ผู้เขียน หัวข้อ: มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน  (อ่าน 1935 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
« เมื่อ: 27 มิ.ย. 2554, 10:34:43 »
มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน

บทความ    - วิมุตตะมิติ - มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน


   การฝึกฝนอบรมจิตเพื่อถึงซึ่งความมหัศจรรย์แห่งโลกภายในหรือวิมุตตะมิติโดยหนทางเจโตวิมุตนั้นมีผลหรือมีอานิสงส์ที่เป็นธรรมดาธรรมชาติของการฝึกฝนอบรมในหนทางสายนี้ คือ อิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ ผลโดยตรงตามธรรมดาธรรมชาตินี้เกิดขึ้นได้และต่างจากการฝึกฝนอบรมแบบปัญญาวิมุตก็เพราะว่าได้ตั้งอยู่บนฐานกำลังอำนาจของจิต

            กำลังอำนาจของจิตที่ได้รับการอบรมจนแกร่งกล้าขึ้นทำให้นามกายแปรเปลี่ยนเป็นทิพยกาย มีอินทรีย์และพละแก่กล้าขึ้น ทั้งมีรากฐานมาจากกัมมัฏฐานวิธีที่เกื้อกูลต่อการเกิด การกระทำ และการใช้อิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ด้วย

            ส่วนการฝึกฝนอบรมโดยหนทางปัญญาวิมุตนั้นแม้จะอาศัยปัญญาเป็นตัวนำ แต่กำลังอำนาจของจิต อินทรีย์และพละก็ได้พัฒนายกระดับตามไปด้วย เป็นแต่ว่าไม่มีจุดเด่นหรือไม่เด่นชัดเหมือนกับการฝึกฝนอบรมโดยหนทางเจโตวิมุต ทั้งการเดินหนทางปัญญาวิมุต ปัญญาจะแก่กล้าจึงก้าวข้ามพ้นจากการเห็นความสำคัญของอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ ดังนั้นผู้ที่เดินหนทางสายนี้จึงมักที่จะไม่นิยมในการกระทำอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์

            แต่ใช่ว่าอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ จะไม่เกิดขึ้น หรือกระทำไม่ได้ นั่นคือสามารถกระทำอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ได้ เป็นแต่ไม่อยากทำ ไม่สนใจที่จะทำ หรือฝึกฝนยกระดับพัฒนาความสามารถในทางนี้

            ดังตัวอย่างในระยะใกล้คือท่านเจ้าคุณพุทธทาสซึ่งแม้ว่าท่านจะเดินหนทางปัญญาวิมุต แต่ก็ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณสามารถกระทำอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ได้ในบางระดับ เช่นการทดลองกระทำฤทธิ์ครั้งหนึ่งที่ทำให้ปลามาอยู่ในมือที่ชูขึ้นในอากาศ ซึ่งท่านเจ้าคุณเห็นว่าได้สัมผัสกับฤทธิ์แบบกระจุ๋มกระจิ๋มแล้วแต่เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ จึงตั้งจิตว่าจะไม่กระทำเช่นนั้นอีกต่อไป เหตุนี้หลังจากท่านเจ้าคุณเริ่มเปิดการอบรมสั่งสอนแก่เวไนยสัตว์เป็นล่ำเป็นสันแล้วจึงไม่เคยปรากฏคุณสมบัติในเรื่องนี้

            สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเดินหนทางปัญญาวิมุตเช่นเดียวกัน แต่ก็มีหลายครั้งที่ทรงกระทำอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ เช่นการกระทำโทรจิตนิมนต์พระอริยสงฆ์ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนา หรือการเจริญอิทธิบาทเพื่อให้คลายจากอาการพระประชวรตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2547 เป็นต้น

            สำหรับหลวงตาพระมหาบัวนั้นได้เดินในหนทางเจโตวิมุตเช่นเดียวกับพระป่าในสายพระอาจารย์มั่น จึงสามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ได้ตามธรรมดาธรรมชาติของผู้ฝึกฝนอบรมปฏิบัติในหนทางเจโตวิมุตนี้ ในห้วงเวลาอันเป็นปัจจุบันนี้ก็ปรากฏว่าเคยกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ให้ประจักษ์ถึงสองครั้ง คือการกระทำอิทธิฤทธิ์แปลงมวลสารโมเลกุลในเลือดเพื่อรักษาโรคร้ายของบุคคลสำคัญจนรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชได้อย่างมหัศจรรย์ และการกระทำอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือชีวิตบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ระเบิดเครื่องบิน

            ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ก็ปรากฏว่ามีพระมหาเถระหลายรูปที่เดินหนทางเจโตวิมุตและสำเร็จอภิญญาชั้นสูง เช่น สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า ผู้เป็นพระอาจารย์ของเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือแม้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ดังที่ปรากฏคำประกาศพระคุณว่า “เจ้าพระคุณฯ ผู้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ สำเร็จพรหมวิหารชั้นสูง เป็นเอกพระมหาเถราจารย์ ทรงพระอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ …” เป็นต้น

ที่มา
http://www.paisalvision.com/2008-11-06-05-16-28/616--71.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 มิ.ย. 2554, 10:35:29 โดย ทรงกลด »
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 27 มิ.ย. 2554, 10:39:38 »
มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน(2/3)




 การฝึกฝนอบรมโดยหนทางเจโตวิมุตจะทำให้ได้รับผลหรือบรรลุถึงวิชชาแปดประการ หรือได้รับสมาบัติ หรือฌานสมาบัติแปดประการ คือ

            ประการแรก อิทธิวิธิญาณ หรืออิทธิ ฤทธิ์ คือความรู้หรืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่กระทำให้เกิดความสำเร็จหรือความมหัศจรรย์ล่วงพ้นวิสัยมนุษย์ธรรมดา

            ประการที่สอง ทิพยโสตญาณ คือความรู้หรืออำนาจที่ทำให้หูเป็นทิพย์

            ประการที่สาม เจโตปริยญาณ คือความรู้หรืออำนาจในการรู้ความคิดจิตใจของผู้อื่น

            ประการที่สี่ ทิพยจักษุญาณ คือความรู้หรืออำนาจที่ทำให้ตาเป็นทิพย์

            ประการที่ห้า มโนมยิทธิญาณ คือความรู้หรืออำนาจในการกระทำความมหัศจรรย์ให้สำเร็จได้ด้วยใจ

            ประการที่หก บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือความรู้หรืออำนาจในการหยั่งรู้อดีตชาติหรือชาติก่อน ๆ ได้

            ประการที่เจ็ด จุตูปปาตถญาณ คือความรู้หรืออำนาจในการหยั่งรู้การเกิด ดับ ของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่มีรูปและไม่มีรูป

            ประการที่แปด อาสวัคขยญาณ คือความรู้หรืออำนาจที่ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งหลาย

            ในแปดประการนี้ที่เป็นวิชชาในระดับโลกียะ คือในระดับที่ยังไม่ดับทุกข์สิ้นเชิง หรือยังไม่เหนือพ้นไปจากโลกเจ็ดประการ คือประการที่หนึ่งถึงประการที่เจ็ด และอยู่ในระดับที่เหนือพ้นไปจากโลกหรือระดับโลกุตระคือในระดับขั้นที่ดับทุกข์สิ้นเชิงแล้วคือประการที่แปด

            สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงอาสวัคขยญาณ ระดับของญาณที่เข้าถึงจึงเป็นระดับของโลกียะ แต่เมื่อเข้าถึงอาสวัคขยญาณแล้วนอกจากระดับของญาณจะเป็นระดับโลกุตระในประการที่แปดแล้ว ยังยกระดับวิชชาหรือความรู้หรืออำนาจตั้งแต่ประการที่หนึ่งถึงประการที่เจ็ดให้เป็นญาณในระดับโลกุตระด้วย

            ญาณในระดับโลกียะนั้นหากยังไม่บรรลุถึงระดับโลกุตระตราบใดย่อมอยู่ในวิสัยที่จะเสื่อมถอยได้ ดังที่ปรากฏอยู่เสมอ ๆ ว่าผู้ที่มีคุณวิเศษบางคนนั้น ในห้วงเวลาหนึ่งสามารถแสดงคุณวิเศษได้จริง แต่เมื่อถูกลาภสักการะหรือกิเลสครอบงำมากขึ้นอำนาจหรือคุณวิเศษนั้นก็เสื่อมถอยจนกลายเป็นคนลวงโลกในที่สุด

