ทุกคนรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม

ในที่สุดชาวบ้านควนปุ่นก็ไม่มีภูตผีวิญญาณร้ายใดๆ มาแสดงฤทธิ์ข่มเหงรังแกอีกเลย...

หลวงปู่หลอดจาริกธุดงค์ไปกับหลวงปู่บัวพาผู้เป็นสหธรรมมิกตลอดพรรษานั้น ตราบถึงกาลเข้าพรรษาจึงได้แยกย้ายไปจำพรรษาต่างอารามกัน
หลังออกพรรษาทุกๆปี หลวงปู่หลอด ปโมทิโต จะถือธุดงค์เป็นวัตรตลอดมา กล่าวได้ว่าหลวงปู่หลอดจาริกไปทั่วทั้งภาคเหนือและภาคอีสานท่องไปในป่าดิบดงกันดารสู่สถานวิเวก เพื่อกระทำความเพียรสะบั้นภพชาติซึ่งร้อยรัดสัตว์โลกเอาไว้อย่างเหนียวแน่นนับอนันตกาล

ประสบการณ์ธุดงค์ของหลวงปู่หลอดมีมากมาย ทั้งเป็นเรื่องอัศจรรย์เหนือโลกเหนือวิสัย เกินกว่าที่วิทยาการสมัยใหม่จะทดสอบพิสูจน์ได้ เรื่องใดที่ท่านไปพบเห็นสัมผัสมาแล้ว และเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ในทางธรรมซึ่งพุทธศาสนิกชนควรพึงมีพึงได้ หลวงปู่ก็จะละเว้นไม่นำพามากล่าวถึง นอกจากบางเรื่องที่ท่านเห็นว่า ถ้าเปิดเผยออกไปแล้วน่าจะทำให้เกิดสะดุ้งกลัวต่อบาปเวร หรือฉุกคิดถึงสัจธรรมขึ้นมาจึงจะถ่ายทอดให้ได้รับรู้

มีอยู่คราวหนึ่ง...หลวงปู่หลอดเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ไปถึงอำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง มีแม่ชีคนหนึ่งชื่อแม่ชีตุ้มและอุบาสิกาคำซึ่งเป็นชาวเขานุ่งดำห่มดำไปปฏิบัติธรรมที่ "ถ้ำแม่แก่ง" ขณะกำลังนั่งสมาธิกรรมฐานอยู่นั้น ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาในถ้ำ และมีเสียงร้องคร่ำครวญให้ช่วย จึงได้แผ่เมตตาให้แก่วิญญาณซึ่งทุกข์ทรมานเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณซึ่งปรากฏ ณ ถ้ำแม่แก่งยังคงวนเวียนอยู่

หลวงปู่หลอดจึงได้ไปปฏิบัติสมณธรรมกรรมฐานที่ถ้ำแม่แก่ง และท่านก็ได้สัมผัสรับรู้ถึงวิญญาณทรมานซึ่งวนเวียนอยู่ที่ถ้ำแม่แก่ง
พวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวไทยใหญ่ มีอาชีพค้าขายเพชรพลอยซึ่งเดินทางจากฝั่งพม่ามาไทยเป็นประจำ วันหนึ่งถูกพวกผู้ร้ายใจบาปเข้าปล้นแย่งชิงอัญมณีมีค่าและเงินทองติดตัวไปจนหมด แล้วฆ่าปิดปากทุกคน จากนั้นได้นำศพมาฝังไว้ใกล้ๆกับถ้ำแม่แก่งเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยการกระทำความผิดอย่างมหันต์ของตน

วิญญาณของชาวไทยใหญ่พ่อค้าเพชรพลอย ซึ่งต้องมาตายอย่างไร้ญาติขาดมิตรกลางดงกันดาร จึงเกาะติดยึกเหนี่ยวอยู่ ณ บริเวณนี้ด้วยความทรมาน รอคอยผู้ทรงศีลบริสุทธิ์มาเมตตาช่วยให้หลุดพ้นไปจากสถานที่นี้นานแสนนานแล้ว
เมื่อหลวงปู่หลอดรับรู้เช่นนั้น ท่านจึงอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ท่านได้ปฏิบัติมาแผ่เมตตาออกไปให้แก่ปวงวิญญาณทรมานทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ

ตั้งแต่นั้น เสียงคร่ำครวญโหยหวนที่ปรากฏ ณ ถ้ำแม่แก่งก็สูญสิ้นหายไป...





ขอบคุณที่มา...จากหนังสือ "พระเจอผี" โดย นที ลานโพธิ์

74
บทความ บทกวี / เสกโลกุตระ...
« เมื่อ: 03 มี.ค. 2553, 10:33:30 »

เสกโลกุตระ

            ช่วงพรรษาที่ ๑๐-๑๗ อาตมาย้ายไปอยู่ที่ วัดสุคนธาวาส  ต.พรุพี อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ได้ทราบข่าวว่าที่ จ.สุราษฎร์ธานีมีความทุกข์ยากมาก มีการยิงฆ่ากันตายระหว่างคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลและชาวบ้าน ทีแรกก็ยังไม่หยากไป พอไปอยู่ที่วัดชายนาวันหนึ่งหัวหน้าผู้ก่อการร้ายได้ส่งคนไปลอบฆ่าอาตมาที่วัดชายนา แต่ถูกจับได้เสียก่อนและสารภาพหมดว่าเขาส่งมาฆ่า เพราะฉะนั้นก็บุกเขาดีกว่า บุกให้หมดเลย ไหน ๆ เขาก็จะทำลายพระพุทธศาสนาเราแล้ว ก็เลยออกจากวัดชายนา อาตมาออกจากวัดชายนาไปอยู่วัดสุคนธาวาส ต.บ้านนาสาร เพื่อช่วยหลือชาวบ้าน จำเป็นต้องมาอยู่เพื่อช่วยเหลือคนให้รอดตาย สละชีวิตไปแล้วว่าต้องโดนหนักแน่
            อาตมาอยุ่วัดสุคนธาวาสนี้ ๑๐ ปี ต่อสู้กับฝ่ายผู้ก่อการร้าย นายทหาร เจ้าหน้าที่ บุคคลที่ไม่มีความเป็นธรรม ชาวบ้านถูกเขาฆ่าตายมากก็ช่วยเหลือให้รอดตายมาเป็นจำนวนมากทีเดียว เพราะห็นว่าถ้าเราไม่ไปทำอย่างนั้น ศาสนาของเราจะหมด และการรบราฆ่าฟันจะเพิ่มมากมาย อาตมาจำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่น เขายิงกันตายทุกวัน ทิ้งระเบิดบ้าง อะไรบ้าง ต่อมาเรียกประชุมแม่หม้ายได้ ๗๐๐ กว่าคนที่ผัวถูกฆ่าตายไปมาสอบถามได้ความว่า ถูกเจ้าหน้าที่ฆ่าบ้าง ผู้ก่อการร้ายฆ่าบ้าง ฆ่ากันเองบ้าง ล้วนแต่เรื่องการเมือง อาตมาได้พยายามชักชวนทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ก่อการร้าย ไม่ให้ฆ่าประชาชน


            อาตมาก็ไปหา หลวงพ่อคล้าย ให้ช่วยปลุกเสกให้ยิงไม่ออกจะปราบปืนให้หมดเลย มันกำลังยิงกันอยู่ มีแต่ที่เขาเขาจะฆ่าอาตมา แล้วพวกเราที่เป็นชาวพุทธก็ตายไปเรื่อย จำเป็นต้องลุกขึ้นต่อสู้แบบใดแบบหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่ต้องจับอาวุธ เอาธรรมาวุธ   ไปขอให้หลวงพ่อคล้ายท่านช่วยปลุกเสกของช่วยป้องกันให้ยิงไม่ออก   หลวงพ่อคล้ายท่านบอก " แล้วทำอย่างไร หลวงพ่อ คนตายกันมาก อุบาสกในวัดนี้คนสำคัญตายแล้ว ถูกยิงตายไปแล้ว" ท่านก็บอกว่า " เออ มันเกิดมาฆ่ากันจริงๆ เอาอย่างนี้ดีกว่า เอายิงไม่ถูกดีกว่า ถูกไม่เข้าและเข้าก็ไม่ตาย " อาตมาก็ว่า " หลวงพ่อ ผมอยากได้ยิงไม่ออก " ท่านบอกว่า " ยิงไม่ออกปืนก็เสีย มันมีค่า เอายิงไม่ถูก ถูกไม่เข้า เข้าไม่ตาย เถอะ " อาตมาก็ตอบตกลงว่า " เอ้า ตกลง ผมเอาแล้วครับหลวงพ่อครับ ผมทำเองมันเสื่อม ทำอย่างไรล่ะ ถ้าผมรับประกันแล้ว เขายังตาย มันเสื่อม ผมเสกทำมาแล้วไม่ได้ผล " ท่านบอกว่า " โลกุตระซิ " อาตมาก็ถามว่า " เอ๊ โลกุตระมีหรือหลวงพ่อ การปลุกเสกมันเดรัจฉานวิชา " ท่านบอกว่า " คุณอย่าพูดเดรัจฉานวิชามันหนักไป คำพูดนั้นเสกโลกุตระ มันไม่เสื่อม เอาไปฝังในดินก็ได้ไม่เสื่อม ใส่กางเกงก็ไม่เสื่อมหรอก โลกุตระ " อาตมาก็ถามท่านอีกว่า " เอ หลวงพ่อเป็นอย่างไรโลกุตระ " ท่านตอบว่า " คุณทำกรรมฐานเป็นอาจารย์วิปัสสนา ทำไมไม่เข้าใจโลกุตระ " อาตมาตอบท่านว่า " ผมเข้าใจวิปัสสนา แต่ผมไม่เข้าใจปลุกเสก " แล้วท่านบอกอย่างนี้ว่า " เอาผ้าเช็ดหน้ามาผืนหนึ่ง ผ้าเช็ดปากของท่านก็ได้ เสกนี่ไหม เอาเสกนี่ ให้นึกว่า ว่างหมดในผ้านี้ ว่างๆ ๆ ๆ ไม่มีอะไรทั้งหมด ว่าหมด ไม่มีใครปลุกเสก ไม่มีใครถูกฆ่า ไม่มีใครเบียดเบียนกัน พอจิตว่าบริสุทธิ์ ไม่มีใคร ไม่มีผู้หญิงไม่มีผู้ชาย ไม่มีตัวเราแล้วเสกอะไรก็ได้ "อาตมาถามว่า " แล้วหลวงพ่อเสกอะไร เมื่อจิตหลวงพ่อเป็นโลกุตระว่างแล้ว จนเป็นโลกุตระ หลวงพ่อเสกอะไร ท่านบอกว่า " พุทธัง อะระหังพุทโธ ธัมมัง อะระหังพุทโธ สังฆัง อะระหังพุทโธ เท่านั้นเอง ก็ให้เข้าโลกุตระ ถ้าคุณเสกประจำ คุณเป็นพระอรหันต์ด้วยในชาตินี้ "โอ้จริง อาตมาเข้าใจแล้ว เชื่อทันทีเพราะว่าเสกด้วยความว่างหมด ไม่มีกิเลส ท่านบอกว่า " ผมก็แก่แล้ว ผมจะอยู่ไม่นาน ผมจะบอกคาบให้คุณ " คำว่า " คาบ " คือการเสกให้ว่าง ในผ้านี้ พอจิตแวบนึกไปหาใครจะจบคาบเลย จะเสกต่อไปไม่ได้ พอเรานั่งทำว่างอยู่ พอจิตถึงเรื่องหมู ว่าหมู หมูอรหันต์ๆ ๆ ใช้ไม่ได้ ถ้านึกถึงผู้หญิง ว่าผู้หญิงอรหันต์ๆ ๆ มันเข้ามาทั้งผู้หญิงอรหันต์อยู่ ใช้ไม่ได้ พอจิตว่างบริสุทธิ์ดีก็ว่า ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น เสร็จแล้วก็ยกให้เขาไป นั่นแหละโลกุตระไม่เสื่อม ถ้าหากว่าไม่ใช่กรรมเก่าเขาก็ไม่เป็นอะไร พอหลวงพ่อคล้ายบอกให้อาตมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาตมาก็บอก " หลวงพ่อไม่ต้องอธิบายมาก ผมเข้าใจ " อาตมาดีใจมากทีเดียว คืออาตมาทำถูกแล้ว แล้วก็ถามอีกเพื่อให้แน่ใจ เอากระดาษมาแล้วพูดกับท่านว่า  " หลวงพ่อครับกระดาษนี่มันบางนะครับผมนึกว่าจิตอยู่ในกระดาษนี้ ละเอียดที่สุด แกร่งที่สุด แข็งที่สุดแล้วแคล้วคลาดที่สุด อย่างนี้ถูกไหมครับหลวงพ่อครับ "ท่านตอบว่า " ถูกๆ ๆ ใช้ได้แล้ว กระดาษมันไม่มีความหมายหรอก แต่ว่าอำนาจจิตมันมีความหมาย "อ๋อ อย่างนั้นดีใจ อาตมาลุกขึ้นรีบกลับจะมาช่วยคน สักประเดี๋ยวหลวงพ่อท่านก็ให้ โกล้วน ตามมา บอกให้กลับไปหาท่านอีกโกล้วนบอกว่า " ท่านอาจารย์ หลวงพ่อบอกให้ไปเร็วๆ "เอ๊ะ สงสัยหลวงพ่อท่านจะให้อะไรเป็นของดี คิดว่าฟันหรืออะไรของท่านสักอย่าง ดีใจ พอไปถึง ท่านก็ถามว่า" คุณดีใจมากไหม " อาตมาตอบว่า " ครับผมดีใจ " ท่านว่า " ไม่ได้ ดีใจไม่ได้ คุณต้องฝึกโลกุตระ ดีใจมันเป็นโลกีย์ ไม่ได้คุณต้องฝึกใหม่ " อาตมาถามว่า " ทำอย่างไรหลวงพ่อ " ท่านสอนให้ว่า " ก็คุณอย่าดีใจสิแล้วคุณอย่าเสียใจนะ ทำใจให้ดีให้ว่าง " อาตมารับปากว่า " ครับผมไม่เสียใจ " ท่านบอกว่า " มาๆ ๆ " พอเข้าไปถึง ท่านให้คุกเข่าลงที่ตัก แล้วเอามือตบลงที่หัวอาตมาแล้วบอกว่า " คุณระวังใจให้ดีนะ "  อาตมาตอบ " ครับผมระวังแล้วผมไม่เสียใจหรอก แต่ยังดีใจอยู่ " ท่านบอกว่า " นี่ยังดีใจอยู่ล่ะ ถ้าดีใจกับเสียใจมันคู่กันนะ " อาตมาตอบอีกว่า " จริงครับผมดีใจ " ท่านบอกอีกว่า " เอ้อ คุณอย่าดีใจ อย่าเสียใจ ทำใจให้เป็นกลาง คุณทำจิตให้ว่างสิ " อาตมาก็นึกว่าดีใจก็ไม่เอา ว่างๆ ๆ แล้วบอกกับหลวงพ่อว่า " หลวงพ่อครับจิตว่างแล้ว ไม่ดีใจแล้ว ว่างแล้ว " ท่านบอกว่า " ที่คุณเอาไปเสกช่วยเหลือไม่ให้ถูกยิงตายนั้นดีครับ คุณช่วยไว้คุณมีบุญด้วย คุณช่วยได้ด้วย แต่ที่จะช่วยไม่ได้น่ะคือ อนันตริยกรรม ฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระสงฆ์ ทำลายผู้มีศีล ฆ่าผู้มีศีล ทำลายพระโพธิสัตว์ ไม่มีเครื่องรางของขลังใดในโลกช่วยได้ โลกุตระก็ช่วยไม่ได้ พระโมคคัลลานะตีมารดากระดูกหัก ต้องใช้กรรม ได้ถูกโจรตีทั้งที่เป็นเอตทัคคะบุคคล ก็ไม่พ้นนะคุณ "
            พอหลวงพ่อพูดอย่างนั้นใจอาตมาตกทันที คือกลัวว่าอาตมาไปรับรองว่าเขาไม่ถูกฆ่าตาย หากใครถูกฆ่าตาย เขาไม่เชื่ออาตมาก็หนีจากอาตมาไปหมดอีก จิตตก แล้วท่านรู้ทันที หลวงพ่อพูดขึ้นมาอีกว่า " ผมบอกคุณว่าอย่าเสียใจ คุณเสียใจใช่ไหมว่าช่วยเขาไม่ได้ คุณกลัวจะถูกคนมีกรรมใช่ไหม "  อาตมาบอกว่า " ครับๆ " หลวงพ่อรู้หมดเลย ที่อาตมาคิดอะไรบอกได้หมอเลย  หลวงพ่อบอกอีกว่า " นี่คุณแบบนี้ ถ้าถูกคนมีกรรมก็ไม่ต้องช่วยกัน คุณนั่งทำสติใหม่ เอ้าลุกขึ้นนั่ง " ท่านบอกให้อาตมานั่ง ถามว่า " ทำจิตว่างได้ไหม " อาตมาตอบว่า " ครับ ผมทำจิตว่างแล้วครับ หลวงพ่อผมจิตว่างแล้ว "  หลวงพ่อบอกว่า " เออ คุณทำเร็วดี ว่างแล้วคุณฟังนะ เสียใจก็ไม่ได้ ดีใจก็ไม่ได้ ที่คุณคิดกลัวว่าเขาจะถูกฆ่าตาย แล้วคุณจะหมดกำลังใจ คุณคิดผิด คุณต้องคิดตามผม "  อาตมาตอบ " ครับ ผมตามหลวงพ่อหมดเลย ผมนับถือหลวงพ่อมากในชีวิตผม "  ท่านบอกว่า " ร้อยคน ถ้าทำอนันตริยกรรมมา ๒ คน คุณช่วย ๙๘ คน คุณว่าดีไหม แต่คุณช่วยทั้งร้อยไม่ได้หรอกทั้งโลกนี้ คุณทำไม่ได้ แม่ค้าขายลางสาด ลางสาดเปลือกข้างนอกนั้นเขาปอกทิ้งไป เขากินเนื้อใน เมล็ดในก็ทิ้งอีก ทิ้งสองอย่างนะคุณแล้วก็ขายเป็นกิโลฯ เมล็ดในเขาก็ชั่งรวมเป็นกิโลฯ ด้วย แต่ทำไมเขายังซื้อล่ะ " อาตมานึกในใจ " เอ้อ หลวงพ่อพูดถูก "
หลวงพ่อพูดอีกว่า " แล้วทุเรียนข้างนอกเปลือกมันเป็นหนามด้วย แล้วก็ปอกทิ้งไป กินแต่เนื้อเมล็ดในเราทิ้งอีกแล้วคุณจะช่วยคนทั้งร้อยคนได้อย่างไร ถ้าคุณอยากจะช่วยคนจริง คุณก็ช่วยคนไม่มีกรรมอนันตริยกรรม รอดหมด แต่ถ้าคุณไม่ช่วยมันก็ตายหมด เพราะว่ากรรมอดีตมี กรรมปัจจุบันมี มันจะบวกกันจะทำให้เป็นอันตราย " อาตมาบอกหลวงพ่อว่า " ถ้าอย่างนั้น ผมทำใจได้แล้ว ใจสงบดีแล้ว "
อาตมาก็ลาท่านกลับ ท่านไม่ว่าอะไรเลยทีนี้ ท่านไม่ว่าแล้ว กลับมาก็ทำเหรียญแจกชาวบ้าน และรับรองให้กำลังใจแก่ทุกคน ก็ช่วยคนให้รอดพ้นจากถูกฆ่าได้มาก..



ขอบคุณที่มา...http://www.watthumsuakrabi.com/temp2.htm

75
บทความ บทกวี / พลังญาณวิเศษ...
« เมื่อ: 03 มี.ค. 2553, 10:27:15 »
 
 พลังญาณวิเศษ

            พระอาจารย์จำเนียร สีลเสฏโฐ วัดถ้ำเสือจังหวัดกระบี่ เป็นผู้มีฤทธิ์ มีญาณวิเศษมาตั้งแต่เล็ก ๆ ว่ายน้ำเป็นเมื่ออายุแค่หนึ่งขวบ เมื่ออายุได้ ๓-๔ ขวบ พ่อได้ฝึกให้นั่งสมาธิเป็นประจำ โดยให้เหตุผลว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ จะทำให้เรียนดี จำดี คิดดี ทำอะไรก็ได้ผล และหากอำนาจสมาธิสูงขึ้น จะสมารถแสดงฤทธิ์ได้ ระลึกชาติหนหลังได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ รู้จิตผู้อื่นได้

            พ่อของพระอาจารย์จำเนียรเคยบวชเรียนเป็นพระธุดงค์อยู่ ๑๓ พรรษา เป็นพระหมอรักษาคนได้ เก่งทางคาถาอาคม เคยธุดงค์ไปเจอช้าง เจอเสือ เจอผีดุ เคยหลวงอยุ่ในป่า ๕-๑๐ วันโดยไม่ได้ฉันอะไรเลย สามารถรู้วาระจิตคนอื่นได้ ภายหลังสึกออกมาแล้วได้แต่งงานกับแม่ของพระอาจารย์จำเนียร์ และได้สอนให้ฝึกสมาธิจนแม่ของพระอาจารย์จำเนียรรู้วาระจิตของคนอื่นว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

            ขณะนั่งสมาธิพ่อสอนให้หายใจเข้านึกคำว่า พุท หายใจออกให้นึกคำว่า โธ  ให้นึก พุท-โธ ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้า-ออก   วันหนึ่งพระอาจารย์จำเนียรรู้สึกเบื่อขึ้นมา มันคัน มันปวดเมื่อย อยากไปโดดน้ำเล่น อยากไปชักว่าวเล่ ฯลฯ ก็เลยนึกในใจขึ้นว่า ไปชักว่าเล่นดีกว่าแทนคำว่า พุท-โธ เท่านั้นแหละก็ได้ยินเสียงพ่อพูดขึ้นว่า "จำเนียรอย่านึกว่าไปชักว่า บอกให้หายใจเข้า พุท  ออก โธ"   "เอ๊ะ ทำไมท่านรู้นะ ลองใหม่ดีกว่า จึงนึกในใจว่าปีนไปที่ปลายไม้ริมคลอง กระโดดลงในน้ำ ทีแรกเอาหัวลง ทีที่สองม้วนตัวแบบลูกมะพร้าว" "จำเนียรอย่างคิดเรื่องเรื่องกระโดดน้ำ ต้องนึกว่า พุท-โธ-พุท-โธ"   เอ ท่านรู้จริง ๆ ด้วย แบบนี้ดีถ้าเราฝึกให้เก่งเหมือนพ่อ เพื่อน ๆจะโกหกเราไม่ได้ แต่ลองนึกดูอีกทีสิ จึงนึกขึ้นว่า "ไปตีกลองตุ้ง ๆ ๆ ดีกว่า"  "อย่านึกว่าตีกลอง เดี๋ยวกูตีหัวมึงเท่านั้นเอง พูดไม่รู้เรื่อง"  เท่านั้นแหละ เลยเลิกคิดเรื่องอื่นเพราะกลัวพ่อตีหัว

            วันหนึ่งพ่อต้องออกไปรักษาคนไข้สองวัน จึงสั่งแม่ให้ดูแลพระอาจารย์นำเนียรในการนั่งสมาธิ พ่อไม่อยู่แม่คงไม่รู้อะไร พอตอนนั่งสมาธิก็นั่งยิ้มอยู่ในใจ แล้วนึกถึงว่าวตัวใหญ่ ๆ พาวิ่งเลย ติดลมแล้วชักว่าวสนุก สักพักได้ยินเสียงแม่ "จะเนียรพ่อมึงสั่งให้นึก พุท-โธ อย่านึกชักว่าเลย" เอ๊ะ แม่ก็รู้เหมือนกันนี่ รู้จริงหรือเปล่าลองดูใหม่ จึงนึกว่า "เอาทางมะพร้าวมาทำเป็นวัวเล่นในน้ำ เจาะจมูกแล้วลากไปมาในคลองสนุกดี" จำเนียรอย่างคิดเรื่องเอาทางมะพร้าวมาทำวัวเล่นน้ำ ต้องคิด พุท-โธ เดี๋ยวถูกตี เดี๋ยวพ่อมาแม่ไม่กล้าโกหกพ่อเอ็งหรอก" โอ แม่คงรู้จริง ๆ ด้วย คิดอะไรก็ตามแม่รู้ทุกอย่าง แล้วก็มานึกได้ว่าแม่ก็ชอบนั่งสมาธิเหมือนกัน คงรู้เหมือนพ่อ จึงไม่กล้าคิดอย่างอื่น นึกแต่ พุท-โธ ๆๆ อย่างเดียว

            ตอนอายุได้ ๕ ขวบเศษ พ่อได้สอน คาถาป้องกันจระเข้ ป้องกันสัตว์ร้ายและบุคคลอื่นให้เกิดความเมตตาต่อตัวเรา เรียกว่า "คาถาเมตตาพุทโธ" ซึ๋งอาจารย์จำเนียรก็ได้ท่องจำจนขึ้นใจ อยู่มาวันหนึ่ง มีชาวบ้านไปตักน้ำในคลอง ซึ่งในขณะนั้นก็มีจระเข้พากันลอยคอโผล่หัวสลอนน่ากลัวมาก มีคนวิ่งไปบอกพ่อของอาจารย์จำเนียร ท่านจึงรีบมาพร้อมกับชวนพระอาจารย์จำเนียรและพี่ชายมาด้วย พอมาถึงพ่อได้แกล้งโยนขวานลงไปในคลองแล้วบอกว่า "ลงไปงมเอาขวานขึ้นมาให้ข้า" พี่ชายและอาจารย์จำเนียรต่างก็ผวาหน้าซีด ใครบ้างที่ไม่กลัวจระเข้คาบเอาไปกิน แต่พ่อกลับบังคับให้อาจารย์จำเนียรลงไปพร้อมกับบอกว่า "ข้าสอนคาถาป้องกันสัตว์ร้ายทุกชนิดให้เอ็งแล้ว จำไม่ได้หรือ คาถานั้นป้องกันจระเข้ได้ด้วย เอ็งท่องคาถาแล้วลงไปงมเอาขวานขึ้นมาได้เลยข้ารับรองว่าจระเข้ไม่กล้าทำอะไรเอ็งหรอก

            อาจารย์จำเนียรกลัวพ่อมากกว่ากลัวจระเข้ จึงหลับตาพนมมือบริกรรมคาถาป้องกันสัตว์น้ำปลุกใจตัวเองให้เกิดความกล้าหาญ แล้วกระโจนลงไปในน้ำดังตูม แต่ก็แปลกมาก น่าอัศจรรย์ใจ จระเข้มันไมทำอะไร ได้แต่มองดูเฉย ๆ จนในที่สุดก็สามารถงมขวานเอามาคืนพ่อได้ ต่อมาได้เรียนรู้เคล็ดลับในการป้องกันจระเข้กัดเวลาอยู่ในน้ำและบนบกอีกด้วย คือพยายามทำใจให้กล้าหาญไม่กลัวตาย ทรงตัวไว้ตรง ๆ ถ้าอยู่ในน้ำก็พยายามยืนตรง ๆ ใช้เท้าทั้งสองพยุงตัวไว้ ถ้าอยู่บนบกก็ยืนตัวตรง ๆ จระเข้มันไม่ชอบตะแคงตัวงับเหยื่อไม่ถนัด มันจะงับตรง ๆ ถ้าเราทรงตัวตรง ๆ มันจะงับไม่ได้ แต่ถ้าเราว่ายน้ำมันจะงับได้ง่าย จระเข้มีจุดอ่อนอยู่ที่ตรงมุมปากของมัน ถ้าสามารถขึ้นนั่งคร่อมหลังของมันได้ให้รีบใช้สองมือกดตรงมุมปาก โดยให้สี่นิ้วทั้งสองข้างกดมุมปาก แล้วใช้หัวแม่มือสองข้างกดที่ลูกตาสองข้างของจระเข้ จากนั้นจะลากดึงมันไปทางใหนมันก็จะหางลู่ลม เหมือนงูเหลือมแพ้เชือกกล้วยนั้นเอง

            นอกจากนี้อาจารย์จำเนียรยังได้มีโอกาสเรียน "วิชาจับจระเข้" จากอาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นคนนครศรีธรรมราช อยู่ใกล้ววัดชะเมา เป็นอาจารย์ของ นายเย้า นักจับจระเข้ปัจจุบันอยู่ฟาร์มจระเข้จังหวัดสมุทปราการ เมื่อเรียนรู้วิชาจับจระเข้แล้วก็จับจระเข้ขายพอได้เงินมาช่วยครอบครัว ขายตัวหนึ่ง ๔๐๐-๕๐๐ บาท แต่วันหนึ่ง ๆ ก็ได้ไม่มากเพราะยังเด็กตัวเล็ก สู้นายเย้าไม่ได้ นายเย้าจับจระเข้ตัวใหญ่ ๆ ได้ ส่วนอาจารย์จำเนียรจับได้แต่ตัวย่อม ๆ ไม่ใหญ่นัก แต่คนเขาร่ำลือกันว่าอาจารย์จำเนียรจับจระเข้เก่ง

            สำหรับจระเข้ตัวใหญ่ ๆ นั้นดุ พออาจารย์จำเนียรจับได้แล้ว แต่ก็ผูกปากไม่ได้พราะตัวมันใหญ่ ถ้าจะแทงมันตายก็กลัวว่ากรรมจะตามสนอง จึงจับแต่จระเข้เป็น ๆ ไปขาย คนแก่ได้ขอร้องว่า "จำเนียรอย่าไปฆ่ามันนะ เดี๋ยวตายกับจระเข้ เขาว่าหมองูตายเพราะงู หมอจระเข้ตายเพราะจระเข้" จระเข้น้ำลึกน่ากลัวมาก แต่มันไม่กล้ากัดอาจารย์จำเนียร เพาะท่องคาถาสีตัว คือ "อะ อึ ลึก ลือ" ตอนลงไปอยู่ในน้ำก็ว่า "อะ" คือ ตัวเรา "อึ" คือ จระเข้ เมื่ออยู่ในน้ำก็ว่า "ลึก" คือสะกดไว้ แล้วเข้าไปจับจระเข้ได้ แต่ตอนว่าคาถานี้อาจารย์ต้องเอาพระหรือก้อนหินมาอมเพื่อหุบปาก กันการอ้าปากถ้ามันอ้าปากมันกัดทันที
           
            ถ้าท่องคาถามาถึงคำว่า "ลือ" แล้วยังไม่ได้จับมัน มันจะผุดหนีไปได้ แต่ถ้าไม่ว่า "ลือ" มันก็นอนอยู่อย่างนั้น บางทีก็ลืมต้องสั่งคนหนึ่งคนใดไปบอกด้วยคาถาว่า "ลือ" ซึ่งเขาจะบอกหรือไม่ก็ตามแต่จระเข้ก็มีสิทธิ์ไปหากินได้แล้วตั้งแต่ออกคำสั่ง ไม่อย่างนั้นมันจะนอนอยู่อย่างนั้นเป็นวัน ๆ ไม่ไปใหน มันแพ้อะไรก็ไม่รู้ "อะ อึ ลึก ลือ" คาถาสี่ตัวนี้ วิธีฝึกจับจระเข้ จระเข้ดุมากต้องฝึก ถ้าเอาไม้ไปแหย่นิดเดียว มันกัดเลย ที่อาจารย์เขาฝึก เขามีบ่อให้ไปขี่หลังมัน จระเข้มันหันมากัดไม่ได้เพราะคอมันแข็ง ทีนี้พอวิ่งไปขี่มัน มันก็จะไปข้างหน้า แต่ถ้าอยู่หลังหางมันจะฟาด ถ้าอยู่ในน้ำตัวตรง ๆ มันจะฟาดให้ลม แล้วมันถึงจะกัด มันตะแคงไม่เป็น เวลาลงไปในน้ำไปหามันนี่ จะลงไปตัวตรง ๆ เพราะจะทำให้มันกัดไม่ได้ แต่ถ้ามันฟาดเอาถูกเข้าก็ทำให้คอหักเหมือนกัน แต่ต้องหลบให้ทัน ทำตัวกลมม้วน แล้วก็ยืนตัวตรงอีก มันก็กัดไม่ได้ ทีหลังมันไม่กล้ากัดอีกแล้ว

            เวลาขึ้นฝั่ง ถ้าก้มมันกัดทันที มันฉลาด ต้องถอนหลังขึ้น มันไม่กล้ากัด มันเห็นสู่ไม่มันก็เลยไม่กล้ากัด ที่มุมปากมันไม่มีเขี้ยว เมื่อเอามือจับไว้ที่มุมปากมันงับกรึ้ม ๆ แต่ไม่ถูกมือหรอก เพราะข้างในไม่มีเขี้ยว แล้วให้พยายามเอามือกดที่ลูกตาทั้งสองข้าง พอจับได้ให้มันพาลงน้ำลึกก็กดลูกตา พาหัวเชิดขึ้นแล้วมันก็พาเข้าฝั่ง มันหมดแรงก็พาเข้าฝั่ง นี่เป็นเพียงตอนหนึ่งของพลังญาณวิเศษของพระอาจารย์จำเนียร สีลเสฎโฐ เท่านั้น..

   
คลองหน้าบ้านที่จระเข้ขึ้นมาฟาดคนแล้วพ่อสั่งให้หลวงพ่อจำเนียรดำลงไปงมขวาน     คลองนี้เมื่อสมัยเด็กจระเข้ชุกชุมหลวงพ่อจำเนียรสมัยเด็กจับจระเข้ขาย



ขอบคุณที่มา...http://www.watthumsuakrabi.com/temp3.htm

76
เป็นเหรียญรุ่น 111 ปี หลวงปู่สุภา กันตสีโล วัดสีลสุภาราม ภูเก็ต เนื้อทองคำผสมชนวนสำคัญ เนื่องจากมีเนื้อทองคำเพิ่มขึ้นมาจากที่คำนวนไว้อย่างเกินความคาดหมายประมาณหนึ่งบาทเศษ จึงปั๊มเป็นเหรียญสุดท้าย โดย"ไม่ตัดขอบ"ไว้เป็นสัญลักษณ์อนุสรณ์ 
 
 
 
ด้านหลัง เป็น"ยันต์องค์ครู" ลายมือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่สุภาเองโดยตรง พร้อมแวดล้อมด้วย"นะ 108" ที่หลวงปู่สุภาสำเร็จอย่างละเอียดประณีตและวิจิตรอลังการเข้มขลังที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ 
 
 
 
 
อนึ่ง ในการสร้างของเหรียญ 111 ปี หลวงปู่สุภารุ่นนี้  มีเหตุน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งทั้งภายในและภายนอกปรากฏอยู่หลายประการ ที่ควรบันทึกไว้เป็นหลักฐานสืบไปเมื่อหน้า กล่าวคือ
1. ขณะที่หลวงปู่สุภากำลังทำพิธีปลุกเสกตลอดคืนนั้น ประธานกรรมการวัดซึ่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆได้แลเห็นหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด,หลวงพ่อแช่ม วัดฉลองมาร่วมพิธีกับตาด้วย..!!!
2.จากการตรวจสอบพลังภายในของ"หน่วยสืบราชการลับทางจิต" พบด้วยความน่าทึ่งว่า
"เข้มขลังพิศดารที่สุด..!!!!"
"จากการตรวจสอบพบว่า หลวงปู่ได้ถอดจิตลงไปประจุในเหรียญ ให้เป็นเสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของหลวงปู่ท่านเองยามที่ท่านไม่อยู่แล้วแบบเต็มๆ (มีเหรียญรุ่นนี้ ก็เปรียบเหมือนมีหลวงปู่องค์จริงอยู่กับตัวด้วย)อย่างใดก็อย่างนั้นเลยทีเดียว.!!?!"
และ
 "ยันต์นะ 108 แต่ละตัวที่ด้านหลังเหรียญนั้น หลวงปู่สุภาได้เชิญครูบาอาจารย์เจ้าของนะแต่ละตัวนั้นลงมาประสิทธิฤทธิ์จนสำเร็จและทรงอานุภาพอย่างเต็มที่ทุกตัวไป  นะแต่ละตัว ก็มีฤทธิ์อำนาจไปตัวละอย่าง  ก็ในเมื่อเหรียญนี้มีนะ 108 ตัว ก็มีอำนาจที่แตกต่างกันไปถึง 108 ทาง พลังงานที่ปรากฏจึงวิจิตรพิศดารอย่างที่สุด เหลือที่จะกล่าวได้อย่างแท้จริง" 
 
 
 
 
credit :โดย  "เนาว์สถิตย์" (NAOSATITT) 
 

77


ชาวบ้านนับพันจากทั่วสารทิศในภาคอีสาน แห่ ขอหวยเจ้าแม่ตะเคียน หวังดลบันดาลโชคลาภ อัศจรรย์ บางรายถ่ายภาพพบมีใบหน้าคล้ายหญิงสาวปรากฏ...

ภายหลังหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ นำเสนอข่าว พบต้นตะเคียนยักษ์อายุกว่า 200 ปี ในบึงบัวใหญ่ แห่ขอโชคลาภ ต้นตะเคียนยักษ์ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.85 เมตร ยาว 12 เมตร อายุกว่า 200 ปี ขุดพบในบึงบัวใหญ่
หลังจากที่มีชาวบ้านหลายรายฝันเห็นหญิงสาวแต่งชุดไทยโบราณ บอกว่า ให้ช่วยนำแม่ขึ้นจากน้ำด้วย แม่จะให้โชคลาภ จนทำให้มีประชาชนแห่เดินทางจากทั่วทุกสารทิศ แห่นำดอกไม้ ธูปเทียนไปกราบไหว้และนำแป้งมาลูบหาตัวเลขที่ต้นตะเคียน เพื่อขอเลขเด็ดไปแทงหวยหุ้น จนปรากฏว่าถูกหวยรวยกันเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดเมื่อช่วงเช้า ที่ผ่านมา ได้มีการขุดพบต้นตะเคียนอีก 3 ต้นและเหง้าของต้นตะเคียนขนาดใหญ่อีก 3 เหง้า ทำให้มีชาวบ้านแห่ขอหวยกันทั้งวันทั้งคืนจนถนนสายบัวใหญ่-โนนตาเถรแน่นขนัด ทำให้รถติดขัดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บัวใหญ่และ อปพร.ของเทศบาลเมืองบัวใหญ่ ต้องมารักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร โดยผู้ที่เข้ามาแสวงโชค บางคนได้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปต้นตะเคียน เพื่อส่งให้เพื่อนๆ ช่วยกันหาเลขเด็ดด้วย

โดย นางอุไร เขียวเนตร อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/1 ถ.โคกสูง 8 อ.บัวใหญ่ เปิดเผยว่าตนถ่ายรูปต้นตะเคียนเพื่อเก็บไว้ดูปรากฏ รูปต้นตะเคียนมีใบหน้าคนอยู่ในรูปด้วยทำให้ถึงกับขนลูกซู่ เมื่อตนถ่ายอีกหลายรูปก็มีใบหน้าคนเช่นเดิม แม้จะเปลี่ยนมุมก็ตาม

ด้านนางวชิรา อาจนคร อายุ 56 ปี เป็นครูสอนอยู่โรงเรียนอนุบาลเทพสถิต อยู่บ้านเลขที่ 325/1 หมู่ 1 ต.วะตะแบก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปต้นตะเคียนก็มีใบหน้าคนติดอยู่เช่นกัน ถึงกับตะลึงไม่เชื่อสายตาตัวเองเป็นปาฏิหาริย์อะไรเช่นนี้





ขอบคุณ:ไทยรัฐออนไลน์

78
รอยพระพุทธบาท ยอดเขาแก้ว วัดถ้ำเสือจังหวัดกระบี่
.
 
รอยพระพุทธบาท ตั้งอยู่บนยอดเขาแก้ว มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ ๖๐๐ เมตร สามารถขึ้นไปสักการะได้โดยขึ้นบันได ๑,๒๐๐ ขั้น บนยอดเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองกระบี่ได้รอบทิศ









ขอบคุณภาพจาก:http://www.watthumsuakrabi.com/footprint.htm


79
            

                                              คนธรรพ์

            ถ้ำคนธรรพ์เป็นถ้ำที่ความมหัศจรรย์ ตอนที่พระอาจารย์จำเนียรได้ไปสำรวจในคราวแรก ปากถ้ำลอดเข้าไปได้ แต่มันเป็นแอ่งน้ำย้อยลึกลงไป เมื่อเอาไฟฉายส่องเข้าไปก็เห็นหินย้อยสวยงามมาก    วันนั้นที่ปากถ้ำ พระอาจารย์จำเนียรได้พบผู้ชายนุ่งกางเกงตัวเดียว ไม่ใส่เสื้อ ร่างสันทัด ผิวคล้ำ ตาคม ท่าทางบ๊องๆ ทีแรกคิดว่าเป็นชายสติแตก “ท่านมาทำไม เสียงร้องถามของชายคนนั้น”   “เข้ามาสำรวจที่นี่โยมอยู่ไหน”  “อยู่ที่นี่แหละ” เขาตอบพลางชี้มือเข้าไปในป่า แล้วถามขึ้นอีก” “ท่านอยากเข้าไปดูสมบัติโบราณในถ้ำนี้ไหม”  สมัยที่มีการสร้าง พระบรมธาตุมหาเจดีย์ ที่นครศรีธรรมราช ผู้คนได้เอาพระพุทธรูปได้เอาพระพุทธรูปเงินทอง เพชรนิลจินดาจำนวนมากใส่เรือมาหลายลำ ขณะเดินเรือในทะเลเจอพายุใหญ่ไม่สามารถเดินเรือต่อไปได้ ได้แวะเข้าไปจอดที่อ่าวลูกธนูและขนเอาสมบัติทั้งหมดซ้อนในนี้ มหาสมบัติโบราณได้ถูกซ้อนไว้ตามหลืบหินด้านบน กาลเวลาทำให้หินย้อยลงมาปิดบังมหาสมบัติเอาไว้ ส่วนข้างล่างก็มีบ้างที่หินงอกทับถมไว้ หากเอาหินงอกหินย้อยออกจะพบมหาสมบัติของโบราณ “ท่านขึ้นหลังผมสิ ผมจะพาไปดูสมบัติ” แต่พระอาจารย์จำเนียรปฏิเสธ “เป็นพระสงฆ์ขี่หลังโยมได้รึ ไม่เอาหรอก น่าเกลียด” “เจ้าคนนี้สงสัยสติไม่ดีแน่ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ สงสัยเป็นพวกค้นหาสมบัติตามถ้ำ แต่คงกลัวปู่โสมเฝ้าทรัพย์ จึงคิดอาศัยบารมีพระแน่ๆเลย”

            หลายวันต่อมา พระอาจารย์จำเนียรได้มาถ้ำเสืออีก เพื่อสำรวจป่าเขาสำเนาไพร่ย่านนั้นให้ทั่วถึง ตรงที่เป็นทางขึ้นสูงๆ ก็ช่วยๆกันเอาเชือกมาผูกไม้ทำบันไดขึ้นไปชั่วคราว พอขึ้นไปบนปากถ้ำนั้น (ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อว่าถ้ำคนธรรพ์)ก็พบผู้ชายผู้นั้นอีก
“เอ๊ะ เจ้าคนนี้ทำไมมายืนตรงนี้อีก หรือจะหาหนทางเขาไปลักสมบัติโบราณในถ้ำ พระอาจารย์จำเนียรนึกในใจด้วยความแปลกใจ”
หลังจากที่บอกเขาว่า บ้านเขาอยู่ในป่าแถวๆนี้ และย้อนมาดูอะไรๆแถวนี้อยู่เสมอ เขาก็ยังชวนพระอาจารย์จำเนียรเข้าไปเยี่ยมชมสมบัติโบราณในถ้ำคนธรรพ์อีกพระอาจารย์จำเนียรและลูกศิษย์ยังไม่กล้าเข้าไปดูเพราะเกรงว่าในซอกหลืบหรือรูถ้ำอาจจะมีงูเหลือม งูพิษร้าย ตลอดจนเสือโคร่ง เสือดาว หากเจอเข้าอย่างจังอาจจะเป็นอันตรายได้ ขณะที่ยืนคุยกับชายลึกลับอยู่นี้แสงแดดแจ่มจ้าเห็นหน้าตาชัดเจนว่า เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา พูดจากันรู้เรื่องทุกถ้อยคำ พระอาจารย์จำเนียรได้บอกชายคนนี้ว่า “ถ้าถ้ำนี้มีสมบัติของคนโบราณ ถ้าปล่อยให้เปิดปากไว้อย่างนี้ คงมีสักวันหนึ่งที่จะถูกคนโลภพากันมาค้นหาเอามหาสมบัติโบราณเอาไปกินหมด เอายังงี้แล้วกัน ขอร้องช่วยเอาไม้มาทำเป็นประตูถ้ำ ปิดปากถ้ำชั่วคราวก่อนเอากุญแจมาใส่ให้ด้วย ค่ากุญแจค่อยมาเอาภายหลัง ชายท่าทางบ๊องๆลึกลับตอบว่า “ไม่ต้องหรอกครับ ถ้ำนี้มีคนธรรพ์เฝ้าปกป้องรักษาอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของพวกเขาเอง” ได้ฟังคำตอบแล้ว พระอาจารย์จำเนียรก็นึกในใจว่า “อย่าเข้าไปวุ่นวายเรื่องนี้เลย เจ้าหมอนี่ท่าทางไม่เต็มบาท” แล้วก็เดินเลี่ยงไปสำรวจทางอื่น

            ต่อมาราวสองเดือน พระอาจารย์จำเนียรได้ร้อนใจ กลัวว่าจะมีใครมาขัดขวางหรืออิจฉาริษยา แอบมาปลูกสร้างถาวรวัตถุตัดหน้าไว้หรือเปล่า จึงรีบปีนป่ายขึ้นภูเขาไปก่อนใคร โดยใช้บันไดชั่วคราวที่ได้ทำไว้ เมื่อไปถึงถ้ำคนธรรพ์ พระอาจารย์จำเนียรต้องสะดุ้ง เพราะได้เจอกับเจ้าคนท่าทางบ๊องๆ ไม่เต็มบาทยืนอยู่ที่เดิมที่ปากถ้ำ นุ่งกางเกงตัวเก่าอยู่” “ถ้าไม่ใช่คนต้องเป็นผี” พระอาจารย์จำเนียรได้คิดพิสูจน์ “เป็นคนหรือเป็นผีกันแน่ ถ้าเป็นผีต้องมีแต่ภาพ เป็นมายาลวงตา ขณะเดียวกันก็สำรวจรูปร่าง ก็เหมือนปักษ์ใต้ทั่วๆไป  เหมือนกับรู้ชายคนนั้นถอยหลังหนีขณะที่ท่านจำเนียรยื่นมือจะจับแขน “ทางถ้ำปิดเรียบร้อยแล้วครับ” “ปิดยังไง” ถามพลางก็เดินเข้าหาคนๆนั้นถอยกรูดๆแล้วก็ตอบว่า “พวกคนธรรพ์เอาหินมาปิดปากถ้ำไว้ครับ” เมื่อเอาไฟฉายส่องดูชัดๆ ก็เห็นเป็นสีขาวๆ คล้ายปูนโบกปิด ถ้ำมันยังเปียกๆ อยู่เป็นหินไม่ใช่ปูน ไม่มีทราย ไม่มีปูนซีเมนต์ เป็นหินล้วนๆ เอามาโบกปิดปากถ้ำไว้อย่างอัศจรรย์ “หินอะไรถึงเหลวเอามาอุดปากถ้ำไว้ได้” ถามพลางก้าวเข้าหาเจ้าคนลึกลับ “เป็นหินแบบเดียวกับหินย้อยลงมาเป็นหินงอกในถ้ำอย่างนั้นแหละ”เจ้าหมอนั่นตอบพลางถอยหลังพลาง เขาถอยจนไปติดแอ่งน้ำที่ไหลมาจากซอกภูเขา ซึ่งมีต้นไม้รกชัฏ เขาพลิ้วตัวแอบหลบแอ่งน้ำราวกับมีนัยน์ตาหลังแล้ววูบเข้าหาต้นไม้พระอาจารย์จำเนียรเห็นผิดท่าก็กระโดดตามหมายจะคว้าไว้ อ้าว! หายวับไปเสียแล้ว ราวกับล่องหน

            คนธรรพ์ นี้ทางภาคอื่นจะเรียกว่าพวกลับแล หรือ พวกบังมด เป็นคนพวกหนึ่ง ถือศีลเคร่งครัด มีสัจจะเคร่งครัด พูดอะไรต้องทำตามแบบนั้น อำนาจศีล อำนาจสัจจะ ทำให้คนธรรพ์มีความสามารถพิเศษพิสดารเก่งกว่ามนุษย์ธรรมดา เช่น กำบังตัวหรือหายตัวไปได้ในพริบตา  ครับนี่คือเรื่องราวของคนธรรพ์ ที่พระอาจารย์จำเนียรเล่าให้ฟัง ถ้ำเสือยังมีสิ่งลี้ลับอีกเยอะ..


ขอบคุณที่มา:http://www.watthumsuakrabi.com/tem5.htm

80
อ่านกี่ครั้งก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานแค่ไหน

ยายซุบ สามร้อยยอด เป็นหญิงชาวบ้านวัย 70 แห่งบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ยากจนมาตังแต่ยังสาวจวบจนวันนี้ หากแต่เธอกลับยืนยันว่า เธอมีอดีตที่มีความหมายต่อชีวิตของแก อดีตที่หมายถึงชีวิตใหม่ ไม่ว่าแกจะยังจนต้องขอเงินลูก ๆ 9 คนใช้ดังเช่นทุกวันนี้หรือจะมั่งมีศรีสุข ถูกหวยรวยเบอร์อย่างไรก็ตาม แกไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ล่วงเลยมานานกว่า 40 ปี การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฏรบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี ไม่เพียงทำให้หมู่บ้านที่ยากจน ล้าหลัง ไม่มีแม้ถนนที่จะติดต่อกับโลกภายนอก ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น หากแต่การเสด็จพระราชดำเนินในครานั้นได้ทำให้หญิงคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวต่อมาจนถึงวันนี้

สมัยยังสาวยายเคยไปรับเสด็จในหลวงใช่ไหม ?

ยาย-ใช่ ตอนนั้นไปรับเสด็จที่ตีนถ้ำไทรในหมู่บ้านเรานี่แหละ ท่านเสด็จฯ มาทางเหนือ ไอ้เราป่วยเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ไม่รู้หรอกนะตอนนั้นว่าเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องนอนซม คนในบ้านบอกในหลวงจะมา เราก็อยากเห็น อยากไปรับเสด็จ แต่ปวดท้องจนเดินไม่ไหว

เดินไม่ไหว แล้วไปยังไง ?

ยาย-ก็ให้คนหามไป ใส่เกวียนไปเลย

ทำไมถึงเลือกไปเฝ้าในหลวง ไม่ไปหาหมอ ?

ยาย-ไม่รู้สิ คืออยากเห็นตัวจริง ๆ ใกล้ ๆ นะ คิดในใจว่ายอมตายได้ แต่ขอไปรับเสด็จก่อน แลกตัวแลกชีวิตกันเลย พูดง่าย ๆ ว่าวัดดวงเอาเลย อีกอย่างตอนนั้นถ้าเราไปหาหมอก็ลำบาก เพราะน้ำแห้ง เรือเครื่องก็ไม่มี ถ้าไปก็คงไปไม่ถึง มันคงจะตายก่อน

แล้วตอนนั้นได้ถวายอะไรท่านบ้างไหม ?
ยาย-ยกมือพนมยังจะไม่ไหวเลย จะให้ถวายอะไรอีก (หัวเราะเสียงดัง)

แล้วได้เห็นท่านไหม ?

ยาย-ก็ได้เห็นท่านอยู่ แต่ก็เห็นห่าง ๆ แล้วก็เห็นไม่นานเพราะว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ ไปที่ตีนเขาอีกลูกคนละฟาก ทรงไปดูเรื่องที่จะระเบิดเขาทำทางเข้าออกหมู่บ้าน

ไส้ติ่งเรากำลังจะแตก แล้วรอดมาได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น ?

ยาย-ตอนนั้นไส้ติ่งกำลังจะแตก เงินสักบาทก็ไม่มีติดตัว พอดีว่าพระราชินีท่านทรงเยี่ยมเยียนราษฏร แล้วทอดพระเนตรเห็นเรานั่งหน้าซีด พิงเพื่อน คือได้ตอนนั้นมันไม่ไหวจริง ๆ ท่านทอดพระเนตรเห็นก็คงสังเกตได้ว่าอาการเราไม่ดี พระองค์ก็ถามว่า เป็นอะไร ? ท่านบอกให้พูดธรรมดาก็ได้ เราบอกว่าเจ็บท้อง พระองค์ท่านตรัสถามต่อว่า เจ็บมากี่วันแล้ว ? เราก็บอกว่า เจ็บมาครึ่งเดือนเห็นจะได้ ท่านก็เลยบอกให้หมอที่มาด้วยตรวจดู

แล้วหมอว่ายังไง ?

ยาย-หมอบอกว่าไส้ติ่งกำลังจะแตก พอหมอบอกอยางนั้น พระองค์ท่านก็ทรงติดต่อไปที่ในหลวงซึ่ง ทรงอยู่ที่ตีนเขาอีกลูก

รู้ได้ยังไงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงติดต่อไปที่ในหลวง ?

ยาย-รู้สิ เพราะเห็นในหลวง พระองค์ท่านทรงวิ่งจากตีนเขาลูกโน้นมาเลย ห่างกันถึง 1 กิโล ( แค่นี้ก็ตื้นตันแทนคุณยายแล้ว)

รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนั้น ?

ยาย-ดีใจแล้วก็ปลื้มใจแบบมาก ๆ ไอ้ตอนแรกคิดว่ากำลังจะตายนี่ คิดว่าตัวเองรอดแน่ มันมีกำลังใจ คิดว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังเอาใจใส่เราขนาดนี้ เราจะตายไม่ได้

พอในหลวงเสด็จมาถึง ทรงตรัสว่าอย่างไรหรือไม่ ?

ยาย-ท่านให้เอา ฮ. มารับ ท่านตรัสว่า เดี๋ยวเราจะกลับทางเรือเอง ให้เอาคนไข้ไปส่งก่อน พอพระองค์ท่านตรัส หมอสองคนก็หิ้วปีกเราไป ในหลวงท่านทรงเมตตาเราไปจนถึงเครื่อง พอเราขึ้นไป ก่อนที่ประตู ฮ. จะปิด เราก็มองลงมาเห็นในหลวง ท่านทรงโบกพระหัตถ์ เราซาบซึ้งมาก ยิ่งบอกตัวของเราเลยว่าเราจะตายไม่ได้

ถ้าไม่มีในหลวงในวันนั้น ก็ต้องตายแน่ ?

ยาย-แน่นอน ไม่ต้องอะไรหรอก หมอบอกว่า มาช้ากว่านี้แค่ 2-3 นาที ก็ไม่รอดแล้ว แล้ววันนั้นอย่างที่บอกว่าเรือเครื่องก็ไม่มี น้ำก็แห้ง ไม่รู้ใช้เวลาครึ่งวันจะเดินทางไปถึงโรงพยาบาลหรือเปล่า ถ้าในหลวงไม่เสด็จมาที่นี่ วันนั้นก็ตายแน่ ตายทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรตาย

เหมือนกับได้ชีวิตใหม่ ?

ยาย-ใช่ ชีวิตทุกวันนี้ถึงฉันแก่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงวันนั้นทีไรรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ทุกที ตอนนั่งดูโทรทัศน์ เวลาเห็นท่าน เราก็จะพนมมือไหว้ตลอด รู้สึกว่าท่านได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเรา

ตอนนั้นอยู่บน ฮ. เป็นอย่างไรบ้าง ?

ยาย-จำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าพอบินขึ้นไปพักใหญ่หมอก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง เราพูดไม่ค่อยไหว แต่ก็บอกไปว่าปวดท้อง บน ฮ. นอกจากเรา ก็มีหมออีก 2 คน แ้ล้วก็คนขับอีก 2 คน จำได้แค่นี้ล่ะ

ฮ. พาไปที่โรงพยาบาลไหน ?

ยาย-โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ เพชรบุรี

แล้วพักอยู่กี่วัน ?

ยาย-ปกติคนเป็นไส้ติ่งทั่วไปเขาพักกัน 3-4 วันก็ออกได้แล้ว แต่เราเป็นหนักต้องพักถึง 24 วัน ถ้าในหลวงไม่ช่วยก็ตายแน่ แล้วถ้าเราตาย ลูกเต้าก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง ในหลวงท่านทรงเมตตา ทรงดูแลเราอย่างดี ห้องที่เราพักอยู่นี่ดีมาก เป็นห้องพิเศษเลย พูดตรง ๆ ว่า ดีกว่าบ้านที่ฉันอยู่อีก หมอก็นิสัยดี พูดจากับเราเพราะแล้วก็ใจดี

** ในหลวงท่านทรงห่วงใยเรามากมีคนมาเยี่ยม ถามอาการ ถามสารทุกข์สุขดิบทุกวัน คนใกล้ชิดพระองค์ท่านก็ถามเรานะว่า จะฝากอะไรถึงท่านไหม เราบอกให้ พระองค์ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ พูดได้แค่นั้น มันตื้นตันจนนึกไม่ออก**

หลังจากวันนั้นแล้วเป็นอย่างไร ?

ยาย-ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านอีกเลย ถ้าเรามีโอกาส จะขอเข้าไปกราบแทบพระบาทเลย สิ่งที่พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือเราไว้ เป็นความซาบซึ้งที่สุดในชีวิตแล้ว

** คิดูสิโลกนี้จะหากษัตริย์อย่างท่านได้ที่ไหน เราเป็นแค่ชาวบ้านจน ๆ แต่ท่านห่วงเราเหมือนเราเป็นลูกพระองค์ท่าน ทรงห่วงเราเหมือนที่เราห่วงลูก ท่านทรงเสียสละแม้กระทั่งของส่วนพระองค์ ทรงยอมลำบากกลับทางเรือเพื่อคนอย่างเรา พูดตรง ๆ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้ฉันตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติก็ทดแทนไม่หมด**

กลับมาบ้านแล้ว เป็นอย่างไร ?

ยาย-ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ พระองค์ท่านก็ส่งเงินมาให้อยู่ถึง 1 ปี ครั้งละ 3-5 พันบาท ส่งมาหลายครั้งอยู่ เรารู้เพระว่าใส่ซองสีขาวประทับตราสำนักพระราชวัง จากเหตุการณ์นั้นทำให้เรารักในหลวงของเรามาก

แล้วทุกวันนี้ก็ยังน้อยใจตัวเองอยู่ว่า เวลาที่ท่านป่วย เราก็ไม่มีเงินไปเฝ้า ไปแสดงความจงรักภักดีกับท่าน ได้แต่ร้องไห้อยู่กับบ้าน นั่งร้องไห้ทุกวัน ดูข่าวทุกวัันไม่เคยเว้นเลย ** ฉันอายตัวเองว่า ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย**

การเสียสละของในหลวงคราวนั้น ได้เอามาปฏิบัติตามหรือไม่ ?

ยาย-มีส่วนมากเลย เวลาคนในหมู่บ้านเขาป่วยเป็นอะไร ฉันก็ไปเยี่ยมเขาทั่ว ไปไหนไปกัน มีใครเจ็บในหมู่บ้านนี่ฉันจะไปเยี่ยมหมด บางทีถึงไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ญาติเขา แต่เราก็ไป ไปนั่งพูดคุยให้กำลังใจ บางทีก็ไปบีบให้นวดให้ นี่คือสิ่งที่ในหลวงให้เรา และเราให้คนอื่นต่อ

** เมืองไทยเราโชคดีที่มีในหลวง โชคดีมาก ๆ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกอีกแล้วที่จะเป็นห่วงชาวบ้านอย่างฉันเท่ากับท่าน คนอย่างเราเปรียบไปก็เหมือนมดปลวก แต่ท่านก็ยังใส่ใจ ท่านใส่ใจจริง ๆ เหมือนกับว่าคนไทย คือ ลูกของท่านทั้งแผ่นดิน**
 
 
ขอบคุณ...ข้อมูลจาก fw เมล์

81
ธรรมะ / เกร็ดธรรม
« เมื่อ: 20 ก.พ. 2553, 12:01:59 »
 
มีคำพูดคำหนึ่งที่น่าประทับใจ ของท่านพุทธทาส
ได้กล่าวไว้ประโยคหนึ่งก็คือ "วันทั้งวันฉันไม่ได้ทำอะไร"
คำกล่าวนี้ถือได้ว่า เป็นการมุ่งเน้นให้มีการทำงานด้วยความว่าง
คือ โลภ โกรธ หลง อัน ทำให้เกิด ตัวกู-ของกู
และเป็นตัวต้นเหตุแห่งความ"วุ่น"เช่นชาวนาทำนา
ไปด้วยความอยากร่ำรวย ขุดดินแต่ละครั้งก็นึกถึงทีวีสี
อยากมีรถขี่ หรือมีเงินซื้อเหล้ากิน ข้าราชการก็ทำงาน
เพราะอยากจะได้ สอง ขั้น อยากจะมีอำนาจบาตรใหญ่
หรือแม้แต่การทำบุญทั้งๆที่ยื่นมือให้แต่ใจกลับ
ขอเป็นเศรษฐีขอมีเงินล้านเพิ่มความขี้โลภ
ให้กับตัวเองอีกหลายเท่าตัว
"วันทั้งวันฉันไม่ได้ทำอะไร" จึงเป็นคำเตือนใจให้มีการกระทำ
ที่ว่างจากตัวฉันขึ้นมาเรียกร้องต้องการสิ่งใดๆเหมื่อนเครื่องจักรกล
ที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถผลิตงานออกมาได้มากมาย
โดยไม่ต้องกังวลใจกับลาภ ยส สรรเสริญใดๆ
เป็นการทำงานเพื่องานก็จะทำให้งานสนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน
และงานที่ทำออกมา ก็จะได้งานชิ้นเอก
อันเกิดจากจิตที่มีความเป็นเอก(เอกัคตารมณ์)กับงานที่ทำ
กับคำที่พูด อย่างรู้ตัวทั่วถึงพร้อมและแววไวในการกระทำของตน

มีสามเณรวุ่นๆอยู่รูปหนึ่ง ตั้งใจเดินทางไปสวนโมกข์
เพื่อขอกรรมฐานเจ๋งๆจากท่าพุทธทาส จะได้ช่วยตัวเอง
ให้หายวุ่นขึ้นมาบ้าง เมื่อได้เข้าไปกราบคารวะ
ท่านพุทธทาสเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบเรียนถามออกไป
ด้วยประโยคแรกว่า
" พระที่นี้ที่บวชกันนานๆ มีสึกออกไปบ้างไหมครับ "

ท่านพุทธทาสฟังคำถามแล้วยิ้ม พร้อมกับตอบมาด้วยน้ำเสียง
แห่งเมตตาว่า
" อย่าเสือก "

สามเณรฟังแล้วแทบจะหายวุ่นไปในทันที
เลยไม่ต้องขอกรรมฐานอย่างอื่นอีก
เพราะได้แค่นี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว

เมื่อใดก็ตามที่จิตคิดฟุ้งแต่เรื่องราวชาวบ้าน
อยากให้คนนั้นดี
อยากให้คนนี้แก้ไข
อยากให้ สส. รัฐมนตรี นายก เป็นอย่างนั้น อย่างนี้
ก็ควรนำคาถาของท่านพุทธทาสมาภาวนาว่า
" อย่าเสือกๆๆๆ "

ก็ช่วยลดความฟุ้งซ่านได้ดีขึ้นแล้ว ก็จะเป็นกำลังใจ
ให้คนอื่นๆพลอยดีตามไปด้วย
แต่ทุกวันนี้คนเรามักจะไปฟุ้งซ่าน คิดให้คนนั้นคนนี้เขาดีก่อน
จนวันๆหนึ่ง แทบจะไม่มีเวลาหันมาคิดถึงตัวเอง
แทบจะเรียกได้ว่า ตั้งหน้าตั้งตาจะทำแต่นาของชาวบ้าน
แต่ไม่หันมาทำนาของตนเองให้ดีขึ้น.

ข้อที่น่าคิดอีกประการหนึ่ง เมื่อมีพระหนุ่มๆไปกราบ
เรียนถามหลวงปู่ว่า จะปฏิบัติอย่างไร ถึงจะบวชได้
ตลอดชีวิตท่านพุทธทาสให้คำตอบว่า
" ทำงานให้สนุกแล้วจะบวชไม่สึก "
คำสอนของท่านพุทธทาสนับว่าสวนทางกับสำนัก
ปฏิบัติธรรมทั่วไปแต่ท่านเน้นว่า" การทำงานคือการปฏิบัติธรรม "
ส่วนที่อื่นมักจะเน้นให้นั่งหลับตา เข้าป่า เข้าถ้ำ อย่าไปทำงานอะไร
ให้มันวุ่นวาย ส่วนใหญ่ก็จะให้ไปนั่งสะกดจิต
กดข่ม กิเลสเอาไว้ โดยอยู่กับคำภาวนาอย่างใด
อย่างหนึ่ง หรือเพ่งลูกแก้ว เพ่งกสิณไปตามเรื่อง.

การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม เป็นคำสอนที่สอดคล้องกับ
มรรคองค์ แปด ที่มี สัมมากัมมันตะ(การกระทำชอบ)
และสัมมาอาชีวะ(การมีอาชีพชอบ)

การทำงานให้สนุก และรู้สึกเป็นสุขในขณะทำงานนั้น
ท่านพุทธทาสยืนยันว่า เป็นสิ่งที่ทำได้หากรู้ความจริงว่า
ทุกเวลาทุกขณะคือการปฏิบัติธรรม
เมื่อผู้มีสติสัมปชัญญะ หรือมีธรรมานุสติก่อนจะกระทำอะไร
ก็จะทำให้มีสวรรค์ได้ทุกอริยาบถ
มีความอิ่มอกอิ่มใจไปตลอดเวลา
กระทั่งเหงื่อที่ออกมาก็จะกลายเป็นน้ำมนต์ที่เย็นฉ่ำ
ท่านพุทธทาสยกตัวอย่างถึงคนโบราณว่าจะทำอะไร
จะเคลื่อนไหวอะไร ก็จะสำรวมจิตตั้งนะโม เสียก่อน
แล้วจึงลงมือทำงาน นั่นก็คือเคล็ดของการมีสติก่อนทำงาน
เป็นการสำรวมสติสัมปชัญญะ เพื่อทำอะไรให้ถูกต้อง
เยือกเย็นเป็นสุข และเข้มแข็ง โดยประการทั้งปวง.



ขอบคุณ...พลังจิตดอทคอม

82
1.


2.


3.


4.


5.


6.


7.


8.


9.


10.


11.


12.


13.


นำภาพ...13...ภาพ ...มาให้ชมกัน...ขอบคุณครับ



ขอบคุณ:http://www.ghostmaster.cjb.net/

83
ลอดพระอุโบสถหัวมังกร สลายพลังอาถรรพณ์ปีเสือทอง



หลวงปู่แย้มขณะอธิษฐานจิตเสกเสือ.
ตรุษจีน...ถือเป็น เทศกาลที่สำคัญของผู้มีเชื้อสายจากแผ่นดินใหญ่ สืบสานกันมาหลายชั่วศตวรรษจัดพิธีกรรมขึ้นในคาบเวลานี้ โดย เลื่อมใสว่ามีพลังอันเป็นมงคล


...เทศกาลตรุษจีน ปีนี้รู้สึกว่าจะ คึกคักกันไปทั่วโลก เนื่องจากไปตรงกับวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ จึงผนวก เป็นความปีติสุขแห่งมนุษยชาติ อย่างลงตัว...

เทศกาลของจีนจะยืดยาวหลายวัน คือตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ก็จะมี พิธีไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ ซิ้ง) ยกเว้นผู้ที่เกิดในนักษัตรปี เสือ ม้า งู...ควรไหว้ตอน 3 นาฬิกาของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เพราะ เป็นเวลาของเสือ...ปีนี้ ไฉ่ ซิ้งจะเสด็จมาจากทิศตะวันตก

นายฐิติพัฒน์ ศรีสว่างวัฒน์ เจ้าของ ร้านถังเหยิน ซึ่งเป็นแหล่ง นำเข้าเครื่องมงคลจากจีน ตั้งอยู่เยื้องกับ ประตูเฉลิมพระเกียรติ หัวถนนเยาวราช กทม. บอกถึงความศรัทธาว่า...องค์ไฉ่ ซิ้งมีหลายแบบทั้งบุ๋น และ บู๊ องค์บุ๋นหน้าจะไม่ดุ รวยด้วยปัญญา ส่วนองค์บู๊ จะดุร้าย เด่นด้วยอำนาจและบารมี......ตามศรัทธาประเพณีควรมีทั้ง 2 องค์ โดยเชื่อว่า องค์บู๊จะเป็นพี่ใหญ่ (เจ้ากุง หมิน) ของเทพโชคลาภทั้ง 5 สาย (องค์ 2 เซี่ยว เซิง กวักทรัพย์สิน องค์ 3 เฉา เป่า คุ้มครองทรัพย์ องค์ 4 เฉิน จิ่ว กุง กวักเงินกวักทองเข้าบ้าน องค์สุดท้าย เหย๋า เสา ซื่อ ค้าขายกำไรดี)


เสือปืนแตก รุ่น 5 หลวงพ่อแย้ม.

นอกจากนั้น...ยังมีเงื่อนไขในการบริโภคด้วยว่า ชิว อิก หรือตรุษจีน อาหารมื้อแรกไม่ควรรับ-ประทานข้าวต้ม เพราะถือว่าได้แต่น้ำไม่มีเนื้อ จึง ไม่มีโชค (ก็ไม่ทราบว่า ถ้าเป็นข้าวเหนียวเนื้อแน่นๆ โชคจะมา 2 เท่าหรือไม่)

...ปีพญาเสือทอง ซึ่ง 60 ถึง 80 ปีจะเวียนมาบรรจบครั้งหนึ่ง เชื่อกันว่า ผู้ที่ เกิดทุกปีนักษัตรควรห้อยด้วยจี้หยกพญาเสือทองยืนบนเขาจะได้รับพลังโชคทั้งปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนปีเสือ ลิง และ สุกร ควรหา ชุดเพ้า ถวาย องค์ไท่ส่วย (เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา) อธิษฐาน ขอพลังชงเป็นโชค (ชงยิ่งแรงยิ่งได้โชคที่ยิ่งใหญ่)

วัฒนธรรมจีน... ได้แผ่เข้าสู่สังคมของประเทศต่างๆ ส่วน จะฝังลึกมากน้อยแค่ไหนนั้นก็อยู่ที่ศรัทธาของกลุ่มชน โดยเฉพาะ ในบ้านเรานั้นถือว่าอยู่ในขั้นเลือดชิดกับจีน...จึงได้ ซึมซับ แทบทั้งหมดรวมไปถึง ประเพณี และ ศิลปะ


เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ ซิ้ง).

...อย่างที่ วัดตะเคียน ถนนนครอินทร์ (พระราม 5) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย นนทบุรี พระครูสมุห์สงบ กิตติญาโณ เลขานุการ หลวงปู่แย้ม ปิยวัณโณ เจ้าอาวาสฯ ได้สร้าง หัวเสือขนาดใหญ่ และ หัวมังกรขนาดยักษ์ คนลอดได้ เป็นประตูทางเข้าออกในการ ลอดพระอุโบสถ......ถือว่าเป็น หนึ่งเดียวในโลก ที่เชื่อมต่อประสานสัมพันธ์ ลอดลายมังกรต้อนรับปีเสือ...!!!

คติความเชื่ออย่างหนึ่งของคนไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า โบสถ์ หรือ พระอุโบสถมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นสถานที่ทำให้ บุคคลธรรมดาให้กลายเป็นพระสงฆ์ และใช้ประกอบกิจทางศาสนาต่างๆ รวมทั้ง สวดปาติโมกข์

การลอดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังในการล้างอาถรรพณ์ ปราศจากสิ่งอัปมงคล พ้นจากภยันตรายทั้งปวง ล้างสิ่งอัปมงคล ถอนคุณไสย มนต์ดำ และ มีความเป็นสิริมงคล ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อด้วยว่า แม้เอา เพียงหน้าผากจดพื้นอุโบสถก็สามารถขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย สิ่งไม่ดีทั้งหลายได้


...โดยเฉพาะ คาบเวลานี้เป็นปีเสือซึ่งหลายๆคนพากันหวาด จึงส่งผลให้คนนิยมพากันไปลอดโบสถ์เพื่อแก้เคล็ด มิให้สิ่งใดที่เลวร้ายเข้ามากล้ำกราย แถมที่ วัดตะเคียนยังจัดให้มีพิธีสะเดาะเคราะห์นอนโลง ด้วย...ก็เลยเป็นการ รวมกิจกรรมความเชื่อ ในการสลายความเลวร้าย

หลวงปู่แย้ม ปิยวัณโณ อายุ 94 ปี 74 พรรษา เป็นเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณอาคม ซึ่งเก็บตัวเงียบๆ ในอดีตนักนิยมของขลังจะรู้กันในนาม หลวงปู่แย้มตะกรุดคอหมา เป็น สุปฏิปันโนที่พึงทางใจของชาวเมืองนนท์ และใกล้เคียงตลอดมา

ช่วงหนึ่ง...เหล่าศิษยานุศิษย์ได้ร้องขอให้ หลวงปู่แย้มได้สร้างเครื่องราง จึงได้ทำเป็น รูปหล่อเสือเผ่น ซึ่ง ได้รับความนิยมจากผู้เลื่อมใสเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะในรุ่น 2 นั้นมีประสบการณ์กับศิษย์รายหนึ่งถูกลอบยิงแล้วเกิดอุบัติลำกล้องปืนแตก ศิษย์รายนั้นปลอดภัย ...จึงได้ฉายาว่า เสือปืนแตก

จาก เหตุการณ์กลายเป็นข่าวฮือฮา จึงได้สร้างต่อๆมาเป็นรุ่น 3 รุ่น 4 ซึ่งก็มีพลังความขลังไม่แพ้กัน เป็นที่เล่าขานกันมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยศรัทธา

ครั้งนี้ได้สร้างเป็นรุ่นที่ 5 วันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ จะทำพิธีกรรมปลุกเสกภายในพระอุโบสถเสือ-มังกร พร้อมกับสมโภชรูปหล่อหลวงปู่แย้มนั่งเสือองค์ใหญ่ ต้อนรับ ปีเสือทอง


ซึ่งจะมีการ เสริมพลังแห่งความขลัง ด้วย สุดยอดคณาจารย์ร่วมอธิษฐานจิต อาทิ หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม นครปฐม หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน ลพบุรี หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว พระนครศรีอยุธยา โดย พระธรรมรัตนดิลก เจ้าคณะภาค 4 วัดสุทัศน์ กรุงเทพฯ เป็นประธานจุดเทียนชัย

และ...พิเศษสุดในวันรุ่งขึ้น เสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ บ่าย 4 โมง ได้จัด พิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาฯ ตาม ตำราหลวงปู่แย้ม ผู้ที่เข้าร่วมพิธี รับแจกเสือรุ่น 5 เสริมบารมีปีเสือทอง...ฟรี ทุกท่าน...!!



ขอบคุณ
ก้อง กังฟู
ลอดพระอุโบสถหัวมังกร สลายพลังอาถรรพณ์ปีเสือทอง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

84
พระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก สร้างเสร็จแล้วที่เมืองไทย



หลังจากพระพุทธรูปที่ตาลีบัน ถูกทำลายลงไป ความโด่งดัง ความยิ่งใหญ่ ในงานศิลปะพระพุทธรูป ก็ดูจะถูกบันทอน เราไม่เคยได้ยินงานบุญใดๆที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปขนาดใหญ่สักเท่าไร แต่ไม่น่าเชื่อว่า 25 ปีที่แล้ว หลวงพ่อเกษม อาจารสุโภ อดีตเจ้าอาวาสวัดม่วง ต.หัวตะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ได้ คิดและตั้งมั่นที่จะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่หน้าตัก 1 ไร่ 9 ตรางวา ใครจะไปเชื่อ


พร้อมๆกับ การก่อสร้างวัด ก็คือ การสร้างพระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ หลังจากสร้างตั้งแต่ปี 2526 จนถึงปี 2544 ใช้เงินไป 50 ล้านบาท แต่ก็ยังทำได้แค่ครึ่งองค์ เนื่องจากหลวงพ่อเกษม ได้มรณะภาพไป งานก็มาสะดุดลง ทิ้งโครงสร้างเอาไว้






แม้นเวลาจะเดินทางรวดเร็ว จนหลวงพ่อมรณะภาพไปแล้วก็ตาม แต่บุญครั้งนี้ได้ถูกสานต่อและสร้างจนแล้วเสร็จ งดงามอย่างหาที่ติมิได้ วัดหัวตะพาน จากเคยเป็นวัดร้างไป ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย พอกรุงแตกก็ถูกทิ้งรกร้าง แต่ก็มีพระ คือหลวงพ่อเกษม เดินทางมาบูรณะ และสร้างงานศิลปะให้พระพุทธศาสนา เริ่มจาก โบสถ์ที่มีดองบัวโอบอุ้มใหญ่ที่สุดในโลก วิหารเงิน(ที่ประดับด้วยกระจกสะท้อนทั้งหลัง สวนนรกภูมิ ที่สอนเตือนจิตใจให้กับประชาชนที่เดินทางมาทำบุญไม่ให้ประมาทในการดำเนินชีวิต และงานชิ้นสำคัญที่เริ่มทำพระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ งานศิลปะปูนปั้นใหญ่ที่สุดในโลก ปางมารวิชัย โดยมีหน้าตักกว้างถึง 67 เมตร(เข่าซ้ายถึงเข่าขวา) และสูงถึง 92 เมตร สร้างนานถึง 25 ปีเต็ม เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์อุปถัมป์พุทธศาสนา




และต่อมาทางกรมราชองค์รักษ์ โดยพล.อ ณพล บุญทับ ได้เป็นเจ้าภาพ ตั้งกองทุนเพื่อสานต่อความตั้งใจเดิมของหลวงพ่อเกษม ระดมเงินสร้างต่อ จนถึง 105 ล้านบาท เพื่อจะถวายเนื่องในวโรกาส 80 พรรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปลายปี การก่อสร้างได้สำเร็จลุร่วมถึง 90 เปอร์เซนต์ เหลือแต่ปูหินอ่อน ด้านฐาน และ เรื่อนรับเสด็จ


พระพุทะมหานวมินทรฯ ถือเป็นสัญลักษณ์ในศาสนาพุทธ ที่ยิ่งใหญ่ และสวยงาม ที่สุดในโลกก็ว่าได้ หากจะดูพระพักต์ต้องถ้อยออกจากฐานประมาณ 100 เมตร และถ้าจะเดินเวียนฐาน ต้องใช้เวลาเดิน ประมาณ 3 นาที


ในตัวองค์พระมีบรรไดขึ้นไปชมทัศนียภาพ รอบวัด สามารถขึ้นไปได้ประมาณ ช่วงท้องเท่านั้น งานก่อสร้างใช้คนงานที่รับช่วงนานขนาดลูกที่เกิดมายังช่วยมาสร้างพระต่อ

































ขอบคุณที่มา:: http://forum.mthai.com

85
รู้วันตาย..ทำไมต้องตาย

จากหนังสือธรรมะทะลุโลกของท่านพ่อลี ธัมมธโร
โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร
วัดป่าภูผาสูง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา

คนทั้งหลายที่เกิด ขึ้นมาในโลก ส่วนมากล้วนตายไปกับความมืดบอด ตอนยังมีชีวิตก็หลงมัวเมาสนุกสนานเพลิดเพลินในการอยู่การกิน หัวเราะร้องไห้กันไป ตามแต่จะประสบสุขทุกข์ รักและชัง ปล่อยตัวปล่อยใจให้ชีวิตเดินไปตามยถากรรม โดยไม่สนใจที่จะคิดสร้างกรรมดีขึ้นด้วยจิตใจและเรี่ยวแรงตามกำลังสติปัญญา ที่มี ปล่อยให้วันคืนล่วงไปเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ที่เขาเลี้ยงอย่างอ้วนพี แล้วก็นำไปสู่โรงฆ่า..ช่างน่าเวทนาเสียจริงๆ!

แล้วก็สรุปเอาเองว่า "เป็นเพราะโชคชะตา เป็นเพราะพรหมลิขิต"

ที่จริงเป็นเพราะการกระทำของตนนั้นเอง!

โคที่ถูกเขานำไปสู่โรงฆ่าไม่ใช่เป็นเพราะความที่เกิดมาเป็นโค แต่เป็นเพราะจิตดวงนี้ไม่ได้สร้างคุณงามดีไว้ในชาติปางก่อน เมื่อความดีน้อย จึงมาเกิดเป็นโค เป็นหมู หรือเป็นสัตว์อื่นๆ ในภพภูมิอื่นๆ ที่ตกต่ำ ถ้าความดีมากก็เกิดเป็นมนุษย์ เทวดาพรหม ความดีมากสุดได้ถึงวิมุตติพระนิพพานเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายจึงเวียนว่ายในห้วงน้ำคือการเทียวเกิดเทียวตายไม่มีที่สิ้นสุด

..เหมือนดวงอาทิตย์ ใครจะอ้อนวอนขอร้องให้คงอยู่กับที่ ย่อมเป็นไปไม่ได้

..เหมือนคนคร่ำครวญร้องไห้อ้อนวอนพระอาทิตย์ว่าอย่าอัสดงเลย..ผู้ร่ำไห้จักต้องมีน้ำตาเจิ่งนองเป็นสายเลือดและตายไปเปล่าๆ

..ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครหยุดยั้งการตายได้



พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเท่านั้นที่สามารถหยุดการเกิดตายได้

ความตายสำหรับท่าน เป็นทางแห่งแสงสว่าง เพราะท่านตายอย่างสมประสงค์ ไปสู่แดนอันเกษมคือพระนิพพาน

นอกจากนี้ท่านยังสามารถรู้วันเกิดตาย เนื่องในอดีตซาติของท่านเองและคนอื่น

ความตายกับท่านเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากและซับซ้อนเลย

แต่สำหรับปุถุชนคนหนาปัญญาหยาบแล้ว ชีวิตหลังความตายเป็นชีวิตที่ลี้ลับ ยากที่ใครๆ จะสามารถไขปริศนาในมุมมืดนี้ได้

พอพูดถึงความตายต้องบอกให้หยุด! หยุด! อย่าได้พูดไม่อยากฟัง ฟังแล้วมันไม่สบายใจ ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย

 
หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก บอกวันตายล่วงหน้าได้ถึง ๒ ปี


พระพุทธเจ้าตั้งแต่ วันที่พระองค์ตรัสรู้มา ก็ทรงทราบแล้วว่าจะปรินิพพานในวันไหน แต่พระองค์เลือกที่จะบอกก่อนปรินิพพาน ๓ เดือนแก่พระอานนท์วา "อานนท์อีก ๓ เดือนเราตถาคตจักปรินิพพาน"

แม้พระอรหันต์รูปอื่นๆ ท่านก็สามารถรู้วันตายล่วงหน้าได้เช่นกัน

สมัยปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺโต ก็ได้บอกล่วงหน้าแก่หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ว่า "อายุ ๘๐ ปี จะนิพพาน"


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า "๗๘ ปี อายุจะต้องสิ้นสุด"


หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า "๗๘ ปี อายุจะต้องสิ้นสุด"

หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก บอกวันตายล่วงหน้าได้ถึง ๒ ปี

แม้ ท่านพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ก่อนจะรับนิมนต์แล้วประสบอุปัทวเหตุเครื่องบินตกมรณภาพที่ทุ่งรังสิต จังหวัดปทุมธานี นี้ก็ได้บอกเป็นนัยแก่สานุศิษย์ว่า "การเดินทางไปคราวนี้จะมิได้กลับมา"


ท่านพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม

สำหรับ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร มีบทสนทนาเป็นเรื่องราวการบอกวันเวลาตายล่วงหน้าเป็นอย่างดี ผู้เขียนขอนำมาเล่าย่อๆ พอให้เข้าใจเลาๆ

...กลางคืนวันหนึ่ง หลังงานฉลองกึ่งพุทธกาลจบลง ณ กุฎีปุณณสถาน ที่วัดอโศการาม ท่านพ่อลียังร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ท่านได้ปรารภกับ พระอาจารย์แดง ธมฺมรกฺขิโต ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ เรื่องอายุขัยคือการสิ้นสุดแห่งชีวิตว่า

"ท่านแดง อายุ ๕๕ ปี ผมต้องตาย ชีวิตถึงคราวสิ้นสุดให้ท่านอยู่ช่วยดูแลหมู่คณะที่วัดอโศฯ เมื่อผมตายไปแล้ว ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งพาอาศัยของหมู่เพื่อน" การกล่าวในครั้งนี้ ท่านกล่าวก่อนมรณภาพเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านพ่อลีได้ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า ธนบุรี ท่านเรียกพระอาจารย์แดงมาหาแล้วกล่าวย้ำว่า

"เราอายุ ๕๕ จะลาตายแล้ว"

"ตายยังไงครับ ท่านพ่อ"

"ก็ตายขาดลมหายใจ นะสิถามได้ ก็เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือ"

"ผมลืมไปแล้ว แต่เมื่อท่านพ่อทักขึ้นผมก็จำได้ ทำไมท่านพ่อจะต้องตายด้วย ไม่ตายไม่ได้หรือ?"

"เราได้รับนิมนต์เขาแล้ว เสียดายที่จะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้นาน เกิดมาได้มีโอกาสช่วยพระศาสนาน้อยเหลือเกิน คิดแล้วก็ยังไม่อยากตายเลย เพราะเห็นแก่ประโยชน์คนอื่น ส่วนเราเองไม่สู้มีปัญหาในการเกิดการตาย"

"รับนิมนต์ใคร"

"รับนิมนต์เทวดา เขาอาราธนา"

"เขาอาราธนาไปทำไม"

"เขาอาราธนาไปสอนมนต์ให้"

"ไปสอนมนต์อะไรครับ ช่วยสอนให้ผมด้วย"

"มนต์ก็ไม่มีอะไรมาก พรหมวิหาร ๔ ของเรานี้แหละ แต่คนอื่นสอนมันไม่ขลัง ต้องให้เราสอนมันถึงขลัง เขาบอกอย่างนี้"

"ผมขออาราธนาท่านพ่อไว้ อย่าเพิ่งตายเลย"

"เราได้ตกลงรับอาราธนาเขาแล้ว อยู่ไมได้"

"ท่านพ่อครับ ไม่มีวิธีอื่นบ้างเลยหรือ ที่จะสามารถต่ออายุไปได้อีก"

 
ท่านพ่อลี ผู้ดำริในการสร้างพระธุตังคเจดีย์ ณ วัดอโศการาม


ท่านพ่อลีเล่าถึงรอยต่อแห่งชีวิตอันมีความเป็นความตายเป็นเครื่องเดิมพันว่า..

"วิธีนั้นมี แต่เรื่องมันผ่านเป็นอดีตไปแล้ว เราจะหวนกลับมาเป็นอย่างเดิมไม่ได้ หลักธรรมหลักความจริงท่านใช้ปัจจุบันเป็นเครื่องตัดสิน

พวกเธอจำได้ไหม? ในสมัยประชุมคณะกรรมการจะสร้างเจดีย์ และโบสถ์ เราปรารภให้สร้างพระเจดีย์เสียก่อน แต่ไม่มีลูกศิษย์คนใดกล้ารับงานนี้

บางคนเขาคิดเอาเองว่า ถ้าสร้างเสร็จแล้วเราจะหนีเข้าป่าบ้าง ตายบ้าง (เพราะท่านไม่ได้บอกพวกเขาถึงเหตุว่าการสร้างพระเจดีย์จะต่ออายุท่านได้)

กรรมการที่ประชุมมีความเห็นว่า สร้างโบสถ์ก่อน ก็เป็นอันตกลง ซึ่งเขาไม่รู้จักจุดลึกในชีวิตของเรา การที่จะมาแก้ในสิ่งที่ล่วงเลยมา มันก็สายเสียแล้วแล้ว"

ท่านพ่อลีกล่าวย้ำว่า "..ก็พวกเธอเกาไม่ตรงที่คัน ต่อให้มีโบสถ์ตั้ง ๒๐ หลัง ก็ไม่เท่ากับสร้างพระเจดีย์เพียงหนึ่งองค์..ท่านเอ๊ย!"

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมดหวังในชีวิตของท่านพ่ออีกต่อไป

พระอาจารย์แดงจึงเรียนท่านว่า "เมื่อตายไปแล้ว ก็ขอให้ท่านพ่อมาช่วยเหลือวัดอโศการาม"

ท่านพ่อลีก็หัวเราะ ฮึๆ ตอบวา "เราก็เป็นห่วงเหมือนกันคิดว่าจะคายอะไรไว้ให้เขากินกัน แต่ชีวิตก็จวนเสียแล้ว ก็ให้พวกยังอยู่หากินกันไป ถ้าไม่มีปัญญาก็ช่างมัน"

และได้เรียนถามท่านอีกว่า "ท่านพ่อมีคาถาอะไรดีๆ ก็สอนให้ผมด้วย"

ท่านพ่อลีตอบว่า "คาถานั้นมีอยู่ แต่สู้ใจเราไม่ได้ ให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จคุณธรรม เมื่อเราทำความเพียรอย่างสูงสุด เสียสละชีวิตแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน"

 
พระธุตังคเจดีย์ ณ วัดอโศการาม ในปัจจุบัน


นี้เป็นเพียงบทสนทนาสั้นๆ (ฉบับเต็มจะตีพิมพ์ในหนังสืองานฉลองพระธุตังคเจดีย์) แต่เต็มไปด้วยความหมายแห่งผู้ปฏิบัติธรรมได้เต็มขั้นเต็มภูมิ

ชีวิตพระอริยเจ้าจึงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบจริงๆ

ท่านไมได้นอนรอความตาย

ท่านทราบเรื่องความตาย

ตายแล้วไปไหน หลังจากตายจะไปทำอะไร

ได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน

และคำว่า "พระนิพพาน" เป็นอย่างไร สุขสบายดีไหม ท่านรู้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องคิดหาคำตอบมาถกเถียงให้เมื่อยกราม

เพราะพระนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ท่านประสบพบเห็นเองอยู่

ท่านมีชีวิตอยู่ก็เป็น "สอุปาทิเสสนิพพาน"

ตายไปก็เป็น "อนุปาทิเสสนิพพาน"

 
สรีระร่างท่านพ่อลี ที่มรณภาพอย่างสงบ
เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๔ สิริอายุได้ ๕๕ ปี



พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "พระนิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล แต่เป็นของรู้ได้เฉพาะตน"

"...ผู้บรรลุพระนิพพาน...จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อน ถึงจะตายก็ไม่เศร้าโศก...เพราะมองเห็นที่หมายข้างหน้าแล้ว

...ความตายเรา (ตถาคต) ก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เราจักทอดทิ้งร่างกายนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ มีสติมั่น...เรารอท่าเวลาตายเหมือนคนรับจ้างทำงานเสร็จแล้ว รอรับค่าจ้าง...(เสร็จกิจพรหมจรรย์ รอตายไปอนุปาทิเสสนิพพาน)

ในเรื่องบางอย่างพวกเราผู้เป็นปุถุชนไม่รู้ แต่จะไปอวดเก่งกว่าท่านผู้รู้จริงไม่ได้ อย่างเรื่องท่านพ่อลี ถ้าบรรดาศิษย์เชื่อฟังท่านเสียหน่อย ท่านก็ยังจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังอย่างนี้

ในเรื่องแบบนี้มีหลักฐานยืนยันได้ ในสมัยพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงปลงพระชนมายุสังขาร...แล้วปรินิพพาน ถ้าเพียงพระอานนท์อาราธนานิมนต์ให้พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่โปรดเวไนยสัตว์ต่อ ไป พระพุทธองค์จะทรงห้ามเสียสองครั้ง ครั้งที่สามพระองค์จะทรงรับอาราธนานิมนต์..และทรงอยู่ต่อไปได้อีกถึง ๑๒๐ ปี เพราะทรงบำเพ็ญอิทธิบาทภาวนามาเป็นอย่างดี


หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน


ในสมัยปัจจุบัน ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง ในปี ๒๕๔๐ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ท่านป่วยหนัก ผลที่หมอตรวจที่วัดป่าบ้านตาด ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น ที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ

เป็นที่แน่นอนว่าท่านป่วยเป็น "โรคมะเร็งลำไส้" ขั้นสุดท้าย

หมอบอกว่า ท่านจะต้องตายก่อนเข้าพรรษาปีนั้นอย่างแน่นอน

ท่านได้นิมิตภาวนาในเรื่องนี้ก่อนแล้ว

แล้วต่อมาในปีเดียวกัน มีคนนิมนต์ให้ท่านอยู่ช่วยชาติบ้านเมือง

ท่านจึงประกาศตั้งโครงการช่วยชาติ..

