แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - romulus

หน้า: [1]
1
ไม่ทราบว่ามีการจัดสร้างจริงๆหรือป่าวครับ เห็นเขาลงกันว่า ไตรมาส44 ก็อยากจะมีกับเขาบ้าง

  

ขอบพระคุณล่วงหน้า สำหรับข้อมูลและความรู้ครับผม

2
ไม่ทราบว่ารุ่นไหน ปีไหน และออกวัดไหนครับ
ด้านหลังเป็นรูป ร.5 และมีเส้นเกศา เล็บและจีวรด้วยครับ

3
วันนนี้ขออณุญาติโชว์ครับผม
หลวงปู่เผือก วัดสาลีโข พิธีพุทธาภิเษก 19 สิงหาคม ๒๕๕๓ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙
แคะกระปุกบูชามาครับ
  

5
“สีหบรรลือ”

มหาสิงหนาทแห่งเหรียญในหลวงพ่อสาลีโข
สำนักพุทธอุทยานธรรมโกศล  ต.หน้าไม้  อ.ลาดหลุมแก้ว  จ.ปทุมธานี

วัตถุมงคลที่จารึกนามหลวงปู่เผือก  และหลวงพ่อสาลีโขให้กระฉ่อนในวงการมาตลอด  30  กว่าปี  คือ  เหรียญรุ่นแรก  รูปหลวงปู่เผือก  ประทับนั่งบนสิงหราช  หรือที่เรียกกันว่า “รุ่นขี่สิงห์”นั่นเอง
       เหรียญนี้สร้างอภินิหารและประสบการณ์ในโลกแห่งขลังอย่างไม่รู้จบ  เล่ากัน  7  วัน  7  คืนก็ไม่หมด  ขลังขนาดที่คนถูกปล้นบ้าน  โจรยิงปืนเข้าใส่แบบเผาขน  แค่ทีวีคั่น  3-4  นัด  ไม่ลั่นสักโป้ง  โจรตกใจเผ่นหนีไม่ได้อะไรติดมือไปเลย  เจ้าบ้านหายตระหนกก็แปลกใจเป็นหนักหนา  ด้วยตนไม่ได้แขวนพระหรือพกของดีอะไร  ทำไมผู้ร้ายยิงไม่ออก  สุดท้ายก็ขนหัวลุก  เพราะไปเห็นเหรียญหลวงปู่เผือกรุ่นแรก  วางอยู่บนหลังทีวี
   ขลังขนาดนั้น
ทุกวันนี้คนอยากได้  ต้องทำใจสุดๆ  เพราะหายากเหลือใจ  ราคาแพงเป็นหมื่นอีกตะหาก  มิหนำซ้ำของปลอม  ก็เหมือนซะไม่มี  ไม่จำเป็นต้องเล่นตามเขาดอก
เพราะเชื่อว่า  “หลวงพ่อเก่งขึ้นทุกวัน”
       “สีหบรรลือ”
เป็นเหรียญรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตัดมุม สร้างขึ้นในปี พ.ศ.  2534  มีเนื้อทองคำเงิน ทองแดง วัตถุประสงค์ที่จัดสร้างขึ้นเพื่อ
      1.  เป็นอนุสรณ์ระลึกถึงพระคุณของหลวงปู่เผือก  และทำบุญอายุสรงน้ำ
      2.  ก่อสร้างและปฏิสังขรณ์เสนาสนะ
เหรียญสีหบรรลือ มีด้วยกัน  2  พิมพ์  คือ  พิมพ์ใหญ่ยาว  4.5  ซม.  กว้าง 4  ซม.  และพิมพ์เล็ก ยาว  3  ซม. กว้าง  2.5  ซม. ด้านหน้าเป็นรูปหลวงปู่เผือกนั่งสมาธิเหนือกอบัว  ล้อมด้วยพระคาถาบารมี  30  ทัศ  ซ้าย-ขวา  เป็นยันต์พระภควันบดี  ข้างใต้เป็นนะทรงแผ่นดิน  เหนือศีรษะสิงหราชเป็นยันต์หัวใจเทพชุมนุม พร้อมด้วยนะปถมัง  108 ด้านหลังรูปพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค  ให้ผลทางมหาอำนาจปราบภัยพาลทุกสิ่งรอบด้านเป็นนะปถมัง 108 ใต้ลงมาเป็นหัวใจเทพชุมนุมลงมาอีกเป็นนะฤาชา ซ้าย  เป็นรูปหนุมานถือพระขรรค์ขวาเป็นองคต  ทั้ง 2 ล้อมด้วยอักขระพระเจ้า  5  พระองค์  และธาตุ  4  ดิน น้ำ ไฟ ลม เพื่อหนุนให้มีชีวิตเป็นตัวเป็นตนขึ้นในนิมิต


