ธรรมะเหมือนแพข้ามฟาก
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย เป็นใจความสรุปได้ว่า
?ภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดงธรรม มีอุปมาดังเรือหรือแพข้ามฟาก แก่พวกเธอเพื่อต้องการให้สลัดออก ไม่ใช่เพื่อต้องการให้สลัดออก ไม่ใช่ต้องการให้ยึดถือ
ภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนบุคคลผู้เดินทางไกล พบแม่น้ำขวางหน้า แต่ฝั่งข้างนี้มีภัยอันตราย ส่วนฝั่งข้างโน้นเป็นที่สบายปลอดภัยเรือหรือสะพานจะข้ามฝั่งก็ไม่มี บุคคลนั้นคิดว่าจะอยู่ช้าไม่ได้อันตราย
เขาจึงรวบรวมกิ่งไม้และใบไม้ เอามาผูกเป็นแพให้ลอยน้ำ แล้วใช้มือและเท้าพุ้ยน้ำด้วยความพยายาม จนข้ามแม่น้ำนั้นได้โดยปลอดภัย
เขาจึงคิดว่า แพนี้มีคุณแก่เรามาก เราอาศัยแพนี้จึงข้ามอันตรายได้ อย่ากระนั้นเลย เรายกเอาแพนี้ขึ้นทูนหัวไปด้วยเถิด แล้วเขาก็เอาแพนั้นทูนหัวเดินไป
ภิกษุทั้งหลาย! การกระทำของบุคคลนั้น ชื่อว่าทำไม่ถูกในหน้าที่ทางที่ถูกนั้นเมื่อเขาอาศัยแพข้ามฝั่งได้แล้ว พึงยกแพขึ้นบกหรือเอาลอยไว้ในน้ำนั่นแหละ แล้วเดินไปแต่งตัว จึงชื่อว่าทำถูกหน้าที่ในแพนั้น แม้ฉันใด
ภิกษุทั้งหลาย! เราแสดงธรรมมีอุปมาด้วยแพ เพื่อต้องการให้สลัดออก ไม่ใช่เพื่อให้ยึดถือก็ฉันนั้นแล เธอทั้งหลายรู้ถึงธรรมมีอุปมาด้วยแพ ที่เราแสดงแล้ว พึงละแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปไยถึงฝ่ายอธรรมเล่า?
อลคัททูปสูตร 12 / 219
พระสูตรนี้ อยากจะขอร้องให้นักปฏิบัติธรรม ช่วยอ่านกันหลายๆเที่ยวแล้วจับประเด็นหลักสำคัญได้ว่า เป้าหมายอันสูงสุดของพระพุทธดำรัสนี้ อยู่ตรงไหน?
ถ้านักปฏิบัติจับได้และตีปัญหาแตกแล้ว การปฏิบัติธรรมก็จะง่ายยิ่งกว่าการ พลิกฝ่ามือ เสียอีก ที่บางท่านปฏิบัติธรรมยิ่งมากขึ้นเท่าไร ทั้งที่อยู่และจิตใจ ก็ดูเหมือนจะยิ่งรกรุงรัง และจิตก็ขุ่นมัว หรือสกปรกลามกมากขึ้นเท่านั้น นั่นแสดงว่าการปฏิบัติธรรมเกิดการผิดพลาดขึ้นแล้ว
การปฏิบัติธรรมต้องมีขั้นตอน คือละความชั่ว ทำความดี แต่พอถึงขั้นสูงสุดทั้งความชั่วและความดีก็ต้องละให้หมด จึงจะพบพระนิพพาน