โรคได้หายเป็นปลิดทิ้งเพราะอานิสงส์นั้นเท่าทุกวันนี้

แล้วท่านได้ยาดีอะไรมารักษา?

ก็ตอบได้ว่า เป็นยาวิเศษที่เทวดานำมาถวายโดยบันดาลผ่านทางมนุษย์เป็นผู้ประกอบ

ยาเทวดาเป็นยาแบบไหนหนอ

ผู้เขียนขอไขปริศนาที่หลวงตาได้เล่าเฉพาะที่โรงน้ำร้อนวัดปาบ้านตาด ต้นปี ๒๕๕o นี้เอง

คือตามปกติท่านจะไม่เล่าเรื่องลึกลับลี้เร้นเหล่านี้ เพราะท่านว่าเป็นปัจจัตตัง รู้เห็นเฉพาะตน การนำออกมาเผยแผ่บางคนอาจไม่เข้าใจ เกิดการตำหนิลบหลู่เป็นการก่อกรรมแก่เขาได้

ท่านเล่าว่า คราวหนึ่งท่านอยู่ในป่าลึกเพียงรูปเดียว เร่งความเพียรภาวนาอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายซูบซีดผอมเหลือง เรี่ยวแรงหดหาย เหลือแต่ใจอันดวงเด่น มีพลังมหาศาลข้างใน หมุนไปด้วยธรรมจักรตลอดวันคืน แต่พลังกายเหนื่อยล้าเต็มที

ขณะที่ท่านเดินจงกรมพิจารณาธรรมบางประการในยามค่ำคืน เทพธิดาตนหนึ่งได้ปรากฏกายเข้ามานั่งกราบไหว้ข้างบริเวณทางจงกรม เฝ้ารักษาอยู่โดยตลอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

แล้วนางเทพธิดาจึงกราบเรียนท่านว่า

"...เขาเคยเป็นแม่ของท่านในอดีตชาติ เกี่ยวข้องกันมานาน

บัดนี้ได้มาเจอกัน ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นท่านซูบผอมซีดเซียวก็อยากมาช่วยเหลือด้วยการถวายอาหารทิพย์ อันจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้น ขอให้ท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าในอดีตชาติที่เคยเป็นแม่เป็นลูก โปรดเมตตารับอาหารทิพย์เถิด"

หลวงตาท่านตอบว่า "...เวลานี้เป็นเวลาวิกาลโภชน์ (เลยเที่ยง) รับภัตตาหารไม่ได้"

"อาหารนี้ไม่มีสี ไม่มีรส เป็นอาหารวิเศษไม่ต้องกินด้วยปาก เพียงไล้ไปตามร่างกาย การไล้นั้นก็ไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัว..ก็ถือว่าได้ดื่มด่ำรสของทิพย์แล้ว" นางเทพธิดากล่าวสาธยาย

"แม้ถึงกระนั้นก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเจตนานั้นแหละเป็นตัวกรรมคือการกระทำ....

แม้เป็นอาหารทิพย์ก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถึงไม่มีใครเห็นเราก็รู้อยู่แก่ใจ ใจนี่แหละเป็นตัวพาสร้างเวรสร้างกรรม มิใช่อวัยวะอื่นใด"

เมื่อหลวงตาท่านพูดจบ ก็ก้าวเดินจงกรมต่อไป ท่ามกลางความเงียบในไพรสณฑ์ นางเทพธิดาก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเคลื่อนร่างที่เบาเหมือนปุยนุ่นไปไหน เพ่งมองท่านด้วยความห่วงใยและภูมิใจที่มีพระลูกชายเป็นพระอริยสงฆ์สาวกของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อความพ้นทุกข์

แล้วนางจึงกราบเรียนท่านว่า "พรุ่งนี้เช้าจะนำอาหารทิพย์มาถวายใหม่"

พอรุ่งเช้านางเทพธิดาได้มานั่งรออยู่หน้ากุฏิหลังน้อยมุงด้วยหญ้า กิริยาแช่มช้อยงดงาม หาสตรีใดในโลกเหมือนหรือเพียงเทียบเทียมมิมีได้

สตรีที่เขาว่าสวยที่สุดในโลกเป็นนางงามจักรวาลเมื่อเทียบกับนางเทพธิดาแล้วก็เหมือนลิงโก๊กตัวหนึ่งเท่านั้น

น่าขำจริงๆ โลกมนุษย์เอย..

เมื่อพระหลวงตาเห็นดังนั้นจึงถามนางว่า...การที่เธอมานั่งอยู่หน้ากุฏิ เราตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเอาได้ ว่าพระอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง ข้อครหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ นางตอบว่า

"ท่านไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น ไม่มีใครสามารถเห็นฉันได้..นอกจากท่านเท่านั้น นี่เป็นเทพเนรมิตเพื่อมาถวายอาหารทิพย์แก่ท่านได้ง่ายขึ้นเท่านั้น"

"ถวาย ก็ถวายมาสิ" หลวงตาตวาดนางเทพธิดาหน่อยๆ

นางจึงบอกให้ท่านนั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่ง การถวายอาหารทิพย์ก็เป็นอันเริ่มขึ้นและจบลง

ร่างกายของท่านกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด

เหมือนปลาขาดน้ำแล้วพลันได้น้ำ

เหมือนคนหิวกระหายมานานวัน พลันมาเจอบ่อน้ำอันใสสะอาด

ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณที่ซีดเซียวกลับผุดผ่อง หายเมื่อย หายหิว

ปฏิบัติภาวนาต่อไปได้อีกหลายวันโดยไม่ต้องมีอาหารตกท้อง..อยู่เย็นสบายคลายความทุกข์กังวล

นี่คืออาหารเทวดา ยาเทวดาก็คงทำนองนี้เหมือนกัน

เพราะนั่นเป็นของวิเศษ ที่มนุษย์ผู้ศีลน้อย ธรรมน้อยจะไม่มีวันได้พบพานเป็นอันขาด เว้นแต่ในนิทานหลอกเด็กเท่านั้น!!

ท่านพ่อลีเองก็เคยรับอาหารบิณฑบาตจากเทวดาที่ดอยขะม้อ จังหวัดลำพูน ท่านผู้สนใจโปรดติดตามจากหนังสือเล่มใหญ่ในวาระฉลองพระธุตังคเจดีย์ ที่วัดอโศการาม ก็แล้วกัน

นี่แหละท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเป็นที่อัศจรรย์อย่างหาที่สุดมิได้ ท่านเป็นผู้นำจิตวิญญาณและชีวิตจิตใจของเราผู้ศรัทธาทั้งหลาย

เหมือนโคนำจ่าฝูงที่นำพวกเราผู้พยายามเพื่อธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์ ว่ายตัดกระแสน้ำคือกิเลสอันเชี่ยวกราก อันเป็นห้วงน้ำใหญ่มีอันตรายมาก ข้ามขึ้นถึงฝั่งอันราบเรียบเป็นภูมิภาคน่ารื่นรมย์ เกษมสำราญไม่มีเวรภัย ถึงเมือง "อุดมบุรี" (อุดมธรรม) และ "นิพพานนคร" โดยปลอดภัยฯ


 
ขอบคุณที่มา:http://www.dharma-gateway.com

86
มาชมยันต์ต่างๆ...กันต่อนะครับ



ยันต์พระอิติปิโสไตรจักร ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านการค้าขาย หรือทำงานธุรกิจ เมตตา แคล้วคลาด




ยันต์เกราะเพชร ความหมาย ความเชื่อ ป้องกันสิ่งชั่วร้ายและจะสะท้อนคุณไสยสิ่งไม่ดีออกไปกันการกระทำ การกลั่นแกล้งจากคนอื่น ของเหล่านั้นมันจะกลับสะท้อนย้อนเข้าไปหาคนแกล้ง หรือคนทำ




ยันต์ตะกร้อ ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านคงกระพันชาตรี  แคล้วคลาด มหาอุตม์ หนังเหนียว




ยันต์แสนสากเหล็ก บ้างเรียกว่ายันต์มหาระงับ ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านแคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุตม์ ใช้ได้ครอบจักรวาล




ยันต์พ่อแก่ฤาษีเดินดง ความหมาย ความเชื่อ เป็นยันต์ ปฐมบรมครูทุกแขนงวิชา ยันต์พ่อแก่  ที่สูงมากๆ คนสักต้องรักษาให้ดี หากไม่เช่นนั้นก็จะเกิดวิบัติ ต่างๆนานา อาจถึงตายหรือชิบหายได้ แต่หากคิดดี ทำดี พูดดี ยันต์พ่อแก่ จะเพิ่ม บารมี แคล้วคลาด พุทธคุณครอบจักรวาล ใครสักไว้กับตัวต้องรักษาให้ดีนะครับ หากเป็นพ่อแก่เดินดง อาจ ชอบเดินทางไปโน้นไปนี่...




ยันต์พระพรหม ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านเมตตา มหานิยมโชคลาภค้าขายและแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง




ยันต์เทพรำจวน ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ มหาระรวย




ยันต์พ่องั่ง ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านเมตตาโชคลาภ คงกระพันแคล้วคลาด ผู้ใดต้องการ โชคลาภอธิษฐาน ขอความสำเร็จขอบารมีเสริมสร้าง กิจการค้า ให้เจริญรุ่งเรือง ปกป้องคุ้มครองอันตรายทั้งปวง  ให้มีความสุขอย่ามีเคราะห์ภัย




ยันต์แม่เป๋อ ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านเมตตา มหาเสน่ห์ มหาโชคลาภ มหาหลง มหารัก มหาละลวย มหาลาภ




ยันต์พระราม ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านเมตตา แคล้วคลาด มหาอำนาจ




ยันต์พญาเต่าเรือน ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านโชคลาภค้าขาย เมตตามหานิยมถ้าผู้ใดรับเคราะห์กรรม เช่นจะถูกลงโทษ ศัตรูแกล้งใส่ความ ให้นึกถึงบารมีพญาเต่าเรือน ขอให้ท่านช่วยให้พ้นทุกข์ โดยภาวนาพระคาถา หัวใจพญาเต่าเรือน "นา สัง สิ โม" จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้




ยันต์ช้างเอราวัณ ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านเมตตา แคล้วคลาดเหมาะสำหรับท่านที่ชอบเดินทางโดยตลอด
 



ยันต์มัจฉานุลูกหนุมาน ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านแคล้วคลาด คงกระพันและเหมาะสำหรับท่านที่ทำงานทางน้ำ




ยันต์จิ้งจก ความหมาย ความเชื่อ ทางด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์




ยันต์ตะขาบ ความหมาย ความเชื่อ ทางด้าน เมตตา  แคล้วคลาด




ยันต์จระเข้ ความหมาย ความเชื่อ ทางด้าน คงกระพันชาตรี เมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด ความอดทนมีพละกำลังมาก



ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง ยันต์
--------------------------------------------------------------------------------
http://thai-magictattoo.spaces.live.com/
http://siambrandname.com/forum/showthread.php?t=415814

87


บทสวดขอพรพระตรีมูรติ 
 
สาธุ สาธุ สาธุ อุกาสะ ข้าแต่องค์พระตรีมูรติที่ยิ่งใหญ่ข้าพเจ้า

นาย,นาง............................(บอกชื่อ นามสกุล และที่อยู่)

กราบเบื้องบาทแด่องค์ท่านแล้ว พระองค์เคยประทานพรแด่ทวยเทพทั้งหลาย
ผู้ปฎิบัติดี ผู้ปฎิบัติชอบทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้ามากราบเบื้องบาทแด่พระองค์ท่านแล้ว
จึงขอพรจากพระองค์ซึ่งประทานไว้ ณ บัดนี้ (.....ขอพร.....)

เตสัง อัมหากัง พรใดอันประเสริฐจงมาบังเกิดแด่ข้าพเจ้า
ตุมหากัง และจงบังเกิดแด่ผู้คุ้มครองข้าพเจ้า
ฑีฆายุกา มหาเดชา มหาปัญญา มหาโภคา มหายะสา มหาลาภา ปัญจวีสติ
ภยันจะ ทวัตติงสะ ฉันนะวุฒิติโรคัญจะ โสระสะ อุบัติอันตรายยัญจะ อัยยัญติกะ
อันตรายยัญจะ พาหิระ อันตรายยัญจะ วิระหิตะวา โหตุ ยาวะชีวัง พระวิสตีติ
(พระตรีมูรติ)

วิธีการบูชา
ธูปแดง ๙ ดอก, เทียนแดง, ดอกกุหลาบแดง และ ผลไม้

ขอให้ท่านตั้งจิตเป็นกุศล และขอพรจากองค์พระตรีมูรติในเรื่องที่ดีงาม ถูกต้องตามทำนอง
ครองธรรม พรนั้นก็จะสัมฤทธิ์ผลตามต้องการ 

วิธีขอพร...พระตรีมูรติ

ต้องตั้งมั่นว่า เทพเราไม่รู้ว่าตัวตนวิญญาณเขาเป็นอย่างไร เห็นเพียงแต่รูปสมมุติ ต้องเอาจิตของเรายึดมั่นถือมั่น เทพไม่ต้องการอะไร ต้องการเพียงสัจจะ มนุษย์มีสัจจะว่าจะให้อะไรท่านเท่านั้น  เช่นท่านประทานอะไรให้ เราจะมาทำให้ บางคนบอกจะมารำถวาย ท่านก็รับ  จริงๆแล้วเทพท่านไม่ได้อยากได้อะไร  ในมือท่านก็ว่างเปล่าไม่มีอะไร จริงๆแล้วที่เรามาพลี มาสังเวย เครื่องบวงสรวง เราต้องการตอบแทนท่าน ท่านก็จะเอาไปเลี้ยงวิญญาณ ที่อดอยาก บางคนมาขอลูก มนุษย์ที่ตายไปแล้วไม่ได้ผุดได้เกิด มาดูแลท่าน มารับใช้วิญญาณ ท่านก็ให้ไปเกิด เป็นลูก อยู่ที่คนศรัทธา และมีสัจจะว่าจะทำอะไร เท่านั้นเอง.




กราบขอบพระคุณ...ท่านอาจารย์ สุชาติ รัตนสุข

88
  รอยสัก ยันต์ ( Thai Tattoos )

             


เส้นที่ขีดลากไปมานอกยันต์นั้น หมายถึง "สายรกของพระพุทธเจ้า" ส่วนเส้นที่อยู่ภายในยันต์ เรียกว่า "กระดูกยันต์" ยันต์มีหลายแบบต่างๆ กันไป เช่น

•ยันต์กลม มีความหมายว่าเป็นพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ทางศาสนาพราหมณ์ หมายถึงพระพักตร์ของพระพรหม
•ยันต์สามเหลี่ยม มีความหมายว่าเป็นพระรัตนตรัย หรือภพทั้งสาม ส่วนทางศาสนาพราหมณ์ให้ความหมายว่าเป็นพระเป็นเจ้าทั้ง 3 ของพราหมณ์ คือ พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์
•ยันต์สี่เหลี่ยม มีความหมายว่าเป็นทวีปทั้งสี่ หรือธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
•ยันต์รูปภาพ มีทั้งรูปภาพ เทวดา มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ส่วนความหมายก็อยู่ในตัวของรูปภาพนั้นๆ

การลงยันต์หรือการเขียนยันต์นั้นจะใช้อักขระขอม ซึ่งเขียนเป็นตัวย่อของพระคาถาแต่ละบท เพราะหากเขียนพระคาถาลงไปในยันต์ทั้งหมดเนื้อที่คงไม่พอ จึงใช้อักขระย่อ ส่วนตัวเลขที่อยู่ในยันต์ก็ย่อมาจากอักขระของพระคาถา ข้อควรระวังในการลากเส้นยันต์นั้นควรลากทีเดียวให้ตลอดไม่ใช่ลากแล้วหยุด หากลากแล้วหยุดถือว่ายันต์นั้นใช้ไม่ได้ ต้องใช้คาถาหรือสูตรในการต่อเส้นยันต์นั้นใหม่ยันต์นั้นจึงจะใช้ได้ และการลงอักขระให้ระวังอย่าลงอักขระทับเส้นยันต์เพราะจะทำให้ยันต์นั้นใช้ไม่ได้ ท่านเรียกว่าเป็นยันต์ตาบอด การลงยันต์หรือการเขียนยันต์หากยันต์นั้นมีคาถาหรือสูตรกำกับไว้ผู้เขียนจะต้องภาวนาคาถานั้นไปด้วยพร้อมกันการลงยันต์ ฉะนั้นจึงต้องใช้สมาธิสูง ส่วนขั้นตอนและวิธีการลงยันต์พร้อมทั้งสูตรต่างๆ ยังมีอีกมากครับ คลิกที่นี่ครับเพื่ออ่านรายละเอียดสูตรและคาถาเวลาเขียนยันต์

คลัง ภาพยันต์



ยันต์รัตนตรัย ความหมาย ความเชื่อ ชนะศัตรู เมตตามหานิยม


ยันต์พุทธคุณ ความหมาย ความเชื่อ คุ้มกันสารพัดภัย แคล้วคลาดจากอันตราย


ยันต์มหาศิริมงคล ความหมาย ความเชื่อ เป็นมงคลยิ่งนัก และคุ้มภัยอันตรายทั้งปวง


ยันต์ยอดมงกุุฎ ความหมาย ความเชื่อ แคล้วคลาด จากอันตรายทั้งปวง (ซ้ายยันต์ยอดมงกุฎด้านหน้า ส่วนขวาเป็นด้านหลัง)


ยันต์บารมีพระพุทธเจ้า ความหมาย ความเชื่อ กันภูตผี ปีศาจ ป้องกันอันตรายทั้งปวง


ยันต์มหาสาวัง ความหมาย ความเชื่อ กัน และแก้สารพัดโรคภัย อันตราย


ยันต์เมตตามหานิยม ความหมาย ความเชื่อ เป็นเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ทำให้คนรัก


ยันต์มหาอุด ความหมาย ความเชื่อ คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม (ซ้ายยันต์มหาอุดด้านหน้า ขวาด้านหลัง)


ยันต์ห้ายอด ความหมาย ความเชื่อ คุ้มกันภัย และอันตรายทั้งปวง


ยันต์การะเวก ความหมาย ความเชื่อ ใช้ในทางเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์วิเศษดียิ่งนัก เวลาเข้าไปหาใครก็ตาม เช่น ไปสมัครงาน นัดสัมภาษณ์ นักร้อง นักแสดง นักเทศน์ วิเศษยิ่งนัก


ยันต์ตะกรุดมหาระงับ ความหมาย ความเชื่อ เป็นยันต์นะจังงัง ยิง ฟัน แทงไม่เข้า


ยันต์ตะกรุดโทน ความหมาย ความเชื่อ กันอันตรายจากอาวุธทุกชนิด


ยันต์อาวุธทั้งสี่ ความหมาย ความเชื่อ กันสารพัดภูตผี ปีศาจ ถอนแก้คุณไสยทุกอย่าง


ยันต์โภคทรัพย์ ความหมาย ความเชื่อ ใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน ทำให้เงินพอกพูนเพิ่มขึ้น


ยันต์พญาหงส์ทอง ความหมาย ความเชื่อ เมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์ ทำให้ทุกคนรัก


ยันต์พญาราชสีห์ ความหมาย ความเชื่อ คนเกรงขาม เป็นตบะเดชะ มีอำนาจ


ยันต์พญาเสือ ความหมาย ความเชื่อ คนเกรงขาม เดินป่าป้องกันสัตว์ร้าย


ยันต์พญาหนุมาน ความหมาย ความเชื่อ อยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม


ยันต์ท้าวเวสสุวรรณ ความหมาย ความเชื่อ กันภูตผี ปีศาจทุกชนิด กันและแก้คุณไสย


ยันต์นางกวัก ความหมาย ความเชื่อ สำหรับค้าขายให้มีกำไรดี ร่ำรวยเงินทอง


ยันต์พระเจ้าเปล่งรัศมี ความหมาย ความเชื่อ ไปไหนนำติดตัวไปด้วยทำให้คนรักคนหลง


ยันต์พุฒซ้อน หรือ ยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ความหมาย ความเชื่อ เป็นยันต์ที่โด่งดังมากมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นมหายันต์สูงสุดกว่ายันต์ทั้งปวง อุปเทห์ใช้ได้ สารพัดประโยชน์ โดยเฉพาะยันต์พุฒซ้อนได้นำมาใช้ในการลงนะหน้าทอง เมตตามหานิยม โชคลาภ ทำให้ผู้ใหญ่เมตตา ต้องการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เป็นมหาเสน่ห์รุนแรง


ยันต์กันสะกด ความหมาย ความเชื่อ กันอันตรายจากโจร ผู้ร้าย


ยันต์ หนุนดวง หรือ ยันต์โภคทรัพย์ 5 แถว ความหมาย ความเชื่อ เป็นอักขระขอมโบราณ 5 แถว ความยาว 7 นิ้ว กว้าง 2 นิ้วครึ่ง โดยแถวแรกเป็นคาถาเมตตามหานิยม แถวที่ 2 เป็นคาถาหนุนดวงชะตา แถวที่ 3 เป็นคาถาแห่งความสำเร็จ แถวที่ 4 เป็นคาถาราศีประจำตัว และแถวที่ 5 เป็นคาถามหาเสน่ห์ และแต่ละแถวจะมีพระปิดตา ช่วยเปิดช่องทางในการทำธุรกิจ คอยหนุนเรื่องการค้าให้ก้าวหน้า มั่นคงยิ่งขึ้น ถ้าคนดวงไม่ดี การสักต้องสักเป็นยันต์หนุนดวง หรือ ยันต์โภคทรัพย์ 5 แถว เพราะถือว่าเป็นยันต์คุณพระ ที่มีพลังอานุภาพครอบคลุมทุกด้าน และสามารถที่จะเกื้อหนุนดวงที่ตกต่ำให้โดดเด่นขึ้นมาได้


ยันต์เก้ายอด ความหมาย ความเชื่อ ของยันต์หมายถึงคุณวิเศษของพระพุทธเจ้าทั้ง 9 ประการ ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปของยอดแหลมทั้ง 9 ยอด ลายสักยันต์นี้ดีในการป้องกันศาสตราวุธทั้งหลาย


ยันต์หนุมานตัวเก้า ความหมาย ความเชื่อ เหมาะสำหรับอาชีพ ราชการ ตำรวจ หรือองครักษ์เพื่อส่งเสริมให้การงานเจริญก้าวหน้า


ยันต์ชูชก ความหมาย ความเชื่อ ชายแก่ที่แบกถุงเงินบนบ่า ชื่อเขาคือชูชก เริ่มแรกเขาเป็นขอทาน ต่อมาเขากลายเป็นเศรษฐี ลายสักนี้ดีต่อการค้าและทุกท่านที่ต้องการความร่ำรวย


ยันต์แปดทิศ ความหมาย ความเชื่อ  ยันต์แปดทิศ มีสรรพคุณ ทางด้านเมตตา อยู่ยงคงกะพัน คุ้มคองทิศทั้งแปด



ยันต์พญากาน้ำ ความหมาย ความเชื่อ มีไว้ค้าขายทางน้ำ



ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง ยันต์
--------------------------------------------------------------------------------
http://thai-magictattoo.spaces.live.com/
http://www.mahamodo.com/modo/cabalistic_writing/cabalistic_writing_menu.asp
http://www.baanmaha.com/community/archive/index.php/t-26038.html

89
งานประติมากรรมศีรษะครู ที่วิจิตรงามตา ทั้งๆที่ไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน แต่พระอาจารย์หนู ท่านสามารถสร้างชิ้นงานขึ้นมาได้ ใครเห็นก็ตะลึงในผลงาน ฝากไว้ให้แผ่นดิน ณ พิพิทธภัณฑ์งานปฏิมากรรมพระอาจารย์หนู วัดสุทธาราม สำเหร่ ตากสิน 19 กทม. เคยนำไปแสดงที่หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี มาแล้ว เชิญชมภาพ ตามอัธยาศัยครับ

ศีรษะพระฤาษี ศีรษะแรก ใหญ่ที่สุดในโลก


ศีรษะพระพิราพ ใหญ่ที่สุดในโลก 


ศีรษะครู พระพิฆคเณศ










ไม้เท้าครูพระฤาษี


ภาพวาด พระอุมา วาดจากภาพต้นฉบับฝีพระหัตถ์เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรโดยพระอาจารย์หนู


ประติมากรรม แบบหล่อ



พระกษิติครรถ์โพธิสัตว์













ขอบคุณ...ภาพจาก...Tempplc.com
     และ...เว็บพลังจิต.คอม

90
ธรรมะ / ทำน้อย...ได้ผลมาก
« เมื่อ: 28 ม.ค. 2553, 01:39:58 »
การทำกุศลในพระพุทธศาสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระกรุณาเทศนาโปรดท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อครั้งประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ดังที่มีเรื่องบันทึกอยู่ในเวลามสูตร คัมภีร์อ้งคุตตรนิกาย นวนิบาต โดยทรงปรารภถึงพระชาติที่พระองค์ทรงบังเกิดเป็น เวลามพราหมณ์ ได้ถวายมหาทานที่ใช้ทรัพย์สิ่งของมาก แต่มีผลดีสู้การปฏิบัติศีลธรรมตามหลัก ๔ ประการไม่ได้
ข้อปฏิบัติ ๔ ประการ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำไว้ ได้แก่
๑.มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
เป็นสรณะ คือ ที่พึ่งระลึก
๒.รักษาศีล ๕ ได้แก่ ตั้งใจงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ปรพฤติผิดในกาม(ผิดลูก-เมีย-ผัวเขา) การกล่าวเท็จ งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยและเสพของมึนเมา
๓.การเจริญเมตตาจิต ได้แก่ แผ่ความปรารถนาดีไมตรีจิต คิดจะให้บุคคลและสัตว์ท้งหลาย มีความสุข แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่สูดดมของหอมก็มีอานิสงส์มาก
อนึ่ง ใน โอกชาสูตร คัมภีร์สังยุตตนิกาย นิทานวรรค กล่าวว่า การแผ่เมตตาจิต เพียงแค่รีดนมโคให้หยดน้ำนมแห่งแม่โคลง (หรือชั่วรีดขึ้นแล้วรีดลง) มีคุณค่ามากกว่าตั้งเตาหุงอาหารเลี้ยงคน ๓ มิ้อ มื้อละ ๓๐๐ กระทะ(หม้อใหญ่)
๔.การเจริญอนิจจสัญญา ได้แก่ การกำหนดหมายว่า ไม่เที่ยง แม้เพียง
ชั่วระยะเวลาแค่ลัดนิ้วมือ หรือ งอนิ้วมือเข้า หรือเหยียดนิ้วมือออกเท่านั้น
กุศลกรรมทั้ง ๔ นี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีอานิสงส์(ผลดี) มากกว่าการถวายทานแด่พระอริยะบุคคล ๔ ระดับ (๑.พระโสดาบัน ๒.พระสกทาคามี ๓.พระอนาคามี ๔.พระอรหันต์) การถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า การถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การถวายทานแด่พระสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุข และการสร้างที่อยู่อาศัยถวายแด่พระสงฆ์ผู้มาจาก ๔ ทิศ
การถวายทานแด่ท่านผู้มีคุณอันสูงยิ่งทั้งหลายทั้ง ๕ ระดับดังกล่าวนั้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าการลงมือปฏิบัติที่ตัวของผู้ปฏิบัติเอง ทั้ง ๔ ข้อข้างต้น ตามพระพุทธดำรัสแนะนำว่า
การถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ก็มีผลมากกว่าการถวายทาน
การรักษาศีล ๕ ทีผลมากกว่าการถึงซึ่งพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
การเจริญเมตตาจิต คือ การแผ่ความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์มีผลมากกว่าการรักษาศีล ๕
และการเจริญอนิจจสัญญา คือ การกำหนดหมายว่าไม่เที่ยงมีผลมากกว่าการเจริญเมตตาจิต และการเจริญอนิจจสัญญา มีอานิสงส์ คือ ผล ดีมากกว่ากันเป็นลำดับ โดยจะสังเกตุเห็นว่า ลำดับหลังๆ ลงทุนน้อย ลงแรงน้อยกว่า แต่มีผลด้านพัฒนาจิตใจสูงกว่า เพราะฉะนั้น การเจริญอนิจจสัญญา มีผลดีสูงที่สุด และการกระทำตามหลักทั้ง ๔ ข้อ ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเลย แต่ใช้การปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมให้ถูกต้องและถูกทาง
พระพุทธศาสนาสอนให้พุทธบริษัทลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อจะได้เกิดมีคุณธรรมต่างๆที่ตัวเองบ้าง และจะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องเชื่อใครมาบอก ดังพระธรรมคุณว่า วิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตัว หรือมีคำพังเพยว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น แล้วท่านจะไม่ลงมือปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบ้างหรือ

ขอบคุณที่มา : หนังสือชีวประวัติสามเณร (รวบรวมและเรียบเรียง โดย จำเนียร ทรงฤกษ์)

91


"พระครูธรรมสารรักษา"หรือ หลวงพ่อพริ้ง วชสุวัณโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดวรจันทร์ ต.โพธิ์พระยา อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี และรองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพระเถระที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากชาวเมืองสุพรรณบุรี

หลวงพ่อพริ้งมรณภาพลงเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2483 สิริอายุ 74 ปี พรรษา 43

ด้วยบารมีของหลวงพ่อพริ้ง ส่งผลให้วัตถุมงคลหลวงพ่อพริ้งทุกรุ่นได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของบรรดาเซียนพระและนักสะสมพระเครื่องเป็นอย่างมาก

         เหรียญหลวงพ่อพริ้ง รุ่นทานบารมี สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2538 ประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษก ที่อุโบสถวัดวรจันทร์ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี เพื่อนำรายได้บูรณะซ่อมแซมองค์พระเจดีย์และพื้นที่วัดวรจันทร์ ซึ่งสร้างมาแล้ว กว่า 80 ปี รวมทั้งแจกญาติโยมที่เข้าร่วมงานในวันนั้น

           โดยมีหลวงตาจวน วัดไก่เตี้ย อ.ศรีประ จันต์ จ.สุพรรณบุรี ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อพริ้ง พระเกจิดังเป็นประธานจุดเทียนชัยและนั่งอธิษฐานจิต หลวงพ่อดี วัดพระรูป จ.สุพรรณ บุรี, หลวงพ่อเจริญ วัดธัญญวารี (หนองนา) จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง จ.สุพรรณบุรี

         หลวงพ่อพยุง วัดบัลลังค์ จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อปลื้ม วัดสวนหงษ์ จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ จ.สมุทรสาคร, หลวงพ่อหลิว วัดไร่แตงทอง จ.นครปฐม, หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม, หลวงพ่อประเทือง วัดเขาแก้ว จ.นครสวรรค์, หลวงพ่อเกตุ วัดเกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันต์, หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก จ.ประ จวบคีรีขันธ์

         หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา จ.พระ นครศรีอยุธยา, หลวงพ่อจง วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพฯ, หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี, หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี และครูบาสร้อย วัดมงคลคีรีเขตต์ จ.ตาก

           สำหรับเหรียญหลวงพ่อพริ้ง เป็นเหรียญรูปอาร์ม ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปเหมือนหลวงพ่อพริ้ง ด้านล่างเขียนว่า พระครูธรรมสารรักษา (พริ้ง) มีเส้นรอบเหรียญเป็นเส้นใหญ่และเล็ก 2 เส้น

        ด้านหลังเหรียญเป็นรูปยันต์หลวงพ่อพริ้ง ด้านบนยันต์หลวงพ่อพริ้งเขียนเป็นเลขไทยว่า "๒๔๑๐" ด้านล่างของยันต์หลวงพ่อพริ้งเขียนเป็นเลขไทยว่า "๒๕๓๗"

        เหรียญหลวงพ่อพริ้ง รุ่นทานบารมี มีพุทธคุณโดดเด่นด้านเมตตามหานิยม ค้าขายดี แคล้วคลาดปลอดภัยในการเดินทาง คงกระพันชาตรี

        แต่ผู้ที่มีเหรียญหลวงพ่อพริ้งต้องปฏิบัติดีมีคุณธรรมเท่านั้น เล่าลือกันว่า เคยมีชาวบ้านข้างวัดเสียชีวิตนำไปเผาไม่ไหม้เพราะที่คอมีเหรียญหลวงพ่อพริ้งอยู่ บ้างว่าชายหนุ่มตำบลโพธิ์พระยาเกิดมีปากเสียงชกต่อยกับวัยรุ่นอีกพวก อีกฝ่ายถือมีดมาฟันจนเสื้อผ้าขาดแต่คมมีดไม่ระคายผิวเลยจนเป็นที่ร่ำลือ

       เหรียญหลวงพ่อพริ้งมีราคาเช่าหาบูชาอยู่ในราคาหลักร้อยเท่านั้น ทุกวันนี้มีเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่สามารถหาเช่าบูชาได้ที่ วัดวรจันทร์ ต.โพธิ์พระยา อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี

เป็นอีกเหรียญหนึ่งที่นักสะสมพระเครื่องไม่ควรพลาด

 

ขอบคุณที่มา : ข่าวสดออนไลน์

92
ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิญญาณของโคลัมเบียได้ทำการออกแบบ ภาพแห่งเวทย์มนต์ชุดนี้ขึ้นบนพื้นฐานของหลักจิตวิทยา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความผ่อนคลายทางอารมณ์ และเชื่อกันว่าภาพดังต่อไปนี้สามารถพัฒนาคุณค่าของชีวิตได้ หากปฏิบัติตามวิธีข้างล่างนี้

ภาพ: พัฒนาอารมณ์ โดยการ กระตุ้นความเมตตากรุณา และ ความรัก ที่มีอยู่ในตัวคุณ


               


1. มองภาพสบายๆ โดยรวมๆ ให้นึกถึงความรักของสรรพสิ่งต่างๆ ที่มีให้แก่กัน สัก 1 นาที

2. มองสบายๆ ที่จุดกลางภาพ ประมาณ 2 ถึง 3 นาที จากนั้นก็มองภาพโดยรวมๆ อีกครั้งคุณจะเปี่ยมล้นไปความสบายใจไปสักพักหนึ่ง หลังจากที่ได้ปฏิบัติ


ภาพ: ถอดถอนความตึงเครียด ใช้เมื่อรู้สึกมึนงงกับงานที่ท่านทำอยู่

               


1. มองสบายๆ ที่จุดกลางภาพ สัก 10 - 20 วินาที

2. จากนั้นก็มองภาพโดยรวมๆ

ภาพ: แก้ไขข้อขัดข้องด้านการเงิน หรือ แก้ไขปัญหาต่างๆ เมื่อไม่พบทางออก


                 


1. มองที่ขอบของวงกลมสักพัก (ให้จินตนาการว่าคุณถูกล้อมกรอบด้วยปัญหาอยู่)

2. มองไปที่ลูกศรข้างๆ วงกลมทุกๆ ทิศ

3. มองไปตรงจุด Z รำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ และอธิษฐานขอให้พบทางออกของปัญหาทางด้านการเงิน เป็นจำนวน สามครั้ง

4. ให้สังเกตความคิดของตัวเอง วิธีแก้ปัญหาต่างๆ จะมา เช่น ไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน วิธีหาเงิน เป็นหน้าที่ของคุณเองที่จะต้องจำ และจดเป็นรายละเอียด แต่ถ้าไม่สังเกต ก็จะไม่พบ


ขอบคุณที่มาจาก:เว็บพลังจิต.คอม

93


พังงาตื่นหินคล้ายพระพิฆเนศ

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ในบริเวณสวนยางพารา บ้านในหนอด ม.4 ต.เหมาะ อ.กะปง จ.พังงา ของนายพุทธพงษ์ หรือ โกแดง ทวิชศรี อายุ 54 ปี ว่า พบก้อนหินประหลาดสีเหลืองทอง มีรูปลักษณ์คล้ายองค์พิฆเนศ โดยมีประชาชนทั้งในพื้นที่และข้างเคียงเดินทางเข้าไปกราบไหว้บูชาจำนวนมากจึงรุดไปตรวจสอบ พบหินสีเหลืองทองก้อนใหญ่ขนาดสูงประมาณ 70 ซ.ม. น.น.ประมาณ 60 กก. ลักษณะมีงวง ดวงตา และหูคล้ายช้าง หรือคล้ายกับองค์พิฆเนศมากที่สุด ตรงฐานมีผ้าลายดอกไม้สีเหลืองทองกับพวงมาลัยพลาสติกพันอยู่ ตั้งอยู่บนแท่นปูนความสูงระดับเอว มีรั้วลวดหนามกั้นโดยรอบ โดยมีร่มขนาดใหญ่สีฟ้ากางบังเงาแดด ด้านหน้ามีชุดเครื่องไหว้ บายศรีทำด้วยใบตอง พร้อมดอกดาวเรืองที่ผู้ศรัทธานำมาบูชาเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นมี เทียน ขวดน้ำ มะพร้าวอ่อน นมสด อ้อย กล้วยวางอยู่จำนวนหนึ่ง มีกระถางธูปขนาดใหญ่ปักธูปควันโขมงทั่วบริเวณ

นายบุญชม ประกอบแสง อายุ 44 ปี อยู่ 2/2 ม.1 ต.ท่านา อ.กะปง จ.พังงา เล่าให้ฟังว่า เดิมหินก้อนนี้มีอยู่นานแล้ว ต่อมาคนทำสวนยางพารา สัญชาติมอญ ชื่อ นายอ้วน เห็นว่าเป็นหินสีผิวเหลืองสวยงามและสะอาด จึงกลิ้งนำมาทำที่นั่งเล่น ต่อมาเกิดอาการไม่สบายกะทันหัน มีอาการคลุ้มคลั่งพูดเป็นภาษาอินเดีย จึงไปหาคนทรงเจ้า ทราบว่า ถูกสิ่งศักดิ์สิทธ์ลงโทษ ให้แก้ไขโดยไปขอขมากับก้อนหินที่นำมานั่งเล่นก้อนนั้น เมื่อภรรยานายอ้วนนำมะพร้าวอ่อนไปถวายเพื่อขอขมา จากนั้นได้ดื่มน้ำมะพร้อมอ่อนที่นำไปถวาย ปรากฏว่าอาการไข้ของนายอ้วนหายเหมือนปลิดทิ้ง เจ้าของสวนยาง คือ นายพุทธพงษ์ ทราบเรื่องจึงไปดูสังเกตเห็นว่าก้อนหินนั้นมีลักษณะคล้ายองค์พิฆเนศวร์ จึงได้นำไปตั้งไว้บนเนินสูงในสวนยางพาราใกล้กับศาลพระภูมิ ซึ่งเจ้าของสวนยางพารามีโครงการที่จะสร้างสำนักให้มาตรฐาน เพื่ออัญเชิญองค์พิฆเนศไปประดิษฐานต่อไป


ขอบคุณที่มาจาก...http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJMk16Z3hNamd4T1E9PQ]

94


ตำนานพระราหู

พระอิศวรสร้างพระราหู
   ในตำนานแรกนั้นจะแสดงถึงตำนานทางคติพราหมณ์ ในตำราไสยศาสตร์ หรือศิวะศาสตร์ของพราหมณ์นั้นแสดงไว้ถึงการกำเนิดเทพยดานพเคราะห์ทั้ง 9 พระองค์ไว้ดังนี้ เทพยดานพเคราะห์ทั้ง 9 นั้นพระองค์ล้วนบังเกิดขึ้นจากเทวะบัญชาของพระอิศวร เมื่อบังเกิดนั้น พระอิศวรทางเป็นผู้สร้างด้วยพระองค์เองทุกพระองค์ ดังนั้นเทพยดานพเคราะห์ทั้ง 9 จึงล้วนมีฤทธิ์มีศักดานุภาพมากนัก

    ในเทพยดานพเคราะห์ทั้ง 9 นี้มีองค์หนึ่งทรงเป็นเทพอสูร ที่มีฤทธิ์เดชร้ายกาจมากนัก อานุภาพเป็นที่ยำเกรงของทวยเทพเทวาทั้งหลายด้วย ไม่อาจต้านทานพลานุภาพของพระองค์ได้ นั้นคือ “พระราหูจอมอสุรินทร์” ซึ่งพระอิศวรเจ้าได้นำหัวผีโขมด จำนวน 12 หัวมาป่นให้เป็นเถ้าธุลี จากนั้นห่อด้วยผ้าสีดำ เสกเป่าแล้วพรมลงด้วยน้ำอมฤต บัดดลบังเกิดขึ้นเป็นอสูรเทพนามว่า “พระราหู”บ้างก็เรียกว่า “อัมพรปีศาจ   ภารณีภู กรหะ” พวกราหูมีร่างกายใหญ่โตเหลือประมาณ ครึ่งบนเป็นเทพอสูร ครึ่งล่างเป็นงู ทรงเดชานุภาพครอบงำได้ทั้งสามโลก เป็นที่เกรงกลัวต่อพระสุริยเทพ พระจันทราเทพ นับเป็นเทพนพเคราะห์อันดับที่8 มีกำลังนพเคราะห์เป็น 12 เป็นเทพแห่งวันพุธกลางคืน

     กล่าวว่า อิทธิฤทธิ์ของอสูรเทพราหูนั้นพิสดารอย่างยิ่ง เมื่อแรกกำเนิดนั้นมีร่างกายครึ่งบนเป็นยักษ์ ครึ่งล่างเป็นพญานาค มีร่างกายสีทองอมดำสัมฤทธิ์ พาหนะที่ใช้นั้นกล่าวว่าทรงครุฑเป็นพาหนะ บ้างว่าทรงเมฆหมอก แสดงเห็นว่าพระราหูนั้นเป็นควบคุมธาตุน้ำ และธาตุลม บ้างก็ว่าพระราหูทรงพาหนะเป็นยักษ์ก็มีเหมือนกัน พระราหูจึงเป็นหนึ่งเทพยดาที่มีฤทธิ์มากนิสัยนักเลงไม่กลัวใคร ทางโหราศาสตร์ถือว่ามีพระเสาร์เป็นเพื่อนสนิท เมื่อพระราหูกำเนิดมาแล้วยังมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นอีกมากมาย

     เล่าในกาลต่อมา พระราหูได้แอบขโมยน้ำอมกฤตเพื่อดื่มกินให้ตนเองเป็นอมตะ มีอำนาจเหนือเทพยดาทั้งหลาย แต่พระอาทิตย์และพรจันทร์ซึ่งคอยระวังเรื่องนี้อยู่แล้วแอบรู้เห็นการกระทำของพระราหูเข้าจึงทูลต่อพระนารายณ์ เมื่อพระนารายณ์ทรงทราบว่าพระราหูอาจเป็นภัยต่อทั้งสามโลก จึงทรงกริ้วนัก ขว้างจักรเข้าตัดกลางกายของพระราหู แต่ดีที่ว่าพระราหูนั้นได้ดื่มกินน้ำอมกฤตเข้าไปแล้วจึงหาสิ้นใจลงไม่ แม้มีครึ่งกายก็มีอำนาจท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นท่อนล่างมีลักษณะเป็นงูนั้น ได้กลายเป็นเทพยดาขึ้นใหม่อีกพระองค์หนึ่งนามว่าพระเกตุ ทรงฤทธิ์เดชไม่แพ้กัน ถือว่าพระเกตุนี้เป็นเทพคุ้มครองดวงชะตาใครมีพระเดชกุมลักษณ์คนนั้นมักปลอดภัยจากภยันอันตรายทั้งหลายทั้งปวง

     ส่วนพระราหูนั้นคิดแค้นใจในพระอาทิตย์และพระจันทร์มาเสมอที่แอบนำเรื่องที่ตนดื่มกินน้ำอมฤตไปทูลฟ้อง จนเป็นเหตุให้ตนเองต้องโดนจักรพระนารายณ์ตัดร่างขาดเป็นสองท่อนเช่นนี้ เมื่อได้โอกาสเหมาะเมื่อใดพระราหูจึงเข้าจับพระอาทิตย์พระจันทร์มากลืนกินทุกครั้ง แต่เมื่อได้ยินเสียงตีเกราะเคาะไม้ก็คายพระอาทิตย์พระจันทร์ออกมา การกลืนพระอาทิตย์พระราหูก็เรียกว่าสุริยคราส การกลืนพระจันทร์ก็เรียกว่า จันทรคราส คือปรากฏการณ์อันน่าตื่นเต้นทางดาราศาสตร์ทุกวันนี้

พระราหูในพระพุทธศาสนา บุพกรรมของพระราหู

    ในวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาได้เล่าเรื่องพระราหู พระอาทิตย์และพระจันทร์ เกี่ยวกับบุพพกรรมที่ทั้งสามได้เคยสร้างร่วมกันมา จนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องราวแห่งพระราหู พระอาทิตย์และพระจันทร์มาจนทุกวันนี้ เล่าครั้งหนึ่งว่าทั้งสามคือ พระอาทิตย์ พระจันทร์และพระราหูเกิดเป็นพี่น้องกันมีพระอาทิตย์เป็นพี่คนโต พระจันทร์เป็นคนรองพระราหูเป็นน้องเล็ก พระอาทิตย์และพระจันทร์นั้นนิสัยดีชอบทำบุญใส่บาตร เลือกเอาของดีถวายพระภิกษุสงฆ์เสมอๆ แต่พระราหูนั้นนิสัยออกเกเร เป็นนักเลง เจ้าโทสะ ไม่ค่อยประดิษฐ์ประดอยเหมือนพี่ๆเขา ครั้งหนึ่งพระอาทิตย์ชวนน้องทั้งสองใส่บาตร พระอาทิตย์เลือกใช้ขันทอง พระจันทร์เลือกใช้ขันเงิน แต่พระราหูนั้นเลือกเอากะลาเป็นขันใส่ข้าว รวมทั้งทัพพีตักข้าวด้วย

     ด้วยกรรมดังนี้พระอาทิตย์ตั้งจิตอธิษฐานให้ตนเองเกิดเป็นสุริยเทพผู้มีรัศมีสองแสงเป็นสีทองส่องสว่างแก่มนุษย์ยามกลางวัน พระจันทร์ตั้งจิตขอไปเกิดเป็นจันทราเทพผู้มีรัศมีเย็นตา ให้ความสว่างแก่มนุษย์ยามกลางคืน ส่วนพระราหูนั้นต้องการมีเดชอำนาจเหนือพี่ทั้งสองด้วยอำนาจจิตดังกล่าวเมื่อสิ้นใจไปแล้วทำให้เกิดเป็นเทพอสูรนามว่า พระราหู มีร่างกายดำทะมึนมีอำนาจสามารถดับความสว่างของพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ เมื่อใดที่พระราหูเจอพระอาทิตย์พระจันทร์เป็นต้องเข้าไปอมบ้าง ไปหนีบไว้ที่รักแร้บ้าง ซ่อนไว้ใต้คางบ้างเป็นเช่นนี้เสมอไป และลักษณะการบดบังพระอาทิตย์และพระจันทร์ดังกล่าวนี้ ครูบาอาจารย์ชั้นต่อๆมาจึงนำมาวาดเป็นยันต์พระราหู หรือมาแกะลายพระราหูบังพระอาทิตย์ แต่ส่วนมากมักเลือกเอากิริยาที่พระราหูอมพระอาทิตย์พระจันทร์มากที่สุด

พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทร์ราหู

     มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระราหูได้เคยเข้าจับพระอาทิตย์ บังเกิดเป็นสุริยคราส ครั้งนั้นเทพยดาทั้งหลายทูลขอให้พระพุทธองค์เข้าช่วยด้วยเป็นที่พึ่ง พระพุทธองค์ทรงกล่าวพระพุทธคาถาแก่พระราหู เมื่อพระราหูได้ฟังแล้วบังเกิดขนพองสยองเกล้ารีบคายพระอาทิตย์ออก เพราะศีรษะของตนดั่งว่าจะระเบิดออกมาเป็นเจ็ดเสี่ยง รีบกลับเข้าเมืองอสูรทันใด ไปเล่าให้เพื่อนอสูรของตนฟังว่า พระพุทธเจ้านี้มีฤทธิ์มากนักไม่อาจต้านทานฤทธานุภาพพระพุทธองค์ได้ นี้คือการที่พระพุทธเจ้าทำการทรมานพระราหู

     ในพระไตรปิฏกเล่าอีกว่า พระราหูนั้นเคยคิดเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ดำริในใจว่าตนเองนั้นร่างกายใหญ่โต ไฉนเลยจะเข้าไปกราบพระพุทธองค์ได้ พระพุทธองค์สามารถรู้ถึงความคิดของพระราหูทุกประการ ได้เนรมิตร่างกายตนให้ใหญ่กว่าพระราหูหลายร้อยหลายพันเท่า อยู่ในกิริยานอนประทับปางไสยยาสน์ เมื่อราหูมาถึงที่ประทับยังนึกในใจอยู่ว่าพระองค์คงร่างเล็กนิดเดียว ก้มลงมองหาเท่าไหรก็ไม่พบ จนท้อใจคิดจะกลับอยู่แล้วจึงได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสทัก เมื่อมองขึ้นไปจึงพบว่าร่างกายของพระพุทธเจ้าใหญ่โตยิ่งกว่าตนมากมายนัก ทั้งประทับนอนสีหไสยยาสน์ พระราหูจึงเกิดความเกรงในพระพุทธบารมี และเชื่อมั่นในพระพุทธคุณของพระพุทธองค์ ขอเอาพระไตรสรณคมณ์เป็นที่พึ่งและถือว่าพระรูปปางสีหไสยยาสน์นั้นเป็นปางปราบอสุรินทร์ราหู ผู้ที่มีราหูเข้าแทรกในดวง ได้บูชาพระพุทธรูปปางนึ้จะดีกับตนเองยิ่งนัก

     ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ยังได้กล่าวถึงบุพกรรมแต่หนหลังของพระราหูว่า เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งการบำเพ็ญบารมีของพระราหูทุกภพชาติที่ผ่านมานั้นก็เพื่อพระโพธิญาณนี้และจะสำเร็จแน่นอนในอนาคตกาล พระราหูจะสำเร็จเป็นพระโพธิญาณ หรือ บรรลุเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ เป็นสิ่วที่ทำให้พระราหูปลาบปลื้ม พระราหูมีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ยื่งๆขึ้น และตั้งใจบำเพ็ญเพียรทางพระโพธิญาณให้มากยิ่งๆขึ้น ทั้งพระไตรปิฎกล่าวว่า พระราหูจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านาม่า พระนารทพุทธเจ้า นับเป็นองค์ที่ห้าถัดจากพระศรีอารยเมตไตรพุทธเจ้า จากคติดังกล่าวนี้จึงถือว่าพระราหูนั้นมีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ และเป็นหน่อเนื้อพระพุทธางกูรแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่น่าเคารพกราบไหว้ของชาวพุทธเรา การกราบไหว้พระโพธิสัตว์นันเป็นคตินิยมอยู่แล้วของมหายาน แต่ฝ่ายหินยานหรือในบ้านเรานั่นรู้จัดเรื่องพระโพธิสัตว์น้อย พระโพธิสัตว์นั้นบางครั้งมีรูปกายสวยงาม บางครั้งในรูปกายน่ากลัว และสามารถบังเกิดในภพภูมิใดก็ได้ อย่างพระราหูเป็นพระโพธิสัตว์ที่รูปกายน่ากลัว และเป็นพระโพธิสัตว์ที่เกิดขึ้นในแดนอสูร ทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา ให้พรคนดี ย่ำยีคนชั่ว บำเพ็ญบารมีสร้างภพชาติเพื่อสืบพระพุทธวงศ์มิให้สิ้นสูญ โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นมหาบารมีมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่ สมควรที่จะได้รับการกราบไหว้บูชาเช่นเทพยเจ้าองค์อื่นๆ

     นอกจานนี้หลายท่านคงไม่เคยทราบว่าคำกล่าวขึ้นต้นก่อนสวดมนต์บทใดๆ ก็ตาม คือ นะโมตัสสะ นั้นเป็นคำกล่าวนอบน้อมพระพุทธเจ้าที่เทพยดาหลายพระองค์ร่วมกันแต่งขึ้น จนกลายเป็นประโยค “นะโม ตัสสะ” ที่เราสวดกัน ในบทดังกล่าวพระราหูเป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมรจนาบทคาถา “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหัตโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” โดย คำว่า

“นะโม”        ผู้กล่าวคือ พญายักษ์สันตาคีรี

“ตัสสะ”        ผู้กล่าวคือ องค์สุรินราหู

“ภะคะวะโต”    ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้แก่ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์ และท้าวเวสสุวัณ

“อะระหัตโต”     ผู้กล่าวคือ พระอินทร์ เป็นคำนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“สัมมาสัมพุทธะสะ”    ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาพรหมสหัมปติ

    ทั้งหมดนี้ทวยเทพทั้งหลายทั้งหลายทั้งยักษ์ และเทวดาต่างกล่าวนอบน้อมพระพุทธองค์ในวันแรกที่ตรัสรู้ได้อนุตรธรรมคือพระนิพพนานธรรม ดังจะเห็นได้ว่าในบรรดาผู้กล่าวคำกล่าวนอบน้อมนั้นมีอสุรินทร์ราหูร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีพญายักษ์ ที่ชื่อสาตาคิรีอีกหนึ่ง และท้าวเวสสุวัณผู้เป็นจอมยักษ์อีกหนึ่ง ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วทรงบุญญาธิการทั้งสิ้น ครูบาอาจารย์ ของผู้เขียนกล่าวผู้ที่ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยดีแล้ว และเคารพในคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเทพเทวดาทั้งหลายเป็นอาทิหากทำการท่องคำว่า “นะโมตัสสะ” ด้วยความเคารพศรัทธาก็สวามารถกันภูตผีปีศาจได้ เพราะเป็นคำกล่าวของพระราหู มีบารมีธรรมแห่งพระรากูอยู่ ภูติผีปีศาจทั้งหลายย่อมเกรงกลัวพระราหูฉันใดผู้ทีมีความเคารพพระราหูย่อมได้บารมีข้อนี้ตามไปด้วย นอกจากนี้นะโมที่เราสวดนั้นยังมีเทพเทวาอีกหลายพระองค์จึงเป็นคำกล่าวที่ศักดิ์สิทธิ์มาก การท่องทุกครั้งหากได้ระลึกถึงเทพเทวาทั้งหลายนี้แล้วย่อมเป็นสิริมงคลสูงสุด

   ไตรภูมิพระร่วง นับเป็นคัมภีร์เก่าแก่ของไทยเรามีเรื่องราวทั้งทางพระพุทธศาสนาและทางพราหมณ์ เข้าไว้ด้วยกัน ผู้แต่งคือพญาลิไทกษัตรย์สมัยกรุงสุโขทัย ในคัมภีร์เล่มนี้บรรยายถึงเมืองอสูรและลักษณะของพระราหูไว้โดยละเอียดดังนี้

    ที่อยู่ของพระราหูคือดินแดนที่เรียกว่า อุตรกุรุทวีป เป็นดินแดน ลี้ลับที่มนุษย์มาสามารถเห็นไม่สามารถเข้าไปได้ แต่จะรู้เห็นและเข้าไปได้ก็แฉพาะผู้สำเร็จณานสมาบัติเท่านั้น ในดินแดนนี้มีพญาอสูรผุ้เป็นใหญ่ ๒ ตน ตนหนึ่งคือพระราหู อีกตนหนึ่งคือ ท้าวพรหมทัต พระราหูนั้นมีร่างกายและกำลังมากกว่าบรรดาอสูรและพญาอสูรทั้งหลาย ยามเมื่อพระราหูเห็นพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดีสุกสว่างครั้งใดก็มักมีใจโกรธแค้นต้องขึ้นไปบนภูเขาชื่อยุคันธรจากนั้นก็อ้าปากอมพระอาทิตย์พระจันทร์ไว้เสีย บางครั้งก็เอาคางปิดไว้ บางครั้งก็หนีบไว้ไต้รักแร้ดังนี้เป็นต้น


พระโพธิสัตว์ราหูเทพอสุรินทร์

    ในบรรดาเทพนพเคราะห์ทั้ง 9 องค์นั้นมีเพียงพระราหูพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระโพธิสัตว์และได้รับรับการพยากรณ์แล้ว แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์ผู้มีบุญญาธิการอันสูงส่ง ก็มิได้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ เช่น พระราหูและยังไม่ปรากฏเป็นคำพุทธพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นจะมีเพียงอสูรเทพพระราหูเท่านั้นที่มีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์และได้รับพุทธพยากรณ์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน พระบารมีแห่งเทพอสุรินทร์ราหูจึงมีอยู่มากมายมหาศาลบุคคลผู้ที่จะได้รับพุทธพยากรณ์เช่นพระราหูนั้น ถือว่าได้บำเพ็ญบารมีเข้าสู่เส้นชัยแล้ว หมายความว่า บารมีที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลเบื้องหน้านั้นสำเร็จอย่างแน่นอน แสดงว่าบุญบารมีของพระราหูสามารถโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ได้ดีมีสุข พ้นทุกข์พ้นภัย ด้วยอาศัยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ญาณที่พระราหูได้บำเพ็ญเพียรมานับชาติไม่ถ้วน

     การนับถือจึงมิได้หมายความว่าเรากำลังบูชาภูตผีปีศาจแต่อย่างใด แต่เรากำลังบูชาพระโพธิสัตว์ในรูปกายแห่งเทพอสูร อันเป็นคติสอนให้พิจารณาว่า อย่ามองที่รูปกายภายนอก แม้ว่ารูปกายแห่งพระราหูจะดูดุดันน่ากลัว แต่คุณธรรมภายในนั้นกลับตรงข้าม พระราหูเป็นเทพอสูรที่บำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุพระโพธิญาณมานับชาติไม่ถ้วน ภายในจิตใจนั้นมีแต่ความปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์ สิ่งเลวร้ายในชีวิตมนุษย์นั้นไซร์ย่อมเกิดจากผลกรรมเก่าและใหม่ที่ตนก่อไว้ เมื่อถึงเวลา กรรมนั้นย่อมเป็นไปตามกลไกของมัน พระราหูเทพอสุรินทร์เป็นเทพยเจ้าผู้เป็นพยานแห่งการกระทำกรรมของมนุษย์ หาได้ให้ร้ายต่อใครไม่

วิธีอธิษฐานถึงอสูรเทพราหู

    เรื่องอิทธิฤทธิ์ของพระราหูนี้มีมากนัก แม้ว่าต่อมาจะเหลือร่างกายเพียงครึ่งเดียวแต่ก็ทรงตบะเดชะไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน ยังสามารถเข้าบดบังพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ อำนาจในการบดบังพระอาทิตย์นี้ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวสรรเสริญไว้ว่า แม้ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงก็ยังมีพระราหูมาบดบังให้เยือกเย็น ท่านจึงว่าพระราหูนั้นมีคุณในการดับร้อนให้เป็นเย็น หรือมีอำนาจในการบังตาเป็นที่น่าอัศจรรย์

    ในการอธิษฐานขอบารมีพระราหูที่ถูกต้องนั้นให้อธิษฐานอ้างเอาคุณพระศรีรัตนตรัยขึ้นก่อน จากนั้นอธิษฐานถึงพระราหูว่า ขออำนาจบารมีพระอสุรเทพบรมโพธิสัตว์เสด็จพ่อพระราหู จงมาโปรดแก่ลูกด้วยแล้วทำการอธิษฐาน ทั้งนี้เพราะพระราหูนั้นมีเพศเป็นยักษ์และอยู่ในระดับอสูรเทพ และยังมีบารมีธรรมเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าจะต้องสำเร็จมรรคผลโพธิญาณอย่างแน่แท้ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์เช่นนี้จากพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้ บำเพ็ญบารมีถึงเส้นชัยแล้วจึงได้รับการขนานพระนามเป็นเกียรติว่า   พระบรมโพธิสัตว์ การอธิษฐานอ้างถึงคุณงามความดีของพระราหูดังกล่าวมาสี้ถือว่าเป็นอาราธนาคุณของพระราหูทั้งด้านบุญฤทธิ์ และอิทธฤทธิ์ พร้อมกันในตัว เป็นสิริมงคลแก่ผู้ระลึกถึงยิ่งนัก

เครื่องรางพระราหู
               

   คติธรรมต่างๆเกี่ยวกับพระราหูนั้นเห็นได้ว่าพระราหูเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ พลังอำนาจแห่งพระราหูเป็นพลังงานอันเร้นลับ แม้รูปเคารพแห่งพระองค์ปรากฏอยู่ ณ สถานที่ใด สถานที่นั้นย่อมปลอดภัยจากภูตผีปีศาจ ด้วยเดชบารมีอันน่าเกรงขามแห่งพระราหู

อิทธิคุณของพระราหูนั้นเรียกว่าครอบจักรวาล ดังนี้
1.เด่นเรื่องมหาอุตม์คงกระพัน ผู้ครอบครองย่อมไม่มีวันตายโหง
2.คุ้มครองให้พ้นจากอัคคีภัย โจรภัย ฟ้าฝ่า
3.คุ้มครองให้พ้นภัยจากอำนาจภูตผีปีศาจมนต์ดำ คุณไสยทั้งปวง
4.เรียกทรัพย์สินเงินทองทำให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี
5.ทำให้พืชพรรณที่ปลูกบริบูรณ์ให้ผลดี
6.เป็นเมตตามหานิยม
7.ทำให้ผู้บูชามีสุขภาพแข็งแรงห่างจากโรคพยาธิ
8.ค้ำชูดวงชะตาไม่ให้ตกต่ำ แม้ยามพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็ตาม
 
วิธีบูชาพระราหู
   การบูชาพระราหูนั้นคตินิยมมักทำบูชากันในวันพุธกลางคืน เพราะถือว่าเป็นวันเวลาแห่งพระราหู เพราะราหูเป็นเทพนพเคราะห์ประจำวันพุธกลางคืนนั่นเอง การบูชาจึงมักเริ่มในวันพุธ หลังจากที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว  หรือในเวลาค่ำ ของถวายจะใช้เป็นของดำ เพราะถือว่าเป็นสีแห่งพระราหูเช่นกันทั้งนี้เนื่องจากคติที่พระราหูมีกายดำ เป็นคราสหรือเงามือนั่นเอง ของดำที่ถวายพระราหูนั้นมักใช้ 8 อย่าง ที่เป็นเลข8 นั้น เพราะเลข8 หมายถึงพระราหู (พระราหูเป็นเทพนพเคราะห์องค์ที่8 ในจำนวน 9 พระองค์ด้วยกัน)

ของดำ 8 อย่างนั้นได้แก่

1. ข้าวเหนียวดำ

2. งาดำ

3. ถั่วดำ

4. ขนมเปียกปูน

5. เฉาก๊วย

6. องุ่นดำ หรือลูกหว้า (ผลไม้ที่มีสีดำ)

7. ช็อกโกแลต
8. เหล้าดำหรือ กาแฟ (เครื่องดื่มที่มีสีดำ)

   นอกจากเครื่องสังเวยพระราหูทั้ง 8 อย่างนี้อาจมีอย่างอื่นอีกก็ได้ เช่นไก่ดำ  หรือไข่เยี่ยวม้า หรือของคาวอื่นๆขนมหวาน ผลไม้อื่นที่ท่านหาซื้อได้ แต่มักเอาแค่ 8 อย่างเท่านั้น ตั้งบูชากลางแจ้ง จุดธูป 8 ดอกบอกกล่าวท่องพระคาถาตามที่ให้ไว้ และระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ พระฤาษีผู้ทรงคุณ และคุณพระราหูเป็นที่สุดขอจงอวยพรแก่ข้าพเจ้าผู้กระทำบวงสรวงนี้ จากนั้นปรารถนาสิ่งใดก็บอกกล่าวไป หากสำเร็จตามที่มุ่งหวังแล้วควรให้ทำบุญใส่บาตรอุทิศให้ครูบาอาจารย์และองค์พ่อพระราหูด้วยท่านจะเกิดลาภผลยิ่งๆขึ้นๆไป

ตำนานพระคาถาสุริยะประภาและจันทรประภา

    เกี่ยวกับเครื่องรางของขลังที่เนื่องด้วยพระราหูนั้น จะมี มหายันต์สุริยะประภาและมหายันต์จันทรประภา ยันต์ทั้งสองนี้ กล่าวว่ามีพระฤาษี 2 ตน อยู่ ณ เขายุคนธร ในยุคโบราณท่านทั้งสองสำเร็จพระเวทย์เจนจบทางธรรม ได้ฌานสมาธิชั้นสูงสุด บรรลุถึงไกวัลย์ภูมิ มีจิตเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้าแล้วอย่างสมบูรณ์ เป็นมหาโยคีผู้ประเสริฐ ทรงไว้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร เมื่อท่านส่องดูด้วยญาณหยั่งรู้จากอำนาจฌานสมาบัติ ว่าในอนาคตกาลภายภาคหน้านั้น โลกจะมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย คนจะฆ่ากันตายด้วยราคะ โทสะ โมหะ ข้าวยากหมากแพง คนแล้งน้ำใจ มีคนอธรรมมากว่าคนมีศีลธรรม ด้วยจิตอันมีเมตตากรุณาของมหาโยคีในอดีตนั้น ท่านจึงคิดทำสิ่งหนึ่งอันเป็นที่พึ่งแก่กุลบุตรกุลธิดาที่จะมาเกิดในยุคต่อไป ซึ่งต้องผู้ที่มีจิตใจเคารพในพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงอนุเคราะห์ด้วยการผูกผ้ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมหายันต์อันประเสริฐผู้ใดบูชาไว้ย่อมไม่มีอดอยากยากจน แต่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทองข้าวปลาอาหารและพ้นจากภยันอันตรายในกลียุค ยันต์ดังกล่าวเรียกว่ายันต์สุริยะประภาและยันต์จันทรประภาให้ใช้คู่กันถือว่าประเสริฐดีนัก

พระคาถาบูชาพระราหู
พระคาถาสุริยะประภา

โอม เอกะจักขุนาฬิเกลา สุริยะประภา ราหูคาหา สัตตะรัตนะ สัมปันโณ มณีโชติระโสยะภา สุวัณณะรัชตะสมิทธา อะ

หัง วันทามิ เมสะทา โอม   กุเสโต   มะมะ กุเสโต  โตราโม   มะมะ โตราโม คุยหะโม   มะมะ คุยหะโม

คุติโม มะมะ คุติโม

พระคาถาจันทรประภา
โอม เอกะจักขุนาฬิเกลา จันทรประภา ราหูคาหา สัตตะรัตนะ สัมปัณโณ มณีโชติระโสยะภา สุวัณณะรัชตะสมิ

ทธา อะหัง วันทามิ เมสะทา โอม ยะถาตัง มะมะ ตังถายะ ตังวะตัง มะมะ ตังวะตัง  ตังเสถา   มะมะ ถาเสตัง

กาติยะ   มะมะ ยะติกา     


พระคาถาบูชาพระราหู
นะ ตะ ภะ อะ สะ ทุ กะ ภะ กรุ อะ ระ ขุ สะ ชนะใจมนุษย์ ทั้งบุรุษสตรี สมณะพราหม์ชี มีเมตตากรุณัง
สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิวาจัง สิทธิชัยยัง สัพพะปาปัง สัพพะศัตรู วินาศสันติ สิทธิลาภัง ภวันตุเมฯ




ขอบคุณข้อมูล...โดย อ.อันติกา
                 ...http://www.promdeva.com/HoraItemDetail.asp?ItemID=197

95
รุกขเทวดามากราบนมัสการ
พระอาจารย์สุก



เมื่อครั้งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงมหาปราบดาภิเษก สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นสมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมบรมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงจัดการแต่งตั้งขุนนาง ทางฝ่ายราชอาณาจักร พระองค์ท่านก็ทรงระลึกถึง โอวาทเตือนพระสติ ของพระอาจารย์สุก อยู่เสมอว่า จะกระทำการสิ่งไรให้น้อมระลึกถึง คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัย ให้เป็นประธานของใจ มีน้ำจิตประกอบไปด้วยเมตตาธรรม มีเมตตาธรรมให้มาก ในเพื่อนมนุษย์ จากนั้นจึงได้โปรดเกล้าฯให้ นำขบวนเรือ ไปอาราธนานิมนต์พระอาจารย์สุกมากรุงเทพฯ ครั้งนั้นพระอาจารย์สุกท่านรับนิมนต์ด้วยนิมิตกิจจิตว่าจำเป็นจะต้องมาเพื่อสืบการพระศาสนา ท่านได้ทรงเลือก ศิษย์เอกสามรูป เป็นพระสงฆ์อนุจร ติดตามท่านมาด้วย และโปรดที่จะมาประทับที่วัดพลับร้าง ณ ฝั่งทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสถานที่สงัดเงียบเหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา

ณ บริวเณวัดพลับร้าง …
ตอนเช้ามืดใกล้สว่าง คณะของพระอาจารย์สุก ลุกขึ้นสวดมนต์ทำวัตรเช้ามืดประจำกลด แผ่เมตตาออกบัวบานพรหมวิหาร ไปทั่วบริเวณวัดพลับร้าง ตามต้นไม้ใหญ่ๆ นั้น เป็นที่สถิตของรุกข์เทวดาน้อย-ใหญ่ จากนั้นพระองค์ท่าน และคณะสงฆ์อนุจร ก็นั่งเจริญภาวนาสมาธิจิต อยู่สักครู่หนึ่ง จึงออกจากสมาธิ

ขณะนั้นมีชายนุ่งขาวห่มขาวประมาณ ๕ ท่าน ทั้งแก่ และหนุ่ม เดินออกมาจากชายป่าด้านทิศตะวันตก ของวัดพลับร้าง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เป็นพญาไม้ นานาพันธุ์ ชายนุ่งขาวห่มขาวทั้ง ๕ ต่างมีท่าทียิ้มแย้ม เข้ามากราบนมัสการ พระอาจารย์สุกกับพระสงฆ์อนุจร

พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ในที่นั้นทั้งหมด ล้วนมีฌานแก่กล้า ทรงอยู่ในเมตตาฌานตลอด จึงสามารถแลเห็น รุกข์เทวดาได้ด้วยตาเปล่า

เหล่ารุกข์เทวดาเหล่านั้น ต่างแสดงอาการดีใจออกมาให้เห็น ทั้งนี้เพราะได้รับการแผ่เมตตาจาก พระอาจารย์สุก และพระสงฆ์อนุจรทั้งสามรูป ทำให้รุกข์เทวดาเหล่านั้นมีความสุขเกษมสำราญ เหมือนเมื่อครั้งพระอาจารย์สุก พระอาจารย์จ้าว วัดเกาะหงส์ ท่านแผ่เมตตาให้ เมื่อ ๑๕ ปีก่อน เมื่อสมัยที่เคยมารุกขมูลบริเวณนั้น รุกข์เทวดาเหล่านั้น ได้อาราธนานิมนต์ให้พระอาจารย์สุก และคณะพระสงฆ์อนุจรอยู่ที่วัดพลับ พระองค์ท่านทรงตอบว่า ฉันก็ตั้งใจว่าจะมาอยู่ที่นี่ เหมือนกัน รุ่งเช้าพระอาจารย์สุก และคณะพระสงฆ์อนุจร ออกเที่ยวบิณฑบาต โดยแยกกันไปตามบริเวณละแวกบ้าน ใกล้วัดหงส์บ้าง บริเวณบ้านเรือนใกล้วัดพระนอนบ้าง โดยถือไม้เท้าไผ่ยอดตาลคู่บารมีไปด้วย พระมหาเถรเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ กลับมาถึงกลดแล้ว ก็มีชาวบ้านตามมาถึงบริเวณที่ปักกลด เพื่อปรนนิบัติรับใช้ พระมหาเถรเจ้าทั้ง ๔ ซึ่งเมื่อคืนนี้ ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงร้อง ของเหล่าสัมภเวสี ฝูงเปรต ที่จะร้องออกมาทุกครั้ง เมื่อถึงวันพระ ชาวบ้านเคย ได้ยิน ได้ฟัง เสียงนี้มาจนเคยชิน

เนื่องจากคืนนั้นเป็นวันพระขึ้น ๘ ค่ำ อีกหนึ่งอาทิตย์ก็จะเข้าพรรษาแล้วคณะของพระอาจารย์สุก ทุกท่านเป็นพระมหาเถรที่ถือธุดงค์ตลอดชีวิต ๓ ข้อ คือ ถือครองผ้าไตรจีวรสามผืนเป็นวัตร ๑ ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ ถือฉันอาหารในบาตรเป็นวัตร ๑ ทั้งสามข้อนี้พระองค์ท่านทรงถือ และถือ ตลอดพระชนม์ชีพ และตลอดชีวิต ทุกพระองค์ขณะที่ชาวบ้าน เดินตามมาเพื่อปรนนิบัติรับใช้ พระมหาเถรเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ ที่กลดนั้น พวกบรรดาชาวบ้าน ก็ได้มองเห็นฝูงไก่ป่าจำนวนมาก มารุมล้อม พระอาจารย์สุก อยู่รอบกลด

ไก่ป่านั้นมีมากมายหลายชนิด ในบริเวณป่าวัดพลับร้างแห่งนี้ ชาวบ้านทั้งหลายก็พากัน อัศจรรย์ใจ ที่เห็นไก่ป่ามารุมล้อมพระอาจารย์สุกมากมายเช่นนี้ โดยไม่กลัวผู้คน และแตกตื่นบินหนีหายเข้าป่าไป เหมือนทุกครั้ง ที่ไก่ป่าได้กลิ่นคน แลเห็นคนพระมหาเถรเจ้าทั้ง ๔ ท่าน ฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำการอนุโมทนา

พระอาจารย์สุก ท่านก็กล่าวขึ้นว่า ให้ตรวจน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เปรตตนนั้น ที่อยู่ในป่าวัดพลับร้างนี้ด้วย เพราะพระองค์ท่านทรงทราบด้วยญาณวิถีจิตว่า ณ. ที่นั้นมีบรรดาญาติ ของเปรตมัคนายก ตนนั้นอยู่ด้วย บรรดาญาติทั้งหลายอุทิศกุศลให้ เปรตตนนั้นๆ ก็รับอนุโมทนาส่วนบุญนั้นชาวบ้านได้ สนทนาปราศรัย กับพระอาจารย์สุกว่า วัดพลับแห่งนี้ร้างมานาน ๑๕ ปีแล้ว มีเสียงเปรตร้องขอส่วนบุญ ขอส่วนกุศล ทุกๆวันพระ


ขณะนั้น บรรดาคนในที่นั้นคนหนึ่ง ตั้งใจจะถามเรื่อง รุกข์เทวดา แต่ ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม พระอาจารย์สุก ก็ทรงกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตาเบาๆ ขึ้นก่อนว่า ที่นี่แน่นขนัดไปด้วยต้นไม้ใหญ่-น้อย ร่มเย็นมาก เป็นที่สิงสถิตของเหล่ารุกข์เทวดา ทั้งหลาย


ขณะนั้นมีชาวบ้านอีกคนหนึ่ง นึกในใจว่า จะกล่าวอาราธนานิมนต์ให้พระองค์ท่านพำนักอยู่ที่วัดพลับ ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก อาราธนานิมนต์พระองค์ท่าน ก็ทรงกล่าวต่อเนื่องขึ้นว่า ฉันตั้งใจไว้ว่าจะมาอยู่ที่นี่ เพราะสงบเงียบ ร่มเย็นดี ครั้นชาวบ้านกลุ่มนั้น กลับไปแล้ว ต่างก็นำเรื่องราวที่พบเห็น ไปบอกกล่าวเล่าลือกัน สนั่นไป ทั่วทั้งหมู่บ้านนั้น และละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงว่า มีพระสงฆ์รุกข์มูลมาปักกลดที่วัดพลับร้างคณะหนึ่ง ท่านกำหนดรู้ใจคนทั้งหลายได้ ทั้งพระองค์ท่านยังมีเมตตาจิต แก่กล้า จนทำให้ไก่ป่าเชื่อง มารุมล้อมพระองค์ท่านอยู่มากมาย ข่าวนี้ก็เรื่องลือระบือกันไป เหมือนไฟไหม้ป่า นานแล้วพวกชาวบ้าน จะได้พบเห็นพระภิกษุผู้มีเมตตาสูง มีความอัศจรรย์ยิ่งอย่างนี้ ผู้คนทั้งหลายจึงกะเกณฑ์นัดหมายกันว่า เวลาตอนเย็นๆเสร็จธุระการงานแล้ว จะรวมตัวกันมา กราบนมัสการ พระอาจารย์สุก และคณะพระสงฆ์อนุจร ณ. ที่บริเวณวัดพลับร้าง แห่งนี้

คัดความจาก หนังสือพระประวัติสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถรเจ้า (สุกไก่เถื่อน) ยุคกรุงรัตนโกสินทร์วัดราชสิทธารามวรวิหาร (วัดพลับ) อิสรภาพ ๒๓ กทม.

96


เมื่อท่านตายแล้วทำยังไง เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า

ข่าวเล่าลือในการตายน่ะมันมีเยอะ ถ้าฉันจะไม่นำมาเล่าเสียบ้างมันก็จะลำบาก
ท่านตายในกุฏิของท่าน คนจะเข้ามาเยี่ยมศพก็แสนจะลำบาก
เลยต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลา ทีแรกดำริกันว่าจะใส่หีบศพ จะใส่โลงผีน่ะ
เอาว่ากันอย่างนั้นนะ ก็มาปรึกษากันว่าถ้าใส่หีบศพเข้าแล้ว คนเขามาไหว้ก็ลำบาก
เพราะลูกศิษย์ลูกหาท่านมาก เอาไว้ข้างนอกสัก ๓ วันเป็นยังไง
สมัยนั้นยาฉีดกันเน่ากันเหม็นน่ะมันไม่มีนะลูกหลาน
ก็เลยปรึกษากันว่า ๓ วัน หลวงพ่อคงยังไม่เป็นไร

ก็ช่างเถอะ ถ้าเป็นก็ค่อยเอาใส่หีบศพกัน ก็ทำเตียงเข้าไว้ เอาท่านนอนลงไป
คนทุกคนที่มาก็ให้มีโอกาสสรงน้ำ สรงน้ำก็อนุญาตให้รดแต่เพียงแค่เท้า
ไม่มีอะไรเป็นเครื่องประทังความเหม็นและความเน่า

ท่านนอนอยู่ ๓ วันบนที่นั้น ก็ปรากฏว่ามีอาการเหมือนคนหลับ
กลิ่นสางสักนิดหนึ่งก็ไม่มี เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี
เขาก็เกิดสงสัยว่า คนเราถ้าตายเอาไว้ในที่แจ้งๆ นี่มันไม่ค่อยเน่า
เขาก็ว่ายังงั้นนะ เขาไม่ว่าเป็นเหตุอัศจรรย์หรอก เขาลือกันว่ายังงั้น
วันนั้นเป็นวันที่ ๓ หลังจากวันที่ ๓ ไปแล้วเป็นวันที่ ๔

ตาเก๊าที่ตลาดบ้านแพนตาย เขาเห็นหลวงพ่อปานเอาไว้ยังงั้นไม่เน่า
พวกลูกหลานเขาก็ดีใจ ว่ายังงั้นเราก็เอาไว้อย่างหลวงพ่อปานบ้าง
พวกนี้พยายามขี้ตามช้างเขาเอาไว้บ้าง พอวันที่ ๓ นะลูกหลานที่รัก
พระไปฉันไม่ได้ สวดก็ไม่ได้ พระบอกว่าอ้าปากไม่ขึ้น

ถามว่าทำไม บอกว่าหูตามันปลิ้นไปหมด ลิ้นจุกมือกางแขนขากางไปเต็มที่เน่าเฟะ
แล้วทีนี้มาดูหลวงพ่อปานครบวันที่ ๖ แล้วยังไม่เป็นไร เป็นปกติ

ร่างกายของท่านน่ะเป็นปกติ เอาไว้กันอย่างนี้ตั้งแต่วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘
จนกระทั่งถึงวันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ กี่วันนับไปก็แล้วกัน
ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย เมื่อถึงเวลาก็เก็บศพ

ระหว่างเวลาที่ยังเอาศพท่านไว้ ที่เขาเล่าลือกันนะ บอกว่ามีปาฏิหาริย์ต่างๆ
ฉันไม่อยากจะเล่าให้ฟัง แต่ไม่เล่าให้ฟังเดี๋ยวใครเขามาพูด ลูกหลานจะสงสัย
มันมีอยู่คราวหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณพิมลธรรมวัดมหาธาตุ

สมัยนั้นยังดำรงตำแหน่งพระศรีสุธรรมุนี เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยุธยา
กำลังเทศน์ กลางวันนะ ก็มีแสงขึ้นไปจับอยู่ที่เพดานตรงกับหลวงพ่อปาน
แล้ววนไปวนมาตลอดเวลาเทศน์ แสงสว่างมากเป็นจุดคล้ายๆกับแสงไฟฉายขนาดใหญ่
กลางวันนี่ ใครจะฉายไฟขึ้นไปเราก็เห็น แต่ว่าเขาไม่ได้ฉายกันเราก็เลยไม่เห็นคนฉาย
อันนี้อย่างหนึ่ง แล้วมีนกกลุ่มหนึ่งมาจับ เข้ามาหาท่านอยู่เสมอ อันนี้ก็ไม่แปลก

อีกอย่างหนึ่งคือเต่า เต่าตัวนี้หลวงพ่อท่านปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี
ท่านเขียนชื่อท่านไว้ แม่สุ่นแล้วก็ตาเซ่งหลีหรือไงก็ไม่ทราบที่ตลาดบ้านแพน
เขาไปซื้อมาจากคนเมา มันจะแกง แล้วเขาก็มาถวายท่าน
ท่านเขียนไว้ที่อกว่า พระปานปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี
แม่สุ่นแล้วก็พ่ออะไร ซุ่นหลีอะไรก็ไม่ทราบ ท่านเขียนไว้ที่หน้าอกด้วยตะปู
รอยยังอยู่ แต่ว่าปล่อยหลายปีมาแล้วประมาณว่าสัก ๑๐ ปี
เจ้าเต่าตัวนี้มันโตมาก ขนาดเด็กขี่ได้ ไปกับผักชวา

พอไปถึงหน้าวัดก็ไต่ขึ้นมาบนเขื่อน คนเดินดูกัน ก็ไต่ไปตามถนนของเขื่อน
พอถึงถนนหน้าศาลาแล้วมันก็เลี้ยว เลี้ยวขึ้นไปจะขึ้นบันไดศาลา
คนก็เลยจับขึ้นบันได แล้วไปไหน ก็ปรากฏว่าไปนอนอยู่ใต้ศพหลวงพ่อปาน
ต่อมาเจ้าของชื่อที่เขาเอามาถวายท่านปล่อย

เมื่อเขานำศพไปเก็บแล้วก็เอาไปเลี้ยงไว้จนกระทั่งเต่าตัวนั้นตาย
สงเคราะห์ตลอดไป นี่เรื่องก็มีเท่านี้นะ



ขอบคุณที่มาจาก... ประวัติหลวงพ่อปาน และ http://thaisquare.com/Dhamma/book/pr...n/content.html

97
คาถาอาคม / คาถาเงินล้าน
« เมื่อ: 14 ม.ค. 2553, 09:58:58 »
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (ว่า 3 จบ)

* พระพุทธัง ประสิทธิโชคลาภ
* พระธัมมัง ประสิทธิโชคลาภ
* พระสังฆัง ประสิทธิโชคลาภ

สัมปะจิตฉามิ
นาสังสิโม พรหมมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ , (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมมา จะ มหาเทวา อะภิลาภา ภะวันตุ เม, (คาถาเงินแสน)
มะหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม, (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตพาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ ,วิระทะโย วิระโคนายัง
วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ
มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้ผลเร็ว)
เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ

(บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)

พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

98
โดนยิงถล่มรอดปาฏิหาริย์ ห้อยเหรียญหลวงพ่อทุ่ม



ภาพประกอบจากทางอินเตอร์เน็ต


 

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า จากกรณีคนร้ายจำนวน 4 คน ใช้รถกระบะมิตซูบิชิ เป็นยานพหานะ ใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่ม นายสมปอง ช่วยเนียม อายุ 39 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.15 ต.ตำนาน อ.เมืองพัทลุง ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอย่างปาฏิหาริย์ ขณะขับรถกระบะจากที่ว่าการอำเภอเมืองพัทลุง ไปร่วมงานรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุในหมู่บ้าน เหตุเกิดบนถนนสายตำนาน – ใสในขัน ท้องที่ ม.8 ต.ตำนาน อ.เมืองพัทลุง เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น.นั้น

ทางด้าน พ.ต.ท.ชำนาญ คงชู รอง ผกก.สภ.เมืองพัทลุง กล่าวว่า ในตอนบ่าย นายสมปอง พร้อมญาติ ได้เดินทางมาให้ปากคำต่อตน และ พ.ต.ท.อธิสัณห์ เศรษฐธรรมธัช พนักงานสอบสวน (สบ.3) เจ้าของคดี โดยนายสมปอง กล่าวว่า ตนจำหน้า 2 มือปืน ที่ใช้อาวุธปืนอาก้ายิงถล่มได้อย่างแม่นยำ โดยมือปืนทั้ง 2 คน อายุประมาณ 25-30 ปี และเป็นคนนอกพื้นที่ ซึ่งไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มั่นใจว่าจะเป็นมือปืนรับจ้างที่ถูกว่าจ้างมาสังหารตนอย่างแน่นอน ส่วนรถยนต์กระบะมิตซูบิชิ สีเขียว นั้น จำทะเบียนไม่ได้ แต่ทางตำรวจเชื่อมั่นว่ารถกระบะคันดังกล่าว น่าจะเป็นรถในพื้นที่อย่างแน่นอน เพราะรถยี่ห้อดังกล่าว มีการใช้กันไม่กี่คัน ขณะนี้ได้ส่งตำรวจมือดีออกติดตามอย่างเร่งด่วนแล้ว ส่วนประเด็นสังหารตำรวจยังมุ่งไปในประเด็นความขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น และความขัดแย้งธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม จากการที่ นายสมปอง ผู้ใหญ่บ้านกระดูกเหล็กรายนี้ถูกยิงถล่มด้วยอาวุธปืนสงคราม 2 กระบอก ไม่ต่ำกว่า 40 นัด จนรถกระบะโตโยต้าฟอจูนเนอร์ถูกยิงจนพรุน แต่เจ้าตัวกลับรอดอย่างหวุดหวิด โดยกระสุนเพียงเฉียดฉิว และบริเวณร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลำตัว มีรอยฟกช้ำหลายแห่งจากพิษกระสุนปืนสงครามนั้น ได้สร้างความฮือฮาแก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเหรียญหลวงพ่อทุ่ม อุปทุมโม เจ้าอาวาสวัดควนสามโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ที่เจ้าตัวแขวนไว้เพียงองค์เดียวเท่านั้น เป็นที่กล่าวขานของชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ และข่าวดังกล่าวได้ลือสะพัดอย่างแพร่หลาย จนชาวบ้านเที่ยววิ่งหาเหรียญดังกล่าวมาบูชากันวุ่น แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวเพราะเหรียญดังกล่าวได้ถูกเช่าซื้อไปยัง 3 จังหวัดภาคใต้ ก่อนหน้านี้หมดแล้ว หลังจากที่นายตำรวจคนหนึ่งถูกกลุ่มคนร้ายวางระเบิดรถตราโล่จนขาด 2 ท่อน แต่นายตำรวจรายนี้รอดชีวิตอย่างเหลือเชื่อ

ขอบคุณที่มา...http://www.thairath.co.th



เหรียญเนื้อเงิน

อิทธิปาฏิหาริย์
หลวงพ่อทุ่ม อุปทุมโม

เคยได้แสดงอภินิหารให้บรรดาศิษย์ประจักษ์แก่สายตามาแล้วครั้งหนึ่ง ยังเล่าขานมาจนถึงปัจจุบันนี้ วันหนึ่งมีชาวบ้านมานิมนต์ท่านไปที่บ้านต้นโดนซึ่งตอนนั้นยังต้องเดินด้วยเท้าเปล่า ระหว่างทางได้บังเกิดฝนตกหนัก ท่านได้บอกกับพระลูกวัดที่ไปด้วยกันว่า “เดินมาใกล้ๆฉันซิจะได้ไม่เปียกฝน” พระลูกวัดต่างอัศจรรย์ใจไปตามๆกันเพราะเมื่อขยับเดินไปใกล้ท่าน ไม่ปรากฏว่าพระลูกวัดรูปใดเปียกฝนเลย
เหรียญรูปเหมือนสยบกระสุนปืนและสะเก็ดระเบิด

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ขณะที่ นายเสรี จันทร์หอม ลูกหลานชาวบ้านควนสามโพธิ์ ซึ่งเป็นลูกจ้างกรมชลประทาน เหตุเกิดที่ อ. กะพ้อ จ. ปัตตานี พร้อมด้วยเพื่อนอีกสามคนกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่แคมป์ ก็มีผู้ร้ายระดมยิงเข้ามา กระสุนนัดแรกถูกบริเวณท้ายทอยนาย เสรีอย่างจังเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ล้มลงและเสียชีวิต ส่วนนายเสรี รีบหนี แต่คนร้ายยังคงกระหน่ำยิงอย่างไม่หยุดยั้ง กระสุน 3-4 นัดถูกด้านหลังของนายเสรี แต่ไม่ทะลุเนื้อ นายเสรีรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ เพราะเขาห้อยคอด้วยเหรียญหลวงพ่อทุ่ม อุปทุมโม เนื้อทองแดง รุ่นสร้างหอระฆัง เสื้อที่นายเสรีสวมใส่เป็นรูพรุนด้วยแรงกระสุน (พล.ต.ต. ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผบก. จว. ปน. ยืนยังต่อที่ประชุมประจำเดือนว่าเห็นเสื้อพรุนและรอยเนื้อยิงไม่เข้าด้วยตาตนเอง)
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 จ.ส.อ.กรีฑา ทองประศรี และเพื่อนทหารอีก 2 คน กำลังทำงานในโรงดองสัตว์น้ำภายในสะพานปลาปัตตานี ได้เกิดระเบิดขึ้นใกล้กับบริเวณดังกล่าวทำให้เพื่อนทั้ง 2 คน ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด ส่วน จ.ส.อ. กรีฑา ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกันได้รับแรงระเบิด เช่นเดียวกับเพื่อนแต่ไม่มีบาดแผลและปลอดภัย ทราบภายหลังว่า จ.ส.อ.กรีฑา ได้คล้องคอด้วยเหรียญ หลวงพ่อทุ่ม อุปทุมโม (จ.ส.อ.กรีฑา ฯ เล่าให้ฟังด้วยความอัศจรรย์ใจ)

เมื่อเดือน มกราคม 2550 เหตุเกิดที่ อำเภอเมืองพัทลุง กรณี นายบุณรัตน์ สุวรรณรัตน์ ถูกคนร้ายยิงหลายนัดแต่ว่า ปืนไม่ลั่นแล้วคนร้ายก็วิ่งหนีไป นายบุณรัตน์ บอกว่ามี หลวงพ่อทุ่ม อุปทุมโม ห้อยคออยู่ขณะถูกยิง จึงทำให้รอดพ้นจากภยันตรายไปได้ นายบุณรัตน์สำนึกในปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทุ่ม จึงได้บวชเป็นภิกษุอยู่ที่วัดสามโพธิ์ จนถึงทุกวันนี้

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2550 ในขณะที่ พ.ต.อ. นราศักดิ์ เชียงสุข รอง ผบก. จ. ยะลา นั่งรถกระบะ โดยมี ส.ต.ต. บุณรัตน์ เกื้อช่วยเป็นพลขับ และ ด.ต. เกษม อาจหาญ นั่งคุ้มกันด้านหลังรถ กลับจากไปตรวจที่เกิดเหตุฆ่าตัดคอ นาย สถิต ทองอินทร์ ราษฎรอำเภอเมืองยะลา ได้เกิดระเบิดขึ้นทำให้ท้ายรถเสียหายทั้งคัน พ.ต.อ. นราศักดิ์ เชียงสุข โดนกระแทกหลังคารถเล็กน้อยทุกคนปลอดภัย ซึ่งทราบภัยหลังว่า พ.ต.อ. นราศักดิ์ เชียงสุข และพลขับ มีเหรียญหลวงพ่อทุ่ม วัดควนสามโพธิ์ติดตัวอยู่ด้วย