ด้านหน้า


ด้านหลัง

ทั้งที่กำหนดในปี  2534  แต่ถูกนำมาแจกจ่ายในปี  2536  เพราะหลวงพ่อเข้าที่ภาวนาปลุกเสกอย่างสุดกำลังท่าน  ถึง  3  ปี  จนท่านปรารภถึงการเข้าสมาธิปลุกเสกและการจารว่า  “ไม่สะดุดเลย”
       ใครที่บ่นอยากได้เหรียญหลวงปู่เผือกรุ่นแรกจงเบาใจเถิด ด้วยหลวงพ่อพูดถึงสีหบรรลือภายหลังการเสกว่า  “ไม่ต้องไปหาเหรียญขี่สิงห์หรอก  เอาเหรียญนี้ไปใช้แทนกันได้เลย”
       นี่คือประกาศนียบัตรโบว์แดง
        มั่นใจของท่านขนาดที่ว่ารถเบนซ์ประจำวัดที่นายทหารผู้ใหญ่ถวายมาให้หลวงพ่อใช้พร้อมกับพลขับนั้นไม่ปรากฏการเจิม  มีเพียงเหรียญสีหบรรลือ  เนื้อเงินเลี่ยมแขวนติดกระจกหน้ารถอยู่เหรียญเดียว
        ลงคนเสกมั่นใจ  คนแขวนอย่าสงสัยเลย
        เมื่อวันไหว้ครูต้นเดือนเมษายน  ศิษย์คนหนึ่งเปิดเสื้อให้ดูรอยถูกแทงที่ฟกช้ำอยู่ถึง  8  จุด  ผู้แทงที่กะเอาชีวิตเขาก็ไม่ได้สมใจ  เพราะคมมีดไม่อาจกรีดหนังเขาได้  และทั้งตัวเขามีเพียงเหรียญสีหบรรลือเนื้อทองแดงแขวนที่คออยู่เหรียญเดียว
ตั้งแต่เห็นรูปเหรียญพระคณาจารย์ทั้งหลายมา “สีหบรรลือ” ได้ชื่อว่าถูกบรรจุอักขระเลขยันต์  วิชาสำคัญๆที่เจียนสูญหายไว้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเหรียญทองคำ และเหรียญเงิน หลวงพ่อจะใช้เวลาทำสมาธิลงเหล็กจากเขียนอักขระเรียกสูตรไปตามขั้นตอนแบบโบราณประเพณีอย่างแท้จริง  ทีละตัว...ทีละตัว...อย่างตั้งใจ
      ท่านเล่าว่า  เมื่อกำหนดจิตภาวนาสูตรนั้น พลังทั้งหมดจะมารวมอยู่ที่กลางอกเมื่อจิตนิ่ง มีกำลังถึงที่สุด ท่านก็ถ่ายปราณให้แล่นไปตามแขนและวิ่งเข้าเหล็กจารออกไปเป็นอักขระเลขยันต์ที่เขียนขึ้นยิ่งเขียนมากเท่าไรพลังยิ่งรวมตัวมาก  กระทั่งชาไปทั้งแผ่นอก  และแขนขวาจนปราศจากความรู้สึกใดๆ  ต่อเมื่อเขียนเสร็จจึงรับรู้ว่าปวดแขนและมือเหลือกำลัง

ดังนั้นเหรียญที่ท่านลงจาร  จึงไม่ได้หมายถึงมีรอยขีดเขียน  ให้ดูดีมีราคาแต่เป็นความตั้งใจจริงของครูบาอาจารย์ที่ประสงค์จะทำของให้คุ้มชีวิตผู้เลื่อมใสในท่านคุ้มได้พอๆ  กับที่ท่านคุ้มตัวเอง
      “สีหบรรลือ”  ไม่ได้มีแต่เพียงรูปสวย  หากเนื้อแท้ถูกหล่อหลอมจากแผ่นโลหะต่างชนิด  ทั้งทางทอง เงิน ทองแดง ซึ่งถูกลงพระยันต์ศักดิ์สิทธิ์บรรจุวิทยาคุณแบบเต็มสูตร จำนวนนับสิบกิโล หลอมแล้วนำมาลงอีกแล้วนำไปหลอมอีกซ้ำซ้อนเช่นนี้หลายครั้งจนดูยุ่งยาก  หากนี่คือนิสัยท่านเป็นความรับผิดชอบต่อชีวิตของศิษย์  และผู้เลื่อมใสที่จะนำไปแขวนอย่างหาได้ยาก