            แต่ถ้าเป็นญาณที่ยกระดับถึงขั้นโลกุตระแล้วก็เป็นอันตัดขาดจากกระแสโลกและสังสารวัฏเด็ดขาดสิ้นเชิง เพราะเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดการฟื้นกลับไม่เกิดขึ้นได้อีก ดังที่พระตถาคตเจ้ามักตรัสว่าเป็นดั่งตาลยอดด้วน ดังนั้นญาณทั้งหลายจึงดำรงคงอยู่เป็นนิรันดร์ ไม่หวนคืนกลับหรือเสื่อมถอยได้อีก

            คำตรัสสอนในเรื่องปฏิจสมุทบาทที่ว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารคือการปรุงแต่งนั้น อวิชชาที่ว่านี้ก็คือภาวะที่ตรงกันข้ามกับวิชชา ไม่ใช่ความไม่รู้ซึ่งถูกเพียงส่วนน้อยเท่านั้น และหากจะแปลอวิชชาว่าเป็นความไม่รู้ก็จะทำให้ไม่รู้เรื่อยไป  แต่ถ้าแปลอวิชชาว่าเป็นภาวะที่อยู่ตรงกันข้ามกับวิชชาแล้วก็จะทำให้เกิดความรู้ ความสว่าง และสามารถรับรู้ความจริงอันประเสริฐได้

            วิชชาที่ตัดสังสารวัฏในปฏิจสมุทบาทนั้นก็คือวิชชาแปดประการที่ว่านี้ในระดับที่เป็นโลกุตระโดยเฉพาะคืออาสวัคขยญาณนั่นเอง

            วิชชาเจ็ดประการที่ยังไม่บรรลุถึงอาสวัคขยญาณ แม้จะยังไม่ถึงขั้นโลกุตระก็จริงแต่ก็ทำให้ก้าวพ้นจากความเป็นเปรต ผี อมนุษย์ มนุษย์ ถึงซึ่งความเป็นเทพ พรหม และพระอริยะ แต่ถ้าเมื่อใดที่บรรลุถึงอาสวัคขยญาณเป็นวิชชาที่แปดแล้วก็จะถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นอาสวัคขยญาณจึงเป็นวิชชาเอกในการตัดสังสารวัฏถึงซึ่งความดับทุกข์สิ้นเชิง

            ทั้งยังส่งผลให้วิชชาเจ็ดประการข้างต้นหรือญาณเจ็ดประการข้างต้นสามารถเปล่งอานุภาพในระดับที่สูงขึ้นกว่าขั้นที่ยังไม่บรรลุถึงระดับโลกุตระ

            เพราะเหตุที่บรรลุถึงหรือทรงไว้หรือมีวิชชาแปดประการนั้นแล้ว จึงมีขีดความสามารถที่จะกระทำสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ล่วงพ้นวิสัยมนุษย์หรือที่เรียกว่าปาฏิหาริย์ได้ และสามารถกระทำได้ในระดับสูงสุด ส่วนการบรรลุถึงวิชชาเจ็ดประการโดยที่ยังไม่บรรลุถึงอาสวัคขยญาณนั้น แม้มีขีดความสามารถที่จะกระทำปาฏิหาริย์ได้ทำนองเดียวกัน แต่ขีดความสามารถนั้นก็อาจเสื่อมถอยได้ดังที่ได้พรรณนามาแล้ว ความต่างกันจึงอยู่ที่ความเสื่อมถอยอย่างหนึ่ง และระดับของการกระทำปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่ง

ที่มา
http://www.paisalvision.com/2008-11-06-05-16-28/616--71.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 27 มิ.ย. 2554, 11:25:52 »
มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน(3/3)

สิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์หรือความมหัศจรรย์ล่วงพ้นวิสัยมนุษย์ธรรมดานั้นมีสามประการคือ

            ประการแรก ได้แก่อิทธิปาฏิหาริย์ ได้แก่การกระทำความมหัศจรรย์โลดโผนต่าง ๆ ล่วงพ้นวิสัยของมนุษย์ เช่น คนเดียวทำเป็นหลายคน หลายคนทำเป็นคนเดียว หายตัวไป เหาะเหินเดินอากาศ เดินฝ่ากำแพงภูเขาได้ เดินไปบนน้ำได้ ดำดินได้ ลุยไฟได้ เป็นต้น

            ประการที่สอง ได้แก่อาเทศนาปาฏิหาริย์ คือการทายใจหรือการกำหนดรู้ใจผู้อื่นแล้วกระทำการที่ตรงกับใจเป็นที่อัศจรรย์ ทำให้เกิดความสว่างกระจ่างแจ้ง ตรงกับปัญหาค้างคาอยู่ในใจนั้น