เหรียญหลวงพ่อทุ่ม อุปทุมโม สยบกระสุนและสะเก็ดระเบิดที่นายเสรี จันทร์หอม จ.ส.อ. กรีฑา ทองประศรี นายบุณรัตน์ สุวรรณรัตน์ และ พ.ต.อ. นราศักดิ์ เชียงสุข พร้อมด้วยพลขับห้อยติดตัวเป็นเหรียญทองแดงที่จัดสร้างขึ้น ในปี 2538 ซึ่งทางวัดควนสามโพธิ์ได้จัดสร้างขึ้นเพื่อแจกจ่ายเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง มีเพียงพิมพ์เดียว คือ พิมพ์รูปไข่ โดยปั๊มสองครั้ง เป็นเหรียญที่มีพุทธคุณ ขลังด้านคงทน แคล้วคลาด ปลอดภัย
ต่อมาเมื่อปี 2549 เจ้าอาวาสวัดควนสามโพธิ์ ได้จัดทำเหรียญ หลวงพ่อทุ่ม รุ่นที่ 2 ขณะนี้ทราบว่ามีผู้บูชาไปหมดแล้ว

จังหวัดปัตตานีเห็นว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้ อาจทำให้พี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ถูกปั่นทอนจิตใจและเสียขวัญไปบ้าง จึงดำริจะขอพึ่งบารมีและปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทุ่มช่วยคุ้มครอง จึงได้จัดทำเหรียญหลวงพ่อทุ่มเป็นเหรียญทองแดงรมดำ (พิมพ์เดียวกับรุ่นแรก)ใช้ชื่อว่า “รุ่นคุ้มภัยชายแดนใต้” โดยจะทำการ “นั่งปรกปลุกเสก” โดยพระเกจิอาจารย์จากสายสำนักเขาอ้อในวัน “เสาร์ 5” (วันเสาร์แรม 5 ค่ำ เดือน 5) ตรงกับวันที่ 7 เมษายน 2550 ณ วัดควนสามโพธิ์ (วัดศุภศาสตราราม) ให้เช่าบูชาเหรียญละ 99 บาท รายได้หักค่าใช้จ่ายแล้วจะนำเข้าสู่กองทุนคุ้มภัยชายแดนใต้ ของจังหวัดปัตตานี และสมทบทำบุญถวาย วัดควนสามโพธิ์ ตามความเหมาะสม


ประวัติหลวงพ่อทุ่ม
หลวงพ่อทุ่ม อุปทุมโม อดีตเจ้าอาวาสวัดควนสามโพธิ์ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าของจังหวัดพัทลุง ท่านเป็นศิษย์ผู้สืบสายวิชามาจากสำนักเขาอ้อ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดวิชาไสยศาสตร์ของปักษ์ใต้โดยตรง ได้ศึกษาตำรับวิชาจากพระเกจิอาจารย์ที่มีความชำชองในคาถามาอาคมล้ำลึกนามกระเดื่อง คือ พระอาจารย์ทอง วัดเขาอ้อ และ หลวงพ่อดิษฐ์ วัดปากสระ
หลวงพ่อทุ่มได้บรรพชาสามเณรขณะอายุได้ 16 ปีและญัตติเป็นภิกษุเมื่อปี พ.ศ. 2469 ณ วัดพัทสีมาวัดท่าสำเภาเหนือ โดยมีพระอาจารย์ทอง วัดอ้อ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดิษฐ์ (หลวงพ่อดิษฐ์) วัดปากสระ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม วัดเขาอ้อ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชแล้วท่านอยู่ประจำพรรษาที่วัดปากสระกับหลวงพ่อดิษฐ์และเดินทางไปร่ำเรียนวิชาจากพระอาจารย์ทอง วัดเขาอ้อ
ใน ปี 2469 หลวงพ่อดิษฐ์ วัดปากสระ คิดสร้างอุโบสถจึงให้พระทุ่มไปตัดไม้ที่ควนนาทาบ ป่าห้าม ควนนาโหนด ระหว่างที่ตัดอยู่นั้นได้มีชาวบ้านควนสามโพธิ์ มาบอกท่านว่าที่ดินริมควนนาทาบเป็นที่ดินวัดเก่าไม่มีพระและเป็นวัดที่รกร้างมานานสมควรจะบุกเบิกแผ้วถางให้พระจำพรรษา แต่พระทุ่มก็มิได้ปริปากพูดอะไร
ครั้น พ.ศ. 2471 นายจอน ทองเอม ชาวควนสามโพธิ์ได้ชักชวนชาวบ้านไปที่วัดปากสระ เพื่อจะขอพระไปประจำพรรษาสักรูป หลวงพ่อดิษฐ์ตอบว่าที่นี่มีพระอยู่ 2 รูป ให้โยมเลือกเอา 1 รูป นายจอนและชาวบ้านตกลงเลือกพระทุ่ม เพราะเห็นว่าท่านเคร่งขรึมน่านับถือ เมื่อพระทุ่มมาประจำพรรษาแล้ว ท่านก็ได้ทำการแผ้วถางวัดกับชาวบ้านสร้างที่พักสงฆ์ขึ้น แล้วก็สร้างศาลาโรงธรรมกำมะลอเป็นที่พักสงฆ์ แล้วก็เริ่มจำพรรษาในปีนั้น และให้ชื่อว่า วัดควนสามโพธิ์ หรือ วัดศุภศาสตราราม พอถึงปี 2475 ท่านก็ได้เปิดโรงเรียนขึ้นในวัด ให้ลูกหลานชาวสามโพธิ์เรียนกันที่ศาลาโรงธรรม และในปี 2478 ก็เปิดเป็นโรงเรียนประชาบาล ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 ท่านก็ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูทุ่ม อุปทุมโม
 
 
 
ขอบคุณที่มา...http://www.thaimisc.com/freewebboard...ang&topic=3655

99
กรรมวิธี...ลดเคราะห์ บรรเทา...กรรม

กรรมวิถีลดเคราะห์บรรเทากรรม เสริมดวง สิริมงคลด้วยพลังบุญศักดิ์สิทธิ์


 สิทธิการิยะ พระอริยเจ้าได้ถ่ายทอดธรรม...เพื่อโปรดสัตว์ให้มีสุข... พ้นทุกข์พอสรุปได้ความดังนี้


- เรื่องบุญเรื่องบาปกรรมกำหนดที่พุทธศาสนา กล่าวไว้เป็นเรื่องจริง เพราะถ้าไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว มนุษย์เราต้องเกิดมาเหมือนกันหมด แต่เพราะมีบุญมีบาป จึงเป็นเช่นนั้น มีดี, ชั่ว, สุข, ทุกข์, รวย, จน, มีโชค, มีเคราะห์ ฯลฯ


-ดังอธิบายในเบื้องต้นว่าสุข ทุกข์ เกิดจากบุญ บาป กรรมดี กรรมชั่ว ดังนั้นการที่จะหลีกพ้นจากทุกข์โทษเวรภัยเคราะห์ร้ายทั้งหลาย ก็ด้วยพลังของความดีที่ตนเองได้สร้างเป็นหลักแล้ว ยังสามารถพึ่งพระรัตนตรัย ตลอดจน เทวฤทธิ์ รวมพลังบุญศักดิ์เป็นแสงสว่างแก่ชีวิตเป็นบ่อเกิดแห่งความดีงามของตนและคนอื่น


-แก้ววิเศษ มี่ค่ามหาศาลประมาณค่ามิได้ เป็นที่พึ่งได้จริง คือ พระรัตนตรัย ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงให้ตั้งนะโม นมัสการบูชาพระ ถึงไตรสรณคมณ์ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สัฃฆัง สะระณัง คัจฉามิ หากศรัทธามั่งคงย่อมเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นแก้วสูงสุดในสามโลก


-ศีลรักษาให้มีกายวาจาเป็นปรกติ ศีลส่งผลให้เกิดในที่สุขคติ เทวดารักษา ไม่ไปในทางเสื่อม บางท่านบอกว่าศีลรักษายาก แต่จริงๆแล้ว ทุกท่านสามารถรักษาได้ อย่างน้อยข้อใดข้อหนึ่งก็ยังดี บางท่านมีปัญญา ก่อนนอนรักษาศีล8 ตื่นนอนรักษาศีล5 อย่างน้อยก็มีกำไรเพราะตอนนอนย่อมรักษาศีลได้อย่างแน่นอน ช่วยชำระกิเลสให้เบาบางลง และเป็นบุญสำคัญที่จะรองรับความดีนี้ให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป


-ทานส่งผลให้มีทรัพย์ ทานมีหลายระดับแตกต่างกัน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ พระอริยะเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ย่อมมีอานิสงค์แตกต่างกันไปจนถึงสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน และ จนถึงที่สุดคือ อภัยทาน ถ้าบำเพ็ญอยู่เสมอย่อมยังผลให้เกิดความคล่องตัว ทุกคนสามารถทำได้ง่ายๆ คือ หาภาชนะอันสมควรตั้งในที่บูชา แล้วนำเงินไปใส่ไว้ในภาชนะนั้น สวดมนต์ใหว้พระ เจริญพระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า สะสมไว้จนเต็มหรือมีโอกาศก็นำไปทำบุญ ทำทุกวันเห็นผลทั้งทางโลกและทางธรรม (พระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระคาถาอื่นๆจะนำลงในเว็บภายหลัง)


-การเจริญภาวณาก็เป็นบุญกุศลมหาศาล เพราะสามารถปราบกิเลสได้หลายตัว ตั้งแต่เริ่มตั้งตาการสวดมนต์สามารถบำเพ็ญได้ครบทั้งกาย วาจา ใจ เช่น กายพนมมือ นอบน้อม ปากสวดมนต์สรรเสริญคุณพระ ใจระลึกถึงคุณพระ ผู้ที่สวดด้วยความเคารพตั้งใจเลื่อมใส ยังให้มีบุญประมาณมิได้ ทั้งยังเกิดสวัสดิมงคล


-ผู้ที่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ฆ่ามนุษย์ โดยเฉพาะทำแท้ง เป็นบาปก่อให้เกิดทุกข์อุปสรรคทั้งหลายในชีวิตนานา ประการ ให้ทำบุญด้วยพระพุทธรูปหน้าตัก 5 นิ้วขึ้นไป ผ้าขาว หรือไตรจีวรอาหารถวายเป็นสังฆทาน อธิษฐานขอบุญพระพุทธเจ้า บุญศักดิ์สิทธิ์ นำพาดวงจิตไปวิมานบุญ ขออโหสิกรรมนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้มีความสุขด้วยพุทธบารมีธรรม (หรืออาจจะสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 5 นิ้ว อนิษฐานเป็นพระพุทธรูปบูชาอโหสิกรรมพิเศษของเราโดยเชิญดวงจิตของบุตรมาเป็นเทพรักษาประจำองค์พระ ทำการอัญเชิญด้วยการสวดพุทธคุณและพระคาถาต่างๆ ขอบุญพระพุทธเจ้าส่องนำทางขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน) หมั่นสวดมนต์แพร่เมตตามากๆเพื่อชำระให้จิตใจให้ใสสะอาด


-ผู้ที่เบียดเบียนฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต มีผลให้เกิดโรคถัยไข้เจ็บอายุสั้น ควรทำบุญด้วยการช่วยชีวิตสัตว์อธิษฐานแผ่เมตตาอโหสิกรรม ทำบุญด้วยยารักษาโรค หรือ ทำบุญกับโรงพยาบาลสงฆ์ หรือ ด้านการแพทย์ บำรุงพระเณรปฏิบัติพระผู้อาพาธ เจ็บป่วย


-ผู้ที่สมบัติฉิบหายด้วยเหตุต่างๆ จงทำใจอย่าเสียดายกับทรัพย์นั้นๆ ทำใจให้เป็นบุญมาแทนที่ให้ อนิษฐานสมบัติทั้งหลายที่สูญไปทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ขอพิจารณาบูชาแก่พระไตรลักษณะญาณ พระ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอสมบัติทั้งหลายทั้งทางโลก ทางธรรมหลั่งไหลเข้ามาเป็นหมื่นเท่าทวีคูณ และควรให้ทานตามโอกาส


-บางท่านที่เป็นหนี้สงฆ์ หนี้สินทรัพย์ หนี้สิน หนี้เวรหนี้กรรม กับผู้หนึ่งผู้ได ทั้งชาติก่อน ชาตินี้ ให้อธิษฐานสร้างพระชำระหนี้ ถวายในพระศาสนา อาจจะเป็นพระพุทธรูปตั้งแต่ 5 นิ้วขึ้นไปจนถึง 4 ศอกหรือ มากกว่านั้น อธิษฐานชำระหนี้ และปิดทองคำแท้ที่องค์พระ ตั้งแต่ 3 แผ่นขึ้นไปหรือทั้งองค์ก็ยิ่งดี พร้อมปัจจัยศรัทธา เขียนหน้าซองถวายชำระหนี้สงฆ์ หนี้สินทรัพย์ หนี้สิน หนี้เวรหนี้กรรม ขอให้หมดหนี้มีสินด้วยพระพุทธรัตนไตร เป็นแก้ววิเศษประมาณมิได้


-ทุกข์เพราะความรัก เพราะเคยทำชั่วเรื่องความรักไว้ ให้ตั้งใจรักษาศีลถือบวชแล้วเจริญปัญญาให้มากๆ ความรักไม่ได้ทำให้ผู้ใดทุกข์ แต่ ทุกข์เพราะการยึดติด ไม่ปล่อยวางปรารถณาที่จะครอบครองจึงเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงควรรู้จักให้รู้จักรักโดยไม่หวังผลตอบแทน และที่สำคัญจงรักตนเองให้มากๆ ทำชีวิตให้มีคุณค่าเพื่อตนเองและคนที่เรารัก


-ทุกข์เรื่องคู่ครอง ให้พิจรณาว่าอาจจะมีหนี้เวรหนี้กรรม ต้องชดใช้ ให้จุดเทียน 1 คู่ ธูป 5 ดอก ดอกไม้5สี (ถ้าเป็นดอกกุหลาบได้ก็ดี) อธิษฐานบูชาพระ หากแม้นมีหนี้เวรหนี้กรรม ขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน น้อมจิตระลึกถึงบุญกุศลทีเคยสร้างร่วมกันชักนำดวงจิตให้คิดดีต่อกัน แล้วแผ่เมตตาให้มากมาก ย่อมเกิดผลดี ตลอดทั้งให้พิจารณา สิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน อะไรควรไม่ควร แก้ไขตามเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ ต้องแก้ด้วยสติปัญญา


-ผู้ถูกหลวงลวง เพราะเคยทำกรรมชั่วทางวาจา ให้ตั้งใจรักษาสัจจะในสิ่งที่ดีงามเรื่องใดเรื่องหนึ่งเช่นตั้งสัจจะว่าจะสวดมนต์ทุกวันก็ทำให้ได้ พูดแต่สิ่งที่ดีงาม
๑ผู้สติไม่ดี อาจจะเพราะกรรมชั่วในสิ่งที่มึนเมา จึงให้งดของมึนเมาทั้งหลายเพื่อสร้างสติ อธิษฐานว่าจะดื่มจะสูบให้น้อยลงและละเลิก หากทำได้ก็ชนะตัวเอง
๑ผู้เลี้ยงลูกหลานไม่ได้ดีควรสั่งสมกตัญญูกตเวทิตาธรรม อธิษฐานขอพร พระแจกหนังสือธรรมะ เพื่อสั่งสอนคนให้เป็นคนดี ควรป้อนข้อมูลดีๆ ไม่ควรแช่งด่าลูกหลาน ถ้าใครแช่งด่าไว้มากมากควรสวดมนต์ ขอถอนคำแช่งด่า เปลี่ยนคำอธิษฐานในทางที่ผิดเป็นในทางที่ดี


-บางท่านที่อยู่อาศัยเป็นทุกข์ ก็ให้ตั้งขันน้ำที่หน้าพระเจริญพระพุทธมนต์ต่างๆ จุดเทียนทำน้ำมนต์ เวลาดับเทียนก็ขอให้ดับความทุกข์เร่าร้อนทั้งหลาย และแพร่เมตตาพรหมวิหาร อุทิศบุญกุศลให้กับระภูมิเจ้าที่ เทวดา สรรพชีวิตทั้งหลาย อธิษฐานขอน้ำพุทธบารมีไปประพรมให้ทั่วบริเวณบ้าน ขอบันดาลให้สิ่งที่ร้ายกลายเป็นดี


-บางท่านอายุถึงเบญจเพศดวงไม่ดี เนื่องจากสาเหตุใดๆก็ตามไม่ว่า ราหูเข้า พระเสาร์แทรก เราอาจจะทำพิธีบูชารับส่งรวมกันทุกพระองค์พร้อมกันทีเดียวก็ได้ โดยหาเทียนใหญ่พอประมาณ ปิดทองคำแท้ อนิษฐานเป็นเทียนเสริมดวงเสริมสิริมงคล ดวงชะตาชีวิต ให้แต่งดอกไม้ธูปเทียนภาวนา สวดอิติปิโสนพเคราะห์ เต็มสูตร บูชาเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาดวง ขอให้กลับร้ายกลายเป็นดี ที่ดีแล้วก็ให้ดียิ่งขึ้นไป อาจสวดมนต์พระคาถาต่างจนหมดเล่ม หรือ นั่งสมาธิต่อด้วยก็ยิ่งดี


-กิจการค้าขายไม่ประสบสำเร็จ ให้พิจารณาแก้ไขตามเหตุอันสมควร หรือจะใช้วิธีช่วย คือ ธูปอธิษฐาน ให้เอาธูปที่ใช้ทั้งห่อมาทำพิธีสวดอิติปิโสนพเคราะห์และพระคาถาต่างๆ แล้วอธิษฐานขอให้เป็นธูปสารพัดดี เวลาใช้ให้จุดปักกลางแจ้งโดยใช้จำนวนตามกำลังวัน และสวดคาถาบูชาประจำวัน ตามด้วยพระคาถาอื่นๆขอในสิ่งที่ดีงาม ธูปนี้สามารถใช้บูชาพระสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นอย่างดี

-บางท่านมีคนทักว่ามีองค์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษา ไปรับขันธ์รับพานมาปรากฏว่าไม่ดีขึ้น แย่ลงกว่าเดิม หรือถูกหลอกลวง ให้เสียเงินเสียทองอันนี้ให้พิจารณาให้ดี มีอีกวิธีหนึ่งให้จัดธูป 5 ดอก เทียน 5 เล่ม ดอกบัว 5 ดอก (ดอกอะไรก็ได้ที่หาได้) ตั้งขันธ์บูชาถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาตน องค์ครูบาอาจารย์ทั้ง 108 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์เป็นมิ่งเคารพ ให้ตั้งขันธ์ 5 นี้ในวันดี เช่น วันพฤหัสบดี โดยตั้งชุมนุมเทวดา สมาทานศีล สวดมนต์บูชา และแผ่เมตตา
๑การกินมังสวิรัติ การงดเว้นเนื้อสัตว์นอกจากให้ใจเบากายเบา ย่อมช่วยลดปริมาณการฆ่าสัตว์ได้ ร่างกายสะอาด เทวดาย่อมรักษา ให้พิจารณาเป็นเพียงธาตุ แผ่เมตตา เพื่อไม่ให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน


-ก่อนนอนสวดมนต์ไหว้พระ ก่อนนอนสวดมนต์ภาวนา แผ่เมตตา จะยังผลให้จิตใจสบายให้นอนหลับสนิท


-ผู้ที่นอนฝันร้าย แก้ด้วยพระคาถา ดังนี้ ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญ จะโยขามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตังพุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุฯฯ


ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ให้เลือกใช้ตามโอกาส ย่อมสะเดาะเคราะห์ เสริมบารมี มงคลชีวิตได้ ทุกสิ่งในโลกเป็นอนิจจังทั้งหมด อย่ามองแต่ภายนอกให้มองภายในใจของเราบ้าง พระท่านว่าการให้ธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง มีอานิสงค์สูงสุด การสร้างหนังสือธรรมทุก1ตัวอักษรเปรียบเสมือนการสร้างพระ 1องค์ ย่อมมีเทวดามารักษา กำจัดโรคเวรโรคกรรม บรรเทาหนี้กรรมได้ทำให้เจริญรุ่งเรื่อง อธิษฐานในทางชอบธรรม จะสำเร็จสมปราถณาทุกประการเทอญ.


ด้วยความหวังดี...กระเบนท้องน้ำ


บทความจาก http://www.dhammajak.net/kram/6.html

100
วิธีการแก้กรรมเรื่องต่างๆ

1. ครอบครัวมีแต่ปัญหา
เกิดจากกรรม (สิ่งใดสิ่งหนึ่งดังนี้)
1. เคยทำแท้งไหม
2. ไม่ทำบุญให้บรรพบุรุษไหม
3. ไม่เข้าใจครอบครัว สามี ลูกหรือเปล่า
4. เคยผิดศีลกาเม ในชาติก่อนและชาตินี้ไหม
5. ทำผิดต่อเจ้าที่เจ้าทางไหม

วิธีแก้กรรม
1. นิมนต์พระเลี้ยงทำบุญบ้าน วันเกิด สวดชะยันโต ขอพร ประพรมน้ำมนต์ให้ครอบครัว อยู่เย็นเป็นสุข และถวายสังฆทานสวดอุทิศให้ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายให้อโหสิกรรมและช่วยครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
2. ไปถวายผ้าบังสุกุลอุทิศให้บรรพบุรุษให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขหรือทำบุญให้บรรพบุรุษให้ได้รับกุศล
3. เคยบอกรักสามีและลูกบ้างไหม ทำซะ จะทำให้เขาเข้าใจมากขึ้นว่าเรารัก
4. สวดมนต์ทุกวันเกิดตนเอง ขอพรเทพประจำตัวให้คุ้มครองครอบครัวให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
5. กราบไหว้เจ้าที่เจ้าทางด้วย อาหารคาวหวานชุดใหญ่ แก่พระภูมิเจ้าที่ให้ได้รับและขอพรให้อำนวยโชคลาภความร่มเย็นเป็นสุขให้ครอบครัวท่าน

************
 

2. กรรม....เสียเงินตลอด

เกิดจากกรรม
1. เคยเอาเงินเขามาในชาติอดีตแล้วไม่คืน
2. ปล่อยกู้คิดดอกเบี้ยแพง
3. โกงคนในชาติปัจจุบัน
4. ทำแท้ง
5. ยุยงให้คนเสียเงิน โดยรู้ว่าผิดก็ให้ทำ

วิธีแก้กรรม
1. พยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศล ทุกวันเกิด ให้ผู้ที่เคยล่วงเกินกันมาตั้งแต่อดีตชาติปัจจุบันชาติ ให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
2. หากมีคนที่ล่วงเกินยังมีชีวิตอยู่ หาเงินไปคืนและขออโหสิกรรมซะเพื่อชีวิตเราจะได้ดีขึ้นต่อไป
3. ตักบาตร วันโกนอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรและวิญญาณเด็กที่ตามมาให้ได้รับกุศล และเปิดทางให้ชีวิตดีขึ้น
4. ทำกุศลกับผู้มีพระคุณและช่วยคนไว้ เพื่อยามทุกข์ยากจะได้มีคนมาเหลียวแล และดูแลเราบ้าง
5. สวดมนต์ทุกวันเกิด และแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน

************


3. กรรมต้องสะเดาะเคราะห์

เกิดจากกรรม
เมื่อตนเองเข้าเสวยอายุที่ไม่ดี ก็จะประสบเคราะห์ร้าย เช่น ป่วยหนัก อุบัติเหตุ เสียเงิน จึงต้องสะเดาะเคราะห์ดังนี้
กรรมจาก 1. ชอบทำร้ายคนต่ำกว่าให้ทุกข์ทรมาน
2. ป่วยหนัก ฆ่าสัตว์ไว้ ผิดศีลข้อ 1

วิธีแก้กรรม
1. กินเจ 7 วัน อุทิศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เคยทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติปัจจุบันชาติ
2. ตักบาตรให้ครบตามปีที่เข้าเสวยอายุ
3. ไหว้พระให้ครบ 7 วัน 7 วา ล้างเคราะห์ได้
4. ปล่อยสัตว์ลงน้ำ ตามกำลังวันเกิดตนเอง จนครบ 1 ปี เคราะห์จะกลายเป็นดี
5. ขอพรพระที่ตนนับถือ ไปที่วัด ไปขอพรท่านให้พ้นเคราะห์พ้นโศกและช่วยให้ชีวิตก็จะดีขึ้น

************


4. กรรมคู่ไม่ดี

เกิดจากกรรม
1. เคยเป็นชู้กับผู้อื่นไว้ ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน
2. ทำร้ายจิตใจคู่ตนเองไว้
3. ทำร้ายร่างกายโดยตนเองอยากทำ เพราะหึงหวงให้เขาเจ็บปวด
4. ผิดศีลกาเม
5. ยุยงผู้อื่นให้เลิกกัน

วิธีแก้กรรม
1. ตั้งสัจจะว่าจะไม่แย่งผัวคนอื่น มาเป็นของตนเอง
2. หมั่นถวายเทียนคู่ในวันเกิดตนเองปีละครั้ง ขอเสริมดวงชีวิตคู่ให้พบแสงสว่างในชีวิตคู่ที่ดี โดยไปกับแผนและอธิษฐานขอพร
3. ถวายสังฆทานในวันเกิด เพื่อขอพรให้สมหวังด้านชีวิตคู่ และอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรและคู่ชีวิตที่เคยล่วงเกินไว้ทั้งอดีตชาติและปัจจุบันชาติให้ได้รับกุศล และอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
4. บริจาคทรัพย์ให้กับคู่แต่งงานในงานแต่งงาน เพื่อส่งเสริมให้เขาสมหวังในความรัก และตนเองก็จะได้บุญต่อไป
5. ไกล่เกลี่ยคู่สามี-ภรรยา ที่ทะเลาะกันแยกทางกัน ให้มารู้สึกดีต่อกัน จะได้บุญด้านธรรมทางด้านชีวิตคู่

************
 

5. กรรมเป็นเมียน้อย

เกิดจากกรรม
1. เคยผิดลูกผิดเมียเขามาในชาติก่อน
2. ผิดศีลกาเม
3. เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
4. ขืนใจเขาโดยเขาไม่ยินยอม

เมียน้อยมี 3 ประเภท
1. เมียน้อย ผัวดี ช่วยเหลือ เกิดจากเคยทำบุญใหญ่ ช่วยเหลือคนและครอบครัวมามาก และอธิษฐานจิตมาเจอกัน แม้ไม่ได้เป็นเมีย 1 แต่เป็นเมีย 2 ที่ถูกต้อง เพราะกุศลนำพามาเจอ จึงทำให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ผิด ไม่บาป
2. เมียน้อย ผัวร้าง แต่ไม่หยุดที่เขา ทำให้เป็นโดยจำยอมเพราะกรรมเก่าที่เคยทำไว้ จึงต้องรับภาระเพราะทั้งรัก ทั้งเจ็บ กรรมนี้อยู่ในการเคยขืนใจเขาไว้ แต่พอมาชาตินี้จึงต้องตกอยู่ในภาระจำยอมเจ็บ เพราะรักเขา
3. เมียเก็บ ผัวบังคับ แต่ส่งเสีย เกิดจากกรรมที่เคยผิดลูกผิดเมียเขาไว้ จึงต้องทุกข์ใจ แต่สบายกาย

วิธีแก้กรรม
1. ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม
2. ถือศีล 5 ให้ได้ 1 ปี ต่อ 1 เดือน จะทำให้ชีวิตดีขึ้น
3. ถวายธงคู่ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น
3. บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น
5. ร่วมเป็นเจ้าภาพ งานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้น และสมหวัง และสวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป

************


6. กรรม ทุกข์ใจเพราะญาติพี่น้องและสามี

เกิดจากกรรม
1. เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน
2. เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน
3. เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ

วิธีแก้กรรม
1. ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น
2. ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณ มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้
3. นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

************
 

7. กรรมเป็นอัมพฤกษ์

เกิดจากกรรม
1. ฆ่าสัตว์
2. ทรมานสัตว์
3. ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ

วิธีแก้กรรม
1. ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติรวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
2. ปล่อยสัตว์ลงน้ำ ในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม
3. ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย

************
 

8. กรรมเป็นมะเร็ง

เกิดจากกรรม
1. เคยฆ่าสัตว์ หรือทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงฆ่าสัตว์มาก่อน จึงส่งผลให้มีสุขภาพที่รักษาไม่ได้
2. มีจิตใจเหี้ยมโหดมาตั้งแต่อดีตชาติ โดยสั่งฆ่าคนและทำร้ายคนให้เจ็บปางตาย
3. ทำแท้งมากมาย
4. เบียดเบียนเงินคนมากมาย บนความทุกข์คนอื่นในอดีตชาติ

วิธีแก้กรรม
1. ต้องทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
2. สร้างพระถวายให้เจ้ากรรมนายเวร
3. ให้มาสัมผัสจิตกับพระแม่อุมาเทวีโดยตรง

************
 

9. กรรมลูกไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง

เกิดจากกรรม
1. ทำแท้ง
2. เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน

วิธีแก้กรรม
1. บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง
2. พาลูกไปหาหลวงปู่ ให้เทศน์สอน
3. ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง

************


10. กรรมค้าขายขาดทุน

เกิดจากกรรม
1. ไม่รู้เชี่ยวชาญในงานที่ทำ และไม่กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
2. ทำแท้ง
3. ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้
4. ตั้งสัจจะกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะทำบุญเท่านั้น แต่พอทำจริงทำน้อยนิดผิดสัญญาเป็นกรรม

************
 

11. กรรมเกิดมาไม่สวย

เกิดจากกรรม
1. ทำอะไรลวกๆ กับพระ พ่อแม่
2. ชอบว่าผู้อื่น และทำร้ายสัตว์
3. ถวายดอกไม้แห้ง-เหี่ยว

แก้วิบากกรรม
1. หมั่นถวาย ดอกไม้หอม พวงมาลัย ไม่เวียนต่อพระพุทธรูป พระภิกษุสงฆ์ เทพด้วยกิริยาที่ตั้งใจ
2. ไม่ลบหลู่ ผู้มีพระคุณ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
3. บริจาคน้ำมันตะเกียง ขอแสงสว่างด้านความงาม

************


12. กรรมมีกลิ่นตัวเหม็นตลอด

เกิดจากกรรม
1. ชาติก่อนชอบดูถูกคนอื่น
2. ชาติก่อนชอบคิดอิจฉาริษยาผู้อื่น

วิธีแก้วิบากกรรม
1. ต้องรู้จัก เห็นผู้อื่นได้ดี พลอยยินดีไปด้วย
2. หมั่นถวายของหอม ดอกไม้ไม่ให้ขาด

************


13. กรรมเกิดมาโง่

เกิดจากกรรม
1. ดูถูกผู้ที่หมั่นหาความรู้ และชักชวนไปทำผิด
2. ไม่ขยันหมั่นเพียรศึกษาหาความรู้ แต่ทำตัวมั่วสุมในทางผิด

แก้วิบากกรรม
1. หมั่นทำบุญด้านหนังสือธรรมมะ หรือพิมพ์บทสวดมนต์แจก
2. ให้ถวาย หลอดไฟฟ้า เพราะกุศลจะส่งผลให้ตนเองมีปัญญาแจ้งแดงตลอดในงานนั้น ถวายในวันเกิดข้างขึ้น 7-15 ค่ำ เจริญขึ้น
3. หมั่นสวดมนต์ทุกวัน
4. หมั่นกตัญญูต่อความถูกต้อง และมีวิริยะมากขึ้น

************


14. กรรมมีบริวารไม่ดี

เกิดจากกรรม
1. ไม่กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และคนใกล้ชิดในชาติก่อน
2. เคยให้ร้ายคนอื่นไว้ก่อน เมื่ออดีตชาติ
3. ไม่ช่วยเหลือส่วนรวม

แก้วิบากกรรม
1. หมั่นทำบุญโดย ให้ทาน กับบุคคลที่ใกล้ตัว และหมั่นชักชวนบุคคลอื่นทำบุญร่วมกัน เกิดชาตินั้นฉันใดจะมีบริวารมากมาย
2. ให้ร่วมทำบุญด้าน บวชนาคหมู่ หรือสามเณรภาคฤดูร้อน จะทำให้พ้นทุกข์และมีบริวารที่ดี อยู่ในศีลธรรม
3. หมั่นกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ

************



15. กรรมเจอแต่คนเอาเปรียบ

เกิดจากกรรม
1. เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ
2. เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ
3. ขโมยเงินครอบครัวมาใช้

แก้วิบากกรรม
1. หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น
2. ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย
3. หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต

************


16. กรรมไม่มีลาภลอย

เกิดจากกรรม
1. ไม่เคยทำบุญเกินจิตที่ตั้งไว้ และเวลาบริจาคเสียดายทรัพย์ทั้งทั้งที่ตนมีเงินมากมาย เกิดความตระหนี่แบบไม่ให้ทานอย่างเต็มใจ
2. ไม่ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจ และยังอยากโลภได้เงินมากๆ โดยมิชอบ

แก้วิบากกรรม
1. ตั้งจิตทำบุญ ทำกุศลด้วยความบริสุทธิ์ใจ และตั้งมั่นที่จะช่วยเหลือศาสนาโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
2. หมั่นทำบุญใหญ่ ขอพรด้านลาภลอย
3. ให้ฝังลูกนิมิตร ปีละครั้ง อธิษฐานขอพรจะทำให้สมหวังในจิตที่ขอ


************

 
ขอบคุณที่มา...http://www.fortunename.com/kaekam.php

101
เขตหวงห้ามของ...พญานาค
 

 
ท่านที่เดินทางผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์บ่อย ๆ


อาจเคยเห็นปั๊มน้ำมันร้างแห่งหนึ่ง มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีทั้งบ้านพักเจ้าของและสำนักงาน

มีมินิมาร์ท อีกทั้งทำเลก็ไม่เลวนัก แต่ทำไมผู้เป็นเจ้าของจึงเลิกกิจการปล่อยทิ้งทรุดโทรมไว้เช่นนั้น

 แรกเริ่มเดิมทีนั้น บริเวณแถบดังกล่าวยังไม่ค่อยมีผู้ไปจับจองทำประโยชน์นัก


มีสภาพเป็นป่าละเมาะกลาย ๆ ต่อมาเมื่อความเจริญขยายตัวขึ้น ผู้คนก็มองหาที่ดินทำมาหากิน แล้วก็เลยมาครอบครองที่บริเวณนี้

เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์ โดยมีการสร้างคอกเลี้ยงวัวไว้ ซึ่งดูๆ ไปก็เหมาะสมดี เพราะไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านเท่าใดนัก

 แต่เขาหารู้ไม่ว่า ที่ดินที่มีสภาพปกตินี้ มีความน่ากลัวแฝงอยู่


โดยในยามดึก ฝูงวัวในคอกจะมีอาการตื่นกลัวโดยหาสาเหตุไม่ได้ มันทั้งร้องและตะกายคอก ไม่เป็นอันหลับนอน จนเจ้าของต้องมานอนเฝ้าดูแล

แต่แล้วคนเฝ้าเองก็กลับฝันร้ายทุกคืน หนัก ๆ เข้าก็ทนไม่ไหว จึงต้องถอนวัวออกไปเลี้ยงยังเนินที่อยู่ห่างออกไปจาก เดิม

 ติดกับบริเวณที่เคยเป็นคอกวัวนั้น มีสระน้ำที่มีน้ำใสเต็มเปี่ยมตลอดปี

แม้ในยามแล้ง ริมสระมีต้นโพธิ์และต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่อย่างละต้้น มีเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นต่อสายตาชาวบ้านเป็นประจำ เช่น

พอถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ จะมีลูกไฟลอยขึ้นจากพื้นดินและสระน้ำ วันดีคืนดีก็จะมีงูใหญ่เลื้อยผ่านหมู่บ้าน แล้วเลื้อยลงสระน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 ในช่วงฤดูฝน แม้ท้องฟ้าจะโปร่งใส แต่ก็มีสายฟ้าฟาดดังกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือน


ที่ดินบริเวณนี้แม้จะมีผู้ปันส่วนจับจองหลายคน แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต่างรู้ถึงอาถรรพณ์ที่แฝงอยู่ในที่ดิน

หากทว่าทุกคนก็เงียบไม่ปริปากให้คนภายนอกได้รับ รู้ เพราะกลัวที่ดินจะไร้ราคานั่นเอง

 หลายปีผ่านไป มีนายทหารยศพันตรีจากต่างถิ่น

ผ่านมาเห็นที่ดินผืนนี้เข้าก็เกิดความพอใจ ติดต่อขอซื้อจากชาวบ้าน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องถากถางปรับพื้นที่ดินให้

ราบเรียบเสียก่อน เจ้าของที่ดินต่างก็ดีใจที่จะได้รับเงินโดยไม่คาดฝัน จึงเอารถไถมาช่วยกันขับปรับที่ แต่พอรถไถแล่นมาถึงต้นโพธิ์ ต้นไทรทีไร

 เครื่องยนต์ก็ดับทุกที ทั้ง ๆ ที่ตรวจดูเครื่องยนต์ก็เรียบร้อยดี


เมื่อนึกถึงคำเล่าของคนเก่าแก่ที่บอกว่า ที่ดินผืนนี้มีอาถรรพณ์ จึงเกิดมีคนอุตริคิดแก้อาถรรพณ์ โดยนุ่งแต่กางเกงในขับรถไถ

ปรากฏว่าเครื่องรถไถทำงานได้โดยไม่ติดขัด แต่ยังไม่ทันใช้งานได้มากนัก ก่อนบ่ายสามโมงก็มีข่าวแจ้งมาบอกให้หยุดการทำงานทุกอย่าง

 เพราะผู้พันรถคว่ำ...เสียชีวิตแล้ว!


เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้ เนื่องจากนายคนที่อุตริขับรถไถโดยนุ่งกางเกงในตัวเดียว อยู่ ๆ ก็เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหันในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง

หมอมาดูอาการก็ไม่พบสาเหตุ อาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ สองสามวันต่อมาก็ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด แล้วก็สิ้นใจ

 สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งย้ำเตือนถึงความเชื่อของชาวบ้าน


อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องดังกล่าวซาลงไป ก็มีญาติต่างถิ่นของชาวบ้านมาเยี่ยมเยียน แล้วเกิดชอบใจที่ดินแปลงนั้น

โดยไม่ฟังคำตักเตือนของญาติ ๆ ความโลภได้เข้ามาบังตาจนไม่ฟังเสียงใด เขาวางแผนสร้างปั๊มน้ำมันใหญ่โต กะจะร่ำรวยมหาศาล

 หลังจากตกลงซื้อขายที่ดินจากญาติได้ในราคาถูกเหมือนได้เปล่า


เขาก็ลงมือดำเนินการก่อสร้าง มีทั้งบ้านพักและมินิมาร์ท สมบูรณ์เพียบ

เมื่อเริ่มเปิดบริการ สิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือ รถบางคันทำท่าจะเลี้ยวเข้ามาในปั๊ม แต่แล้วก็หันหัวออกไปเหมือนเข้าใจผิดอะไรบางอย่างราว

กับไม่มีปั๊มอยู่ตรงนั้นงั้นแหละ จากเพียงแค่คันสองคันในระยะแรก ต่อมาก็กลายเป็นรถแทบทุกคัน ที่แล่นผ่านไปเติมน้ำมันในปั๊มที่อยู่ถัดไป

 เล่นเอาเจ้าของปั๊มหน้ามืด กิจการที่ลงทุนไปมากมาย มีเค้าว่าจะล้มละลาย


ในที่สุด เจ้าของปั๊มก็หันไปพึ่งพระภิกษุสายวิปัสสนากรรมฐาน ทั้ง ๓ รูปที่อยู่คนละแห่งต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า

ที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นประตูสู่บาดาลของพญานาคสามเศียร ท่านพิโรธที่ไปสร้างปั๊มบดบังสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่าน

 จึงบันดาลให้ผู้ผ่านไปมามองไม่เห็นปั๊ม

และเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่สถิตของท่านมาช้า นาน การแก้ไขคงจะกระทำไม่ได้ มีแต่จะต้องรื้อถอนปั๊มออกไป

และก็ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เอง ปั๊มแห่งนี้จึงได้ปิดกิจการ
และปล่อยร้างตั้งแต่นั้นมา

อ้อ...ก็ไม่ถึงกับร้างเสียเลยทีเดียวเพราะบางวันบางคืน ชาวบ้านจะเห็นหญิงชายวัยชราแปลกหน้าเดินจงกรมอยู่ในบริเวณนั้น แล้วลงสระหายไป

 
 
ขอบคุณที่มาจาก...http://happy.teenee.com/xfile/tamnan/1210.html

102
บทความ บทกวี / "ป่าหิมพานต์"
« เมื่อ: 12 ม.ค. 2553, 09:33:35 »


ป่าหิมพานต์ตำนานป่าหิมพานต์ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมพานต์ หรือหิมาลายา (หิมาลัย) คำว่า “หิมาลายา” นั้นเป็นคำที่ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่าสถาน ที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภูเขาหิมพานต์ประดิษฐานอยู่ในชมพูทวีปมีเนื้อที่ ประมาณ ๓,๐๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๐ ไมล์ หรือ ๑๖ กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ ๙,๐๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด มีสระใหญ่ ๗ สระคือ ๑ สระอโนดาต ๒ สระกัณณมุณฑะ ๓ สระรถการะ ๔ สระฉัททันตะ ๕ สระกุณาละ ๖ สระมัณฑากิณี ๗ สระสีหัปปาตะ บรรดาสระใหญ่ทั้ง ๗ นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง ๕ ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอด มีส่วนสูงและสัณฐาน ๒๐๐ โยชน์ กว้างและยาวได้ ๕๐ โยชน์

ในป่านี้เต็มไปด้วย สัตว์นานาชนิด ซึ่งล้วนแต่แปลกประหลาด ต่างจากสัตว์ที่เราๆรู้จัก บ้างก็ว่า สัตว์เหล่านี้เกิดจากจินตนาการของ จิตรกร ที่ได้สรรค์สร้าง ภาพต่างๆจาก เอกสารเก่าต่างๆ


ป่าหิมพานต์อยู่แห่งไหน



ตามตำนานกล่าวไว้ว่าป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเขา หิมาลายาหรือหิมาลัย คำว่า “หิมาลายา” นั้นเป็นคำที่ ีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งแปลว่าสถาน ที่ๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทางด้านภูมิศาสตร์หิมาลัยเป็น เทือกเขาในทวีปเอเชีย ประกอบไปด้วยเขาแนว ขนานหลายๆลูก และเป็นเทือกเขาที่มียอดเขาสูง ชัน กว่า ๓๐ ยอดเขามีความสูงเกิน ๗,๖๒๐ เมตร (๒๕,๐๐๐ ฟุต) โดยมียอดเขาเอเวอเรสต์ซึ่งสูงถึง ๘,๕๓๕ เมตร (๒๙,๐๒๙ ฟุต) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก.

ความกว้างโดยเฉลี่ยของเทือกเขาหิมาลัยอยู่ที่ประ มาณ ๒๐๐ กิโลเมตร เทือกเขาพาดเป็นแนวจากทิศ ตะวันออกไป ทิศตะวันตกถึงตอนกลางของประเทศ เนปาล และเป็นแนวจาก ทิศตะวันออก เฉียงใต้ไปทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือครอบคลุม อาณาบริเวณหลายประเทศจากอาฟกานิสถาน ปากีสถาน จีน อินเดีย เนปาล ภูฏาณ บังคลาเทศ และสหภาพพม่า

ภูมิอากาศของเทือกเขาหิมาลัยนั้นค่อนข้างจะคาดคะเนลำบาก แต่โดยรวมแล้วขึ้นอยู่กับระดับความสูง อุณหภูมิจะอยู่ในระดับต่ำ ในเขตภูเขาสูงและในเขต เนินเขาจะมีความชื้นสูง



วรรณกรรมกับตำนานป่าหิมพานต์

สัตว์ส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงในศิลปะและวรรณกรรมของ ประเทศอินเดียและประเทศไทยอาศัยอยู่ในป่า หิมพานต์ป่านี้มีที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตประเทศอินเดีย และเนปาล เหนือป่าหิมพานต์ขึ้นไปเป็นสวรรค์ในตำนานของชาวพุทธ ว่ากันว่าคนสามัญธรรมดาไม่ สามารถมองเห็นและ ย่างกรายเข้ามายังป่าแห่งนี้ได้ สัตว์หิมพานต์เหล่านี้นี่เอง ที่ได้ถูกนำมาประยุกต์เป็น ลวดลายงดงามไม่ว่า จะเป็นรูปปั้น รูปวาด รูปแกะสลัก หรือ เครื่องประดับต่างๆ .



รามายณะ:
นักปราชญ์ชาวอินเดียชื่อวาลมีคิได้ประพันธ์มหา กาพย์รามายณะ เมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีที่แล้วและได้ ถูกเผยแพร่ไปยังหลาย ประเทศในแถบทวีปเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเอง ก็มีเรื่องที่ถูก ดัดแปลงมาจากเรื่องรามานณะเช่นกันโดยใช้ชื่อว่า “รามเกียรติ์”

เรื่องราวโดยรวมของรามายณะนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้ ระหว่างเมืองอยุธยาซึ่งเป็นเมืองของ ฝ่ายเทวดาและเมืองลังกา ซึ่งเป็นนครของฝ่ายยักษ์ ตัวเอกของเรื่องคือพระราม (ราม) แห่งเมืองอยุธยามี พระมเหสีชื่อนางสีดา (สิตา) แต่นางสีดา ถูกลักพาตัว โดยพญายักษ์ผู้ครองเมืองลังกาชื่อทศกัณฑ์ (ราวะณะ) ท้ายที่สุดฝ่ายยักษ์ก็ปราชัยโดยทางฝ่าย พระรามมีน้องชาย ชื่อพระลักษณ์ (ลัคชมะณะ) และพญาลิงหนุมานช่วยในการทำศึก

มีตัวละครหลายตัวในมหากาพย์เรื่องนี้ถูกจัดว่าเป็น สัตว์หิมพานต์ บางตัวก็มีส่วนช่วยฝ่ายพระรามในการทำศึก และบางตัว สวามิภักดิ์ต่อฝ่ายทศกัณฑ์

ขอบคุณที่มา...http://poweropject.igetweb.com/index.php?mo=3&art=82764

103
1.

2.

3.

4.

5.

6.

7.

8.

9.

10.

11.

12.

13.

นำภาพ...13...ภาพ ที่มีบุคคลไม่ได้รับเชิญอยู่ด้วย...มาให้ชมกัน...ขอบคุณครับ



ขอบคุณที่มาจาก...เว็บพลังจิต.คอม

104



ธาตุดิน

คนเกิดปีจอ (หมา) และปีฉลู (วัว)

โรคที่มักจะเป็น

โรค ท้องผูก ระบบย่อยอาหารไม่ค่อยปกติ ท้องอืดท้องเฟ้อ ความดันต่ำ ไขมันอุดตัน หินปูนเกาะกระดูก ปวดตามข้อ เส้นเลือดตีบ โรคหัวใจ ไต ชักกระตุก


อาหารที่ควรรับประทาน

- อาหารรสฝาด เชน กะหล่ำปลี ชะอม ถั่วพู ใบบัวบก ผักกวางตุ้ง ยอดกระถิน ยอดมะม่วงหิมพานต์ รากบัว สะตอ หัวปลี อาหารเหล่านี้รับประทานได้ทุกวัน


- อาหารรสมัน เช่น กะทิ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง นม เนย เผือก ฟักทอง มัน แห้ว อาหารเหล่านี้ควรรับประทานพอประมาณ สัปดาห์ละ ๑-๒ ครั้ง อย่าให้มากกว่านั้น จะเป็นโทษ


- อาหารรสหวาน เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหักมุก เงาะ แตงโม ฝรั่ง มังคุด มะม่วงสุก มะละกอ และน้ำผึ้ง นอกจากนี้รับประทานได้แต่นิดหน่อย


อาหาร ที่บำรุงธาตุได้ดี คือ น้ำนมข้าวผสมน้ำผึ้ง ใส่เกลือนิดหน่อย หรือไม่ก็น้ำข้าวกล้องข้นๆ ผสมน้ำผึ้งพอหวาน ใส่เกลือลงไปพอปะแล่มๆ รับประทานทุกเช้าตอนท้องว่าง แล้วจึงออกกำลังกาย สุดแต่สังขารอำนวย

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุดิน

กระถิน--- สรรพคุณ ช่วยขับลมในกระเพาะ บำรุงโลหิต เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง

กระหล่ำปลี--- สรรพคุณ ช่วยลดความเครียด โรคหัวใจ และมีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้

กล้วย--- สรรพคุณ ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้คล่อง

ชะอม--- สรรพคุณ ขับสารที่ก่อมะเร็งต่างๆ ภายในกาย ป้องกันโรคหัวใจ ขาดเลือด แต่จะทำให้น้ำนมมารดาแห้ง

แตงโม--- สรรพคุณ ดับพิษร้อนภายในกาย เป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำแตงโมปั่นช่วยล้างลำไส้และกระเพาะอาหารได้ดี

ถั่ว พูล--- สรรพคุณ ในการเสริมวิตามินให้แก่ร่างกาย ซึ่งในถั่วพูอ่อน มีสารประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส และโปรตีน อีกทั้งยังมีกากใยอาหารมากด้วย

ถั่วเขียว--- สรรพคุณ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการอักเสบในช่องปาก ป้องกันโรคหัวใจ ขับลมในลำไส้

นม--- สรรพคุณ ให้โปรตีน แคลเซียม วิตามินบี เหล็ก และสังกะสี ผู้ที่มีวัยกลางคนแล้วไม่ควรดื่ม จะทำให้ท้องอืด ย่อยยาก ควรดื่มนมเปรี้ยวแทน

น้ำผึ้ง--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงกำลัง เป็นยาระบายอ่อนๆ เป็นยาฆ่าเชื้อโรคบางชนิด เป็นยาสมานแผล คนสูงอายุไม่ควรกินน้ำตาลควรกินน้ำผึ้งแทน เพราะร่างกายดูดซึม และย่อยสลายได้ง่าย

ใบบัวบก--- สรรพคุณ ช่วยลดความเครียด แก้ร้อนใน ช่วยละลายลิ่มเลือดภายใน ทำให้ความจำดี เอามาตำสดๆ พอกแผลหายเร็ว

ฝรั่ง--- สรรพคุณ ระงับกลิ่นปาก แก้อาการท้องเสีย บำรุงโลหิต

ฟักทอง--- สรรพคุณ ป้องกันมะเร็งในปอด ป้องกันเบาหวาน ป้องการโรคทางเดินหายใจ บำรุงสายตา คุมน้ำตาลในเลือด

มังคุด--- สรรพคุณ ช่วยลดความร้อนภายใน แก้กระหายน้ำ ช่วยเพิ่มเมือกภายในลำไส้ และกระเพาะ ทำให้ถ่ายคล่อง เปลือกนำมาฝนผสมน้ำทาแผลพุพองเป็นยาฆ่าเชื้อ

มันเทศ--- สรรพคุณ แก้โรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา

มะละกอ--- สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นยาระบาย บำรุงผิว

มะม่วงสุก--- สรรพคุณ ช่วยทำให้ระบายของเสียภายในได้ดี น้ำมะม่วงสุก เป็นยาบำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย

รากบัวหลวง--- สรรพคุณ เป็นยาเย็น แก้ร้อนใน ดับพิษไข้ บำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ

หัวปลีกล้วย--- สรรพคุณ ช่วยเพิ่มน้ำนมมารดา ลดไข้ระดู ทำให้เลือดสมบูรณ์ บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง มีกากใยอาหารมากทำให้ถ่ายสะดวก

แห้ว--- สรรพคุณ เป็นยาดับพิษร้อนในร่างกาย ขับพยาธิ ขับลมในลำไส้

สะตอ--- สรรพคุณ ทำให้เจริญอาหาร ขับลมในกระเพาะ บำรุงสายตา



ธาตุน้ำ

คนเกิดปีชวด (หนู) และปีกุน (หมู)

โรคที่มักจะเป็น

โรค ภูมิแพ้ โรคหวัด โรคติดเชื้อต่างๆ แผลพุพองที่เรียกว่าน้ำเหลืองเสีย น้ำหนองไหล ปอดชื้น น้ำท่วมปอด โรคไตวายฉับพลัน โลหิตจาง เลือดออกตามไรฟัน และโรคอ้วน


อาหารที่ควรรับประทาน

- อาหารรสเปรี้ยว ได้แก่ กระท้อน กระเทียมดอง ขี้เหล็ก ดอกแค มะกอก มะเขือเทศ มะดัน มะนาว มะปราง มะม่วง ยอดมะขามอ่อน สับปะรด ส้มทุกชนิด และผักใบเขียวทุกชนิด อาหารรสเปรี้ยว แม้จะถูกกับผู้ที่มีธาตุน้ำมาก แต่ถ้ารับประทานมากไปก็จะทำให้ท้องอืด ถ้าเป็นแผลก็จะหายยาก อาจทำให้เกิดแผลในปาก และร้อนในได้


- ลำดับของอาหารที่ควรรับประทาน เปรี้ยว เผ็ด หวาน เค็ม มัน พยายามหลีกเลี้ยงอาหารมันๆ


อาหารที่บำรุงธาตุได้ดี

เช้าๆ ควรดื่มน้ำผักผลไม้รวม หรือน้ำข้าวกล้องผสมน้ำผึ้งก่อนออกกำลังกาย จะทำให้สุขภาพดี อาหารที่กล่าวมาแล้ว ควรรับประทานทุกมื้อ รับประทานแต่พอดี

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุน้ำ

กระเทียม---สรรพคุณ ช่วยลดความดัน รักษาโรคปอด โรคหอบหืด ไขข้ออักเสบ โรคเกาต์ และกำจัดพยาธิ ไม่มีผลข้างเคียงกับผู้ที่กินเป็นประจำ

กระ หล่ำดอก--- สรรพคุณ ช่วยสำหรับผู้มีบุตรยากทั้งหญิงและชาย ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านม บำรุงภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

ขี้เหล็ก--- สรรพคุณ แก้นิ่วในไต แก้ท้องผูก บำรุงสายตา ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับ

ขึ้นฉ่าย--- สรรพคุณ ช่วยให้เจริญอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย สามารถกำจัดเชื้อมะเร็งได้เกือบทุกชนิด บำรุงไตให้แข็งแรง นำมาปั่นกับแครอทผสมน้ำส้มดื่มทุกเช้า จะช่วยให้สุขภาพดี

คะน้าและ ผักใบเขียวทุกชนิด--- สรรพคุณโดยรวม คือ ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดี มีกากใยมาก ทำให้ขับถ่ายคล่อง ลดอาการมะเร็งในลำไส้และปอด รวมทั้งต่อมลูกหมากได้ดี

แค--- สรรพคุณ รักษาโรคหวัดคัดจมูก บำรุงสายตา ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

มะเขือเทศ--- สรรพคุณ บำรุงโลหิต ช่วยทำให้ผิวพรรณดี แก้อาการสิวฝ้า ป้องกันมะเร็งในต่อมลูกหมาก

มะนาว--- สรรพคุณ รักษาโรคหวัด เจ็บคอด้วยวิธีนำน้ำมะนาวมาผสมน้ำผึ้งเกลือเล็กน้อยผสมน้ำอุ่นแล้วดื่มทีละ น้อยทุกเวลาที่รู้สึกกระหายน้ำ ห้ามคนที่ปวดตามข้อดื่ม

สับปะรด--- สรรพคุณ เป็นยาแก้ไข้ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้แก่ร่างกายได้ดี แก้โรคคอหอยพอก ขับพยาธิ และเป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำสับปะรดใช้กลั้วปาก ช่วยลดอาการเหงือกบวม และดับกลิ่นปาก แกนสับปะรดช่วยขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว



ธาตุลม

คนเกิดปีเถาะ (กระต่าย) ปีมะเมีย (ม้า) ปีมะแม (แพะ) ปีวอก (ลิง)

โรคที่มักจะเป็น

โรค กระดูกเปราะ โรคน้ำตาแห้ง โรคตาต่างๆ โรคลมจุกเสียด โรคลมดันหัวใจ โรคนอนกรน โรคผอมแห้งแรงน้อย โรคปวดหัววิงเวียนศีรษะ โรคท้องอืดท้องเฟ้อ โรคอ่อนเพลีย


อาหารที่ควรรับประทาน--- อาหารที่รับประทานแล้วทำให้เกิดความร้อนในร่างกาย เช่น


- อาหารรสเผ็ด ได้แก่ กระชาย กระเทียม ขิง ขึ้นฉ่าย ขมิ้นขาว ตะไคร้ ถั่วต่างๆ ใบกะเพรา ใบชะพลู ใบแมงลัก ใบโหระพา ใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง พริก ฟักทอง ยี่หร่า และพืชผักใบเขียวต่างๆ เช่นผักบุ้ง


- ผลไม้ ก็มี ชมพู่ แตงไทย แตงโม พุทรา เม็ดบัว เม็ดแมงลัก อาหารดังกล่าวมานี้ ควรเป็นส่วนประกอบของอาหารแต่ละมื้อ และรับประทานพอประมาณ


- ลำดับของอาหารที่ควรรับประทาน เผ็ดร้อน เค็ม หวาน เปรี้ยว ควรหลีกเลี่ยง อย่างปรุงให้รสใดรสหนึ่งจัดเกินไปจะเป็นโทษ


อาหารบำรุงธาตุได้ดี

น้ำ กระชายหมัก น้ำขิง น้ำตะไคร้ น้ำลูกเดือย หรือเม็ดแมงลักกับน้ำผึ้ง หรืองาดำคั่วแล้วบดนำมาผสมน้ำผึ้งและน้ำอุ่น ดื่มวันละแก้วตอนเช้าก่อนออกกำลังกาย จะช่วยรักษาสมดุลของธาตุภายในได้ดี

สรรพคุณของอาหารประจำธาตุลม

กระชาย--- สรรพคุณ แก้โรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล แก้โรคลมจุกเสียด รักษาโรคบิด ขับระดูขาว ขับปัสสาวะ เหง้ากระชายนำมาตำครั้นน้ำมาทารักษากลากเกลื้อน และงูสวัด

กะเพรา--- สรรพคุณ ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ขับลมในกระเพาะ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด ช่วยบำรุงกระดูกทำให้เจริญอาหาร และดับกลิ่นคาว

ขมิ้น--- สรรพคุณ ช่วยในการย่อยอาหาร แก้โรคท้องอืด จุดเสียด รักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ แต่ต้องกินแต่พอดี นำขมิ้นมาฝนเอาน้ำทารักษาโรคผิวหนัง และช่วยลดอาการเสียน้ำของผิวหนังได้ ทำให้ผิวหนักชุ่มชื้น ใช้รักษาแผล น้ำกัดเท้า เล็บขบได้ดี

ขมิ้นอ้อย--- สรรพคุณ รักษาโรคท้องร่วง อาเจียน แก้ไข้ สมานแผล

ขิง--- สรรพคุณ ช่วยป้องกันอาหารเมารถเมาเรือได้ดี ด้วยการดื่มน้ำขิงแก่ก่อนจะขึ้นรถ ลงเรือ ช่วยขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ และขับเหงื่อ แก้อาการเกร็งท้อง ท้องเป็นตะคริว

ตะไคร้--- สรรพคุณ เป็นยาขับลม ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืดแน่นเฟ้อ

แตง โม--- สรรพคุณ ช่วยดับพิษร้อนภายใน ลดอาการทุรนทุรายจากพิษไข้ ขับปัสสาวะ น้ำแตงโมช่วยล้างไต ล้างลำไส้และกระเพาะอาหาร เปลือกแตงโมแกงส้มช่วยรักษาอาการไข้หวัด

ถั่วฝักยาว--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงไต และม้าม แก้ร้อนใน และแก้อาการตกขาว

ใบโหระพา--- สรรพคุณ เป็นยาแก้ท้องอืด ขับลมในลำไส้ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง ช่วยให้เจริญอาหาร เมล็ดเป็นยาระบาย

ผักชีฝรั่ง--- สรรพคุณ สร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา รักษาสมดุลของธาตุภายในกาย ดับกลิ่นคาว

พริก--- สรรพคุณ แก้อาการผอมแห้งแรงน้อย ซูบซีดพุงโรก้นปอด ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ช่วยระบบย่อยอาหาร และทำให้ดูดซึมอาหารได้ดี ละลายลิ่มเลือด ป้องกันมะเร็ง

พุทรา--- สรรพคุณ เป็นยาแก้อาการไอ แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ เมล็ดใช้เผาไฟแล้วบดหรือตำ นำมาไว้ใกล้ๆ เด็กอ่อนช่วยรักษาอาการเป็นหวัดคัดจมูก หรือไม่ก็ใช้ผงที่บดละเอียดแล้วมาผสมน้ำเล็กน้อย แล้วกวาดลิ้นเด็ก แก้อาการเป็นซางลิ้นขาว

แมงลัก--- สรรพคุณ แก้ไข้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้ท้องร่วง ใบนำมาตำเอาน้ำมาทาแก้โรคผิวหนัง เมล็ดนำมาแช่น้ำผสมน้ำผึ้งทานเป็นยาระบาย แก้โรคกระเพาะ ลดความอ้วน เพราะมีสรรพคุณในการดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ทำให้ขับถ่ายสะดวก

ราก บัว--- สรรพคุณ เป็นยาคุมธาตุภายใน ช่วยรักษาอาการท้องร่วง เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ เหง้า และเมล็ด เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงน้ำดี แก้อาการน้ำเหลืองเสีย ดีบัวที่อยู่ใจกลางเมล็ดมีรสขมเป็นขาขยายหลอดเลือดหัวใจ

สะระแหน่--- สรรพคุณ ช่วยขับลมในลำไส้และกระเพาะ แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ขยี้ทาขมับ แก้อาการปวดหัว ดมแก้ลม ทาแก้อาการช้ำ




ธาตุไฟ

คนเกิดปีขาล (เสือ) ปีมะโรง (งูใหญ่) ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ปีระกา (ไก่)

โรคที่มักจะเป็น

ท้อง ผูก ริดสีดวง ความดันสูง เส้นโลหิตเปราะบาง ปวดศีรษะ โรคไต โรคกระษัย ปัสสาวะกะปริบกะปรอย วิตกกังวล เบื่ออาหาร โรคหัวใจ โรคไทรอยด์ ร้อนใน โรคกระเพาะ กระดูกเสื่อมเร็วก่อนวัย หงุดหงิดง่าย ใจสั่น แผลพุพอง น้ำเหลืองเสีย เลือดเป็นพิษ โรคเลือดลักปิดลักเปิด


อาหารที่ควรรับประทาน--- อาหารที่เหมาะสำหรับธาตุไฟ มีรสขม รสจืด รสเย็น

- รสขม ได้แก่ ใบปอ ใบยอ ผักขมจีนและไทย มะระขี้นก มะระจีน

- รสจืด ได้แก่ กระเจี๊ยบขาว ดอกกะหล่ำปลี ดอกสลิด ดอกโสน ถั่วพลู ถั่วฝักยาว บวบงู บวบอ่อน ใบทองหลาง ผักกาดขาว ผักกระเฉด ผักกูลป่า ผักชีฝรั่ง ผักบุ้งจีน มะเขือยาว ยอดผักปลัง สายบัว

- รสเย็น ได้แก่ เก๊กฮวย เฉาก๊วย แตงกวา แตงไทย แตงล้าน แตงโม น้ำใบเตย ใบตำลึง ใบบัวบก ฟักเขียว มะตูม มะละกอ รากบัวหลวง ลูกตำลึงอ่อน สายบัว หัวไชเท้า


อาหารที่บำรุงธาตุไฟได้ดี คือ มะระจีนตุ๋น กับเห็ดหอม น้ำใบบัวบก


สรรพคุณของอาหารประจำธาตุไฟ

กระเจี๊ยบมอญ--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงสมอง ลดความดันโลหิต รักษาโรคกระเพาะ ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่เสียหาย เป็นยาระบาย

เฉาก๊วย--- สรรพคุณ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการปากเปื่อย

ดอกสลิด--- สรรพคุณ เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ร้อนใน ลดอาการปอดบวม ทำให้เจริญอาหาร

ตำลึง--- สรรพคุณ เป็นยาดับพิษร้อนภายในร่างกาย ลดอาการไข้ เป็นยาระบายอ่อนๆ ผลดิบนำมาปรุงเป็นอาหารช่วยลดอาการเบาหวาน ใบสดๆ นำมาขยี้ให้ละเอียดเอาน้ำมาทาแก้อาการคัน ช่วยถอนพิษจากหนอนกัด และพิษจากหมามุ่ย ใช้หยอดตาแก้อาการตาแดง ตาเจ็บ

เตย--- สรรพคุณ บำรุงหัวใจ ทำให้หัวใจชุ่มชื้น แก้กระษัย ขับปัสสาวะ แก้เบาหวาน

บวบ--- สรรพคุณ ทำให้ชุ่มคอ ช่วยขับปัสสาวะ ขับน้ำนม ทำให้ถ่ายสะดวก

ปอ--- สรรพคุณ บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับลม เป็นยาระบาย เป็นยากระตุ้นหัวใจ

ผักกาดขาว--- สรรพคุณ ช่วยย่อยอาหาร แก้ไข้ ขับเสมหะ แก้พิษสุราเรื้อรัง แก้อาการท้องผูก ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

ผักปลัง--- สรรพคุณ รักษาอาการท้องผูก แก้อาการไส้ติ่งอักเสบ เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ แก้บิด

ผักบุ้ง--- สรรพคุณ บำรุงกระดูก และฟัน บำรุงเลือด ลดไข้ แก้เบาหวาน แก้ร้อนใน บำรุงสายตา

ผัก โขมหรือผักขม--- สรรพคุณ บำรุงโลหิต ช่วยลดเชื้อมะเร็ง ทำให้สายตาดี แก้โรคท้องผูก แก้อาการตกขาวในสตรี สตรีมีครรภ์ หรือกำลังมีประจำเดือนห้ามทาน

ฟักเขียว--- สรรพคุณ เป็นยาเย็นดับพิษร้อนภายใน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้ไอ ลดอาการบวมน้ำ แก้อาการหลอดลมอักเสบ บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร แก้หนองใน

มะเขือยาว--- สรรพคุณ แก้อาการตกเลือดในกระเพาะ ลำไส้ แก้อาการปวดเมื่อย

มะระขี้นก--- สรรพคุณ บำรุงน้ำดี เป็นยาเจริญอาหาร ขับพยาธิ แก้โรคตับอักเสบ แก้โรคเบาหวาน

มะตูม--- สรรพคุณ บำรุงธาตุ เจริญอาหาร แก้บิด แก้ร้อนใน ขับลม แก้โรคลำไส้

ยอ--- สรรพคุณ แก้อาการไข้วิงเวียนคลื่นเหียนอาเจียน แก้กระษัย แก้อาการปวดตามข้อ แก้อาการเป็นวัณโรค

หัวไชเท้า--- สรรพคุณ ล้างพิษภายใน เป็นยาเย็นดับพิษร้อน บำรุงไต ขับปัสสาวะ ละลายนิ่ว

สายบัว--- สรรพคุณ ลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะ ลดความเครียดทางสมอง บรรเทาอาการท้องผูก ขับปัสสาวะ ดับพิษร้อนในกาย



อาหารที่ควรระวัง และบริโภคให้น้อยที่สุด

ไขมัน

เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่

น้ำตาลทรายขาว

กาแฟ และน้ำอัดลม

อาหารที่ใส่สีผสม และผงชูรส

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์



อาหารที่รับประทานได้ไม่จำกัด

ปลาน้ำจืด และปลาน้ำเค็ม

ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวดำ ลูกเดือย

และพืชผักต่างๆ

อาหาร และเครื่องดื่มที่รักษาสมดุลของธาตุ ทั้ง ๔

น้ำผักผลไม้รวม มีส้ม ขึ้นฉ่าย กระชาย งาดำ น้ำผึ้งผสมเกลือเล็กน้อย นำมาปั่นรวมกัน


อัตราส่วน

ส้ม 3 ส่วน

ขึ้นฉ่าย 2 ส่วน

กระชาย 1 ส่วน

งาดำ 1 ส่วน

น้ำผึ้ง 1 ส่วน

เกลือ เล็กน้อย




ขอบคุณที่มาจาก...เว็บพลังจิต.คอม

105




วันรุ่งขึ้น เสด็จในกรมได้ขึ้นไปสนทนากับหลวงปู่ศุขบนกุฏิ การสนทนาในวันนั้นส่วนมากก็วนเวียนอยู่กับฤทธิ์อาคมเสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย หลวงปู่ศุขก็เล่าบอกตามความเป็นจริงในทางที่ตนเองยึดถือปฏิบัติ
ยิ่งพูดคุยกันมากเสด็จในกรมก็ยิ่งรู้ว่าหลวงปู่ศุขมีอาคมมากมาย ทั้งยังสามารถเสกคนให้เป็นจระเข้ได้อีกด้วย ในตอนหนึ่งของการสนทนา หลวงปู่ศุขได้สอบถามกรมหลวงชุมพรฯ ว่า “ปรารถนาจะใคร่ชมคนกลายเป็นจระเข้หรือไม่” เสด็จในกรมและข้าราชบริพารที่นั่งอยู่ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากเห็นคนกลายเป็นจระเข้”
เมื่อทุกคนอยากดูการเสกคนเป็นจระเข้ หลวงปู่ศุขจึงบอกให้เสด็จในกรมคัดเลือกคนรูปร่างล่ำสันแข็งแรง พระองค์จังคัดเลือกพลทหารมาได้คนหนึ่งชื่อ “จ๊อก”
จากนั้นหลวงพ่อสั่งให้เอาเชือกเส้นใหญ่มัดที่เอวของพลทหารจ๊อกอย่างแน่นหนา แล้วพาไปที่สระน้ำแห่งหนึ่งในวัด ให้พลทหารผู้นั้นนั่งคุกเข่าลงข้างสระ แล้วสั่งให้หลับตาพนมมืออยู่นิ่ง ๆ ส่วนตัวหลวงปู่จับปลายเชือกไว้แน่น พลางบริกรรมคาถาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เป่าพรวดลงไปที่ศีรษะพร้อมกับใช้ฝ่ามือที่ไม่ได้จับปลายเชือกตบลงที่กลางหลัง พร้อมกับผลักพลทหารจ๊อกตกลงไปในสระน้ำเสียงตูมใหญ่
สายตาทุกคู่จ้องเป็นจุดเดียว กรมหลวงชุมพรฯ ยืนมองร่างพลทหาร ท้องน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง ครั้นน้ำสงบลงจึงแลเห็นร่างของจระเข้ตัวโตอยู่ในน้ำ ส่วนหัวมีเชือกผูกติดตัวแหวกว่ายวนเวียนสะบัดหากฟาดน้ำอยู่ไปมา

ทุกคนในที่นั้นต่างอัศจรรย์ในความขมังเวทย์ของหลวงปู่ศุข ส่วนกรมหลวงชุมพรฯ ทรงทอดพระเนตรดูลูกน้องกลายเป็นจระเข้ แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำด้วยใจระทึก ร่างของจระเข้พยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะดำดิ่งลงก้นสระ ติดแต่ว่าถูกล่ามเชือกอยู่ โดยเหล่าทหารเข้าช่วยหลวงปู่ดึงเอาไว้
หลวงปู่ศุขได้กล่าวกับเสด็จในกรมว่า “ท่านจะให้ลูกน้องกลับเป็นคนหรือจะให้เขาเป็นจระเข้อยู่อย่างนั้น” กรมหลวงชุมพรฯ ได้ตรัสตอบว่า “ต้องการให้เขากลับเป็นมนุษย์อย่างเดิม” หลวงปู่ศุขจึงให้พวกทหารช่วยกันดึงเชือกให้หัวจระเข้โผล่ขึ้นมาพร้อมกับสั่งกำชับว่า “อย่าปล่อยให้เชือกหลุดมือหรือขาด หากจระเข้หลุดไปแล้วมันจะดำลึกลงกบดานที่ก้นสระ โอกาสที่จะทำให้คืนร่างเป็นมนุษย์คงยาก”
พวกทหารจึงช่วยกันดึงรั้งเชือกกันสุดแรง กลายเป็นการชักเย่อระหว่างคนกับจระเข้ ส่วนหลวงปู่ศุขท่านเดินกลับกุฏิ ครู่ใหญ่ถือบาตรน้ำมนต์ตรงมายังขอบสระที่จระเข้กำลังตะเกียกตะกายหนี จากนั้นท่านได้บริกรรมคาถากำกับน้ำมนต์อยู่อึดใจแล้วท่านได้สั่งด้วยเสียงอันดังว่า “เอา ออกแรงดึงขึ้นมาหน่อย” ทหารทุกคนทำตาม ออกแรงดึงให้ร่างจระเข้ลอยบนผิวน้ำ หลวงปู่ศุขจึงเอาน้ำมนต์ที่เสกแล้วเทราดบนหัวจระเข้ ความอัศจรรย์เกิดขึ้นเป็นคำรบสอง ร่างจระเข้ที่ดิ้นรนและฟาดหางไปมานั้นค่อย ๆ มีอาการสงบลง แล้วร่างที่ขรุขระของจระเข้ก็กลายเป็นผิวเนื้อของมนุษย์ทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นทหารคนเดิมในเวลาต่อมา
กรมหลวงชุมพรฯ มองดูทหารผู้นั้นด้วยความอัศจรรย์ในเป็นที่สุด เรื่องที่พระองค์ไม่เคยพบเห็นในชีวิตก็ได้มาเห็นที่วัดของหลวงปู่ศุข (เป็นที่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนี้ “สระประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้ถูกถมเป็นพื้นดินราบและส่วนหนึ่งของสระได้ปลูกสร้างตึกเจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่ารูปต่อ ๆ มา)
อนึ่ง จากหนังสือพระประวัติพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ โดยชัยมงคล อุดมทรัพย์ ได้บันทึกไว้เป็นความตอนหนึ่ง ดังนี้
จากการบอกเล่าของพลทหารจ๊อก ภายหลังร่างกลับกลายเป็นคนว่า ขณะที่ตนลงไปในสระก็มิได้รู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นจระเข้แต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองมีพละกำลังมหาศาลผิดปกติเท่านั้น และแหวกว่ายน้ำด้วยจิตใจคึกคะนองฮึกเหิม ในอยากดำผุดดำว่ายทั้งที่มองตัวเองแล้วก็มีร่ายกายเหมือนคนทุกอย่าง
ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับวิชาเสกคนให้เป็นจระเข้ของคุณทวี เย็นฉ่ำ ผู้ศึกษาวิชาไสยศาสตร์คนหนึ่งของเมืองไทยกล่าวไว้ว่า “จระเข้วิชา” ก็คือ “คน” ซึ่งแก่กล้าวิชาอาคม และมีเหตุให้กลายร่างเป็นจระเข้ เพราะความเรืองวิชาอาคมของตนเอง จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็ตามที ทำให้ไม่สามารถรดน้ำมนต์ลงไปที่ตัวจระเข้ได้ บุคคลผู้นั้นก็จะกลายเป็นจระเข้ต่อไปจนกว่าจะแก้มนต์กำกับหรือมนต์อาถรรพณ์ได้
ดังเช่นตำนาน “จระเข้คน” จากจังหวัดพิจิตรอันเป็นแดนอาถรรพณ์ต้นกำเนิดนิทานพื้นบ้านอันลือลั่น เรื่องไกรทองและชาละวันนั่นเอง
มีเรื่องเล่าจากนายเนตร แพงกลิ่น ที่เคยบวชเรียนอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้เล่าถึงคนกลายเป็นจระเข้แล้วมาให้หลวงปู่ศุขช่วยแก้อาถรรพณ์ให้ว่า ณ ท่าเรือทองนี้ (อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า) มีการลงอาถรรพณ์ไว้ หากจระเข้วิชามาถึงท่าเรือทองนี้ จะต้องลอยหัวโผล่ขึ้นมา ไม่สามารถดำน้ำได้อีกต่อไป คราวนี้พวกญาติจะนำน้ำมนต์หลวงปู่ศุขไปราดที่หัว จระเข้วิชาก็จะกลายเป็นคนตามเดิม โดยจะนอนแน่นิ่งเกยตื้นริมตลิ่งอยู่
บางทีมีเรื่องทุลักทุเลไม่อาจราดน้ำมนต์ที่หัวจระเข้ได้ เพราะความกลัวของบรรดาญาติ หรืออะไรก็ตามแต่ บางทีเป็นเดือน ๆ เป็นปี ๆ ก็มี
จระเข้วิชาเมื่อถูกราดด้วยน้ำมนต์แก้อาถรรพณ์แล้ว จะกลายเป็นคนนิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดจา ญาติจะช่วยกันประคองไปหาหลวงปู่ศุขที่กุฏิ ท่านก็จะทำพิธีแก้อาถรรพณ์รักษาให้ นานอยู่ประมาณ 7-8 วัน คนผู้นั้นจึงจะพูดได้
ในบันทึกของนายเนตร แพงกลิ่น ยังกล่าวอีกว่า “เคยเห็นมีการรักษาจระเข้วิชานี้ประมาณ 3-4 ครั้งเท่านั้น และทั้งหมดเป็นจระเข้จากจังหวัดพิจิตร จุดสังเกตจระเข้วิชาปากจะสั้น มีรูปร่างเหมือนหัวปลี
ย้อนกลับมาเรื่องเสด็จในกรมพระองค์ได้เห็นการเสกหัวปลีเป็นกระต่ายขาว จนถึงการเสกพลทหารจ๊อกเป็นจระเข้ แล้วทรงยอดรับว่าอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า นั้นเหนือกว่าพระเกจิอาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่พระองค์ประสบพบมา รู้สึกพอพระทัยจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์สำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า...

 
ขอบคุณที่มา: http://www.dharma-gateway.com/monk-h...index-page.htm

106
ผมเป็นคนหนึ่ง ที่เคยสงสัยว่า พวกที่อ้างตนว่ามีองค์เทพนั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่
ทั้งที่เราก็มีคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่แล้ว
แล้วพวกร่างทรง องค์เทพ มากันทำไมมากมาย ???

พอดีได้ไปเจอเวปไซด์หนึ่ง เขียนอธิบายได้ดีมาก
เลยขออนุญาติ นำมาโพสต์ไว้ เผื่อคนที่ถูกทักว่ามีองค์ หรือคิดว่าตนเองมีนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร

จะรู้ได้ยังไงว่ามีองค์เทพ ???

เมื่อพูดถึงคำว่าร่างทรง คนหลายคนคงนึกถึงภาพคนยืนตัวสั่น พูดจาทำนายทายทัก พูดกันด้วยภาษาแปลกแปลก บ้างก็เปิดเป็นสำนักกัน บ้างเก็บเงินหรือบอกหวยกัน ทำสิ่งที่ลึกลับมีพิธีกรรมแปลกๆซึ่งมักมีทั้งทรงจริง และของปลอมหลอกกัน เพื่อหาผลประโยชน์จากการหลอกให้หลงเชื่องมงายโดยขาดสติปัญญา เรื่องของสวรรค์ นรก เรื่องแปลกๆ เรื่องเหลือเชื่อ
 อันที่เราสามารถพินิจเห็นอยู่บ่อยๆตามสื่อรายการต่างๆ ในโลกแห่งวิทยาศาสตร์อันทันสมัย โลกแห่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจกันอย่างดุเดือดรุนแรงวุ่นวายจนเราไม่เคยใส่ใจคำว่าคนมีองค์ ไม่เคยคิดแม้แต่ว่ามันจะจริงหรือไม่คิดเพียงว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ควรไปใส่ใจให้เสียเวลา เป็นเรื่องเหลวไหล แท้จริงมันเป็นเรื่องใกล้ตัวเราที่สุด จนแทบจะพูดได้เลยว่าเป็นเรื่องของเราเองทีเดียว แต่น้อยคนที่จะสนใจเรื่องเหล่านี้ว่าแท้จริงคือสิ่งใดเกิดขึ้นได้อย่าง เหตุผลใดทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เรื่องใดเป็นเรื่องจริง เรื่องใดเป็นของปลอม หาได้แต่โทษโชคชะตา หรือไปโทษตัวเองว่า ถ้าเราไม่ทำเช่นนั้นก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ มันเป็นเรื่องปัจจัตตังคือรู้และพิสูจน์ได้
เฉพาะตน จะว่าไปแล้วคนทุกคนล้วนมีบุญเก่ากรรมเก่าติดตัวมาตั้งแต่เราเกิด ตั้งแต่ปฏิสนธิ มันเป็นเครื่องกำหนดกฏแห่งกรรมของทุกชีวิตที่เกิดมาในโลก ในแง่สิ่งเหนือสามัญวิสัย คนที่มีความซับซ้อนของภพชาติยิ่งมาก ย่อมเคยมีปฏิสัมพันธ์กับคน สัตว์ สิ่งมีชีวิต จิตวิญญาณ ตลอดจนสิ่งศักย์สิทธิ์มามากด้วยเราคงเคยไปก่อกรรมกับใครต่อใครไว้ทั้งดีและชั่วก็มาก ชาตินี้เรามาเกิด แต่คนที่เกี่ยวข้องกับเราบางคนในอดีตชาติ บางดวงจิตอาจมาเกิดร่วมชาติกับเราเพื่อมาชดใช้กรรมซึ่งกันและกันในชาตินี้ ซึ่งเราไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง บางคนยังไม่ได้พบกัน แต่บางคนก็อาจยังไม่ได้มาเกิดอาจยังเป็นเทวดาในสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นฟ้า หรือในนรก หรือติดอยู่ในภพภูมิใดตามสัญญากรรม หรือบางคนสามารถพัฒนาจิตหนีเราไปเกิดเป็นพรหม เป็นมหาพรหม มหาเทพไปแล้ว ท่านก็ถือว่าท่านมีกรรมสัมพันธ์กับเรา จึงมีสิทธิที่จะมากำกับชีวิต ช่วยเหลือ ต่ออายุ ให้โอกาสเราหากเราเข้าถึงพระพุทธศาสนา คนเราหลายๆคน เรียกว่ามากมายนักที่มีสัญญากรรมกับเทพที่เกี่ยวข้องกับตนทั้งกรรมเก่าเกี่ยวเก่า กรรมใหม่เกี่ยวใหม่ตามบุคคลาธิษฐาน ท่านจึงคอยมากำกับชีวิตเราตามพื้นฐานของกฏแห่งกรรม แต่ก็ให้โอกาสเราทำกิจกรรมตามที่เคยสัญญากันไว้ก่อนมาเกิด หากใครทำได้ครบ ก็จะส่งบุญเก่าให้บุญเก่าของเราแสดงผลออกมาเป็นรางวัลชีวิต หากถึงเวลาที่กำหนดแล้วทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำเพราะส่วนใหญ่ไม่มีตัวรู้ หลงในเทคโนโลยี แสง สี เสียงสมัยใหม่ จนลืมสัญญากรรม ท่านก็จะอุเบกขาวางเฉยปล่อยให้กรรมเล่นงานเราตามกฏแห่งกรรม คนเหล่านี้จึงมีคลื่นพลังส่งมาจากโลกเหนือสามัญวิสัย แฝงมามาก ส่งมาดลใจ ลองใจเราอยู่ตลอดเวลา คงมีทั้งเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณ และเมื่อถึงกาลที่เหมาะสมเทพท่านจะมาใช้ร่างเราเพื่อให้เราสร้างบารมีคือท่านมาโปรดมนุษย์ ให้เข้าถึงธรรม มาจรรโลงพระพุทธศาสนา มารักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสอนเราโดยส่งญาณอันเป็นรังสีมาสู่ตัวเรา เข้าสู่ระบบสมอง สู่ระบบประสาทจนเกิดแสดงเป็นอาการต่างๆให้เป็นร่างทรง ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป เพื่อที่เราจะได้สร้างบารมีสามารถฟันฝ่าวิบากกรรมไปได้ คนบางคนที่เขาเรียกว่ามีสัมผัสที่ ๖ ล่วงรู้หรือเห็นชาติภพของตนมาก่อน ชอบเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่มีชะตาชีวิตรุนแรงประเภทขึ้นสูงก็สูงไปเลย พอลงต่ำก็ต่ำไปเลย คนบางคนมีความสามารถทางโลกโดดเด่นมาก บ้างก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในชีวิต บ้างก็มีตำแหน่งในสังคม คนพวกนี้ส่วนใหญ่เกิดจากทางในส่งผลเป็นปัจจัยทั้งสิ้น เรียกว่าคนมีองค์ การที่คนเก่ง ด้วยหน้าที่การงาน มีฐานะตำแหน่งเป็นที่ยอมรับนับถือในสังคม หากคนเหล่านี้จะต้องมาตัวสั่น หรือมาเปิดสำนักคงยากที่คนเหล่านั้นจะยอมรับได้ แต่แท้จริงการพัฒนาร่างทรงต่างหากที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มแรกเราจะตัวสั่น พูดจาภาษาเทพเร็วๆ ฟังไม่ออก เป็นเพราะเรายังมีตัวรู้ในองค์ญาณ ที่ยังไม่สัมพันธ์กับองค์ฌาน ละเอียดไม่เท่ากับรังสีที่ส่งลงมา เทพท่านส่งมา สิบคำรับได้แค่คำเดียวจึงเกิดเป็นอาการตัวสั่น พูดจาฟังไม่รู้เรื่องที่เรามักเรียกกันว่าพูดภาษาเทพ แท้จริงหากพัฒนาจิตให้ละเอียดจนสามารถรับคลื่นรังสีที่ส่งมาได้ครบถ้วน การพูดก็คือการพูดภาษาปกติมนุษย์นั่นเอง การตัวสั่นยังเป็นเรื่องของอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เราจึงยังไม่สามารควบคุมอาการได้ ซึ่งอิทธิฤทธิ์ เทวฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นพระพุทธเจ้าทรงยอม รับแต่ทรงรังเกียจ เพราะส่วนใหญ่ง่ายในการนำไปใช้ผิดวิธี ผู้พบเห็นมักศรัทธาด้วยฤทธ์ไม่ใช่เข้าใจด้วยปัญญา หากเราฝึกฝนพัฒนาจิต พัฒนาทักษะ พัฒนาตัวรู้จนละเอียดใกล้เคียงกับรังสีเทพที่ส่งมาหาเรา เราก็จะเริ่มควบคุมตัวเองได้ จะแสดงอาการที่ปรกติมากขึ้นที่เรียกว่าอิทธิฤทธิ์ หรือเทวฤทธิ์อยู่ในขั้น ฤทธานุภาพ และเทวานุภาพ หรือสูงขึ้นจนทายใจคนได้อย่างอัศจรรย์เรียกว่า อาเทศนาปาฏิหาริย์ ซึ่งขั้นนี้พระองค์ก็ยังคงทรงรังเกียจ จนกระทั่งสามารถพัฒนาจิตสู่ขั้นมาตรฐาน คือขั้นจิตตานุภาพ นั่นคือเป็นองค์แฝงไม่พบอาการผิดปกติให้เห็นได้แต่อย่างใด แต่ขณะที่พูดสามารถปล่อยให้ญาณหรือรังสีเทพผ่าน แสดงออกมาหรือพูดออกมาในลักษณะที่ผู้อื่นคิดว่าเป็นการแสดงออกของตัวเราเอง โดยไม่มีใครทราบนอกจากตัวเรา สามารถอธิบายธรรมให้เข้าใจโดยใช้หลักธรรมให้เห็นเด่นชัดด้วยปัญญา มีความสมดุลอย่างสูงในองค์ฌาน และองค์ญาณ คนกลุ่มนี้ชีวิตจะยิ่งโดดเด่นยิ่งขึ้นโดยปาฏิหาริย์ เรียกว่าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนมีผลจริงเป็นมหัศจรรย์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงสนับสนุนถือว่าดีเยี่ยมเป็นประเสริฐ ทั้งนี้คนที่พบกับวิบากกรรมก็สามารถที่จะดีขึ้นจนสามารถหลุดพ้นจากวิบากกรรมได้ หากเราสามารถทำตามสัญญากรรมข้ออื่นๆได้ครบ การพัฒนาร่างทรงสู่ญาณแฝง และสามารถถ่ายทอดธรรมได้อย่างมหัศจรรย์ จึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำสังคมก้าวไกล มองดูเป็นปกติธรรมดาธรรมชาติ และสังคมยอมรับกันได้ในปัจจุบัน

ขอบคุณข้อมูลโดย อ. ธวัช คณิตกุล


107
 

ไปเยี่ยมเยียนหมอน้องชายเล่าเรื่องแปลกของคนไข้รายหนึ่งให้ฟัง

ซึ่งน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้คนละบาปได้ดีจึงขอเล่าสู่กันฟังต่อ…….

การสนทนาตอนหนึ่งหมอน้องชายเล่าให้ฟังว่า

ตั้งแต่เป็นหมอมาไม่เคยเห็นผู้ป่วยรายใดต้องผ่าตัดทุลักทุเลซ้ำซากอย่างนี้เลย

สามปีต้องผ่าตัดห้าครั้งและหนักหนายิ่งขึ้นทุกครั้ง

ผู้ป่วยรายนี้ชื่อบุญมาครั้งแรกที่เข้าโรงพยาบาลก็เพื่อมาทำแผลที่นิ้วก้อยที่ถูกตะพาบน้ำกัด

หมอให้ทายากินยาแก้ปวดแก้อักเสบแล้วกลับบ้านดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอีก

ครึ่งเดือนต่อมาบุญมากลับมาใหม่แผลเก่าอักเสบรุนแรงบวมใหญ่

หมอตรวจพบว่าเชื้อโรคกินเข้ากระดูกจะต้องตัดนิ้วเพื่อไม่ให้เน่าลุกลาม

ซึ่งนิ้วเท้านั้นอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

หลังจากนั้นครึ่งปีบุญมาไปเที่ยวชายทะเลเขาถูกตะพาบน้ำกัดที่นิ้วเท้าอีก

อะไรจะเจาะจงได้ถึงอย่างนั้นนิ้วเท้าของบุญมาที่ถูกตะพาบน้ำกัดครั้งที่สองอักเสบบวมใหญ่

ภายในเวลาสองวันเมื่อมาฉายเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลก็ได้พบอีกว่า

เชื้อโรคกินเข้าไปถึงกระดูกหมดจึงต้องตัดนิ้วเท้าของเขาไปอีกหนึ่งนิ้ว

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีบุญมากลับมาที่โรงพยาบาลอีก

ครั้งนี้แผลเก่าทั้งสองแห่งเกิดอักเสบบวมใหญ่ขึ้นพร้อมกัน

พอเอกซเรย์ก็พบว่าแย่แล้ว! เชื้อโรคแพร่เข้าไปกินกระดูกอย่างรุนแรง

เชื้อโรคนั้นกำลังกลายเป็นมะเร็ง
จะต้องผ่าตัดฝ่ามือฝ่าเท้าออกให้หมดก่อนที่จะลุกลามขึ้นไปอีก

บุญมาต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึงยี่สิบกว่าวันด้วยสภาพของผู้ป่วยด้วน

วันหนึ่งลูกชายของญาติอุปสมบทบุญมาไปช่วยงาน
คืนนั้นผู้ร่วมงานบวชนอนค้างที่วัดกันสี่ห้าสิบคน

เคราะห์หามยามร้ายของบุญมายังไม่จบสิ้น
หนูตัวหนึ่งเจาะจงมากัดตรงขาด้วนของบุญมาคนเดียวกัดแล้วก็หนีไป

บุญมาสะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวดคนที่นอนอยู่ด้วยกันตกใจกับเสียงร้องพากันตื่นหมด

แผลที่หนูกัดไม่กว้างไม่ลึกนักมีเลือดซึมออกมาแต่ทุกคนพากันตกใจที่อยู่ดีๆ

ทำไมจึงมีหนูมากัดคนนอนหลับเพราะหนูจะกัดกินก็เฉพาะศพเท่านั้น

ไม่กัดกินคนเป็นๆบุญมาขวัญเสียถูกเคราะห์กรรมซ้ำเติมจนคิดว่าตนคงจะต้องตายในไม่ช้า

มันทารุณจิตใจมากไม่นานต่อมาเกิดอาการเจ็บคันบริเวณแผลเก่าที่มือที่เท้าอีก

บุญมารีบมาหาหมอที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

ผลการฉายเอกซเรย์ปรากฏว่าเชื้อมะเร็งกินลึกเข้าไปมาก
หมอจำเป็นต้องจัดการตัดแขนขาทั้งท่อนของบุญมาทิ้งไป


หมอน้องชายซึ่งเป็นเจ้าของคนไข้แปลกใจในชะตากรรมของบุญมานัก

จึงสอบถามประวัติอย่างละเอียดอีกครั้งไว้และได้ความว่า

บุญมาชายอายุยี่สิบสามปีอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างก่อสร้าง
ชอบดื่มเหล้าเป็นประจำชอบแกล้มเหล้าด้วยปลาน้ำจืด
โดยเฉพาะชอบกินเต่ากินตะพาบ

บุญมาเคยได้ยินมาว่าใครกินตะพาบน้ำได้สิบถึงยี่สิบตัวแล้ว

ตลอดชีวิตจะไม่เป็นโรคไขข้ออักเสบอีกทั้งยังช่วยบำรุงไต

บุญมาจึงเพียรหาตะพาบน้ำมาผัดเผ็ดแกล้มเหล้าขาว
บุญมากินตะพาบน้ำมาแล้วเกือบยี่สิบปีนับไม่ได้แล้วว่ากินเข้าไป
ได้กี่ตัววันหนึ่งบุญมาซื้อตะพาบน้ำตัวใหญ่จากตลาดมา

ตะพาบน้ำตัวนี้น้ำหนักตั้งสิบกว่ากิโลกรัม
เขาดีใจมากตัวใหญ่ขนาดนี้ฆ่ากินทีเดียวไม่หมด
จะต้องค่อยๆกินที่บ้านไม่มีตู้เย็นให้แช่เก็บได้จึงต้องกินผ่อนทีละน้อย
ตะพาบน้ำเป็นสัตว์อายุยืนอดทนไม่ตายง่ายๆ
ไม่ว่าจะถูกกักขังอยู่ในสภาพใด ก็อดทนมีชีวิตอยู่ได้เป็นปี

บุญมาเห็นแก่กินไม่นึกถึงว่า ตะพาบจะต้องทนทุกข์ทรมานนานเพียงไร
ต้องเจ็บปวดแสนสาหัสครั้งแล้วครั้งอีก

เขาตัดเฉือนเนื้อตะพาบส่วนต่างๆตามความพอใจมาปรุงอาหารทีละชิ้นๆ
บาดแผลรอบตัวตะพาบเขาทาด้วยปูนแดงที่กินกับหมาก
เพื่อไม่ให้เนื้อตัวตะพาบเน่า
ตะพาบตัวนั้นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานกว่าครึ่งเดือน

จากนั้นบุญมาจึงประหารเอามากินเป็นมื้อสุดท้าย
บุญมาพอใจกับวิธีที่จะได้กินเนื้อตะพาบสดๆทุกวันอย่างนี้เรื่อยมา

ผลสรุปประวัติผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบันทึกไว้ในตอนท้ายมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า…..