ขอบคุณบทความดีดีจากคุณรณธรรม ธาราพันธุ์

6
Posted by ศิษย์กวง

วันนี้(10 ก.พ.  2551ไปทำบุญที่พุทธอุทยานธรรมโกศล จังหวัดปทุมธานีครับ หลวงพ่อสมภพท่านได้เมตตาเล่าประวัติของ ท่านพระครูธรรมโกศล หรือหลวงปู่เผือก ให้ลูกศิษย์ที่มากราบนมัสการท่านฟัง  อาจมีหลายท่านเคยอ่านประวัติของหลวงปู่เผือกผ่านทางสื่อต่างๆ เช่นหนังสือ หรือคำบอกเล่า ครั้งนี้ได้มีโอกาสรับฟังจากหลวงพ่อเลยขอจดบันทึกไว้เพื่อระลึกถึงความมีเมตตาของท่านครับ

หลวงปู่เผือก เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือนอ้าย (ปีชวด พ.ศ.2299) เป็นชาวกรุงศรีอยุธยา บิดาเป็นชาวจีนที่เดินทางเข้ามาประกอบอาชีพค้าขายในประเทศไทย ส่วนมารดาเป็นคนไทย หลวงปู่เผือกบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดพุทไธสวรรย์ สมัยนั้นความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยมีมาก หลวงปู่เผือกท่านจึงได้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม ควบคู่ไปกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนแตกฉานตั้งแต่เป็นสามเณรครับ

ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตก โยมบิดามารดาของหลวงปู่เผือกได้อพยพหลบภัยสงครามจากรุงศรีอยุธยา หลวงปู่เผือกที่ขณะนั้นยังเป็นสามเณรได้ติดตามมาคอยดูแลโยมบิดามารดาพร้อมกลุ่มผู้อพยพ จนมาถึงบริเวณสุดแนวโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาตรงข้ามกับเกาะเกร็ด กลุ่มผู้อพยพจึงได้ตั้งหลักแหล่งพักอาศัยทำมาหากิน ในบริเวณดังกล่าวมีสำนักสงฆ์เก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง สามเณรเผือกจึงได้จำพรรษาในสำนักสงฆ์นั้น ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นวัดสาลีโข ในปัจจุบันนี้

ต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ทรงขับไล่พม่าออกไปจากประเทศไทยได้สำเร็จและทรงตั้งกรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวง สามเณรเผือกจึงได้เดินทางย้อนกลับไปกรุงศรีอยุธยา เพื่อศึกษาวิชาการต่อ พออายุท่านครบบวช ท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดป่าแก้ว ซึ่งเป็นวัดฝ่ายอรัญวาสี เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม จ.ศ. 1138 (พ.ศ.2319) ได้รับฉายาว่า ธัมมะโกศล เวลาออกพรรษาหลวงปู่เผือกท่านชอบออกธุดงควัตรเสมอ จนทำให้ท่านมีความเชี่ยวชาญด้านกรรมฐานและมีวิชาอาคมแก่กล้าเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปถึงแม้ท่านจะมีอายุไม่มากนัก (สหธรรมมิกของท่านที่มีชื่อเสียงคือ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อน)

สมัยรัชการที่ 1 หลวงปู่เผือกท่านมีชื่อเสียงมากและโด่งดังเข้าไปถึงหูของบรรดาขุนนาง เจ้านายในวัง ต่างมากันมาหาท่านเพื่อขอวัตถุมงคลหรือขอให้ท่านลงอักขระ  เพื่อความเป็นมงคลหรือต้องการหนังเหนียว  ว่ากันว่าท่านทำได้ขลังนัก ทำให้มีลูกศิษย์มาขึ้นกับท่านมาก เรียกว่าในช่วงนั้นวัดสาลีโขเจริญรุ่งเรืองสุดขีด