            ประการที่สาม ได้แก่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือการสอนเป็นที่อัศจรรย์บริสุทธิ์ บริบูรณ์ด้วยอรรถะ พยัญชนะ งดงามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง ในที่สุด ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และได้รับผลของความรู้นั้นอย่างรวดเร็ว ดังที่ปรากฏคำสรรเสริญพระตถาคตเจ้าจากบรรดาผู้ฟังธรรมมากหลายในพระไตรปิฎกว่า “แจ่มแจ้งดังเปิดของคว่ำให้หงายขึ้น”

            ในบรรดาปาฏิหาริย์ทั้งสามประการนี้ พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสรรเสริญเฉพาะอนุสาสนีปาฏิหาริย์เพราะเป็นความมหัศจรรย์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขของเวไนยสัตว์ โต้แย้งไม่ได้ไม่ว่าในกาลไหน ๆ ต่างกับปาฏิหาริย์สองประเภทแรกซึ่งผู้ที่ไม่เห็นด้วยตาหรือผู้ที่ไม่เชื่ออาจตำหนิติเตียนได้ และทำให้เกิดข้อโต้เถียงวิวาทได้

            เพราะในอินเดียเวลานั้นมีวิชาพิสดารอยู่สองวิชา วิชาหนึ่งเป็นของชาวคันธาระ มีชื่อว่าคันธารวิชา และวิชาของชาวมณีปุระที่เรียกว่ามณีวิชา เป็นวิชาที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์บางประการได้ สามารถทายดักใจได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้โยคีในอินเดียก็ยังใช้วิชาเช่นนี้อยู่ บางคนเข้ามาในประเทศไทยแล้วใช้วิชาดักทายใจให้ปรากฏมาแล้วมากมาย

            วิชาดังกล่าวนี้ไม่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งหรือเพื่อความดับทุกข์ เป็นวิชาเพื่อแสวงหาลาภสักการะที่ทำให้เกิดความละโมบโลภมากกระทั่งกลายเป็นเรื่องลวงโลก ดังนั้นพระตถาคตเจ้าจึงทรงตรัสสรรเสริญเฉพาะอนุสาสนีปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นประโยชน์จริง เป็นประโยชน์แท้แก่เวไนยสัตว์

            เพื่อป้องกันการแปรผันจนกลายเป็นการลวงโลกและการถกเถียงโต้แย้ง พระตถาคตเจ้าจึงตรัสห้ามพระสาวกแสดงอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทศนาปาฏิหาริย์ในลักษณะที่เป็นการโอ้อวด และถ้าไม่มีคุณสมบัตินี้ในตนแล้วอวดอ้าง หากเป็นพระภิกษุก็ทรงบัญญัติโทษสถานหนัก ถึงขั้นพ้นจากความเป็นภิกษุคือเป็นความผิดขั้นปาราชิก

            แต่ทว่าที่ทรงตรัสห้ามนั้นไม่ได้ทรงตัดผลที่เกิดขึ้นตามธรรมดาธรรมชาติ ไม่ได้ทรงห้ามกระทำในคราวหรือโอกาสอันจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์ในการพระศาสนาดังที่ทรงตรัสสั่งให้พระสาวกกระทำอิทธิปาฏิหาริย์หลายครั้งหลายหน แม้พระองค์เองก็ทรงกระทำเช่นเดียวกัน เป็นแต่ทรงเลือกกาล เลือกสถานที่อันสมควรที่เหมาะสมและจำเป็น

            แต่คนในชั้นหลังห่างเหินออกไปจากการฝึกฝนอบรมจิต ไม่สามารถได้รับคุณวิเศษและกระทำคุณวิเศษดังกล่าวได้ กลับใช้เป็นข้ออ้างว่าทำอิทธิปาฏิหาริย์ไม่ได้เพราะพระตถาคตเจ้าทรงห้ามซึ่งคลาดเคลื่อนไปจากพุทธประสงค์โดยแท้