เป็นประวัติที่แสดงให้เห็นกรรมตามสนองอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่ไม่มีข้อสรุปชัดเจนในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ปัจจุบัน

ปล.คุณควรตระหนักถึงการกระทำที่คุณได้ทำอยู่ในทุกวันนี้

ถึงผลดีและผลร้ายที่คุณได้กระทำลงไปมันจะส่งผลกลับมาหาคุณเอง
ที่เรียกกันว่า "กรรมตามสนอง" นั้นเอง


ขอบคุณที่มาจาก... http://www.baanmaha.com/community/11206 ... B9%86.html

                                                                                                                                                                                                                 

108
กฎแห่งกรรม / กรรมเหนือหมอดู...
« เมื่อ: 07 ม.ค. 2553, 11:36:21 »
ผมเป็นศิษย์โหร แต่มิได้เป็นโหร หลวงพ่อเจ้าคุณพระภัทรมุนี หรือมหาอิ๋น เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ ธนบุรี (สมัยนั้น) เป็นโหราจารย์ชั้นยอด สมัยนั้นมีโหราจารย์ที่ดังอยู่เพียงสองท่านเท่านั้น คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) ซึ่งต่อมาเป็นสมเด็จพระสังฆราช อีกรูปหนึ่งคือพระภัทรมุนี

แต่โหรสมัยก่อนเขามิได้ทายส่งเดช อย่างหลวงพ่อเจ้าคุณพระภัทรมุนี ท่านเป็นที่ปรึกษาทางจิตใจให้แก่ศิษย์มากกว่าเป็นหมอดู เรื่องประเภทไหนควรทาย ไม่ควรทายท่านมี “จรรยาบรรณ”

บางทีกว่าจะทายได้สักราย ท่านคำนวณแล้วคำนวณอีกถึงสองสามวันก็มี ไม่แน่ใจท่านก็ไม่ทาย

มีเรื่องเล่าว่า หนุ่มสาวคู่หนึ่งจูงมือมาให้หลวงพ่อกำหนดวันแต่งงานให้ ท่านดูๆ แล้ว บอกว่าท่านไม่สามารถให้ฤกษ์ได้ ขอให้ไปหาสมเด็จฯ วัดสระเกศ สองคนก็ไปหาสมเด็จฯ และก็ได้ฤกษ์ไป มีผู้ถามสมเด็จฯ ภายหลังว่า ทำไมเจ้าคุณอิ๋นไม่ให้ฤกษ์ สมเด็จฯ บอกว่า “เจ้าคุณท่านดูแล้วสองคนนี้จะอยู่ด้วยกันไม่ตลอด แต่อาตมาถือว่า เขาเป็นคู่กันต้องได้แต่งงานกัน ส่วนต่อไปนั้นจะเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงให้ฤกษ์แต่งไป”

ถูกทั้งสองรูป รูปหนึ่งมองว่าถ้าจะแต่งงานกันก็ควรไปได้ตลอด อีกรูปหนึ่งมองว่า ดวงมันเป็นคู่กันก็ต้องได้แต่งงานกัน ส่วนจากนั้นไป จะอยู่ด้วยกันยืดหรือไม่ เป็นเรื่องของทั้งสองคน แล้วแต่จะมอง

เมื่อผมสอบเปรียญเก้าประโยคได้แล้ว หลวงพ่อพยายามชักจูงให้ผมเรียนโหราศาสตร์ ผมก็ยืนยันว่า ไม่อยากเป็น “หมอดู” หลวงพ่อบอกว่า โหร มิใช่หมอดู เราศึกษาโหราศาสตร์ให้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาชีวิต ไม่จำเป็นต้องพยากรณ์ใคร คล้ายจะบอกว่า โหราศาสตร์กับพยากรณ์ศาสตร์แยกกันได้

แต่ผมก็เห็นโหรส่วนมากท่านก็พยากรณ์ทั้งนั้น

ผมแย้งว่าพระพุทธเจ้าท่านตำหนิเป็น “ติรัจฉานวิชชา” มิใช่หรือ ท่านตอบว่า ถ้าเอาคำจำกัดความว่า ติรัจฉานวิชชาคือ วิชชาที่ขวางต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน เณรเรียนนักธรรมบาลีก็เข้าเกณฑ์นี้ทั้งนั้น

ผมจำนนท่าน แต่ผมก็ไม่ยอมเรียนอยู่ดี ไม่งั้นป่านนี้เป็นหมอดูแม่นๆ ไปแล้ว

หลวงพ่อเล่าว่า ปราชญ์โบราณท่านเรียนโหราศาสตร์ทั้งนั้น สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชการที่สี่ สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นต้น ก็ทรงเชี่ยวชาญโหราศาสตร์ทั้งนั้น แต่ก็ไม่เห็นท่านใช้โหราศาสตร์พยากรณ์ใครเป็นอาชีพ แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่ต่างๆ ให้ผมฟังแล้วก็ตื่นเต้นด้วยความดีใจที่ได้รับรู้เรื่องราวเก่าๆ ชนิดจะไปหาอ่านที่ไหนไม่ได้

ก่อนทรงศึกษาโหราศาสตร์นั้น พระวิชรญาณ (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่สี่) ทรงได้รับพยากรณ์จากหลวงตาเฒ่ารูปหนึ่งดูเหมือนชื่อ ทอง แห่งวัดตะเคียนว่า จะได้ราชสมบัติแน่นอน รับสั่งว่าให้เป็นจริงเถอะ จะสมนาคุณอย่างงามเลย แล้วในที่สุดก็ทรงได้ขึ้นครองราชย์จริงๆ ทรงรำลึกถึงหลวงตาเฒ่าวัดตะเคียนขึ้นมา ตั้งพระทัยจะไปนมัสการ ก็ทรงทราบว่า หลวงตาเฒ่ามรณภาพไปนานแล้ว จึงทรงปฏิสังขรณ์เป็นการบูชาคุณหลวงตาเฒ่าแล้วพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดมหาพฤฒาราม (แปลว่า วัดที่สร้างถวายพระผู้เฒ่า)

เมื่อทรงเชี่ยวชาญในโหราศาสตร์แล้ว ก็มิได้ทรงใช้วิชาโหราศาสตร์ทำนายทายทักอะไร นอกจากทรงวิพากษ์วิจารณ์ดวงพระชาตาของพระราชโอรสบางองค์ ดังทรงวิจารณ์ดวงพระชาตากรมหมื่นพิชิตปรีชากร ที่โหรทั้งหลายว่าเป็นดวงแตก เอาดีไม่ได้ ว่าถ้าถอดดวงให้ละเอียดแล้ว กลับเป็นดวงดีอย่างยิ่งเป็นต้น

และทรงสามารถใช้โหราศาสตร์แก้เคล็ดได้อีกด้วย ดังทรงเห็นว่าดวงพระชาตาพระอนุชาธิราชแข็งมาก จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เมื่อถูกอัญเชิญลาสิกขาเพื่อไปครองราชย์ พระองค์จึงทรงสถาปนาพระอนุชาธิราชให้เป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งพระนามว่า พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่ากันว่าทรงแก้เคล็ดทางโหราศาสตร์

สองสามวันมานี้มีข่าวโหร หรือหมอดูแม่นชื่อ หมอดูอีที (ขอประทานโทษถ้าฟังมาผิด) เป็นชาวพม่า ทำนายดวงนักการเมืองดังๆ มามาก หลายท่านก็ว่าทำนายได้แม่นยำ

อย่างป๋าเหนาะท่านว่า ท่านเองก็เคยให้หมอดูอีทีทำนาย แม่นมาก “ขนาดเงินกระเป๋าผม ยังทายได้เลยว่า มีใบพัน ใบห้าร้อย ใบร้อยกี่ใบๆ และแต่ละใบเลขอะไร” แล้วท่านเล่าต่อ หมอเขาก็เตือนว่า

ระวังจะถูกหลักหลัง ดวงทำบุญคนไม่ขึ้น หมอยังบอกว่าใครควรคบไม่ควรคบ ถึงตรงนี้เสียงนักข่าวแทรกขึ้นว่า “แล้วหมอบอกหรือเปล่าว่าคนหน้าเหลี่ยมไม่ให้คบ” ป๋าท่านก็บอกว่าไม่เอาแล้วๆ อย่าถามมาก อะไรประมาณนั้น

หมอดูที่ทายแม่นยังกับตาเห็น มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ส่วนมากทายอดีตและปัจจุบันค่อนข้างแม่น แต่ทายอนาคตไม่ค่อยแม่น นานๆ จะทายอนาคตค่อนแม่นยำ ดังกรณีซินแสมองหน้าพระหนุ่มสองรูปกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ แล้วก็หัวเราะชอบใจ พระหนุ่มสองรูปถามว่า หัวเราะอะไร ซินแสตอบว่า

“ลื้อสองคงนี้จะได้เป็นพระเจ้าแผ่งลิง (แผ่นดิน)” แล้วก็หัวเราะเห็นฟันเหลือง

คราวนี้ พระคุณเจ้าทั้งสองรูปหัวเราะบ้าง ดังกว่าเสียงของซินแส ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้อย่างไร สองคนเป็นพระเจ้าแผ่นดินพร้อมกัน ! ถ้าซินแสแกมีอายุยืนยาวจนได้เห็นว่าอดีตพระหนุ่มสองรูปนั้นได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจริง คือ พระสินได้เป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระทองด้วงได้เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

แกก็คงหัวร่อชอบใจที่แกพยากรณ์แม่นจริงๆ

ทำไมการพยากรณ์อดีตจึงแม่น พยากรณ์อนาคตไม่แม่น

ตอบง่ายนิดเดียว เพราะชีวิตคนมิได้ขึ้นอยู่กับโหราศาสตร์เป็นเงื่อนไขอย่างเดียว มันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขปัจจัยอีกมากมาย อดีตนั้น “นิ่ง” แล้ว ไม่มีเงื่อนไขอะไรมาผลักดันให้เป็นอื่นได้ เพราะฉะนั้น การทำนายทายทักจึงมักจะตรง แต่ปัจจุบันและอนาคต มันยังเคลื่อนไหวเพราะเหตุปัจจัยอีกหลายอย่าง ยังไม่นิ่ง

เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือ “กรรม” (การกระทำ) ของคนๆ นั้นเอง เขาทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดีคละกันไป สิ่งเหล่านี้แหละมีแนวโน้มจะให้ผลในอนาคต ไม่ว่าดีหรือไม่ดี

พูดอีกนัยหนึ่ง เราเป็นผู้กำหนดอนาคตเราเอง ถ้าต้องการให้ชีวิตเป็นไปอย่างใด ก็ต้องสร้างเงื่อนไขที่ดีๆ ไว้ให้มาก แล้วอนาคตจะไปดีเอง ตรงข้ามถ้าสร้างแต่เงื่อนไขไม่ดี อนาคตก็เป็นไปตามนั้น

ลองฟังนิทานชาดกนี้ดู พระราชาสองเมืองทำสงครามกัน ผัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ถึงฤดูฝนก็หยุดพักสิ้นฤดูฝนก็รบใหม่ เป็นอย่างนี้มานาน จนมีคนไปถามฤๅษีว่า พระราชาองค์ไหนจะชนะ ฤๅษีก็ไปถามพระอินทร์อีกต่อ พระอินทร์บอกว่าพระราชาเมือง ก. จะชนะ เมือง ข. จะพ่ายแพ้ ข่าวนี้ก็ไปเข้าพระกรรณของพระราชาทั้งสององค์ที่ได้รับคำทำนายว่าจะชนะ ก็ดีใจ ประมาท เลี้ยงฉลองกันมโหฬารตั้งแต่ยังไม่รบ ไม่ฝึกปรือกองทัพให้พร้อม สบายใจว่าจะชนะแน่ ส่วนพระราชาที่หมอทำนายว่าจะแพ้ ก็ไม่ยอมถอดใจ ตั้งหน้าตั้งตาฝึกปรือกองทัพอย่างเข้มงวด วางแผนรุกแผนรับไว้อย่างพร้อมสรรพ

เมื่อถึงคราวรบจริง เรื่องก็กลับตาลปัตร ฝ่ายที่ว่าจะชนะ ก็ถูกตีกระจุย ฝ่ายที่ว่าจะแพ้ ก็กำชัยชนะไว้ได้ พระราชาองค์ที่ฤๅษีว่าจะชนะ จึงไปต่อว่าฤๅษีหาว่าทำนายส่งเดช ฤๅษีก็หน้าแตกไปตามระเบียบ จึงไปต่อว่าพระอินทร์หาว่าทายซี้ซั้ว ทำให้แกผู้นำคำทำนายไปเผยแพร่เสียหน้า พระอินทร์กล่าวว่า

“ไม่ผิดดอก ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน พระราชา ก. จะชนะแน่นอน แต่บังเอิญว่ามีเงื่อนไขใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องคือ ความพากเพียรพยายามฝึกฝนฝึกปรือกองทัพของพระราชาเมือง ข. การณ์จึงกลายเป็นตรงกันข้าม”

แล้วพระอินทร์จึงกล่าวปรัชญาว่า

“คนที่พยายามจนถึงที่สุดแล้ว แม้เทวดาก็กีดกันไม่ได้”

อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของเหลียวฝาน ที่มิสโจ แปลไว้ในหนังสือ โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน ที่พิมพ์เผยแพร่มาหลายครั้งแล้ว

เหลี่ยวฝานเดิมชื่อเสวียห่าย ได้พบผู้เฒ่าข่ง ผู้เฒ่าทำนายว่าจะได้เป็นขุนนาง ปีไหนจะเป็นอย่างไรบอกไว้หมด และว่าท่านเหลี่ยวฝานจะไม่มีบุตร และจะตายเมื่ออายุได้ 50 ปี

คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่า แม่นยำมาตลอด จนท่านคิดว่าชะตาชีวิตคนเราถูกฟ้าดินกำหนดมาแล้ว ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เลยไม่คิดที่จะขวนขวายพยายามต่อไป ปล่อยให้เป็นไปตามฟ้าลิขิต ต่อมาท่านได้พบ พระเถระนาม ฮวิ๋นกุ ท่านได้สอนว่า ชะตาชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน อนาคตเราต้องสร้างเอง คนทำดีชะตาก็ดี ทำชั่วชะตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดี ต้องทำดี ถ้าประกอบแต่ความไม่ดี แม้ชีวิตดีมาแล้วก็กลายเป็นร้ายได้

เหลี่ยวฝานได้เล่าคำทำนายของท่านผู้เฒ่าให้พระเถระฟัง ว่าที่ท่านทำนายไว้ถูกต้องแม่นยำมาตลอด ยังเหลือแต่สองข้อสุดท้าย คือจะไม่มีบุตร และสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 50

พระเถระกล่าวว่า ให้ตั้งปณิธานว่าจะทำดีให้มาก สั่งสมบารมีให้มาก ไม่ยอมตนอยู่ในอิทธิพลของคำพยากรณ์ต่อไป บุญกุศลใดที่ทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ แม้กระทำครั้งเดียว ก็เท่ากับกระทำหมื่นครั้งทีเดียว

ท่านก็เชื่อพระเถระ ตั้งหน้าทำแต่ความดีงาม สำรวจความดีความชั่วของตนเองว่า วันหนึ่งๆ ทำความชั่วอะไรบ้าง ความดีอะไรบ้าง แล้วพยายามลบความชั่วด้วยความดีเรื่อยๆ จนมีความดีเพิ่มมากขึ้น แล้วท่านก็ชนะชะตาชีวิต คือได้บุตรชายคนหนึ่ง เมื่อถึงอายุ 50 ปี ก็มิได้ตายดังคำทำนายของผู้เฒ่าข่ง อยู่มาถึงอายุ 69 ปี

ท่านจึงแน่ใจว่า คนเราถ้าไม่ขวนขวายพยายาม ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฟ้าดิน แต่กรรมเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดอย่างแท้จริง นั่นคือเราต้องสร้างอนาคตของเราเอง คนที่พยายามพึ่งตัวเองด้วยการกระทำแต่ความดีถึงที่สุดแล้ว ย่อมอยู่เหนือโชคชะตา ถ้าใครคิดว่าชีวิตถูกลิขิตมาอย่างใดก็ย่อมเป็นอย่างนั้น แก้ไขไม่ได้เลย ผู้นั้นถึงจะเป็นคนคงแก่เรียนเพียงใด ก็นับว่าโง่อยู่นั้นเอง

ขอบคุณที่มา... โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
       

109





การสักลวดลายบนผิวหนังที่เรียกว่าสักลายหรือสักยันต์เป็นวัฒธรรมอย่างหนึ่งของไทยที่มีมาช้านานในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยถานพ.ศ.๒๕๒๕เขียนว่า"สัก" คือการเอาเหล็กแหลมแทงลงด้วยวิธีการหรือเพื่อประโยชน์ต่างๆกันใช้เหล็กแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันงาผสมว่าน๑๐๘ชนิดเป็นต้นแทงที่ผิวหนังให้เป็นอักขระเครื่องหมายหรือลวดลายถ้าใช้หมึกเรียกว่าสักหมึกถ้าใช้น้ำมันเรียกว่าสักน้ำมัน

ส่วนเหตุผลที่การสักยังคงมีอยู่คือหลายคนยังเชื่อว่าการสักจะทำให้มีโชคและอยู่ยงคงกระพันพ้นอันตรายรูปแบบของการสักแต่ละชนิดจะมีความขลังที่แตกต่างกันลายสักหรือยันต์บางชนิดสามารถช่วยผู้ที่สักให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ยุ่งยากได้สัญลักษณ์บางอย่างของลายสักสามารถทำให้ผิวหนังเหนียวได้ศัตรูยิงไม่ออกฟันไม่เข้าเชื่อว่าการสักจะช่วยให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้ด้วย

นอกจากนี้การสักทางไสยศาสตร์ยังเชื่อมโยงกับการระวังอันตรายและความปลอดภัยทำให้แคล้วคลาดต่ออันตรายต่างๆศิลปะพื้นบ้านประเภทนี้อาจจะกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่นเกิดความมั่นใจ

วิธีหรือประเภทของการสักยันต์นั้นเป็นที่ทราบกันดีในหมู่คนนิยมชมชอบการสักยันต์ว่าการสักยันต์ลงอักขระเลขยันต์มีอยู่๒อย่างคือ

๑.การสักหมึกนิยมใช้หมึกจีนมาฝนกับน้ำพระพุทธมนต์สมัยก่อนนิยมหาดีเสือ, ดีหมี, ดีงูเห่าเป็นส่วนผสมและ๒.การสักน้ำมันส่วนมากจะใช้น้ำมันจันทน์หอมแช่ว่านหรือน้ำมันงาขาวบางสำนักจะผสมน้ำมันช้างตกมันน้ำมันเสือโคร่ง

การสักน้ำมันคนสมัยนี้นิยมกันมากเพราะเป็นการสักยันต์โดยร่างกายไม่มีลวดลายให้เห็น

ทั้งนี้การสักหมึกและสักน้ำมันมีขั้นตอนการลงเข็มสักยันต์เหมือนกันคืออาจารย์ผู้สักจะให้ลูกศิษย์กดผิวหนังที่จะสักให้ตึงแล้วใช้เข็มสักแทงตามรูปแบบพิมพ์นั้นปากก็บริกรรมคาถาไปตลอดเวลาที่สักเป็นการส่งกระแสถ่ายทอดพระเวทลงไปในรูปยันต์นั้นระยะเวลาสักยันต์แล้วแต่รูปยันต์ที่สัก


อย่างไรก็ตามการสักยันต์ด้วยน้ำมันนั้นยังมีอีกวิธีหนึ่งคือการทาน้ำมันลงบนผิวหนังจากนั้นจะใช้เหล็กจารเขียนยันต์ลงไปเลยซึ่งปัจุบันนี้ไม่พบให้เห็นมากหนัก

อย่างเช่นการลงยันต์น้ำมันของพระครูชัยวงศ์วุฒิคุณหรือหลวงพ่อวงศ์ เจ้าคณะอำเภอพุนพิน และเจ้าอาวาสวัดประชาวงศาราม ต.กรูด อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี

ปีหนึ่งๆหลวงพ่อวงศ์จะลงยันต์น้ำมันให้เพียงครั้งเดียววันเดียวเฉพาะวันไหว้ครูซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีแรกของเดือน๖ไทยในปี๒๕๕๒นี้ตรงกับวันที่๓๐เมษายนขึ้น๗ค่ำเดือน๖โดยเริ่มไหว้ครูก่อนเวลาประมาณ๐๗.๑๙น. ส่วนใหญ่ฤกษ์ลงยันต์จะไม่เกินบ่ายโมง

หากใครพลาดโอกาสต้องรอปีถัดไปการสักยันต์ของหลวงพ่อวงศ์จะไม่มีลูกศิษย์คอยเขียนยันต์ให้ก่อนแล้วไปให้ท่านเป่าทีหลังเหมือนสำนักอื่นๆที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือลูกศิษย์ที่ลงยันต์จะเลือกหรือขอให้หลวงพ่อวงศ์ลงยันต์ตัวหนึ่งตัวใดไม่ได้



พิธีกรรมลงยันต์ในวันไหว้ครูนั้นหลวงพ่อวงศ์เริ่มจุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัยบูชาครูบาอาจารย์และทวยเทพเทวาจากนั้นท่านจะอ่านโองการบวงสรวงและกล่าวนำบูชาครูตามตำราของท่านให้พวกเรากล่าวตามอยู่นานพอสมควร
เสร็จพิธีบูชาครูแล้วท่านจะเตรียมโถแก้วใบหนึ่งภายในบรรจุน้ำมันมนต์ที่มีหัวว่านมงคลด้านคงกระพันสารพัดชนิดแช่อยู่เต็มโถออกมาตั้งพร้อมบริกรรมพระคาถา

น้ำมันมนต์โถนี้ท่านทำไว้หลายปีแล้วเพื่อนำมาลงยันต์สักน้ำมันบนแผ่นหลังให้กับศิษย์ที่ต้องการเสร็จจากการบริกรรมพระคาถาในโถน้ำมันท่านจะหันมาบอกว่า“เอ้า...ใครจะลงก็เข้ามา"

หลังจากจะใช้น้ำว่านลูบบนแผ่นหลังท่านจะใช้เหล็กจารเขียนยันต์ให้ส่วนจะเป็นยันต์ตัวใดนั้นท่านดูให้เองว่าคนไหนควรลงยันต์อะไร




เท่าที่ทราบท่านจะลงยันต์หัวใจต่างๆเช่น๑.พระเจ้า๕พระองค์(นะโมพุทธายะ) ๒.ยันต์มหาลาภประกอบด้วยยันต์หัวใจพระสิวลียันต์หัวใจมนุษย์ยันต์หัวใจพระฉิม๓.ยันต์หัวใจอิติปิโสยันต์หัวใจพระนิพพาน(อะระหัง) ๔.หัวใจยอดศีลคือพุทธะสังมิ๕.หัวใจสัตตะโพชฌงค์คือสะธะวิปิปะสะอุ๖.หัวใจพระรัตนตรัยคืออิสะวาสุ๗. หัวใจพาหุงคือพามานาอุกะสะนะทุ๘.หัวใจพระพุทธเจ้าคืออิกะวิติ๙.หัวใจแม่พระธรณีคือเมกะมุอุและ๑๐.คาถาแคล้วคลาดป้องกันอันตรายต่างๆปราศจากศัตรูเป็นต้น

ส่วนค่าขันบูชาครูนั้นไม่มีและไม่ต้องใช้เครื่องบูชาครูเหมือนสำนักอื่นๆสุดแล้วแต่ใครจะศรัทธาทำบุญ

สำหรับข้อปฏิบัติและข้อห้ามของคนลงยันต์ไปแล้วนั้นนอกจากต้องถือศีล๕แล้วข้อห้ามอย่างหนึ่งคือห้ามกินมะเฟืองเพราะจะไปล้างว่านและคาถา
สำหรับชาติภูมิของหลวงพ่อวงศ์ท่านเกิด เมื่อวันที่๖มีนาคม ๒๔๗๒ที่ต.บางมะเดื่ออ.พุนพินจ.สุราษฎร์ธานี ชื่อเดิมวงศ์ตาลประสิทธิ์เ ป็นบุตรนายเขียนนางบุญมาก



อุปสมบท เมื่อวันที่๒๐มิถุนายน ๒๔๙๙เมื่ออายุ๒๖ปีที่วัดทองนพคุณ กทม. มีหลวงพ่อพระสังวรวิมลเป็นพระอุปัชฌาย์เจ้าคุณหลวงพ่อภัทรมุณีเป็นพระกรรมวาจาจารย์หลวงพ่อพระกิตติสารโสภณเป็นพระอนุสาวนาจารย์

หลังจากบวชได้๒พรรษาท่านได้เริ่มออกธุดงค์เมื่อวันที่๖มีนาคม๒๕๐๑ก่อนออกธุดงค์ท่านได้ไปกราบพระประธานในอุโบสถพร้อมอธิษฐานต่อหน้าพระในใจว่า“ขอมอบกายถวายชีวิตนี้ให้แก่ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์จะขอยึดเอาเพศบรรพชิตไปตลอดชีวิตจะไม่สิกขาลาเพศออกไปครองเรือนตลอดชีวิต”

ทั้งนี้หลวงพ่อวงศ์ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือประมาณ๗-๘ปีพบอาจารย์ทั้งที่เป็นพระเกจิและฆราวาสจอมขมังเวทหลายท่าน

ในจำนวนนี้มีอยู่ท่านหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฆราวาสจอมขมังเวทแห่งปากน้ำโพคือปู่โทนรำแพนซึ่งมีชื่อเสียงในการเสกกระดาษเป็นธนบัตร

โดยท่านได้ขอให้ปู่โทนเสกกระดาษให้ดูเพื่อให้เห็นด้วยตาจริงๆจากนั้นท่านก็ฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชากับปู่โทน

นอกจากนี้ยังเรียนวิชากับจากพระอาจารย์ชาวเขมรอีกหลายรูป...



ขอบคุณที่มา: คมชัดลึก
__________________

110
เข้าป่า โบราณว่า เห็นอะไร อย่าทัก

เรื่องมีอยู่ว่า ต้น รวมตัวกับเพื่อน ๆ ได้กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 10 คน แล้วนั่งคุยกันว่า เดี๋ยวหลังเสร็จงานจัดโปรแกรม ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน พองานเสร็จ ทุกอย่างลงตัว ก็เลยมานั่งคุยกันว่า ไปไหนดี เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ไปดอยอินทนนท์มั้ย แต่อีกคนบอกว่าฝนตก ไม่สนุกหรอกเข้าป่า พอคุยกันไปคุยกันมา ไม่ได้ข้อสรุป ต้นเลยบอก เอาตามที่เอ็งบอกนั้นละ ดอยอินทนนท์ นั้นละ

พอได้ข้อสรุป ก็แยกย้ายไปเก็บข้าวของ ก็ขับรถไป พอไปถึงที่ ดอยอินทนนท์ จอดรถเสร็จ ทุกคนหยิบกระเป๋าของตัวเอง แล้วเพื่อนผม จังหวะว่า พาแฟนไปเปลี่ยน บรรยากาศ พอเราเดินไปได้สักพัก ( นี้คือเดินอยู่ในป่าแล้วนะครับ ) แฟนเพื่อนผม ไปเจอสิ่งที่แบบว่า คล้าย ๆ กับ แก้วน้ำอะไรสักอย่างเนี่ยละ เลยเดินไปจับ แล้วหยิบมาดู ก็ไม่มีอะไร พอหันไปตันไม้ต้นอื่น ก็มีสิ่งแบบเดียวกันอีก เลยหันมาบอกว่า รีบไปเถอะวะ มันจะมืดละ รีบเดินไปให้ถึงจุดกางเต้นกันเถอะ

พอเดินไปได้สักระยะหนึ่ง แฟนเพื่อนผมก็บอกว่า อ้าวเฮ้ย พวกเอ็งเห็นอะไรนั้นปะหายเข้าไปแล้วอะ บนต้นไม้ ทุกคนบอก เฮ้ย เข้าป่าเห็นอะไร อย่าทัก สิ่งดีก็มี ไม่ดีก็มี รีบไปเถอะ มันโพ้เพ้แล้ว จากนั้นก็ เดินไปแล้วก็เที่ยวตามปกติ แต่เรื่องมันมาเกิดตอนที่เดินทางกลับ


แฟนเพื่อนผมพูดขึ้นว่า ขอไปด้วยได้มั้ย เพื่อนผมเลยบอกว่า อ้าวไอ้... แฟนเอ็งเป็นไรว่า อยู่ ๆ บอกว่า ไปด้วยได้มั้ย เพื่อนผมเลยบอกว่า มาด้วยกันก็กลับด้วยกันดิ หรือว่าเอ็งจะอยู่เที่ยวกันต่อ 2 คน ผมได้ยินเสียงที่ตอบมาแบบช้าๆ ว่า ขอบคุณ
ทุกคนหันมองหน้าแล้วเดินต่อ ต้นคิดในใจแล้วว่า มันต้องมีอะไรแน่เลย เพราะว่าทำไมตามัน ขวาง ๆ แปลก ๆ เหมือนไม่ใช่แฟนเพื่อนผม ที่ต้นรู้จัก พอกลับมาถึง กทม. ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เอาของไปเก็บ แล้วเดียวมาเจอ บ้านต้น นั่งกินสุรา กัน เพื่อนผมคนนั้นมันก็พาแฟนมันมานั่งด้วย แล้วต้นจำได้ติดตาเลยว่า ในวงมีไก้ต้มน้ำปลา กับ หอยแครงอยู่

แฟนเพื่อนผมบอก หิวข้าวจัง ต้นเลยบอกว่า เฮ้ยเอ็ง...ไปตักข้าวมาให้แฟนเอ็งกินดิพอตักมาให้ก็ไม่กิน กินเข้าไปไม่ถึง 2 คำ แล้วบอกอิ่ม สุราหมดไป 1 กลม บางคนก็เดินไปเข้าห้องน้ำ บางคนออกไปคุยโทรศัพท์ ส่วนเพื่อนผม อีก 2 คนออกไปซื้อมาต่อ

ในวงไม่เหลือใคร นอกจาก แฟนเพื่อนต้น ทีแรกต้นก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็นั่งคิดว่าแฟนเพื่อนต้น ปกติมัน เฮฮ่า นิหว่าทำไมวันนี้มันเงียบผิดปกติว่ะ

แล้วเพื่อนผมอีกคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ก็เรียกต้นว่า เฮ้ยมาดูไรนี่ดิ เห็นเต็ม ๆ 2 ตาเลย ไก่ที่วางอยู่ แฟนเพื่อนผมกินแบบ ใส่มือฉีก... กระชาก... ก็ไม่น่าแปลกอะ แค่กินไก่อาจจะกินไม่ถนัด แต่ที่แปลกคือ แฟนเพื่อนผมคนนี้ มันสำอางค์มาก ไม่มีทางที่จะทำแบบพวกต้นแน่ กินหมด เสร็จจะพูดยังไง เอาเป็นกินแบบมูม..มาม อะ

ก็ยังไม่สนใจอะไร แค่ดูแล้วมันแปลก ๆ ไป เท่าไรยังไม่ได้คิดไรมาก พอมา 2 วัน เพื่อนโทรมาบอกว่า แฟนมันชอบให้ซื้อของ สด ๆ ดิบ ๆ มาให้ บอกว่าจะเอาไว้ทำกับข้าว แต่พอเช้า ของที่ซื้อมาหายหมด ทุกคนเลยบอกว่า ผิดปกติแล้วละ

เลยรวมตัวกันแล้วบอกเพื่อนคนนั้นว่า วันนี้ไปซื้อมาอีกนะ แล้วมาแอบดูกันว่า มันเกิดอะไรขึ้น ผลที่ได้คือ แฟนมันลุกขึ้นมากลางดึก มาหยิบของพวกนั้นกินแบบ ไม่ใช่คนอย่าเรา ๆ กินอะครับ ที่เห็นอะ ต้นเลยบอกว่า ไม่ใช่แล้วอะ เลยบอก ลองเอาพระให้ใส่ พอให้พระใส่ ก็ปกติดีทุกอย่า พูดจารู้เรื่อง

ต้นก็ งง ว่าถ้าผีเข้าหรืออะไรยังไง เจอพระก็ต้อง ออกหมด แต่นี้ปกติ เลยบอกว่างั้นพาไปที่ ตำหนักอาจารย์ของต้นแล้วกัน ไม่ขอบอกนะครับว่าที่ไหน พอไปถึงที่ ตำหนัก อาจารย์เลยถามว่า ไปโดนอะไรมา ก็เลยลอง ๆ เล่าให้ฟังว่า หน้าจะเป็นแบบนี้นะ

อาจารย์ของต้นเลยบอกว่า แฟนเพื่อนเอ็ง โดนของดีแล้วละ สรุปง่าย ๆ เลยคือ ปอบผีฟ้า ที่เราเคยได้ยินชื่อหรือที่ชมกันตามทีวี นั้นละ ต้นยังบอกเลยว่า ปอบผีฟ้า ยังมีอยู่อีกเหรอ อาจารย์... อาจารย์บอกว่ามีเยอะ ทางเหนือ พวกนี้จะอยู่ตามต้นไม้ ต้นเลยนึกขึ้นได้ ที่มันทักที่มันหยิบมา เลยเล่าให้เค้าฟังว่าแบบนี้ ๆ

แล้วก็บอกว่า ต้นเอาพระให้ใส่ก็ปกติดีนะ อาจารย์เลยบอกว่า พวกนี้ เป็นชนิดที่ว่าเก่งแล้ว แล้วที่เพื่อนเอ็งไปเจอเนี่ย ที่วาง ๆ ไว้ตามต้นไม้เนี่ย คือพวกที่แบบว่า ชนิดที่ว่า คนเลี้ยงเอาไม่อยู่แล้ว หรือที่เรียกว่า ขันแตก ประมาณนั้น

จากนั้น อาจารย์เลยบอกว่า ปิดหน้าต่าง ปิดประตูให้หมด แล้วจับแฟนเพื่อนผมให้ดี อาจารย์ก็ทำการ เรียกขวัญ แล้วก็เอาน้ำมนต์ ทำเหมือนในหนังเลย แล้วพอผีนั้นออกจากร่าง อาจารย์บอกว่า ทำใจได้เลย ไม่เกิน 3 วัน เสียชีวิต เพื่อนผมเลยบอกว่า ทำไมเหรอครับ ออกไปแล้วทำไมแฟนผมต้องตาย แล้วอาจารย์ของต้นเลยบอกว่า ผีนั้นมาสิงกินข้างในไปหมดแล้ว ที่แฟนเอ็งอยู่ได้ เพราะว่า ผีปอบตนนี้ พอผีออกไป แฟนเอ็งก็เหมิอนร่างที่ไร้วิญญาญแล้วละ

แล้วต้นเลยถามว่า ไม่มีวิธีช่วยเลยเหรอครับ อาจารย์บอกว่า ไม่มีแล้วละ ทำใจซะเถอะ เกิดก็ต้องมีจาก มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องชดใช้กรรมทั้งนั้นละ เพื่อนผมเลยกอดแฟนมันแล้วร้องไห้แบบเด็กๆเลย ผมยังมานั่งคิดเลยว่าถ้าเกิดขึ้นกับครอบครัวผมหรือคนรู้จัก เราจะทำอย่างไงดี จากนั้นไปได้ ประมาณ 4 วัน แฟนเพื่อนผมก็เสียชีวิตลง ร.พ.ศิริราช ตรวจแล้วหมอลงในใบมรณะบัตรว่า เครื่องในและอวัยวะหยุดทำงานเฉียบพัน

ขอแสดงความเสียใจกับ กับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยครับ...


ขอบคุณเพื่อน...FW : MAIL

111



ภาพอัศจรรย์
รอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์ บ้านภูพานทอง อ.ภูพาน จ.สกลนคร

ถ่ายภาพออกมาได้ภาพรอยพระพุทธบาทเป็นสีทองพร้อมมีเล็บที่นิ้วรอยพระพุทธบาทครบถ้วนและชัดเจน

จากภาพทั้งสองภาพนี้ถ่ายจากรอยพระพุทธบาทรอยเดียวกันปรากฏภาพบนฟิลม์แต่มีลักษณะแตกต่างกัน

ภาพรอยพระพุทธบาทน้ำทิพย์นี้ ถ่ายโดย หลวงปู่แฟ๊บ สุภทฺโท วัดป่าดงหวาย อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร

ถ่ายเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฏาคม ๒๕๔๐

รู้สึกว่าแปลกดี...จึงนำมาให้ชมกัน...


ขอบคุณที่มาจาก...เว็บพลังจิต.คอม


112



ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า มี 4-5 หลังคาเรือน ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วยความดีใจ เพราะนาน ๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที
ชาวบ้านถามว่า พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน หลวงปู่บอกว่าจะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร)
ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ พร้อมทั้งทัดทานว่าอย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่ คอยทำร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น

หลวงปู่ทั้งสอง กล่าวขอบใจในความหวังดี และบอกว่าท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว
หลวงปู่ออกเดินทางโดยข้ามลำน้ำสองแห่ง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าแถบนั้นเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ เลย แม้แต่นกก็ไม่มี ดูผิดประหลาดมาก

พอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสอง ก็มาถึงยอดเขาสูงที่มีลักษณะประหลาดมาก คือยอดเป็นสีดำคล้ายถูกไฟเผา รูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำคล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง แปลกไปจากเขาลูกอื่นๆ

หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลำธารที่มีน้ำใสไหลผ่านอยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลดห่างกันประมาณ 10 เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่นแล้วต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน ทั้งสององค์ตระหนักในความประหลาดของสถานที่นั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแค่นั่งสงบอยู่ภายในกลด

ประมาณ 5 ทุ่ม หลวงปู่แหวน ก็ออกจากกลดเตรียมจะเดินจงกรม หลวงปู่ตื้อ ออกมาตามและพูดว่า "ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ"
หลวงปู่แหวน ตอบ "ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน"
พูดกันแค่นี้แล้วต่างองค์ต่างก็เดินจงกรมในทางของตน
ต่อจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็นดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึกเสียวลงไปถึงรากฟันทีเดียว

หลวงปู่ตื้อ ถามพอได้ยินว่า "ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม"
หลวงปู่แหวน ตอบด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า "ผมกำลังฟังอยู่"
เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามาทุกที ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งสององค์คงเดินจงกรมอยู่เงียบๆ ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ป่านั้นเงียบสงัดจริงๆ เสียงนกเสียงแมลงก็ไม่มี ครั้นแล้วเกิดพายุปั่นป่วนมาอย่างกระทันหัน ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรงราวกับจะถอนรากออกมา อากาศพลันหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที
พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง ตัวดำมะเมื่อม สูงราว 7 ศอก มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน มันก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองประมาณ 10 เมตรเห็นจะได้

สัตว์ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น พลันพายุนั้นก็สงบลง แสดงว่ามันมีอำนาจเหนือธรรมชาติ
สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงร้ายกาจเหมือนกลิ่นศพที่กำลังขึ้นอืด มันกระทืบเท้าสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน

หลวงปู่แหวน เล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กำหนดสติไม่ให้ใจคอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น
สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้ ทำท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน

หลวงปู่ตื้อ พูดพอได้ยินว่า "ท่านแหวนทำดีมาก" พร้อมทั้งเดินมาสมทบ แล้วพูดว่า "เขาแบกหามบาปหาบทุกข์อันมหันต์ เขามาหาเรา เพื่อให้ช่วยปลดทุกข์ให้เขานะ เขาสร้างกรรมไว้มาก เมื่อตายจากมนุษย์แล้วต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่"
หลวงปู่แหวน ได้กำหนดจิตถามดูก็ได้ความว่า สมัยเป็นมนุษย์เขามีการกระทำที่มากล้นด้วยตัณหา และความโลภ คือละเมิดศีลข้อ 2 และข้อ 3 อยู่เสมอ จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย รับทุกข์อยู่ที่นั่นมากว่าร้อยปีแล้ว

ปีศาจอสุรกายนั้นดูท่าทางอ่อนลงมาก มันร้องไห้คร่ำครวญน่าสงสาร ขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสองให้เขาได้พ้นทุกข์ทรมานนั้นด้วยเถิด
หลวงปู่แหวน ได้พิจารณาเห็นว่า เขาสร้างกรรมซับซ้อนเหลือเกินใครจะช่วยเขาได้ พลันหลวงปู่ตื้อตอบมาในสมาธิว่า "กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ก็จริง บางทีพระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมีเช่นท่านแหวน ก็อาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ ลองอ่านพระคาถา หรือเทศนาธรรมให้เขาฟังดูสิ"
หลวงปู่แหวนได้กำหนดจิตว่าพระคาถา แล้วเทศนาให้เขาสำนึกบาปบุญคุณโทษ เขาค่อยๆ คลายความกังวลลง ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง
"พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตพิจารณาตามกระแสธรรมของท่านแล้ว เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรม คือ ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นทุกข์เป็นธรรมดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้วพระคุณเจ้า"
สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้น ก้มลงกราบหลวงปู่ทั้งสององค์ แล้วร่างนั้นก็หายไป...

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ "หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ" วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม3)

113

 


"สมัยหลวงปู่ดูลย์ยังคงแข็งแรง (คิดว่าประมาณอายุสัก 50-60 ปี) หลวงปู่ได้พาพระหนุ่มๆ สองรูปออกเดินธุดงค์ ในการเดินธุดงค์ครั้งก็เพื่อพาพระหนุ่มไปหาประสบการณ์เกี่ยวกับการเดินธุดงค์และปฏิบัติธรรม เดินมาถึงป่าแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากหมู่บ้านมาก คือในละแวกใกล้เคียงที่ปักกลดนี้จะไม่มีบ้านคนหรือหมู่บ้านอยู่เลย


เมื่อมาได้ที่เหมาะแก่การปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ทั้งสามรูปก็ได้ทำการจัดแจงที่พักอาศัย ซึ่งก็ต้องแยกย้ายกันไปตามทิศต่าง ๆ จะไม่พยายามปักกลดใกล้กัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของพระป่าผู้แสวงหาโมกขธรรม จะลดความคลุกคลี นอกจากจะมีกิจที่จะต้องทำร่วมกัน

การปฏิบัติก็เป็นไปตามปกติ แต่แล้วมีอยู่วันหนึ่ง พระหนุ่มรูปหนึ่งที่ไปด้วยกัน ได้นำเรื่องราวที่ตัวเองได้พบในขณะที่ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ให้หลวงปู่ฟัง ว่า

"เมื่อกระผมนั่งสมาธิอยู่นั้น จิตได้สงบนิ่ง ในขณะนั้นก็เกิดภาพผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วกล่าวกับผมว่า ในอดีตชาติที่แล้วนั้น ดิฉันกับท่านนั้นเป็นสามีภรรยากันมาก่อน และชาติเราทั้งสองก็ได้มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ก็จะขอท่านได้ลาสิขาแล้วมาอยู่ร่วมกันดังในชาติที่แล้วเถิด และผู้หญิงนั้นก็เล่าต่อไปว่า

เมื่อชาติที่แล้วเราทั้งสองได้อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ปักกรดนี้ และเมื่อเราทั้งสองได้ตายไป ก็ได้ฝั่งศพทั้งสองไว้ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ถ้าท่านไม่เชื่อก็สามารถไปพิสูจน์ได้ แล้วผู้หญิงนั้นก็จากไป" (ลืมบอกไปว่าในขณะที่พระรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้น เป็นเวลากลางคืน)

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ได้ฟังเรื่องราวที่พระหนุ่มรูปนั้นเล่าให้ฟังแล้ว หลวงปู่ก็ไม่ได้กล่าวหรือสอนอะไร คือรับฟังเฉยๆ
พอคืนที่สอง เหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้นกับพระหนุ่มรูปนั้นอีก ตอนเช้าก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟัง ดังต่อไปนี้ ...........


"ผู้หญิงคนเดิมที่มาในคืนแรก ก็มาอีก และก็สาธยายเรื่องราวในอดีตชาติที่แล้วให้ฟังเดิม เพื่อจะต้องการให้พระหนุ่มรูปนั้นใจอ่อนลาสิกขาออกไปครองเป็นสามีภรรยาให้ได้ ในขณะที่เล่าก็ร้องสะอึกสะอื้นไป ก่อนกลับผู้หญิงนั้นก็บอกเพิ่มเติมว่าอีกสองวันข้างหน้าจะมีหนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเองไปเป็นภรรยา

ขอให้ท่านรีบพิจารณา เพื่อจะได้ไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้นเสีย ถ้าท่านไม่ลาสิกขา ดิฉันก็จะไม่ยอมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเด็ดขาด จะขอยอมตายโดยจะฆ่าตัวตายเสีย พูดจบผู้หญิงนั้นก็จากไปพร้อมกับน้ำตา และทิ้งความลังเลสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นให้ขบคิดว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร ! และจะทำอะไรต่อไป ?"

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ฟังจบ ...วันนี้ท่านอดสงสารลูกศิษย์ไม่ไหว ก็เลยแนะนำวิธีการให้พระหนุ่มนั้นนำไปปฏิบัติ..โดยวิธีการดังนี้


"ฟังนะ...ท่านไปหาถ่านฝืนมาสักก้อนหนึ่ง (ถ่านหุงต้ม) แล้วป่นให้ละเอียด และคืนนี้เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาอีก ท่านตั้งสติให้ดี ให้ถอยออกจากฌานในระดับที่ละเอียด (ซึ่งในขณะที่พระหนุ่มรูปนั้นเจอผู้หญิงนั้นจะอยู่ในภาวะของฌานที่ละเอียด) ให้ลดมาอยู่ในระดับที่สามารถเคลื่อนไหวกายได้  เมื่อผู้หญิงนั้นมา ก็ให้ท่านใช้นิ้วแตะที่ถ่านที่เตรียมไว้ และลุกขึ้นไปป้ายที่หน้าผากของผู้หญิงคนนั้น"
หลวงปู่ก็เมตตาแนะนำพระหนุ่มรูปนั้นแต่เพียงเท่านี้...


คืนที่สาม

ผู้หญิงคนเดิมก็เดินมาข้างหาพระหนุ่มรูปนั้น พร้อมกับน้ำตา แล้วก็พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้แล้วที่หนุ่มอีกหมู่บ้านหนึ่งจะมาสู่ขอตัวเอง กับพ่อแม่ ก็ขอให้ท่านรีบตัดสินใจลาสิกขา และรีบไปสู่ขอก่อนหนุ่มคนนั้น ถ้าท่านไม่ลาสิกขาดิฉันเองก็จะไม่ย่อมแต่งงานกับหนุ่มคนนั้นเหมือนกัน จะขอยอมตายจะไม่ยอมแต่งงานกับใครนอกจากท่านเท่านั้น (รักแท้ หายาก)


พระหนุ่มรูปนั้นเมื่อเห็นว่าผู้หญิงนั้นมาอีก ก็ตั้งสติและปฏิบัติตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ คือถอยจากฌานที่ละเอียดมาอยู่ในระดับที่เคลื่อนไหวกายกาย แต่อยู่ในฌานอยู่ แล้วใช้นิ้วแตะที่ถ่าน แล้วค่อยลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปที่ผู้หญิงคนนั้น พอถึงตรงหน้า ท่านก็ทำตามวิธีที่หลวงปู่แนะนำไว้ ก็คือเอานิ้วที่แตะถ่านนั้นป้ายที่หน้าผากผู้หญิงคนนั้น

หลังจากที่ป้ายเสร็จทันใดนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องกรี๊ดดังลั่นป่า แล้วก็วิ่งหายไปในป่า สร้างความตกตะลึงให้พระหนุ่มรูปนั้นเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง และผู้หญิงคนนั้น ทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องร้องกรี๊ด และวิ่งหนีหายไปในป่าด้วย !?"


ทุกท่านที่อ่านอยู่ คิดสงสัยเหมือนอย่างที่พระหนุ่มรูปนั้น หรือไม่ครับ ?


ตอนเช้าพระหนุ่มรูปนั้นก็ได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้หลวงปู่ดูลย์ฟัง ดังที่เคยกระทำมาแล้วในสองวันที่ผ่านมา เมื่อพระหนุ่มเล่าเรื่องราวจบ หลวงปู่ก็ยังคงเฉย ๆ เมื่อกับว่าท่านได้รับรู้เรื่องราวและทราบเรื่องราวนั้นอย่างละเอียดแล้ว จึงไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวที่พระหนุ่มนั้นเล่า เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเล่าจบ หลวงปู่ก็หยิบฝาบาตร ส่องไปที่หน้าพระหนุ่มรูปนั้น แล้วบอกให้พระหนุ่มนั้นมองไปที่หน้าตัวเองที่อยู่ในฝาบาตร เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นมองไปในฝาบาตร ก็ยิ่งสร้างความตกตะลึงสงสัยให้กับพระหนุ่มรูปนั้นขึ้นอีก เพราะว่าที่หน้าผากของตัวเองนั้น มีรอยถ่านดำติดอยู่ในหน้าผาก ดังที่ตัวเองนำไปป้ายกับผู้หญิงคนนั้น ในคืนที่ผ่านมา แล้วทำไมรอยถ่านนั้นจึงมาอยู่ในหน้าผากเราได้อย่างไร ?


ทุกท่านก็คงยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีกหรือเปล่ามั้ยครับ ว่าทำไมรอยถ่านดำจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้น ?
ผู้หญิงนั้นคือใคร ?


ทำไมรอยถ่านจึงมาติดอยู่ที่หน้าผากพระหนุ่มรูปนั้นได้อย่างไร ? ………..


ขอย้อนไปวันที่สองนิดหนึ่งครับ หลังจากคือที่สองนั้น พระหนุ่มรูปนั้นก็รู้สึกว่ามีจิตใจเอียงเอนอ่อนไปกับคำของหญิงสาวชาวป่าคนนั้น ทำให้จิตใจกระสับกระส่าย คิดจะลาสิกขาและไปสู่ขอหญิงสาวนั้นแต่งงาน แต่หลวงปู่ท่านรู้ทันอาการทั้งหมดแต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่แนะนำวิธีการดังที่กล่าวไปแล้ว เท่านั้น


ที่จริงแล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านรู้ความเป็นไปของศิษย์ผู้นี้ตลอด ตั้งแต่คืนแรก ถึงคืนที่สาม แต่หลวงปู่ท่านต้องการสอนพระหนุ่มรูปนั้น จึงปล่อยให้เหตุการณ์ล่วงเลยไปถึงคืนที่สาม


ตอนเช้าเมื่อพระหนุ่มรูปนั้นนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้ฟัง หลวงปู่ท่านก็หยิบฝาบาตรมาส่องไปที่หน้าของพระหนุ่มรูป เมื่อพระหนุ่มรูปนั้นเห็นหน้าผากตัวเองมีรอยถ่านดำ ดังที่เคยป้ายแก่หญิงสาวชาวป่าในเมื่อคืน ก็ยิ่งสร้างตกตะลึงและสงสัยเป็นอันมาก เมื่อหลวงปู่ดูลย์เห็นว่าพระหนุ่มนั้นตกตะลึงสงสัย จึงได้เล่าเรื่องราวที่เป็นจริงให้ศิษย์ฟัง ผมขออธิบายเป็นการขยายให้ฟังก็แล้วกันครับ

“ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่ของจริง ผู้หญิงที่ท่านเห็นทั้งสามคืนนั้นก็ไม่มีจริง เพราะป่าที่มาปักกลดแห่งนี้เป็นป่าที่ลึกแห่งไกลจากหมู่บ้านมาก ฉะนั้นในละแวกใกล้เคียงนี้ไม่จึงไม่มีบ้านคน (ที่หลวงปู่ทราบว่าไม่มีบ้านคน เพราะหลวงปู่ท่านเคยเดินธุดงค์และปักกลดที่นี่มาแล้ว) สิ่งที่ท่านเห็นเกิดจากจิตของท่านเอง ที่สร้างขึ้นมาหลอก ”


แล้วท่านก็สอนให้พระหนุ่มรูปนั้นเกี่ยวกับจิตของคนเรา (ซึ่งตรงนี้หลวงปู่สอนว่าอย่างไรบ้างนั้น ผมก็จำไม่ได้แล้ว เพราะจำจากครูบาอาจารย์มาอีกทีหนึ่ง)
 
ส่วนต่อไปนี้เป็นเพิ่มเติมความคิดของผมเองครับ

บางท่านเมื่อได้อ่านเรื่องของพระหนุ่ม กับหญิงสาวชาวป่า แล้ว บางคนอาจจะคิดว่าเป็นผู้หญิงนั้นเป็นจริง ๆ บ้าง เป็นผี หรือวิญญาณบ้าง แต่มีน้อยคนที่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นส่วนของจิตใจของพระหนุ่มรูปนั้น ที่ปรุงแต่งสร้างรูปขึ้นมา โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ และก็หลงไปกับสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา ที่เห็นว่าเหมือนจริงทุกอย่างนั้น เพราะว่าเห็นในขณะเข้าฌาน ซึ่งในขณะจิตจะละเอียด จนสามารถสร้างสิ่งระเอียดและเหมือนจริงได้ ซึ่งจุดนี้ถ้าใครเคยสังเกตตัวเองเวลาที่กำลังนั่งสมาธิ แล้วเกิดนึกหน้าใครสักคนหนึ่งที่เรารู้จัก เราจะเห็นหน้าคนตาคนนั้นอย่างชัดเจนมาก

แต่ถ้าเรานั่งธรรมดา ๆ แล้วลองนึกภาพใครสักคนหนึ่ง ภาพก็เลือนลางลง จะไม่ชัดเหมือนตอนนั่งสมาธิ และเมื่อเราลืมตาอยู่ ลองนึกหน้าใครสักคนหนึ่ง ภาพที่เห็นต่อหน้าก็เลือนลางเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ซึ่งจุดเราสามารถเปรียบเทียบกับคนที่นั่งสมาธิจนเข้าฌาน ว่าภาพที่เห็นในขณะเข้าฌานนั้นชัดเจนอย่างอะไร ก็คิดว่าเหมือนมองด้วยตาเปล่าทำนองนั้นละครับ


สิ่งต่อมาก็คือภาพที่พระหนุ่มนั้นเห็น ผู้หญิงที่พระหนุ่มรูปนั้นเห็นนั้น ไม่ใช่ภาพที่เกิดจากความตั้งใจนึกขึ้น แต่เป็นภาพที่เกิดขึ้นมาลอย จนตัวผู้เห็นก็ไม่ทราบว่าเกิดจากจิตภายในตัวเอง จนหลงเชื่อว่าเป็นจริง ถ้าเกิดเป็นผม ๆ ก็เชื่อว่าเป็นจริงเหมือนกันครับ เพราะเห็นชัด และผู้หญิงคนนั้นก็อ้างอิงเรื่องราวในอดีตชนิดที่เราเองต้องเชื่อครับ เช่นให้ไปดูกระดูกที่ฝั่งไว้ใต้ไม้ อันเป็นหลักฐานว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง


ภาพผู้หญิงคนนั้นผมว่าน่าจะเกิดจากจิตใจใต้สำนึก ทุกท่านก็คงเข้าใจว่าจิตใต้สำนึกนั้นเป็นอย่างไร แต่เป็นภาพผู้หญิง นั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม่จึงเกิดขึ้นมาได้ รู้แต่ว่าเกิดจากจิต และจิตใต้สำนึก แต่ทำไมจึงเป็นภาพผู้หญิง ตรงนี้ครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้เล่า เพราะท่านต้องการเน้นให้เห็นถึงความพิสดารและอัศจรรย์ของจิตของคนเรามากกว่า ให้รู้จิตของคนเรานั้นมันมีอะไรให้ศึกษาและค้นคว้าอีกมาก ยังมีอะไรสลับสับซ่อนอีกมาก จนเราเองผู้เป็นเจ้าของยังรู้จิตของเราไม่หมดเลย

ตรงนี้ก็อย่าถือว่าเราเป็นเจ้าของจิต และจิตเป็นเรา จิตเป็นของเรา เพราะว่าถ้าเราเป็นเจ้าของ เราก็ต้องรู้จิตใจของเราดีทั้งหมด แต่นี้ไม่ เรายังไม่เข้าใจจิตของเราเองดีพอ บ้างครั้งเราจะสับสนกับจิตใจของเรา ว่าทำไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เราเองก็ไม่อยากจะเป็น แต่พอเราอยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่เป็นอย่างที่เราคิด นี่แหละครับ เป็นข้อสงสัยที่ทำให้ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าจิตใจเป็นของเรา หรือจิตใจคือเรา แล้วทำไมจิตไม่เป็นไปตามที่เราคิดล่ะ ?
ท่านมีความสงสัยอย่างนี้บ้างหรือเปล่าครับ ?

ขอขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-doon-hist-02.htm

114




แฉ...ทัวร์ริสต์มือฉกคนเอเชีย...แชมป์
"ททท."แฉ"ทัวร์ริสต์"มือกาวฉกของมีค่าเมืองไทยกลับบ้าน แล้วโดนอาถรรพณ์ เล่นงาน ปีหนึ่งมีกว่า 10 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชีย ขณะที่ "หลวงพ่ออินเตอร์" เผย "กังไส" สมัยรัชกาลที่ 3 รอบพระปรางค์วัดอรุณ กับชิ้นส่วนรูปปั้นยักษ์ เคยถูกจิ๊กมาแล้ว แต่สุดท้ายต้องนำมาคืน เพราะเจออาถรรพณ์เงาทะมึนกับยักษ์ ตามทวงในความฝันจนไม่เป็นสุข ฝากเตือนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประพฤติตนให้เหมาะสมและสำรวม เคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของไทย อย่าลบหลู่ดูหมิ่นเด็ดขาด "อนุรักษ์" ปิ๊งไอเดีย อบรมไกด์เปลี่ยนจุดขายวัดพระแก้ว เน้นคุณค่าความงามทางศิลปะมากกว่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

จากเหตุการณ์ นายเจอร์เก้น แซด นักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน มาเที่ยวชมความวิจิตรงดงามของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว แล้วเก็บเศษแก้วสีเขียว รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ขนาดประมาณ 1 นิ้ว ที่ใช้ประดับมณฑปติดมือกลับไปบ้านเกิด ต่อมาได้ส่งจดหมายพร้อมเศษแก้ว คืนมายังการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมจดหมายระบุเกิดสิ่งเลวร้ายขึ้นในชีวิตช่วงที่ครอบครองเศษแก้วเอาไว้ เชื่อว่าน่าจะเกิดจากอาถรรพณ์ ทำให้ต้องส่งคืนเศษแก้วนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 1 ธ.ค. นายมานะ ชอบธรรม ผอ. ฝ่ายส่งเสริมสินค้าการท่องเที่ยว ททท. กล่าวว่า นายเจอร์เก้น แซด ได้ส่งจดหมายพร้อมเศษแก้วประดับ และรูปถ่ายของมณฑป มาให้ทาง ททท. ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมาแล้ว โดยทาง ททท.ได้ตรวจสอบที่มาที่ไป และทำหนังสือลงวันที่ 7 พ.ย. ที่ผ่านมา ไปยังสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และเลขาธิการพระราชวัง โดยหนังสือที่ทำถึงเลขาธิการพระราชวังได้แนบเศษแก้วประดับที่ส่งคืนมาไปด้วย


กังไสที่วัดอรุณฯ

"เรื่องอาถรรพณ์ตามที่เป็นข่าวมีเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวปีหนึ่ง ๆ มากกว่า 10 ราย แต่ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย บางคนคิดว่าโดนอาถรรพณ์ก็เอามาคืน บางคนสำนึกผิดเองแล้วเอามาคืนก็มี ส่วนเศษแก้วประดับนี้ ทาง ททท. ถือเป็นสมบัติของชาติชิ้นหนึ่งที่ต้องหวง แหนรักษาเอาไว้ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่นักท่องเที่ยวมักจะหยิบของติดมือกลับไปเป็นของที่ระลึก เพราะอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อย่างในกรณีของนักท่องเที่ยวเยอรมันรายนี้ บอกว่าเห็นตกอยู่ที่พื้นจึงหยิบติดมือไป ซึ่งทาง ททท.จะประสานและอบรมมัคคุเทศก์ เพื่อช่วยสอดส่องดูแล และอธิบายให้นักท่องเที่ยวเข้าใจต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก" นายมานะ กล่าวทิ้งท้าย

ทางด้าน พระครูปลัดโสภิต ถิรธมโม (หลวงพ่ออินเตอร์) พระวัดอรุณราชวราราม กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเคยเกิดขึ้นที่วัดอรุณ เช่นกัน โดยเมื่อหลายปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน มาเที่ยวชมวัดและแอบนำชิ้นส่วน "กังไส" หรือกระเบื้องเคลือบรูปดอกไม้ เป็นเครื่องสังคโลก นำเข้าจากประเทศจีน สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งประดับอยู่รอบพระปรางค์วัดอรุณ ติดมือกลับไป แต่ระหว่างยังท่องเที่ยวอยู่ในเมืองไทย เกิดฝันร้ายเห็นเงาร่างทะมึนมาทวงเอากังไสคืน สุดท้ายต้องเอามาคืนที่วัด นอกจากนี้ ยังเคยมีนักท่องเที่ยวแอบนำชิ้นส่วนของรูปปั้นยักษ์ติดมือไป ก็ต้องนำมากลับมาคืน เพราะฝันเห็นยักษ์มาทวงคืนจนชีวิตไม่มีความสุข อย่างไรก็ดี อยากฝากเตือนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสื่อให้ช่วยทำความเข้าใจและชี้ให้นักท่อง
เที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติเข้าใจถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม และประพฤติตนให้เหมาะสมและสำรวมกิริยา รวมทั้งไม่ลบหลู่ดูหมิ่น และต้องเคารพในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของไทยด้วย

ส่วน นายอนุรักษ์ จุรีมาศ รมว.วัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า จะหารือกับนายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากร (ศก.) เพื่อให้กรมศิลปากรเปลี่ยนแนวทางในการจัดอบรมให้ความรู้แก่มัคคุ เทศก์ใหม่ ซึ่งจะเน้นให้ความรู้เรื่องศิลปะความงามและคุณค่าของวัดพระแก้วเป็นจุดขาย มากกว่าเรื่องของอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ เนื่องจากต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของวัดพระแก้ว...

ขอขอบคุณที่มาwww.1000za.com

115
บทความ บทกวี / มี...แต่ไม่พอ
« เมื่อ: 26 ธ.ค. 2552, 12:28:20 »








ขึ้นชื่อว่า.. “ความพอ”..
ไม่มีในหัวใจของผู้ที่ไม่รู้จักคำว่า..(มี)..

คำว่า “มี”
จึงไม่มีความหมายสำหรับผู้ที่..(มี)..ไม่พอ..

เมื่อได้สิ่งใดมาแล้ว...
แทนที่จะ “พอ”
…แต่กลับมีความรู้สึก “มันยังไม่มีพอ”
…จึงต้องแสวงหาของใหม่ ๆ มาอีก..
เพื่อ..สนองความอยาก...เป็นทาสความอยากต่อไป..
อยากมี..อยากได้..อยากเป็น..ปรารถนาขึ้นไปเรื่อย ๆ..

พอมี..พออยู่..พอได้..พอเป็น..
ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง..
เมื่อได้สิ่งนั้นแล้ว..
ไม่เกินสิบวัน..ความรู้สึกที่ว่าชอบ..ว่าดี..
…ก็จะกลับเป็นความรู้สึก.. “เฉย – เฉย”
…ในสิ่งที่คิดว่า..ดีที่สุด..เยี่ยมที่สุด..ในขณะนั้น..
…เพราะนี้เป็นธรรมชาติของความอยาก..

พอได้สมอยาก..
ความอยากจบลง..ก็อยากได้สิ่งใหม่ที่คิดว่าดีกว่า..ขึ้นมาใหม่อีก..
…แต่ถ้าไม่ได้สมอยาก..
…ก็จะพยายามแล้ว..พยายามอีก..เพื่อให้ได้มันมา..

แต่ถ้าเรารู้จักคำว่า..
…พอมี...มีแบบพอ..
…มีพอ...แบบพอมี..
นั่นคือ..พอใจในสิ่งที่มี...ยินดีในสิ่งที่ได้..
ไม่ว่าจะได้..หรือจะมี..หรือจะเป็น..
ก็ให้รู้เท่าทันตลอดเวลา..
แบบพอดี..พออยู่..และพอเพียง..

…มี...แต่ไม่พอ...
…ทำให้รวย...กลับกลายเป็นจนได้..
…พอ...แต่ไม่มี..
…ทำให้จน...กลับกลายเป็นรวยได้..
…มีแต่พอ..พอแต่มี..
…อย่างนี้เรียกว่า..รวยอย่างแท้จริง..ไม่มีคำว่าจน..


บทความโดย...ชายน้อย...   




ขอขอบคุณที่มาครับ...http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=579
 
 
 

116
บทความ บทกวี / เกิด-ดับ
« เมื่อ: 26 ธ.ค. 2552, 12:20:20 »
ประสาโลกๆ ‘การเกิด' ย่อมเป็นที่มาแห่งความยินดี เว้นแต่กรณีไม่ยินดีให้เกิด อย่างที่มักเรียกกันว่า ‘มารหัวขน' หรือเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจ อันเป็นผลจากความฟอนเฟะทางสังคม และการเสื่อมถอยด้านจริยธรรม ที่มีมาทุกยุคทุกสมัย

นี่ออกจะแตกต่างจากหลักการทางพุทธศาสนา ที่ถือว่า "การเกิดเป็นทุกข์" ดังพุทธพจน์ที่ว่า "การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป เช่นเดียวกับ ‘การดับ' หรือ ‘การตาย' ที่ในทางพุทธเห็นว่า ‘สิ้นไป' ไม่ว่าจะชั่วครั้งชั่วคราว หรือถาวร เช่น ‘หมดทุกข์-สิ้นทุกข์' ดังภาษาชาวบ้านว่ากันว่า ‘หมดเคราะห์' ‘สิ้นเคราะห์' หรือ ‘พ้นทุกข์' ไปเสียที
แต่โดยวิถีโลกย์ กลับเชื่อกันว่า การดับไป สูญไป เสียไป เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าโศกเสียใจ เสียดาย หรืออาลัยอาวรณ์ ของผู้อยู่เบื้องหลัง ดังกรณีการ ‘สิ้นชีวิต' เป็นต้น

ความเชื่อที่สวนทางกับหลักการสำคัญทางศาสนา ขณะที่ป่าวประกาศว่าเป็น ‘สังคมพุทธ' หรือเรียกร้องให้ศาสนาพุทธเป็น "ศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ" ดูจะเป็นเรื่องไม่แปลกประหลาดสักเท่าใดนักในสังคมไทย เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ความรุนแรงระหว่างบุคคล การละเมิดสิทธิมนุษยชน การทำลายธรรมชาติ การเดียจฉันท์ศาสนาอื่น หรือการละเมิดหลักการ ในทางพระพุทธศาสนา ฯลฯ ที่มีให้เห็นกันมาอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่ากล่าวในส่วนของการ ‘เกิด' - ‘ดับ' ในเชิงพุทธเอง แม้ในแวดวงของพุทธศาสนิกชน พุทธบริษัท หรือชาววัดชาววา ก็ยังมีความเห็นแตกต่างกันออกไป

บ้างก็ว่าเป็นเรื่องของ ‘ชีวิต' บ้างก็ว่าเป็นเรื่องของ ‘ตัวตน' บ้างก็ถือว่าเป็นทั้ง ๒ ส่วน ต้องอาศัยบริบทแวดล้อมเข้ามาช่วยตีความ ทำนองว่า เป็นทั้ง ‘ภาษาโลก' และ ‘ภาษาธรรม' ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็คล้ายกับจะเป็นภาพสะท้อน ของสภาวการณ์ ในทางพระพุทธศาสนาของสังคมไทยที่อิสระและยืดหยุ่นในการเชื่อถือและการตีความ จนยากที่จะหาข้อยุติโดยง่าย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในทางปรัชญา ในทางปริยัติ หรือในแง่การหาข้อยุติ ทางวิชาการ จะเป็นเรื่องที่ยากจะหาข้อสรุป แต่ในทาง ‘ปฏิบัติ' ซึ่งกินความตั้งแต่การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน หรือในแง่ของการเจริญสมาธิภาวนา อย่างที่เราเรียกกันว่า เป็น ‘ภาวนาวิถี' ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เอง ที่ ‘ผู้ปฏิบัติ' หรือ ‘นักปฏิบัติ' หรือกระทั่ง จะเรียกว่า ‘นักศึกษาในทางจิตวิญญาณ' ย่อมจะต้องหาข้อยุติสำหรับตนเองให้ได้ ว่าการ ‘เกิด' - ‘ดับ' ที่ตนเข้าใจ คืออย่างไรกันแน่ เพื่อเป็นที่ตั้งของ ‘สัมมาทิฏฐิ' อันเป็นจุดเริ่มต้นของอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือ ‘มัชฌิมาปฏิปทา' ที่เราเรียกกันว่า ‘ทางสายกลาง' หรือ ‘ทางสายเอก' แห่งการปฏิบัติธรรม เพราะในแง่หนึ่ง การ ‘เกิด'-‘ดับ' เชื่อมโยงและสัมพันธ์อยู่กับหลักการเรื่อง ‘ตัวตน' และ ‘ไม่ใช่ตัวตน' หรือที่เป็นภาษาบาลีว่า ‘อัตตา' และ ‘อนัตตา' นั่นเอง
ในทางพระพุทธศาสนา "กระแสธารแห่งธรรม" ย่อมสืบเนื่อง และสัมพันธ์ กันอย่างไม่ขาดสาย ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่า "ธรรมะทั้งปวงเป็นองค์รวม" และ "บูรณาการเป็นเนื้อเดียวกัน" อย่างไม่สามารถ ‘แยกส่วน' ออกไป จนทำให้ขัดแย้งกันได้ มิเช่นนั้น ก็จะเกิดเป็น ‘ธรรมปฏิรูป' ที่จอมปลอม และเป็น ‘หัวมังกุท้ายมังกร' ไปเสีย

บน ‘ภาวนาวิถี' จึงมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ไปพร้อมๆ กัน อย่างเชื่อมโยง สัมพันธ์ โดยมิอาจแบ่งแยกให้เกิดการแปลกเปลี่ยนออกไปโดยสะเปะสะปะ ขณะเดียวกัน บน ‘ภาวนาวิถี' ก็มิใช่เรื่องยาก ที่ผู้ปฏิบัติจะสอบทาน หรือตรวจสอบ"ผลการปฏิบัติ"ของตนเอง ‘ด้วยตนเอง' เพราะ ‘ผล' ย่อมมาจาก ‘เหตุ'

เมื่อผู้ปฏิบัติเป็นผู้สร้างเหตุปัจจัยที่เหมาะควร ภายใต้หลักการและวิธีการอันถูกต้องและเหมาะสม ผลที่เกิดย่อมถูกต้องและเหมาะสมโดยมิอาจผิดพลาด นี่เป็นที่มาของวลี "รู้ได้ด้วยตน" นั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูล...http://variety.teenee.com/foodforbrain/14209.html

117

 







ภาพประกอบข่าว
คมชัดลึก :ก่อนหน้าคริสต์มาสเพียงไม่กี่วัน คณะนักโบราณคดีอิสราเอลได้สร้างความฮือฮาด้วยการประกาศว่า ขุดพบบ้านในสมัยที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่เป็นครั้งแรก
บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในเมืองนาซาเรธ บ้านเกิดของพระเยซู ส่วนจุดที่ค้นพบนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ทูตสวรรค์เกเบรียลแจ้งข่าวกับพระแม่มารีว่า พระนางจะให้กำเนิดพระเยซู
ยาร์เดนา อเล็กซานเดร ผู้อำนวยการขุดค้นจากกรมศิลปากรอิสราเอล บอกว่า หลักฐานที่พบบ่งชี้ว่าบ้านหลังนี้น่าจะเป็นบ้านของครอบครัวชาวยิวธรรมดา ๆ และพระเยซูอาจจะวิ่งเล่นแถว ๆ บ้านหลังนี้กับญาติหรือเพื่อนวัยเด็กของพระองค์ก็เป็นได้
ช่างก่อสร้างที่กำลังขุดลานของคอนแวนต์เก่าแห่งหนึ่งเพื่อเคลียร์พื้นที่เอาไว้สร้างศูนย์คริสเตียนแห่งใหม่เป็นผู้ขุดพบบ้านหลังนี้เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา แต่ผู้เชี่ยวชาญเพิ่งจะมาแน่ใจเอาในเดือนนี้เองว่า นี่คือบ้านยุคพระเยซู
ทีมของอเล็กซานเดรพบซากกำแพง ที่หลบภัย ลานบ้าน แล้วก็ระบบเก็บกักน้ำจากหลังคามาใช้ในบ้าน แต่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าบ้านหลังนี้ใหญ่แค่ไหน โดยตอนนี้คณะขุดค้นพบพื้นที่บ้านราว 85 ตารางเมตร แต่ถ้าเป็นบ้านของครอบครัวขยายก็อาจจะมีขนาดใหญ่กว่านี้
นอกจากตัวบ้านแล้ว นักโบราณคดียังพบทางลับไปอุโมงค์แห่งหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ที่ชาวยิวใช้ซ่อนตัวจากทหารโรมัน โดยอุโมงค์เล็กๆ นี้สามารถซ่อนคนราว 6 คน
นักโบราณคดียังพบชิ้นส่วนภาชนะดินและปูนขาว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าครอบครัวนี้เป็นชาวยิว เพราะชาวยิวเมื่อ 2,000 ปีที่แล้วจะใช้ภาชนะทำจากปูนขาวเก็บน้ำและอาหาร อย่างไรก็ตาม ชิ้นส่วนภาชนะที่พบไม่ได้บ่งบอกว่าครอบครัวนี้เป็นชาวนาหรือพ่อค้า
ขณะนี้ทีมงานกำลังเคลียร์ซากที่สร้างทับบ้านหลังนี้อยู่ แต่เนื่องจากเมืองนาซาเรธมีเนื้อที่จำกัด แล้วก็มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้นักโบราณคดีไม่สามารถขยายพื้นที่ขุดค้นออกไปได้อีก
แต่ถึงจะพบแค่นี้ ชาวคริสต์ก็มองว่าเป็นของขวัญคริสต์มาสที่สุดพิเศษในปีนี้แล้ว...

118
บทความ บทกวี / ช้างไทย...ในตำนาน
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2552, 04:14:59 »
 

 

 

ช้างเผือก และ ช้างสำคัญแห่งแผ่นดินไทย … จากโรงช้างต้น สู่วิถีธรรมชาติช้าง … นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นสัตว์บกที่ถือครองสถิติ “ใหญ่ที่สุดในโลก” แล้ว สำหรับสังคมไทยเรา ช้าง ยังคงดำรงสถานะความเป็น “มงคล” ต่อสังคมและประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ช้าง” ยังเป็นหนึ่งใน “สัปตรัตนะ” หรือ “แก้ว 7 ประการ” อันเป็นสัญลักษณ์แห่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิอีกด้วย

สำหรับ รัชสมัยแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนั้น ด้วยพระบารมีของพระองค์ทำให้ในแผ่นดินนี้มีช้างเผือกและช้างสำคัญมาสู่พระ บารมีมากที่สุดถึง 20 ช้าง และในขณะนี้ยังคงยืนโรงอยู่ถึง 11 ช้าง และด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงเล็งเห็นแล้วว่า การนำช้างไปใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติจะเป็นผลดีต่อสุขภาพช้างสำคัญเหล่านี้ จึงได้โปรดเกล้าฯให้นำช้างสำคัญทั้งหมดไปยืนโรง ณ โรงช้างต้นที่จังหวัดลำปางและสกลนคร อันเป็นพระมหากรุณาอันหาที่สุดมิได้ที่ทรงมีต่อช้างสำคัญเหล่านั้น

“ช้างต้น” มงคลจักรพรรดิ
น.สพ.ม.ล. พิพัฒ นฉัตร ดิศกุล นายสัตวแพทย์ประจำสำนักพระราชวังให้ข้อมูลถึงศุภลักษณะ หรือ ลักษณะอันดีแห่งช้างมงคลว่า จะต้องมีคา ขนหาง ขนรอบตัว เล็บ เพดานปาก ผิว และอัณฑโกศ (อวัยวะเพศ) เป็นสีขาว หรือสีหม้อดินใหม่ ตามคติความเชื่อ ซึ่งจะเรียกว่า “ช้างเผือก”

ช้างเผือกแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ช้างเผือกเอก ช้างเผือกโท และช้างเผือกตรี … พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ หรือที่เรียกกันว่า “คุณพระเศวตใหญ่” ที่มาสู่พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ เป็นช้างเผือกโท

“ช้างต้น” ในราชวงศ์จักรี มีดังนี้

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มี 11 ช้าง

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มี 5 ช้าง

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มี 11 ช้าง

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มี 12 ช้าง

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มี 19 ช้าง

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มี 1 ช้าง

ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มี 1 ช้าง

สำหรับ ในแผ่นดินรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนั้น ถือว่าเป็นแผ่นดินที่มีช้างต้นมาสู่พระบารมีมากที่สุดถึง 20 ช้างด้วยกัน ในจำนวนนั้นมีช้างสำคัญ หรือ ช้างที่มีลักษณะมงคล 7 ประการ ซึ่งได้เข้าพระราชพิธีขึ้นระวางพระราชทานนามเป็นช้างเผือกจำนวน 10 ช้าง ล้ม (ตาย) ไปแล้ว 4 เหลือ 6 ช้าง และถ้านับรวมกับช้างประหลาด หรือช้างที่มีลักษณะมงคลบางประการ บวกรวมเข้ากับช้างที่สำคัญที่ยังไม่ได้เข้าพระราชพิธีขึ้นระวาง ปัจจุบันนี้ มีช้างต้นจำนวน 11 ช้าง ซึ่งมีรายนามดังต่อไปนี้

1. พระ เศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิศุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทราชาติ สยามราษฎรสวัสดิประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการปรมินทรบพิตร สารศักดิ์เลิศฟ้า … ชื่อเดิม คือ พลายแก้ว เป็นช้างพลายเผือกโท เป็นลูกช้างเถื่อน น้อมเกล้าฯถวายเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 ณ โรงช้างต้น เขาดินวนา (สวนสัตว์ดุสิต) เป็นช้างสำคัญในตระกูล “พรหมพงศ์” จำพวก “อัฏฐทิศ” ชิ่อ “กุมุท” สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 … ปัจจุบัน นำไปยืนโรง ณ โรงช้างต้น พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเคลื่อนย้ายคุณพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เมื่อวันที่ 17-18 มีนาคม 2547 และประกอบพระราชพิธีสมโภชโรงช้างต้น เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2547

2. พระเศวตสุทธวิลาศ อัฏฐคชชาต พิษณุพงศ์ ดำรงประภาพมหิมัน ตามรพรรณไพศิษฏ์ ผลิตวรุตตมงคล ดาสศุภผลสวัสดิวิบุล อดุลยลักษณ์เลิศฟ้า … เป็นช้างพลายเผือก (สีดอ) เป็นลูกเถื่อน ชื่อเดิมคือ “พลายบุญรอด” เป็นช้างสำคัญในตระกูล “พิษณุพงศ์” จำพวก “อัฏฐทิศ” จำพวก “ดามพหัสดินทร์” จมื่นศิริ วังรัตน์ เป็นผู้ตรวจคชลักษณ์ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2520 … ปัจจุบันนำไปยืนโรง ณ โรงช้างศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง

3. พระวิมลรัตนกิริณี กมุทศรีพรรณโศภิต อัฏฐทิศพงศ์กมลาสน์ อรรคราชทิพยพาหน ถกลกิตติคุณกำจร อมรสารเลิศฟ้า … เป็นช้างพัง ลูกเถิ่อน ชื่อเดิม “ขจร” ถวายเป็นช้างสำคัญในตระกูล “พรหมพงศ์” จำพวก “อัฏฐทิศ” ชิ่อ “กุมุท” จมื่นศิริ วังรัตน์ เป็นผู้ตรวจคชลักษณ์ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2520 … ปัจจุบันนำไปยืนโรง ณ โรงช้างต้น พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร เมื่อประมาณ พ.ศ. 2538

4. พระศรีนรารัฐราชกิริณี จิตรวดี โรจนสุวงศ์ พรหมพงศ์อัฎฐทิศพิศาล พิเสฐ ธารธรณิพิทักษ์คุณารักษ กิตติกำจร อมรสารเลิศฟ้า … เป็นลูกช้างพังลูกเถื่อน ชื่อเดิมภาษาพื้นเมืองว่า “จิ” ต่อมาเรียกว่า “จิตรา” น้อมเกล้าฯถวายเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2520 เป็นช้างสำคัญในตระกูล “พรหมพงศ์” จำพวก “อัฏฐทิศ” ชิ่อ “อัญชัญ” ประกอบพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ ณ โรงช้างต้น จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2520

5. พระเศวตภาสุรเคชนทร์ นวเมนทราพาหน สุทธวิมลวิษณุพงศ์ คุณธำรงดามพหัสดินทร์ สุพัชรินทร์อนันตพล คชมงคลเลิศฟ้า … เป็นลูกช้างพลายลูกเถื่อน ชื่อเดิม “ภาศรี” เป็นช้างสำคัญในตระกูล “พรหมพงศ์” จำพวก “อัฏฐทิศ” ชิ่อ “ดามพหัสดินทร์” จมื่นศิริ วังรัตน์ เป็นผู้ตรวจคชลักษณ์ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงพิธี จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 ปัจจุบันนำไปยืนโรง ณ โรงช้างศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง

6. พระเทพวัชระ ดามพหัสดีพิษณุพงศ์ โสติธำรงวิสุทธิลักษณ์ อำนรรฆคุณสบสกนธ์ วิมลสานโสภิต พิบูลกิตติ์เลิศฟ้า … เป็นลูกช้างพัง ชื่อเดิม “ขวัญตา” เป็นช้างสำคัญในตระกูล “พิษณุพงศ์” จำพวก “อัฏฐทิศ” จำพวก “ดามพหัสดินทร์” จมื่นศิริ วังรัตน์ เป็นผู้ตรวจคชลักษณ์ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงพิธี จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 ปัจจุบันนำไปยืนโรง ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร เมื่อ พ.ศ. 2538

7. ช้างพลาย “วันเพ็ญ” น้อมเกล้าฯถวาย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2521 ปัจจุบันนำไปยืนโรง ณ โรงช้างศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง

8. ช้างพลายชื่อ “ยอดเพชร” เป็นช้างที่เกิดในตระกูล พรหมพงศ์” จำพวก “อัฏฐทิศ” ชิ่อ“กุมุท” ปัจจุบันนำไปยืนโรง ณ โรงช้างศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ปัจจุบันอายุประมาณ 28 ปี

9. ช้างพลายชื่อ “ขวัญเมือง” เป็นช้างที่มีถิ่นกำเนิดในป่าของจังหวัดเพชรบุรี จมื่นศิริ วังรัตน์ เป็นผู้ตรวจคชลักษณ์ ปรากฏว่าเป็นช้างในตระกูล พรหมพงศ์” จำพวก “อัฏฐทิศ” ชิ่อ“อัญชัญ” จัดพิธีถวาย ณ มุขตะวันออก พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2523 ปัจจุบันนำไปยืนโรง ณ โรงช้างศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง

10. “พังมด” เป็นช้างพังลูกเถื่อน น้อมเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2522 ปัจจุบันนำไปยืนโรง ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร

11. พลาย “ทองสุก” เกิดเมื่อประมาณปี 2514 เป็นช้างที่เกิดในศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ปัจจุบันอายุประมาณ 34 ปี

พระมหากรุณาธิคุณต่อช้างไทย

น.สพ.ม.ล. พิพัฒ นฉัตร กล่าวถึงการดูแลช้างสำคัญว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเล็งเห็นว่าพระราชวังสวนจิตรลดานั้น มีหน่วยงานตามพระราชดำริมากขึ้น ทำให้ไม่มีบริเวณเพียงพอให้ช้างได้เดินออกกำลังที่เพียงพอ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ย้ายช้างสำคัญเหล่านี้ไปอยู่ในโรงช้างหลวงที่ จังหวัดลำปางและสกลนคร เพื่อให้ช้างเดินออกกำลังกาย และทดลองใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ โดยมีผู้ดูแลช้างสำคัญทุกช้าง

โดย ช่วงแรกย้ายไปไม่กี่ช้างก่อน และให้มีการถวายรายงานการปรับตัวของช้างเป็นประจำ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี จึงสามารถย้ายได้ทั้งหมด 10 ช้าง ส่วน คุณพระเศวตใหญ่ฯนั้น ได้ถูกนำไปไว้ในพระราชวังไกลกังวล หัวหิน ตามพระราชประเพณีที่ช้างเผือกสำคัญประจำรัชกาลจะต้องอยู่ใกล้พระเจ้าแผ่นดิน เพื่อความเป็นมงคล

ส่วนการดูแลนั้นจะเป็นไปตามตารางที่ค่อนข้างจะเป็นกิจวัตรประจำที่เหมือนกันทุกวัน ก็คือตอนเช้า 7 นาฬิกา ควาญจะนำช้างออกจากโรงช้างไปฝึกเข้าแถว ฝึกยืนนิ่งๆ นั่งนิ่งๆ หมอบนิ่งๆ ฝึกทำความเคารพโดยการยกงวงขึ้นจบ ฝึกรับของจากพระหัตถ์

“จากนั้นประมาณ 8 โมงกว่าๆ ก็จะปล่อยเข้าป่า โดยจะปล่อยโซ่ยาว 50 เมตรเพื่อให้เดินไปหากินในป่าได้ กระทั่งบ่ายสองโมงครึ่งก็นำออกจากป่า พาไปเล่นน้ำประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำไปอาบน้ำหน้าโรงเรือน ในส่วนของการอาบน้ำถ้าเป็นของโบราณจริงๆ เราใช้มะขามเปียกถูแทนสบู่ แต่ตอนนี้เราใช่สบู่เหลวเด็กอาบเพื่อจะได้ไม่กัดผิวหนังของช้าง”

“จาก นั้นอาบน้ำเสร็จก็พาเข้าโรงเรือน ทอดหญ้าให้น้ำ เป็นอันจบกิจวัตร พอเช้าก็ทำแบบนี้ใหม่ และในเรื่องของอาหารนั้น ช้างจะกินอาหารประมาณ 10% ของน้ำหนักตัว ดังนั้นใน 1 วัน จะกินอาหารเฉลี่ยตัวละ 200 – 250 กิโลกรัม โดยอาหารก็จะเป็นพวกหญ้า กล้วยประมาณ30-40หวี อ้อย 5-10ลำยาว และจะมีพวกอาหารเสริมและเกลือแร่ด้วย”

และ เมื่อถามถึงการดูแลตรวจสุขภาพช้างสำคัญนั้น น.สพ.พิพัฒนฉัตรให้ข้อมูลว่า จะมีการสังเกตอาการอยู่ตลอดเวลาจากควาญช้างและสัตวแพทย์ หากมีอาการผิดปกติจะได้ดูแลได้ทันท่วงที และจะมีการตรวจสุขภาพใหญ่ ตรวจเลือด ตรวจอุจจาระอยู่ทุกๆ 6 เดือน

นอก จากช้างต้นและช้างที่สำคัญแล้ว ช้างธรรมดาๆก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงเผื่อแผ่ไปยังช้างไทยทุกตัวอีกด้วย โดยหากได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลสัตว์ที่ไหนก็ตาม ทีมสัตวแพทย์หลวงก็จะออกเดินทางไปช่วยเหลือทุกกรณี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

นอก จากนี้สายพระเนตรและน้ำพระทัยแห่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ ยังได้แผ่ไปยังช้างชราและช้างบาดเจ็บที่ถูกเจ้าของทิ้ง โดยทรงรับสั่งให้ทีมสัตวแพทย์หลวงดูแลด้วย

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
กลับมามีพระพลานามัยแข็งแรงดังเดิมในเร็ววัน



26 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันช้างไทย เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญ และการดำรงอยู่ของช้างไทย

คณะอนุกรรมการประสานงานการอนุรักษ์ช้างไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานประสานงาน องค์การภาครัฐและเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์ช้างไทยคณะกรรมการ เอกลักษณ์ของชาติ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเล็งเห็นว่าหากมีการสถาปนาวันช้างไทยขึ้น ก็จะช่ให้ประชาชนคนไทย หันมาสนใจช้าง รักช้าง หวงแหนช้าง ตลอดจนให้ความสำคัญต่อการให้ความช่วยเหลืออนุรักษ์ช้างมากขึ้น

คณะอนุกรรมการฯ จึงได้พิจารณาหาวันที่เหมาะสม ซึ่งครั้งแรกได้พิจารณาเอาวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา แต่วันดังกล่าวถูกใช้เป็นวันกองทัพไทยไปแล้ว จึงได้พิจารณาวันอื่น และเห็นว่าวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการคัดเลือกสัตว์ประจำชาติ มีมติให้ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยนั้นมีความเหมาะสม จึงได้นำเสนอมติตามลำดับขั้นเข้าสู่คณะรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีกทางหนึ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2541 เห็นชอบให้ วันที่ 13 มีนาคม เป็นวันช้างไทย และได้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2541

ผลจากการที่ประเทศไทยมีวันช้างไทยเกิดขึ้น นับเป็นการยกย่องให้เกียรติว่าเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญอีกครั้ง นอกเหนือจากเกียรติที่ช้างเคยได้รับในอดีต ไม่ว่าจะเป็นช้างเผือกในธงชาติ หรือช้างเผือกที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ หรือสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์..