สมัยรัชการที่ 4 หลวงปู่เผือกได้รับพระราชทานพระราชทินนามว่า พระครูธรรมโกศล ตำแหน่งสังฆปาโมกข์ฝ่ายอรัญวาสี แขวงนนทบุรี และเป็นเจ้าคณะเมืองนนทบุรี หลวงปู่เผือกได้รับพระราชทานเรือกันยาหลังคาแดง มีฝีพายเต็มอัตราเป็นเรือประจำตำแหน่งสำหรับออกตรวจคณะสงฆ์ในเขตปกครอง หลวงปู่เผือกละสังขารในสมัยรัชการที่ 4 พ.ศ.2405 สิริอายุรวม 106 ปีครับ

สมัยรัชการที่ 4 หลวงปู่เผือกได้รับพระราชทานพระราชทินนามว่า พระครูธรรมโกศล ตำแหน่งสังฆปาโมกข์ฝ่ายอรัญวาสี แขวงนนทบุรี และเป็นเจ้าคณะเมืองนนทบุรี หลวงปู่เผือกได้รับพระราชทานเรือกันยาหลังคาแดง มีฝีพายเต็มอัตราเป็นเรือประจำตำแหน่งสำหรับออกตรวจคณะสงฆ์ในเขตปกครอง หลวงปู่เผือกละสังขารในสมัยรัชการที่ 4 พ.ศ.2405 สิริอายุรวม 106 ปีครับ
 
ภาพปกหนังสือเล่มนี้ได้มาจากเวปไซด์ ขออภัยจำชื่อไม่ได้
 
ของฝากสำหรับคืนนี้ครับ
 อะระหัง  สุคะโต  ภะคะวา
หลวงพ่อสมภพท่านบอกว่าให้ภาวนาอย่าขาดครับ สามารถคุ้มครองและเป็นสิริมงคลกับตัวครับ
ภาพวัตถุมงคลบางส่วน(ที่จัดสร้างโดยหลวงพ่อสมภพ)

เหรียญรุ่นแรก ปี 2510 (ด้านหน้า)

เหรียญรุ่นแรก ปี 2510 (ด้านหลัง)

เหรียญฉลองอายุ 40 ปี พ.ศ.2522 (พิมพ์ใหญ่ /ด้านหน้า)

เหรียญฉลองอายุ 40 ปี พ.ศ.2522 (พิมพ์ใหญ่ /ด้านหน้า)

เหรียญสีหบรรลือ ปี 2534 (พิมพ์ใหญ่  / ด้านหน้า)

เหรียญสีหบรรลือ ปี 2534 (พิมพ์ใหญ่  / ด้านหน้า)

7
เีรียบเรียงโดย รณธรรม ธาราพันธุ์

เหรียญนี้หลวงพ่อเรียกว่า "เหรียญขี่สิงห์" ตามรูปแบบของเหรียญที่ท่านออกแบบเอง ด้านหน้าเป็นองค์หลวงปู่เผือก ประทับนั่งอยู่บนสิงหราชซึ่งเป็นเครื่องหมายทางมหาอำนาจ ล้อมด้วยพระคาถา "พระเจ้าห้าพระองค์คงกระพัน" และหัวใจคาถาสำคัญที่ท่านท่องบ่นเป็นประจำ ด้านหลังเป็นมหายันต์ "สาลิกาองครักษ์" ที่ท่านชำนาญมาก

ท่านไปสั่งช่างแกะบล็อคที่ร้านข้าง ๆ วัดสุทัศนฯ ซึ่งสมัยนั้น (ปีพ.ศ. ๒๕๑๒) มีต้นสมอใหญ่อยู่ใกล้ร้าน คนแกะพิมพ์ชื่อ นายเผือด ช่างทอง ตอนหลวงพ่อไปสั่งทำท่านบอกว่าให้แกะบล็อคเหรียญเป็นรูปสี่เหลี่ยม ๆ ก็คุยกันไม่เข้าใจไม่เห็นภาพดังที่หลวงพ่อต้องการสักที ท่านเลยล้วงไปในย่ามหยิบเอากลักไม้ขีดไฟพญานาคขึ้นมาให้ดูว่า เนี่ย ๆ สี่เหลี่ยมแบบเนี้ย