            อิทธิฤทธิ์และปาฏิหาริย์เป็นผลธรรมดาที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรมจิตและเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความศรัทธาเพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่พระศาสนา ทั้งเป็นประจักษ์พยานแห่งความตรัสรู้ของพระตถาคตเจ้า ตลอดจนวิชชาแปดประการที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ ทรงแสดงไว้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่จะต้องฝึกฝนปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ให้มากที่สุด เพราะวิชชาทั้งแปดประการนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ตน เพื่อประโยชน์ท่านโดยเฉพาะ เพื่อประโยชน์ในการเผยแพ่รพระศาสนาให้บังเกิดประโยชน์สุขแก่มวลชนด้วย 

            ในภาคสามแห่งมหัศจรรย์แห่งโลกภายในนี้มุ่งเน้นพรรณนาเฉพาะอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทศนาปาฏิหาริย์ โดยจะไม่ก้าวล่วงถึงอานุสาสนีปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ในการสั่งสอนเผยแพร่พระธรรมคำสอนหรือความจริงอันประเสริฐซึ่งเป็นเรื่องอีกส่วนหนึ่ง และสำหรับผู้สนใจในเรื่องนี้ก็สามารถฝึกฝนและใช้ได้ตามแนวทางที่ทรงแสดงไว้ในส่วนที่ว่าด้วยเรื่องวิธีการสอนของพระตถาคตเจ้านั้น

            อิทธิปาฏิหาริย์และอาเทศนาปาฏิหาริย์คือการกระทำความมหัศจรรย์เหนือมนุษย์โดยอาศัยวิชชาห้าประการในแปดประการคือ อิทธิวิธี มโนมยิทธิ เจโตปริยญาณ ทิพยโสต และทิพยจักษุ ซึ่งจักได้พรรณนาต่อไปโดยลำดับ.


ที่มา
http://www.paisalvision.com/2008-11-06-05-16-28/616--71.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 27 มิ.ย. 2554, 03:29:20 »
มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน(ปฐมบท 1/2)


 สืบเนื่องมาจากการเขียนบทความเรื่องมาฆบูชาวิพากษ์ ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 25, 27 กุมภาพันธ์, 1, 3, และ 5 มีนาคม 2547 ได้มีท่านผู้อุปการคุณเสนอแนะว่าอยากจะให้เขียนบทความเกี่ยวกับการพระศาสนาให้มากขึ้น เพราะเกิดความร่มเย็นเป็นสุขทางจิตใจและได้ประโยชน์

            ได้น้อมรับและรับปากที่จะทำหน้าที่ของพุทธมามกะตามที่ท่านผู้มีอุปการคุณได้กรุณาแนะนำไว้นั้น เพราะแม้ว่าบางความเห็นถึงจะพอรู้ว่าเป็นท่านผู้มีอุปการคุณที่มีทัศนะทางการเมืองไม่ค่อยตรงกัน และไม่ประสงค์จะให้เขียนบทความในทางการเมืองเพราะอาจเกิดผลกระทบต่อทัศนะทางการเมืองหรือพรรคการเมืองบางพรรค แต่ก็ยังคงเห็นประโยชน์โดยรวมของการทำหน้าที่พุทธมามกะ และหน้าที่ในการรับใช้พระพุทธศาสนา จึงได้น้อมรับด้วยความยินดี และจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดตามควรแก่สติปัญญาความสามารถที่จะกระทำได้

            จึงได้บอกกล่าวความตกลงใจนั้นโดยทางเว็บไซต์ www.manager.co.th เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547 พร้อมทั้งได้ชี้แจงถึงความตั้งใจว่าเมื่อรับปากกันแล้วก็จะเขียนเรื่องที่ไม่ค่อยมีผู้คนสนใจหรือกล่าวหรือเขียนถึง ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีความมหัศจรรย์ยิ่งนัก นั่นคือเรื่องมหัศจรรย์แห่งโลกภายใน ซึ่งเป็นโลกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ใช้ความพยายามตลอดพระชนม์ชีพในการอบรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ และจะบังเกิดประโยชน์แท้จริงแก่ผู้ศึกษาอบรมตน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในลัทธิศาสนาไหนหรือเพศวัยใดก็ตาม

            แต่ว่าเรื่องมหัศจรรย์แห่งโลกภายในนั้นคงจะมีความยาวหลายตอนจบ เพราะเหตุที่ว่าเป็นเรื่องที่มีความกว้างขวาง ละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง จึงย่อมไม่อาจทำให้จบลงในตอนเดียว ในเนื้อที่อันจำกัดได้ ตรงนี้แหละที่เป็นความจำกัดเพราะถ้าจะเขียนเป็นเรื่องยาวหลายตอนนักและลงตีพิมพ์ติดต่อกันก็จะเกิดผลกระทบอย่างอื่น ๆ