 

ความสำคัญของ “ช้างไทย” โรงช้างต้น
ช้างเป็นสัตว์คู่บารมีของพระมหากษัตริย์ไทย ช้างเป็นสัตว์ที่ดำรงอยู่คู่กับประเทศไทยมาเป็นเวลานาน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สยามประเทศ
มีธงชาติเป็น “รูปช้างเผือก” ชาวไทยเชื่อกันว่า “ช้างเผือก” เป็นสัตว์คู่บารมีของพระมหากษัตริย์
“ช้างเผือก” จึงได้รับการยกย่องเสมือนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า

ช้างเป็นผู้ปกป้องเอกราชแห่งชาติไทย
ประวัติ ศาสตร์ชาติไทย ได้จารึกไว้ว่าช้างได้เข้ามามีส่วนในการปกป้องเอกราช และความเป็นชาติให้แก่ชาว ไทยหลายยุคหลายสมัย ในสมัยกรุงธนบุรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ทรงรวบรวมชายไทยให้เป็นปึกแผ่น และมั่นคงบนหลังช้างทรงพระที่นั่ง และในสมัยพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ได้ทรงประกาศเอกราช และความเป็นชาติ ของคนไทยบนหลังช้าง ทรงพระที่นั่งด้วยเช่นกัน ซึ่งช้างทรงในสมเด็จพระนเรศวร นับว่าเป็น “ช้างไทย” ที่ได้รับเกียรติอันสูงสุด โดยจากความกล้าหาญในสมรภูมิรบ ทำให้ “ช้างไทย” เชือกนี้ได้รับพระราชทานยศให้เป็นถึง "เจ้าพระยาปราบหงสาวดี"

ช้างใช้ในพระราชพิธีสำคัญต่างๆ
การสร้างสรรค์วัฒนธรรมที่ดีงามของชาติไทยในอดีตกาลนั้น ล้วนแต่ได้ช้างเข้ามามีส่วนร่วมอยู่ด้วยทั้งสิ้น
เมื่อประมาณ 200 กว่าปีที่ผ่านมา ก็ได้ช้างเข้ามาเป็นแรงงานสำคัญอีกเช่นกัน เมื่อแรกเริ่มการตั้งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นช้าง คือ พาหนะสำคัญที่อัญเชิญพระพุทธมณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตมาสถิตย์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

นอกจากนี้ในงานพระราชพิธีต่างๆ อาทิ พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา งานพระราชพิธีฉัตรมงคล หรือในงานพระราชทานงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชอาคันตุกะ หรือประมุข ของต่างประเทศที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท จะต้องนำช้างเผือกแต่งเครื่องคชาภรณ์ไปยืนที่แท่นเกยช้างด้านตะวันตกของพระ ที่นั่งดุสิตาภิรมย์ในพระบรมมหาราชวังเพื่อประกอบพระเกียรติยศ

ช้างสร้างความสัมพันธ์ไมตรีระหว่างประเทศ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสสิงคโปร์ และเบตาเวีย (จาการ์ตา) ประเทศอินโดนีเซีย ได้พระราชทานช้างสำริดให้แก่ทั้ง 2 ประเทศนี้

ช้างใช้เป็นพาหนะในการคมนาคม
ใน ยุคสมัยที่การคมนาคมยังไม่เจริญเทียบเท่ากับในปัจจุบัน มนุษย์ยังไม่ได้มีการพัฒนาเครื่องจักรต่างๆ สำหรับนำมาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงเพื่อการขนส่งของ ช้าง คือพาหนะที่ดี และมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับมนุษย์ เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ใหญ่มีความเฉลียวฉลาด และมีพละกำลังมหาศาล ช้างจึงสามารถขนส่งสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในปริมาณมากได้อย่างอดทน

ช้างใช้ในการอุตสาหกรรมทำไม้
การใช้ช้างทำไม้ในประเทศไทยเริ่มตั้งแต่การล้มไม้ การทอนไม้ซุง การขนส่งไม้จนถึงโรงงานหรือตลาดการค้า ในแง่ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และระบบการจัดการป่าไม้ในประเทศไทย การใช้ช้างชักลากไม้ นับว่าเหมาะสมมาก เพราะช้างสามารถเดินไปได้โดยไม่ทำลายกล้าไม้ต้นเล็กๆ ไม่ทำให้ดินแน่น ไม่ต้องตัดถนนหนทางให้มากเส้น นอกจากนี้ช้างยังขึ้นเขาได้ดี และมีอายุการใช้งานนานถึง 50 ปี

ในปัจจุบันเมื่อมนุษย์ได้มีการพัฒนาเครื่องจักร และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความนิยมในการใช้แรงงานจากช้างจึงค่อยๆ ลดลง แต่ช้างก็ยังคงเป็นสัตว์ที่คนไทยทั้งชาติให้ความสำคัญเสมอดังนั้นรัฐบาลไทย จึงได้กำหนดให้ “ช้างเผือก” เป็นสัตว์สัญลักษณ์ของชาติ โดยกำหนดให้ทุกวันที่ 13 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันช้างไทย”

ความสำคัญของช้างต่อประวัติศาสตร์ ชาติไทย
ข้อความที่ปรากฎอยู่ในศิลาจารึก สุโขทัยหลักที่หนึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าในสมัยที่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีนั้น "ช้าง" คือขุนพลที่ร่วมรบอยู่ในสมรภูมิจนมีชัยชนะ อีกทั้งพระมหากษัตริย์ทรงประทับช้างนำ ราษฎรไปบำเพ็ญกุศลตามพระอารามในอรัญญิก จะเห็นได้ว่าทั้งในยามศึก และยามสงบช้างอยู่คู่แผ่นดินสุโขทัยเรื่อยมา ช้างมีความสำคัญมากถึงเพียงนี้ จึงมีการสอนวิชาขับขี่ช้างซึ่งเป็นวิชาสำคัญสำหรับเจ้านาย และลูกผู้ดีเพื่อยังประโยชน์ในการใช้ช้างเป็นพาหนะและเตรียมการเพื่อศึก สงคราม

ช้างใช้ในการศึกสงครามในอดีต
ใน สมัยโบราณ ช้างเป็นยุทธปัจจัยสำคัญของกองทัพเปรียบได้กับรถถังประจัญบานของนักรบใน ปัจจุบัน
ทว่าชัยชนะที่ได้รับนั้นจะดูสง่างามกว่าหลายเท่า เพราะมนุษย์ที่นั่งอยู่บนคอช้างต้องเชี่ยวชาญอาวุธของ้าว
ใช้ความกล้าหาญไสช้างแต่ละเชือกพุ่งตรงเข้ารบปะทะกันตัวต่อตัว ช้างต่อช้างเข้าชนกันนั้น

หาก ช้างของผู้ใดมีความสามารถมากกว่าก็จะงัดช้างศัตรูขึ้นด้วยงาจนแหงนหงาย หรือเบนบ่ายจนได้ที
เพื่อให้แม่ทัพบนคอช้างส่งอาวุธเข้าจ้วงฟันคู่ต่อสู้ ช้างกับนักรบบนคอช้างจึงต้องมีกำลังแข็งแรงฝีมือเข้มแข็ง
ทั้งคู่จึงจะได้ชัยชนะมาประดับเป็นเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดิน

การรบบนช้างหรือที่เรียกว่า “ยุทธหัตถี” นั้น เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในประวัติศาสตร์ไทย แต่ครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งคนไทยยังกล่าวขวัญจดจำไม่รู้ลืม คือ “การ ยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา และพระมหาอุปราชาแห่งหงสาวดี ที่ตำบลหนองสาหร่าย แขวงเมืองสุพรรณบุรี เมื่อปีพุทธศักราช 2135 หรือกว่า 400 ปี ล่วงมาแล้ว”









พระยาช้างเผือก ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช





ขอขอบคุณ ข้อมูลและภาพจาก: http://www.kanchanapisek.or.th /www.parliament.go.th/

119
 83 วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย

1. สามี-ภรรยามักทะเลาะเบาะแว้ง
วิธีแก้เคล็ด
หาเตียงทรงขอบมนมาใช้ อย่าใช้เตียงสี่เหลี่ยมที่มีมุมขอบเตียงเป็นมุมแหลมคม ถ้าเตียงมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้ที่นอนขนาดใหญ่ อย่าใช้ฟูกหรือที่นอน 2 ชิ้นมาวางชิดกันการใช้เตียงทรงกลม หรือเตียงขอบมนจะขจัดปัญหาการกระทบกระทั่งของคู่สมรส ทำให้มีความรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้น

2. ความสัมพันธ์ไม่งอกงาม
วิธีแก้เคล็ด
หลายคู่อยู่กันหลายปียังมีแต่เรื่องไม่เข้าใจกัน ความสัมพันธ์ยังคลุมครือไม่ผูกพันแน่นแฟ้ม เมื่อตรวจดูริมหน้าต่างห้องนอนก็เห็นต้นไม้ยืนแห้งเหี่ยว ดังนั้นต้องแก้ไขด้วยการตัดไม้ยืนต้นที่บริเวณหน้าบ้านและริมหน้าต่างห้องนอนออกเสีย
ตามบริเวณหน้าบ้านและริมหน้าต่างห้องนอน ต้องปลูกต้นไม้ ดอกไม้ที่มีใบสมบูรณ์หรือมีดอกสวยงามและมีกลิ่นหอม จึงจะส่งผลให้คู่สามี- ภรรยามีความรักและเข้าอกเข้าใจกันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

3.การงานไม่ก้าวหน้า
วิธีแก้เคล็ด
ให้ตั้งโต๊ะทำงานไว้ยังตำแหน่งโชค คือจุดที่เป็นเส้นทแยงมุมกับประตูห้อง ตั้งโต๊ะให้อยู่ตรงมุมด้านใน เมื่อทำงานสามารถมองเห็นประตูและผู้เข้า-ออกได้สะดวก เก้าอี้ต้องหันผิงผนังหรือหรือตู้เอกสาร จะได้มีความมั่นคงในตำแหน่ง มีอำนาจบารมีและมีแต่ความเจริญก้าวหน้า

4.ขาดเกียรติยศชื่อเสียง
วิธีแก้เคล็ด
ให้หันหัวเตียงไปทางทิศใต้ การตั้งโต๊ะก็ให้ตั้งโต๊ะในจุดที่เป็นทิศใต้ แล้วหันหน้าไปสู่ทิศเหนือหรือตะวันออกก็ได้ การตั้งโต๊ะในทิศใต้หรือหันหัวเตียงไปทางทิศใต้ จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้อย่างงดงาม จะอุดมด้วยเกียรติยศและชื่อเสียง ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์โชติช่วงในทุกด้าน

5. ความรักง่อนแง่น
วิธีแก้เคล็ด
ให้ปลูกไผ่หรือไม้ยืนต้นอื่น ๆ ที่มีใบสดเขียวอุดมสมบูรณ์ดี ปลูกเป็นแนวริมรั้วหน้าบ้านและข้างบ้านให้ครึ้ม ยิ่งถ้าเมื่ออยู่นอกบ้านแล้วมองเข้ามาไม่ค่อยเห็นตัวบ้านได้ถนัดยิ่งถือว่าดี จะส่งผลให้คู่สามี-ภรรยารักใคร่ผูกพันมั่นคง ฐานะความเป็นอยู่ในบ้านก็จะมั่งมีศรสุข

6.คู่สามี-ภรรยา ไม่รวย
วิธีแก้เคล็ด
ให้หาบ้านที่มีลักษณะอยู่บนเนิน หรือบนพื้นที่ที่มีความสูงกว่าพื้นถนนทั่วไปสักพอประมาณ ถ้าอาศัยอยู่ในบ้านเช่นนี้จะส่งผลให้ดวงชะตาดี มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยได้เร็ว ทำกิจสิ่งใดก็จะสำเร็จราบรื่นได้ดี ความสัมพันธ์ของคู่สามี-ภรรยามั่นคงยืนนานอีกด้วย ถ้าหาบ้านอยู่อาศัยในลักษณะนี้ไม่ได้ ก็ให้ขุดสระน้ำปลูกบัวทางซ้ายมือของตัวบ้าน (ยืนอยู่ในบ้าน หันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน)

7.ชีวิตแห้งแล้ง
ความเป็นอยู่ในบ้านมิได้ลำบากมาก แต่จิตใจแห้งแล้งขาดชีวิต ชีวา บางครั้งเงินทองก็ติดขัดไม่ราบรื่น คนในบ้านไม่มีความสดชื่น กระตือรือร้น
วิธีแก้เคล็ด
ให้เลี้ยงปลาตู้สวยงามประดับบ้าน เลือกให้มีปลาเงิน-ปลาทอง ร่วมด้วยยิ่งดี จำนวนปลาที่จะเลี้ยงควรเป็น 6 ตัว 8 ตัว หรือ 9 ตัว ถือว่าเป็นมงคล คนในบ้านจะมีจิตใจแจ่มใสขึ้น ฐานะการเงินก็จะดีขึ้น มีโชคมีลาภไม่ขาด แต่ต้องดูแลตู้ปลาให้สะอาดสดใสอยู่เสมอ

8.มีบางอย่างถ่วงความเจริญ
วิธีแก้เคล็ด
ให้จัดวางข้าวของเครื่องเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่าให้มีข้าวของเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ วางรกระเกะระกะ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นทางเดินไปมาภายในบ้านควรจัดให้กว้างขวางสามารถเดินไปมาได้สะดวก ไม่อึดอัดเพราะมีสิ่งกีดขวาง
ที่ว่าทางเดินต้องปัดกวาดให้สะอาดอยู่เสมอ ข้าวของเครื่องเรือนมีน้อยชิ้นยิ่งดี สิ่งของรก ๆ ให้เก็บใส่กล่องเสีย เพื่อให้ฐานะความเป็นอยู่มีความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภเข้าบ้านไม่ขาด ทำอะไรก็ราบรื่นปลอดโปร่งดีเหมือนไม่มีอะไรมาฉุดรั้งหรือถ่วงความเจริญไว้ เพราะจุดแห่งโชคทรัพย์ไม่ถูกปิดบัง

9.คนในบ้านไม่สดชื่น
วิธีแก้เคล็ด
ถ้าอยากให้คนในบ้านอยู่อาศัยอย่างมีความสุขสันต์ ชีวิตเต็มไปด้วยความรื่นเริงเบิกบานสดชื่น ไม่ต้องมีแต่เรื่องหดหู่เป็นกังวล ควรหารูปภาพอันสดใสของทุ่งหญ้าในฤดูร้อน ทิวเขาในยามเช้า แม่น้ำ ทะเล หรือน้ำตกท่ามกลางแสงตะวันที่อบอุ่นสดใสมาติดแขวนไว้ที่ผนังห้องรับแขก
อาจหารูปภาพฤดูใบไม้ผลิมาประดับผนังก็ได้ ควรเลือกภาพที่มีบรรยากาศธรรมชาติ มีไม้ดอกไม้ใบสวยๆ และอุดมสมบูรณ์ เพราะยิ่งจะเสริมส่งดวงโชคและทรัพย์ของคนในบ้านอีกด้วย

10.เงินทองไม่เข้าบ้าน
วิธีแก้เคล็ด
หาตำแหน่งทรัพย์ของบ้านหรือห้องทำงาน-ร้านค้า คือตำแหน่งที่เป็นเส้นทแยงมุมกับประตู แล้วตั้งชั้นที่มุมนั้น วางรูปปั้น ฮก ลก ซิ่ว หรือแมวกวัก หรือตั้งกระถางต้นวาสนา ต้นว่านกวนอิม หรือจะตั้งแจกันดอกไม้ธรรมดาก็ได้ แต่ต้องดูแลปัดกวาดมุมนี้ให้สะอาดอยู่เสมอ

11.สามี-ภรรยาไม่ผูกพันปรองดอง
วิธีแก้เคล็ด
ขุดบ่อหรือสระน้ำเล็กๆ ที่หน้าบ้านบ่อหรือสระน้ำนี้ควรเป็นรูปลักษณะคล้ายถั่วดำก็ได้ หรือเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งวงกลมก็ได้(แต่ต้องหันส่วนโค้งนูนเข้าตัวบ้าน หันส่วนเว้าออก) ในสระปลูกกอบัว เลี้ยงปลาหางนกยูง หรือทำเป็นน้ำพุก็ได้ อย่าลืมหมั่นดูแลเรื่องความสะอาดด้วย

12.ย้ายเข้าบ้านที่ผู้อื่นเคยอาศัยอยู่อาจอับโชค
วิธีแก้เคล็ด
ให้นำหิ้งพระหรือแท่นบูชาย้ายเข้าสู่ตัวบ้านหลังนั้นเป็นสิ่งแรก ตัดเล็มต้นไม้ใบหญ้าในอาณาบริเวณบ้านที่รกครึ้ม นำกระถางต้นไม้ใบไม้ใหม่ๆ สดๆไปปลูก ไปจัดวางอย่างน้อย 3-4 กระถาง ปัดกวาดขัดถูบ้านให้สะอาดทุกห้อง ขัดล้างทางเดินนอกบ้านให้สะอาด นำกำปั่นหรือกล่องเล็กๆ ใส่เงินทองแก้วแหวนพร้อมด้วยข้าวสารใหม่ ย้ายเข้าบ้านเป็นสิ่งที่ 2 รองจากพระและ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ นำดอกไม้ พวงมาลัย และเครื่องหอมต่างๆ เข้าบ้านก่อนย้ายข้าวของเครื่องเรือนอื่นๆ เปิดไฟให้สว่าง เปิดเพลงบรรเลงจังหวะเบิกบานสดชื่นเบา ๆ ขณะย้ายข้าวของเข้าบ้านอย่าลืมไหว้เจ้าที่เจ้าทางผีบ้านผีเรือนด้วย เคล็ดวิธีทุกข้อที่กล่าวมาจะเป็นการปัดเป่าขับไล่พลังงานที่ไม่ดีออกไป เป็นการเสริมมงคลให้แก่บ้าน

 13.ตั้งหิ้งพระหรือแท่นบูชาไม่ดี ฐานะความเป็นอยู่เสื่อมถอย
วิธีแก้เคล็ด
หิ้งพระหรือแท่นบูชาต่างๆ ต้องตั้งในตำแหน่งมงคลตามหลักวิชาฮวงจุ้ย ถ้าตั้งอยู่ใต้คาหรือใต้บันไดถือว่าไม่ดี ต้องรีบย้ายตำแหน่งใหม่ ถ้าตั้งอยู่ในตำแหน่งที่มีคนเดินข้ามไปมาอยู่ชั้นบนหรือเมื่อเปิดประตูเข้ามาก็พบเห็นได้เลยถือว่าไม่ดี ระวังอย่าตั้งวางไว้หันหน้าเข้าหาห้องน้ำ อย่าตั้งไว้ในห้องนอนของคู่สามี-ภรรยา อย่าตั้งเหนือของร้อน เช่น เตาไฟหรือตู้เย็น ไม่สมควรตั้งไว้เหนือประตูทางเข้าบ้านหรือสำนักงาน

14.อยากเพิ่มพูนโชค
วิธีแก้เคล็ด
ให้ดูแลฟื้นฟูบรรดาไม้ดอก-ไม้ใบในอาณาบริเวณบ้านให้ดี ดูว่าต้นใดเหี่ยวเฉาโรยราก็หาปุ๋ยมาใส่ หมั่นพรวนดินรดน้ำ ลิดใบที่แห้งเหลืองทิ้งเสีย อย่าปล่อยให้มีต้นไม้เฉาตายอยู่ในบ้าน เพราะจะทำให้โชคลาภเสื่อมถอย ถ้าต้นใดตายแล้วก็นำไปทิ้งหรือทำเป็นปุ๋ย หาไม้ดอกไม้ใบสีสดๆ มาปลูกใหม่ ถ้าไม่มีเนื้อที่พอจะปลุกต้นไม้ก็ให้หาไม้กระถางมาตั้งวางในบ้านตามมุมห้องรับแขก ริมหน้าต่างหรือระเบียงก็ได้

15.ค้าขายไม่ดี
วิธีแก้เคล็ด
ติดภาพวาดที่เป็นรูปน้ำตก ทะเล ลำธาร หรือแม่น้ำไว้ที่หลังโต๊ะหรือเคาน์เตอร์เก็บสตางค์ เพื่อให้สายน้ำเรียกโชคลาภเงินทองเข้าร้าน แต่ต้องสังเกตกระแสน้ำในภาพด้วยว่าไหลเข้าโต๊ะหรือไหลเข้าห้องนั้นหรือไม่ ต้องดูมิให้ทิศทางของน้ำไหลออกจากประตูหรือหน้าต่างเป็นอันขาด (ถ้าเป็นบ้าน ให้ติดภาพสายน้ำในห้องรับแขก อย่าติดภาพที่ผนังห้องนอนหรือหลังโต๊ะทำงาน) หาแมวกวักหรือกบ 3 ขา มาตั้งไว้ที่โต๊ะเก็บเงิน หันหน้าของมงคลไปทางหน้าประตู

16.ขาดแคลนเงินทอง
วิธีแก้เคล็ด
หาสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยมาประดับบ้าน เช่น หาภาพวาดหรือลวดลายบนพื้นกระเบื้อง-ผ้าม่าน ที่เป็นรูปดอกไม้ รูประลอกน้ำ รูปกวางมาจัดแต่งบ้าน หา ฮก ลก ซิ่ว มาตั้งไว้บนชั้นในห้องรับแขก เลี้ยงปลาทองในตู้กระจกหรือโถแก้วเพื่อเรียกโชคลาภเงินทอง

17.อยากได้ลูก วิธีแก้เคล็ด
ถ้าอยากได้ลูกสาว ให้หันเตียงไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ หรือทิศตะวันตก ถ้าอยากได้ลูกผู้ชาย ให้หันเตียงไปทางทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันออก เฉียงเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ การตัดเตียงต้องชิดมุมที่อยู่ในจุดเส้นทแยงมุมกับประตูห้อง อย่าตั้งตียงทับหรือตรงกับตำแหน่งของเตาไฟที่อยู่ในครัวชั้นล่าง ภายในห้องนอนควรจัดบรรยากาศให้อบอุ่นอ่อนหวาน ใช้โคมไฟหรี่แทนไฟสว่างจ้า และไม่ควรมีข้าวของจัดวางรกเลอะเทอะ

18.มีปัญหาเรื่องเงินทอง
วิธีแก้เคล็ด
จัดห้องครัวให้สะอาดและเป็นระเบียบ บริเวณเตาไฟที่ทำครัวต้องสะอาดและอยู่ห่างจากอ่างน้ำ มุมทำครัวที่สะอาดจะเรียกโชคลาภเงินทองเข้าบ้าน ในทางตรงข้าม ครัวที่สกปรก เตาไฟที่อยู่ใกล้น้ำ จะส่งผลให้เงินทองรั่วไหล คนในบ้านมักแตกแยกและมีเรื่องขัดแย้งความวุ่นวายเสมอ

19.สามี-ภรรยา ห่างเหิน
วิธีแก้เคล็ด
จัดห้องนอนให้สะอาดและมีบรรยากาศที่รื่นรมย์ เครื่องนอนควรใช้สีอ่อน ๆ สบายตา หาดอกไม้และโคมไฟสีอ่อนมาไว้ที่โต๊ะใกล้เตียง ตัดรูปภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามสบายตาไว้ที่ข้างฝา อย่านำโต๊ะทำงานหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ มาวางใกล้เตียงมากนัก ห้องนอนที่รกเลอะเทอะและเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้มากมาย ถือว่าไม่ถูกหลักฮวงจุ้ย จะส่งผลให้คู่สามี-ภรรยา หงุดหงิดและขาดอารมณ์หวานชื่นในรัก

20.กองขยะที่รกร้าง
หน้าบ้านเป็นบริเวณที่รกร้างว่างเปล่า มีกองไม้ กองหินดินทรายกอง อยู่เกะกะเหมือนกองขยะ หรือมีต้อนหญ้าขึ้นรกไปหมด ถือว่าอัปมงคล จะส่งผลให้เจ็บป่วยบ่อย อาจเป็นโรคตาหรือเกี่ยวกับภายใน
วิธีแก้เคล็ด
ให้ปลุกไผ่กอใหญ่ๆ ไว้ที่หน้าบ้าน แล้วปลูกไม้พุ่มเป็นแนวกั้นบังตาไว้ หรือลงทุนให้คนมาขนขยะที่อยู่ตรงข้ามหน้าบ้านออกไปเสียให้หมด

21.ห้องรับแขกเล็ก
ห้องรับแขกนั้นเป็นอาณาบริเวณที่โชคลาภจะไหลเข้ามา ถ้าห้องรับแขกกว้างขวางปลอดโปร่ง ชี่หรือพลังที่ดีแห่งจักรวาลก็จะไหลเวียนเข้ามาและกระจายตัวได้อย่างสะดวก ถ้าห้องรับแขกเล็กก็ต้องจัดข้างของและเครื่องเรือนให้ดี ถ้ามีข้าวของรกและแน่นจนเดินเหินไปมาไม่ค่อยสะดวก จะทำให้บ้านขาดแคลนโชค
วิธีแก้เคล็ด
จัดห้องรับแขกใหม่ เก็บข้าวของไม่จำเป็นไว้ในกล่อง ไม่ต้องนำมาตั้งวาง วางเก้าอี้รับแขกชิดมุมห้อง จัดแต่งให้เหลือเนื้อที่เดินเหินไปมาได้สะดวกที่สุดเป็นใช้ได้

22.สะพาน
บริเวณหน้าบ้าน มิว่าจะอยู่ในทิศทางตรงข้ามกับหน้าบ้านหรือเยื้องไปเล็กน้อยก็ตาม หากมีสะพานลอยข้ามถนน หรือสะพานรถวิ่งทอดมาในลักษณะพุ่งใส่ตัวบ้านเราพอดี จะมีผลให้คนในบ้านเจ็บป่วยบ่อย หรือมีเรื่องหงุดหงิดรำคาญใจบ่อยๆ จนหมดสุข ทำมาค้าขายใดๆ ก็ยากจะรุ่งเรือง
วิธีแก้เคล็ด
ให้ทำมาค้าประเภทเนื้อสัตว์ ค้าของมีคม หรืออาวุธต่างๆ หรือของที่ต้องใช้มีดคมๆอยู่เสมอ ถ้าขายของอ่อนนุ่มหรือของกินจะรุ่งเรืองยาก ถ้ามิได้ทำการค้าก็ให้ติดยันต์โป๊วข่วยไว้หน้าบ้านบนชั้น 2

23.ทางสามแพร่ง
บ้านทุกหลังที่ตั้งรับทางสามแพร่งมักมีปัญหา เพราะจั้งรับพลังที่พุ่งเข้าใส่อย่างรุนแรงตลอดเวลา ความเป็นอยู่บ้านจึงมีแต่เรื่องเดือดร้อน ธุรกิจการงานล้มเหลว คนในบ้านแตกแยก เจ็บป่วย เกิดอุบัติเหตุ มีแต่เคราะห์มีแต่ภัยไม่หยุด
วิธีแก้เคล็ด
จำเป็นต้องแก้เคล็ดโดยด่วน หาสิงห์คาบดาบมาติดไว้ที่หน้าบ้าน ติดยันต์หินภูเขาหรือยันต์ 8 ทิศ หน้าประตูเข้าตัวบ้าน ติดระฆังลมหรือลูกแก้วคริสตัส หรือปลูกไผ่เป็นแนวบังตาหน้าบาน

24.ถนนล้อมรอบ
บ้านที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง กินเนื้อที่มาก ข้างบ้านจึงอาจล้อมด้วยถนน 2 ด้าน 3 ด้าน หรืออาจ 4 ด้าน ถื่อว่าไม่ดี คนในบ้านจะมีแต่เรื่องถูกรบกวน สิ้นเปลืองเวลาและเงินทองไปกับการแก้ไขปรับปรุงเรื่องยุ่งต่างๆ
วิธีแก้เคล็ด
ให้ปลุกปาล์ม สน หรือต้นไม้ใหญ่ที่สูงกว่าบ้านตั้งไว้รอบๆ บ้าน (ริมรั้วข้างในบริเสณบ้านหรือข้างนอกก็ได้) ทุกด้าน ยกเว้นด้านหน้าบ้าน

 25.บ้านร้าว
หน้าบ้านมีตึกร้าวหรือบ้านร้าวหันหน้าเข้าหา ถือว่าร้ายนัก เพราะบ้านของเราก็จะได้รับแต่พลังร้าย ๆ
วิธีแก้เคล็ด
ให้ปลุกต้นไม้เป็นแนวกั้นบังตาไว้ และแขวนยันต์โป๊ยข่วยแก้เคล็ดด้วย

26.วัด ศาลาเจ้า สุสาน โบสถ์
ถ้ามีวัด ศาลเจ้า หรือสุสานอยู่ตรงข้ามบ้าน หรือยู่ข้างบ้าน เรียกว่าถ้าเปิดประตูก็มองเห็น เปิดหนเต่างออกไปก็มองเห็น ถือว่าร้ายนัก พลังร้ายจะมีอิทธิพลต่อคนในบ้าน ทำให้เกิดความหายนะ ความเสื่อมถอยต่างๆ และความตาย
วิธีแก้เคล็ด
ถ้าย้ายบ้านได้ก็สมควรย้าย แต่ถ้าย้ายไม่ได้ ให้ปลุกต้นไม้ใหญ่ๆ เป็นแนวใกล้ๆ กัน เพื่อกั้นบังตาไว้ แล้วแขวนยันต์จีนและสิงห์คาบดาบไว้หน้าบ้าน แขวนระฆังลมเป็นแนวกั้นพลังร้าย 9 อัน

27.มุมเว้าแหว่งหายไป
สำรวจตัวบ้านหรือลองวาดแปลนบ้านในกระดาษ ถ้าพบว่ามีมุมใดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดเว้าแหว่งขาดหายไปถือว่าเป็นอันตราย จะมีผลร้ายต่อคนในบ้านในลักษณะแตกต่างกันไป เช่น ถ้าเว้าแหว่งทางทิศเหนือ อุปสรรคปัญหาจะเกิดแก่คู่สามี-ภรรยา
วิธีแก้เคล็ด
ให้แขวนลูกแก้วคริสตัล หรือระฆังลมที่มุมตรงข้ามของส่วนที่ขาดหายไป หรือนำกระถางต้นไม้มาตั้งเรียงเป็นแนวเหมือนจะสร้างผนังบ้านให้มุมนั้นได้กลายเป็นส่วนที่เต็มอย่างสมบูรณ์

28.ต้นไม้ใหญ่
บริเวณหน้าบ้านมีต้นไม้ใหญ่ ๆ เรียงรายตามแนวรั้วหน้าบ้านหรือยืนต้นอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านถือว่าไม่ดี ต้นไม้ใหญ่หากขึ้นอยู่ข้างบ้านและหลังบ้านจึงจะดี เพราะให้พลังปกปักรักษาและเกื้อหนุน
วิธีแก้เคล็ด
ถ้าสามารถตัดได้ก็สมควรตัด แต่มิอาจทำได้ก็ไม่เป็นไร ให้หาประทัดจีน 8 ดอก ไปแขวนไว้ที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าบ้านที่สุด

29.ต้นไม้กลางบ้าน
ภายในบริเวณบ้าน ถ้ามีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ตรงกลางที่ดิน หรือกลางลายบ้าน สมควรตัดออก เพราจะทำให้เกิดความติดขัดในหลายๆด้าน
วิธีแก้เคล็ด
หาประทัดจีน 5 ดอก มาผูกติดไว้ที่ต้นไม้นั้น หรือตัดต้นไม้ออกเสีย ดดยจะต้องกราบไหว้ขอขมาต้นไม้เสียก่อนก็ดี

30.หนามต้นไม้
อย่าปลูกต้นไม้ชนิดใดๆ ก็ตามลำต้นมีหนามแหลม (ยกเว้นดอกกุหลาบ) เพราะจะส่งผลให้คู่สามี-ภรรยาหรือสมาชิกในบ้านมีแต่เรื่องบาดหมางกัน และยังทำให้คนในบ้านอารมณ์แปรปรวนง่ายอีกด้วย
วิธีแก้เคล็ด
ให้จัดการถอนและตัดไม้ดอก-ไม้ใบต่างๆ ที่มีหนามคม ออกไปให้หมด หาไม้มงคลมาปลูกเสริมดวงและเสริมฮวงจุ้ยตามความเหมาะสม

31.ประตูรั้ว
ประตูทางเข้าออกหน้าบ้านกับประตูทางเข้าตัวบ้าน ถ้าอยู่ในแนวตรงกันหรือเล็งกันพอดี ถือว่าเป็นอัปมงคล ยิ่งถ้าเป็นแนวตรงกับประตูหลังบ้านด้วยยิ่งร้ายใหญ่ ความเป็นอยู่ในบ้านยะวุ่นวายมีแต่ปัญหา เงินทองรั่วไหล คนในบ้านไม่เป็นน้ำใจเดียวกัน
วิธีแก้เคล็ด
หาหระดิ่ง หรือระฆังลม หรือขลุ่ยจีนผูกริบบิ้นแดงผูกไว้บนเพดาน ให้ห้อยลงมาเหนือศรีษะพอสมควร ติดไว้ตรงกลางระหว่างแนวประตูที่เล็งกันพอดี

32.ประตูห้องน้ำ
ประตูห้องน้ำ-ห้องครัวอยู่ในแนวตรงกันพอดี ต้องแก้ไข เพราะห้องน้ำนั้นเป็นธาตุน้ำ ส่วนห้องครัวนั้นเป็นธาตุไฟ
วิธีแก้เคล็ด
ให้หาม่านมูลี่มาติดที่หน้าประตูห้องน้ำไว้ เลือกใช้มู่ลี่สีเขียว หรือทาสีเขียวที่ประตูห้องน้ำเลยก็ได้

33.รั้วไม้เลื่อย
บ้านที่ปลูกไม้เถาไม้เลื้อยให้เลื้อยพันรั้วหรือกำแพงบ้านจนดูร่มรื่นและครึ้มไปหมด อาจจะดูสวยดี แต่กลับทำให้ผู้ชายในบ้านมีอารมณ์มุทะลุวู่วาม มีแต่ความดุร้ายโมโหง่ายแม้เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ
วิธีแก้เคล็ด
สมควรปลูกไม้พุ่มที่รั้วบ้านแทนไม้เลื่อย ถ้าจะปลูกไม้เถาไม้เลื้อยก็ควรปลูกตำแหน่งเดียว แล้วทำการซุ้มหรือตัดแต่งให้สวยงามอย่าปล่อยให้เถาไม้พันเลื้อยจนเต็มกำแพง

34.รั้วไม่เท่ากัน
ความสูงของรั้วบ้าน 2 ด้าน (ด้านหน้าบ้าน หรือด้านหน้ากับด้านข้าง) หากไม่เท่ากัน มีด้านหนึ่งด้านใดสูงกว่ากัน ถือว่าผิดฮวงจุ้ย ตนในบ้านจะไม่รักใคร่สามัคคีกัน สามีจะนอกใจ หรือผู้ใหญ่ในบ้านอายุไม่ยืนยาว
วิธีแก้เคล็ด
ถ้าเสริมสร้างรั้วด้านอื่นๆให้มีความสูงทัดเทียมกันไม่ได้ ก็ต้องจัดกอไผ่หรือไม้ใบอื่นๆ ที่ปลูกให้ยืนตรงกันเป็นแนวริมรั้วที่ต่ำกว่า เพื่อให้ดูมีความสูงพอกัน

35.ประตูใกล้กัน
หากเปิดประตูของห้องสองห้องที่อยู่ใกล้กัน แล้วบานประตูเปิดชนกันหรือเหลื่อมล้ำเกยกัน หรือลูกบิดประตูกระทบกันได้ ถือว่าฮวงจุ้ยไม่ดี คนที่อยู่ใน 2 ห้องนั้นจะแตกแยกมีแต่เรื่องบาดหมางต่อกัน
วิธีแก้เคล็ด
ให้เปลี่ยนประตูบานหนึ่งโดยแก้ให้เปิดไปอีกทางหนึ่ง หรือถ้าแก้ไขไม่ได้ก็ให้ผูกริบบิ้นสีแดงเอาไว้ที่บานประตูให้สูงกว่าช่วงไหล่ขึ้นไปเล็กน้อย

36.ประตูเข้าบ้าน
ประตูของรั้วบ้านกับประตูเข้าตัวบ้านควรหันหน้าไปหาทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่ว่าประตูรั้วอยู่ทางทิศเหนือ แต่ประตูเข้าบ้านอยู่ทางทิศตะวันออกหรือตะวันตก อย่างนี้ถือว่าไม่ดี อยู่อาศัยในบ้านนี้แล้วหาความเจริญรุ่งเรืองยาก
วิธีแก้เคล็ด
ให้เจาะประตูใหม่ ประตูหน้าบ้านควรหันหน้าอยู่ในทิศทางเดียวกับประตูรั้วเท่านั้น

 37.ทางเข้า
บ้านหรือสำนักงานใดหากเปิดประตูเข้าไปแล้ว พบเจอผนังก่อนถือว่าไม่ดีอย่างยิ่ง ทำกิจใดก็มักมีอุปสรรคไม่ราบรื่น
วิธีแก้เคล็ด
ให้ติดกระจกเงาไว้ที่ผนังนั้น หรือติดภาพเขียนแม่น้ำ หรือทุ่งหญ้าอันกว้างขวางร่มรื่นดูสบายตา

38.ประตูห้อง
ประตูห้องต่างๆ ภายในบ้าน ถ้าอยู่เล็งกันหรือหันหน้าประจันตรงกันพอดีจะเป็นผลร้าย ทำให้ผู้อยู่ 2 ห้องนั้นขัดแย้งกัน หรือถ้าห้องนอนมีประตูชนกับประตูห้องน้ำหรือห้องครัวพอดีก็จะทำให้เงินทองหดหาย สามี-ภรรยา ทะเลาะกันบ่อยหรือเจ็บป่วยบ่อย ๆ
วิธีแก้เคล็ด
ติดลูกศรคริสตัลบนเพดานตรงกึ่งกลางระหว่าง 2 ห้องนั้นหรือติดผ้าม่านลวดลายมงคลที่หน้าประตูห้องใดห้องหนึ่ง ถ้าประตูห้องนอนตรงกับประตูห้องน้ำ หากระจกเงามาแขวนหน้าประตูห้องน้ำก็ได้

39.ประตู 3 บาน
บ้านที่มีประตูเล็งกัน 3 จุด ถือว่าเป็นอัปมงคลยิ่ง สิ่งที่ดีจะไหลผ่านออกอย่างเร็ว มีผลให้เงินทองรั่วไหล คนในบ้าน
ไม่มีน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
วิธีแก้เคล็ด
ติดผ้าม่านลูกปัดมูลี่ บางจุดตั้งฉากกั้นไว้ ติดระฆังลมแขวนกั้นระหว่างประตู 2 ประตู

40.ประตูกว้างใหญ่
ถ้าประตุห้องใดมีขนาดใหญ่เกินไปจนดูไม่สมส่วนกับห้องที่ไม่ได้มีขนาดกว้างใหญ่นัก ถือว่าไม่เป็นมงคลเพราะจะทำให้เคราะห์ร้ายครอบงำคนในบ้านและมักพลาดโอกาสดี ๆในชีวิตเสมอ
วิธีแก้เคล็ด
ทาสีประตูให้ดูเป็นสีเข้มขึ้น เพื่อให้ประตูดูทึบและเล็กลง หรือหาตู้ใหญ่ๆ 2 ใบ มาตั้งไว้ชิดผนังด้านในห้องด้านใกล้ประตูก็ได้

41.หน้าต่างเลื่อน
หน้าต่างลักษณะเปิดเลื่อนไปด้านข้างหรือเลื่อนขึ้นข้างบน ควรให้มีการเลื่อนได้สุดๆ ถ้าเลื่อนเปิดได้ไม่กว้างมากถือว่าไม่ดี ผู้อยู่อาศัยในบ้านนั้นจะมีความเหนื่อยหน่าย จิตใจไม่แจ่มใสเบิกบานความเจริญก้าวหน้าอยู่ในระดับผลุบๆโผล่ๆ
วิธีแก้เคล็ด
ควรจัดการซ่อมแซมแก้ไขหน้าต่างเปิดเลื่อนได้เต็มที่หรือดัดแปลงเป็นหน้าต่างชนิดเปิดออกไปให้ได้กว้างๆ

42.หน้าต่างกับต้นไม้
เมือเปิดหน้าต่างออกไปแล้ว บานหน้าต่างชนกับกิ่งไม้พอดี ถือว่าไม่ถูกหลักฮวงจุ้ย บ้านที่มีต้นไม้ที่แผ่ก้านสาขามาระหน้าต่างถือกันว่าเป็นบ้านที่คนในบ้านมักจะกระทบกระทั่งกันอยู่เสมอและมักมีเหตุภัยให้ต้องตื่นเต้นตกใจกันอยู่เสมอ
วิธีแก้เคล็ด
ให้จัดการตัดกิ่งก้านของต้นไม้ให้เรียบร้อย อย่าให้แผ่กิ่งก้านมาระบานหน้าต่าง ถ้าไม่ชอบตัดต้นไม้และต้นไม้ต้นนี้ค่อนข้างสูงใหญ่ ก็อาจติดระฆังลมไว้ที่หน้าต่างด้วย

43.บันได
เมื่อเปิดประตูเข้าบ้าน หากพบเห็นทางขึ้นบันไดพอดีถือว่าผิดหลักฮวงจุ้ย บันไดที่ทอดมาตรงกับประตูบ้านจะทำให้เก็บเงินเก็บทองไม่อยู่ ยากที่จะเรียกเงินเข้าบ้าน แม้หาได้มากเท่าไรก็มีเรื่องให้ไหลออกหมด ผู้อยู่อาศัยชั้นบนก็จะมีแต่ความหมองหม่นเงียบเหงา
วิธีแก้เคล็ด
ตั้งฉากบังตาไว้ หาฉากสวยๆ ลวดลายมีความหมายเป็นมงคลมาตั้งให้บังตาประตุบ้าน ตั้งให้ห่างจากประตูสัก 1-2 เมตร พอให้เข้าออกได้สบาย หรือหาลูกแก้วคริสตัลมาแขวนไว้เพื่อกระจายชี่

44.เพดานหรือบันได
บริเวณทางขึ้น-ลง บันได หรือจุดที่พักกลางบันได หากเพดานเหนือบริเวณนั้นค่อนข้างต่ำมากจนคนตัวสูงรู้สึกขึ้น-ลง ไม่สะดวก เพราะต้องคอยก้มศีรษะด้วย ถือว่าฮวงจุ้ยไม่ดี คนในบ้านจะมีแต่ความอึดอัดกดดันไม่เป็นสุข
วิธีแก้เคล็ด
ควรติดโคมไฟขาวไว้กลางบันได พอเย็นลงก็เปิดให้สว่างไสวอยู่เสมอ หรืออาจนำกระจกเงาบานใหญ่ๆ มาติดไว้บนผนังข้างบันไดหรือบริเวณที่พักกลางบันไดก็ได้

45.บันไดวน
บันไดรูปทรงวนนั้นดูสวยงามตามอย่างบ้านสมัยใหม่ แต่กลับจะมีผลไม่ดี
วิธีแก้เคล็ด
ให้ทาสีเขียวอ่อนทั้งบันได หรือปลูกไม้เลื้อยไม้เถาที่เสาหลักหรือแกนของบันได อาจติดกระจกเงาเล็กๆ เสริมที่ใต้บันได หรือจุดหักหมุนของตัวบันไดวนก็ได้

46.ห้องรับแขก-ห้องครัว
เมื่อนั่งอยู่ในห้องรับแขก แล้วมองเห็นเตาหุงหาอาหารหรือมองเห็นมุมครัวได้ชัดเจน หรือค่อนข้างอยู่ใกล้ชิดกัน ถือว่าไม่ดี คนในบ้านจะมีเรื่องมีราวบ่อยๆ จิตใจผกผันง่าย การเงินมีปัญหา
วิธีแก้เคล็ด
หาฉากมาตั้งกั้นบังตาที่หน้าครัว หรือหากระถางต้นไม้ใบสัก 2-3 กระถางมาจัดวางไว้พอบังตาได้สักหน่อยที่บริเวณหน้าครัว

47.แต่งห้องนั่งเล่น
ห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกที่ตกแต่งรกรุงรัง เช่น แขวนรูปภาพต่างๆ ไว้จนเต็มฝาผนังบ้าง ตั้งวางตู้ชั้น และข้าวของต่างๆ จนแน่นเต็มเนื้อที่จนทำให้ดูรกตาหรือนั่งแล้วอึดอัด เดินเหินก็ไม่สะดวกถือว่าผิดฮวงจุ้ย อยู่อาศัยแล้วไม่รุ่งเรือง มีแต่ความวุ่นวายกังวล ขาดความกระตือรือร้นที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้ชีวิต และสามี-ภรรยามักจะแตกแยก
วิธีแก้เคล็ด
ควรเก็บของรกๆ ทิ้งไป จัดแต่งห้องรับแขกใหม่ให้โปร่งโล่งดูสบายตาและสบายตัว

48.ห้องน้ำรับทางเข้า
หากเดินเข้าในบ้านแล้วสามารถพบเห็นประตูห้องน้ำได้ทันที เพราะห้องน้ำตั้งอยู่ในทิศทางที่รับหรือเผชิญกับประตูเข้าบ้านพอดี ถือว่าเป็นอัปมงคลยิ่งนัก คนในบ้านจะสุขภาพทรุดโทรม การเงินในบ้านก็ติดขัดบ่อยๆ
วิธีแก้เคล็ด
ให้หาฉากแบบ 3 ส่วน มาตั้งบังตาหน้าประตูห้องน้ำไว้ หรือติดกระจกเงาบานใหญ่ที่หน้าบานประตูห้องน้ำ หรือหาม่านลวดลายมงคลมาแขวนไว้หน้าบานประตูห้องน้ำ และให้ปิดประตูห้องน้ำไว้เสมอ

 49.ห้องน้ำสุดทาง
ห้องน้ำที่ไปตั้งอยู่สุดทางเดินที่เล็กและแคบ ก็เท่ากับว่าได้รับพลังร้ายง่ายดาย เพราะอยู่ในตำแหน่งคล้ายลูกธนูพุ่งเข้าชนตลอดเวลา จะเป็นอันตรายต่อสตรีมีครรภ์ คนในบ้านจะเจ็บไข้ได้ป่วยกันบ่อยๆ ผู้หญิงบ้านนี้จะมีลูกยาก
วิธีแก้เคล็ด
ให้แขวนม่านลูกปัดไว้หน้าบานประตูห้องน้ำ ติดลูกแก้วคริสตัลบนเพดานเหนือทางเดินเพื่อให้ชี่กระจายไหลเวียนได้ดี

50.โถส้วมกับประตู
เมื่อเปิดประตุห้องน้ำไปแล้วพบเจอโถส้วมหันหน้าเข้าหาพอดี หรือหากนั่งบนโถส้วมแล้วหันหน้าเผชิญกับประตูพอดี ถือว่าเป็นอัปมงคล
วิธีแก้เคล็ด
ให้หาฉากหรือม่านพลาสติกมาติดกั้นไว้พอบังตาสักหน่อย

51.ที่ตั้งโถส้วม
สังเกตดุให้ดีว่าตำแหน่งของโถส้วมอยู่ ณ จุดใด แล้วระวังอย่าให้มีการตั้งเตียงโดยหันหัวเตียงมาชิดผนังด้านโถส้วม หรือการจัดวางข้าวของเครื่องเรือนที่ชั้นล่างก็อย่าวางโต๊ะทำงานหรือโต๊ะอาหาร หรือเตาหุงหาอาหารไว้ใต้โถส้วม เพราะจะทำให้คนในบ้านหมดความเจริญก้าวหน้า
วิธีแก้เคล็ด
ถ้าจำเป็นต้องมีข้าวของเครื่องเรือนใดวางอยู่ใต้ห้องน้ำ โดยเฉพาะใต้จุดที่ตั้งของโถส้วม ก็ให้ตั้งถ้วยเล็กๆ ใส่เกลือวางไว้ข้างใต้โถส้วม หมั่นเปลี่ยนเสมอๆ

52.เตาไฟ-ก๊อกน้ำ
น้ำกับไฟอย่าจัดให้อยู่ใกล้กันเป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเตาไฟในครัวต้องดูแลตำแหน่งที่ตั้งให้ดี เตาไฟที่อยู่ใกล้ซิงก์หรืออ่างล้างผักล้างจาน ถือว่าไม่เป็นมงคล จะทำให้คนในบ้านทะเลาะเบาะแว้งกันได้บ่อยๆ เงินทองรั่วไหลเก็บไม่อยู่ ทำอะไรมักไม่ราบรื่น ไม่มีดชคไม่มีลาภ
วิธีแก้เคล็ด
ต้องจัดเตาหรือส่วนที่ใช้หุงหาอาหารไว้แยกกับส่วนที่เป็นน้ำถึงแม้ครัวจะเล็กก็ควรแยกเตากับอ่างน้ำให้ห่างกันสักระยะหนึ่ง การหาที่คั่นกลางอาจช่วยไม่ได้มาก ควรแยกให้เด็ดขาดจะดีกว่า

53.เตาไฟหน้าบ้าน
บางบ้านตั้งครัวไว้ในส่วนของตัวบ้าน เมื่อเดินเข้าบ้านหรือนั่งอยู่ในห้องรับแขกสมารถเห็นเตาไฟและการปรุงอาหารได้ชัดเจน ถือเป็นอัปมงคล จะส่งผลให้บ้านมีเรื่องทุกข์ร้อนเสมอ สมาชิกในบ้านไม่ปรองดอง มีเคราะห์มีภัยอยู่เสมอ
วิธีแก้เคล็ด
ให้ย้ายมุมทำครัวไปไว้ส่วนที่ค่อนไปทางครึ่งหลังของตัวบ้าน ถ้าไม่มีห้องครัวโดยเฉพาะ ก็ให้หาฉากมาตั้งไว้เพื่อกั้นมุมครัวให้เป็นสัดเป็นส่วน

54.ลูกศรในครัว
ให้มองดูรอบๆ ห้องครัว หากมีเสาหรือมุมหนึ่งมุมใดที่เป็นมุมเหลี่ยมแหลมคมและพุ่งชี้มาทางจุดที่ตั้งเตาไฟต้องรีบ
แก้ไขโดยด่วน มิฉะนั้นคนในบ้านจะมีแต่เคราะห์และความตกต่ำ
วิธีแก้เคล็ด
ให้หากระถางต้นไม้มาตั้งบังเสาต้นนั้นเพื่อบังหรือลดคมของมุมแหลมของเสา หรือ อาจติดกระจกเงาบานเล็กๆ ยาวๆ ปิดบังเสาไว้ก็ได้

55.ตำแหน่งเตาไฟ
การตั้งเตาไฟต้องตั้งวางในจุดที่พิงผนัง อย่าตั้งลอยๆ กลางห้องโดยไม่มีผนังอิงหลังเตา และคนยืนปรุงอาหารต้องมีความสะดวกสบายในการเคลื่อนไหว เพราะถ้าตั้งเตาไฟในมุมอับ จะทำให้คนในบ้านมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย และฐานะการเงินพลิกผันบ่อย
วิธีแก้เคล็ด
ให้ย้ายเตาไปตั้งที่มุมซึ่งมีผนังตั้งรับ จัดวางเตาในมุมหรือบนโต๊ะที่กว้างขวางและมีอากาศถ่ายเทสะดวก

56.โต๊ะอาหาร
เมื่อเดินเข้าบ้านมาสามารถพบเห็นโต๊ะอาหารได้ทันที ถือว่าไม่ค่อยดีนัก เพราะจะทำให้คนในบ้านมีเรื่องราวขัดแย้งกัน บ้านนี้จะมีแขกและเพื่อนฝูงแวะเวียนมาสังสรรค์เฮฮาอยู่บ่อยๆ ครั้ง จนเป็นปัญหามากกว่าเป็นความสุข
วิธีแก้เคล็ด
ควรตั้งโต๊ะอาหารไว้ในมุมด้านในของบ้าน อย่าจัดวางไว้รับหน้าประตูบ้านนัก ถ้าพื้นที่จำกัดจริงๆให้หาม่านหรือฉากมาตั้งบังตาไว้

57.โต๊ะอาหารกับครัว
โต๊ะอาหารตั้งวางไง้ในจุดใดๆ ของบ้านก็ตาม ถ้าไกลจากห้องครัวมากนัก ถือว่าผิดหลักฮวงจุ้ย มีผลต่อฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัว ทำให้เรื่องการเงินติดขัดไม่ลื่นไหล
วิธีแก้เคล็ด
ควรย้ายโต๊ะอาหารเสียใหม่ นำมาจัดวางใกล้ๆ กับห้องครัวหรือทำมุมทำครัว แล้วความเป็นอยู่จะอุดมสมบูรณ์ ครอบครัวรักใคร่สามี-ภรรยาปรองดองกันดี การงานและการเงินไร้ปัญหา

58.โต๊ะทำงานพิฆาต
โต๊ะทำงานที่ตั้งหันหน้าชนและชิดกับผนัง ผู้ที่นั่งทำงานนั่งหันหลังให้กับประตู ถือว่าเป็นลักษณะพิฆาต ผู้ทำงานในตำแหน่งนั้นจะหมดโอกาสได้รับความเจริญก้าวหน้า มิสามารถทำงานได้ยั่งยืนยาวนานในตำแหน่งนี้ มักมีความผิดพลาดล้มเหลวหรือถูกศัตรูมุ่งร้าย
วิธีแก้เคล็ด
หาทางจัดโต๊ะใหม่ที่ไม่ต้องนั่งหันหลังให้ประตู และถ้าไม่ต้องหันหน้าโต๊ะชิดผนังได้ก็จะดีมาก

59.โต๊ะทำงานใต้คาน
การตั้งโต๊ะทำงานมิควรหันหน้าเผชิญกับหน้าต่างพอดีหรือนั่งหันหลังให้หน้าต่าง เพราะจะทำให้การทำงานขาดคุณภาพ จิตใจไม่มีสมาธิทุ่มเทให้กับงาน ทำความผิดพลาดได้บ่อย ยากจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
วิธีแก้เคล็ด
ให้ขยับโต๊ะและจัดวางใหม่ แต่ถ้าจำเป็นต้องตั้งโต๊ะหันหน้าให้หน้าต่าง ก็ควรขยับโต๊ะห่างจากหน้าต่างสัก 1 เมตร ถ้าต้องวางโต๊ะหันหลังให้หน้าต่าง ก็ควรให้เก้าอี้ห่างออกมา 1 เมตร หรือหาชั้นเอกสารเตี้ยๆ วางชิดริมหน้าต่างไว้

60.โต๊ะเจ้านาย
โต๊ะของผู้เป็นหัวหน้าแผนกหรือเจ้านาย ควรหันหลังพิงข้างฝา อย่าตั้งโต๊ะกลางห้อง เราะด้านหลังเก้าอี้จะว่างเปล่าไม่มีผนังเป็นหลักอันมั่นคงและปกป้องจะทำให้สูญเสียบทบาทอำนาจในการบริหารงาน
วิธีแก้เคล็ด
สมควรจัดวางโต๊ะให้นั่งหันหลังอิงผนังของห้องได้อย่างพอดี ไม่ชิดจนเกินไปและไม่ห่างจนเกินไป

 61.ห้องเชือดเฉือน
ห้องนอนที่ไม่เป็นสี่เหลี่ยม แต่มีส่วนหนึ่งเว้าแหว่งไปจนเป็นรูปทรงคล้ายมีดบังตอ ถือว่าไม่ดี ยิ่งถ้าตั้งเตียงตรงบริเวณส่วนคมของมีดก็ยิ่งถือว่าไม่ดี จะทำให้สามี-ภรรยาชอบหาเรื่องทำร้ายกัน มิว่าทางกายหรือทางคำพูด หรืออาจต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดใหญ่
วิธีแก้เคล็ด
ให้ตั้งเตียงในส่วนที่เป็นด้านสันมีด แล้วติดลูกแก้วคริสตัลหรือตั้งกระถางต้นไม้ไว้ที่จุด A
ถ้าเตียงจำเป็นต้องอยู่ทางคมมีด เพราะผนังด้านสันมีดเป็นห้องน้ำ ก็ให้ติดกระจกเงาบานใหญ่ไว้ทางผนังด้านตรงข้ามกับเตียง

62.ปลายเตียง
บริเวณปลายเตียงนอนสมควรให้มีเนื้อที่ว่างอย่างน้อยที่สุดก็สัก 2 ฟุตครึ่ง (ถ้ามีเนื้อที่เหลือกว้างมากก็ยิ่งดี) พยายามอย่าให้มีตู้หรือโต๊ะมาตั้งไว้ที่ปลายเตียงจนเกือบชิด จะทำให้ฝันร้ายบ่อย และจิตใจมักหงุดหงิดไม่สบายอยู่เสมอ
วิธีแก้เคล็ด
ควรปล่อยให้ปลายเตียงเป็นบริเวณโล่งๆ โปร่งๆ ถ้าเนื้อที่จำกัดจริงๆ และจำเป็นต้องวางตู้ขนาดใหญ่ไว้ที่ปลายเตียงก็ให้ติดผ้าม่านสีอ่อนๆ ที่หน้าประตูตู้ เมื่อนอนมองมาจะมีความรู้สึกสบายตา ไม่รู้สึกถูกพลังบางอย่างกดทับ

63.หัวเตียง
ถ้าตั้งหัวเตียงไปทางทิศตะวันตก คู่สามี-ภรรยาจะมีแต่ความเบื่อหน่ายหมดความรักความใคร่ในกันและกัน แม้เป็นคนโสดก็จะมีแต่เรื่องให้เป็นทุกข์และกังวลใจ ชีวิตถดถอยมากกว่าเจริญก้าวหน้า
วิธีแก้เคล็ด
ให้ย้ายหัวเตียงไปทางทิศอื่น แล้วชีวิตจะมีความสุขความเจริญขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คู่สามี-ภรรยาก็จะมีความรักใคร่กันอย่างสดชื่นยิ่งขึ้น

64.เตียงกับเตา
การตั้งเตียงนอนต้องระวังให้มากที่สุด ดูด้วยว่าชั้นล่างบริเวณที่ตรงกับเตียงเรานั้นเป็นสิ่งของเครื่องเรือนใดบ้าง ถ้าตั้งเตียงทับเตาไฟในครัวชั้นล่าง หรือตั้งทับทีวี ตู้เย็นที่เป็นเครื่องไฟฟ้าก็ถือว่าไม่เป็นมงคล จะมีผลให้ชีวิตคู่แตกแยก การเงินติดขัด
วิธีแก้เคล็ด
ต้องย้ายตำแหน่งของเตียงนอนไปยังมุมอื่น หรือย้ายการจัดวางเตาไฟในมุมครัวชั้นล่างไปวางตั้งยังมุมอื่น แล้วคู่สมรสจะรักกันมั่นคงยั่งยืน ฐานะการเงินก็มั่งคั่งขึ้น

65.เตียงนอน
ถ้าเตียงนอนตั้งอยู่ในตำแหน่งตรงกับประตู เมื่อนอนอยู่บนเตียงแล้วมีลักษณะท่าทีคล้ายนอนขวางประตูอย่างหนึ่ง หรืออีกอย่างหนึ่งเหมือนนอนเอาปลายเท้าชี้หาประตู ถือว่าไม่ดี
วิธีแก้เคล็ด
ให้ติดผ้าม่านอย่างทึบ (มีลวดลายได้ แต่มิใช่ผ้าโปร่งบาง) ติดบังตาไว้โดยห้ามผุกรวบชายม่านเป็นอันขาด หรือหาฉากบานพับมาตั้งบังตาระหว่างเตียงกับประตูห้องนอนหรือกั้นขวางด้วยตู้เสื้อผ้าก็ได้

66.หิ้งพระ
ไม่ควรตั้งหิ้งพระในห้องนอนเป็นอันขาด เพราะในห้องนอนเป็นห้องที่สามี-ภรรยามีความสัมพันธ์ทางเพศกัน ถึงเป็นคนโสดก็มีการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ยิ่งถ้าตั้งหิ้งพระไว้ที่ผนังด้านปลายเตียงยิ่งไม่ดี ชีวิตความเป็นอยู่มีแต่จะเสื่อมลง
วิธีแก้เคล็ด
ย้ายหิ้งพระไปตั้งไว้ในห้องอื่น แต่ถ้าอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์ห้องเดี่ยวก็ให้ตั้งไว้บนหลังตู้แล้วหันพระไปทางอื่น ให้องค์พระหันหลังให้บริเวณตั้งเตียง

67.เหนือเตียงต้องโล่ง
มิควรติดตั้งตู้หรือชั้นวางของที่เหนือหัวเตียงเด็ดขาด แม้จะเป็นชั้นเล็กๆ หรือตู้ลอยแบบบิลด์-อินก็ตามแม้จะทำให้ได้ประโยชน์ในการใช้สอยแต่จะทำให้การงานติดขัด ความคิดไม่โลดแล่น จิตใจให้หดหู่ว้าวุ่นและเจ็บป่วยง่าย
วิธีแก้เคล็ด
ควรจัดการรื้อตู้และชั้นต่างๆ ออกจากบริเวณหัวเตียง ที่ผนังด้านเหนือศีรษะ หรือที่หัวเตียงติดรูปภาพลวดลายมงคลแทนจะดีกว่า

68.เตียงใต้คาน
การจัดวางเตียงนอนไว้ใต้คานถือว่าผิดฮวงจุ้ย การตั้งเตียงลักษณะนี้จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของเตียงมักเจ็บป่วยง่าย สุขภาพไม่ดี ปวดศีรษะบ่อย ปวดเมื่อยเนื้อตัวบ่อย จิตใจอึดอัดกดดันโดยไม่รู้สาเหตุแน่ชัด
วิธีแก้เคล็ด
ควรจัดการเคลื่อนย้ายเสียใหม่ ตั้งเตียงไว้ในมุมอื่นที่มิได้อยู่ใต้คาน ถ้าย้ายไม่ได้จริงๆ ให้แขวนขลุ่ยจีนผูกด้ายแดงเพื่อแก้เคล็ดที่บริเวณคานนั้น

69.โต๊ะเครื่องแป้ง
ถ้าโต๊ะเครื่องแป้งตั้งอยู่ปลายเตียงพอดี หรือตั้งอยู่ข้างเตียงโดยหันกระจกเงาเข้าหาตัวเตียงพอดี จะทำให้ฝันร้ายบ่อยๆ พลังจิตใจอ่อนแอ ตื่นตกใจง่าย
วิธีแก้เคล็ด
ย้ายตำแหน่งของโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ถ้าย้ายไม่ได้จริงๆ ให้ติดผ้าม่านปิดกระจกเงาไว้

70.ใต้เตียง
พื้นที่ว่างใต้เตียงถ้าทำเป็นที่เก็บของจนรกรุงรัง และมีข้าวของเก่าๆ ชำรุดเก็บไว้ด้วย จะทำให้สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่แท้งได้ ผู้ที่นอนบนเตียงนั้นจะมีจิตใจกระสับกระส่าย การงาน-การเงินติดขัดไม่ราบรื่น ถ้าเป็นคู่สามี-ภรรยาก็จะมีปากเสียงกันบ่อย
วิธีแก้เคล็ด
นำข้าวของไปบรรจุใส่กล่องแล้วเก็บไว้ที่อื่น จัดใต้เตียงให้โล่ง ปัดกวาดให้สะอาดเสมอ ถ้าจำเป็นจริงๆ ให้เก็บของใส่กล่องให้เรียบร้อยเป็นระเบียบ แต่อย่าเก็บของหักๆ ชำรุดไว้ใต้เตียงเด็ดขาด

71.หลังบ้านมีน้ำ
ถ้าบริเวณหลังบ้านมีแอ่งน้ำ มิว่าจะอยู่ในเขตรั้วบ้านของเรา หรืออยู่นอกรั้วของเรานั้นถือว่าไม่ดี เพราะจะส่งผลให้คนในบ้านของเรามีฐานะความเป็นอยู่ที่หยุดนิ่งหรือเสื่อมถอยลง ขาดความเจริญรุ่งเรือง
วิธีแก้เคล็ด
ถ้ามิสามารถจัดการถมดินลงในแอ่งน้ำหรือทางน้ำนั้นได้ ก็ให้ปลูกต้นไม้เรียงกันเป็นแนวไว้ที่หลังบ้าน เพื่อกั้นระหว่างแอ่งน้ำกับตัวบ้านของเรา

72.สระน้ำหลังบ้าน
บ้านที่มีสระน้ำหรือบ่อน้ำอยู่ด้านหลังบ้าน ถือว่าไม่ดี จะมีผลให้ธุรกิจล้มเหลว การงานไม่ก้าวหน้า สุขภาพไม่ดี เจ็บไข้ได้ป่วยกันบ่อยๆ การเงินติดขัด มีหนี้มีสินมาก
วิธีแก้เคล็ด
สมควรถมสระหรือบ่อน้ำ แต่ถ้ามิสามารถทำได้ ให้ปลูกต้นไม้แบบพุ่มรอบๆ ตัวสระ เพื่อบังตาไว้ มิให้มองเห็นได้ถนัดเมื่อมองมาจากนอกบ้าน แล้วหากระจกเงามาติดที่ตัวบ้าน แต่ต้องกะให้ส่องสะท้อนไปที่สระน้ำพอดีด้วย

 73.สระน้ำ 2 แห่ง
ภายในอาณาบริเวณบ้าน หากขุดสระน้ำไว้ถึง 2 จุด ถือว่าไม่ดีต้องระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้ามีสระหรือบ่อน้ำ 2 แห่ง ในส่วนที่อยู่หน้าบ้าน เพราะจะทำให้คนในบ้านมีแต่เรื่องทุกข์เศร้าเสียน้ำตาอยู่เสมอ
วิธีแก้เคล็ด
ให้ถมบ่อหรือสระใดสระหนึ่ง เพื่อให้เหลือสระเดียว

74.สระน้ำกับสามี
ถ้ายืนอยู่ในบ้าน มองออกมาหน้าบ้านมีสระน้ำหรือบ่อน้ำอยู่ทางด้านขวามือ ถือว่าอันตรายนัก ผู้เป็นสามีจะนอกใจไปมีเมียน้อยหรือเป็นคนมักมากในกามจนลืมดุแลลูกเมีย
วิธีแก้เคล็ด
ต้องจัดการถมสระน้ำนี้เท่านั้น การหากระถางต้นไม้ไปปิดบังตั้งไว้รอบๆ สระ มิอาจช่วยแก้เคล็ดในกรณีนี้ได้ เมื่อถมสระแล้วให้ตั้งกระถางดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ณ บริเวณนั้น

75.สระน้ำกับเงินทอง
สำรวจดูสระน้ำในอาณาบริเวณบ้านด้วยว่าที่มุมของขอบสระนั้นมีมุมแหลมคมมุมใดพุ่งเข้าใส่ตัวบ้านหรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะส่งผลให้เงินทองรั่วไหลเก็บไม่อยู่ คู่สามี-ภรรยาหรือเหล่าสมาชิกในบ้านก็จะมีเรื่องมีปากเสียงกันเสมอ
วิธีแก้เคล็ด
ให้ตั้งกระถางต้นไม้บังขอบสระที่เป็นมุมแหลมคมเหมือนลูกศรพุ่งใส่บ้าน ฐานะความเป้นอยู่ในบ้านจะได้มั่งมีศรีสุข

76.ดาดฟ้า
เมื่อยืนอยู่บนดาดฟ้าแล้วมองเห็นสะพานลอยทอดมาหาหรือทอดขวางผ่านชั้นบนของบ้านหรืออาคารของเรา ถือว่าไม่ดีนัก คนในบ้านจะไม่มีโชคไม่มีลาภ งานถดถอย เงินหดหาย
วิธีแก้เคล็ด
ให้ติดกระจกนูนไว้บนดาดฟ้า หันกระจกให้ส่องไปทางสะพานลอย หรือจะติดยันต์โป๊ยข่วยก็ได้

77.ดาดฟ้าตะวันออก
ดาดฟ้าที่หันหน้ารับทิศใต้กับทิศตะวันออก ถือว่าดีที่สุด แต่ดาดฟ้าที่หันหน้ารับทิศตะวันตก ถือว่าไม่ดี คนที่อยู่ในบ้านนั้นจะมีจิตใจหดหู่เลื่อนลอย ขาดสมาธิในการสร้างสรรค์
วิธีแก้เคล็ด
ให้ติดกระจกนูนใบเล็กไว้บนดาดฟ้า หรือแขวนลูกแก้วคริสตัลไว้กระจายชี่ก็ได้

78.บ้านหรืออาคารรูปตัวแอล
ตัวบ้านที่ไม่เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่เป็นรูปคล้ายตัวแอล ถือว่าเป็นบ้านที่ฮวงจุ้ยไม่ดี อยู่อาศัยไปแล้วก็ยากจะมีความเจริญก้าวหน้า คนมนบ้านอาจเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล หรือเก็บเงินเก็บทองไม่อยู่
วิธีแก้เคล็ด
ใช้วิธีเติมสวนที่แหว่งให้กลายเป็นสี่เหลี่ยมเต็มๆ ด้วยการหากระถางต้นไม้ที่มีใบเขียวสดๆ มาตั้งเรียงถี่ๆ ให้เป็นแนวเส้นตรงสองด้านบรรจบกันหรือใช้สีแดงทาเป็นเส้นหนาสัก 2 นิ้วเพื่อแก้เคล็ด แล้วแขวนลูกแก้วคริสตัลลูกเล็กๆ หรือกระดิ่งลมบริเวณจุด A ด้วย
(หรือตั้งก้อนหินใหญ่ไว้ที่จุด A หรือติดไฟ 2 ดวงตรงจุด A โดยให้ไฟแต่ละดวงหันไปส่องแสงเติมผนังส่วนที่ขาดหายไปก็ได้

79.ห้องน้ำหลายห้อง
บ้านที่มีห้องน้ำหลายๆ ห้องต้องตรวจดูด้วยว่าจำนวนห้องน้ำมีมากกว่าจำนวนสมาชิกในบ้านหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ถ้าบ้านมีห้องน้ำ 4 ห้อง แต่ในบ้านมีคนอยู่อาศัยเพียงแค่ 3 คน ก็ถือว่าผิดหลักฮวงจุ้ย มีผลต่อสุขภาพของคนในบ้าน จะเจ็บป่วยกันบ่อยๆ จนหมดความสุขและโรคภัยรุมเร้าและสิ้นเปลืองเงินทองมาก
วิธีแก้เคล็ด
ในกรณีนี้คงต้องปิดตายห้องน้ำนั้น แล้วแขวนลุกอแกวคริสตัลที่หน้าประตูห้องน้ำนั้น อีกวิธีหนึ่งให้แขวนกระจกเงาไว้ที่หน้าประตุห้องน้ำนั้น (โดยปิดตาย มิต้องใช้ห้องน้ำนั้นตลอดไป)

80.ประตูหน้าบ้าน-หลังบ้าน
ประตูหน้าบ้านหากอยู่ในแนวตรงกับประตูหลังบ้าน ถือว่าไม่ดี
วิธีแก้เคล็ด
ให้ใช้ฉากหรือประตูมาตั้งกั้นระหว่าง 2 ประตูมิให้เล็งกัน หรืออาจตั้งชั้นไม้ที่สูงครึ่งตัว แล้วตั้งกระถางต้นไม้ 2-3 ต้นบนชั้น เป็นการใช้ต้นไม้แก้เคล็ดการเผชิญหน้ากันของประตู

81.ประตูรั้ว 2 ประตู
รั้วบ้านใดมีช่องประตูเปิดถึง 2 จุด ถือว่าผิดหลักฮวงจุ้ยอย่างยิ่ง ลักษณะประตูรั้ว 2 ประตุนี้จะส่งผลให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เสมอ คนในบ้านจะไม่มีความนับถือและให้เกียรติกัน จะมีแต่ความแตกแยกมากกว่าสงบสุข
วิธีแก้เคล็ด
ให้ปิดตายประตูใดประตูหนึ่ง (ถ้าขนาดไม่เท่ากัน ควรเลือกประตูที่เล็กกว่า) เมื่อปิดตายโดยไม่ต้องใช้อีกต่อไปแล้ว ก็ให้ปลูกต้นไม้ยังประตูรั้วนั้นเสีย หรือนำกระถางต้นไม้มาตั้งวางเรียงให้เต็มความกว้างของประตูเพื่อให้ดูประหนึ่งว่าประตูนั้นมิใช่ทางเข้า-ออกอีกทางหนึ่งของบ้านอย่างแน่นอน

82.เหลี่ยมเสาที่แหลมคม
สำรวจในบ้านว่าเหลี่ยมของเสาชี้ไปทางใด ถ้ามุมด้านที่เป็นเหลี่ยมเป็นมุมแหลมคมนั้นชี้ไปทางโซฟาชุดรับแขก หรือโต๊ะทำงานหรือห้องครัวโดยเฉพาะบริเวณเตาไฟ หรือชี้ไปทาตำแหน่งที่วางของเตียงนอน ถือว่าไม่ดีอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยก และหงุดหงิดฉุนเฉียว
วิธีแก้เคล็ด
หากระถางต้นไม้มาตั้งเพื่อลบความคมของเสา และปิดบังความแหลมคมของเสา

83.ทางเข้าตัวบ้าน
ทางเข้าตัวบ้านที่อยู่ภายในรั้วบ้าน หากเป็นเส้นพุ่งตรงเข้าหาตัวบ้าน ถือว่าไม่ดี จะทำให้คนในบ้านมีเรื่องมีราวเดือดร้อนอยู่เสมอ มีศัตรูปองร้ายหรือขัดขวางผลประโยชน์ และมีความสุขน้อยลง
วิธีแก้เคล็ด
ให้ตั้งกระถางต้นไม้ที่มีระดับความสูงกว่าเอวขึ้นไป หรือขุดบ่อเลี้ยงปลาเลี้ยงดอกบัว หรือตั้งอ่างน้ำสูงระดับเอวเพื่อเลี้ยงดอกบัวหรือเลี้ยงปลาก็ได้

84.ประตูครัว
ประตูครัวไม่ควรตรงกับประตูบ้านเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นลักษณะที่ทำให้เงินทองหดหายไร้โชคลาภ
วิธีแก้เคล็ด
ถ้าประตูเข้าบ้านอยู่ในแนวตรงกันพอดีกับประตูครัว ต้องแก้เคล็ดด้วยการหาฉากมาตั้งกั้นกลางระหว่างประตูห้องครัวกับประตูเข้าบ้าน หรือหาตู้มาตั้งกั้นกลางเพื่อบังตาไว้ก็ได้ อย่าให้พอเดินเข้าประตุบ้านมาก็สามารถเห็นประตูครัวที่อยู่ตรงกันได้อย่างถนัดชัดเจนเลยเป็นอันขาด...

 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก---http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=26869

120
หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต : อริยสงฆ์ผู้อธิษฐานไม่นอนตลอดชีวิต                 


นาวาอากาศเอก อภิชัย ศักดิ์สุภา แห่งกองทัพอากาศเล่าว่า เมื่อครั้งที่ไปรับตำแหน่งผู้บังคับกองทัพทหารอากาศโยธินกองบิน ๕๖ กองพลบินที่ ๔ จังหวัดสงขลา ได้พบพระเถระผู้ทรงศีลเป็นเลิศท่านหนึ่ง ชื่อ “หลวงปู่เปลื้อง” ท่านเป็นพระเถระที่อธิษฐานจิตไม่นอนตลอดชีวิตมุ่งนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาตลอดเวลาจนบรรลุธรรมชั้นสูง มีอยู่ครั้งหนึ่ง น.อ.อภิชัย ศักดิ์สุภา เล่าว่า

เรื่องที่ผมประสบด้วยตัวเองก็คือ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ พ.ค. ๒๕๓๙ ผมได้พาภรรยากับน้องชายของภรรยาไปกราบหลวงปู่เปลื้องที่วัดบางแก้วผดุงธรรม เนื่องจากเมื่อวานผมได้ไปงานทอดกฐินสามัคคีที่วัดนาทวี อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ก็ได้ถ่ายรูปไว้จำนวนหนึ่ง คาดว่าคงจะถ่ายได้อีกสัก ๑๒ รูป ซึ่งผมก็ได้ถ่ายรูปอิริยาบถต่าง ๆ ของหลวงปู่เปลื้องไว้ ก็ไม่เห็นท่านว่าอะไร

พอผมเข้าไปขออนุญาตให้ภรรยากับน้องชาย นั่งด้านล่างที่พื้นข้างหน้าท่านเพื่อถ่ายรูป ท่านกลับทักผมว่า “มันจะติดหรือ? มันไม่มีไอ้นั่นน่ะ” ผมก็เข้าใจว่าไอ้นั่นที่พูดถึงคือแฟลช ผมจึงตอบท่านว่า “ติดครับ แต่อาจจะไม่ชัดนัก” แล้วผมก็ถ่ายรูปไว้ ๑ รูป จากนั้นผมก็ให้ภรรยามาเป็นคนถ่ายรูปให้ผมบ้าง ซึ่งท่านก็ทักอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า “มันจะติดหรือ?” ผมกับภรรยาก็ยืนยันว่าติดแน่นอน ภรรยาของผมจึงถ่ายรูปไว้อีก ๑ รูป

หลังจากที่ออกจากวัดบางแก้วผดุงธรรมแล้ว ผมได้พาภรรยากับน้องชายไปเที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง โดยผมให้กล้องถ่ายรูปไปด้วย พร้อมบอกว่าให้ถ่ายรูปให้ฟิล์มหมดม้วนไปเลย ส่วนผมของีบในรถ ครึ่งชั่วโมงต่อมาภรรยากับน้องชายก็กลับมา และบอกว่าถ่ายไปประมาณ ๑๐ รูป แล้วฟิล์มยังไม่หมดสักที

ผมรับกล้องมาด้วยความสงสัย จึงเปิดฝาหลังกล้องดู ปรากฏว่าไม่มีฟิล์มอยู่ในกล้อง! ผมกับภรรยาถึงกับหัวเราะกันยกใหญ่ หัวเราะที่ว่าหลวงปู่ท่านก็ทักแล้วถึง ๒ ครั้ง ผมยังดันทุรังถ่ายรูปอยู่ได้

น.อ.อภิชัยเล่าว่า เป็นเรื่องที่หลวงปู่ล่วงรู้ได้เหมือนตาเห็น และอีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ทอ. ได้ย้ายเครื่องบิน T-๓๓ ทั้งหมดมาประจำการที่ กองบิน ๕๖ฯ จ.สงขลา เนื่องจากเครื่องบิน T-๓๓ มีอายุการใช้งานมานาน สภาพและสมรรถนะของเครื่องยนต์ก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ถึงแม้ว่า จนท.ฝ่ายช่างฯ จะทำการบำรุงรักษาและซ่อมให้อยู่ในสภาพ ที่ใช้งานได้อย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม ยังปรากฏว่าเครื่องบิน T-๓๓ มักจะประสบอุบัติเหตุบ่อย ๆ ทำให้นักบินต้องเจ็บ-ตายไปหลายคน

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ทางกองบิน ๕๖ฯ จึงได้นิมนต์หลวงปู่เปลื้องจากวัดบางแก้วผดุงธรรมมาทำพิธีและพรมน้ำมนต์ให้กับเครื่องบิน T-๓๓ นอกจากนี้ทางกองบิน ๕๖ฯ ยังขอเส้นเกศาของหลวงปู่เปลื้องมาติดไว้ในห้องนักบินทุกเครื่อง เพื่อเป็นสิริมงคลและรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง และที่น่าทึ่งเป็นที่สุดก็คือ หลังจากหลวงปู่เปลื้องไปทำพิธีและติดเส้นเกศาของท่านในเครื่องบิน T-๓๓ แล้ว ไม่เคยปรากฏว่ามีเครื่องบิน T-๓๓ ประสบอุบัติเหตุตกอีกเลย จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ทอ. จึงได้ปลดประจำการเครื่องบิน T-๓๓ นี้จนหมดสิ้น รวมอายุการใช้งานใน ทอ. ไทยก็ ๔๐ ปี พอดี

หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต หรือ พระครูวิจิตรกิตติคุณ นามเดิมท่านชื่อ เปลื้อง มุสิกอุปถัมภ์ บิดาชื่อ อ้น มารดาชื่อ เอี่ยม มุสิกอุปถัมภ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ที่อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง

เมื่ออายุ ๕-๖ ขวบ ได้เรียนหนังสือที่วัดห้วยลึก อำเภอปากพะยูน เรียนอยู่ปีเศษก็สามารถอ่านและเขียนได้หมด ตอนเด็ก ๆ ท่านลำบากมาก ตัวเล็กและขี้โรค พอท่านโตขึ้นมาก็ยังเจ็บป่วยบ่อย ๆ เป็นโรคนานาชนิด ไม่คิดว่าจะอายุยืนถึง ๓๐ ปี แต่เวลาเจ็บป่วยครั้งใด จะมี เทวดามาบอกยาให้ไปทำกิน แล้วจะหายทุกครั้ง ยาที่เทวดาบอกมี ๒-๓ ขนาน (ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรมีพิษ)

เมื่ออายุ ๑๙ ปี ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดโตนด อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง และเมื่ออายุ ๒๐ ปี ก็ได้ญัตติเป็นพระภิกษุ มี พระธรรมจักรราม เป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่วัดประดู่หอม ท่านบวชอยู่ ๒ พรรษา สอบได้นักธรรมตรี แต่ไม่ได้ปฏิบัติ ท่านขยันเรียนมาก แต่ไม่มีที่เรียนต่อใกล้ ๆ ต้องไปเรียนกรุงเทพฯ จึงได้สึกออกมา เมื่ออายุ ๒๔ ปี มารดาจัดให้แต่งงาน มีบุตร ๓ คน

ขณะที่เป็นฆราวาสท่านชอบถือศีล ๘ เป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบไปวัดไปช่วยงานสัปเหร่อเผาศพ คอยพลิกศพ สมัยนั้นเขาจะพลิกศพบนกองฟอน ต้องมีคนคอยพลิกศพไปมา ศพจะได้ไหม้ทั่ว ๆ จนหมด

ท่านฝึกพูดแต่คำจริงอยู่ ๒๐ ปี ถึงจะสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือทุกอย่างที่พูดออกมาเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ดั่งภาษิตที่ท่านบอกว่า ของดีหาได้ยากในโลกมี ๔ อย่าง คือ

“ช้างเผือกในป่า สมณะนอกวัฏ”

“ผู้สมบูรณ์คุณสมบัติ คฤหัสถ์พูดจริง”

เมื่อภรรยาอายุ ๕๒ ปี ได้ถึงแก่กรรมลง ท่านจึงออกบวชครั้งที่สองที่วัดท่ามะเดื่อ ตำบลท่ามะเดื่อ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ โดย พระราชธรรมุนี (เปลื้อง จัตตาวิโล) เจ้าคณะจังหวัดภูเก็ต เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้มาอยู่ที่วัดบางแก้วผดุงธรรม และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสจนเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทที่ พระครูวิจิตรกิตติคุณ

ในช่วงที่ท่านบวชครั้งที่สอง ท่านเล่าให้ฟังว่า “อาตมาบวชเมื่ออายุล่วงกาลผ่านวัยมามาก เมื่อบวชแล้วได้เพียรพยายามประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังไม่ท้อ ถอย มีความตั้งใจมั่นคงในชีวิต พรหมจรรย์” อย่างที่ท่านกล่าวว่า อุรทตวา ถวายกายตั้งสัจจาธิษฐานเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

เมื่อท่านบวชได้ ๕ ปี ท่านได้เดินทางไปยังวัดเสนหา จังหวัดนครปฐม ท่านไปพักอยู่กับ พระครูวิบูลย์ศีลขันธ์ (เทศน์ นิ เทสโก) ในตอนกลางคืนท่านเฝ้าสังเกตอยู่ว่า เวลาท่านตื่นขึ้นมาทีไรก็จะเห็นท่านพระครูนั่งสมาธิอยู่ทุกครั้ง

ด้วยความสงสัยจึงได้ถามท่านพระครูถึงเหตุที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ทุกคืน โดยที่ท่านพระครูไม่นอน ท่านพระครูจึงบอกว่า “ผู้ปฏิบัติต้องนอนน้อย” ท่าน จึงคิดว่าการนอนน้อยทำความเพียรคงเป็นสิ่งที่ดี และท่านรู้สึกประทับใจในพระครู จึงเป็นมูลเหตุให้ท่านถือ เนสัชชิกธุดงค์ในภายหลัง

เมื่อบวช ๑๐ ปี มีอยู่วันหนึ่งท่านง่วงนอนมาก จึงคิดว่า “เมื่อไม่นอนกลางวัน แต่มันอยากจะนอนมากนัก ก็ไม่นอนกลางคืนด้วยเสียเลย”

ท่านบอกว่าได้ อธิษฐานไว้แล้วว่าจะไม่นอน ถ้าชาตินี้ไม่จริง ชาติหน้าก็ไม่จริง ถ้าจะตายก็ให้ตายไปเลย ท่านจึงไม่ยอมนอน

หลวงปู่เปลื้อง มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๐ มี.ค. ๒๕๔๐ รวมอายุได้ ๙๔ พรรษา ในวันฌาปนกิจศพท่านมีผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาสมาร่วมงานอย่างคับคั่ง หลังจากไฟมอดแล้ว พวก จนท.ที่เป็นศิษย์ของท่านก็ทำการเก็บอัฐิและเถ้าอัฐิจนหมดเกลี้ยง สำหรับผู้ที่ต้องการไปกราบและชมอัฐิของหลวงปู่เปลื้อง ขอเชิญได้ที่ วัดบางแก้วผดุงธรรม อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง.


ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล...http://www.dailynews.co.th/

121
การระลึกชาติของพระอาจารย์ศรีทัศน์
“เขียนโดย พระอริยคุณาธารฯ วัดป่าเขาสวนกวาง ขอนแก่น”


             



“เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ ข้าพเจ้า (พระอริยคุณาธาร) มีโอกาสติดตามเจ้าคณะมณฑลอุดร ไปตรวจการคณะฯทางริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตจังหวัดหนองคายไปถึงบ้านโพนแพง อำเภอโพนพิสัย พักแรมที่วัดโพนเงิน ตรงข้ามกับพระพุทธบาทโพนสัน ในเขตประเทศลาว ครั้งนั้นพระอาจารย์ศรีทัศน์กำลังก่อสร้างอุโมงค์(กะตึบ) คร่อมพระพุทธบาทอยู่ที่นั่น วันรุ่งเช้าเจ้าคณะมณฑลข้ามฟาก (แม่น้ำโขง) ข้าพเจ้าขอโอกาสสนทนากับพระอาจารย์ศรีทัศน์ ข้าพเจ้าพึ่งพบกันเป็นครั้งแรกในครั้งนั้น แต่ก็สนิทสนมกันง่ายดายคล้ายกับได้รู้จักคุ้นเคยกันมานานแล้ว

เรื่องสำคัญที่สนทนากันในวันนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการระลึกชาติของพระอาจารย์ศรีทัศน์ ท่านกล่าวว่าท่านได้ฌานและอภิญญาณโลกีย์ มีความรู้ระลึกชาติในอดีตอนาคตของท่านได้ตลอดถึงคนอื่นที่เกี่ยวข้องกันท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้ากับท่านเคยเป็น “พ่อลูกปลูกโพธิ์” มาด้วยกัน แต่ต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตน กรรมซัดไปติดคนละทางคนละทิศห่างไกลกัน ทั้งวยายุกาล ก็ห่างกันด้วย ถึงดังนั้นบุญก็ยังบันดาลให้มาประสบพบพานกันได้ การพบกันครั้งนี้เป็นทั้งครั้งแรก เป็นทั้งครั้งสุดท้าย(ท่านอายุ ๗๑ แล้ว) จึงขอถือโอกาสบอกเล่าเก้าสิบเรื่องที่เกี่ยวข้องกันไว้ กับขอฝากให้เลี้ยงดูท่านในเมื่อเกิดชาติหน้านั้นด้วย

พระอาจารย์ศรีทัศน์ท่านกล่าวว่า ท่านเป็นนิยโตโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล”กลโน้น และเป็นชนิด “สัทธาธิก” มีกำหนดสร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกัลป จึงสำเร็จพระโพธิญาณ ท่านกล่าวว่าในอดีตชาตินานมาแล้วท่านเคยเป็นลูกของข้าพเจ้า และในชาติหน้าในลำดับต่อไปนี้แม้จะไม่ได้เป็นลูกเกิดแต่ในอกของข้าพเจ้า ขอแต่เป็น “ลูกบุญธรรม” ขอให้ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกปลูกโพธิ์อีกครั้งข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็เอะใจ ! และท่านกล่าวต่อไปว่า ในสมัยกึ่งพุทธกาลนั้น พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ข้าพเจ้าจะเป็นคนสำคัญคนหนึ่งในสมัยนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ได้ทันเห็น แต่ก็ไม่เป็นไร ในสมัยนั้นได้มาเกิดใหม่เป็นลูก “บุญธรรม” ของข้าพเจ้าท่านย้ำคำนี้หลายครั้งเพื่อให้กระชับใจข้าพเจ้า แล้วท่านกล่าวการเกิดใหม่ในอนาคตของท่านไว้ดังนี้

ท่านเกิดในชาติหน้าในท้องคนไม่มีสกุล พ่อผู้ให้กำเนิดไม่ปรากฏแก่คนทั้งหลาย แม่ผู้ให้กำเนิดเป็นคนพลัดถิ่นเขาจะไปคลอดบุตรในถิ่นที่ไม่มีคนรู้จักในบ้านชื่อว่า “บ้านสงเปลือยตำบลพันคอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี” แล้วมารดาก็จะละทิ้งบุตรหนีไป มีทุคคตะ ผัวเมียคู่หนึ่งรับไปเลี้ยงไว้ในระยะแรก เพราะฐานะของท่านเป็นคนยากจน เลี้ยงอยู่ประมาณ ๓ เดือน ไม่สามารถจะเลี้ยงต่อไปได้ ท่านว่าทั้งนี้ก็เพราะเวรกรรมของท่านที่เอาลูกนกให้พลัดพรากจากแม่ของมันในอดีตชาติ ต่อจากนั้นจะมีผู้หญิงใจบุญคนหนึ่งเป็นหญิงหม้ายไม่มีบุตรซึ่งเคยเป็น “มารดา” ในชาติก่อนมารับไปเลี้ยงไว้เป็นบุตร “บุญธรรม” หญิงคนนั้นชื่อ “สายบัว” อยู่ในหมู่บ้านสงเปลือยนั้นเอง เคยเป็นภริยาหลวงวรวุฒิมนตรี นายอำเภอฯ
เมื่อเกิดในชาติหน้านั้น จะได้รูปส่วนสมทรงความยาวของวากับลำตัวจะเท่ากัน หลังมือหลังเท้านูนผิวขาวเหลือง สะอาดเกลี้ยงเกลาปราศจากไฝฝ้า ด้วยอำนาจบุญที่ปฏิสังขรณ์ตบแต่งและก่ออุโมงค์คร่อมพระพุทธบาท แต่ใบหน้านั้นหักนิดหน่อย เพราะความใจน้อยโกรธง่าย ทำหน้าเง้าหน้างอ และจะมีเสียงก่าๆเพราะด้วยการกล่าวผรุสวาจา จะมีนามว่า “ถวัลย์” แต่คนมักจะเรียกเล่นๆกันว่า “บุญติด” แต่เมื่อได้มาอยู่กับข้าพเจ้าแล้วจะเรียกกันว่า “เชียงโมง"

เมื่อสนทนากันไปท่านเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ปลงใจเชื่อสนิท ท่านจึงขออนุญาตจากข้าพเจ้าจะเล่าประวัติของข้าพเจ้าในชาติปัจจุบันที่ล่วงมาแล้วให้ฟัง เพื่อเป็นพยานยืนยันความรู้ที่ท่านระลึกชาติได้ ข้าพเจ้าก็อนุญาต ท่านได้เล่าประวัติความเป็นมาของข้าพเจ้าที่ล่วงมาแล้ว ถูกต้องตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนอย่างกับตาเห็น ข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญหาเหตุผลว่าท่านรู้ได้อย่างไร(เวลานั้นข้าพเจ้าอายุ ๒๙ปี) เข้าใจว่าท่านมีญาณชนิดหนึ่งรู้ได้จริง จึงต้องตกลงปลงใจเชื่ออย่างสนิท และรับปากคำว่าจะรับเลี้ยงท่านในเมื่อท่านเกิดใหม่ในชาติหน้า
จากวันพบพระอาจารย์ศรีทัศน์มาประมาณ ๓ ปีเศษ คือในราวปี พ.ศ. ๒๔๘๑ หรือต้นปี ๒๔๘๒ จำไม่แน่ ข้าพเจ้าได้รู้จักกับคุณนายสายบัว อินทรกำแหง ซึ่งเคยเป็นภริยาของหลวงวรวุฒิมนตรี มีภูมิลำเนาตรงกับที่พระอาจารย์ศรีทัศน์บอกข้าพเจ้า จึงเล่าเรื่องที่กล่าวมาแล้วให้คุณนายสายบัวฟัง และสั่งไว้ว่า ถ้าคุณนายได้เด็กชายตามที่กล่าวมาแล้วมาเลี้ยงไว้ ขอให้ส่งข่าวด้วย

จากวันพบคุณนายสายบัวมาแล้วประมาณ ๑๕ ปี ข้าพเจ้าทราบว่าคุณนายสายบัวได้เด็กชายมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว จึงหาโอกาสไปพบ คุณนายก็นำเด็กนั้นมาให้ข้าพเจ้าดูที่วัดในหมู่บ้านนั้น เวลานั้นเด็กนั้นมีอายุได้ ๓ ขวบ เกิดใน พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้าได้สอบถามเหตุการณ์เมื่อแรกเกิดและที่ได้มา คุณนายสายบัวเล่าว่า มีหญิงคนหนึ่งพลัดถิ่นมาที่บ้านสงเปลือยไม่มีใครรู้จัก พอมาถึงในคืนนั้นก็ปวดท้องคลอดบุตรชาวบ้านได้ช่วยกัน พอรุ่งเช้าชาวบ้านต้มน้ำร้อนจะให้เขาอาบ พอน้ำเดือด เขาตักมาจะลวกบุตรให้ตาย ชาวบ้านป้องกันไว้ทัน เอาบุตรซ่อนเสีย เลยเขาหนีเตลิดเปิดเปิงไปในวันนั้น มีผัวเมียคู่หนึ่งรับไปเลี้ยงไว้ ๓ เดือน เลี้ยงไม่ไหวเพราะความยากจน จึงนำมามอบแก่คุณนายสายบัว คุณนายสายบัวเล่าต่อไปว่า ก่อนที่เขาจะนำเด็กมาให้ ในคืนนั้นฝันว่า “มีแก้วเก้าสี มีรัศมีรุ่งเรือง มาประดิษฐานอยู่ที่ชานเรือน รู้สึกดีใจไปรับเอามาไว้” พอรุ่งเช้าก็ได้รับเด็กคนนี้ ต่อมาได้ขนานนามว่า “ถวัลย์” แต่เรียกกันเล่นๆว่า “บุญติด”

ตามที่คุณนายสายบัวเล่าให้ข้าพเจ้าฟังนี้ ตรงกับที่พระอาจารย์ศรีทัศน์พูดไว้กับข้าพเจ้า ตลอดถึงลักษณะของเด็กด้วยทุกประการ ข้าพเจ้าจึงพูดกับคุณนายสายบัวว่า จะขอรับเอาไปเป็นบุตรบุญธรรม แต่ยังเล็กอยู่เกรงเด็กจะลำบาก ขอให้คุณนายเลี้ยงไปก่อนกว่าจะมีวัยอันสมควร
พ.ศ. ๒๔๙๖ ออกพรรษามาแล้ว ข้าพเจ้าไปบ้านสงเปลือยอีกครั้งหนึ่งพักอยู่ที่วัดฯ คุณนายสายบัวพาเด็กชายคนนี้มาต้อนรับ ข้าพเจ้าอยากจะพิสูจน์ให้แน่อีกครั้งหนึ่งว่า จะเป็นอาจารย์ศรีทัศน์แน่หรือไม่
จึงถามเขาว่า เมื่อก่อนนั้น ตัวชื่อศรีทัศน์หรือไม่? เขาตอบทันทีว่า “ใช่” แล้วข้าพเจ้าก็ยุติไว้เพียงนั้น ไม่เล่าเรื่องอาจารย์ศรีทัศน์ให้เขาได้ยิน เพราะเพื่อจะสังเกตความเป็นไปต่อไป

เมื่อคุณนายสายบัวพากลับบ้านแล้ว คุณนายสายบัวกลับมาเล่าให้อาตมาฟังว่า เด็กนั้นเมื่อกลับถึงบ้านได้เล่าเรื่องราวครั้งเป็นอาจารย์ศรีทัศน์ในชาติก่อนให้คุณนายสายบัวฟัง แต่ทว่าไม่ติดต่อกัน เล่าเฉพาะเรื่องสำคัญของชีวิตเป็นท่อน เป็นตอน พอรู้ได้ว่าเขาระลึกชาติได้
พ.ศ. ๒๔๙๗ กลางปี คุณนายสายบัวนำเด็กชายคนนี้มาให้ข้าพเจ้าที่นี่(วัดป่าเขาสวนกวาง) ข้าพเจ้าเอารูปถ่ายของพระอาจารย์ศรีทัศน์ให้ดู แล้วถามว่า นี่รูปของใคร? เขาตอบว่ารูปของเขาในตอนปลายปี (ตั้งแต่พระอาจารย์ศรีทัศน์มรณภาพ จนถึงเด็กชายคนนี้เกิด ประมาณ สิบปีกว่าๆ เมื่อท่าทำนายนั้นพระอาจารย์ศรีทัศน์อายุ ๗๑ ปี ต่อมาข้าพเจ้ามีธุระไปที่อุดรพาเด็กชายคนนี้ไปด้วย วันหนึ่งข้าพเจ้าไปเยี่ยมพระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตร์ พอขึ้นไปบนบ้านท่านเจ้าคุณอุดรกำลังนั่งโต๊ะรับประทานอาหารเย็น เด็กชายคนนี้ก็ตรงรี่เข้าไปหา และทำท่าจะรับประทานอาหารร่วมด้วย เจ้าคุณอุดรมีความเมตตาจึงจัดอาหารให้รับประทานข้าพเจ้ามานั่งรอคอยท่านเจ้าคุณอุดรอยู่ที่โต๊ะรับแขกใต้ซุ้มกล้วยไม้ เมื่อเด็กชายนั้นได้รับประทานอาหารเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าถามว่า ไม่กลัวท่านหรือ ท่านเป็นพระยา เขาตอบว่าไม่กลัว เพราะเคยรู้จักกับท่าน ข้าพเจ้าถามว่ารู้จักท่านที่ไหน? เขาตอบว่า รู้จักเมื่อครั้งก่ออุโมงค์คร่อมพระพุทธบาทที่อำเภอบ้านผือ พอเจ้าคุณอุดรมานั่งกับข้าพเจ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าถามเจ้าคุณอุดรว่าเมื่อครั้งพระอาจารย์ศรีทัศน์ก่ออุโมงค์คร่อมพระพุทธบาทที่บ้านผือนั้น ท่านเจ้าคุณเคยไปและเคยรู้จักสนิทกันกับพระอาจารย์ศรีทัศน์หรือไม่? ท่านเจ้าคุณอุดรตอบว่า เคยไป และรู้จักสนิทสนมกันมาก

ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๗ จนถึงปัจจุบันนี้ เด็กคนนี้ได้มาอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ เมื่อคนต่างถิ่นมาเยี่ยม ถ้าคนนั้นเคยรู้จักกับพระอาจารย์ศรีทัศน์ แม้เขาจะไม่รู้จักก็แสดงอาการสนิทสนมเหมือนกับคนที่เคยรู้จักมาช้านานแล้ว แต่ถ้าคนนั้นไม่เคยรู้จักกับพระอาจารย์ศรีทัศน์ แม้จะแนะนำให้เขารู้จัก เขาก็ไม่แสดงอาการสนิทสนม แสดงอาการธรรมดาอย่างคนที่พึ่งรู้จักกัน
เด็กคนนี้เมื่อมาอยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการทดลองว่าเขาจะเคยบวชในชาติก่อนหรือไม่ จึงตัดสบงจีวรและย่ามเล็กๆให้ ทำทีบรรพชาให้เป็นสามเณร เขาแสดงอาการดีใจชื่นบานหรรษา ส่อว่ามีอุปนิสัยในการบวชมาแล้ว เมื่อบวชแล้วอดข้าวเย็นไม่ได้ ต้องสึกกินข้าวเย็นในวันนั้น (อายุ ๕ ขวบกับ ๗ เดือน เกิดวันอังคาร แรม ๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีขาล วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๓ เวลา ๕.00 น.เศษ) จึงตั้งชื่อล้อเลียนเขาว่า “เชียงโมง” คนที่บวชเณรไม่ข้ามวันแล้วสึก ทางภาคอิสานเรียกผู้สึกจากเณรนั้นว่า “เชียง”

เมื่อเหตุการณ์ตรงกับคำพยากรณ์ของพระอาจารย์ศรีทัศน์ทุกประการดังที่เล่ามาตลอดถึงพฤติการของเด็กข้าพเจ้าจึงปลงใจเชื่อว่าอาจารย์ศรีทัศน์มาเกิดและระลึกชาติได้จริง ข้าพเจ้าจึงขอรับรองด้วยเกรียติยศ และศีลธรรมว่า เป็นความจริงดังที่กล่าวมามิได้เสกสรรปั้นแต่งขึ้น ขอส่งเรื่องนี้แก่ยุวพุทธิกะ เพื่อเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์การกลับชาติมาเกิดใหม่ของคน.

ขอขอบคุณที่มาจาก
พระอริยคุณาธาร
วารสาร ยุวพุทธิกะสมาคมแห่งประเทศไทย ปีที่ ๖ เล่มที่ ๖ กุมภาพันธ์ – มีนาคม ๒๔๙๙ หน้า ๔๒
ป.ล.พระอริยคุณาธาร เวลานี้เป็นเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น

น.วิชัยดิษฐ์
20 ก.ค. 2508
จาหนังสือคนตายแล้วเกิดใหม่
โดย
นายนาก วิชัยดิษฐ์

122
มารู้จัก เทวดาประจำตัว กันเถอะ



 


เทวดาประจำตัว


ภพภูมิของเทพ-เทวดามีทั้งหมด ๖ ชั้นนับจากโลกมนุษย์ขึ้น
ไป จะอยู่ในสภาวะหรือมีสภาพร่างกายและทุกอย่างเป็นทิพย์ทั้ง
หมด(อากาศธาตุ) จะไม่มีรูปร่างที่จับต้องได้ด้วยกายหรือมอง
เห็นได้ด้วยตาเนื้อของมนุษย์ได้ เราจะรู้เห็นและสัมผัสได้โดย
ทางจิตเท่านั้นและจะต้องเป็นจิตที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่าง
ดีถึงขั้นที่เรียกว่าได้ " อภิญญาจิต " ภพภูมิของเทพเทวดานั้นมี
แต่เสวยและรับแต่ความสุข ความเกษมสำราญแต่เพียงอย่าง
เดียวไม่มีความทุกข์ยากลำบากอะไร เพราะอยากจะได้หรืออยาก
จะมีอะไรแค่ทำการนึกคิดเอาก็ได้สมประสงค์สมปรารถนา
ทุกอย่าง เทพเทวดาก็มีอารมณ์มีความรู้สึกรัก โลภ โกรธ
หลง มีครอบครัว มีพ่อแม่ มีลูกมีหลานเหมือนกับมนุษย์
ทุกอย่าง เทพเทวดาก็มีทุกข์เหมือนกัน มีตอนที่รู้ว่าบุญใกล้จะ
หมดแล้วจะต้องลงมาเกิดยังโลกมนุษย์และทุกข์มากๆ ถ้ามาเกิด
ยังโลกมนุษย์แล้วไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะการที่ได้มาเกิดเป็น
มนุษย์นั้นสมารถทำตัวเอง ศึกษาหลักธรรมแล้วปฏิบัติฝึกจิตของ
ตนเองให้หลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ เทพเทวดาเหล่านี้มาจาก
ไหน? ก็เป็นดวงจิตดวงวิญญาณที่มาจากมนุษย์ที่ตายแล้วและ
เป็นมนุษย์ที่มีทาน มีศีล มีภาวนา(ยังไม่สำเร็จฌาน)และมีธรรม
เพราะผลของบุญกุศลที่ได้ทำมานี้ จะส่งผลให้จิตของเขาไปเกิด
เป็นเทพเทวดา จะไปเกิดที่ชั้นไหนสูงหรือไม่ จะไปเกิดกับ
ครอบครัวกับพ่อแม่คู่ไหนบนสวรรค์นั้น ก็ขึ้นอยู่กับผลของบุญ
กุศลที่ได้กระทำไว้ตอนเป็นมนุษย์นั้นไปสมพงษ์หรือพอดีกับพ่อ
แม่ที่เป็นเทพเทวดาคู่ไหนและบนสวรรค์ชั้นไหนอีกที ......

การลงมาเกิดยังโลกมนุษย์ของเทวดานั้นมีด้วยกันหลาย
สาเหตุ เท่าที่รู้และจากประสบการณ์ที่ทำงานนี้มาก็มี ......

๑. หมดบุญหรือหมดอายุขัย
๒. ทำผิดกฎของสวรรค์
๓. ถูกส่งให้ลงมาทำหน้าที่ยังโลกมนุษย์

สวรรค์มีทั้งหมด ๖ ชั้น(ชั้นของเทพเทวดา)โดยมีดังนี้ ......

๑. ชั้นที่ ๑ เรียกชั้น จาตุมหาราชิกา
มีอายุ ๙ ล้านปีมนุษย์
๒. ชั้นที่ ๒ เรียกชั้น ตาวติงสา หรือ ดาวดึงส์
มีอายุ ๓๖ ล้านปีมนุษย์
๓. ชั้นที่ ๓ เรียกชั้น ยามา
มีอายุ ๑๔๔ ล้านปีมนุษย์
๔. ชั้นที่ ๔ เรียกชั้น ตุสิตา หรือ ดุสิต
มีอายุ ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์
๕. ชั้นที่ ๕ เรียกชั้น นิมมานรตี
มีอายุ ๒,๓๐๔ ล้านปีมนุษย์
๖. ชั้นที่ ๖ เรียกชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี
มีอายุ ๙,๒๑๖ ล้านปีมนุษย์

เมื่อหญิงชาย(พ่อ-แม่)ยังโลกมนุษย์ได้ร่วมหลับนอนกัน
เชื้ออสุจิของชาย(พ่อ)เข้าผสมไข่ของหญิงแล้ว มีดวงจิตของ
เทพเทวดาองค์หนึ่งองค์ใดได้หมดบุญจากสวรรค์ลงมาผสม
(ปฏิสนธิวิญญาณ) มาร(เทพบุตรมาร)ก็ตามลงมาผสมด้วยอีก
เพื่อขัดขวางการสร้างบุญบารมีของเทพเทวดาตนนี้ พ่อแม่ พี่
น้องหรือเพื่อนๆที่อยู่บนสวรรค์ด้วยกันอย่างใดอย่างหนึ่งก็ลงตาม
มาผสมด้วยหนึ่งดวงจิต เพื่อดูแลให้ความช่วยเหลือปกป้องเรา
ทุกเรื่องจากการกลั่นแกล้งของพวกมาร ตามมาด้วยความรักและ
ความเป็นห่วงตลอดช่วงอายุของการเกิดมาเป็นมนุษย์ของเรา
เรียกเทพเทวดาเหล่านี้ว่า " เทวดาประจำตัว " แต่พอถึงเวลาเข้า
จริงๆแล้วเทพเทวดาเหล่านี้กลับช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้ เพราะมี
พลังน้อยกว่าพวกมาร ก็ได้แต่ยืนดูเราห่างๆช่วยเหลืออะไรเราไม่
ได้เวลาเราตกทุกข์ได้ยากเกิดความลำบาก ถ้าหากเทพเทวดา
ประจำตัวของใครเป็นผู้หญิงจิตใจและลักษณะอาการของมนุษย์
คนๆนั้นก็จะออกไปลักษณะทางผู้หญิง ถ้าเป็นร่างของมนุษย์
ผู้ชายก็จะเป็น กะเทย และถ้าหากเทพเทวดาประจำตัวของใคร
เป็นผู้ชายจิตใจและลักษณะอาการของมนุษย์คนๆนั้นก็จะออกไป
ลักษณะทางผู้ชายเหมือนกัน ถ้าเป็นร่างของมนุษย์ผู้หญิงก็จะ
เป็น ทอม การที่มนุษย์คนไหนเป็นทอมหรือกระเทยนั้น ก็มี
สาเหตุมาจากผลของกรรมในอดีตชาติและมาจากเหล่าเทพเทวดา
ที่ทำผิดกฎสวรรค์ด้วยเช่นกัน ท่านทราบหรือไม่ว่าเทวดาประจำตัว
ของท่านเป็นใคร? ชื่ออะไร? มาจากชั้นไหน? เกี่ยวข้องกับ
ท่านอย่างไร? มีผลและมีอิทธิพลต่อตัวของท่านอย่างไร? ท่าน
ควรที่จะปฏิบัติตนและแก้ไขอย่างไรบ้าง? .........


ขอบคุณที่มา...http://www.kontatip.com/index.php?la...icle&Id=234075

123
มังกร, พญานาค หรือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เหนือภูเขาหิมาลัย



 



เรื่องนี้น่าสนใจครับ ว่ากันว่าเป็นรูปถ่ายที่บังเอิญถ่ายติดบางสิ่งที่ดูเหมือนช่วงลำตัวของมังกรซะงั้น โดยเป็นภาพที่ถ่ายจากบนเครื่องบินเหนือ ภูเขาหิมาลายาประเทศทิเบต รูปนี้ดูเหมือนได้ถ่ายติดสิ่งแปลกประหลาดเข้ามาด้วย อยู่ 2 จุดด้วยกัน หลังจากพิจารณาดูแล้วพบว่ามันเหมือนมังกร สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีนนั่นเอง !





 




ดูช่วงรูปที่วงไว้ซิครับ อืม จะว่าไปก็คล้ายอยู่


อันนี้เป็นรูปขยายใหญ่ขึ้นมาหน่อย ดูรายละเอียดชัดเจนขึ้น โดยจากรูปจะเห็นได้ว่ามีสิ่งที่ออกจะคล้ายลำตัวของสัตว์เลื้อยคลาน ลำตัวด้านบนจะมองเหมือนลักษณะท้องของสัตว์ประเภทงู

ซึ่งมองดูคล้ายลำตัวเป็นปล้องและมีเกล็ดปกคลุมอยู่ด้านบน ส่วนลำตัวทางด้านล่างจะเห็นค่อนข้างชัดว่ามีลักษณะคล้ายครีบอยู่กลางลำตัว ทั้งสองสิ่งนั้นดูเหมือนส่วนปลายหางมากกว่าจะเป็นส่วนหัว


นับเป็นเรื่องแปลกดีอีกเรื่องนึงครับ เอามาให้ชมกันเล่นๆ อย่าไปคิดมากว่ามันจะมีจริงหรือไม่จริง ที่จริงอาจจะเป็นแค่รอยอะไรซักอย่างที่ภูเขา หรืออาจจะเป็นกลุ่มเมฆหมอกอะไรสักอย่างก็เป็นได้ แต่ถ้ามีจริง ผมก็อยากจะเป็นหนึ่งในคนที่เห็นตัวเป็นๆ มั่งเหมือนกัน...





ขอบคุณที่มา... http://my.dek-d.com/

124
บทความ บทกวี / สุขได้แม้ภัยมา...
« เมื่อ: 15 ธ.ค. 2552, 11:08:11 »
เวลาพูดถึงความสุข เรามักนึกถึงสิ่งดีๆ ที่อยากให้เกิดขึ้นกับตน เช่น ความมั่งมี เกียรติยศ สุขภาพ ความสำเร็จ ชื่อเสียง และคำสรรเสริญเป็นต้น ด้วยเหตุนี้พอถึงวาระสำคัญของชีวิตหรือเทศกาลสำคัญของปี เช่น วันเกิด วันปีใหม่ เราจึงอยากได้คำอวยพรให้เจริญด้วยสิ่งเหล่านั้น ยิ่งหากได้ไปกราบหลวงพ่อคูณด้วยแล้ว ไม่มีพรใดที่ผู้คนอยากได้จากท่านมากไปกว่าคำพูดว่า "กูขอให้มึงรวย" และไม่มีวัตถุมงคลใดที่น่าสักการะเท่ากับแผ่นป้ายที่ (เชื่อว่า) ท่านปลุกเสกเอาไว้ว่า "บ้านนี้อยู่แล้วรวย"

แต่จริงหรือที่รวยแล้วจะมีความสุข คนรวยที่ถูกรุมเร้าด้วยความเครียดมีอยู่ทุกหนแห่ง คนไทยทุกวันนี้รวยกว่าเมื่อ ๔๐ ปีก่อนหลายเท่าตัว แต่ขณะเดียวกันอัตราการป่วยด้วยโรคเครียดก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าตามโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ มีการสั่งยาคลายเครียดหรือยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทถึง ๑ ใน ๔ ของใบสั่งยาทั้งหมด ส่วนในกรุงเทพมหานครและภาคกลางก็พบว่ามีการใช้ยาคลายเครียดเพิ่มสูงขึ้นมาก ในชั่วเวลาเพียง ๒ ปี คือระหว่างปี ๒๕๔๙ ถึง ๒๕๕๑ มีการใช้ยาคลายเครียดเพิ่มขึ้น ๔ เท่าตัว

อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเครียดและครุ่นคิดกับการทำมาหาเงินนี่แหละถึงทำให้รวย ใคร ๆ จึงอยากจะรวยโดยไม่ต้องเหนื่อยยาก แต่ความร่ำรวยที่ได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องออกแรงก็ใช่ว่าจะทำให้มีความสุขเสมอไป มีหลายรายที่ได้เงินมาหลายสิบล้านจากการถูกล็อตเตอรี่หรือขายที่นา แต่ในชั่วเวลาไม่กี่ปีกลับกลายเป็นคนติดเหล้า เต็มไปด้วยหนี้สิน หรือลงเอยด้วยการเป็นแรงงานรับจ้าง บางรายหนักกว่านั้น ชั่วเวลาไม่ถึงเดือนที่ได้เงินรางวัล ๒๐ ล้านบาท ก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย เนื่องจากเครียดที่ถูกใครต่อใครรุมทึ้ง แม้จะแบ่งให้ไปก็ยังไม่เป็นที่พอใจ จนบางคนถึงกับโทรศัพท์มาขู่ฆ่า เจ้าตัวจึงตัดสินใจดับชีวิตตัวเองเพื่อหนีทุกขลาภ

ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี ๒๕๔๙ มีสามีภรรยาคู่หนึ่งได้เงินรางวัลจากล็อตเตอรี่ร่วม ๑๐๐ ล้านเหรียญ เงินมหาศาลขนาดนี้น่าจะทำให้มีความสุขไปชั่วชีวิต แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้น ๕ ปี มีรายงานข่าวว่าสามีภรรยาคู่นี้หย่าขาดจากกัน ต่อมาสามีก็ตายด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับสุรา ส่วนภรรยาก็ตายอย่างโดดเดี่ยวในคฤหาสน์ สามีภรรยาคู่นี้คงไม่จบชีวิตอย่างนี้หากไม่ถูกล็อตเตอรี่ ใช่หรือไม่ว่า "โชค" นั้นมักกลายเป็น "เคราะห์" ได้อย่างที่เรานึกไม่ถึง

พูดมาทั้งหมดนี้มิได้หมายความว่า เงินหรือความร่ำรวยจะทำให้เราเป็นทุกข์เสมอไป ประเด็นอยู่ที่ว่า ความสุขของคนเรานั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นอย่างไร แม้ความมั่งมีเกิดขึ้นกับเรา แต่หากเกี่ยวข้องกับมันไม่ถูกต้อง (เช่น ใช้อย่างไม่บันยะบันยัง หรือไม่คบใครเพราะคิดว่าฉันรวยแล้ว หรือหวาดระแวงกลัวคนมาแย่งไป) ย่อมทำให้ชีวิตตกต่ำหรือเป็นทุกข์

ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีชื่อเสียงเกียรติยศหรืออำนาจแล้ว เกิดหลงตัวลืมตนขึ้นมา ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ย่อมมีแต่ "พวก" แต่ไร้ "เพื่อน" แม้จะแวดล้อมด้วยผู้คนแต่ในใจนั้นกลับรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง (เหมือนสำนวนจีนที่ว่า "ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว") ขณะเดียวกันก็หวาดระแวงใคร ๆว่าจะเด่นดังเกินกว่าตน หรือแย่งอำนาจไปจากตน ไปไหนมาไหนถ้าไม่มีใครมาพินอบพิเทาก็จะขุ่นเคืองใจ มิหนำซ้ำความหลงตนยังทำให้ลุแก่อำนาจ ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น จนเกิดศัตรูไปทั่ว ชีวิตเช่นนี้ย่อมอยู่ร้อนนอนทุกข์ จะมีความสุขได้อย่างไร

ในทางตรงข้ามแม้จะไม่ร่ำรวย แต่พอใจในสิ่งที่มี เพราะได้กินอิ่มนอนอุ่น ซ้ำยังมีเงินเหลือเผื่อแผ่ผู้อื่นหรือได้ทำบุญทำทาน ชีวิตเช่นนี้ย่อมมีความสุขมากกว่าเศรษฐีร้อยล้านที่รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ายังรวยไม่พอ หรือหวาดวิตกกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ต้องดูอื่นไกล ชาวบ้านที่พอใจกับผ้าห่ม ๑ ผืนที่ได้รับแจก ย่อมมีความสุขมากกว่าพนักงานที่ได้โบนัส ๑ แสนบาทแต่ไม่พอใจที่เพื่อนร่วมงานได้ ๒ แสนบาท

ผ้าห่มราคาไม่ถึง ๑๐๐ บาท อาจให้ความสุขได้มากกว่าโบนัส ๑ แสนบาท ความแตกต่างนั้นไม่ได้อยู่ที่ใครเป็นผู้รับ แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้รับนั้นวางจิตวางใจอย่างไร ถึงจะเป็นชาวบ้าน แต่ถ้าไปเปรียบเทียบกับบ้านอื่นที่ได้ผ้าห่ม ๒ ผืน ก็ขุ่นเคืองใจได้ง่ายๆ พูดอีกอย่างก็คือ ได้อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่ามีท่าทีอย่างไรกับสิ่งนั้น ถึงจะได้เงินมาหลายสิบล้านบาท แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับเงินก้อนนั้นอย่างไม่ถูกต้อง ก็เป็นทุกข์ได้ อาจเป็นทุกข์ตั้งแต่รู้ข่าวด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมาขอหรือแย่งไป แต่ถ้าตั้งใจแต่แรกแล้วว่าจะแบ่งปันให้ผู้อื่น ไม่คิดหวงกอดเงินก้อนนั้นเอาไว้คนเดียว เงินก้อนนั้นก็นำความสุขมาให้ได้ไม่ยาก ยิ่งรู้เท่าทันว่าเงินจำนวนมากเช่นนั้นมีโทษอย่างไรบ้าง ก็ยากที่จะถูกเงินก้อนนั้นทำร้ายเอา

ความสุขของคนเรานั้น ปัจจัยสำคัญไม่ได้อยู่ที่มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเรามากน้อยเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร แม้เจ็บป่วยหรือทุพพลภาพ ก็ยังมีความสุขได้ หากรู้จักวางใจให้เป็น มีผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่มีความสุขมากกว่าคนปกติ หลายคนยอมรับว่าตนเองมีความสุขมากกว่าตอนที่ยังไม่เป็นมะเร็งเสียอีก ทั้งนี้ก็เพราะมะเร็งทำให้เขาหันเข้าหาธรรมะ และค้นพบความสุขที่แท้ซึ่งมีอยู่แล้วในจิตใจของตน ชีวิตที่เคยว้าวุ่นผันผวนและล่องลอยไปตามกระแสโลก กลับกลายเป็นชีวิตที่สงบเย็นมั่นคงและมีจุดหมายในการดำรงอยู่

ก้อนมะเร็งนั้นอันตรายยิ่งกว่าเม็ดสิวบนใบหน้า ใคร ๆ ก็รู้ แต่เหตุใดมะเร็งถึงทำให้บางคนพบกับความสุขที่ลึกซึ้ง ขณะที่สิวเพียงไม่กี่เม็ดบนใบหน้าสามารถทำให้เด็กสาวบางคนถึงกับฆ่าตัวตายได้ คำตอบนั้นไม่ได้อยู่ที่อิทธิฤทธิ์ของก้อนมะเร็งหรือเม็ดสิว แต่อยู่ที่ท่าทีของเจ้าตัวต่อสิ่งนั้นต่างหาก สิวเพียงไม่กี่เม็ด หากมัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงมัน ด้วยความรู้สึกรังเกียจและอับอาย มันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ จนสามารถผลักไสให้เราทำร้ายตัวเองได้เพียงเพื่อจะหนีมันไปให้พ้นๆ เท่านั้น

มะเร็งนั้นทำร้ายเราได้แค่ร่างกาย แต่ไม่สามารถทำร้ายจิตใจเราได้ เว้นเสียแต่ใจเราจะเผลอไปทำร้ายตัวเอง การยอมรับความจริง ไม่คิดผลักไสหรือปฏิเสธ ขณะเดียวกันก็ไม่ไปกังวลหรือหมกมุ่นกับอนาคต ช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบันได้อย่างไม่ทุกข์ และถ้ารู้จักมองในแง่บวก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเอง "โชคดี" บางคนเมื่อได้รับแจ้งจากหมอว่ามีมะเร็งอยู่ที่เต้านม ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตัวเองโชคดีที่มารู้ความจริงขณะที่มันยังอยู่ในระยะต้น บางคนพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งสมอง แต่ก็ไม่ทุกข์ เพราะรู้สึกว่าโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก ไม่เช่นนั้นคงจะเจ็บกว่านี้มาก

มะเร็งฉันใด ความพิการก็ฉันนั้น ในขณะที่หลายคนพูดว่า "โชคดีที่เป็นมะเร็ง" บางคนก็พูดว่า "ขอบคุณที่พิการ" เพราะหากไม่พิการ ก็คงไม่มาสนใจธรรมะ จนมีจิตที่โปร่งเบาและสงบเย็นอย่างที่คนธรรมดายังอิจฉา ในทางตรงกันข้าม คนที่มีอาการครบ ๓๒ จำนวนมากมาย กลับมีความทุกข์เพียงเพราะว่าผมแตกปลาย รักแร้คล้ำ น้ำหนักมาก หรือหน้าอกเล็ก บางคนพิการตั้งแต่คอลงมา แต่มีความสุขที่สามารถสร้างสรรค์ภาพวาด โดยใช้ปากคาบพู่กัน จนกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อ ขณะที่หลายคนซึ่งมีร่างกายปกติทุกอย่างแต่ทุกข์เพราะไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง หรือใช้ชีวิตอย่างเสเพลจนตัวเองเดือดร้อน

การมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ว่า ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ได้เป็นหลักประกันของความสุข สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่ใจของเราต่างหาก ถึงแม้จะมีสิ่งร้ายๆ เกิดขึ้นในชีวิต แต่หากเกี่ยวข้องกับมันอย่างถูกต้อง (เช่น ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของชีวิต หรือเป็นสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น) และรู้จักใช้ประโยชน์จากมัน หรือรู้จักมองให้เป็น ก็สุขได้ไม่ยาก สำหรับบางคน การตกงานจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมามัวเศร้าโศกเสียใจ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้มีเวลากลับไปอยู่กับพ่อแม่และช่วยงานท่านที่บ้าน บางคนได้มีโอกาสพบงานใหม่ที่ดีกว่าก็เพราะถูกไล่ออกจากงาน สตีฟ จ๊อบส์ ถึงกับพูดว่า การที่ตนเองถูกไล่ออกจากบริษัท แอ๊ปเปิ้ลที่ตนสร้างมากับมือ นั้น "เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผม" เพราะทำให้เขาไปบุกเบิกเทคโนโลยีแอนิเมชั่นที่บริษัทพิกซาร์ จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากผลงานอย่างเช่น Toy Story ก่อนที่ตัวเขาจะดังสุด ๆ จากเครื่อง iPod

การที่สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นกับเรานั้น ต้องอาศัยเหตุปัจจัยต่าง ๆ มากมาย ที่เราควบคุมไม่ได้ จนบางคนยกให้เป็นเรื่องของ "โชค" ไป หลายคนจึงเอาแต่พึ่งโชค หาไม่ก็หวังอำนาจดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไป โดยหาได้ตระหนักไม่ว่า ถึงแม้จะมีสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นกับเรา แต่อาจลงเอยด้วย ความทุกข์หรือความตกต่ำลำเค็ญก็ได้ อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่เป็นเรื่องของ "เคราะห์" แต่เป็นเรื่องของ "กรรม" กล่าวคือเกิดจากการกระทำของเราเองที่ไปเกี่ยวข้องกับมันอย่างไม่ถูกต้อง หรือวางใจไว้ไม่เป็นต่างหาก หากวางใจไว้เป็นแล้ว แม้แต่คำตำหนิก็กลายเป็นของดี ที่ช่วยให้เราฉลาดขึ้น (ถ้าไม่ฉลาดเพราะเห็นตัวเองชัดเจนขึ้น ก็ฉลาดเพราะเห็นนิสัยคนตำหนิได้กระจ่างขึ้น) ด้วยท่าทีเช่นนี้ เล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ จึงกล่าวว่า "วันไหนไม่ถูกตำหนิ วันนั้นเป็นอัปมงคล"

เจออะไร จึงไม่สำคัญเท่ากับเจอ อย่างไร ในทำนองเดียวกัน เป็นอะไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับเป็น อย่างไร ถึงจะเป็นคนสวนหรือเสมียน ก็อาจมีความสุขกว่าเป็นผู้จัดการ หากทำงานด้วยใจรักหรือมีฉันทะและเห็นคุณค่าของงานนั้น ไม่ใช่ทำด้วยตัณหาหรือมีกิเลสเป็นตัวผลักดัน ครูที่สอนด้วยความรักศิษย์นั้น สามารถสร้างสุขและก่อประโยชน์แก่ประเทศชาติได้มากกว่านายกรัฐมนตรีที่หวงอำนาจ ดังนั้นแทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาคอยว่าจะได้เป็นอะไรที่เด่นดังสูงส่งเสียที มาให้ความสำคัญกับการเป็นสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ให้ดีที่สุดจะไม่ดีกว่าหรือ

สุขหรือทุกข์นั้น ถึงที่สุดแล้วก็อยู่ที่ใจของเราเป็นประการสำคัญ อย่างอื่นนั้นมีความสำคัญรองลงมา กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปัจจัยภายในสำคัญกว่าปัจจัยภายนอก ดังนั้นแทนที่จะหวังให้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับเรา มาฝึกใจกันให้ฉลาดในการเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ดีกว่า เช่น พอใจในสิ่งที่มี รู้เท่าทันและยอมรับในความไม่เที่ยงของมัน ไม่หลงใหลเพลิดเพลินจนลืมตัว รู้จักใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และมองเห็น "โชค"จาก "เคราะห์" พอๆ กับที่รู้ทันว่ามี "เคราะห์" ซ่อนอยู่ใน "โชค" ที่สำคัญก็คือ สามารถเข้าถึงความสุขภายใน โดยไม่ติดยึดกับความสุขจากภายนอก หากทำได้เช่นนั้น อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่สำคัญ เพราะเรารู้ว่าเกี่ยวข้องกับมันอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์แต่เป็นสุขอยู่เสมอ ... .. .



ขอขอบคุณ...ที่มาครับ   http://dharma.thaiware.com/dharma_article.php?id=121

125
กฎแห่งกรรม / เข็ดแล้วจริงๆ...
« เมื่อ: 14 ธ.ค. 2552, 11:47:00 »
ผมอ่านเรื่องกฏแห่งกรรมจึงมีความสนใจในเรื่องบาปบุญคุณโทษ เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่
ชอบทำอะไรด้วยความคึกคะนอง ไม่เห็นแก่ชีวิตสัตว์อื่น เห็นแก่ความสนุกของตัวเองและเพื่อนๆ
เท่านั้น จนได้รับผลของกรรมทันตาเห็นจนผมเข็ด และตั้งปฏิณาญให้สัจจะกับตัวเองว่า จะไม่ทำบาป
อีกต่อไปเป็นอันขาด

....สมัยวัยรุ่น ผมเป็นเด็กสลัมในกรุงเทพฯนี่เอง มีเพื่อนเกเรไม่ชอบเรียนหนังสือ สิ่งที่ชอบคือ
การรังแกสัตว์ ยิงนก ตกปลา เรียกว่าทำบาปเป็นอาจิณ วันหนึ้งนั่งคุยกับเพื่อนๆถึงเรื่องการทำหมัน
ชาย มีเพื่อนคนหนึ่งนึกสนุกพูดขึ้นว่า
" ลองจับหมามาทำหมันแห้งไหมวะ "
" ทำอย่างไรวะ...หมันแห้ง "
" ก็เอาหนังยางมัดไข่ไง "

....เพื่อนทุกคนพูดกันสนุกๆแต่ไม่กล้าทำ ส่วนผมไม่พูด
แต่กล้าทำ ผมจับหมาที่นอนอยู่ข้างๆนั้นมาแล้วแก้หนังยาง
ที่มัดถุงโอเลี้ยง และให้เพื่อนๆช่วยกันเอาหนังยางรัดไข่ แต่เพื่อนไม่กล้ากลัวหมาเจ็บ ผมตัวโตกว่าเกเรเป็นจ่าฝูง จึงออกคำสั่งให้จับขาทั้งสี่ข้าง แล้วผมเป็นคนเอาหนังยางมัดลูกอัณฑะทั้งสองข้างของหมา คิดว่าเดี๋ยวก็จับมันมาแก้หนังยางออก

....แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่าที่คิดพอปล่อยมือ หมาก็วิ่งหนีและร้องลั่นเพราะเจ็บปวด และผมไม่รู้จะ
จับได้ที่ไหน มารู้อีกที่ก็โดนผู้ใหญ่ด่าว่า ไม่รู้ใครเอาหนังยางไปรัดไข่หมาไว้ ทำให้ลูกอัณฆะเน่า เพราะแผลเน่าทำให้หนังยางหลุดออกมา มันคงจะเจ็บปวดแสนสาหัสและไม่มีใครช่วยได้

....ต่อมาอีก 8 ปีกรรมนั้นก็มาส่งผลนั้นให้ผมคือคนข้างบ้านผมเป็นช่างไม้และมักเรียกผมไปเป็น
ลูกมือให้ค่าจ้างเป็นรายวัน และในครั้งนี้แกไปรับปลูกบ้านและทำรั้วบ้านในสวนย่างฝั่งธนบุรี รั้วบ้านทำด้วยเหล็กดัด หัวเป็นลูกศร แล้ววันแห่งการชดใช้กรรมก็มาถึง ทั้งที่ผมไม่อยากไปเพราะ
มีการถ่ายทอดสดมวยสากลที่ผมชอบ แต่ก็ต้องไปไม่รู้ทำไม ทำงานตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงไม่มีปัญหา ช่วงพักเที่ยงอากาศร้อนจึงไปอาบน้ำเปลี่ยนผ้านุ่งผ้าขาวม้า พอดีช่างให้หยิบของบนบ้านที่กำลัง
ก่อสร้าง พอตอนลงไม่รู้ทำไมอาจเป็นเพราะแรงกรรมดลใจ ทำให้ผมคึกคะนอง แทนที่จะเดินลง
บันไดผมกลับกระโดดลงมา ขณะกระโดดลงมาลมก็ตีผ้าขาวม้าให้บานออก ผมเอามือปิดข้างหน้า
แต่ชายผ้าข้างหลังไปเกี๋ยวกับลูกศรเหล็กที่ตั้งพิงไว้ ลูกศรนั้นถูกชายผ้าขาวม้ากระตุกให้เอน
เข้าหาตัวผม ซึ่งขายังไม่ถึงพื้นก็ถูกลูกศรตำเสียบเข้าหว่างขาถูกลูกอัณฑะทั้งสองทะลุ ช่างต้อง
นำส่งโรงพยาบาลทั้งลูกศรเหล็กต้องนอนรักษาตัวอยู่นาน

....ผมเข็ดแล้ว เรื่องทำบาปกรรม ไม่ทำต่อไปอีกแล้ว กรรมมีผลจริง กรรมใดใครก่อ เขาก็เป็นเจ้าของกรรมนั้น ต้องรับไปสักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว เชื่อพระพุทธเจ้าสอนเถิดครับ ผมต้องพิการตลอดชีวิตตรงที่ไม่มีลูกได้ เสียเงินมากในการรักษา เจ็บปวดแสนสาหัส ก็เพราะกรรมที่ก่อไว้แท้ กรรมคุณทำแล้ว....มันรอคุณอยู่อย่าอดทน
                                                                                                                                                                                                                   ขอบคุณที่มา...หนังสือโลกทิพย์

126
ธรรมะ / คำสอน...ของพระอาจารย์ฝั้น
« เมื่อ: 10 ธ.ค. 2552, 11:50:23 »


พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ทางพ้นทุกข์
 

การสำเร็จมรรคสำเร็จผล ไม่ได้สำเร็จที่อื่นที่ไกล สำเร็จที่ดวงใจของเรา  คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านวางไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  ท่านก็ไม่ได้วางไว้ที่อื่น วางที่กาย ที่ใจของเรานี้เอง นี่เรียกว่า เป็นที่ตั้งแห่งธรรมวินัย  ความที่พ้นทุกข์ ก็จะพ้นจากที่ไหนเล่า คือใจเราไม่ทุกข์ แปลว่าพ้นทุกข์  เพราะฉะนั้น ได้ยินแล้ว ให้พากันน้อมเข้าภายใน   ธรรมะคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า รวมไว้ในจิตดวงเดียว เอกํ จิตฺตให้จิดเป็นของเดิม จิตฺตํ ความเป็นอยู่ ถ้าเราน้อมเข้าถึงจิตแล้ว  ความสำเร็จอยู่ที่นั้น ถ้าเราไม่รวมแล้ว มันก็ไม่สำเร็จ ทำการทำงาน  ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องรวมถึงจะเสร็จ ถ้าไม่รวมเมื่อไร ก็ไม่สำเร็จ  เอกํ ธมฺมํ มีธรรมดวงเดียว เวลานี้เราทั้งหลาย ขยายออกไปแล้ว  ก็กว้างขวางพิสดารมากมาย ถ้าวิตถารนัย ก็พรรณนาไปถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์  รวมเข้ามาแล้ว สังเขปนัยแล้ว มีธรรมอันเดียว เอกฺ ธมฺมํ เป็นธรรมอันเดียว  เอกฺ จิตฺตํ มีจิตดวงเดียว นี่เป็นของเดิม ให้พากันให้พึงรู้ พึงเข้าใจต่อไป  นี่แหละต่อไป พากันให้รวมเข้ามาได้ ถ้าเราไม่รวมนี่ไม่ได้ เมื่อใดจิตเราไม่รวมได้เมื่อใด มันก็ไม่สำเร็จ  นี่แหละ ให้พากันพิจารณาอันนี้ จึงได้เห็นเป็นธรรม เมื่อเอาหนังออกแล้ว  ก็เอาเนื้อออกดู เอาเนื้อออกดูแล้ว ก็เอากระดูกออกดู เอาทั้งหมดออกดู  ไส้น้อย ไส้ใหญ่ ตับ ไต ออกมาดู มันเป็นยังไง มันเป็นคน หรือเป็นยังไง  ทำไมเราต้องไปหลง เออนี่แหละ พิจารณาให้มันเห็นอย่างนี้แหละ  มันจะละสักกายทิฐิแน่ มันจะละวิจิกิจฉา ความสงสัย จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้  มันเลยไม่มี สีลพัตฯ ความลูบคลำ มันก็ไม่ลูบคลำ อ้อจริงอย่างนี้  เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้แล้ว จิตมันก็ว่าง  เมื่อรู้จักแล้วก็ตัด นี่มันจะได้เป็นวิปัสสนาเกิดขึ้น   อันนี้เรามีสมาธิแน่นหนาแล้ว ทุกขเวทนาเหล่านั้น มันก็เข้าไม่ถึงจิตของเรา   เพราะเราปล่อยแล้ว เราวางแล้ว เราละแล้ว  ในภพทั้งสามนี้ เป็นทุกข์อยู่เรื่องสมมติทั้งหลาย จิตนั้นก็ละภพทั้งสาม   มันก็เป็นวิมุตติ หลุดพ้นไปหมด นี่ละเป็น วิมุตติ แปลว่า หลุดพ้น  จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ จิตนั้นจะได้เข้าสู่ปรินิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสาร  ไม่ต้องสงสัยแน่ เวียนว่ายตายเกิดในโลกอันนี้ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ วัฏสงสาร  ทำไมจึงว่า วัฏคือเครื่องหมุนเวียน สงสารคือ ความสงสัยในรูป เฮอ  ในสิ่งที่ทั้งหลายทั้งหมด มันเลย ไม่ละวิจิกิจฉาได้ซี  เดี๋ยวนี้เรารู้แล้ว ไม่ต้องวนเวียนอีก เกิดแล้วก็รู้แล้ว ว่ามันทุกข์ ชราก็รู้แล้วมันทุกข์  พยาธิก็รู้แล้ว ว่ามันทุกข์ มรณะก็รู้แล้วมันทุกข์  เมื่อเราทุกข์เหล่านี้ ก็ทุกข์เพราะความเกิด เราก็หยุด ผู้นี้ไม่เกิด  แล้วใครจะเกิดอีกเล่า ผู้นี้ไม่เกิดแล้ว ผู้นี้ก็ไม่แก่ไม่ตาย ผู้นี้ไม่ตายแล้ว   อะไรจะมาเกิด มันไม่เกิด จะเอาอะไรมาตาย ดูซิ ใจความคิดของเรา   เดี๋ยวนี้เราเกิด เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตายอยู่อย่างนี้   มันก็เป็นทุกข์ไม่แล้วสักที

 
***************************

127
บทความ บทกวี / มนต์ขัดเกลากิเลส
« เมื่อ: 08 ธ.ค. 2552, 04:26:38 »
มนต์ขัดเกลากิเลส


การเจริญกรรมฐาน จุดประสงค์เพื่อให้จิตมันรู้มันเห็น จะได้ขัดเกลากิเลสออกจากจิต เราก็หมั่นเอามนต์บทนี้สาธกให้จิตเห็น

ชนเหล่าอื่นเป็น ผู้เบียนเบียนกัน เราจัก ไม่เบียนดเบียน

ชนเหล่าอื่น เป็นผู้.ฆ่าสัตว์ เราจัก ไม่ฆ่าสัตว์

ชนเหล่าอื่น กล่าวเท็จ เราจัก ไม่กล่าวเท็จ

ชนเหล่าอื่นมี จิตพยาบาท เราจัก ไม่มีจิตพยาบาท

ชนเหล่าอื่นมี ความเห็นผิด เราจัก มีความเห็นถูก


ชนเหล่าอื่นมี อาชีพผิด เราจัก มีอาชีพถูก

ชนเหล่าอื่นเป็น ผู้ฟุ้งซ่าน เราจัก เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน

ชนเหล่าอื่นมี ความโกรธ เราจัก ไม่มีความโกรธ

ชนเหล่าอื่น ผูกโกรธไว้ เราจัก ไม่ผูกโกรธ


ชนเหล่าอื่น ลบหลู่คุณท่าน เราจัก ไม่ลบหลู่คุณท่าน

ชนเหล่าอื่นมี ความริษยา เราจัก ไม่มีความริษยา

ชนเหล่าอื่นมี ความตระหนี่ เราจัก ไม่มีความตระหนี่

ชนเหล่าอื่น โอ้อวด เราจัก ไม่โอ้อวด

ขนเหล่าอื่น ดูหมิ่นท่าน เราจัก ไม่ดูหมิ่นท่าน


ชนเหล่าอื่นเป็น ผู้ว่ายาก เราจัก เป็นผู้ว่าง่าย

ชนเหล่าอื่น ไม่มีหิริ เราจัก มีหิริ

ชนเหล่าอื่น ไม่มีโอตตัปปะ เราจัก มีโอตตัปปะ

ชนเหล่าอื่น มีความมัวเมา เราจัก ไม่มีความมัวเมา

ชนเหล่าอื่น เป็นผู้เกียจคร้าน เราจัก ปรารภความเพียร


------------------
คัดลอกจากหนังสือโลกทิพย์ ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2550
คอลัมภ์ ประทีปแห่งธรรมนี้จักส่องทาง เพื่อยังประโยชน์แก่ชนทั้งหลาย ผู้สนใจการแสวงหาทางออกจากวัฏทุกข์ โดยอาปาสันติ

 
 

128
ถาม – เทวดาบรรลุมรรคผลได้ไหมครับ? ถ้าบรรลุได้ หมายความว่าบนสวรรค์มีการ
ปฏิบัติธรรมเหมือนมนุษย์หรือเปล่า?

การบรรลุมรรคผลบนสวรรค์นั้นเป็นไปได้ แต่ ‘ไม่สะดวก’ เหมือนบนโลกมนุษย์ครับ เหตุเพราะ
ขาด ‘อุปกรณ์สำคัญ’ ที่เอื้ออำนวยในการปฏิบัติภาวนา นั่นคือกายมนุษย์อันเต็มไปด้วยความกระสับ
กระส่ายของพวกเรานี้

การปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระพุทธเจ้ายืนอยู่บนการพิจารณาเห็นกายใจไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งเห็นได้ง่ายในกายใจของมนุษย์ แต่เห็นได้ยากมากบนกายทิพย์ใจทิพย์ของ
เทวดานางฟ้า อะไรๆในความเป็นทิพย์นั้น ตั้งอยู่เพื่อให้หลงระเริง เพื่อให้เพลิดเพลินยึดติดแต่
ถ่ายเดียว

อย่างไรก็ตาม หากเทวดามีคุณสมบัติเหล่านี้ ก็เป็นไปได้ที่จะบรรลุมรรคผลบนสวรรค์กัน

๑) เป็นเทพยดาผู้สั่งสมนิสัยอริยะไว้ก่อน พูดง่ายๆคือมีบุญ มีบารมีทางมรรคทางผล พอที่
จะสละความยึดติดในกายทิพย์และใจทิพย์ ไม่ใช่มีเมฆหมอกความหลงผิดปิดบังแน่นหนา เช่น
เมื่อครั้งเป็นมนุษย์เคยบั่นทอนกำลังใจหรือขัดขวางผู้คิดภาวนาเอามรรคเอาผล

๒) มีการพิจารณาเห็นความไม่ใช่ตัวตนเต็มกำลัง แม้มีบุญบารมีมากเพียงใด ถ้าไม่รู้เข้ามา
ที่กายทิพย์ใจทิพย์ของตน จนเห็นความเป็นเหตุปัจจัยประชุมกันชั่วคราว เกิดแล้วต้องดับเป็นธรรมดา
หาตัวตนมิได้แล้ว ก็ไม่มีทางบรรลุมรรคผลเลย การพิจารณาธรรมให้เห็นความไม่เที่ยงและความไม่
ใช่ตัวตนนั้น อาจเป็นความรู้ความจำที่ติดตัวมาตั้งแต่ครั้งเป็นมนุษย์ หรืออาจเป็นการชี้ทางโดยผู้มี
ภูมิธรรมระดับอริยะก็ได้

ขอยกตัวอย่างการบรรลุธรรมอันลือลั่นของพระอินทร์ ซึ่งมาเข้าเฝ้าสดับพระธรรมเทศนา
จากพระพุทธเจ้า เรื่องนี้มีมาในสักกปัญหสูตร อันหมายถึงปัญหาที่ท่านท้าวสักกะหรือพระอินทร์ลง
มากราบทูลถามพระพุทธเจ้าถึงในโลกมนุษย์ หากคุณศึกษาเนื้อความดังต่อไปนี้ให้ดี ก็จะเห็น
ตัวอย่างการบรรลุมรรคผลอันเกิดจากการพิจารณาธรรมที่ไม่ยากจนเกินไป และเมื่อเข้าใจแล้วก็ย่อม
ทราบชัดว่าการบรรลุมรรคผลเป็นของสากล ไม่จำเพาะว่าต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น ขอเพียงมีดวงจิต
เป็นกุศล สามารถเข้าใจภาษาธรรมะ จะเป็นเทวดาอินทร์พรหมไหนๆก็มีสิทธิ์ด้วยกันทั้งสิ้น

ครั้งนั้นพระพุทธองค์ท่านประทับอยู่ในถ้ำชื่ออินทสาละ พระอินทร์รวมทั้งเหล่าเทวดาอัน
เป็นเทพบริวารได้มาเข้าเฝ้า พระอินทร์กล่าวสรรเสริญคุณแห่งพระพุทธศาสนาว่าทำให้เทวดามี
สหายใหม่มากขึ้น ส่วนสัตว์ในอบายภูมิได้เพื่อนน้อยลง อีกทั้งพระอินทร์ได้เห็นตัวอย่างการบรรลุ
ธรรมในหมู่เทพด้วยกัน จึงมากราบทูลขอพุทธานุญาต ถามธรรมเพื่อความบรรลุถึงเช่นนั้นบ้าง

พระพุทธองค์ทรงอนุญาตและตรัสรับรองว่าจะตอบปัญหาของพระอินทร์ให้หายสงสัยถึง
ที่สุด เนื่องจากเล็งเห็นว่าท้าวสักกะเป็นบัณฑิต จะถามอะไรย่อมประกอบด้วยประโยชน์ กับทั้งมี
ความสามารถเข้าใจเนื้อความธรรมะได้รวดเร็วฉับพลัน ฉะนั้นพระองค์จะไม่เปลืองแรงเปล่ากับการ
ตอบคำถามเป็นแน่

ครั้งนั้นความสงสัยอย่างที่สุดของพระอินทร์ท่าน คืออยากทราบว่าอะไรเป็นเครื่องมัดใจสัตว์
ทั้งหลายให้ต้องผูกเวรกัน ทั้งที่บางพวกไม่อยากมีเวร ก็ไม่แคล้วต้องถูกเบียดเบียน ต้องตอบโต้
ต้องก่อเวรกับผู้รุกราน ต่อให้เป็นเทวดา หรือกระทั่งเป็นพระอินทร์ผู้ยิ่งใหญ่ในดาวดึงส์ ยังถูกเหล่า
อสูร์ราวีเข้าจนได้

ในการตอบเพื่อให้มรรคให้ผลแก่ผู้ควรบรรลุ พระพุทธเจ้าทรงเลือกที่จะไม่ให้คำตอบโยงไป
เกี่ยวพันกับอดีตกรรมหนหลังที่เทวดาและอสูรเคยผูกเวรกันมา ทว่าจำกัดขอบเขตอยู่ในเหตุผลของ
จิต และคำตอบแบบยิงเข้าเป้าโดยตรงของพระพุทธองค์ก็คือ…

ดูกรจอมเทพ เหล่าเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ ต่างก็มีความริษยาและความ
ตระหนี่เป็นเครื่องผูกใจไว้ แม้เหล่าชนจำนวนมากปรารถนาความเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา
ไม่มีศัตรู ไม่มีความพยาบาท แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังต้องเป็นผู้มีเวร มีอาชญา มีศัตรู มี
ความพยาบาท ยังจองเวรกันอยู่

คำตรัสของพระพุทธองค์หมายความว่า พวกเราตกอยู่ในจักรวาลแห่งการเบียดเบียน ถูก
จองจำพันธนาการอยู่ด้วยสายโซ่คือความริษยาและความตระหนี่ ต่อให้ไม่อยากมีเวรก็ต้องมีเวร ต่อ
ให้ไม่อยากมีศัตรูก็ต้องมีศัตรู เราไม่ทำเขาเขาก็มาทำเราอยู่วันยังค่ำ ยากที่จะหลีกเลี่ยงไปได้ตลอด
รอดฝั่ง


ดังกล่าวแล้วว่าพระอินทร์เป็นผู้มีปัญญามาก เพียงฟังเท่านั้นท่านก็เบี่ยงเบนความสนใจจาก
เวรนอกตัว มาเป็นเหตุแห่งเวรอันเป็นของภายใน นั่นคือความริษยาและความตระหนี่ทันที ซึ่งในขั้น
นี้ผู้มีปัญญาใกล้ถึงธรรมทั้งหลายต่างก็เหมือนกัน คือตัดความสนใจนอกตัว เอาสติเข้ามาตั้งที่
ภายใน รู้อยู่กับเรื่องของใจตน

เมื่อเกิดสติรู้อยู่ที่จิตอันเป็นของจริงในตนแล้ว พระอินทร์ก็ทูลถามต่อ…

ข้าแต่พระสุคต ด้วยคำตอบของพระองค์ทำให้ข้าพระองค์ข้ามความสงสัยเรื่อง
ต้นเหตุแห่งภัยเวรแล้ว แต่กระนั้นก็ยังสงสัยอยู่ ว่าความริษยาและความตระหนี่มีอะไรเป็น
ต้นเหตุให้เกิดขึ้น ข้าพระองค์ใคร่ที่จะทราบว่าเมื่ออะไรมี ความริษยาและความตระหนี่จึงมี
และเมื่ออะไรไม่มี ความริษยาและความตระหนี่จึงไม่มี?

พระอินทร์ไม่ได้ถามอย่างคนช่างซักหรือสักแต่อยากรู้อยากเห็น เพราะท่านถามเจาะเอา
แก่นสารอันเป็นที่สุดด้วย นั่นคือ ‘เมื่ออะไรไม่มี ความริษยาและความตระหนี่จึงไม่มี’ อันนี้ถือเป็น
คำถามที่ลึกซึ้งสุดยอดของศาสนาพุทธเรา ซึ่งกล่าวถึงเหตุแห่งการมีทุกข์ และเหตุแห่งการดับทุกข์
ผู้รู้ทางศาสนาย่อมทราบดีว่าคำถามนี้ของพระอินทร์เริ่มเข้าข่ายอริยสัจจ์ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการ
ถามเอาความรู้แจ้งในระดับอริยะแล้ว

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า…

ดูกรจอมเทพ ความริษยาและความตระหนี่ มีวัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่
รักเป็นต้นเหตุให้เกิดขึ้น เมื่อวัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่รักมีอยู่ ความริษยาและ
ความตระหนี่จึงมี เมื่อวัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่รักไม่มี ความริษยาและความ
ตระหนี่จึงไม่มี

พระอินทร์ย่อมเห็นแจ้งตามจริงตามพุทธพจน์ทันที ว่าเมื่อปราศจากเครื่องยึดให้จิตรักใคร่
ใจย่อมว่างจากความริษยาและความตระหนี่ แต่กระนั้นก็ยังไม่ถึงที่สุดของความสงสัย พระอินทร์จึง
ทูลถามต่อไป…

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ วัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่รัก มีอะไรเป็นต้นเหตุ
ให้เกิดขึ้น ข้าพระองค์ใคร่ที่จะทราบว่าเมื่ออะไรมี วัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่รักจึง
มี และเมื่ออะไรไม่มี วัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่รักจึงไม่มี?

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า

ดูกรจอมเทพ วัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่รักนั้น มีความพอใจเป็นต้นเหตุ
ให้เกิดขึ้น เมื่อความพอใจมี วัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่รักจึงมี เมื่อความพอใจไม่
มี วัตถุอันเป็นที่รักและวัตถุอันไม่เป็นที่รักจึงไม่มี

บัดนั้นพระอินทร์เห็นเข้ามาที่จิตอีกครั้ง เห็นว่าบุคคลหรือวัตถุภายนอกย่อมไม่อาจเป็นที่รัก
ได้เลย หากขาดตัวแปรสำคัญตัวเดียวคือ ‘ความพอใจ’ หากขาดความพอใจเสียแล้ว ทั้งโลกย่อมไม่
มีสิ่งใดควรยึดมั่นว่าน่ารักหรือน่าชังอีกต่อไป

พระอินทร์ยังมีคำถามต่อ…

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ความพอใจมีอะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดขึ้น ข้าพระองค์ใคร่ที่จะ
ทราบว่าเมื่ออะไรมี ความพอใจจึงมี และเมื่ออะไรไม่มี ความพอใจจึงไม่มี?

พระพุทธองค์ตรัสตอบ

ดูกรจอมเทพ ความพอใจมีความตรึกเป็นต้นเหตุให้เกิดขึ้น เมื่อความตรึกมี ความ
พอใจจึงมี เมื่อความตรึกไม่มี ความพอใจจึงไม่มี

นี่คือคำตอบที่ชัดเจน เรียบง่าย และตรงไปตรงมายิ่ง คนเราถ้าไม่ตรึกนึกถึงสิ่งใด ความ
พอใจหรือความไม่พอใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ขอให้พิจารณาดูว่าถ้าคุณ
ผ่านไปเห็นหรือมีอะไรผ่านมาให้ได้ยิน แต่คุณไม่ยินยลสนใจ ไม่ใส่ใจตรึกนึกเปรียบเทียบให้เห็น
ข้อดีข้อเสียต่างๆ คุณย่อมไม่รู้สึกรู้สา แม้เห็นอยู่ว่าสวยงามหรือชวนชัง แต่ทุกอย่างก็สักแต่ผ่าน
มาแล้วผ่านไป โดยไม่มีใจคุณติดตามไปด้วย

แต่ธรรมดาคนเราเมื่อพบเห็นหรือได้ยินอะไร ก็มักเอากลับมานึกถึง เอากลับมาคิดต่อ แล้ว
ก็เกิดอาการตอกย้ำ ตัดสินยิ่งๆขึ้นว่านั่นน่าพอใจ นั่นน่าจับต้อง นั่นน่าได้มาไว้เป็นสมบัติ นี่แหละ
พระพุทธองค์จึงตรัสว่าเพราะความตรึกนึกเป็นเหตุ จึงมีความพอใจเกิดขึ้นได้

พระอินทร์ทูลถามต่อ…

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ความตรึกมีอะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดขึ้น ข้าพระองค์ใคร่ที่จะ
ทราบว่าเมื่ออะไรมี ความตรึกจึงมี และเมื่ออะไรไม่มี ความตรึกจึงไม่มี?

คราวนี้พระพุทธองค์ตรัสตอบมาถึงระดับพ้นวิสัยที่จะเข้าใจด้วยมุมมองของการมีตัวตน
(ลองอ่านช้าๆจะไม่ยากเกินเข้าใจนะครับ)

ดูกรจอมเทพ ส่วนหนึ่งของความตรึกมาจากความสำคัญมั่นหมาย อันประกอบด้วย
ความทะยานอยาก ความถือตัว และความเห็นผิด ความสำคัญมั่นหมายนั่นแหละเป็น
ต้นเหตุให้เกิดขึ้น เมื่อความสำคัญมั่นหมายมี ความตรึกจึงมี เมื่อความสำคัญมั่นหมายไม่มี
ความตรึกจึงไม่มี

ความสำคัญมั่นหมายคืออาการที่จิตทรงจำ ตลอดจนหมายรู้ได้ว่าอะไรคืออะไร หน้าตาแบบ
ไหนเป็นของคนรัก หน้าตาแบบไหนเป็นของศัตรู และหน้าตาแบบไหนเป็นตัวคุณเอง หาก
ปราศจากอาการสำคัญมั่นหมายอันประกอบไปด้วยความทะยานอยาก ความถือตัว และความเห็น
ผิดเสียแล้ว คุณจะไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ไม่มีข้างคนรัก ไม่มีข้างศัตรูเลย ทุกคนเป็นพวกเดียวกัน คือ
เป็นเหยื่อของความไม่รู้ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

เมื่อ ‘รู้สึกชัด’ เข้ามาในภายใน เห็นว่าจิตนี้ มีองค์ประกอบส่วนหนึ่งเป็นความสำคัญมั่น
หมาย หรือความจำได้หมายรู้ ก็เท่ากับคุณเห็นแบบแยกส่วน ว่าความจำได้หมายรู้เป็นแค่อะไรชิ้น
หนึ่ง เป็นต่างหากจากจิต เป็นต่างหากจากตัวตน และถ้าตั้งความเห็นไว้ถูกต้อง ว่าความจำได้
หมายรู้เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง แล้วต้อง
สาบสูญไปสู่ความเป็นอื่น คุณก็จะไม่เห็นตัวคุณอยู่ในความจำ และไม่เห็นความจำโดย
ความเป็นตัวคุณแต่อย่างใดเลย

มาต่อกันเรื่องพระอินทร์ พอฟังคำตอบถึงตรงนี้ ‘ตัวสำคัญมั่นหมาย’ ก็ปรากฏต่อจิตของ
ท่านแล้ว คือท่านเห็นความสำคัญมั่นหมายเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่ง อันนำมาซึ่งความตรึก ความ
พอใจ แล้วเป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่รัก สิ่งที่เป็นต้นตอแห่งความริษยาและความตระหนี่ ดังนั้นท่านจึงทูล
ถามพระพุทธเจ้าต่ออย่างจะเอาคำตอบสำคัญสุดยอด คือ…

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็ภิกษุปฏิบัติอย่างไร จึงได้ชื่อว่าทำเหตุอันควรที่จะให้ถึง
ความดับในส่วนของความสำคัญมั่นหมาย อันประกอบด้วยความทะยานอยาก ความถือตัว
และความเห็นผิด?

คำตอบสำหรับคำถามนี้ พระพุทธองค์ตรัสโดยถือหลักว่าจะต้องปฏิบัติได้จริงสำหรับเทวดา
เหล่าเทวดาประสบกับสัมผัสดีๆอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจะหาเครื่องพิจารณาให้จิตถอนจากความ
ทะยานอยาก ความถือตัว และความเห็นผิด จึงต้องว่ากันด้วยเรื่องความดีใจและความเสียใจกันเป็น
หลัก เพราะแม้ในโลกสวรรค์ที่อุดมด้วยทิพยสภาพอันแสนประณีตไร้ที่ติ ก็อาจเป็นทางมา
แห่งโสมนัสและโทมนัสได้

พระพุทธองค์จึงอาศัยโอกาสแคบๆนี้เป็นช่องชี้ทางสว่างให้พระอินทร์ คือ…

ดูกรจอมเทพ อาตมภาพจะกล่าวถึงโสมนัสโดยแยกเป็น ๒ คือโสมนัสที่ควรเสพก็มี
โสมนัสที่ไม่ควรเสพก็มี โทมนัสก็แยกเป็น ๒ คือโทมนัสที่ควรเสพก็มี โทมนัสที่ไม่ควรเสพก็
มี และอุเบกขาก็แยกเป็น ๒ คืออุเบกขาที่ควรเสพก็มี อุเบกขาที่ไม่ควรเสพก็มี

โสมนัส โทมนัส และอุเบกขาใดทำให้กุศลเจริญขึ้น กับทั้งปราศจากความตรึก ความ
ตรอง อย่างนั้นควรเสพ แต่ถ้าทำให้อกุศลเจริญ อย่างนั้นไม่ควรเสพ

ได้ฟังอย่างนี้ สำหรับพระอินทร์ก็โดนใจเต็มๆ เพราะท่านเพิ่งมีประสบการณ์อันทำให้ระลึก
ได้ถึงการเสพโสมนัสควบคู่ไปกับโทมนัสมาสดๆร้อนๆ กล่าวคือเหล่าพรรคพวกเทวดาของท่านเพิ่ง
รบกับเหล่าอสูร ซึ่งเมื่อพระอินทร์เป็นฝ่ายชนะ ก็ย่อมมีความโสมนัสยินดี

ความโสมนัสยินดีอันเกิดจากชัยชนะต่ออริราชศัตรูนั้น เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว ก็ย่อม
เห็นชัด ว่าเป็นโสมนัสที่ประกอบไปด้วยทางมาแห่งอาชญา ประกอบไปด้วยทางมาแห่งศาตรา ไม่
เป็นไปเพื่อความแหนงหน่ายคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์อันเกิดจากการรู้แจ้งมรรคผล
นิพพาน

ส่วนการได้รับความยินดี การได้รับความโสมนัสอันเกิดจากการได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระ
ภาคนั้น ไม่เป็นทางมาแห่งอาชญา ไม่เป็นทางมาแห่งศาตรา แต่เป็นไปเพื่อความแหนงหน่ายคลาย
กำหนัด เป็นไปเพื่อความดับทุกข์อันเกิดจากการรู้แจ้งมรรคผลนิพพาน

ระหว่างฟังเทศนาธรรมไขปัญหาอยู่นั้นเอง พระอินทร์ก็บรรลุธรรม (กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า
บรรลุมรรคผล หรือได้ดวงตาเห็นธรรม รู้จักพระนิพพานเป็นวาระแรก) ดังความตามพระสูตรที่ว่า…

ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี
ปราศจากมลทิน ได้บังเกิดขึ้นแก่ท้าวสักกะจอมเทพ เพราะเห็นแจ้งว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความ
เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งเหล่านั้นทั้งมวลล้วนมีความดับลงเป็นธรรมดา

การสืบเหตุสืบผลของความมีความเป็นทั้งหลายตามลำดับนั้น เปรียบเสมือนการปอกกาบ
ใบของต้นกล้วยออกทีละชั้นจนไม่เหลืออะไร ไม่พบแก่นอันเป็นสุดท้ายนอกจากความว่างเปล่า และ
ณ ที่ที่พบความว่างเปล่าจากตัวตนนั้นเอง ความรู้สึกในตัวตนย่อมหายไป

กล่าวโดยสรุปอีกครั้ง เทวดาบรรลุมรรคผลได้นะครับ แต่ตามอัตภาพอันเป็นอัครมหาสุขแล้ว
ท่านจะไม่มีโอกาสเจริญสติตามแนวสติปัฏฐาน ๔ เหมือนมนุษย์โลก พวกท่านไม่มีกายอันเต็มไป
ด้วยอึฉี่และตับไตไส้พุงโสโครก ตั้งอยู่อย่างอุดมโรค เป็นรังโรคที่รอวันแตกดับ มีแต่กายทิพย์อัน
หอมหวนนุ่มนิ่ม กับสภาพแวดล้อมน่ารื่นรมย์สุดประมาณ การจะพิจารณาให้เกิดความแหนงหน่าย
จึงยาก แต่ก็มีโอกาสอันแคบอยู่ คือพิจารณาเห็นสายโซ่แห่งเหตุผลของการมีการเป็น หรือเห็นเข้า
มาในจิต ในอารมณ์ของตนเป็นขณะๆ ว่าเกิดแล้วต้องดับไปทั้งหมด กระทั่งจบลงที่การรู้แจ้งว่ากาย
ทิพย์ใจทิพย์นั้น หาใช่ตัวตนของใครไม่

 ขอขอบคุณที่มา   http://dungtrin.com/dharmaathand/003/prepare.htm

129





ตามประวัติได้เล่าว่า หลวงปู่มั่น ท่านได้เที่ยวปลีกวิเวกธุดงค์ไปป่าตามจังหวัดต่างๆ ผ่านอุบลราชธานี ดงพญาเย็น ภูเขาหลายลูก ในวันหนึ่งเกิดนิมิตถึง ถ้ำสิงห์โต หรือ ถ้ำไผ่ขวาง อยู่บนเขาพระงาม จ.ลพบุรี

ถ้ำไผ่ขวางอยู่ข้างน้ำตก มีลักษณะเป็นป่าทึบ อากาศเย็นสบาย อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่านานาชนิดอาทิ ช้าง เสือ งูเห่า สถานที่แทบจะไร้ผู้คนอาศัย ระหว่างทางเดินขึ้นเขา ชาวบ้านเห็นมีพระภิกษุต่างถิ่นรูปหนึ่งสะพายบาตรกลดกิริยามารยาทเคร่งครัดใน พระธรรมวินัย จึงตรงเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า

“หลวงพ่อจะไปไหน”
หลวงปู่มั่นตอบว่า “จะไปบำเพ็ญสมณธรรมในเขาลูกนั้น”

ชาวบ้านฟังแล้วตกใจ รีบยกมือไหว้ท่านแล้วกราบนิมนต์ว่า “อย่าเข้าไปเลยหลวงพ่อ เพราะพระที่เข้าไปในถ้ำนี้ตายไปแล้ว 6 องค์ ขอให้อยู่กับพวกฉันที่บ้านไร่นี้เถิด อย่าเข้าไปเลย”

หลวงปู่มั่นรับความปรารถนาดีของชาวบ้านเอาไว้ในใจแล้วตอบว่า “เออ.. โยม ขอให้อาตมาเป็นองค์ที่ 7 ก็แล้วกัน”

จากคำพูดของชาวบ้าน ก็พอทำให้หลวงปู่มั่นเข้าใจสภาพของถ้ำบนภูเขาในป่าได้ดี จิตใจไม่มีหวาดกลัวกลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวยอมสละชีวิตเพื่อธรรมะ พอถึงถ้ำไผ่ขวางจัดแจงวางสัมภาระ เก็บปัดทำความสะอาดบริเวณที่พัก พอตกค่ำบำเพ็ญภาวนาตามวิสัย

รุ่งเช้าเดินลงเขาบิณฑบาตอย่างนี้ผ่านเดือนอ้าย เดือนยี่จนล่วงใกล้เข้าคืนเพ็ญเดือน 3 อันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ทำให้หลวงปู่มั่นระลึกถึงสมัยพุทธกาล ช่วงที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญภาวนาต่อสู้กับกิเลสมารจนบรรลุธรรม ท่านได้ปรารภว่า

“เราบำเพ็ญสมณธรรมมาถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา 12 ปี ทุกอย่างพร้อมแล้ว ที่จะทำสุดแห่งทุกข์ในวัฏสงสารในคืนเพ็ญนี้” การตัดสินใจเช่นนี้แบบทิ้งทวนแลกชีวิตกับธรรมะ

ยามเช้า... เช่นเดียวกับทุกๆ วัน หลวงปู่มั่นหลังจากฉันเช้าเรียบร้อยเพียงพอแก่สังขารให้บำเพ็ญธรรมะได้ จากนั้นจึงบำเพ็ญสมาธิภาวนา พอนั่งได้ไม่นานเกิดไม่สบายกาย อาหารที่ฉันเข้าไปไม่ย่อย ทำให้อาหารเป็นพิษ ส่งผลให้ท้องร่วง อาเจียนอย่างหนัก ท่านจึงหวนนึกถึงคำพูดของชาวบ้าน พรางรำพึงกับตนเองว่า

“ตัวเราเองก็เห็นจะตายแน่เหมือนพระเหล่านั้น” แต่คำปรารภนี้ล้วนไม่ใช่วิสัยนักรบแห่งกองทัพธรรม หลวงปู่มั่นจึงออกเดินสำรวจมองหาสถานที่นั่งสมาธิ และแล้ว..

ที่หน้าผาเหวลึก.. มีก้อนหินใหญ่อยู่บนปากเหว พอให้คนไปนั่งได้ หลวงปู่มั่นไปขึ้นไปยืนบนก้อนหินใหญ่ แล้วหยิบก้อนหินอันเล็กๆ โยนลงไปในเหว ใช้เวลานานพอควรจึงจะได้ยินเสียงกระทบของก้อนหิน หลังจากดูทำเลเป็นที่เรียบร้อยหลวงปู่มั่นกล่าวปณิธานว่า

“เอาล่ะ.. ถ้าเราไม่รู้แจ้งเห็นจริง ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด ถ้าเราจะต้องตายขอให้ตายตรงนี้ ขอให้หล่นลงไปในเหวนี้ จะได้ไม่เป็นที่วุ่นวายแก่ใครๆ ซึ่งจะต้องกังวลทำศพให้เรา”

คืนนั้น ท่ามกลางขุนเขาแสงจันทร์กระจ่างเป็นสักขีพยานเฝ้าดูการบำเพ็ญภาวนาของหลวง ปู่มั่น จิตของท่านสว่างไสวดุจกลางวัน เห็นกระจ่างชัดแม้เม็ดทรายเล็กๆ

จิตโอภาสประภัสสรเห็นชัดในนิมิตที่เข้ามา รวมถึงการพิจารณากายคตาตอลดจนธรรมะต่างๆ นาน 3 วัน 3 คืน โดยไม่ลงไปบิณฑบาต ไม่ฉันอาหาร เกิดนิมิตปรากฏเห็นบุตรสาวของโยมที่อุปัฎฐาก มายืนร้องเรียกความรักจากท่าน จิตของหลวงปู่มั่นไม่ได้หวั่นไหวไปตาม จิตไม่ได้ยินดียินร้ายกับสาวงามนั้น ท่านพิจารณาว่า

“อันเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็พิจารณามาอย่างช่ำชองแล้ว จะมาหลงอีกหรือ”

ฉับพลันภาพหญิงสาวนั้นก็แก่เฒ่าและล้มตายลงเหลือแต่กองกระดูกหายไปในแผ่นดิน จิตจึงถอนออกมา

ระลึกชาติ.. เกิดสมัยพุทธกาล
ขณะนั้นจิตมีปีติซาบซ่านเข้าถึงเอกัคคตาญาณ กายเบาจิตใจมีความสงบระงับ จิตเดินเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน และจตุตถฌานโดยลำดับ พักอยู่ในจตุตถฌานนานพอควรแล้วถอยออกมาจนถึงปฐมฌานจึงหยุด ในลำดับนี้หลวงปู่มั่นท่านว่าเกิดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือรู้อดีตชาติ เกิดนิมิตภาพลูกสุนัขกินนมแม่

หลวงปู่มั่นรู้ด้วยใจว่า ลูกสุนัขก็คือตัวท่านเองในอดีตชาติที่เกิดเป็นสุนัขนับชาติไม่ถ้วน สาเหตุมาจากลูกสุนัขมีความพอใจในอัตภาพของมัน จงส่งผลให้เกิดเป็นสุนัขจึงติดอยู่ในภพนี้หลายชาติ สร้างความสลดสังเวชให้กับท่านเป็นอย่างมาก จากนั้นหลวงปู่มั่นได้ค้นลงหาถึงต้นสายปลายเหตุพบว่า

“เราปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” จากนั้นภาพในอดีตชาติสมัยพุทธกาล หลวงปู่มั่นเกิดเป็นเสนาบดีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าศากยมุนีขณะที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาถึงมหาสติปัฎฐานสูตร หลวงปู่มั่นได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าว่า

“ขอให้ข้าพเจ้าพึงได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์เถิด”

นับจากวาระจิตนั้น หลวงปู่มั่นดำรงอยู่โพธิสัตว์ธรรมบำเพ็ญพระโพธิญาณมาหลายร้อยชาติ เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณทำให้หลวงปู่ระลึกถึงชาติภพต่างๆ มาพอสมควร เห็นความน่ากลัวของสังสารวัฏ และหากปรรถนาจะบรรลุพระนิพพานในชาตินี้ จะต้องละเสียจาก “พระโพธิญาณ”

ก่อนที่หลวงปู่มั่นจะตั้งจิตถอนจาก “โพธิญาณ” ท่านได้เดินสมาธิเฝ้าย้อนรำลึกในอดีตชาติว่า ท่านเพิ่งจะเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพุทธภูมิต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าศากย โคดมเท่านั้น เส้นทางบำเพ็ญเพียรเพียงแค่กึ่งพุทธกาล อีกทั้งในอดีตชาติที่ผ่านมา ท่านระลึกได้ถึงความยากลำบากของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎ

ท่านสลดสังเวชแม้ท่านจะบำเพ็ญบารมีเพียงใดยังเคยเกิดเป็นหมาขี้ เรื้อนถึง 500 ชาติ ทำให้หลวงปู่มั่นมองดูสรรพสัตว์ในสังสารวัฎที่ยังคงหลับไหล เขาเหล่านั้นยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นไรเมื่อสิ้นชีวิตลงไป

ครั้นหลวงปู่มั่นจะละถอนจาก “โพธิญาณ” ก็ให้สงสารสัตว์เหล่านั้น แต่เมื่อมองดูท่ามกลางสรรพสัตว์ทั่วไตรภพ ยังมีขบวนพระมหาโพธิสัตว์มีจำนวนมากที่ได้พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าเป็น นิตยโพธิสัตว์ (พระโพธิสัตว์ที่จักได้รับการบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) และยังมีพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการพยากรณ์อยู่ในสังสารวัฎ เพื่อบำเพ็ญบารมีช่วยขนสรรพชีวิตให้พ้นทุกข์ เมื่อพิจารณาดังนี้หลวงปู่มั่นจึงอธิษฐานจิตละจากพระโพธิญาณ

สู้รบกับยักษ์... หวิดตาย
คืนจันทร์สว่างฟ้า พระจันทร์เต็มดวงมีธรรมชาติจะทรงกลดยามเที่ยงคืน ..เป็นภาพที่งดงาม สงบสงัด มีแต่สรรพเสียงของป่าเป็นเพื่อน ขณะที่หลวงปู่มั่นเดินจิตภาวนาใหม่ ปรากฏแสงสว่างเมื่อจิตรวมแล้ว..

เกิดเรื่องอันน่าสะพรึงกลัว.. ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนราวกับมีใครเอามือมาเขย่า เสียงลมพัดโหมกระหน่ำผ่านราวป่า เสียงไม้หักโค่นเกรียวกราว..แต่หลวงปู่มั่นดำรงในสมาธิไม่หวั่นไหวกับเสียงอึกทึกรอบค้าง ท่านบอกว่า

“แรงสั่นสะเทือน ราวกับภูเขาจะพลิกค่ำ” บรรยากาศอันน่ากลัวรอบข้างทำเอาท่านเกือบลืมตา ..แต่ระลึกได้ถึงคำอธิษฐานจิตถึงธรรมะ หลวงปู่มั่นจึงพิจารณาภาวะธรรมะที่เกิดขึ้น

ยิ่งพิจารณาธรรมเท่าไร ความโหดร้ายของสภาพรอบตัวยิ่งทวีความรุนแรงไม่มีท่าทีว่าจะหยุด แต่สติของท่านมั่นคงกว่าขุนเขาที่นั่งไม่อาจโยกคลอนได้ ขณะที่เฝ้าดูอาการของ “สติ-สมาธิ” ที่มั่นคงไม่หวั่นไหวกับสิ่งรอบข้างอยู่นั้น ..