ข้างนายช่างก็พาซื่อ เอา ๆ สี่เหลี่ยมแบบเนี้ยก็เอาแบบเนี้ย เลยแกะพิมพ์มาใหญ่เบ้งเบ้อเริ่มเทิ่มอย่างที่เห็น ตอนท่านไปรับเหรียญท่านยังตกใจอย่างแรง ถามช่างว่า ทำไมมันใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้ ช่างก็แย้งว่า เอ้า ! ก็ท่านบอกให้แกะตามแบบกลักไม้ขีดไฟนี่ หลวงพ่อก็ว่า ให้แกะเป็นทรงสี่เหลี่ยมอย่างนั้น(โว้ย) ไม่ใช่แกะให้มีขนาดเท่ากันแบบนั้น(โว้ย)

...ไอ้ที่อยู่ในวงเล็บผมคิดว่าเป็นความในใจของท่านน่ะ...
สรุปคือ หากใครไม่มีเหรียญขี่สิงห์ จงใส่สีหบรรลือไม่ว่าจะเนื้อทองแดง เนื้อเงิน หรือเนื้อทองคำเถิด ประเสริฐแท้ทีเดียวเชียว


เหรียญก็เลยมีขนาดเบิ้มอย่างที่ทุกคนเห็น

จำนวนสร้างคือ

ทองคำทำ ๙ เหรียญ
เนื้อเงินทำ ๑๐๘ เหรียญ
ทองแดงทำ ๒,๕๑๒ เหรียญเท่าจำนวนปีพ.ศ.

เหรียญทั้งหมดตกค้างอยู่ที่วัดสาลีโขภิตารามนานพอสมควร เพราะมีขนาดใหญ่มากจนไม่มีใครอยากได้ ไม่มีใครอยากแขวน แม้จะมีประสบการณ์ฉกาจฉกรรจ์แค่ไหนแต่เวลาแขวนก็หนักใจ(หนักคอ)พอ ๆ กับความรู้สึกที่อยากใส่นั่นแล

โดยเฉพาะเหรียญทองแดงตกค้างมาจนถึงตอนที่หลวงพ่อย้ายมาอยู่พุทธอุทยานธรรมโกศลในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ และยังอยู่อย่างนั้นมาจนถึงประมาณปี ๒๕๓๐ เศษ ๆ จึงหมดไปแบบถาวร

หลวงพ่อบอกว่าเหรียญนี้ดีแค่ไหนก็ไม่มีชนวน มีดีแค่เป็นเหรียญหลวงปู่เผือกรุ่นแรก และท่านเสกเดี่ยวเองโดยนำไปเสกที่ ถ้ำแก่งละว้า จ.กาญจนบุรี เรียกว่า "บินเดี่ยว" ซึ่งถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไม่ว่าดีหรือร้าย หลวงพ่อก็รับไปเต็ม ๆ ทุกด้าน แต่ที่เคยได้ยินมานับตั้งแต่ปี ๑๒ ไม่เคยได้ยินทางด้านร้ายเลยแม้แต่เรื่องเดียว ยกเว้นเรื่องที่มีของปลอมเยอะมากและเหมือนสุด ๆ

ซึ่งครูอำพลบอกว่า นั่นถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะของปลอมต้องออกมายืนยันความสำเร็จด้วยตัวมันเอง


ต่อมาในปี ๒๕๓๔ หลวงพ่อได้สร้างเหรียญสี่เหลี่ยมขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ให้ความสำคัญอย่างมากที่สุดทั้งรูปลักษณ์ที่ท่านออกแบบเอง กองกษาปณ์เป็นคนแกะพิมพ์และปั๊มให้ ชนวนเพียบที่สุดทั้งเนื้อทองคำ เงิน และทองแดง หลวงพ่อตั้งใจปลุกเสกมากที่สุดถึง ๓ ปีเต็ม ๆ ก่อนออกให้บูชา ท่านถวายนามเหรียญนี้ว่า

เหรียญสีหบรรลือ

และหลวงพ่อพูดกับผมว่า

"เหรียญสีหบรรลือนี่ไม่แพ้เหรียญขี่สิงห์หรอกฉันท้าได้เลย แขวนได้สบายใจ สีหบรรลือนี่ฉันใส่ชนวนลงไปมากมายเหลือเกินทุก ๆ เนื้อแต่เหรียญขี่สิงห์นั้นไม่มีชนวนเลยนะ ฉันเสกแค่พรรษาเดียว แต่เหรียญสีหบรรลือฉันเสก ๓ ปี"



หน้า: [1]