            เบื้องแรก กระทบต่อความปรารถนาของสิริอัญญาผู้น้อยเองที่ยังคงมีความสนใจในทางการเมืองและความเป็นไปของบ้านเมือง บางห้วงเวลาอาจเห็นว่ามีเรื่องสำคัญที่ควรออกความคิด ความเห็น หรือควรบอกกล่าวข่าวสารข้อมูลหรือความเห็นให้ได้รู้กัน ก็จะทำไม่ได้

            ถัดมาย่อมกระทบต่อความต้องการรับรู้เรื่องราวอื่น ๆ ของท่านผู้มีอุปการคุณที่ได้ติดตามบทความคอลัมน์นี้เพราะย่อมมีบางท่าน บางกลุ่ม ที่มีความสนใจในด้านอื่น ๆ ดังนั้นหากเขียนเรื่องการพระศาสนาต่อเนื่องกันนานเกินไปก็อาจเกิดความเบื่อหน่าย

            ที่สุดก็เกรงใจกองบรรณาธิการ เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับความกรุณาให้สิริอัญญาผู้ต่ำต้อยเขียนเรื่องอะไรเรื่อยเปื่อยได้ตามอำเภอใจ แต่ใจก็ต้องเกรงใจเพราะคนนั้นย่อมมีใจ ไม่ใช่ใครเกรงใจใครให้ความกรุณาแล้วจะถือเอาเป็นวิสาสะทำการตามอำเภอน้ำใจมากขึ้น ก็ย่อมไม่สมควร



            ดังนั้นบทความชุดยาวเรื่องมหัศจรรย์แห่งโลกภายในจึงจำเป็นที่จะต้องลงตีพิมพ์เป็นครั้งคราว ตามควรแก่โอกาสและตามควรแก่วาระที่สมควร ขอท่านผู้มีอุปการคุณได้โปรดให้ความกรุณาติดตามก็แล้วกัน

            บทความวันนี้เป็นตอนแรก จึงอยากทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าโลกภายในเสียก่อน เพราะเป็นเรื่องควรต้องทำความเข้าใจเป็นปฐม เนื่องจากคนเรานั้นแม้ผ่านวันเวลามานานช้าเพียงใด แต่ระบบการศึกษาเรียนรู้และความเป็นอยู่ของคนเราได้ถูกกำหนดโดยสภาพแวดล้อมให้โน้มน้อมไปตามสภาพแวดล้อมนั้น

            เราได้เรียนรู้และถูกอบรมสั่งสอนกันตลอดมาถึงเรื่องของโลก และกว้างออกไปถึงระบบสุริยจักรวาล ไกลออกไปถึงระบบสุริยะอื่น ๆ แม้กระทั่งเหตุการณ์ที่จะเป็นไปในกาลข้างหน้าก็มีศาสตร์ให้ได้เล่าเรียนศึกษาดังที่เรียกว่าอนาคตศาสตร์นั้น

             แต่โลกภายในซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และหากจะกล่าวกันให้ถึงที่สุดแล้วยังคงมีฐานะและความสำคัญมากกว่าเรื่องของโลกภายนอก คนเรากลับเรียนรู้หรือศึกษาน้อยกว่าน้อยนัก ถามกันตรงนี้ก็ได้ว่าใครรู้จักโลกภายในบ้าง? หากซื่อตรงต่อตนเองแล้วก็จะมีคำตอบที่ไม่ต่างกันคือโลกภายในคืออะไรกันแน่?

            มนุษย์เสียเวลาทุ่มเทเงินตราและทรัพยากรนับไม่ถ้วนในการศึกษาเรื่องของโลก แต่ถึงวันนี้มนุษย์ก็ได้เรียนรู้แต่ว่าสิ่งที่เป็นพื้นผิวโลกนั้นเป็นอย่างไร ใต้ทะเลอันล้ำลึกก็เรียนรู้ได้เพียงบางระดับ ใต้ผืนพิภพก็เรียนรู้ได้เพียงบางระดับ บนอากาศถึงอวกาศก็ยังคงมีความรู้ที่จำกัด ยิ่งระบบสุริยะก็ยังห่างไกลจากความรู้ที่แท้จริง ความรู้ที่ห่างไกลจากความรู้ที่แท้จริงเพียงใดก็ต้องอาศัยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ และตรรกะมากขึ้นเท่านั้น 