จู่ๆ มียักษ์สูงร่างสูงใหญ่ทะมึนสูงเท่าต้นไม้ ถือตะบองเหล็กส่องรัศมีเหมือนเปลวไฟ เดินย่างสามขุมตรงมายังหลวงปู่มั่น พร้อมตวาดลั่นสะท้านป่าว่า

“จงลุกจากที่นี้เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะต้องตาย” พูดจบยักษ์เงื้อตะบองขึ้นสุดแขน เพื่อหวดฟาดหลวงปู่มั่นเต็มกำลัง

หลวงปู่มั่นเกือบเผลอลืมตาขึ้นมอง แต่อำนาจสติได้ตามรู้ทันจึงระงับไว้ได้ ตลอดเวลาเกือบ 3 เดือนที่เจริญสติจนกลายเป็นมหาสติไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ให้ปรุงแต่งเคลื่อนจิตให้สะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ท่านตอบยักษ์ไปว่า “เราไม่ลุก”

ทันใดนั้นเอง... ยักษ์ฟาดตะบองลงมายังร่างของท่านเต็มพละกำลังอันมหาศาล จนร่างหลวงปู่มั่นจมลึกลงในดินราว 10 วา แต่ร่างของท่านลอยขึ้นมาเหนือพื้นดิน เจ้ายักษ์ทมิฬหันลีหันขวาง เห็นต้นตะเคียนขนาด 10 คนโอบ ตรงเข้าไปถอนขึ้นมาทั้งต้น รากของต้นไม้ขาดจากดิน เศษดินยังกระเด็นมาโดนร่างหลวงปู่มั่นที่นั่งสมาธิด้วย

ยักษ์ใหญ่แค้นมองร่างหลวงปู่มั่นตัวจิ๋วด้วยความโกรธ ตาแดงเป็นไฟ เงื้อต้นตะเคียนฟาดมาที่ร่างหลวงปู่มั่นจนแบนไปกับก้อนหิน จนก้อนหินไม่สามารถต้านทานได้แหลกละเอียดไปในพริบตา ในวินาทีนี้หลวงปู่มั่นเกือบจะลืมตาขึ้นดูสภาพรอบข้าง แต่กำลังของมหาสติดำรงมั่น เป็นตัวกำกับพิจารณาอารมณ์อันละเอียดอ่อนที่ปรากฏเกิดขึ้นในใจ

ค้นพบว่าแท้จริงแล้วใจของท่านมีอาการพะว้าพะวังของการปรารถนาพระโพธิญาณ ซึ่งเรื่องนี้ซึ่งนี้เป็นธรรมชาติของหน่อเนื้อพุทธะ ทันทีที่ว่านเมล็ดพันธุ์โพธิจิตลงในเนื้อนาใจ ต้นไม้แห่งโพธิจะแทงหน่อเติบโต ต้นไม้นี้ย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ทั้งปวง คุณธรรมแลความรอบรู้ในขอบข่ายของพุทธะอันประมาณมิได้นี้ จะหลั่งไหลเข้าสู่จิต

ตลอดเส้นทางพระโพธิญาณ หลวงปั่มั่นได้สร้างสมทศบารมี เพื่อให้บริบูรณ์พร้อมที่จะสั่งสอนอบรมสรรพชีวิตให้เหมาะสมตามนิสัย แลตลอดแตกฉานในอุบายเพื่อสอนให้ผู้อื่นให้เข้าถึงธรรมได้ง่าย และรวดเร็วตามกำลังบุญของแต่ละคน เมื่อมหาสติทราบชัดถึงเครื่องกางกั้นชั้นสุดท้าย สิ่งที่ติดค้างในใจของท่านก็หมดลง

แสงธรรมสว่างไสว ทั่วโลกธาตุ
“ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว” หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต ณ. กาลเวลานี้ เมื่อได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นอธิบายว่า “ทุกอย่างในโลกนี้มีสภาพเป็นอันเดียวดุจหน้ากลองชัย โลกนี้ราบลงหมด คือสว่างเตียนโล่ง ร่างกายของเราประมวลเข้าดังเดิม”

ยักษ์สูงทะมึนมองเห็นเหตุการณ์พลิกผัน ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเข้ามากราบขอขมาลาโทษ แล้วหายไปในที่สุด ...ขณะนั้นเสียงไก่ขัน... ดังเป็นระยะๆ บอกเวลาว่าใกล้รุ่ง คะเนว่าน่าจะราวตี 3-4 ความเงียบสงบของราตรีกลับมาบรรเลงอีกครั้ง ราวกับเตรียมเฉลิมฉลองในวาระพิเศษของการกำเนิดสัตตบุรุษในรอบพันปี

หลวงปู่มั่นเจริญสมาธิก้าวลงสู่ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน พอล่วงดึกจิตก็พักเอากำลังในฌาน ส่วนปฐมฌานคือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อจิตใช้กำลังพิจารณาข้อธรรมแล้วย่อมพักในฌานเพื่อให้เกิดกำลังต่อไป
พอจิตพักในจตุตถฌานจนมีกำลัง จิตได้ถอยออกมาสู่ปฐมฌาน เกิดวิปัสสนาญาณรู้เห็นความเป็นไปของชาติภพของสัตว์โลก จากนั้นได้พิจารณาต้องต้นสายปลายเหตุของชาติภพในหมู่สัตว์ทั้งปวง หลวงปู่มั่นค้นลงได้ความตามปฏิจสมุทรบาทว่า

หลวงปู่มั่นแทงตลอดลูกโซ่ของภพชาติได้อริยมรรค อันเป็นเครื่องตัดกิเลส จึงพิจารณาในดวงจิตพบว่า
“เมื่ออวิชชาไม่เกาะเกี่ยวได้แล้ว อวิชชาดับ สังขารก็ดับ สังขารดับวิญญาณก็ดับ ตลอดจน ฯลฯ ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายสะก็ดับหมด”

คราวนี้จิตรวมใหญ่แต่จิตไม่พักเหมือนที่ผ่านมา เกิดมีญาณขึ้นมาว่า
“ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว กิจอันเราควรทำ เราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรไม่มีอีกแล้ว ญาณชนิดนี้เรียกว่า "อาสวักขยญาณ" คือความรู้ว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะพร้อมกับอวิชชาก็หายไป ไม่ก่อนไม่หลังตะวันขึ้นมาและเดือนก็ตกไป รวมความว่า ญาณเกิดขึ้น อวิชชาหายไป พระอาทิตย์ขึ้นมา พระจันทร์ตกไป อปุพพํ อจิรมํ ไม่ก่อนไม่หลัง

เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งอวิชชา เจ้าผู้มีอวิชชาเอ๋ย เจ้าเป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เจ้าจงหนีไปอยู่กับเราไม่ได้แล้ว อวิชชาก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลาว่า ญาณผู้แจ้งผู้เห็นจริง เจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน ต่างไม่ได้ขับไล่ แต่ท่านว่าความมืดและพระอาทิตย์ก็เหมือนกัน พระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไป

พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งความมืดหรือพระจันทร์จะว่า เจ้าผู้มืดผู้ดำเอ๋ย เจ้าอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจงหนีไป ความมืดก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลา หรือไม่ได้ว่าพระอาทิตย์ผู้แจ้งสว่าง ผู้มีเดชอันกล้าเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน หาใช่อย่างนั้นไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไปฉันใดก็ฉันนั้น”

หลวงปู่มั่นได้พบกับครูบาศรีวิชัย
(ขอเพิ่มเติมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ ครูบาศรีวิชัย อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือบูรพาจารย์ ซึ่งเป็นหนังสือกล่าวถึงหลวงปู่มั่นกับบรรดาลูกศิษย์ต่าง ๆ ที่เป็นครูบาอาจารย์ในสมัยต่อ ๆ มา และมีกล่าวถึง ครูบาศรีวิชัย ด้วยครับ)

ในสมัยที่หลวงปู่มั่นท่านจาริกไปอยู่เชียงใหม่ ท่านทราบว่ามีสุปฏิบันโนสงฆ์อยู่คือครูบาศรีวิชัย ในขณะเดียวกันท่านครูบาศรีวิชัยท่านก็ได้ชื่อเสียงของหลวงปูมั่นเช่นกัน ต่างมีความนับถือกันมากแม้ไม่ได้พบหน้า

มีคราวหนึ่งที่ท่านทั้งสองได้พบกัน (ไม่ทราบว่าด้วยวาระอะไร) หลวงปู่มั่นท่านกล่าวชวนครูบาศรีวิชัยว่า "มาปฏิบัติกับผมไหม" ครูบาศรีวิชัยตอบว่า "ผมไปไม่ได้ ผมได้รับพุทธทำนายแล้ว"นั่นหมายความว่าท่านปราถนาพุทธภูมิ และความปราถนานั้นจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เพราะได้รับการทำนายจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แล้วในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้นท่านมีแต่จะต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปจนเต็มภูมิ ซึ่งการบำเพ็ญของท่านก็มักจะมีภูมิลึกลับคอยช่วยเสมอ ๆ

ส่วนหลวงปู่มั่นเองตามประวัติที่เขียนโดย หลวงตามหาบัว ท่านกล่าวว่าหลวงปู่มั่นในช่วงปฏิบัติช่วงหนึ่งเกิดติดขัด ไปต่อไม่ได้ จิตอาลัยอาวร กล่าวคือท่านก็ปราถนาพุทธภูมิเช่นกัน แต่ท่านอธิฐานละพุทธภูมินั้นเสียและขอรวมบารมีที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้วนั้นถ้า เต็มบารมีสาวกภูมิก็ขอให้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ (เพราะท่านเจริญสมาธิจนรู้ได้ ว่าท่านเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ 500 ชาติ เกิดสลดสังเวช ไม่อยากเกิดอีกแล้ว)

หลังจากอธิษฐานละแล้วการปฏิบัติก็ก้าวหน้าเป็นลำดับ ท่านหลวงตามหาบัวได้แสดงความเห็นแทรกไว้ว่าการที่ท่านละได้นั้นเพราะความปราร ถนาท่านยังไม่ถึงขั้นพุทธทำนาย จึงยังมีโอกาสละและประมวลบารมีทั้งหมดให้มามีผลในปัจจุบันได้ เมื่อสำเร็จสาวกภูมิในชาตินี้แล้วความรู้อันเป็นของพุทธภูมิหรืออุปนิสัย ความสามารถในทางพุทธภูมิ คือการถ่ายทอดสอนคนอื่นต่อจึงมีความสามารถมาก รู้แยกแยะสอนสั่งผู้อื่นได้ชำนาญ

ในตอนท้ายที่สุดนี้ จะขอนำเรื่องที่เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงปุ่มั่น ซึ่งมีข้อมูลคล้ายๆ กัน แต่ก็จะมีสำนวนที่เล่าลึกลงไปในรายละเอียดบ้างดังต่อไปนี้

การปฏิบัติธรรมในขั้นสุดท้าย
หลวงปู่มั่นได้หาที่ที่น่าหวาดเสียวที่สุด เห็นว่าริมปากเหวเหมาะที่สุดที่จะนั่งบำเพ็ญเพียร ท่านตั้งใจแน่วแน่ว่า “หากจะตายขอตายตรงนี้ ขอให้ร่างกายหล่นลงไปในเหวนี้ จะได้ไม่ต้องเป็นที่วุ่นวายเดือดร้อนแก่ใครๆ ” ตั้งแต่บัดนั้น หลวงปู่มั่น ได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า “ถ้าไม่รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด”

หลวงปู่ได้นั่งสมาธิอยู่ ณ จุดนั้นติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืนโดยไม่ขยับเขยื้อนและไม่ลืมตาเลย หลวงปู่เริ่มกำหนดจิตต่อจากที่เคยดำเนินการครั้งหลังสุด ได้เกิดการสว่างไสวดุจกลางวัน ความผ่องใสของจิตสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการ แม้จะกำหนดดูเม็ดทรายก็เห็นได้อย่างชัดเจนทุกเม็ด แม้จะพิจารณาดูทุกอย่างที่ผ่านมา ก็แจ้งประจักษ์ขึ้นในปัจจุบันหมด

ในขณะที่จิตของท่านดำเนินไปอย่างได้ผล ก็ปรากฏเห็นเป็นลูกสุนัขกำลังกินนมแม่ ท่านพิจารณาใคร่ครวญดู ว่าทำไมจึงเกิดมีนิมิตมาปน ทั้งๆ ที่จิตของท่านเลยขั้นที่จะนิมิตแล้ว เมื่อกำหนดจิตพิจารณาก็เกิดญาณรู้ขึ้นว่า “ลูกสุนัขนั้นก็คือตัวเราเอง เราเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ตรงนี้มานับอัตภาพไม่ถ้วน เวียนเกิดเวียนตายเป็นสุนัขอยู่หลายชาติ ”

เมื่อพิจารณาโดยละเอียดได้ความว่า "ภพ" คือความยินดีในอัตภาพของตน สุนัขก็ยินดีในอัตภาพของมัน จึงต้องเวียนอยู่ในภพของมันตลอดไป เมื่อหลวงปู่มั่น ทราบความเป็นไปในอดีตชาติของท่านก็ได้ถึงความสลดจิตเป็นอย่างมาก

ความสว่างไสวในจิตของท่านยังคงเจิดจ้าอยู่ แต่ทำไมยังมีการห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ ไม่สามารถพิจารณาธรรมให้ยิ่งขึ้นไปได้ เมื่อตรวจสอบดูก็พบความจริงที่ท่านไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ “การปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” ของท่าน โอ ! แล้วจะต้องเวียนตายเวียนเกิดไปอีกกี่หมื่นกี่แสนชาติ จึงจะถึง คิว ได้เป็นพระพุทธเจ้าสมความปรารถนา

หลวงปู่มั่น ได้ย้อนพิจารณาถึงภพชาติในอดีตปรากฏว่า ท่านเคยมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีเมืองกุรุรัฐ (กรุงเดลฮี ในปัจจุบัน) พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดชาวกุรุรัฐ พระองค์ทรงแสดงมหาสติปัฏฐานสูตร หลวงปู่ในชาตินั้นก็ได้เจริญสติปัฏฐาน แล้วยกจิตขึ้นอธิษฐานว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์เถิด”

ได้ความว่า หลวงปู่มั่นได้ปรารภโพธิญาณมาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านต้องชะงักในการพิจารณาอริยสัจเพื่อทำจิตให้หลุดพ้นได้ ต้องสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ไปอีกชั่วกัปชั่วกัลป์ ถ้าไม่ปล่อยวางความปรารถนานั้น

หลวงปู่มั่น ยังเห็นต่อไปอีกว่า หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เคยเป็นหลานชายของท่านในชาติที่เป็นเสนาบดีเมืองกุรุรัฐ นั้น ภายหลังเมื่อหลวงปู่เทสก์ตามท่านไปอยู่ที่เชียงใหม่ หลวงปู่เคยบอกหลวงปู่เทสก์ว่า “เธอเคยเกิดเป็นหลานเราที่กรุงกุรุรัฐ ฉะนั้น เธอจึงดื้อดึงไม่ค่อยจะฟังเรา และสนิทสนมกับเรายิ่งกว่าใคร”

ต่อจากนั้น หลวงปู่มั่น ได้ระลึกถึง หลวงปู่ใหญ่เสาร์ พระอาจารย์ของท่าน ก็ปรากฏว่า หลวงปู่ใหญ่ก็ได้เคยปรารถนาเป็นพระปัจเจกโพธิญาณ (พระปัจเจกพุทธเจ้า) จึงไม่สามารถที่จะกระตือรือร้น ที่จะทำจิตให้ถึงที่วิมุตติได้

หลวงปู่มั่นตั้งใจไว้ว่าจะต้องหาโอกาสไปกราบอาราธนาให้หลวงปู่ใหญ่เสาร์ได้ละวางความปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในชาตินี้ให้ได้ นี่คือความกตัญญูส่วนหนึ่งของท่าน

หลังจากที่ได้ใคร่ครวญสิ่งต่างๆ แล้ว หลวงปู่มั่น รู้สึกสลดใจที่เคยเกิดเป็นสุนัขนับอัตภาพไม่ถ้วน และยังจะต้องเวียนวายตายเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อไปอีกนานแสนนาน ท่านจึงได้อธิษฐานจิตหยุดการปรารถนาพระโพธิญาณ ตั้งใจแน่วแน่ที่จะขอบรรลุธรรมในชาติปัจจุบัน

ต่อจากนั้น หลวงปู่มั่น ได้พิจารณาธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ จึงระลึกได้ว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ที่ทรงแสดงในปฐมเทศนาเป็นทางบรรลุที่แท้จริง พระองค์ทรงแสดงจากความเป็นจริงที่พระองค์ได้ทรงรู้ แล้วนำออกแสดงโปรดพระปัญจวัคคีย์ ทรงแสดงถึง อริยสัจ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และทรงย้ำว่า

ปริเญยฺยนฺ เม ภิกฺขเว ทุกข์พึงกำหนดรู้ ปริญาตนฺ เม ภิกฺขเว เราได้กำหนดรู้แล้ว ปหาตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว สมุทัยควรละ ปหีนนฺติ เม ภิกฺขเว เราได้ละแล้ว สทฺฉกาตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว นิโรธควรทำให้แจ้ง เราทำให้แจ้งแล้ว ภาเวตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว มรรคควรเจริญให้มาก ภาวิตนฺติ เม ภิกฺขเว เราก็เจริญให้มากแล้ว

เมื่อได้ระลึกถึงธรรมะอันเป็นหัวใจของพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรคือ อริยสัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ ควรกำหนดรู้ สมุทัย ควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง และ มรรค ควรเจริญให้มาก ดังนี้แล้ว หลวงปู่มั่นก็ได้พิจารณาอริยสัจไปตามลำดับ

หลวงปู่ได้พิจารณากายคตาสติ โดยยกเอาการระลึกชาติที่เกิดเป็นสุนัขมาเป็นตัวทุกข์ จนกระทั่งเกิดความแจ่มแจ้งขึ้นในจิต กลายเป็นญาณ คือ การหยั่งรู้ที่เกิดจากการดำเนินทางจิตจนพอเพียงแก่ความต้องการ (อิ่มตัว) ไม่ใช่เกิดจากการนึกเอาคิดเอา หรือน้อมเอาเพื่อให้เป็นไป แต่เกิดจากการพิจารณาโดยความเป็นจริงแห่งกำลังของจิตที่ได้รับการฝึกอบรมมาพอแล้ว

(ตัวอย่างเช่น ผลไม้ มันจะต้องพอแก่ความต้องการของมันจึงจะสุกได้ ไม่ใช่นึกเอาคิดเอา หรือ ข้าว จะสุกได้ก็ต้องได้รับความร้อนที่พอแก่ความต้องการของมัน)

ในการพิจารณากาย ที่เป็นตัวทุกข์ก็เช่นกัน กว่าจะกลับกลายเป็นญาณ ขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัยการพิจารณาทางจิต จนเพียงพอแก่ความต้องการ คือ อิ่มตัวในแต่ละครั้ง จะเกิดเป็นนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย จะตั้งอยู่ในใจได้ ก็เมื่อการพิจารณากายได้เห็นชัดด้วยความสามารถแห่งพลังจิต...
“การพิจารณาทุกข์เป็นเหตุให้เกิด นิพพิทาญาณ ถ้าเกิดความเพียงพอแห่งกำลังเข้าเมื่อใด ญาณนั้นจึงจะเป็นกำลังตัดกิเลสได้”

โดยย่นย่อ หลวงปู่มั่นได้พิจารณาอริยสัจ ๔ จนเกิดญาณรู้แจ้งขึ้นในจิตโดยลำดับ ในวาระสุดท้าย หลวงปู่ได้กำหนดทบทวนกระแสจิตกลับมาหา ฐีติภูตํ คือ ที่ตั้งของจิต จนปรากฏตัว “ผู้รู้ - ผู้เห็น” และ “ผู้ไม่ตาย” ท่านพิจารณาทบทวนกลับไปกลับมา จนหมดความสงสัยทุกอย่างโดยสิ้นเชิง

ความจริงมีเรื่องราวการพิจารณาธรรมของหลวงปู่มั่นต่อไปอีกหลายอย่าง ครั้นจะนำเสนอในที่นี้ก็จะยาวและออกนอกเรื่องมากไป

(ท่านที่ต้องการทราบเพิ่มเติม โปรดอ่านได้ที่หนังสือ “หลวงปู่มั่นภูริทตโต : ประวัติ ข้อวัตรและปฏิปทา” โครงการหนังสือบูรพาจารย์เล่ม ๑” หรือถ้าต้องการอ่านรายละเอียดอย่างพิสดาร โปรดอ่านได้ที่หนังสือ ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เขียนโดย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร วัดธรรมมงคล สุนมวิท ๑๐๑ พระโขนง กรุงเทพฯ)

เมื่อออกจากถ้ำไผ่ขวาง หลวงปู่มั่น ไปพักบำเพ็ญเพียรที่ถ้ำสิงโต เขาช่องลม หรือที่เรียกว่า เขาพระงาม จังหวัดลพบุรี ในปัจจุบันประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๖ พ ศ ๒๔๕๗ หลวงปู่มั่น ได้รับการขอร้องจาก ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ให้ลงมาจำพรรษาที่กรุงเทพฯ เพื่อโปรดพระเณรและประชาชนที่สนใจในธรรมปฏิบัติ ท่านพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม

พ.ศ. ๒๔๕๘ หลวงปู่มั่น อายุ ๔๗ ปี อายุพรรษา ๒๕ ได้เดินทางกลับอิสาน พักจำพรรษาที่ วัดบูรพาราม ในเมืองอุบลฯ มีช่วงหนึ่งขณะที่ท่านกำลังพิจารณาว่า “ใครหนอจะเป็นผู้ควรแก่การสั่งสอน” ก็พอดีกับหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม เข้าไปกราบถวายตัวเป็นศิษย์

หลวงปู่มั่น ทักทายเป็นประโยคแรกว่า “เราได้รอเธอมานานแล้ว ที่อยากจะพบและต้องการชักชวนให้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน”

หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม (วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา) องค์นี้จึงเป็นศิษย์รุ่นแรก ได้ติดตามปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น ได้รับความไว้วางใจและมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองดูแลพระภิกษุสามเณรสายกรรมฐาน แทน เมื่อครั้งหลวงปู่มั่นท่านปลีกตัวไปอยู่ภาคเหนือนานถึง ๑๒ ปี และหลวงปู่สิงห์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม

ในปีเดียวกันนั้นหลวงปู่มั่น ได้ไปโปรดโยมมารดาจนเกิดศรัทธาแก่กล้า ลาลูกหลานออกบวชชีจนตลอดชีวิต ปี พ.ศ. ๒๔๕๙ หลังออกพรรษา หลวงปู่มั่น ได้ธุดงค์ไปหาหลวงปู่ใหญ่เสาร์ พระอาจารย์ของท่านซึ่งทราบว่าจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำภูผากูด บ้านหนองสูง อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม (ในขณะนั้น)
เพื่อหาโอกาสให้สติหลวงปู่ใหญ่ได้วางการปรารถนาพระปัจเจกโพธิ ทำให้หลวงปู่ใหญ่ได้ปฏิบัติก้าวหน้าต่อไป จนบรรลุ หมดความสงสัยในพระธรรม สำเร็จคุณธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนาดังใจปรารถนา



สอนชาวเขาตามหา "พุทโธ"
ครั้งหนึ่งหลวงปู่มั่น ไปพักอยู่ที่ชายเขาห่างจากหมู่บ้านชาวเขาประมาณ ๒ กิโลเมตร ตอนเช้ามาบิณฑบาตในหมู่บ้าน ชาวเขาถามท่านว่า “ ตุ๊เจ้ามาทำอะไร ” ท่านบอกว่ามาบิณฑบาตข้าว เขาถามว่าเอาข้าวสุกหรือข้าวสาร ท่านบอกว่าข้าวสุก แล้วเขาก็บอกกันให้หาข้าวสุกมาใส่บาตรให้ท่าน

แม้ว่าชาวบ้านจะใส่บาตรกันบ้างแต่ก็ไม่ไว้วางใจท่าน โดยสงสัยว่าท่านเป็นเสือเย็นที่ปลอมตัวมาคอยหาโอกาสทำร้ายชาวบ้าน พวกเขาจึงเตือนกันให้คอยระมัดระวังและส่งคนไปแอบสังเกตดูท่านแล้วกลับมา รายงาน พวกชาวบ้านที่คอยไปสังเกตดูท่านนานเป็นเดือนก็กลับมารายงานว่า ท่านไม่น่ามีพิษภัยอันใด เวลาที่ไปเฝ้ามองสังเกตดูก็เห็นแต่ท่านนั่งหลับตานิ่ง บางทีก็เดินมาเดินไป ไม่รู้ว่าท่านเดินหาสิ่งใด ทางที่ดีพวกเราควรเข้าไปถามท่านให้ได้ความเสียจะดีกว่า

จึงได้ส่งคนไปถามท่านว่า ท่านนั่งหลับตาและเดินไปมานั้น “ ตุ๊เจ้านั่งและเดินหาอะไร ” ท่านบอกว่า “ พุทโธของเราหาย ” ชาวบ้านถามท่านต่อว่าพุทโธหน้าตาเป็นยังไง ? กันผีได้ไหม ? พวกเราช่วยหาได้ไหม ? และอื่นๆ อีกหลายคำถาม ท่านก็ตอบคำถามเขาไปและบอกกับเขาว่าถ้าจะช่วยหาพุทโธก็ให้พากันนั่งนิ่งๆ หรือ เดินไปเดินมา นึกในใจว่า พุทโธ พุทโธ อย่าส่งจิตออกไปนอกกาย ให้รู้อยู่กับคำว่าพุทโธ เท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้ไม่แน่ว่าเขาอาจหา "พุทโธ" เจอก่อนท่านก็ได้

พอพวกชาวบ้านได้ความแล้วก็นำไปเล่าสู่กันฟัง ต่างคนต่างนึก "พุทโธ" ตามคำที่ท่านบอก ตั้งแต่หัวหน้าหมู่บ้านไปจนถึงลูกบ้านไม่เว้นแม้แต่เด็กและผู้ใหญ่ ในเวลาไม่นานนักก็มีชายผู้หนึ่งรู้ธรรมเห็นธรรมตามท่านเขาถึงได้ทราบว่าที่ แท้ก็เป็นอุบายธรรมอันฉลาดของท่านนั่นเอง เขามีความรู้ในธรรมและยังสามารถรู้จิตของผู้อื่นได้อีกด้วย

ท่านอยู่สั่งสอนชาวเขาหมู่บ้านนั้นอยู่นานถึง ๑ ปี กับอีก ๒ เดือน ท่านจึงได้อำลาจากพวกเขาไป วันที่ท่านจะจากไปพวกเขาออกมาส่งท่านกันหมดทั้งหมู่บ้านด้วยความอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากให้ท่านจากพวกเขาไป พอท่านเดินไปได้เพียงสองสามก้าวเท่านั้น พวกเขาก็พากันวิ่งมาฉุดชายสบงจีวรของท่านไว้ไม่ยอมให้ท่านไปเสียงร้องไห้ดัง ระงมไปทั่วทั้งผืนป่า

ท่านต้องชี้แจงเหตุผลให้ฟังจนพวกเขาเข้าใจ แต่พอท่านเดินออกมาเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก พวกเขาวิ่งมาแย่งเอาอัฐบริขารของท่านไว้จะไม่ยอมให้ท่านไป ทำให้ท่านต้องแสดงธรรมและทำความเข้าใจกับพวกเขาอยู่นาน กว่าจะจากหมู่บ้านแห่งนั้นมาได้

เดินทางกลับอีสาน
หลังจากที่ท่านจาริกแสวงธรรม อยู่ทางภาคเหนือนานถึง ๑๒ ปี ท่านจึงได้เดินทางกลับมายังภาคอีสานตามคำอาราธนานิมนต์ของลูกศิษย์ลูกหา พอกลับมาถึงภาคอีสานท่านได้เข้าพักที่วัดป่าสาลวัน เมืองโคราช จากนั้นท่านได้โดยสารรถไฟต่อไปยัง จ.อุดรธานี

ที่ จ.อุดรธานีนี้ท่านได้เข้าพักที่วัดโพธิสมภรณ์ และวัดป่าโนนนิเวศน์ จนกระทั่งมีคณะศรัทธาจาก จ.สกลนคร มานิมนต์ให้ท่านไปโปรดพวกเขา ท่านจึงรับคำนิมนต์ โดยได้ไปพักอยู่ที่วัดป่าบ้านโคก (วัดป่าวิสุทธิธรรม ) อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ที่สำนักป่าบ้านโคกแห่งนี้นี่เองที่ ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์และรับข้อวัตรจากท่านมาปฏิบัติ

หน้าแล้งในพรรษาหนึ่งก็ได้มีคณะศรัทธาจากบ้านหนองผือนาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เดินทางมานิมนต์ท่านไปสั่งสอนธรรม ท่านจึงรับนิมนต์และย้ายจาก อ.โคกศรีสุพรรณ ไปยังบ้านหนองผือนาใน และที่วัดป่าบ้านหนองผือแห่งนี้นี่เองเป็นสถานที่ที่ท่านพระอาจารย์มั่น จำพรรษาอยู่นานถึง ๕ พรรษา จนถึงวาระสุดท้ายปลายแดนแห่งปฏิปทาของท่าน

รู้วาระจิต
เป็นที่ทราบกันว่า ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านสามารถทราบวาระจิตความนึกคิดของผู้อื่นได้ อย่างน่าอัศจรรย์ แม้เรื่องแสดงฤทธิ์ต่างๆท่านก็สามารถทำได้ แต่ท่านก็ไม่ได้นำไปแสดงโอ้อวดใคร ท่านมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือปราบลูกศิษย์หัวดื้อ และผู้ที่คิดไปลองดีท่านเท่านั้น ขอยกตัวอย่างเรื่องรู้วาระจิตของท่านสักสองสามเรื่อง

เรื่องแรก เกี่ยวกับท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล แห่งวัดป่าแสนสำราญ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นพระน้องชายของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม วันหนึ่งท่านพระมหาปิ่น ปัญญาพโลเกิดความรู้สึกดูหมิ่นดูแคลนหลวงปู่มั่นว่า “ ท่านพระอาจารย์มั่น มิได้ร่ำเรียนปริยัติธรรมมามากเหมือนเรา ท่านจะมีความรู้กว้างขวางได้อย่างไร เราได้ร่ำเรียนมาถึงเปรียญธรรม ๕ ประโยค จะต้องมีความรู้กว้างขวางมากกว่าท่าน และที่ท่านสอนเราอยู่เดี๋ยวนี้ จะถูกหรือมิถูกประการใดหนอ ”

ขณะนั้นหลวงปู่มั่นอยู่ที่กุฏิของท่าน คนละมุมวัด ได้ทราบวาระจิตของท่านพระมหาปิ่น ว่ากำลังคิดดูถูกท่าน อันเป็นภัยแก่การบำเพ็ญธรรมอย่างยิ่ง ท่านจึงลงจากกุฏิ เดินไปเอาไม้เท้าเคาะฝากุฏิของท่านพระมหาปิ่น แล้วพูดเตือนสติว่า “ ท่านมหาปิ่นเธอจะมานั่งดูถูกเราด้วยเหตุอันใด การคิดเช่นนี้เป็นภัยต่อการบำเพ็ญสมณธรรมจริงหนา..ท่านมหา ”

ท่านพระมหาปิ่นตกใจเพราะคาดไม่ถึง รีบลงจากกุฏิมากราบขอขมาท่านว่า “ กระผมกำลังนึกถึงท่านอาจารย์ในด้านอกุศลจิต กระผมขอกราบเท้าโปรดอโหสิให้กระผมเถิด ตั้งแต่นี้ต่อไป กระผมจะบังคับจิตมิให้นึกถึงสิ่งที่เป็นอกุศลจิตอย่างนี้ต่อไป ”

เรื่องที่สองนี้เกิดขึ้นกับพระอาจารย์มหาอินทร์ ถิรเสวี แห่งวัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ท่านเล่าว่าท่านเคยไปอยู่ศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น ที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ วันหนึ่งหลวงปู่มหาอินทร์คิดในใจว่า “ นรกสวรรค์น่ะ มีจริงไหมหนอ ทำยังไงจะได้รู้จะได้เข้าใจบ้าง เราน่าจะไปกราบเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่นนะ ”

ขณะนั้น หลวงปู่มหาอินทร์ นั่งสมาธิอยู่ทางด้านตะวันออกของเจดีย์ ส่วนหลวงปู่มั่นนั่งอยู่ทางด้านตะวันตก พอคิดว่าจะไปเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่นดีกว่า ก็ลุกขึ้นเดินไปได้ครึ่งเจดีย์เท่านั้น ท่านก็รู้ด้วยอำนาจจิตของท่าน ท่านพูดขึ้นดังๆว่า

“ถ้าหากมีคนละก็ ต้องมีแน่นอน เรื่องนรกเรื่องสวรรค์น่ะ ถ้าไม่มีคน นรกสวรรค์ก็ไม่มี ไม่ต้องถามถึงหรอก นรกสวรรค์น่ะเป็นเรื่องของคน ถ้าเป็นพระอริยบุคคลหมดโลก นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี หมดไม่มีเหลือ ”

พอได้ยินเสียงท่านพูดจบรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครเอาน้ำเย็นรดซู่จากศรีษะลงมาถึงปลายเท้า ความสงสัยเป็นอันว่าหมดไป

เหตุการณ์นี้เกิดกับท่านพระอาจารย์ดี ฉันโน แห่งวัดป่าสุนทราราม อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ หลวงปู่ดีได้เดินทางขึ้นไปจังหวัดสกลนครและนครพนม โดยให้นายมี วงศ์เสนา ผู้เป็นน้องชายติดตามและถือเงินไปด้วย ๒ ชั่ง จุดประสงค์ก็เพื่อจะไปเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติม และหาเหล็กไหล ขณะนั้นได้เข้าไปพักที่วัดป่าบ้านสามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ทำให้ได้พบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตที่วัดนี้

พอตกเย็นหลวงปู่ดีได้เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ท่านพระอาจารย์มั่น ได้ทักขึ้นก่อนว่า “ เดี๋ยวนี้ผมรู้ในญาณแล้วว่าท่านได้ให้น้องชายถือเงิน ๒ ชั่งมาด้วย เพื่อที่จะมาหาวิชาอาคม หาของดีเหล็กไหลใช่ไหม ” และหลวงปู่มั่นได้พูดต่อไปว่า “ ท่านอยู่ที่วัดบ้านกุดแห่นั้น ก็ได้ฆ่าหนังทำอานม้า ทำเข็มขัด กระเป๋าขายด้วย ของเหล่านี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะประพฤติปฏิบัติ มันเป็นบาป ขอให้ท่านมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเสียเถิด จะแนะแนวทางให้ เห็นว่ากุศลหนหลังของท่านเคยเกิดเป็นศิษย์พระมหากัสสปะเถระมาแต่ชาติปางก่อน อยู่นะ ”

หลวงปู่ดี ฉันโน เกิดอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าท่านพระอาจารย์มั่นคงมีหูทิพย์ตาทิพย์เป็นแน่จึงรู้ได้ ทั้งๆที่ไม่เคยพบเห็นหรือรู้จักกันกับท่านมาก่อน จึงเกิดศรัทธาตัดสินใจฝากตัวเป็นศิษย์ทันที

กายทิพย์มาขอฟังธรรม
สถานที่บางแห่งจะมีพวกเทวดา หรือ พญานาคมาฟังธรรมกับหลวงปู่มั่น ส่วนมากจะมาตอนกลางคืนดึกสงัด พอมาถึงก็พากันทำประทักษิณ ๓ รอบ แล้วนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง เมื่อจบแล้วเหล่าเทพก็พากันสาธุการ ๓ ครั้ง เสียงบันลือโลกธาตุ ผู้มีหูทิพย์จะได้ยินทั่วกัน แล้วพร้อมกันทำประทักษิณ ๓ รอบ พอออกไปพ้นเขตวัดหรือที่หลวงปู่พักแล้ว เหล่าเทวดาก็พากันเหาะขึ้นสู่อากาศ เหมือนปุยนุ่นลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าฉะนั้น

มีพระกราบเรียนถามท่านว่า เวลาพญานาคมาหาท่านเขามาในร่างแห่งงูหรือร่างอะไร ท่านบอกว่าพวกนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าเป็นพญานาคก็มาในร่างแห่งกษัตริย์ มีบริวารห้อมล้อม การสนทนาก็เหมือนพระสนทนากับกษัตริย์ ใช้ราชาศัพท์กันเป็นพื้น เขามีความเคารพกันมากกว่าพวกมนุษย์ ขณะนั่งฟังธรรมไม่มีใครแสดงอาการกระดุกกระดิกเลย จนเป็นที่เข้าใจหมดความสงสัยแล้วก็พากันลากลับ

อานุภาพพระพุทธมนต์
คราวหนึ่งท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พักอยู่บนดอยปะหร่อง ได้มีเทพพวกหนึ่งจากเขาจิตรกฎ มาเรียนถามท่านว่า “ เสียง สาธุ สาธุ อะไร สะเทือนสะท้านทุกวัน พวกเทพทั้งหลายได้ฟังแล้วมีความสุขไปตามๆกัน ” ท่านจึงนำมาพิจารณาก็ระลึกได้ว่า ตอนเช้าหลังจากที่ชาวเขาตักบาตรท่านแล้ว ท่านก็ให้พรพวกเขาและสอนให้เขากล่าวคำว่า “ สาธุ ” พอรับทราบแล้ว พวกเทพก็ว่าเขาก็พากันสาธุการด้วย

ท่านพระอาจารย์มั่น จึงพิจารณาต่อว่า การสาธยายพระพุทธมนต์ ใครสวดก็ตาม เพียงแต่ระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล พูดออกเสียงพอฟังได้มีอานุภาพแผ่ไปได้ถึงแสนจักรวาล สวดเต็มเสียงสุดกู่มีอานุภาพแผ่ไปได้เป็นอนันตจักรวาล แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในมหานรกอเวจี ยังได้รับความสุขเมื่อแว่วเสียงพระพุทธมนต์

กำลังใจ
ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นปีที่คณะเสรีไทยกำลังโด่งดังมาก บ้านหนองผือก็เป็นอีกแห่งที่คณะเสรีไทยเข้าไปตั้งค่าย เพื่อฝึกอบรมคณะครูและประชาชนชายหนุ่ม ให้ไปเป็นกองกำลังทหารต่อสู้ขับไล่ทหารญี่ปุ่น คุณครูหนูไทย สุพลวานิช เป็นผู้หนึ่งที่ถูกเกณฑ์ให้ไปฝึกอบรมในค่ายนี้ ท่านเกิดที่บ้านหนองผือนี่เอง เป็นธรรมดาสัญชาตญาณของคนเรา

เมื่อตกอยู่ในภาวะเหตุการณ์เช่นนี้ จึงทำให้แสวงหาสิ่งพึ่งพิงทางใจยามคับขัน ช่วงเวลาว่างจากการฝึกก็นั่งพักผ่อนพูดคุยสรวลเสเฮฮากับหมู่เพื่อน จนกระทั่งมาถึงเรื่องของดีของขลังของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะมาถึงตัว มีเพื่อนคนหนึ่งในจำนวนนั้นได้พูดขึ้นว่า “ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ ในวัดป่าบ้านหนองผือ ทราบข่าวว่าท่านเป็นพระดีองค์หนึ่ง พวกเราจะไม่ลองไปขอของดีกับท่านดูบ้างหรือ ”

ด้วยคำพูดของเพื่อนทำให้คุณครูหนูไทยนำไปคิดเป็นการบ้าน วันต่อมาคุณครูหนูไทยหาแผ่นทองมาได้แผ่นหนึ่ง มาตัดเป็นสี่แผ่นเล็กๆวางใส่จานขันธ์ห้า แล้วให้โยมผู้เฒ่าทายกวัดที่เป็นญาติซึ่งไปจังหันตอนเช้านำแผ่นทองไปถวาย หลวงปู่มั่น เพื่อให้ท่านทำหลอดยันต์ให้แต่โยมผู้ที่นำแผ่นทองไปนั้นไม่กล้าเข้าไปหาพระ อาจารย์มั่นโดยตรง จึงให้พระอุปัฏฐากเข้าไปลองถามท่านดูก่อนท่านพระอาจารย์มั่นได้ตอบว่า “เขาอยากได้กะเฮ็ดให้เขา” รออยู่ประมาณสามวันพระอุปัฏฐากก็นำหลอดยันต์นั้นมาให้

วันหนึ่ง คุณครูหนูไทยเห็นเพื่อนสามถึงสี่คนกำลังทำอะไรกันอยู่ข้างสนามจึงเดินไปดู เห็นพวกเขากำลังทดลองจะยิงเขี้ยวหมูตันด้วยอาวุธปืน เมื่อเขาทดลองยิงแล้วปรากฏว่าเขี้ยวหมูตันซึ่งถือว่าเป็นของขลังและ ศักสิทธิ์นั้นแตกกระจายไปคนละทิศละทางเพื่อนคนที่เป็นเจ้าของเขี้ยวหมูตัน นั้นหน้าถอดสีไปห มดเพื่อนๆจึงหันมาถามคุณครูหนูไทยว่า “ มีของดีอะไร มาลองบ้างเพื่อน ” คุณครูหนูไทยจึงตอบไปว่า “ มีอยู่ ”

เพื่อนจึงเอามือลวงไปที่กระเป๋าเสื้อของคุณครูหนูไทยวัตถุสิ่งนั้น จึงติดมือเพื่อนคนนั้นไป เขาก็นำตะกรุดยันต์นั้นไปวางไว้ระยะห่างประมาณ ๓-๔ วา แล้วยกปืนเล็งไปที่ตะกรุดนั้นเพื่อนทุกคนที่อยู่ที่นั่นเงียบกริบ ต่างคนก็ต่างเอาใจไปจดจ่อที่จุดเดียวกัน สักครู่คนยิงจึงเหนี่ยวไกปืนเสียงดัง “ แชะ แชะ ” แต่ไม่ระเบิด ทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นต่างตกตะลึง ครั้งที่สามเขาลองหันปลายกระบอกปืนขึ้นฟ้าแล้วลองเหนี่ยวไกอีกครั้งปรากฎว่า เสียงปืนกระบอกนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ

ภายหลังต่อมามีคนทราบข่าวจึงไปขอกับพระอาจารย์มั่นที่วัดต่อมาไม่นานพระ อาจารย์มั่นคงเห็นว่ามากจนเกินไปท่านจึงบอกว่า สงครามเขาจะสงบแล้วไม่ต้องเอาก็ได้ ของเหล่านี้เป็นของภายนอกสู้เอาคาถาบทนี้ไปบริกรรมไม่ได้ให้บริกรรมทุกเช้า ค่ำจนขึ้นใจ แล้วจะปลอดภัย อันตรายต่างๆจะไม่มากล้ำกรายตัวเราได้เลยคาถาบทนั้นมีดังนี้ “ นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา ”

และเป็นจริงตามที่พระอาจารย์มั่นพูด ยังไม่ถึงเจ็ดวันก็ได้ทราบข่าวว่าเครื่องบินทหารอเมริกันบินไปทิ้งระเบิดปรมาณูใส่เมืองฮิโรชิม่า และเมืองนางาซากิประเทศญี่ปุ่นย่อยยับจนต้องประกาศยอมแพ้สงคราม และสงครามในครั้งนั้นก็สงบจบสิ้นลง
__________________
ขอขอบคุณที่มา...http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=23659

130
อ้างถึง..."เรื่องในหลวงจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล"เจตนาเพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน เนื่องในวาระใกล้วันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม มหาราช ผมขอเปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่ว่า "พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระโพธิสัตว์โดยแท้..." จึงเรียนมาเพื่อทราบ...เพื่อโปรดพิจารณา

131
บทสวดมนต์สอนเจ้ากรรมนายเวร
โดยพระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ วัดวรเชษฐ์(เกาะนอก) อยุธยา

บทสวดมนต์นี้เพื่อให้เกิดพลังคุ้มครองตัวเองและผู้ป่วย

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (สวด ๓จบ)

อิติปิโส ภะคะวาอะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโรปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ(พุทธคุณ)

สะวากขาโตภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวัญญูหีติ(อ่านว่า วิญญูฮีติ) (ธรรมคุณ)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆอุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆสามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโยอัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (สังฆคุณ)

สัพเพ สัตตาอะเวราโหนตุ อัพภยาปัชฌา โหนตุ อะนีฆาโหนตุ สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ (เมตตา)
สัพเพ สัตตา สัพพะทุกขา ปะมุญจันตุ (กรุณา)
สัพเพ สัตตาลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ (มุทิตา)
สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทากัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสสะระณา ยัง กัมมัง
กริสสันติ กัลญาณัง วาปาปะกังวา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ (อุเบกขา)

ทุกกโต ทุกขะฐานันติ วะทันติพุทธา
นะ หิ เวเรนะ เวรานิ สะมันตีธะ กุทาจะนัง อะเวเรนะ จะ สัมมันติ เอสะ ธัมโมสะนันตะโนฯ
พุทโธ พุทธัง รักษา ธัมโม ธัมมัง รักษา สังโฆ สังฆัง รักษาฯ
พุทโธพุทธัง อะระหังธัมโม ธัมมัง อะระหัง สังโฆ สังฆัง อะระหัง ฯ
พุทโธ พุทธัง กัณหะธัมโม ธัมมัง กัณหะสังโฆ สังฆัง กัณหะ
อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ภะวันตุเม (สวดเพื่อผู้อื่น ภะวันตุ เต)
นะสาเปเส พุรุอะกัง ปะริปัตตัง ปะริขันตังมัจจุราชา นะ ภาสะติ มัจจุราชา นะ ปัสสะติฯ
สุญญะโต โลกัง อะเวกขัสสุ ... บุญชู ... (สมมุติคนป่วยชื่อ บุญชู )

สะทา สะโต เอวัง โลกัง อเวกขันตัง มัจจุราชา นะปัสสะติฯ
อิมัง สัจจะ วาจัง อธิฎฐามิ ทุติยัมปิอิมัง สัจจะ วาจัง อธิฎฐามิตะติยัมปิอิมัง สัจจะ วาจัง อธิฎฐามิ
โย ทัณเฑนะ อทัณเฑสุ อัปปะทฎเฐสุ ทุสสะติทะสันนะมัญญัตตะรัง ฐานัง ขิปปะเมวะ นิคัจฉะติ
เวทะนัง ผะรุสัง ชานิงสะรีสัสสะวะ เภทะนัง คะรุกัง วาปิอาพาธัง จิตตักเขปัง วะปาปุเณ
ราชะโต วาอุปะสัคคัง อัพภักขาณัง วะ ทารุณัง ปะริกขะยัง วะ ญาตีนัง โภคานัง วะปะภังคุณัง
อะถะวาสสะ อะคะรานิ อัคคิ ฑะหะติ ปาวะโก กายัสสะ เภทา ทุปปัญโญนิระสัง โส อุปะปัชชติฯ
หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว ขะยะ วะยะ ธัมมาสังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ
อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจาฯ

อุทิฎฐังโข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัพพุทเธนะ โอวาทะ
ปาติโมกขังตีหิ คาถาหิ ปะระมังตะโป ตีติกขา นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา นะ หิ
ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา สจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนังฯอนูปะวาโท อนูปะฆาโต
ปาฎิโมกเข จะ สังวะโร มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง ปันตันจะสะยะนาสะนัง
อะธิจิตเต จะอาโยโค เอตังพุทธานะสาสะนันติฯ

132
บทความ บทกวี / ธรรมะของในหลวง
« เมื่อ: 01 ธ.ค. 2552, 11:40:18 »


1)พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดี

"อันพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของเรานี้ ตามความอบรมที่ได้รับมาก็ดี ตามความศรัทธาเชื่อถือส่วนตัวข้าพเจ้าก็ดี เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง มีคำสั่งสอน ให้คนประพฤติตนเป็นคนดี ทั้งเพียบพร้อมด้วย บรรดาสัจจธรรมอันชอบด้วยเหตุผล น่าเลื่อมใสยิ่งนัก"

2)พระพุทธศาสนามีลักษณะพิเศษ

"ศาสนา-ชี้ทางดำเนินชีวิตที่ปราศจากโทษ ทำให้มีความเจริญร่มเย็น คนจึงเชื่อถือ และประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งอุดหนุน ค้ำชูศาสนา เพื่อประโยชน์-เพื่อความสุข-ความสวัสดีของตน พระพุทธศาสนานั้น-มีลักษณะพิเศษประเสริฐ ในประการที่อาศัยเหตุผล อันเที่ยงแท้ตามเป็นจริงเป็นพื้นฐาน แสดงคำสั่งสอนที่บุคคล สามารถใช้ปัญญาไตร่ตรองตาม และหยิบยกขึ้นปฏิบัติ เพื่อความสุข-ความเจริญ-และความบริสุทธิ์ได้ ตามวิสัยของตน จึงเป็นศาสนาที่เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ ง่ายที่จะส่งเสริม"

3)พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งประโยชน์

"พระพุทธศานา-คือ ศาสนาแห่งประโยชน์ ไม่ว่าผู้ใด ถ้าเข้ามาศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมได้รับประโยชน์ตามวิสัยแห่งการศึกษาปฏิบัติของเขา การธำรงความเจริญมั่นคงของพระศาสนา จึงน่าจะเน้นที่ การแนะนำทำให้เห็นประโยชน์ของการศึกษาปฏิบัติธรรม เป็นสำคัญ เมื่อมีผู้ศึกษาปฏิบัติธรรม และได้รับประโยชน์ จากการปฏิบัติธรรมมากขึ้น พระศาสนาก็เจริญแพร่หลายไปพร้อมกัน ข้อสำคัญควรจะถือปฏิบัติให้เคร่งครัดหนักแน่นว่า ต้องแสดงธรรมให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ อย่าให้วิปริตแปรผัน และควรพยายามเน้น การศึกษาปฏิบัติธรรมขั้นพื้นฐาน ให้ยิ่งกว่าอื่น เพราะคนทั่วไป ต้องการที่จะเรียนรู้ได้ง่าย -เข้าใจได้ชัด- ปฏิบัติได้สะดวก เมื่อประโยชน์แห่งการปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นแล้ว เขาก็จะพึงพอใจ และจะขวนขวายศึกษาปฏิบัติให้สูงขึ้นไปเอง และเมื่อชาวพุทธรู้ธรรมะ-ปฏิบัติธรรมะกันอย่างถูกต้อง ทั่วถึงมากขึ้น ดังนี้ การบ่อนเบียนพระศาสนา-ก็จะลดน้อยลง พระศาสนา-ก็จะเจริญมั่นคง ตามที่ท่านทั้งหลายปรารถนา"

4)พระพุทธศาสนามีธรรมะมากมายหลายชั้น

"พระพุทธศาสนา-มีธรรมะอยู่มากมายหลายชั้น อันพอเหมาะพอดีกับอัธยาศัย จิตใจของบุคคลประเภทต่างๆ สำหรับเลือกเฟ้นมาแนะนำ-สั่งสอน-ขัดเกลาความประพฤติปฏิบัติของบุคคล ให้ดีขึ้น-เจริญขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวโดยหลักใหญ่แล้ว-คือ สอนให้เป็นคนดี-ให้ประพฤติประโยชน์-ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น ให้ลำบากเสียหาย-สอนให้รู้จักตนเอง-รู้จักฐานะของตน-พร้อมทั้งรู้จักหน้าที่ ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ ในฐานะนั้นๆ ซึ่งเมื่อปฏิบัติโดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว ย่อมจะนำความสุข-นำความเจริญ-สวัสดีมาให้ได้ทั่วถึงกันหมด หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง -ก็คือ นำความสุข-ความร่มเย็น-และความวัฒนาถาวร ให้เกิดแก่สังคมมนุษย์ หน้าที่ของท่านทั้งหลาย อยู่ที่จะต้องพยายามศึกษา พิจารณาธรรมะแต่ละข้อ-แต่ละหมวดหมู่ ด้วยความละเอียดรอบคอบ-ด้วยความเที่ยงตรง-เป็นกลาง ให้เกิดความกระจ่างแจ้งลึกซึ้ง ถึงเหตุ-ถึงผล-ถึงวัตถุประสงค์ แล้วนำไปปฏิบัติเผยแพร่ ให้พอเหมาะพอดี โดยอุบายที่ฉลาดแยบคาย ธรรมะในพระพุทธศาสนา-จะสามารถคุ้มครองรักษาและอุ้มชู ประคับประคองสังคม ให้ผาสุก ร่มเย็นได้ สมดังที่ต้องการ"

 

5)พระธรรมเป็นอกาลิโก-เป็นแม่แบบของการพัฒาแบบยั่งยืน

"พระพุทธศาสนานั้น-ถ้าหมายถึง คำสั่งสอนที่เที่ยงตรงตามพระพุทธโอวาทแล้ว ย่อมมีความแน่นอนมั่นคงอยู่ในตัว ขอเพียงชาวพุทธ-ไม่บ่อนเบียนทำลายให้แปรผัน-ผิดเพี้ยน-และร่วมกันรักษาความบริสุทธิ์บริบูรณ์ไว้ให้ได้ พระพุทธศาสนา-ก็จะยืนยงอยู่ได้ตลอดกาล.....

พระธรรมนั้น-เชื่อว่าเป็นอกาลิโก ถูกต้องเที่ยงแท้-และเหมาะที่จะน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติเสมอ ไม่ว่าในกาลไหนๆ จึงย่อมเป็นแม่บทของการพัฒนาแบบยั่งยืนได้แน่นอน ปราศจากข้อกังขา ข้อสำคัญนั้น-ชาวพุทธเอง จะต้องขวนขวายศึกษาพุทธธรรม ให้ทราบชัดโดยทั่วถึง และน้อมนำมาปฏิบัติกันอย่างจริงใจ ให้ประจักษ์ผล พระพุทธศาสนา -จึงจะอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนา สมตามที่ปรารถนานั้นได้"....

6)ศาสนาทั้งปวงย่อมสั่งสอนความดี

"การที่ประเทศไทยและชาวไทย ยินดีต้อนรับผู้เผยแผ่ศาสนาต่างๆ ด้วยไมตรี และด้วยความจริงใจฉันมิตรทุกสมัยมานั้น-เป็นเพราะชาวไทย ซึ่งเป็นพุทธมามกชน มีจิตสำนึกมั่นคงอยู่ในกุศลสุจริต และในความเมตตาการุญ เห็นว่า"ศาสนาทั้งปวง-ย่อมสั่งสอนความดี"-ให้บุคคลประพฤติปฏิบัติแต่ในทางที่ถูก-ที่ชอบ-ที่เป็นประโยชน์-ให้ใฝ่หาความสงบสุข-ความผ่องใสให้แก่ชีวิต ทั้งเรายังมีเนติแบบธรรมเนียม ให้ต้อนรับนับถือชาวต่างชาติ-ต่างศาสนา ด้วยความเป็นมิตร แผ่ไมตรีแก่กันด้วยเมตตาจิต และด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ มิให้ดูแคลน เบียดเบียนผู้ถือสัญชาติ และศาสนาอื่น ด้วยจะเป็นเหตุนำความแตกร้าว และความรุนแรงเดือดร้อนมาให้ ดังนี้ คริสตศาสนา จึงเจริญงอกงามขึ้นได้ในประเทศนี้"

"ความเป็นมิตร-ความมีเมตตา-ปรารถนาดีต่อกัน-ความเอื้ออารีเกื้อกูลกัน โดยจริงใจระหว่างศาสนิกชนทั้งมวลนั้น จะเป็นปัจจัยสำคัญ อันมีกำลังศักดิ์สิทธิ์ ที่จะยังสันติสุข กับทั้งอิสรภาพ เสรีภาพ และความเสมอภาค ให้บังเกิดขึ้น แก่มวลมนุษย์ ได้เป็นแน่แท้"


7)ศาสนาต่างๆ ต้องส่งเสริมสนับสนุนกัน

"ศาสนาใดๆ-จะมีชื่อว่าอะไรก็ตาม ต้องส่งเสริมสนับสนุนกัน เพื่อความเป็นปึกแผ่นของสังคม ฉะนั้น ที่ศาสนาต่างๆในประเทศไทย ปรองดองกันดีพอสมควรมาเป็นเวลาช้านาน จึงทำให้บ้านเมืองของเรา อยู่เย็นเป็นสุขได้"

8)ศาสนาชี้ทางดำเนินชีวิตที่ปราศจากโทษ

"ศาสนา-ชี้ทางดำเนินชีวิตที่ปราศจากโทษ ทำให้มีความเจริญร่มเย็น คนจึงเชื่อถือประพฤติปฏิบัติตาม ทั้งอุดหนุนค้ำชูศาสนา เพื่อประโยชน์-เพื่อความสุข-ความสวัสดีของตน พระพุทธศาสนานั้น-มีลักษณะพิเศษประเสริฐ ในประการที่อาศัยเหตุผลอันเที่ยงแท้ตามเป็นจริง เป็นพื้นฐาน-แสดงคำสั่งสอนที่บุคคลสามารถใช้ปัญญาไตร่ตรองตาม-และหยิบยกขึ้นปฏิบัติ เพื่อความสุขความเจริญ และความบริสุทธิ์ได้ตามวิสัยของตน จึงเป็นศาสนาที่เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ ง่ายที่จะส่งเสริม

    การที่ท่านทั้งหลาย-จะทะนุบำรุงเผยแผ่ให้แพร่หลายมั่นคง ควรได้ยึดเหตุผลเป็นหลักการ นำข้อธรรมะที่เหมาะแก่เหตุการณ์-เหมาะแก่บริษัท และบุคคล มาชี้แจงให้ถูกต้องตรงตามเนื้อแท้ของธรรมะนั้นๆ พร้อมทั้งแสดงการกระทำที่มีเหตุผล และมีความบริสุทธิ์ใจ ให้เป็นตัวอย่างด้วยตนเอง การบำรุงพระพุทธศาสนา ตลอดจนงานสร้างเสริมศีลธรรม จริยธรรม ทั้งในผู้ใหญ่-ผู้เยาว์ของท่าน จะบรรลุผลที่น่าพึงพอใจได้ไม่ยากนัก"

หน้าที่ของพุทธศาสนิกชน


 
“พระพุทธศาสนานั้น-ถ้าหมายถึง คำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้ๆแล้ว ก็หาภัยอันตรายมิได้ ไม่มีผู้ใด หรือเหตุใดๆ จะเบียนบ่อนทำลายได้เลย เพราะคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา เป็นธรรมะ – คือ หลักความจริง ที่คงความจริงอยู่ตลอดกาลทุกเมื่อ ไม่มีแปรผัน ดังนั้น การป้องกันภัยให้แก่พระพุทธศาสนาก็ดี การทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาก็ดี พูดให้ตรง จึงน่าจะหมายถึง การป้องกันภัย ให้แก่พระพุทธบริษัท และการทำนุบำรุงพุทธบริษัท ยิ่งกว่าอื่น”
“ทุกคนที่ถือตัวว่า เป็นพุทธศาสนิกชน-จะต้องศึกษาพระพุทธศาสนา ตามภูมิปัญญาความสามารถ และโอกาสของตนๆที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง กระจ่างชัดขึ้นในหลักธรรม เมื่อศึกษาเข้าใจแล้ว เห็นประโยชน์แล้ว ก็น้อมนำมาปฏิบัติ ทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการงานของตน เพื่อให้เกิดความสุข-ความสงบร่มเย็น-และความเจริญงอกงามในชีวิต เพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ ตามขีดความประพฤติปฏิบัติของแต่ละคน ถ้าชาวพุทธรู้ธรรมะ-ปฏิบัติธรรมะอย่างถูกต้อง ทั่วถึงกันมากขึ้น ปฏิบัติการบ่อนเบียนพระศาสนาให้เศร้าหมอง ก็จะลดน้อยลง เพราะทุกวันนี้ ที่เกิดความเสื่อม ความเสียหาย ก็มิใช่ผู้ใดใครอื่นทำให้ เป็นเรื่องที่ชาวพุทธ ผู้ไม่รู้-ไม่เข้าใจ-และไม่ปฏิบัติตามธรรมะ ทำขึ้นเกือบทั้งนั้น”
 

***ชาวพุทธที่แท้***

 

 

 

"ชาวพุทธที่แท้-จึงเป็นผู้ที่คิดชอบ-ปฏิบัติชอบอยู่เป็นปรกติ อยู่ ณ ที่ใด ก็ทำให้ที่นั้นสงบ ร่มเย็น มีแต่ความปรองดอง และสร้างสรรค์ จึงเป็นโชคดีอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยเรา มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้คนไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา อยู่ร่วมกัน ด้วยความสุข มีความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน มีการสงเคราะห์อนุเคราะห์ซึ่งกัน และมีความสมัครสมานสามัคคีกันเป็นอย่างดี การที่ยุวพุทธธิกสมาคม ได้ตั้งใจพยายามในอันที่ จะปลุกจิตสำนึกของชาวพุทธ ให้หนักแน่นมั่นคงในพระศาสนายิ่งขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ดี มีคุณประโยชน์ ทั้งแก่การจรรโลงพระพุทธศาสนา และแก่ส่วรรวม คือ ประเทศชาติ อันเป็นที่เกิดที่อาศัย"

 

 

 

 

**ชาวพุทธจะต้องศึกษา"พุทธธรรม"ให้ทราบชัด และน้อมนำมา"ปฏิบัติ"**

 

 

 

 

"ทุกสิ่งทุกอย่างแปรเปลี่ยนเป็นธรรมดา สังคมก็เช่นเดียวกัน ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของโลก.....

พระพุทธศาสนานั้น ถ้าหมายถึงคำสั่งสอนที่เที่ยงตรงตามพระพุทโธวาทแท้ๆแล้ว ย่อมมีมีความแน่นอนมั่นคงอยู่ในตัว เช่น ความดีก็เป็นความดี ความชั่วก็เปฌนความชั่ว และทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว อย่างปราศจากข้อสงสัย

เหตุนี้ พระธรรม-จึงชื่อว่า อกาลิโก คือ ถูกต้องเที่ยงแท้ และไม่ประกอบด้วยกาล เหมาะที่จะน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติเสมอ ไม่ว่ากาลไหนๆ

ข้อสำคัญ ชาวพุทธจะต้องขวนขวายศึกษาพุทธธรรมให้ทราบชัด และน้อมนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง

ด้วยการพยายามลดละความโลภ ความโกรธ ความหลง อันเป็นต้นเหตุแห่งการกระทำชั่ว กระทำผิด และกล้าที่จะบากบั่นกระทำในสิ่งที่เป็นความดี โดยไม่ต้องกลัวว่า จะเป็นสิ่งที่พ้นสมัย หรือน่ากระดากอาย ถ้าชาวพุทธทำได้ดังนี้ ก็จะเป็นเหตุเกื้อกูลอย่างสำคัญ ที่จะช่วยจรรโลงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้มั่นคงในทุกสถานะ และในกาลทุกเมื่อ"

 

 

 

ขอขอบคุณที่มา
พุทธญาณ

Buddhayan@gmail.com

http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=89019&Ntype=6

133
                                                                                                          คาถาเชิญครู

สาธุ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการ พระพุทธคุณนัง พระธรรมะคุณนัง พระสังฆะคุณนัง พระศรีรัตนตรัยแก้ว ทั้งสามประการ พระพุทธชินสีห์ พระพุทธชินราช พระธาตุจุฬามณี พระศรีสรรเพชร พระธรรมเจ้าทั้ง แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็จบ ข้าพเจ้าขออาราธนาเข้ามาอยู่ในดวงจิต ในหทัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะทําการสิ่งใด ขอให้ประสิทธิ ขอเดชเดชะคุณ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ปวงเทพเทวา จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าในกาลบัดนี้เถิด สาธุ
คาถาอาราธนาหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์

อิติ อะระหัง สุคะโต พุทธสโร เดิม นามะเต อาจาริโย เม ภัณเต อายัสมา อาจาริโย เม ภัณเต โหหิ

ใช้สวดอาราธนาหลวงพ่อเดิม ก่อนว่าคาถาใดๆ บารมีท่านจะใช่วยให้เกิดความสำเร็จ สวด 9 จบ
คาถาหัวใจ108

นะอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะมะอะอุ พุทธะสังมิ จิเจรุนิ จิปิเสคิ อิกะวิติ อุอากะสะ นะชาลีติ ทุสะนิมะ ทุสะมะนิ ประสิทธิสวาหะ

ใช้ภาวนา 3 จบ 9 จบ ก่อนออกจากบ้านช่วยคุ้มครองป้องกันภัย ให้มีโชคลาภ
คาถาพระเจ้าอมโลกหรือนะปฐม

นะกาโรกุกุกสันโธ สิโรมัชเฌ โมกาโรโกนาคะมะโนละลาฐิเต พุทธกาโรกัสสโปพุทโธ จะทะเวเนตเต ธากาโรศรีศากยะมุนี โคตะโม ยะเทวะกัณเณยะกาโร ศรีอาริยะเมตตรัยโย ชิวหาฐิเต ปัญจะพุทธานะมามิหัง

เป็นพระคาถาที่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์มาประทับไว้ส่วนต่างๆบนใบหน้าและศรีษะ พระพุทธเจ้ากุกกุสันโธ ประทับที่กระหม่อม พระพุทธเจ้าโกนาคม ประทับที่หน้าผาก พระพุทธเจ้ากัสสะปะ ประทับที่ดวงตาทั้งสองข้าง พระพุทธเจ้าโคคม ประทับที่ใบหูทั้งสองข้าง พระพุทธเจ้าศรีอริยะเมตไตร ประทับที่ลิ้น ทำให้เป็นสง่าราศี เป็นเมตตามหานิยม ใช้ก่อนการเสกคาถาบทอื่นๆช่วยให้เกิดความขลังยิ่งขึ้น ภาวนา 5 จบ
คาถาโชคลาภ ค้าขาย
โอม อิติ สุวรรณังวา รัชตังวา มณีวา วัตถังวา บุพพะผลละ เอหิ คัจฉันติ

ใช้เสกน้ำประพรมสินค้าช่วยให้สินค้าขายดี ซื้อง่ายขายคล่อง ใช้เสกน้ำรดต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับ พืชผลต่างๆ ช่วยให้เจริญงอกงามออกดอก ออกผลดี
คาถามงคล9ประการคุ้มภัย

อะสังอะ สุวิสังอะ โลสุวิสังอะ ภะพุสะปุโล สุวิสังอะ อะสังวิสุโล ปุสะพุภุพะ

สวดภาวนา 9 จบทุกเช้าค่ำ เป็นสิริมงคลดีมากอธิษฐานให้เจริญรุ่งเรืองได้


คาถาหัวใจราชสีห์

นะราชสีห์ ตะมัตถัง ปะกาเสนโต ตัวกูนี้หรือคือพญาราชสิงโห โธสุอะกันตัง

ใช้เสกภาวนาเป็นมหาอำนาจ เป็นที่เกรงขามแก่คนทั้งปวง ถ้าก้างปลาติดคอให้เสกข้าว 1 ก้อน กินทำให้กางปลาหลุดออกได้ เพียงแต่ตอนเสกข้าวนั้นให้เปลี่ยนคำว่า ตัวกูนี้หรือคือพญาราชสิงโห เป็น ตัวเจ้านี้หรือคือพญาราชสิงโห

นี่เป็นเคล็ดวิธีใช้ใน ตำรับพุทธสโร ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์ ทดลองใช้มาแล้วได้ผลจริงๆ ก้างปลาหลุดออกได้จริงๆ

คาถามหาอุด

วิเวเสนาสะนัง อุทธังอัทโธ นะโมพุทธายะ พุทธังสูญเพลิง ธัมมังสูญเพลิง สังฆังสูญเพลิง พุทธังอุด ธัมมังอุด สังฆังอุด พุทธังอัด ธัมมังอัด สังฆังอัด พุทธังปิด ธัมมังปิด สังฆังปิด พระเจ้าแผลงฤทธิ์ปิดด้วย มะอะอุ

ใช้ภาวนาก่อนออกจากบ้านไปในทิศทางใดๆ ก้าวเท้าขวาออกจากบ้านเอานิ้วหัวแม่ตีนขวาจิกกดพื้นเอาไว้ ทำจิตนิ่งอธิษฐานว่า เมอะมะอุ แม่ธรณีเอ่ยโปรดขึ้นมาเถิด มาช่วยลูกปราบศัตรูด้วย อุทธัง อัดโธ นะโมพุทธายะ
คาถาเสกนํ้าล้างหน้าในตอนเช้า

พระพุทธังล้างหน้า พระธัมมังล้างทุกข์ พระสังฆังเพิ่มสุข สวัสดีมีชัย อิติปิโสภะคะวา มนุษย์ในโลกหล้าเห็นหน้ารักกู สาธุ อิติพุทโธ เอหิสุคะโต มหาเสน่ห์เมตตา สวัสดีลาโภ นะชาลีติ

คาถาเกราะเพชรพระพุทธเจ้า
อิติปิโสภะคะวา มือข้าพเจ้าสิบนิ้วประนมขึ้นหว่างคิ้ว ขอถวายต่างธูปเทียนทอง จักขุของข้าพเจ้าทั้งสองอันแวววาว ขอถวายต่างประทีปแก้วดอกประทุมชาติ บูชาบาทพระพุทธเจ้าอันงามยิ่งนัก เป็นวงกงจักรร้อยแปดประการ พระเจ้าเสด็จไปแล้วพระทูลกระหม่อมแก้วเข้าสู่พระนิพพาน พระองค์ทรงญาณเห็นทั่วแดนไกล พระเจ้าบัญญัติให้ภาวนาให้ว่า มะอะทุกขัง อุอนิจจัง อะอนัตตา สังโฆ สังฆังตั้งใจภาวนา ศัตรูมีมาแก้ไขได้ทุกประการ เดชะพระจตุพรหมวิหารตั้งมั่นในอุเบกขา โปรดสัตว์ทั่วทิศทรงฤทธิ์แกล้วกล้า ทรงพระกรุณาหายเข็ญ พระเล็งเห็นทั่วทุกตัวสัตว์ พุทโธกําจัด ธัมโมกําจาย สังโฆสูญหายไปในบัดนี้ เป็นมารไพรีอย่าเข้ามาปน คนร้ายอกุศลถอยไปให้พ้น สารพัดศัตรูวินาศสันติ หนึ่งพิศมัยพระอาทิตย์ทั้งหก เป็นที่ชุมนุมคุ้มเสนียดและจัญไร พระจันทร์สิบห้าเข้ามารักษาภายใน พระอังคารแปดองค์ทรงศีลมาให้ พระพุทธสิบเจ็ดเสด็จมารักษาตัวข้าพเจ้า พระพฤหัสสิบเก้าเข้ามาสิงสู่เป็นครูทุกสิ่ง พระเสาร์ดีจริงกําลังสิบทัศน์มาช่วยกําจัดมหาอุบาทว์ พระยายมราชร้ายกาจหนักหนา ศัตรูมีมามวดม้วยบรรลัย ศัตรูที่ไหนให้บรรลัยที่นั่น พระราหูสิบสองมาช่วยป้องกัน พระศุกร์ยี่สิบเอ็ดเทวัญช่วยรักษา พระกาฬตัวกล้ามาช่วยผลาญศัตรู ทั่วทั้งชมภูอย่าให้มีอันตราย ชัยยะ ชัยยะ ข้าพเจ้าขอระลึกถึงคุณพระบารมี ทรงแสงรัศมีเลื่อมๆพรายๆ ทรงแสงพระสุริยะฉายทั่วท้องธรณี ได้สวดได้เรียน ได้เขียนบาลี โภยภัยอย่ามีกําจัดพลัดพราย พระธรรมแปดหมื่นชื่นอกชื่นใจ พระธรรมเป็นมิตรผูกจิตพิศมัย คุณมนต์คุณดลทนอยู่ไม่ได้ ศัตรูภายนอกเร่งถอยออกไป ศัตรูภายในบรรลัยสิ้นสุด เดชะพระพุทธมาอยู่ตรงหน้า พระธรรมมาอยู่ตรงหลัง พระสังฆังรักษา พระอิศวรเจ้าฟ้ามาแต่สวรรค์ มาช่วยกันรักษาตัวข้าพเจ้า ส่วนพระอินทร์พระนารายณ์อยู่เบื้องซ้ายขวา พระพรหมเสด็จมาให้พรทุกวัน เทวดาอยู่เมืองสวรรค์มาช่วยกันรักษาตัวข้าพเจ้า พระกาฬตัวกล้ามาช่วยผลาญศัตรู ทั่วทั้งชมภูอย่าให้มีอันตราย พุทธังคลาดแคล้ว พระแก้วเสด็จนําไป ธัมมังแคล้วคลาดกันอุบาทว์และจัญไร สังฆังว่าสงฆ์ติดเป็นธงชัย ข้าพเจ้าจะอยู่แห่งใด ไปแห่งใด จงช่วยคุ้มครองรักษา กว่าตัวข้าพเจ้าจะถึงซึ่งนิพพาน ในอนาคตกาลเบื้องหน้า พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา อะหังวันทามิทูระโต อะหังวันทามิธาตุโย อะหังวันทามิสัพพะโส นะโมพุทธายะ
สวดภาวนาทุกวันป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ ทำให้เจริญรุ่งเรือง โชคชะตาราศีดีขึ้นทุกวัน...                                                                                                         ขอขอบคุณที่มาจาก...หนังสือตำรับพุทธสโร...หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ

134
                                                                                                     เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นั้น มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำขี้เหล็กไหล” หน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว ใกล้ๆ กับหมู่บ้านชัยพรของเรา แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร ท่านเป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก ห่มจีวรสีกรัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาดเลย แม้ฝนจะตก แดดจะออก หรือไม่สบายก็ตาม เพราะเหตุนี้ การถือธุดงควัตรจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า "หลวงพ่อ" อย่างสนิทสนม นอกจากปฏิบัติเคร่งครัดแล้ว หลวงพ่อของเรายังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยได้ยินท่านพูดถึง ๓ ประโยคในคราวเดียวกัน

บางทีท่านก็นั่งนิ่งๆ อยู่ทั้งวัน ทั้งๆ ที่ญาติโยมนั่งอยู่เต็มข้างหน้า

ดังนั้น บรรดาญาติโยมที่ตั้งใจจะไปคุยกับหลวงพ่อ จึงลงเอยด้วยการคุยกันเอง แต่หลวงพ่อของเราก็ไม่ใช่พระใบ้เสียทีเดียว นานๆ ท่านจะพูดออกมาประโยคหนึ่งหรือสองประโยค และทุกๆ ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของท่าน มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ

เพราะเหตุนี้เอง คำพูดทุกคำของท่านจึงมีค่าอย่างยิ่ง ญาติโยมบางคนอุตสาห์ไปนั่งเฝ้าท่านอยู่ทั้งวัน เพื่อจะฟังคำพูดของท่านแม้เพียงประโยคเดียว เมื่อได้ฟังแล้วก็นำไปขบคิดเองบ้าง ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง จนเกิดความรู้แตกฉานในพุทธธรรมได้ดีกว่าฟังเทศน์กัณฑ์ยาวๆ เสียอีก กิตติศัพท์ของหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจขึ้นมาทันที

วันหนึ่งเมื่อมีเวลาว่าง จึงได้ไปกราบนมัสการและพบท่านนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำ “หลวงพ่อครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นหลังจากกราบท่านแล้ว “ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัยลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ

ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางองค์สอนให้ทำบุญทำทาน บางองค์สอนให้รักษาศีล บางองค์ก็สอนให้เจริญภาวนา มีทั้งยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ และโบกไม้โบกมือ บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย บางองค์ก็ชวนให้ออกบวช บางองค์ก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้”

“รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก ข้าพเจ้างงเหมือนไก่ตาแตก เพราะไม่เข้าใจความหมายของท่าน ไม่ทราบว่า ท่าน “รู้” เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวาย หรือแนะนำให้ข้าพเจ้า “รู้” เมื่อเชื่อแน่ว่าท่านจะไม่อธิบายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าจึงถามาว่า “รู้ อะไรครับ?”

“รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลูกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ข้าพเจ้าพยายามคิดตึความหมายของคำว่า “รู้ตัว” มาตลอดทาง พลางนึกเถียงหลวงพ่ออยู่ในใจว่า ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว่าชื่อนั้น นามสกุลนั้น อายุเท่านั้น เรียนจบชั้นนั้น ประกอบอาชีพชนิดนั้น มีนิสัยชอบศึกษาค้นคว้าหาความรู้แปลกๆ ใหม่ๆ มีโรคปวดท้องเป็นโรคประจำตัว

ข้าพเจ้าสามารถจะตอบปัญหาเกี่ยวกับตัวเองได้ทุกปัญหา ข้าพเจ้าไม่เคยไปให้หมอดูดูดวง เพราะไม่เชื่อว่าหมอดูจะรู้จัดข้าพเจ้าดีไปกว่าตัวเอง หลวงพ่อจะให้ “รู้ตัว” อย่างไรอีก

ข้าพเจ้านอนคิดปัญหานี้อยู่หลายวัน แต่คิดไม่ออก วันหนึ่งเมื่อมีโอกาส จึงเดินเข้าไปในตลาดเมืองหนองคาย จุดประสงค์เพื่อจะไปเยี่ยมชมร้านขายหนังสือ ด้วยเชื่อว่า บางทีหนังสืออาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง

ข้าพเจ้าได้เข้าไปในร้านจำหน่ายหนังสือใหญ่ร้านหนึ่ง แล้วก็เดินดูไปเรื่อยๆ ได้พบหนังสือทุกประเภท ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หนังสือประเภทนวนิยาย สารคดี นิทาน ตำรับตำราและรูปภาพต่างๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ในร้านประมาณ ๑ ชั่วโมง เดินดูจนทั่วก็ไม่พบหนังสือที่ต้องการ

ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านนั่นเอง ตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางโชว์ไว้ในตู้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนหนังสือนั้นก็คือ ภาพร่างมนุษย์ผ่าซีก ระบายสีเผยให้เห็นอวัยวะภายในต่างๆ อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ และได้พบชื่อหนังสือนั้นว่า กลไกของร่างกายมนุษย์” เขียนโดยนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจ่ายเงิน ๑๕๐ บาท แล้วนำหนังสือนั้นกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ลงมือเปิดอ่านทันที เนื่องจากผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ และมีภาพประกอบแพรวพราว จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายมาก

ภายใน ๓ วัน ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือเล่มนั้นจบ และจำสาระสำคัญๆ ได้หมด นัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย กระดูกกี่ชิ้น กล้ามเนื้อกี่มัด เส้นเอ็นเส้นอูดกี่เส้น อยู่ที่ไหนบ้าง อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ ลำไส้ และต่อมต่างๆ ทำหน้าที่อย่างไร ข้าพเจ้ารู้ละเอียดลงไปถึงเรื่องโครงสร้าง ส่วนประกอบการเติบโต และการขยายพันธุ์ของเซลล์

หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้า เห็นร่างกายเป็นโรงงานมหึมา ประกอบด้วยเครื่องจักรเป็นจำนวนหมื่น จำนวนแสน ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดตลอดวันตลอดคืน ตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ

เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบตลอดเวลา สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง “สมมติสัจจะ” ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลูกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งทอดถอนใจด้วยความผิดหวังอยู่คนเดียว

ข้าพเจ้าเดินคอตกกลับบ้าน แล้วก็เริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเข้าไปในตัวจังหวัดอีก จุดประสงค์ก็เพื่อไปพบและขอคำปรึกษาหารือจากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ ซึ่งเคยสอนข้าพเจ้ามา “อาจารย์ครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว “ที่บ้านผมมีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านสอนผมว่า ถ้าต้องการเดินให้ถูกทาง เข้าถึงแก่นพุทธศาสนาต้อง “รู้ตัว” ผมได้อธิบายตัวตนของเราตามหลักสรีรวิทยาให้ท่านฟังแล้ว ท่านบอกว่า “สิ่งที่ผมรู้เป็นเพียง สมมติสัจจะ” ผมยังไม่ “รู้ตัว” อาจารย์ช่วยแนะนำผมด้วยว่า จะให้ผมรู้ตัวในแง่ไหนอีก?

อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้องศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบายร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ข้าพเจ้าฟัง เริ่มต้นด้วยการจำแนกสารประกอบทางเคมีของร่างกายออกเป็นอย่างๆ แล้วก็แยกสารประกอบแต่ละอย่างออกเป็นธาตุแท้ๆ คือ “ปรมาณู” อธิบายโครงสร้างปรมาณูของธาตุต่างๆ อย่างละเอียดตลอดถึงไอโซโธปต่างๆ ของธาตุชนิดเดียวกัน

“ปรมาณูนี้และ คือส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของร่างกาย” อาจารย์กล่าวสรุป คุณจะเป็นได้ว่า ปรมาณูแต่ละตัว มีลักษณะคลายสุริยะจักรวาล โดยมีนิวเคลียส เป็นดวงอาทิตย์ มีอิเล็กตรอนเป็นดวงดาวนพเคราะห์ โคจรอยู่โดยรอบ

ฉะนั้นร่างกายของเราจึงไม่ใช่อะไร นอกจากกลุ่มปรมาณูนับจำนวนไม่ถ้วน เช่นเดียวกับ กาแล็กซี เป็นกลุ่มของสุริยจักรวาลมากมาย

ข้าพเจ้ากลับไปพบหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด เป็นเวลากว่า ๓๐ นาที ฝ่ายหลวงพ่อท่านก็ดูท่าทางตั้งใจฟังด้วยความสนใจ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหวังขึ้นมารางๆ ว่า คราวนี้หลวงพ่อคงรับรองว่าข้าพเจ้า “รู้ตัว” แน่ เมื่อข้าพเจ้าอธิบายจบ หลวงพ่อยังคงนั่งนิ่ง คล้ายกับกำลังพิจารณาทบทวนเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเพิ่งเล่าจบลง

สักครู่ใหญ่ผ่านไป หลวงพ่อท่านจึงพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ รู้ตัว สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง
สภาวะสัจจะ” ว่าแล้วก็ลุกเข้าถ้ำไปตามเคย

ข้าพเจ้าต้องแบกความผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ความล้มเหลวสองคราวที่ผ่านมา หาได้ทำให้ข้าพเจ้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไปไม่

ข้าพเจ้ายังพยายามขบคิดความหมายของ “รู้ตัว” ต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้งใดๆ พยายามไต่ถามใครต่อใครก็แล้ว จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะรับประทานอาหารค่ำ วิทยุท้องถิ่นประกาศข่าวว่า จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางพระอภิธรรมคนหนึ่งมาแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความลับของชีวิต” ที่หอประชุมกลาง อาคารเฉลิมพระเกียรติที่ในเมือง ในสองวันข้างหน้านี้

พอได้ยินประกาศนั้น ข้าพเจ้าก็เกิดความหวังขึ้นมาทันทีว่า คราวนี้คง “รู้ตัว” แน่ๆ เพราะสองครั้งที่แล้วมา ข้าพเจ้าศึกษา “ตัว” ในด้านวัตถุด้านเดียว ลืมด้านจิตใจเสียสนิท คราวนี้ข้าพเจ้าจะมีโอกาสรู้จักตนเองในด้านจิตใจ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือเป็นสิ่งสำคัญอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจด วัน เวลา ปาฐกถาลงในสมุดพก แล้วตั้งตาคอยด้วยความกระวนกระวายใจ

ในที่สุด วันที่ตั้งตาคอยก็มาถึง ข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้า และไปนั่งคอยอยู่ที่ห้องประชุม อาคารเฉลิมพระเกียรติก่อนเวลาเกือบชั่วโมง

ในวันนั้นปรากฏว่ามีคนฟังมากเป็นพิเศษ แม้หอประชุมจะกว้างใหญ่ ก็เต็มแน่นไปด้วยประชาชนผู้สนใจ เมื่อได้เวลา องค์ปาฐกก็ก้าวขึ้นสู่เวที ท่านกล่าวว่า คนสมัยนี้มีความรู้มาก ความรู้กว้างไกล ไกลจากตัวเองสู่โลก จากโลกสู่ท้องฟ้าอวกาศ คนสามารถรู้ว่า ดวงดาวเล็กๆ ที่ส่งแสงริบหรี่อยู่ในห้วงอวกาศอันไกลแสนไกลนั้น มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวเท่าไหร่ มีเส้นรอบวงยาวเท่าไร มีน้ำหนักเท่าไร ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง ห่างจากโลกกี่ปีแสง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ลืมตัวเองอย่างสนิท ไม่ศึกษาตนเอง จึงมีความรู้เกี่ยวกับตนเองน้อยมาก มนุษย์ไม่รู้ตนคืออะไร ประกอบด้วยอะไร เกิดมาได้อย่างไร ตายแล้วจะไปไหน ต่อจากนั้น องค์ปาฐกถาก็เข้าประเด็นสำคัญของปาฐกถา

ท่านได้อธิบายธรรมชาติของจิต ดวงต่างๆ ของจิต จำนวนร้อย การทำงานของจิต อารมณ์ของจิต เจตสิกธรรมต่างๆ ที่แทรกอยู่ในจิต การกระทำกรรม อำนาจของกรรม การเกิดใหม่

นอกจากนี้ ท่านยังได้อธิบายเรื่อง ผี เทวดา เปรต ตลอดจนถึงอำนาจลึกลับต่างๆ ทางไสยศาสตร์ด้วย หลังจากปาฐกจบ องค์ปาฐกได้เปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ ข้าพเจ้าก็ได้ถาม ๒-๓ ข้อ และได้ฟังการตองจากองค์ปาฐกอย่างแจ่มแจ้งเป็นที่พอใจ ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าคราวใด การฟังปาฐกถาครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้า “รู้ตัว” ในด้านจิตใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน “หลวงพ่อจะต้องยอมจำนนในคราวนี้แน่” ข้าพเจ้าพูดกับตัวเองด้วยความกระหยิ่มใจ เมื่อสองครั้งที่แล้วมา เราไปแสดง “ตัว” ในด้านวัตถุให้ท่านฟัง ตามทัศนะทางวิทยาศาสตร์ ท่านปฏิเสธไปก็ชอบแล้ว ถูกของท่านแล้ว แต่คราวนี้เป็นเรื่องของจิตใจอันลึกซึ้งในประอภิธรรมปิฎก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เอง ถ้าหลวงพ่อปฏิเสธอีกก็ให้มันรู้ไป

เย็นวันเดียวกันนั้นเอง อาบน้ำรัปประทานอาหารเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็รีบไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ เมื่อนั่งกราบท่านเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มสาธยาย เรื่อง จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรม ให้ท่านหลวงพ่อฟัง ด้วยความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ เช่นเดียวกัน เมื่อเล่าจบ ข้าพเจ้าก็คอยตั้งใจฟังคำตอบจากหลวงพ่อ “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อพูดขึ้นหน้าตาเฉย “สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง ปรมัตถสัจจะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าถ้ำไป

ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวัง ดุจเดียวกับคนที่สร้างบ้านจวนเสร็จแล้ว แต่ถูกลมพายุพัดพังทลายลงต่อหน้าต่อตา การประสบความผิดหวังถึง ๓ ครั้ง ๓ คราวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความท้อแท้ใจ เพราะเชื่อมั่นว่าตน “รู้ตัว” เจนจบแล้ว ทั้งในแง่วัตถุและจิตใจ ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ และแง่พุทธศาสนา นองเหนือไปจากนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก

เมื่อคิดดังนี้ ข้าพเจ้าก็เลิกล้มความคิดที่ค้นหาความจริงของ “รู้ตัว” ต่อไป เพราะในตัวคนเรา ไม่มีอะไรจะให้รู้ต่อไปอีกแล้ว “พอกันที” ข้าพเจ้าพูดกับตัวเอง สำหรับ “รู้ตัว” อันยุ่งยากของหลวงพ่อ มันรู้ยากนักก็ไม่รู้มันละ ทำบุญรักษาศีลไปตามเดิมดีกว่า หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ดำเนินชีวิตฆราวาสไปอย่างปกติธรรมดา ไม่ได้คิดหาความหมายของ “รู้ตัว” และไม่ได้ไปพบหลวงพ่ออีกเลย

ประมาณ ๑ เดือนหลังจากนั้น ขาพเจ้ามีธุระจะต้องเดินทางไปต่างอำเภอ จึงไปขึ้นรถโดยสารที่สถานีจอดรถ วันนั้นอากาศค่อนข้องร้อนอบอ้าว ผู้โดยสารก็ค่อนข้างแน่นชวนให้ง่วงนอน ในขณะที่รถโดยสารวิ่งไปตามถนนอันราบเรียบ ข้าพเจ้าจึงนั่งหลับใหลไปในรถตลอดเวลา เมื่อรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเกิดความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต เพราะแทนที่จะพบตัวเองอยู่ในรถโดยสาร กลับพบตัวเองนอนอยู่ในห้องอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

เสียงที่ได้ยิน แทนที่จะเป็นเสียงครางกระหึ่มของเครื่องยนต์ กลับเป็นเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของมนุษย์ ข้าพเจ้าลองหันหน้าไปมองทางด้านขวามือ ก็ได้พบชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง หน้าตาแขนขาของเขาถูกพันไว้ด้วยผ้าปลาสเตอร์สีขาว จนดูคล้ายศพที่เขามัดตราสังแล้ว ถัดจากนั้นไป มองเห็นหัวเข่าอันผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของชายคนหนึ่งโผล่ขี้นมา ข้าพเจ้าลองหันหน้าไปดูทางซ้ายบ้าง ก็พบชายคนหนึ่ง รูปร่างผอมเหลืองดุจซากศพ กำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงอย่างเป็นทุกข์ ถัดไปเป็นชายอีกคนหนึ่งนอนครวญครางอยู่ด้วยความเจ็บปวด ขาข้างหนึ่งของเขาถูกผูกโยงไว้กับราวข้างบน ข้าพเจ้าหันหน้ากลับ หลับตาคิดทบทวนความจำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองมิได้ฝันไป แต่พอลืมตาขึ้นก็ได้พบสภาพเดิมอีก แสดงว่ามิได้ฝันแน่ๆ “โรงพยาบาล”

ข้าพเจ้าอุทานกับตัวเองเบาๆ “โรงพยาบาล” ข้าพเจ้าอุทานกับตัวเอง แล้วพยายามคู้แขนเตรียมจะใช้ยันลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความพยายาม เพราะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย พยายามคู้ขาเพื่อจะยันเข่าขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ข้าพเจ้าจึงนอนอยู่นิ่งๆ และยิ้มนิดๆ เพราะรู้สึกขบขันต่อความไม่แน่นอนของชะตามนุษย์

ต่อมาภายหลัง เมื่อนางพยาบาลนำยามาให้ข้าพเจ้ารับประทาน จึงได้ทราบจากเธอว่า รถยนต์ที่ข้าพเจ้าโดยสารไปเกิดคันเร่งหลุด เสียหลักพุ่งลงข้างถนนและพลิกคว่ำ ทำให้คนโดยสารตายทันที ๗ ศพ นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส และไม่สาหัสทุกคน สำหรับข้าพเจ้า ขาขวาหัก ต้องเข้าเฝือก และต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย ๒ สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลนี้เอง ข้าพเจ้าได้รู้จักความจริงอีกด้านหนึ่งของชีวิต ความเจ็บปวดแสนสาหัสและความไม่สะดวกสบายต่างๆ อันกิดจากความเจ็บปวด ภาพของเพื่อนมนุษย์ผู้ผอมโซ เพราะโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดที่เห็นตำตาทุกวัน

เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด เสียงอาเจียนโอ้กอ้าก เสียงพร่ำเพ้อละเมอครวญครางด้วยทุกข์เวทนาที่ดังก้องอยู่ตลอดคืน ภาพคนเจ็บที่ตายลงต่อหน้าต่อตา และถูกนำใส่รถเข็นออกไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ครวญครางของคนรัก ภาพเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ามองชีวิตในแนวใหม่ ข้าพเจ้าเริ่มเห็นว่า ชีวิตคือความทุกข์ แต่ละคนคือก้อนแห่งความทุกข์ ทุกคนที่เกิดมาในโลกเป็นคนป่วย ป่วยด้วยโรคหิว โรคกระหาย โรคง่วง โรคเหนี่อย โรครัก โรคชัง โรคอยาก โรคกลัว โรคโง่ โรคเหงา โรคเศร้า โรคทุกข์

ข้าพเจ้าเห็นต่อไปอีกว่า โลกทั้งโลก คือโรงพยาบาลอันมหึมา สมบัติทุกชิ้นที่มนุษย์มีอยู่และแสวงหาอยู่คือ ยาแก้โรค อาหาร แก้โรคหิว น้ำ แก้โรคกระหาย ที่พักอาศัย แก้โรคหนาวร้อน เสื้อผ้า แก้โรคหนาวเย็นร้อน และโรคอาย เพื่อนฝูงลูกเมีย แก้โรคเหงา นอนแก้โรคง่วง เรียนแก้โรคดง่ แต่ถึงแม้จะมียาเท่าไร มากแค่ไหน ในที่สุด ก็ไม่พ้นโรคแก่ โรคเจ็บ และโรคตาย ซึ่งไม่มียาใดๆ รักษาได้

ความจริงของชีวิตที่ข้าพเจ้าได้พบ ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างลึกซึ้ง และความสังเวชนี้ได้ขึ้นถึงขีดสุดในเช้าวันหนึ่ง คือที่ข้างๆเตียงของข้าพเจ้า มีเพื่อนร่วมทุกข์คนหนึ่งนอนเจ็บอยู่ เขาเป็นชายหนุ่มอายุ ๒๘ ปี และเป็นคนช่างพูด ฉะนั้นจึงเป็นที่รู้จักสนิทสนมกับคนป่วยบนเตียงข้างเคียงทุกคน เฉพาะอย่างยิ่งกับข้าพเจ้า เราได้กลายเป็นเพื่อคุยที่ถูกคอกันมากที่สุด เขาเล่าว่า มีร้านขายของเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทางบ้าน กิจการของเขากำลังก้าวหน้า เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงแผนการต่างๆ ที่จะกลับไปทำเมื่อออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

ภรรยาและลูกน้อยประมาณ ๓ ขวบครึ่งของเขาได้มานอนเฝ้าที่โรงพยาบาลด้วย โดยผูกมุ้งเข้ากับขาเตียงนอนอยู่ระหว่างเตียงของสามีกับเตียงของข้าพเจ้านั่นเอง

ในตอนเช้าตรู่วันต่อมา ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากข้างๆ เตียง เมื่อลุกขึ้นนั่ง ก็ได้พบภรรยาของชายคนนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ฝ่ายลูกน้อยก็กอดคอแม่ร้องไห้ด้วย ดูเป็นที่น่าสงสารจับใจยิ่ง ข้าพเจ้าได้ถามว่า ร้องไห้เพราะเหตุใด? ภรรยาของเขาไม่ตอบ เพียงแต่ชี้ไปทางสามีซึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ข้าพเจ้าลงจากเตียง เดินกระย่องกระแย่งไปจับดูเท้าของเขา ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งและชักมือกลับด้วยความตกใจ เพราะปรากฏว่า เท้าของเขาเย็นเฉียบและแข็งทื่อพิกล เมื่อคลำดูชีพจรที่ข้อเท้าอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าเขาสิ้นใจตายเสียแล้ว! “ไปที่ชอบๆ เถิดเพื่อนรัก”

ข้าพเจ้าพูดออกมาคล้ายคนละเมอ พลางยื่นมือไปปิดเปลือกตาของเขาซึ่งเปิดอยู่นิดๆ แว่วเสียงก้องในจิตใจว่า

โลกมนุษย์เราเกิดแล้ว ตายแน่

บ้างไม่ทันถึงแก่ ดับแล้ว

บางคนป่วยจนแย่ ตายยาก นาเจ้า

อ่อนแก่ก็ไม่แคล้ว แน่แท้ คือ “ตาย”

ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็นำรถเข้ามาเทียบ ยกร่างอันปราศจากวิญญาณของเขาขึ้นสู่รถเข็น แล้วก็เข็นออกไป พร้อมด้วยภรรยาของเขา ซึ่งอุ้มลูกหอบผ้าร้องไห้เดินตามไปอย่างระทดระทวย คนป่วยอื่นๆต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆ “เขาไปเสียแล้ว” คนป่วยชราบนเตียงข้างหน้าข้าพเจ้าอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ในไม่ช้าเราทุกคนก็จะตามเขาไป” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากมองเพดาน ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนบ้าง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที เพราะเกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในดวงใจว่า “รู้ตัว” ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ เท่ากับ “รู้ตัว”

“รู้ตัว ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์เท่ากับ รู้ตัว” พร้อมๆ กับความคิดนี้ ข้าพเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายแกมสังเวชสลดใจต่อการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ข้าพเจ้าได้ตั้งปณิธานลงไปว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าจะทำความดีใดๆ ก็จะไม่ทำเพื่อให้ตนได้ไปเกิดในสวรรค์ อันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก แต่จะทำเพื่อขัดเกลาสันดานให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อความพ้นทุกข์

ถ้าจะเว้นการทำชั่ว ก็จะไม่เว้นเพราะกลัวตกนรก แต่เว้นเพราะกลัวการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ขณะที่กำลังนั่งตรึกตรองอยู่นั้นเอง จิตใจก็หวนคิดถึงหลวงพ่อที่ถ้ำขึ้นมา ข้าพเจ้าเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่า บัดนี้ได้ “รู้ตัว” แล้ว ความมั่นใจทำให้อยากหายเร็วๆ จะได้รีบกลับไปรายงานผลให้หลวงพ่อทราบ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจอิ่มเอิบ และด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มผิดจากวันก่อนๆ ปิติอันเกิดจากความรู้ใหม่ ทำให้ข้าพเจ้าลืมความเจ็บป่วยเกือบสิ้นเชิง

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนคิดอยู่นั่นเอง เหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าไม่นึกไม่ฝันก็ได้เกิดขึ้น หลวงพ่อที่กำลังระลึกถึงอยู่นั้นได้เดินผ่านทะลุประตูเข้ามาในห้องจริงๆ! หลวงพ่อท่านมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของข้าพเจ้า แต่มิได้พูดอะไรออกมา ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ครั้นได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ข้าพเจ้าก็เตรียมจะเอ่ยปากรายงานผลการ “รู้ตัว” แก่ท่าน แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้อ้าปากพูด หลวงพ่อท่านก็ยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงห้าม แล้วหลวงพ่อท่านก็พูดออกมาเองอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ผู้ใดรู้จักทุกข์ ผู้นั้นรู้จักตัว ผู้ใดเห็นตัว ผู้นั้นเห็นทุกข์ ถ้าเจ้ารู้ สมมติสัจจะ เจ้าจะเพียงแต่ฉลาดในคดีโลก ถ้าเจ้ารู้สภาวะสัจจะ เจ้าจะเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ ถ้าเจ้ารู้ปรมัตถสัจจะ เจ้าก็จะเป็นได้ก็เพียงนักปรัชญา แต่ถ้าเจ้าเห็นทุกข์ เจ้าก็เห็นอริยสัจจะ และกำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นอริยบุคคล

เจ้าเริ่มก้าวขึ้นสู่ทางเดินอันถูกต้อง และจะไม่มีวันถอยหลังกลับ เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นทุกข์อันมาในรูป คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเบื่อหน่าย เสด็จออกบรรพชา แล้วพระองค์ก็ไม่กลับคืนมาสู่โลกอันเต็มไปด้วยทุกข์อีก ท่านยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก เห็นสภาพอันน่าสังเวชของหญิงบริวาร ที่กำลังหลับใหลอยู่ เป็นดุจซากศพในป่าช้าผีดิบ จึงเดินบ่นออกจากบ้านตนเอง ไปจนพบพระพุทธองค์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วท่านก็ไม่หวนกลับมาอีก

พระสารีบุตร และพระมหาโมคัลลานะ เห็นทุกข์ขณะดูมหรสพบนยอดเขา เกิดความเบื่อหน่าย ออกบรรพชาแล้ว ท่านก็ไม่หวนกลับอีก ใครๆ ก็ตามถ้ายังไม่เห็นทุกข์ แม้ออกบรรพชา ก็ยังจะต้องหวนกลับคืน บัดนี้เจ้า “รู้ตัว” แล้ว เป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ทั้ง กาย วาจา ใจ จงก้าวเดินต่อไปตามทางแห่งอริยมรรค เพื่อดับสมุทัย และบรรลุถึงนิโรธในที่สุดเถิด

พูดจบ หลวงพ่อท่านก็เดินหันกลับ เดินทะลุประตูออกไปทันที ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้กล่าวตอบโต้ใดๆ ข้าพเจ้ายกมือไหว้ตามหลังท่าน แล้วก็ก้มหน้าคิดทบทวนตามคำสอนของหลวงพ่อ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างยือยาวเช่นนี้ ข้าพเจ้าปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก ที่หลวงพ่ออุตส่าห์มาเยี่ยม และที่สำคัญที่สุด ก็มารับรองความเห็นของข้าพเจ้าว่า ถูกต้องแล้ว

พอหายเจ็บและได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านทันที จุดประสงค์ก็เพื่อจะไปเยี่ยมนมัสการหลวงพ่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พอถึงบ้านอาบน้ำรับประทานอาหารอย่างรีบเร่ง แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ไปที่ถ้ำ

เมื่อถึงปากถ้ำ ข้าพเจ้ามิได้พบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำดังแต่ก่อน บรรยากาศทั่วไปก็ดูเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ ข้าพเจ้ารู้สึกประหลากใจอย่างมาก แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า หลวงพ่อคงจะพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ข้าพเจ้าโผล่ศีรษะเข้าไปในถ้ำแล้วก็ส่งเสียงร้องเรียก “หลวงพ่อๆ” หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงของข้าพเจ้าเองสะท้อนกลับ ข้าพเจ้าสำรวจภายในถ้ำจนทั่วก็ไม่พบร่องรอยของหลวงพ่อ

ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินทางกลับบ้าน “หลวงพ่อจากถ้ำไปเสียแล้ว” ชายแก่คนหนึ่งซึ่งเดินสวนทางกับข้าพเจ้าบอก

“และไม่มีใครทราบว่าท่านไปไหน มีคนเห็นท่านสะพายบาตร แบกกลดเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่เย็นวานนี้” แม้หลวงพ่อได้จาริกธุดงค์จากไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่าหลวงพ่อท่านยังอยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลา

 
http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=409

135
๑. ตายแล้วไปไหน

 



ต่อไปนี้…ผู้เขียนขอใช้คำแทนชื่อตัวเอกของเรื่องว่า "อาตมา"โดยสมมติว่าเป็นพระพุทธสาวกในชาติปัจจุบัน ส่วนจะเป็นพระมากน้อยแค่ไหน เป็นเนื้อนาบุญของชาวบ้านได้มากน้อยเพียงใด จะไม่ขอพูดถึง เพราะการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เมื่อยังต้องปฏิบัติอยู่ ถ้าไม่ถึงวิมุตติหลุดพ้น จะเรียกพระอย่างเต็มภาคภูมิ ก็ยังต้องเรียกอย่างกระดากปาก เอาเป็นว่าเป็นสมมติสงฆ์ก็แล้วกัน

และคำว่าพระนั้น มิใช่จะยึดเอาที่ผ้ากาสาวพัสตร์ครองกาย เราท่านจะนุ่งเหลือง ห่มเหลืองเป็นภิกษุสามเณร หรือนุ่งขาวห่มขาวเป็นอุบาสก-อุบาสิกา จะเรียกว่าพระยังมิได้เต็มปาก เพราะเป็นเพียงเครื่องหมายสมมติขึ้นเท่านั้น

คำว่า พระ ที่เต็มความหมาย ก็คือ ผู้มีจิตสำรวมมั่นคงเป็นสมาธิ มีเมตตาอิ่มเอิบสมบูรณ์อยู่เป็นนิตย์ จึงจะเรียกว่าพระได้ เพราะเมื่อมีจิตตั้งมั่นสำรวมอยู่ในสมาธิ และเมตตาธรรมแล้ว ศีลทั้งหลายตั้งแต่ศีล ๕ ถึง ๒๒๗ ก็จะสมบูรณ์ในผู้นั้น ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเครื่องหมายอะไร

เมื่อทำความเข้าใจเอาไว้ดังนี้แล้ว ก็จะเล่าถึงความเป็นมาของชีวิตในชาติปัจจุบันนี้ก่อน

อาตมาเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ ที่เรียกว่าพอมีอันจะกินโยมพ่อกับโยมแม่มีอาชีพค้าขาย มีร้านค้าที่มีสินค้าสารพัดอยู่ จะเรียกอย่างสมัยนี้ว่าสรรพสินค้าก็ได้

ภายในครอบครัว นอกจากโยมทั้งสอง ก็มีพี่ชายคนโต กับพี่สาวอีก ๒ คน อาตมาเกิดเป็นคนสุดท้อง และเกิดห่างจากพี่ๆหลายปีทีเดียว เพราะเขาโตๆ ช่วยโยมพ่อโยมแม่ค้าขายได้แล้ว และไม่มีใครคิดว่าจะมีอาตมาขึ้นมาอีก

เมื่อเกิดใหม่ๆ ลืมตาดูโลกได้แล้ว ในจิตใจของอาตมาเกิดความสงสัยขึ้นว่า ทำไมตัวเราจึงกลายเป็นเด็กไป มันช่างแปลกประหลาดสิ้นดี

อาตมามีความรู้ขึ้นมาว่า ตัวเป็นพระอายุตั้ง ๘๐ กว่าแล้ว กำลังนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิที่วัด มันไปมาอย่างไรกันแน่ จึงมากลายเป็นเด็กดิ้นอยู่ในเบาะ ต้องกินนมจากเต้าของโยมแม่ ได้รับการทะนุถนอมจากพี่ชาย พี่สาวทั้งสองคน ซึ่งตามธรรมดาแล้ว ผู้หญิงจะมาถูกต้องอาตมาไม่ได้ แต่แม้จะรู้ว่าตัวเป็นภิกษุเฒ่า ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกลายเป็นเด็กทารกนอนอยู่ในเบาะ ทำอะไรไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่ก็รู้ทุกอย่าง

พออายุยังไม่ชนขวบดี อาตมาก็พูดได้แล้ว แต่พูดยังไม่ชัด ทั้งที่จิตรู้ว่าจะพูดอย่างไร แต่ปากมันไม่ยอมพูดตามนั้น ได้แต่คิดรู้ขึ้นมาว่า ตอนที่เป็นพระภิกษุผู้เฒ่านั่งสมาธิอยู่ จิตได้ดับลงในสมาธิพอจิตดับในสมาธิแล้ว มันก็ออกมายืนดูสังขารร่างกายที่เป็นพระผู้เฒ่ากำลังนั่งสมาธิอยู่นาน เกิดความสังเวชสลดใจในความชราเห็นว่าสังขารอันประกอบด้วยธาตุ ๔ นั้น มันตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว อาศัยมันเป็นเครื่องมือปฏิบัติไม่ได้แล้ว เราจะต้องไปหาสังขารใหม่ปฏิบัติต่อไป

พอคิดอย่างนั้น ก็ก้มลงมองตัวเอง เห็นร่างกายเหมือนกับร่างเดิมที่กำลังทำสมาธิอยู่ แต่ไม่แก่ชราอย่างนั้น มันเหมือนแก้วใสโปร่งแสง ไม่มีน้ำหนัก มองทะลุไปได้ตลอดร่าง สติรู้ในตอนนั้นว่าเป็นกายทิพย์ หรือเป็นกายใน เกิดคำถามว่าเราจะไปไหน ก็นึกตอบขึ้นมาเองว่า ไปหาที่เกิดใหม่ แล้วกายทิพย์ก็ลอยขึ้น…ลอยขึ้น

มันลอยขึ้นไปถึงกลุ่มเมฆใต้แผ่นฟ้า ซึ่งเมื่อเป็นภิกษุชราก็เคยมองขึ้นไป ไม่เห็นมีอะไรนอกจากความเวิ้งว้างว่างเปล่า นี่มองด้วยตาเนื้อธรรมดานะ แต่ก็เคยมองด้วยตาฌานว่า มันมีสวรรค์วิมานลอยอยู่ในหมู่เมฆมากมาย เต็มไปด้วยแสงสี ได้เห็นเทพเทวานางฟ้าเสวยสุขอยู่ในแต่ละวิมาน ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบแย้มสรวล เมื่อกายทิพย์หรือจิตลอยขึ้นมา ก็เห็นเหมือนกับเห็นด้วยตาฌาน แต่จิตไม่ได้มีความปรารถนาอย่างนั้นเลย

ตอนที่อยู่ในร่างของภิกษุชรา บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมสมาธิอยู่ก็ไม่เคยปรารถนาสวรรค์วิมาน เพราะเห็นว่าเป็นการเสียเวลา สวรรค์วิมาน เทวดา นางฟ้า เมื่อเสวยผลจากกุศลกรรมของตนจนหมดแล้วก็จะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีกตามกรรมของตน

การไปเสวยผลบนสวรรค์วิมานนั้น จะเห็นว่าต้องเสียเวลามากเพราะเทียบหยาบๆ ร้อยปีในเมืองมนุษย์ ก็เท่ากับวันเดียวบนสวรรค์ถ้าเราเสวยสุขอยู่บนนั้นสักพันปี จะอยู่ได้นานสักเท่าไร จึงมุ่งมั่นประการเดียว ขอปฏิบัติให้ถึงความพ้นทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก

เมื่อจิตไม่ปรารถนาสวรรค์ วิมานมาแต่เดิม ก็มีสติรู้ว่าไม่ใช่ที่อยู่ของเรา ทันใดกายทิพย์ก็ตกวูบลงมาสู่พื้นโลก เกิดแวบคิดถึงนรกเพราะมีสัญญาเดิม จำได้หมายรู้ว่านรกเป็นอย่างไร กายทิพย์ก็ลงไปถึงนรก แผ่นดินที่เต็มไปด้วยไฟ แล้วมันก็หยุดชะงักเพียงแค่เห็นไฟมีสติรู้ว่าที่นี่ก็ไม่ใช่ที่อยู่ของเรา เมื่อยังเป็นมนุษย์และเป็นภิกษุอยู่จนชราภาพ เราได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในทางกุศลมาโดยตลอด จึงไม่มีนรกสำหรับเรา

กลับดีกว่า กลับมาสู่โลกมนุษย์ ท่องเที่ยวไปตามจิตปรารถนาสิ่งใดไม่เคยเห็นก็ได้ไปเห็น ส่วนมากก็ไปตามปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนา ไปนมัสการพระพุทธรูปแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประชาชนเขาเลื่อมใส ไปนมัสการพระเจดีย์ธาตุ ที่เรียกว่าวัดมหาธาตุอันมีอยู่ตามเมืองต่างๆ จนจำไม่ได้หมดว่าไปที่ไหนมาบ้าง

อันที่จริงเป็นจิตทิพย์ กายทิพย์นี้ก็ดี มีความสะดวกมาก พอนึกจะไปที่ไหนมันก็ไปถึงทันที ชั่วแวบเดียวเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางขึ้นรถ ลงเรือ แม้ในทางเครื่องบินก็ยังช้ากว่าอยู่นั่นเอง

แต่การจะเพลิดเพลินเจริญใจอยู่กับจิตกับกายที่เป็นทิพย์นี้ จะเสียเวลาเปล่า ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิธรรมตามที่ตั้งปรารถนา จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะระหว่างที่ท่องเที่ยวอยู่นั้น ก็ได้พบจิตหรือกายทิพย์พเนจรไปมาอยู่มากมาย เกลื่อนกลาดไปหมด พวกนี้นรกก็ไม่ไป สวรรค์ก็ไม่อยู่

ส่วนมากเมื่อเป็นมนุษย์ปฏิบัติธรรมอยู่ เกิดกายทิพย์ออกไปท่องเที่ยวเพลิดเพลินเกินเวลาจนลืมกลับร่างเดิม พอนึกขึ้นได้ ก็กลับเข้าร่างไม่ได้เสียแล้ว เพราะพ่อแม่ลูกเมียหรือญาติพี่น้องเขาเอาร่างไปเผาทำลายเสียแล้ว โดยคิดว่าตาย หรือพระที่ธุดงค์อยู่ในป่า เกิดกายทิพย์ออกไปท่องเที่ยวเพลินไป ทิ้งร่างเดิมไว้จนเน่าเปื่อยผุพัง ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาตาย จึงกลับเข้าร่างไม่ได้อีก

การณ์ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะสติตัวรู้ยังไม่สมบูรณ์พอ ไม่รู้เท่าทันกิเลส กายทิพย์แวบออกไปเห็นสวรรค์ วิมาน เทวดา นางฟ้าอันสวยงาม ก็ไปยึดติดหลงใหลจนลืมร่างเดิม

ด้วยเหตุนี้ นักปฏิบัติจะต้องพยายามเพิ่มพูนตัวสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ รู้เท่าทันกิเลสตัณหาได้รวดเร็ว เท่ากับความรวดเร็วของจิตที่วิ่งเข้าวิ่งออกเหมือนฟ้าแลบ เพราะถ้ารู้ไม่ทัน กิเลส ตัณหาใดเข้ามาก็จะเกิดความคิดปรุงแต่งไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับเรานอนหลับฝันไปพอรู้สึกตัวก็ยังงัวเงียฝันต่อไป เป็นเรื่องเป็นราวเพลิดเพลิน จนไม่อยากลุกจากที่นอน แล้วก็ไปยึดถือเป็นจริงเป็นจัง
__________________
๒. เรื่องแปลกๆ ในวัยเด็ก


 


ระหว่างที่กายทิพย์เร่ร่อนหาที่เกิด ก็ไปพบร้านค้าแห่งหนึ่งเจ้าของร้านสามีภรรยา แม้ไม่มีโอกาสไปวัดเพราะธุรกิจผูกพัน ก็มีการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ลูกชายและลูกสาวก็ได้รับการอบรมให้ไหว้พระเช่นกัน เช้าขึ้นก็จะช่วยกันหุงข้าวใส่บาตรเป็นประจำ นับว่าเป็นครอบครัวที่มีจิตเป็นฝ่ายกุศล

จิตก็รู้ขึ้นมาว่า ที่เกิดของเราอยู่ที่นี่เอง และยังรู้ต่อไปว่า โยมมารดานั้นเคยเป็นพี่สาวของเราในอดีตชาติ มีความสัมพันธ์กันอยู่ทันใดนั้น กายทิพย์ก็ตกวูบลงไป เข้าไปอยู่ในครรภ์โยมแม่แล้ว

จิตในวัยทารกแบเบาะนั้น มันรู้เห็นไปสารพัด บางทีก็รู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยากพูด อยากบอก แต่มันยังพูดไม่ได้

เกิดเป็นมนุษย์นี้ กว่าจะเติบโตขึ้นมาได้ต้องรับทุกขเวทนา ต้องอดกลั้นอดทนมากทีเดียว เพราะสังขารร่างกายที่เป็นมนุษย์นั้น มันเติบโต รู้ภาษาตามวัย พอลุกขึ้นยืนได้ ก็ต้องค่อยๆ ย่างเดิน เพราะขายังไม่แข็งแรงพอ ไม่เหมือนวัว ควาย ม้า พอคลอดออกมาก็วิ่งได้

การพูดก็อยากพูดเหลือเกิน แต่มันพูดไม่ได้ ต้องอ้อๆ แอ้ๆคนฟังเขาก็ไม่รู้เรื่อง จนรำคาญตัวเอง มีอารมณ์หงุดหงิดบ้าง

พออายุได้ ๓ ขวบ ค่อยโล่งอกไปที เดินได้ วิ่งก็ได้ พูดจาก็รู้เรื่องมากขึ้น ตอนนี้แหละมันอยากจะสวดมนต์ไหว้พระ โยมพ่อ โยมแม่กับพี่ๆ เขาลงไปอยู่ข้างล่าง บางคนก็ไปโรงเรียน บางคนก็ช่วยขายของหน้าร้าน อาตมาก็โอ้เอ้อยู่ข้างบน เห็นเงียบสงัดดีก็เข้าห้องพระ กราบแล้วก็เริ่มสวดมนต์ หนังสือยังอ่านไม่ออก วัดก็ไม่เคยไปมันสวดได้เองเสียงแจ๋ว ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน มันสวดไปได้เอง และด้วยคล่อง

โยมพ่อขึ้นมาเพราะสงสัยว่าพระที่ไหนมาสวดมนต์ เมื่อโผล่หน้าเข้ามาในห้องพระ จึงเห็นลูกชายคนเล็กนั่งสวดมนต์เหมือนที่พระสวดตามวัด ก็แปลกใจว่าสวดได้อย่างไร ต้องไปตามโยมแม่ขึ้นมาฟังด้วย

อาตมาตอนนั้นไม่สนใจใครเลย นั่งหลับตาสวดจนจบ แล้ก็ทำสมาธิต่อ การนั่งสมาธิก็นั่งได้อย่างถูกต้อง เท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งตัวตรง ดำรงสติมั่น ทุกอย่างมันเป็นไปเอง

โยมพ่อโยมแม่เห็นอย่างนั้น ก็ถอยกลับลงไปซุบซิบอยู่ข้างล่างอย่างอัศจรรย์ใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้อย่างไร ใครมาสั่งสอนแต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ อายุเพิ่งแค่ ๓ ขวบ ตั้งแต่เล็กก็ไม่เคยไปวัด

การนั่งสมาธิครั้งแรกนั้น ใช้คำภาวนาว่า "พุทโธ" นั่งไปสักพักหนึ่ง จิตก็รวมตัวตั้งมั่นในสมาธิ แล้วก็เกิดรู้ขึ้นมาเอง เห็นหมด โยมพ่อโยมแม่กำลังทำอะไรอยู่ข้างล่างก็เห็น พี่สาวกำลังวิ่งเล่นที่โรงเรียนก็เห็น ยังได้ยินโยมพ่อโยมแม่คุยกันชัดเจน โยมแม่บอกให้โยมพ่อขึ้นมาดูว่าเลิกนั่งสมาธิหรือยัง เป็นห่วงกลัวจะหิว

แต่อาตมาตอนนั้น ไม่รู้สึกหิวเลย มันอิ่มเอิบไปหมด นั่งอยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ โยมพ่อขึ้นมาถึง ๒-๓ ครั้ง จึงได้ออกจากสมาธิ

โยมพ่อถามว่า "ลูกเป็นอะไร"

อาตมาก็ตอบว่า "ลูกสวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ"

"ลูกทำได้อย่างไร ไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน ใครมาสอนลูกหรือ"

"ไม่มีใครสอน ลูกอยากทำก็ทำได้เอง"

โยมพ่อจูงมือลงไปข้างล่าง ให้โยมแม่หาอาหารให้กิน ไม่รู้จะถามอะไรอีก ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เป็นไปได้อย่างไร แต่ก็สังเกตว่าทั้งสองท่านชื่นชมยินดี พูดกันว่าลูกเราคงเป็นผู้มีบุญมาเกิด จึงใฝ่ใจในทางกุศลตั้งแต่ยังเล็ก

ที่น่าพอใจก็คือ ท่านไม่ห้ามปรามแต่อย่างใด อาตมาก็สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิทั้งตอนเช้าและตอนค่ำ ไม่ชอบลงไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ชอบนั่งเงียบๆ ดูกายดูจิตอยู่ตามลำพัง ตอนนั้นปฏิบัติได้ถูกต้อง แต่เรียกไม่ถูกว่าปฏิบัติอะไร มารู้ภายหลังว่าทำตามแนวสติปัฏฐาน ๔ มีการพิจารณา รูป เวทนา จิต ธรรม ทบไปทวนมา ที่รู้ภายหลังนี้ ก็ตอนเข้าวัดศึกษาทางปริยัติ เป็นสามเณรแล้วห่างกันอีกหลายปี

ตอนเป็นเด็ก อยู่กับโยมทั้งสอง อาตมาได้สร้างความแปลกใจให้กับโยม และเพื่อนบ้านอยู่เสมอ คราวหนึ่งโยมพ่อบ่นกับโยมแม่ว่า "หมู่นี้ร้านเราขายของไม่ดีเลย ไม่รู้เป็นอย่างไร"

อาตมานั่งอยู่ข้างๆ ก็ชี้มือไปที่หน้าร้าน บอกว่า "ผู้ขัดขวางเขามานั่งอยู่นั่น จะขายดีได้อย่างไร"

"ใครมานั่งอยู่ที่ไหน พ่อไม่เห็นสักหน่อย ลูกพูดอะไรของลูก"

อาตมาก็ยืนยันว่า "หนูเห็น เขาเป็นวิญญาณเร่ร่อนอดอยากมาพักอยู่หลายวันแล้ว พ่อทำบุญสังฆทานให้เขาซิ เขาจะได้ไปเกิด"

แต่แรกพ่อไม่ยอมเชื่อ หาว่าพูดเหลวไหล วันต่อมาแทบไม่มีคนเข้ามาซื้อของในร้านเลย ทั้งที่เคยขายของดี โยมแม่จึงบอกกับโยมพ่อว่า

"ลูกของเรา เขามีอะไรแปลกๆ มาตั้งแต่เด็ก สวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิได้โดยไม่มีใครสอน และเขาก็ทำอยู่ทุกวันไม่เคยขาด ลองเชื่อลูก ทำสังฆทานให้วิญญาณกันดีกว่า"

โยมพ่อก็ตกลงตาม จัดการเตรียมเครื่องสังฆทาน นิมนต์พระมารับในตอนเช้า ตั้งแต่วันนั้น ปรากฏว่าของขายดีทั้งวัน และดีตลอดมา

ครั้งหนึ่ง มีสองคนผัวเมียท่าทางภูมิฐาน เอารถมาจอดริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่ร้าน แล้วพากันลงรถเดินเข้ามา ปรากฏว่าเป็นคนชอบพอคุ้นเคยกับโยมทั้งสองมานาน บอกว่านั่งรถผ่านมา คิดถึงจึงแวะมาเยี่ยม

ขณะที่นั่งคุยกัน ฝ่ายภรรยาปรารภให้ฟังว่า "ไปปลูกตึกแถวขายถึง ๒๐ ห้อง ทำเลดี เหมาะในการค้า แต่ปรากฏว่าตั้งแต่สร้างมาเป็นเวลาถึงสองปี ไม่มีใครมาซื้อเลย มาถามแล้วก็หายไป ลงทุนเข้าไปมาก ตอนนี้ก็แทบหาเงินส่งดอกเบี้ยธนาคารไม่ทัน ไม่รู้เป็นเพราะอะไร"

โยมแม่ถามว่า "เคยไปหาอาจารย์ทำนายทายทัก ให้รู้สาเหตุบ้างไหม"

สามีก็บอกว่า "ไปมาหลายแห่งจนอ่อนใจ ก็ไม่เห็นว่าอย่างไรเพียงแต่บอกว่า เมื่อนั่นเมื่อนี่จะขายได้ แล้วก็เงียบไป"

โยมแม่ก็เรียกอาตมาเข้าไปหา แนะนำให้รู้จัก บอกว่า "ลองถามพ่อลูกชายคนเล็กของดิฉันดูซิคะ บางทีเขาจะบอกอะไรได้"

สองสามีภรรยาทำหน้างงๆ เพราะไม่นึกว่าจะให้มาถามเรื่องสำคัญอย่างนี้กับเด็กตัวนิดเดียว แต่คงจะไม่ให้เสียมารยาท ก็เลยถามว่า "หลานดูได้หรือนี่"

"พอดูได้ครับคุณลุงคุณป้า ว่าแต่ตึกแถวอยู่ทีไหน มีอะไรเป็นเครื่องหมายให้รู้บ้าง เขาเรียกว่าอะไร" อาตมาซักยังกับเป็นผู้ใหญ่

คุณลุงตอบว่า "ที่หน้าตึกแถว มีต้นฉำฉาขึ้นเรียงกันอยู่ ๓ต้น เขาเรียกบ้านใหม่"

พอบอกอย่างนั้น อาตมามองเห็นหมด ทั้งที่ไม่เคยไปหรือเคยรู้จักเลย จึงถามว่า "เป็นตึกแถวสองชั้นครึ่งใช่ไหมคุณลุง"

"ใช่แล้วหลาน"

"ข้างนอกทาสีเขียว หลังคากระเบื้องสีน้ำตาล ใช่ไหมคุณลุง"

เอะ…ยังกับตาเห็นเชียวนี่" คุณลุงอุทานแล้วตอบว่า "ใช่"

"คุณลุงรู้ประวัติที่นี่ไหม"

"พอรู้…เพราะเป็นที่ดั้งเดิม มรดกตกทอดของลุง"

"ที่ตรงนี้เคยมีคนมาฆ่ากันตาย เขาสู้กันเลยตายทั้งคู่"

"โอ้โฮ…ยังกับตาเห็นจริงๆ หลานเห็นหรือจ๊ะ จึงได้บอกถูกต้องหมด" คุณป้าอุทานอีกคนหนึ่ง พร้อมทั้งถาม

"เห็นครับ…ที่ขายตึกไม่ได้ เพราะวิญญาณสองคนนี้ เขาคอยขัดขวาง อาละวาดอยู่ เขาต่อสู้กันทุกวัน เป็นวิญญาณพยาบาทไม่รู้จักจบสิ้น"

"แล้วลุงกับป้าจะทำอย่างไรดี"

"นิมนต์พระที่ปฏิบัติดี มาเทศน์โปรดวิญญาณ ให้เขาละทิฐิมานะ ละความโกรธแค้นพยาบาท แล้วถวายสังฆทาน ๔ ชุด อุทิศส่วนกุศลให้เขาไปผุดไปเกิด ทำเช่นนี้อาทิตย์ละครั้ง สัก ๓ อาทิตย์ต่อไปจะมีคนมาแย่งกันซื้อตึกของคุณลุงคุณป้าจนหมด ไม่เกิน๓ เดือน ๖ เดือน"

อาตมาบอกไปอย่างนั้น ไม่ได้คิดว่าคุณลุงคุณป้า จะทำตามหรือเปล่า คิดว่าเราเป็นเด็ก ผู้ใหญ่อาจไม่เชื่อ

อีกสองเดือนต่อมา คุณลุงคุณป้าคู่นั้นกลับมาอีก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส มาถึงก็ถามหาอาตมาเลย แล้วบอกว่า

"ลุงกับป้าเอารางวัลมาให้ ๕,๐๐๐ บาท รับไว้ซิหลาน เก่งจริงๆ ตอนนี้ตึกของลุงกับป้าขายไปได้ ๕-๖ ห้องแล้ว ยังมาติดต่ออยู่อีกหลายเจ้า"

หลังจากนั้น ก็มีผู้มาให้ทำนายทายทักอยู่เสมอ แต่ใจไม่ชอบทำนายทายทักเลย เมื่อเขามาแล้ว มันเห็นมันรู้ ก็อดช่วยเขาไม่ได้จะบอกว่าไม่รู้ไม่เห็น ก็เป็นการโกหกเขาไป

๓. เจอร่างตนเองในอดีตชาติ


 


ครั้งอาตมาอายุ ๑๕ ปี จึงขอโยมทั้งสอบบวชเณร โยมเห็นแล้วว่า อาตมามีบุญวาสนามาทางนี้ ขืนห้ามปรามก็คงไม่สำเร็จจึงอนุญาตให้บวช เตรียมสบงจีวรนำมาหาอาจารย์เจ้าอาวาส และได้บรรพชาตามความประสงค์ แต่ก็ได้สั่งโยมพ่อโยมแม่ว่า ถ้าใครจะให้ทำนายทายทัก ก็อย่าบอกว่าลูกมาบวชเณรอยู่ที่วัดไหน เพราะไม่ต้องการจะทำนายให้ใคร

การศึกษาปริยัติ ตอนบวชเป็นสามเณร ก็แปลกอีก พอเห็นหนังสือเรียนนักธรรมตรี โท เอก ก็รู้ขึ้นมาว่า หนังสือเหล่านี้ อาตมาเคยเรียนมาหมดแล้ว และยังจำได้แม่นยำด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจ จึงให้สามเณร ซึ่งเป็นเพื่อนกันคอยดูหนังสือ อาตมาท่องปากเปล่า อย่างพระวินัย เริ่มแต่ปาราชิก ๔ สังฆาทิเลส ๑๓ จนถึงเสขิยวัตร อาตมาท่องได้หมด ทำให้เณรด้วยกันแปลกใจไปตามๆกัน

เรื่องนี้รู้ไปถึงท่านมหา ซึ่งเป็นครูประจำชั้น วันหนึ่งท่านก็เรียกไปที่หน้าชั้น ถามว่า "เณรจำพระวินัยได้หมดหรือ อาจารย์สอนยังไม่ถึงเลย"

อาตมาตอบท่านว่า "คิดว่าจำได้ รู้สึกเหมือนเคยเรียนมาแล้ว"

ท่านมหาถามว่า "เคยเรียนจากที่ไหน จำได้ไหม"

"รู้ขึ้นมาเองขอรับว่า เคยเรียนและเคยสอนด้วย"

"เออ…แปลกจริง ไหนลองว่าให้ฟังซิ"

ท่านมหากางหนังสือนวโกวาทออกดู เพื่อจะสอบทานไปด้วยอาตมาก็เริ่มท่องให้ฟัง ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีติดขัดเลย เหมือนกับที่สอบทานกับสามเณรเพื่อนกัน ยังความแปลกใจให้แก่ท่านมหาเป็นอันมาก

เมื่อโยมพ่อกับโยมแม่มาเยี่ยมที่วัด ท่านมหาก็เล่าให้ฟัง ยิ่งทำความแปลกใจให้แก่ท่านมหามากขึ้นอีก เพราะได้ทราบจากโยมพ่อว่า ตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ อาตมาก็สวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนานและทำสมาธิแล้ว เลยเป็นที่เลื่องลือกันไปทั้งวัด

นับจากนั้น ท่านมหาบอกว่า "เณรไม่ต้องเรียนแล้ว ถึงเวลาสอบก็ไปสอบกับเขา" จนกระทั่งสอบได้นักธรรมเอก

เป็นสามเณรอยู่หลายปี จนสอบได้นักธรรมเอก ก็ไม่คิดจะเรียนต่อสนใจแต่ในทางปฏิบัติกรรมฐาน ตั้งแต่วันบวชก็ปฏิบัติมาเรื่อย ไม่เคยเว้นเลย การเรียนก็ไม่ต้องไปเรียน ถึงกำหนดสอบก็ไปสอบ นับว่ามีเวลาในการปฏิบัติมาก ท่านอาจารย์อุปัชฌาย์และท่านมหา เมตตาอาตมามาก เพราะเห็นว่ามีความประพฤติตัวดี ไม่ชอบเล่นหัวเหมือนเณรรูปอื่นๆ บางทีท่านมหาต้องไปกิจนิมนต์ภายนอกวัด ก็มาขอให้ไปสอนพระเณรแทน

เมื่อจบนักธรรมเอกแล้ว ก็เลยต้องเป็นครูสอนนักธรรมตรี ซึ่งพอปลีกเวลาไปสอนให้ได้ งานอื่นในการดำเนินกิจการของสงฆ์ ท่านอาจารย์อุปัชฌาย์ท่านก็ไม่รบกวน เพราะเห็นฝักใฝ่อยู่ในทางปฏิบัติกรรมฐาน

อันที่จริง ท่านอาจารย์อุปัชฌาย์ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของอาตมานั้น ท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ถือธุดงควัตรเคร่งครัด เช่น ฉันหนเดียว ทำให้ต่อมาอาตมาก็ฉันหนเดียว ฉันในบาตรตามท่าน ตั้งแต่เป็นเณรสอบนักธรรมเอกใหม่ๆ

วันหนึ่ง ท่านมหามาชวนไปเป็นเพื่อน ที่วัดเดิมของท่าน เพื่อนมัสการอาจารย์อุปัชฌาย์ของท่าน ที่มรณภาพไปนานแล้ว พอไปถึง ท่านก็พาขึ้นไปบนศาลา พร้อมกับบอกว่า อาจารย์อุปัชฌาย์มรณภาพมาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว แต่ไม่เน่าเปื่อย นั่งขัดสมาธิขณะมรณภาพ ตอนนี้เขาใส่ตู้กระจกไว้บนศาลา มีคนมากราบไหว้บูชาขอโชคขอลาภเสมอ

พอไปถึงตู้กระจกที่ใส่ศพ มองเข้าไป อาตมาก็ตกตะลึงจังงังเพราะจำได้ว่าเป็นร่างของตัวเอง นี่มันอะไรกัน รู้สึกตัวชาไปหมดเมื่อจุดธูปเทียนบูชาแล้ว อาตมายังตื่นเต้นจนพูดไม่ออก แต่ถึงจะพูดก็คงไม่กล้าพูดออกไป มันเป็นความรู้เฉพาะตัว ยิ่งกับท่านมหาด้วยแล้ว ขืนพูดคงไม่ดีแน่…

ครั้นกลับวัดแล้ว ก็ได้ความรู้จากท่านมหาว่า อาจารย์อุปัชฌาย์ของท่าน ทรงแตกฉานในทางปริยัติมาก และเก่งในทางปฏิบัติด้วยทางไสยเวทวิทยาคม ก็ไม่น้อยหน้าใคร มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง แต่อาตมาไม่รู้จะถามใครว่า ทำไมอาตมาจึงจำได้ว่าอาจารย์อุปัชฌาย์ของท่านมหาเป็นตัวของอาตมาเอง และท่านมาเกิดเป็นอาตมาจริงหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าถามใคร
๔. มีฌาณหยั่งรู้ได้อย่างอัศจรรย์

 
การที่เป็นนักปฏิบัติ ทำให้อาจารย์อุปัชฌาย์กับอาตมารู้สึกมีความสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ เวลาเข้าไปปฏิบัติรับใช้ ต้มน้ำชงชาให้ท่าน บางทีก็นวดให้ท่าน ซึ่งเป็นประเพณีนิยมกันมา ท่านก็มักถามว่า การปฏิบัติของอาตมาเป็นอย่างไร ใครแนะนำมาก่อนหรือ ก็ได้เรียนความจริงให้ท่านทราบว่า ยังไม่มีใครแนะนำ มันรู้เองเป็นเอง อยากปฏิบัติมาตั้งแต่ ๓ ขวบ และก็ได้ปฏิบัติเรื่อยมา

ท่านก็บอกว่า "เป็นบุญวาสนาของเณร ติดต่อสืบเนื่องมาแต่อดีต ชาติก่อนคงปฏิบัติค้างอยู่ ชาตินี้จึงมาเกิดปฏิบัติต่อ ขอให้พากเพียรพยายามให้มาก จะได้พ้นทุกข์ในชาตินี้ เณรจะมีประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามาก"

ตอนหนึ่งท่านถามว่า "เห็นโยมผู้ชายของเณรเล่าให้ฟังว่า เณรรู้เห็นอะไรมาตั้งแต่เด็กๆ เดี๋ยวนี้ยังรู้เห็นอยู่หรือไม่"

"ยังรู้เห็นอยู่ขอรับ ตอนยังไม่ได้บวชเณร มีคนมาให้ช่วยอยู่เสมอ บางครั้งก็รำคาญ พอบวชเณรแล้ว กระผมจึงไม่ต้องการให้ใครรู้ บางครั้งเห็นเหตุการณ์จะเกิดขึ้น ก็ไม่กล้าบอก เพราะรู้แล้วไม่มีเวลาปฏิบัติ กระผมเห็นว่า การรู้เห็นนั้น ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์"

"ถูกต้องแล้วเณร การปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้น ต้องตัดช่องน้อย เอาตัวให้รอดเสียก่อน ดูพระบรมศาสดาเป็นตัวอย่าง พระองค์ตรัสรู้แล้ว จึงสอนคนอื่น เณรมาได้ไกลแล้วนะ พยายามให้มากเข้าเออ…เรามาทดสอบกันดูซิ…ตอนนี้ท่านมหาจำเริญกำลังทำอะไรอยู่"

อาตมายกมือพนมขึ้น เรียนท่านไปว่า "ท่านมหาจำเริญ กำลังไม่สบายใจมาก"

"ไม่สบายใจเพราะอะไร"

"เพราะโยมพ่อมาบอกว่า น้องสาวคนเล็กถูกคนฉุดเอาไป ยังตามไม่พบ ตอนนี้พอสรงน้ำเสร็จ จะมาปรึกษาหลวงพ่อว่าควรทำอย่างไร"

"เออ!…เก่งจริง แล้วน้องสาวคนเล็กจะเป็นอะไรไหม"

"ปลอดภัยแล้วขอรับ ตอนนี้กำลังอยู่บนโรงพัก เจ้าคนฉุดสองคนก็ถูกจับได้"

"ทำไมจึงถูกจับ"

"ไปเจอตำรวจสายตรวจกลางทาง น้องสาวท่านมหาร้องให้ช่วย"

พูดเพิ่งจะจบ ก็เห็นท่านมหาจำเริญ เดินขึ้นมาบนกุฏิ เข้ามานั่งกราบท่านอาจารย์อุปัชฌาย์ แต่ยังไม่ทันจะพูด ท่านก็ยิ้มละมัย บอกว่า

"ท่านมหาไม่ต้องวิตก สั่งให้ใครไปบอกโยมที่บ้าน ให้ไปรับน้องสาวที่สถานีตำรวจเร็วเข้า"

"เอ๊ะ ท่านอาจารย์รู้ได้อย่างไร"

"อย่าเพิ่มถามตอนนี้ รีบๆไปเดี๋ยวจะดึกดื่น"

ท่านมหาลุกขึ้นกราบ แล้วลงกุฏิไป แต่ท่านไม่ได้ให้ใครไปบอกท่านไปด้วยตนเอง สั่งโยมพ่อให้ชวนพรรคพวกไปสถานีตำรวจ ที่อำเภอ แล้วก็นั่งรออยู่ จนกระทั่งโยมพ่อพาน้องสาวกลับมาถึงบ้านเอาใกล้สว่าง

กลับมาถึง ท่านมหาก็ตรงมาที่กุฏิท่านอาจารย์อุปัชฌาย์ กราบท่านแล้วกล่าวว่า

"หลวงพ่ออาจารย์รู้เรื่องน้องสาวผมไปอยู่ที่โรงพักได้อย่างไร?"

ตอนนั้น อาตมาก็อยู่ในที่นั้นด้วย เพราะไปเตรียมบาตรสำหรับท่านอุปัชฌาย์ออกบิณฑบาตตามกิจวัตร ที่ท่านไม่เคยขาดเลย นับเป็นธุดงค์ข้อหนึ่ง ท่านชายตายิ้มๆมาที่อาตมา แล้วพูดขึ้นว่า

"ท่านมหาเอาแต่ทางปริยัติ ไม่เอาทางปฏิบัติด้วย เห็นจะเอาตัวไม่รอด อย่ามาสนใจว่า รู้ได้อย่างไร จงไปคิดดูว่า ทำอย่างไรถึงจะรู้ได้ดีกว่า บวชเข้ามาสู่เพศสมณะแล้ว ต้องพยายามให้ครบศีลสมาธิ ปัญญา จึงจะยั่งยืนในพระศาสนานี้"

พูดจบท่านก็ลุกขึ้น เตรียมครองจีวรเพื่อไปบิณฑบาต ตอนนั้นท่านมหาก็หน้าสลดลง ลุกขึ้นกราบแล้วลงจากกุฏิไป
มีต่อ...

136
บทความ บทกวี / เสือกระโดดกินหมู...
« เมื่อ: 25 พ.ย. 2552, 12:05:46 »
 


วันนี้กระผมขอนำเรื่องเกี่ยวกับ พระผู้ทรงอภิญญา(จากเค้าโครงเรื่องของนักเขียนหลายท่าน เช่นคุณสุรสีห์ ภูไท ฯลฯ) และเรื่องจากประสบการณ์จริงของนายตำรวจมือปราบผู้หนึ่ง คือท่าน พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา (ยศเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๕) มาเรียนเสนอ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง คือเรื่องต่างๆ ก็มักจะมีธรรมะแทรกอยู่ เพราะตัวละครแต่ละท่านนั้น ก็ย่อมมีการทำความดี และความชั่ว ก็ขอให้ท่านพิจารณาตามไปด้วยว่า ท่านนั้นๆ ทำความดีด้วยคุณธรรมอะไร หรือทำความชั่วด้วยกิเลสข้อใดบ้าง และเหตุการณ์ต่างๆ นั้นมีความเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างไรบ้าง เรียนเชิญติดตามได้แล้วครับ ...
เมืองสมุทรปราการ เป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์เมืองหนึ่ง มีวัดพุทธศาสนาอยู่ ๑๐๐ กว่าวัด มีพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่หลายสำนัก เท่าที่ผ่านมา พระอาจารย์ผู้เรืองวิทยาคม แก่กล้าด้วยพระเวทย์ ในย่านบางบ่อเห็นจะไม่มีใครเกิน หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยไปได้ (ความจริง ”เหี้ย” นี่เป็นชื่อของสัตว์เลื้อยคลานพันธุ์หนึ่ง แต่คนนำมาใช้ด่าว่ากัน จึงกลายเป็นคำไม่สุภาพไป) เนื่องจากท่าน ได้ล่วงลับมาเป็นเวลานาน และท่านไม่ได้เล่าถึงชีวิตในอดีตของท่านให้ลูกศิษย์ทราบ ข้อมูลชีวประวัติของท่านจึงมีน้อย ทราบเพียงว่า
ท่านเกิดปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ที่ตำบลคลองด่าน ตาเป็นคนจีนชื่อ เขียว ยายเป็นคนไทยชื่อปิ่น โยมพ่อไม่ทราบชื่อ แต่โยมแม่ชื่อตาล เป็นลูกสาวคนโตของยายปิ่น ในตอนเยาว์วัย ท่านได้บรรพชา เป็นสามเณรที่วัดแจ้ง หรือวัดอรุณฯ กรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือ ไทย หนังสือขอม มูลกัจจายน์ และหนังสือใหญ่ ต่อมาท่านได้สึกจากเณร มาช่วยพ่อแม่ ประกอบอาชีพ ทำจาก และตัดฟืนไปขายเป็นอาชีพประจำ ท่านเป็นผู้มีนิสัยอดทนหนักเอาเบาสู้ ทำให้พ่อแม่เบาใจมาก
ต่อมาเมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็ได้บรรพชาอุปสมบทที่วัดอรุณฯ โดยมีพระศรีศากยมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วก็ได้อยู่ศึกษากับพระอุปัชฌาย์หลายปี ท่านมีความสนใจในทางกรรมฐานเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นท่านได้กราบลามาอยู่ วัดบางเหี้ย ตำบลบางเหี้ย อำเภอบางบ่อ ท่านประพฤติปฏิบัติ เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย เจ้าอาวาสขณะนั้น ได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ปกครองดูแลพระเณร ออกพรรษาแล้วท่านก็ออกรุกขมูล บุกดงพงป่าเพื่ออบรมสมาธิฝึกกรรมฐาน แสวงหาความรู้วิทยาคมจากสำนักอาจารย์ที่มีชื่อเสียง รู้ว่าอาจารย์ที่ไหนดี ท่านก็บุกไปจนถึงเพื่อขอศึกษาอาคมกับอาจารย์นั้น ท่านสนใจในวิชาไสยศาสตร์ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่มีความยากสำหรับท่าน เมื่อมีความชำนาญแคล่วคล่องในเวทย์มนต์ ก็ทำให้เกิดความขลัง ความรู้ความสามารถก็ทวีเป็นเงาตามตัว ต่อมาท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ปกครองสงฆ์ดูแลวัด
หลวงพ่อปานฯ กับหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง จังหวัดระยอง (ซึ่งได้พบกันในระหว่างธุดงค์) ได้ชวนกันไปเรียนวิทยาคมการปลุกเสกเสือ จากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งพร้อมกัน (ไม่ทราบชื่อ และสำนักของอาจารย์ท่านนั้น) ขณะที่เรียนอยู่นั้น เมื่อเรียนถึงขั้นทดลองพิสูจน์ดู โดยเอาเสือใส่บาตร หรือในโหลให้เอาไม้พาดไว้ ปลุกเสกจนเสือออกมาจากบาตร หรือจากโหลหายเข้าป่าไป ถ้าใครภาวนาเรียกเสือกลับมาได้ก็จะให้เรียนต่อไป ถ้าเรียกกลับมาไม่ได้ ก็ไม่ให้เรียน
หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ย ปลุกเสกเสือออกจากบาตรเข้าป่าไปได้ และเรียกกลับมาได้ ส่วนหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง ปลุกเสกเสือออกมาได้เข้าป่าไปเช่นกัน แต่เรียกเท่าไรๆ ก็ไม่กลับ ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อปานเรียนต่อจนสำเร็จองค์เดียว หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้งก็ต้องพักจากการเรียนเสือ ก็หันมาเรียน สร้าง และปลุกเสกแพะ จนสำเร็จ เมื่อได้วิทยาคมนี้ต่อมาก็มาเป็นอาจารย์ของหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก จังหวัดระยอง หลวงพ่ออ่ำนี่มีชื่อเสียงมากในการสร้างแพะ จนได้สมญาว่า “หลวงพ่ออ่ำแพะดัง” และหลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้งนี้ ก็เป็นอาจารย์ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จังหวัดระยอง ผู้โด่งดังมากในปัจจุบันนี้
นอกจากนี้หลวงพ่อปานฯยังเป็นหัวหน้าสายรุกขมูล และสอนกรรมฐานอันลือชื่อ การออกธุดงควัตร ท่านจะเป็นอาจารย์ควบคุมพระเณร เช่นเดียวกับหลวงพ่อนก วัดสังกะสีซึ่งเป็นคณะธุดงค์อีกสายหนึ่ง ทั้งสองสายมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น หลวงพ่อปานนำพระเป็นร้อยรูป บางปีก็ถึงห้าร้อย พระกรรมฐานสองสายนี้ มีชื่อเสียงมาก่อนกรรมฐานสายอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น
เนื่องจากหลวงพ่อปานมีอาคมขลัง มีสมาธิจิตเข้มแข็ง เวลาออกรุกขมูลพักปักกลดอยู่ในป่า ตอนกลางคืนเดือนหงายๆ ท่านมักจะลองใจศิษย์ เนรมิตกายให้เป็นงูใหญ่ เลื้อยผ่านหมู่ศิษย์ไปบ้าง ทำเป็นเสือโคร่งเดินผ่านกลดศิษย์ไปบ้าง เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
เนื่องจากหลวงพ่อปานได้ศึกษาวิทยาคม ในการสร้างเสือมาโดยสมบูรณ์แบบ ท่านก็เริ่มสร้างแจกจ่ายให้กับประชาชนแถวย่านบางเหี้ยก่อน ที่วัดจึงต้องต้อนรับประชาชน ที่พากันหลั่งไหลเข้าสู่วัดบางเหี้ยเพื่อรับแจกเสือ ตอนแรกคนแกะเสือก็มีเพียงคนเดียว ต่อมาต้องเพิ่มคนแกะเรื่อยๆ จนถึง ๔ คน และมากกว่านั้น แต่ที่มีฝีมือนั้นมีอยู่ ๔ คน ใครต่อใครก็พากันกล่าวขวัญว่า “เสือหลวงพ่อปาน” แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ยังรู้จัก และในสมัยนั้นไม่มีใครทำเลียนแบบ สำหรับหลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยนั้น ท่านแก่กว่าหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ๔๐ ปี และในจังหวัดสมุทรปราการ มีหลวงพ่อปาน วัดบางกระสอบ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ดังมากอีกองค์หนึ่ง หลวงพ่อปานเมื่อออกรุกขมูล พระเณรก็จะนำเอาเสือที่ปลุกเสกแล้วติดไปแจกประชาชนด้วย
ปรากฏว่าเสือของท่านมีประสบการณ์ในทางอำนาจ และคงกระพันยอดเยี่ยม หรือจะใช้ในทางเมตตามหานิยม ค้าขายของก็ได้ผล พ่อค้าแม่ค้ามักจะไปขอเสือหลวงพ่อกันวันละมากๆ ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านจึงแพร่หลายโดยรวดเร็ว ยิ่งมีผู้รู้เห็นพิธีปลุกเสก เสือวิ่งในบาตรเสียงดังกราวๆ ก็ยิ่งทำให้ประชาชนแห่แหนมารับแจกเสือกันไม่ขาดระยะ นอกจากนี้ จีนเฉย (อาแป๊ะเฉย) ซึ่งมีความคุ้นเคยกับหลวงพ่อปาน ถึงกับไปค้างที่วัดเป็นประจำ วันหนึ่งแกก็ไปที่วัดเช่นเคย แต่เอาหมูดิบๆ ไปด้วย เวลาดึกสงัดหลวงพ่อปลุกเสือแกก็เอาหมูแหย่ลงไปในบาตร ปรากฏว่าเสือติดหมูขึ้นมาเป็นระนาว แกยังสงสัยว่าแกจิ้มแรงจนเสือติดหมูออกมา ตอนหลังพอหลวงพ่อปลุกเสกจนเสือวิ่งในบาตร แกก็เอาหมูผูกกับไม้ แล้วชูหมูไว้เหนือบาตร ปรากฏว่าเสือที่อยู่ในบาตรกระโดดกัดหมู เหนือขอบปากบาตร จีนเฉยซึ่งเห็นกับตาตนเองก็นำไปเล่า จนข่าวเสือกระโดดกัดหมู เสือวิ่งในบาตร เสือกระโดดได้ แพร่สะพัดไปราวกับลมพัด ประชาชนต่างก็เห็นเป็นอัศจรรย์


หลวงพ่อกับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมัยก่อนมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ซึ่งไหลผ่านป่าดงพงพีมีต้นน้ำอยู่แปดริ้ว มาลงทะเลที่สมุทรปราการ ทุกครั้งที่น้ำทะเลหนุน น้ำเค็มจะทะลักเข้าไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ ทำให้ชาวบ้านในย่านนั้นได้รับความลำบาก สิ่งที่ไหลขึ้นมาตามน้ำคือตัวเหี้ย ตะกวด และจระเข้ จนต้องมีการทำประตูกั้นน้ำไว้เพื่อมิให้น้ำเค็มจากทะเลไหลขึ้นไปปนกับน้ำจืด และเพื่อป้องกันสัตว์เลื้อยคลานที่มีอยู่ชุกชุม มิให้แพร่หลายไปตามคลองต่างๆ ด้วยเหตุที่มีสัตว์พวกนี้ชุกชุม ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านบางเหี้ย” และคลองบางเหี้ย วัดก็ตั้งชื่อว่า วัดบางเหี้ย มี ๒ วัดคือวัดบางเหี้ยนอก กับวัดบางเหี้ยใน ประตูที่กั้นคลองนั้น มีชื่อเรียกกันปัจจุบันว่า “ประตูน้ำชลหารวิจิตร”
ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ประตูน้ำเกิดชำรุด ต้องทำการซ่อมแซมหลายครั้ง เมื่อแล้วเสร็จได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จไปที่ตำบลบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อที่จะทำพิธีเปิดประตูน้ำใหญ่ที่ตั้งอยู่ในคลองบางเหี้ย ปรากฏว่าทรงประทับอยู่ที่คลองด่านถึง ๓ วัน (ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดฯให้เปลี่ยนชื่อ ตำบลบางเหี้ย เป็น ตำบลคลองด่าน คลองบางเหี้ย เป็นคลองด่าน และอำเภอบางเหี้ย เป็นอำเภอคลองด่าน ) ...
บรรดาชาวบ้านที่อยู่ในแถบถิ่น บางบ่อ บางพลี บางเหี้ย และบริเวณใกล้เคียง เมื่อรู้ข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวฯจะเสด็จมาเปิดประตูน้ำ ต่างก็พากันเตรียมของที่จะถวาย หลวงพ่อปานได้นำเขี้ยวเสือ ที่แกะอย่างสวยงามใส่พาน แล้วให้เด็กป๊อดซึ่งเพิ่งจะมีอายุ ๗-๘ ขวบหน้าตาดี เดินถือพานที่ใส่เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ ตามหลังท่านไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ริมคลองด่าน
เมื่อไปถึงที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ หลวงพ่อได้เรียกเอาพานใส่เขี้ยวเสือจากเด็กผู้ติดตาม แต่เด็กคนนั้นบอกกับท่านว่า
“เสือไม่มีแล้ว เพราะมันกระกระโดดน้ำไปในระหว่างทางจนหมดแล้ว”
หลวงพ่อปานจึงได้เอาชิ้นหมูที่ทำขึ้นจากดินเหนียว แล้วเสียบกับไม้ แกว่งล่อเอาเสือขึ้นมาจากน้ำต่อหน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงตรัสว่า
“พอแล้วหลวงตา”
หลังจากนั้นหลวงพ่อได้ถวายเขี้ยวเสือแกะนั้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงพิจารณาชั่วครู่ จึงตรัสถามชื่อพระเถระรูปร่างสูงใหญ่ผู้ปลุกเสกเขี้ยวเสือ หลวงพ่อปาน ทูลว่าท่านชื่อปาน (ติสโร) เป็นเจ้าอาวาสวัดบางเหี้ย
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มีรับสั่งกับพระปานว่า
“ได้ยินชื่อเสียง และกิตติคุณมานาน เพิ่งเห็นตัววันนี้”
แล้วรับสั่งถามว่า
“ที่แจกเครื่องรางเป็นรูปเสือมีความหมายอย่างไร ?”
หลวงพ่อปานทูลตอบว่า
“ได้ไปรุกขมูลธุดงค์ในป่า พบเสือใหญ่หลายครั้ง ได้สังเกตดูเห็นว่า “เสือ” เป็นสัตว์ปราดเปรียว ฉลาด ว่องไว เฉียบขาด มีตบะ และอำนาจ สามารถที่จะใช้ตาสะกดสัตว์อื่นให้อยู่ในอำนาจได้ คนทั่วไปเรียกผู้ร้ายใจฉกรรจ์ว่า “ไอ้เสือ” ก็คือเอาความเก่งกาจของเสือมานั่นเอง การที่ทำเครื่องรางรูปเสือ มิใช่จะสนับสนุนให้คนกลายเป็น”อ้ายเสือ” เพียงแต่ต้องการเอาลักษณะของเสือจริงในป่า ที่ปราดเปรียว ว่องไว เฉลียวฉลาด เฉียบขาดมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯทรงพอพระทัยในคำตอบของพระปานยิ่งนัก (ด้วยท่านมิได้ โอ้อวดว่า เครื่องรางของท่านดีเด่น แต่ประการใด) ทรงพระราชทานผ้าไตร และผ้ากราบ (ต่อมาได้พระราชทานสมณศักดิ์ เป็น “พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ”)
พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง”เสด็จประพาส มณฑลปราจิณ” ได้เล่าถึงพระปานไว้ว่า
“พระครูปานมาหาด้วย พระครูปานรูปนี้นิยมกันในทางวิปัสสนา และธุดงควัตร มีพระสงฆ์วัดต่างๆ ไปธุดงค์ด้วยสองร้อยสามร้อย แรกลงไปประชุมที่วัดบางเหี้ย มีสัปบุรุษที่ศรัทธาเลื่อมใสช่วยกันเลี้ยง กินน้ำจืดที่มีไว้เกือบจะหมดแล้วก็ออกเดิน ทางที่เดินนั้น ลงไปบางปลาสร้อย แล้วจึงเวียนกลับขึ้นไปปราจิณ นครนายก ไปพระบาท แล้วเดินลงมาทางสระบุรี ถ้ามาตามทางรถไฟ แต่ไม่ขึ้นรถไฟ เว้นแต่พระที่เมื่อยล้าเจ็บไข้ ผ่านกรุงเทพฯกลับลงไปบางเหี้ย ออกเดินทางอยู่ในแรมเดือนยี่ กลับไปวัดอยู่ในราวเดือนห้าเดือนหก ประพฤติเป็นอาจิณวัตรเช่นนี้มา ๔๐ ปีแล้ว
คุณวิเศษที่คนเลื่อมใสคือ ให้ลงตะกรุด ด้ายผูกข้อมือ รดน้ำมนต์ ที่นิยมกันมากคือ เขี้ยวเสือแกะเป็นรูปเสือ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ฝีมือหยาบๆ ข่าวที่ร่ำลือกันว่า เสือนั้นเวลาจะปลุกเสก ต้องใช้หมู ปลุกเสกเป่าไปข้อไร เสือนั้นกระโดดลงไปในเนื้อหมูได้ (น่าจะหมายความว่า พอปลุกเสกได้ที่เสือจะกระโดดกัดเนื้อหมู เป็นอันใช้ได้น่ะครับ) ตัวพระครูเองเห็นจะได้ความลำบาก เหน็ดเหนื่อยในการที่ใครๆ กวนให้ลงโน่นลงนี่ เขาว่าบางทีก็หนีไปอยู่ในป่าช้า ที่พระบาทฯ (สระบุรี) ก็หนีไปอยู่บนเขาโพธิ์ลังกา คนก็ยังตามไปกวนไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่บริวารเห็นจะได้ผลประโยชน์ ในการทำอะไรๆ ขาย เวลาแย่งชิงก็ขึ้นไปถึง ๓ บาท ว่า ๖ บาทก็มี ได้รูปเสือนั้นแล้วจึงไปให้พระครูปลุกเสก สังเกตดูอัธยาศัยเป็นคนแก่ใจดีมีกิริยาเรียบร้อย อายุ ๗๐ แล้วยังไม่แก่มาก รูปร่างล่ำสันใหญ่โต เป็นคนพูดน้อย มีคนมาช่วยพูด"
จะเห็นว่า ในพระราชนิพนธ์ “เสด็จประพาสเมืองปราจิณ” ได้เล่าถึง “พระปาน” อย่างละเอียด สิ่งสำคัญยิ่งก็คือ เครื่องรางเขี้ยวเสือที่ทำเป็นรูปเสือ ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ ราคาเช่าซื้อตัวละ ๑ บาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ๖ บาทบ้าง ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก (ในสมัยนั้น กาแฟถ้วยละ ๑ สตางค์ ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓ สตางค์ ข้าวผัดจานละ ๕ สตางค์) หลังจากเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจ ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับเมืองหลวง พระองค์มีรับสั่งกับหลวงพ่อปานว่า
“ฟ้าไปก่อน แล้วให้พระท่านไปทีหลัง”
พระราชดำรัสนี้ทำให้ทุกคนพิศวง เพราะไม่เข้าใจความหมาย (ยกเว้นหลวงพ่อฯ) แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี พระองค์ท่านก็เสด็จสวรรคต และต่อจากนั้นไม่ถึงปี หลวงพ่อปานก็มรณภาพลงเช่นกัน จึงสันนิษฐานว่าพระองค์อาจจะรู้ด้วยญาณ ว่าท่านและหลวงพ่อปานคงถึงเวลาที่จะละสังขารแล้ว


บุญญาภินิหารของหลวงพ่อ
หลวงพ่อปานท่านเป็นผู้มีความเมตตา ปรานี และมีวาจาสิทธิ์ จนเป็นที่ยำเกรงแก่ประชาชนทั่วไป บรรดาลูกศิษย์ของท่านจะพยายามปฏิบัติตนอยู่ในคุณงามความดี เพราะกลัวหลวงพ่อว่าตนไม่ดี แล้วจะไม่ดีตามวาจาสิทธิ์ของท่าน กอปรกับท่านมีเจโตปริยญาณ และอนาคตังสญาณ
อาทิเช่นครั้งหนึ่งท่านเตรียมจะออกเดินธุดงค์ พร้อมกับพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจากวัดต่างๆ พระทั้งหลายจะต้องเข้ามาหาหลวงพ่อ เพื่อรายงานตัวก่อน ถ้าท่านไม่ให้ไปก็ไปไม่ได้ ในครั้งนั้นมีพระอยู่องค์หนึ่ง ชื่อพระผิว หลวงพ่อได้เรียกเข้ามาหา และบอกว่า
“คุณเก็บบาตร เก็บกลด กลับวัดไปเถอะ”
พระผิวเสียใจเป็นอย่างยิ่งถึงกับร้องไห้ หลวงพ่อปานจึงกล่าวกับพระผิวว่า
“อย่าเสียใจไปเลยคุณ กลับไปวัดเถอะ เดินทางไปกับหลวงพ่อมันลำบากมาก องค์อื่นท่านแข็งแรง หลวงพ่อกลัวคุณจะลำบากจึงให้กลับไปก่อน”
พระผิวจึงจำใจกลับ หลังจากพระผิวกลับมาถึงวัดได้ ๒ วันเท่านั้นท่านก็เป็นไข้ทรพิษ และมรณภาพลงในที่สุด การเดินธุดงค์นั้น ท่านมักจะให้ศิษย์ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนทุกคราว แต่พอถึงจุดนัดหมาย หลวงพ่อจะไปคอยอยู่ข้างหน้าก่อนเสมอ
หลวงพ่อปานท่านเป็นพระที่เคร่งครัดเอาจริงเอาจัง มีจิตใจกล้าหาญ ผิดว่าผิด ถูกว่าถูก ไม่มีการเอนเอียงไปทางใดเลย การทำกรรมฐาน ท่านให้นั่งพิจารณาธาตุ เพ่งสิ่งต่างๆ เช่น ไฟเทียน น้ำในบาตร ปฐวีธาตุ จนพลังใจแก่กล้ามั่นคง และฝึกสติโดยการให้เดินจงกรม เมื่อฝึกจิตจนได้ที่แล้วท่านจึงจะสอนวิชาเคล็ดลับต่างๆ ให้ มีทั้งอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม และวิชาไสยศาสตร์ต่างๆ ที่เรียนนี้ก็เพื่อรู้ เรียนไว้เพื่อแก้ และเพื่อป้องกันตัว (เวลาออกธุดงค์) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในสมัยนั้น ในการไปเดินธุดงค์คราวหนึ่ง ท่านไปได้หินเขียววิเศษ เป็นวัตถุสีเขียว แวววาวมาก โตขนาดเมล็ดถั่วดำ และข้างๆ หินนี้ มีเต่าหินที่สลักด้วยหินทรายสีออกน้ำตาลแดงเล็กน้อย หลวงพ่อปานท่านนิมิตเห็นสิ่งนี้ก่อนท่านจะออกธุดงค์
ของวิเศษนั้น หลวงพ่อปานไม่เคยเปิดเผยกับใคร ท่านนำไปไว้ยังศาลที่ปลูกไว้ภายในบริเวณวัด ที่ศาลนี้มีพระพุทธรูปศิลาศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย ใครไปมาผ่านศาลก็จะกราบไหว้พระพุทธรูป และจะเห็นเต่าศิลาตัวนั้น แต่บางคราวเต่านั้นก็หายไป และก็น่าแปลกที่หลวงพ่อปานก็จะไม่อยู่ด้วยทุกครั้ง ทุกคนเข้าใจว่าท่านไปธุดงค์ในป่า แต่ทำไมจะต้องนำเต่าหินนั้นไปด้วยเพราะทั้งหนัก และต้องลำบากดูแลรักษา
เรื่องนี้ใครๆ ไม่สนใจ แต่สามเณรน้อยองค์หนึ่งสนใจ และคอยแอบดูอยู่ ว่าเต่าหายไปไหนใครพามันไป ทั้งๆ ที่หนักมาก สามเณรน้อยนี้มีความพยายามมาก ท่านคอยซ่อนตัวแอบดูเต่าหินนั้น ซึ่งบัดนี้มีดวงตาเป็นหินสีเขียว โดยหลวงพ่อปานท่านลองใส่เข้าไปตรงดวงตาเต่าก็เข้ากันได้พอดี อย่างไรก็ตามความพยายามของสามเณร หลวงพ่อท่านก็ทราบโดยตลอด
ต่อมาเป็นวันข้างแรมเดือนดับ สามเณรก็ยังมาคอยดูอยู่เช่นเคย ทันใดนั้น! เณรน้อยก็ตกตะลึงตัวชาอยู่กับที่ เพราะเต่าหินกำลังเคลื่อนไหวคลานออกจากศาล และลอยไปในอากาศ เรียกว่าเต่าหินเหาะก็ไม่ผิด สามเณรพยายามข่มตาไม่ยอมหลับนอน ทนไว้เพื่อจะได้ดู ตอนเต่าหินกลับมา เวลาล่วงเลยไปจนถึงประมาณตี ๔ เณรน้อยก็ต้องอัศจรรย์ใจอีกครั้ง เพราะเต่าหินนั้นได้เหาะกลับมา และคลานกลับไปอยู่ที่เดิม สามเณรนั้นเดินไปสำรวจเต่าหินดู ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เป็นหินที่เขาสลักมาจากหินทราย ถ้าไม่ใช่ของกายสิทธิ์จะคลานแล้วลอยไปในอากาศได้อย่างไร หลวงพ่อปานท่านคอยดูความมานะ อดทนตลอดจนปัญญาไหวพริบของสามเณรน้อยลูกศิษย์ท่านอยู่เงียบๆ จากการสังเกตเฝ้าดู เณรน้อยพบว่าเต่าหินนี้จะเหาะไป และกลับตอนตี ๔ ทุกๆ วันแรม ๑๕ ค่ำ
ในที่สุดเณรน้อยก็ตัดสินใจ ท่านครองผ้าอย่างทะมัดทะแมง เตรียมตัวจะไปผจญภัยกับเต่าหิน เมื่อถึงเวลา เต่าหินก็ค่อยๆ คลานลงมาจากศาล สามเณรก็ปราดออกจากที่ซ่อน กระโดดเกาะเต่าหินนั้นไว้ เมื่อเต่าหินค่อยๆ ลอยขึ้นสามเณรก็กอดไว้แน่นด้วยใจระทึกเพราะเกรงจะตกลงไป ในที่สุดก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แห่งใด มองไปรอบๆ ตัวพบกับแสงสว่างเย็นตาน่ารื่นรมย์ เต่าหินค่อยๆ ลอยต่ำลง เมื่อถึงพื้นดินก็ตรงไปยังป่าไผ่ กินหน่อไผ่อย่างไม่รู้จักอิ่ม สามเณรก็ไม่กล้าลงจากหลังเต่า เพราะเกรงถูกทิ้งไว้ ได้แต่รั้งหักหน่อไม้มาได้หน่อหนึ่ง เพื่อเป็นสักขีพยานว่า ไม่ได้ฝันไป ได้มาอยู่บนเกาะนี้จริงๆ
เต่าหินนั้นกินอยู่พักหนึ่ง ก็เหาะกลับแต่ขณะที่เดินทางนั้น สามเณรไม่สามารถกำหนดจดจำทิศทางได้เลย เมื่อกลับมาที่วัด เต่าหินก็กลับไปประจำที่ ส่วนเณรน้อยก็ถือหน่อไม้เข้ากุฏิไป หลวงพ่อปานท่านพิจารณาแล้ว เห็นว่าเรื่องเต่าหินวิเศษนี้จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ท่านจึงได้นำดวงตาอันเป็นหินสีเขียวสดใสนั้นออกเสีย เพื่อเต่าศิลาจะได้ไม่สามารถเหาะไปเที่ยวได้อีก (ท่านคงพิจารณาแล้วว่า ถ้าเรื่องถูกแพร่งพรายออกไปคงจะเกิดความวุ่นวาย และสามเณรนั้นคงจะทดลองเกาะเต่าไปเที่ยวอีก และอาจเกิดอันตราย กระผมเข้าใจว่า หลวงพ่อท่านสามารถควบคุมเต่าได้ และสามารถเกาะหลังเต่าไปในที่ต่างๆ ได้ ตามที่ท่านปรารถนา) ปัจจุบันเต่าหินตัวนี้ ยังปรากฏอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดใกล้เคียง (เรื่องเต่าหินเหาะได้นี้ ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ศิษย์ของหลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอภิญญาเช่นเดียวกัน เป็นผู้เล่าให้ฟัง)
เนื่องจากหลวงพ่อปานฯ เป็นผู้ที่ชอบเรียนรู้อยู่เสมอ ท่านจึงชอบธุดงค์ไปในที่ต่างๆ บางครั้งท่านก็ไปองค์เดียว คราวหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปทางจังหวัดปราจีนบุรี ไปถึงวัดโพธิ์ศรี เมื่อไปถึงวัด ท่านเจ้าอาวาสกำลังขึงกลองเพลอยู่ ท่านเห็นดังนั้นก็ลงมือช่วยเหลือทันที พอเสร็จเรียบร้อย สมภารท่านก็นิมนต์หลวงพ่อปานขึ้นไปคุยกันบนกุฏิ ขณะที่คุยกันอยู่มือของท่านสมภารก็ปั้นลูกดินกลมๆ อยู่ในมือ สักครู่หนึ่งท่านสมภารก็โยนลูกดินนั้นขึ้นไปบนอากาศ กลายเป็นม้าตัวหนึ่ง กับตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งไล่จับเหยี่ยวอยู่บนท้องฟ้า
หลวงพ่อปานเห็นดังนั้นท่านก็หัวเราะชอบใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อท่านลงจากกุฏิของท่านสมภารแล้ว ท่านได้พูดกับพระในวัดนั้นว่า “โดนลองดีเข้าให้แล้ว” พอพูดจบท่านก็หยิบผ้าสังฆาฏิที่พาดบ่าท่านอยู่ นำมาม้วนแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ ปรากฏว่าผ้านั้นได้กลับกลายเป็นกระต่ายหลายตัว วิ่งอยู่ในลานวัด ใครจะจับก็จับไม่ได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น หลังจากนั้นหลวงพ่อปานท่านจะออกเดินธุดงค์ ท่านมักจะมุ่งหน้าไปทาง อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรีเสมอ เพราะในย่านนั้นเต็มไปด้วยพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม ท่านปรารถนาจะเรียนในสิ่งที่ท่านยังไม่รู้ให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น
ท่านพระครูโกศล ปาสาธิโก ท่านเล่าให้ฟังว่า “หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ท่านเก่งเรื่องจิต ท่านแสดงฤทธิ์ได้มากมาย ท่านได้เคยเล่าถึงสรรพคุณของเต่าวิเศษที่พาท่านไปในเมืองลับแล ซึ่งเป็นภพซ้อนภพกันอยู่นี่ ได้ไปพบกับสิ่งอัศจรรย์หลายอย่าง พอเป็นคติเตือนใจ ครั้นเมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวครั้งนั้น หลวงพ่อปานได้เคร่งครัดการปฏิบัติกรรมฐานของท่านอย่างหนัก โดยไม่ปล่อยกาลเวลาให้ผ่านพ้นไป ท่านตระหนักดีว่า ชีวิตของท่านนั้นสั้นนัก ควรจะเร่งรีบภาวนา ทำจิตให้มีกำลัง มีสมาธิ และมีปัญญาติดตัวไว้ อุบายธรรมของท่าน ก็คือการพิจารณา สภาวธรรมความจริงแห่งวัฏฏะ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความทุกข์ความวุ่นวาย เกิดเพราะจิตเข้าไปยึดมั่น จิตปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา การระงับดับเหตุทั้งปวง ย่อมต้องระงับดับที่ใจ เพราะใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ท่านมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติ เพื่อพระนิพพานเป็นที่หมาย เพื่อให้พ้นจากวัฏฏะอันหมุนวนไม่รู้จักจบ”
ก่อนที่หลวงพ่อปานจะมรณภาพนั้น ประชาชนที่มีความเคารพบูชาหลวงพ่อ ได้พร้อมใจกันหล่อรูปท่านขึ้นมาองค์หนึ่ง ขนาดเท่าองค์จริง เพื่อไว้เป็นที่เคารพบูชา เพราะหลวงพ่อไม่ค่อยได้อยู่วัด ท่านมักจะเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เป็นประจำ จะได้กราบรูปหล่อแทนตัวท่าน แต่เมื่อหล่อรูปแล้วท่านก็ไม่ค่อยจะเข้าวัด ท่านมักจะปลีกตัวไปจำวัดที่พระปฐมเป็นประจำ การที่ท่านไม่อยากเข้าวัดของท่านนั้น อาจเป็นเพราะท่านรู้ล่วงหน้าว่าถึงคราวจะหมดอายุขัยแล้ว ท่านจึงต้องการความสงบในการพิจารณาธรรม แต่ท่านก็ไม่กล้าพูดกับใครๆ เมื่อญาติโยมอ้อนวอนมากๆ เข้า ท่านก็บ่ายเบี่ยงไปว่า “เข้าไปไม่ได้ อ้ายดำมันอยู่ ขืนเข้าไปอ้ายดำมันจะเอาตาย” คำว่า “อ้ายดำ” หมายถึงรูปหล่อของท่านนั่นเอง ปัจจุบันนี้รูปหล่อของท่านก็ยังประดิษฐานอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส (วัดคลองด่าน หรือวัดบางเหี้ย) คืออยู่ที่กุฏิของหลวงพ่อซึ่งได้จัดสร้างขึ้นใหม่ และปรากฏความศักดิ์สิทธิ์มากมาย น้ำมนต์ที่หน้ารูปหล่อของท่านก็มีคนนำไปดื่ม และทองคำเปลวที่รูปหล่อก็มีคนนำไปปิดที่หน้าผาก เพื่อรักษาโรคได้ผลมาแล้วมากมาย...

137
คณะกรรมการของสมาคมพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง ได้ตรวจข้อเขียนของผู้ส่งคำอธิษฐานเข้าประกวดอย่างเคร่งเครียด และมีมติเป็นเอกฉันท์ตัดสินให้คำอธิษฐานของ คุณชีพ ปุญญานุภาพ ได้รับรางวัลที่ ๑ เนื่องจากเป็นคำอธิษฐานเพื่อคุณธรรม มากกว่าการขอโชคลาภทรัพย์สมบัติใดๆ และในตอนท้ายคำอธิษฐาน ได้กล่าวสรุปไว้เพื่อให้เห็นว่า ตัวผู้เขียนยังไม่ดีพอ จึงต้องมีหลักฐานไว้เตือนตัวเอง ข้อเขียนที่แสดงถึงความปรารถนาหรือคำอธิษฐาน ๑๐ ประการ มีดังนี้

๑. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนคิดจะได้ดีอะไรอย่างลอย ๆ นั่งนอนคอยแต่โชควาสนา โดยไม่ลงมือทำความดี หรือไม่เพียรพยายาม สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไร ก็ขอให้ได้เพราะได้ทำความดีอย่างสมเหตุผลเถิด
๒. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนลืมตนดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ซึ่งอาจด้อยกว่าในทางตำแหน่ง ฐานะการเงิน หรือในทางวิชาความรู้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติแก่เขาตามความเหมาะสมในการติดต่อเกี่ยวข้องกันเถิด อย่าแสดงอาการข่มขู่เยาะเย้ยใครๆ ด้วยประการใดๆเลย ก็ขอให้มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพเรียบร้อยเถิด
๓. ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการครองชีวิตหรือต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนเพราะเหตุใดๆก็ตาม ขออย่าให้ข้าพเจ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเหล่านั้น แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้
๔. ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเท่าเทียมหรือเกือบเท่าเทียมข้าพเจ้า ก็ดี มีความรู้ความสามารถหรือมีผลงานอันปรากฏดีเด่น สูงส่งอย่างน่านิยมยกย่องยิ่งกว่าข้าพเจ้า ขออย่าให้ข้าพเจ้ารู้สึกริษยาหรือกังวลใจในความเจริญของผู้นั้นเลยแม้แต่ น้อย ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้นด้วยใจจริง ช่วยส่งเสริมสนับสนุนและให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมีมุทิตาจิตในพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกันข้ามกับความริษยา ขออย่าให้เป็นอย่างบางคน ที่เกรงนักหนาว่าคนอื่นจะดีเท่าเทียมหรือดียิ่งกว่าตน คอยหาทางพูดจาติเตียน ใส่ไคล้ให้คนทั้งหลายเห็นว่าผู้นั้นยังบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีน้ำใจสะอาด พูดส่งเสริมยกย่องผู้อื่นที่ควรยกย่องเถิด
๕. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจเข็มแข็งอดทน อย่าเป็นคนขี้บ่น ในเมื่อมีความยากลำบากอะไรเกิดขึ้น ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้น ๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะไม่รู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเลย ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้อภิสิทธิ์ คือ สิทธิเหนือคนอื่น เช่น ไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อน ทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง ในการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีลัดหรือวิธีทุจริตใดๆ รวมทั้งขออย่าได้วิ่งเต้นเข้าหาคนนั้นคนนี้ เพื่อให้เขาช่วยให้ได้ผลดีกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ข้าพเจ้าอาจมีคะแนนสู้คนอื่นไม่ได้เถิด
๖. ข้าพเจ้าทำงานที่ใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว เช่น เถลไถลไม่ทำงาน รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร พอใจในการทำงานให้ได้ผลดี ด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นเถิด อันเนื่องมาแต่ความไม่คิดเอาเปรียบในข้อนี้ ถ้าข้าพเจ้าบังเอิญก้ำเกินข้าวของ ของที่ทำงานไปในทางส่วนตัวได้บ้าง เช่น กระดาษ ซอง หรือ เครื่องใช้ใด ๆ ขอให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าเป็นหนี้อยู่ และพยายามใช้หนี้คืนด้วยการซื้อใช้ หรือทำงานให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเป็นการชดเชยความก้ำเกินนั้น ข้อนี้รวมทั้ง ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะชดใช้แก่ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไร ขอให้รีบตอบแทนโดยทันที เช่น ในรูปแห่งการบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษาหรือบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์อื่นๆ แบบบริจาคให้มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ และในข้อนี้ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติแม้ต่อเอกชนใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือโกงใครเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะซื้อของ ถ้าเขาถอนเงินเกินมา ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดีคืนให้เขากลับไปเถิด อย่ายินดีว่ามีลาภ เพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย
๗. ขออย่าให้ข้าพเจ้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นโต ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องการแข่งดีกับใคร ๆ ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความหยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น มันเผาให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใคร ๆ ด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดริษยา คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจเพราะเกรงคู่แข่งจะชนะ ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธภาษิตว่า “ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะความแพ้เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข” ดังนี้เถิด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า เมื่อใฝ่สงบแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่สร้างความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนเกียจคร้านงอมืองอเท้า แต่สอนให้มีความบากบั่นก้าวหน้าในทางที่ดีไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม และความบากบั่นก้าวหน้าดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับความทะยานอยาก หรือความมักใหญ่ใฝ่สูงใด ๆ คงทำงานไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลดีก็จะเกิดตามมาเอง
๘. ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝั่งความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น และมีกรุณาคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วยเมตตากรุณาดังกล่าวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรูที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความ พินาศ ใครไม่ดี ใครทำชั่วทำผิดขอให้เขาคิดได้กลับตัวได้เสียเถิด อย่าทำผิดทำชั่วอีกเลย ถ้ายังขืนทำต่อไปก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วของเขาเอง เราไม่ต้องคิดแช่งชักให้เขาพินาศ เขาก็จะต้องถึงความพินาศของเขาอยู่แล้ว จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ซึ่งข้าพเจ้าปลูกฝังขึ้นในจิตใจนั้น จงอย่าเป็นไปในวงแคบและวงจำกัด ขอจงเป็นไปทั้งในมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท รวมทั้งสัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เหล่านั้น ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ รู้จักรักตนเองปรารถนาดีต่อตนเองด้วยดันทั้งสิ้น
๙. ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนโกรธง่าย ต่างว่าจะโกรธบ้าง ก็ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่ากำลังโกรธ จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทาความโกรธลง หรือถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้ ก็ขออย่าให้ถึงกับคิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็นมโนทุจริตเลย ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติได้โดยรวดเร็ว เมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด และเนื่องมาจากความปรารถนาข้อนี้ ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนผูกโกรธ ให้รู้จักให้อภัย ทำใจให้ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยรู้จักเปรียบเทียบกับตัวข้าพเจ้าเองว่าข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด พูดผิด คิดผิด หรือ อาจล่วงเกินผู้อื่นได้ ทั้งโดยมีเจตนาและไม่เจตนา ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้ เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินไปบ้าง ก็จงให้อภัยแก่เขาเสียเถิด อย่าผูกใจเจ็บหรือเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจ ให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย
๑๐. ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ความเข้าใจและสอนใจตัวเองได้เกี่ยวกับคำสอนของ พระพุทธศาสนา ทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือ พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสร้างความเจริญแก่ตนในทางโลก และสอนให้ประพฤติปฏิบัติยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบายอันเป็นความเจริญในทางธรรม ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใคร ๆ แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือให้รู้จักโลก รู้เท่าโลกและขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และ ปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง รวมทั้งสามารถหาความสงบใจได้เอง และสามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด
ความปรารถนาหรือคำอธิษฐานรวม ๑๐ ประการของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าตั้งไว้เพื่อเป็นแนวทางเตือนใจหรือสั่งสอนตัวเอง เพราะปรากฏว่าตัวข้าพเจ้าเองยังมีข้อบกพร่อง ซึ่งจะต้องว่ากล่าวตักเตือนคอยตำหนิตัวเองเสมอ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าถ้าได้วางแนวสอนตัวเองขึ้นไว้เช่นนี้ เมื่อประพฤติผิดพลาดก็อาจระลึกได้ หรือ มีหลักเตือนตนได้ง่ายกว่าการที่จะนึกว่าข้าพเจ้าดีพร้อมแล้ว หรือเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แล้ว ซึ่งนับเป็นความประมาทหรือลืมตัวอย่างยิ่ง



ขอขอบคุณที่มา http://talk.mthai.com/topic/45673#lastest 

 
 
 

138
ธรรมะ / ดวงจิตและนิพพาน
« เมื่อ: 24 พ.ย. 2552, 08:36:39 »
จิตที่ผ่านการอบรมมาดีแล้ว ย่อมเป็นจิตที่มีคุณสมบัติทางจิตสูงขึ้นและมีพลังมากยิ่งขึ้น คือสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาภูมิจิต ภูมิธรรม เพื่อประโยชน์แห่งการรู้แจ้งได้ ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติสมาธิภาวนา (หรือจิตภาวนา) เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงและเพื่อความหลุดพ้น

มนุษย์ทุกคนต่างก็มีจิตวิญญาณ อันเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนร่างกาย (กายสังขาร) นี้เหมือนกันหมดทุกคน ทั้งนี้ เพราะมนุษย์ต่างตกอยู่ในแดนเกิดเดียวกันคือ โลกธาตุ โดยอาศัยแม่ธาตุทั้งสี่ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) มาประชุมรวมกันขึ้นเป็นร่างกาย (กายสังขาร) มนุษย์จึงประกอบไปด้วยรูปธรรม (อันเป็นของหยาบ) และนามธรรม (อันเป็นของละเอียด)

รูปธรรม ได้แก่ กายสังขาร ซึ่งเมื่อถึงเวลามันก็ต้องแตกสลายไปตามกาล แยกย้ายกันไปตามทางของแม่ธาตุ ธาตุดินก็กลับคืนสู่ธาตุดิน ธาตุน้ำก็กลับคืนสู่ธาตุน้ำ ธาตุลมก็กลับคืนสู่ธาตุลม ธาตุไฟก็กลับคืนสู่ธาตุไฟ ธาตุทั้งหลายบนโลกธาตุใบนี้ไม่เคยสูญหายไปไหน เพียงแต่มีการแปรสภาพกลับไปสู่ความเดิมแท้ของแม่ธาตุอีกครั้ง และพร้อมที่จะมาประชุมรวมกันขึ้นเป็นกายสังขารใหม่ มีดวงจิตวิญญาณใหม่เข้ามาครอบครองวนเวียนอยู่เช่นนี้

นามธรรม ได้แก่ พลังงาน (หรือจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน) พลังงานหรือจิตวิญญาณนั้นไม่เคยสูญหายไปไหน จะยังคงกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในกายสังขาร (อันเป็นรูปธรรม) ต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น (ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายถูกจองจำอยู่ในมิติแห่งความคิด อันมีแม่ธาตุและจักรวาลธาตุเป็นแดนเกิด รองรับความคิดและความฝันนั้น) จวบจนกว่าดวงจิตวิญญาณดวงนั้นจะพบกับความรู้แจ้งเห็นจริง และสำเร็จมรรคผลนิพพาน จิตวิญญาณดวงนั้นจึงจะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดจากมิติแห่งความคิดความฝันนี้ออกไปได้

การที่จะสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในมิติแห่งความคิดนี้ไปได้ มิใช่เรื่องง่ายที่ดวงจิตวิญญาณจะสามารถรับรู้ และเข้าใจกระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้ ท่านผู้รู้แจ้งทั้งหลายได้กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ตรงกันว่า "จิตยึดที่ไหน ปรุงที่ไหน คิดเป็นจริงเป็นจังที่ไหน ดวงจิตวิญญาณย่อมเกิดอวิชชา เป็นตัวเป็นตนขึ้นที่นั่น" อวิชชา คือ ความยึดมั่น ถือมั่น คิดเป็นจริงเป็นจัง

ความคิดที่มีความหลงผิดจะเกิดเป็นอวิชชา ให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในมิติแห่งความคิดนี้ต่อไปอย่างไม่มีวันจบวันสิ้น เมื่อความฝันเรื่องหนึ่งจบลงไป ความฝันเรื่องใหม่ก็จะเริ่มปรากฏตัวขึ้นมาแทนที่ เนื่องจากจิตยังคงมีอวิชชา ความหลงผิด และยังมีความยึดมั่นถือมั่นในมายาสมมติโลก จึงเป็นเหตุให้ดวงจิตวิญญาณไม่สามารถออกจากดงแห่งความคิดนี้ออกไปได้ หนทางเดียวที่จะสามารถไขความลับของระบบจิตวิญญาณ และกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ได้ คือ การอบรมจิตด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา จนกระทั่งจิตเกิดภาวะสมาธิจิต

พระพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความลับนี้มาตั้งแต่สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว พระพุทธองค์ทรงทราบถึงวิธีการทำลายกิเลส ความหลงผิด ความยึดมั่นถือมั่น และอวิชชาในดวงจิตวิญญาณ ตลอดจนวิธีการที่จะค้นพบสัจธรรมความรู้แจ้งเห็นจริงนั้นต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะเป็นหนทางที่ทำให้ดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ออกไปได้

ในการเข้าถึงโลกแห่งจิตวิญญาณจะมีกระบวนการอบรมจิตโดยเฉพาะ นั่นคือ การปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยการให้อุบายแก่จิต หรือที่เรียกว่า "อุบายกรรมฐาน" ทั้งนี้เพื่อให้จิตนั้นมีเครื่องรู้ มีเครื่องนำทางให้จิตออกจากดงแห่งความคิดมาสู่ความเป็นอิสระแห่งจิต

ในเบื้องต้น เมื่อจิตมีความเป็นอิสระ (หรือที่เรียกภาวะนี้ว่า "ภาวะสมาธิ") จิตก็พร้อมที่จะพัฒนาไปสู่ปัญญาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริงได้ การเข้าถึงภาวะสมาธิจิตนั้น ไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยการอ่าน การฟัง การจินตนาการ หรือการคาดเดาตีความ แต่จะเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติตามกระบวนการและขั้นตอนทางจิตอันละเอียดอ่อนเท่านั้น

การที่มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ก็เนื่องมาจากว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกเพียงชนิดเดียวที่มีความสามารถพิเศษทางจิต มนุษย์มีขีดความสามารถก้าวข้ามความหยาบสู่สิ่งที่เป็นความละเอียดได้ ซึ่งสัตว์ชนิดอื่นบนโลกธาตุใบนี้ไม่อาจมีพัฒนาการทางจิตได้ ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์จึงสามารถที่จะอบรมจิตให้พัฒนา จนกระทั่งเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง สำเร็จมรรคผลพระนิพพาน และไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในมิติภพภูมิต่างๆ อีกต่อไป

นิพพาน จึงมิใช่เรื่องที่จะนำมากล่าวกันเล่นๆ การไม่เกิดนั้นใครๆ ก็พูดได้ แต่จะมีสักกี่คนกันที่เข้าใจในการดับสูญแห่งการเกิดได้อย่างแท้จริง ใครเล่าจะมีความเข้าใจในบรมสุขที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด นอกจากมนุษย์ผู้ปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดภูมิปัญญาแห่งความรู้แจ้งเห็นจริงแล้วเท่านั้น ที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ในภาวะแห่งพระนิพพาน.


http://board.agalico.com/showthread.php?t=31886
 
 
 

139
คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทำบุญสุนทานอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ซึ่งแม้ปัจจุบัน หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทำไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่วยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า เขาทำกรรมเก่าดีหรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่าเขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางทีเขาอาจกำลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวงปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้ อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว
คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทำบุญ เพราะเชื่อว่าเป็นการทำความดี และเป็นการสะสมผลบุญที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคตหรือในชาติหน้า ซึ่งโดยแท้จริงการทำบุญนั้น ทันทีที่ทำก็เป็นความสุขแล้ว เพราะ บุญ คือ การทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ

โดยทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น

เรา มีโอกาสทำความดีหรือทำบุญได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของ ถึงแม้เราจะไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ พยาบาลที่ต้องช่วยเหลือคนเป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม จะทำได้อย่างไรนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอเสนอแนะ ๙ วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้

๑.ตื่น เช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

๒.ยิ้ม แย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้

๓.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการ เพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆดีขึ้น

๔.แบ่ง ปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงานให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย


๕. ปลุกปลอบให้กำลังใจช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆ ครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้


๖.ให้ คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วย

๗.แนะ นำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หาก เราจะมีเมตตาแนะนำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็นเราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆหรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆในชีวิต


๘.การ ให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆนานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่ายเหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆต่อไป

๙.ฝึก จิตให้สงบและสบายด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่

ที่ กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไป อีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกาย ใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆได้ เริ่มทำตั้งแต่วันนี้เลยนะครับ เพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"

140
ธรรมะ / ขันธ์ 5 เป็นภาระหนัก
« เมื่อ: 24 พ.ย. 2552, 12:51:31 »
"การปฏิบัติในทาง จิตเป็นการขุดโค่นเอารากเง่าของกิเลสทั้งหลาย ด้วยปัญญาวิปัสสนาค้นคิดติดตามลงไป
เพราะเราทุกข์มาแล้วกี่ภพกี่ชาติ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ เกิดแล้ว เกิดอีก แล้วก็หลงเพลิดเพลินอีก
ก่อกรรมทำเวรแก่ตัวของเราอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางสิ้นสุด เกิดมาแล้วก็ยังสงสัยในภพในชาติ ก็อย่างโลกเขาสงสัยกันอยู่
ค้นอย่างนั้น ค้นอย่างนี้ ตลอดค้นไปถึงดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า ก็เพราะสงสัยอยู่นั้นเอง ทั้งที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายรู้มาก่อนแล้ว
แต่พวกเกิดมาที่ยังมีกิเลสอยู่ก็มาสงสัยอีก ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ ก็มาคิดสงสัยกันอยู่อย่างนี้แหละ เลยไม่มีทางสิ้นสุด
เมื่อจิตนี้ยังมีกิเลสอยู่ทำให้มีความเวียนว่ายตายเกิด เกิดแล้วก็มีความสงสัย สงสัยในภพชาติของตน
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ท่านทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันวิจิตรตระการตา ซึ่งพวกคนเขลาหมกอยู่
แต่ท่านผู้รู้หาข้องไม่ที่เราติดข้องอยู่ก็คือเป็นคนเขลา เป็นคนที่ไม่เฉลียวฉลาดนั้นเอง ไปหลงไหลสิ่งที่ไม่ควรหลง
หาสุขแต่ก็ไปยึดเอาความทุกข์ อยากได้สุขแต่ไปสร้างกรรมที่ให้เกิดความทุกข์แก่ตัวของเราเอง
เราแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นทุกข์แก่ตัวของเรา หาแต่สิ่งที่เป็นกังวลแก่จิตใจของเรา หาแต่สิ่งที่เดือดร้อนจิตใจของเรา
เราจึงเป็นผู้ที่เดือดร้อน เดี๋ยวก็เดือดร้อนอย่างนี้ ร้อยแปดพันอย่างที่เราจะต้องเดือดร้อน
เดือดร้อนเพราะอำนาจของกิเลสแผดเผาจิตใจของเรา เดือดร้อนเพราะกองทุกข์ที่มีอยู่ในรูปกายของเราแผดเผา
เราก็เลยมีความทุกข์ความร้อนอยู่อย่างนั้น แต่ละวันแต่ละคืนเราก็ทุกข์ เย็นมาเราก็ทุกข์ ร้อนมาเราก็ทุกข์
มีความทุกข์เป็นประจำอยู่ ทั้งที่เรามีความทุกข์ เราก็ยังหลงอยู่ในความทุกข์
สำคัญทุกข์ว่าเป็นสุข สำคัญชั่วว่าเป็นดี ก็เนื่องจากเราเป็นผู้ที่หลง

ฉะนั้นให้เรามาพิจารณาใคร่ครวญโดยปัญญาที่รอบคอบหาเหตุผล ค้นคิดติดตาม
เพื่อจะได้แก้ความหลงความเมาในภพในชาติของเรานี้ เพราะเราเมามาแล้วไม่ทราบว่ากี่ภพกี่ชาติ
หลงมาแล้วเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น ตัณหาจึงได้ชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ให้ก่อภพก่อชาติ
ท่านจึงว่า ยายัง ตณฺหา โปโนพฺกวิกา จิตใดที่ยังมีตัณหาอยู่จะต้องให้เกิดในภพในชาติ
ต่อๆ ไป เพราะอำนาจของตัณหานี้เอง เป็นผู้สร้างภพสร้างชาติให้แก่เรา จึงว่าเป็นตัวการที่สำคัญ
เราจะต้องกำจัดตัณหานี้ เพราะตัณหาเป็นตัวร้ายที่ทำลายความสุขของสัตว์ทั้งหลายอยู่"

จากพระธรรมเทศนาตอนหนึ่งซึ่งพระอาจารย์วัน อุตตโม
ได้แสดงแก่พระเณร เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2521

141
ภาพชุดวัดพระพุทธบาทน้ำทิพย์ รอยพระพุทธบาท 7 รอย ภูพาน จังหวัดสกลนคร


วัดพระบาทน้ำทิพย์


รอยพระพุทธบาท 7 รอย

ภาพปาฏิหาริย์
 

 
 

รูปที่:: 1
ชื่อรูป :: รอยพระพุทธบาทที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน 7 รอย
รายละเอียด:: รอยพระพุทธบาทนี้ อยู่บนเนินเขาภูพาน คนละฝั่งถนนใกล้ๆกับวัดพระบาทน้ำทิพย์ประมาณ100-200 เมตรเท่านั้นเอง   
 

รูปที่:: 2
ชื่อรูป :: รอยพระพุทธบาทช่วงบน 5 รอย
รายละเอียด:: เรียงกันไป สันนิษฐานว่ามีเพียงองค์ละ 1 รอยเท่านั้น 7 รอยก็ 7 พระองค์ ชาย 2คน กำลังรองน้ำทิพย์จากรอยพระบาทองค์ใหญ่ที่สุดไว้ดื่มกิน ลูบหน้าตา เนื้อตัว บางคนก็รองใส่ขวดนำกลับบ้านด้วย   
 

รูปที่:: 3
ชื่อรูป :: รอยพระพุทธบาท 7 รอยช่วงบน 5 รอยอีกด้านหนึ่ง
รายละเอียด:: เป็นธารน้ำตกต้นน้ำลงสู่แม่น้ำสายต่างๆในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 
 

รูปที่:: 4
ชื่อรูป :: ชมรอยพระพุทธบาท 7 รอย
รายละเอียด:: ช่วงบน 5 รอยๆใหญ่สุดอยู่ล่างสุด   

รูปที่:: 5
ชื่อรูป :: ชวนชี้ชวนชมรอยพระพุทธบาท 7 รอย
รายละเอียด:: วิวมุมนี้ก็สวยมาก   

รูปที่:: 6
ชื่อรูป :: ป้ายรอยพระพุทธบาท 7 รอย
รายละเอียด:: วัดพระบาทน้ำทิพย์ ภูพาน สกลนคร 
 
รูปที่:: 7
ชื่อรูป:: รอยพระพุทธบาทเล็ก 2 รอยช่วงล่าง
รายละเอียด:: อีกฝั่งหนึ่งด้านซ้ายมือของทางเข้า 

หน้า: [1]