            ผลคำนวณทางคณิตศาสตร์และตรรกะเป็นคนละเรื่องกับความจริง อย่างใกล้เคียงที่สุดก็เป็นแค่การอนุมานที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเท่านั้น

            มนุษย์ยังมีความกำเริบยิ่งไปกว่านั้น ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยสัมผัสและไปได้ถึงระบบสุริยะอื่น ๆ อันไกลโพ้นออกไป แต่ก็ยังสู้คิด สู้คำนวณ สู้เขียน สู้วาดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว จนราวกับว่าเป็นความจริง ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ทำนั้นยังคงเป็นเพียงความคิดฝันที่ยังไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรเท่านั้น


ที่มา
http://www.paisalvision.com/2008-11-06-05-16-28/182--1.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 27 มิ.ย. 2554, 03:32:31 »
มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน(ปฐมบท 2/2)


 ระบบการศึกษาปัจจุบันกำหนดให้คนเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้มากกว่าสิ่งที่จำเป็นจะต้องรู้ จนลูกเด็กเล็กแดงต้องแบกหอบหิ้วหนังสือตำราจนหลังค่อมหลังโกง โดยผลที่แท้จริงแล้วสิ่งที่เล่าเรียนนั้นจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้สักเท่าใด กลับไม่ได้คิดคำนึงถึง

            เราเสียเวลาเรียนชั้นประถมหลายปี ต่อชั้นมัธยมอีกหลายปี ยังไม่พอยังต้องต่อไปจนถึงชั้นอุดมศึกษา เลยเถิดไปถึงชั้นปริญญาโท ปริญญาเอก และอะไรต่อมิอะไร จนสุดที่จะคณานับ

            เราเสียเวลาเล่าเรียนในถิ่นเกิดยังไม่พอ ยังต้องเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนต่อถึงต่างถิ่นต่างแดน

            ซึ่งไม่ผิดเพราะชีวิตคนก็คือชีวิตของการศึกษาเรียนรู้ เป็นแต่ว่าการศึกษาเรียนรู้นั้นควรจะได้ศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่ควรต้องรับรู้เพื่อเป็นประโยชน์ของชีวิตและเพื่อให้คุ้มกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์บ้าง แต่มนุษย์กลับเรียนรู้สิ่งที่ควรรู้และสิ่งที่จะพึงเป็นประโยชน์แก่ชีวิตน้อยกว่าน้อยนัก

            นั่นคือเราไม่เคยเรียนรู้ เราไม่เคยศึกษาเรื่องโลกภายใน และยิ่งไม่มีทางที่จะรับรู้หรือสัมผัสได้กับความมหัศจรรย์แห่งโลกภายใน มิหนำซ้ำยังไม่เฉลียวใจว่าโลกทั้งปวงนั้นหาได้มีอยู่แต่โลกหรือพิภพหรือโลกภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากยังมีอีกโลกหนึ่งซึ่งอยู่กับตัวตนของเราเอง นั่นคือโลกภายใน

            มนุษย์ศึกษาเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองก็เฉพาะแต่สิ่งซึ่งประกอบกันเข้าเป็นร่างกาย เวลานี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพได้ก้าวรุดหน้ายิ่งกว่ายุคใดสมัยใด ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ได้รู้จักแต่เพียงสิ่งที่เล็กที่สุดเท่าที่รู้จักในปัจจุบัน อันประกอบกันเข้าเป็นร่างกายและได้รู้ถึงระบบต่าง ๆ อันประกอบอยู่ในร่างกาย แต่กลับมีความรับรู้เพียงน้อยนิดในเรื่องความสัมพันธ์และการทำงานโดยเฉพาะระบบการควบคุมการทำงานขององคาพยพทั้งหมด

            วันนี้ระบบการศึกษาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพยังไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กฝาแฝดสองคนที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในสังคมเดียวกัน รับการศึกษามาอย่างเดียวกัน แต่ไฉนเล่าคนหนึ่งเห็นว่าการเอาเปรียบผู้อื่นเป็นสิ่งผิด แต่อีกคนหนึ่งกลับเห็นว่าการเอาเปรียบผู้อื่นเป็นสิ่งประเสริฐ อะไรเล่าที่เป็นเหตุทำให้เกิดความแตกต่างนี้?

            มนุษย์แทบจะไม่ได้ตั้งความสังเกตว่าโลกหรือพื้นพิภพที่มีพื้นผิวที่ประกอบด้วยผืนดินและแผ่นน้ำที่มีสัดส่วนราว 2 ต่อ 5 นั้น หากจะเปรียบเทียบกับร่างกายของคนเราก็อาจจะพบถึงสัดส่วนที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก

            ผลการศึกษาของมนุษย์ได้พบว่าต่ำใต้พื้นพิภพของเรานี้มีน้ำ มีไฟ แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันอยู่กันได้อย่างไร และอะไรมากกว่าอะไร หรือส่งผลกันอย่างไร อย่างมากมนุษย์ก็รู้แต่เพียงว่าพิภพของเรานี้ประกอบขึ้นด้วยสิ่งที่เรียกว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ

            แต่มนุษย์ก็ยังไม่ได้ตระหนักหรือเฉลียวใจว่าในร่างกายของเรานี้ก็มีส่วนประกอบที่ไม่ต่างกันกับพิภพ นั่นคือเมื่อกล่าวรวมถึงที่สุดแล้วร่างกายของคนเราก็ประกอบด้วยสิ่งที่เรียกว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟเช่นเดียวกัน

            มันเป็นความบังเอิญที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก แต่ไฉนเล่ามนุษย์จึงไม่ใฝ่ค้นให้ยิ่งไปกว่าที่จะเห็นแค่ว่าเป็นเพียงความบังเอิญ 

            ความรับรู้ของมนุษย์อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ที่สัมผัสกับการสะท้อนของแสง คลื่นเสียง คลื่นกลิ่น รสชาติ ความร้อน หนาว และอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ แล้วก็พากันยึดถือว่าสิ่งที่สัมผัสเหล่านั้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ และยึดถือต่อไปว่านั่นคือความจริงแท้ที่รู้ได้ สัมผัสได้

            ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ถึงปัจจุบันนี้ได้ให้บทเรียนที่เจ็บปวดแก่มนุษย์ว่าอายตนะของมนุษย์ที่เป็นที่สัมผัสและเกิดความรับรู้คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้นมีความจำกัดอย่างยิ่งยวด ยังมีบางสิ่งบางอย่างซึ่งขอเรียกรวมกันว่า “สิ่ง” ซึ่งอายตนะเหล่านี้ไม่มีขีดความสามารถที่จะรับรู้สัมผัสได้ และสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ ไม่สามารถสัมผัสได้นั้น มีหรืออาจจะมีมากกว่าสิ่งที่รู้หรือสัมผัสได้เสียอีก

            ยกตัวอย่างในเรื่องผลของการมองเห็น มนุษย์มองเห็นได้เพราะคลื่นแสงกระทบวัตถุเข้าสู่ตา แต่ความสามารถของตาในการรับรู้สัมผัสภาพสะท้อนจากคลื่นแสงนั้นมีความจำกัดมาก ในห้วงคลื่นทั้งหมดของแสงจะมีเพียงห้วงเล็กน้อยเท่านั้นที่กระทบวัตถุแล้วสะท้อนให้ตามนุษย์สัมผัสได้ เปรียบเทียบได้ว่าห้วงคลื่นแสงทั้งหมดที่มีความยาว 100 เมตร มีห้วงของคลื่นแสงเพียง 5-10 เมตรเท่านั้นที่มีความถี่ที่มนุษย์สามารถรับรู้สัมผัสได้

            ดังนั้นคลื่นแสงที่เกินขีดความสามารถที่ตาจะรับรู้สัมผัสได้ แม้จะกระทบกับสิ่งใดและสะท้อนมาสู่ตา ตาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ และว่าไปแล้วในบางกรณีสายตามนุษย์ยังสู้สายตานกเค้าแมวไม่ได้ นี่ก็เพราะความสามารถในการรับรู้สัมผัสของตามนุษย์นั่นเอง.


ที่มา
http://www.paisalvision.com/2008-11-06-05-16-28/182--1.html

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 27 มิ.ย. 2554, 08:22:37 »
มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน 36; 36;
                                                         
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
   
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :033: :033:
   
 

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ il2oKJiT

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 35
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - il2oKJiT@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 16 ส.ค. 2554, 07:41:26 »
ขอบคุณสำหรับบทความดีดีครับ  :016: :015: