:059:ไม่ใช่บทความหรือเรื่องสั้น ไม่ใช่บันทึกประจำวัน แต่มันเป็นคำบอกเล่าจากความรู้สึกในชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งมันเป็นจริงในขณะนั้น อาจจะเรียกได้ว่ามันเป็นปัจจุบันธรรม เป็นถ้อยคำที่เรียบง่าย ไร้การปรุงแต่งหรือกลั่นกรอง เพราะเป็นมุมมองในขณะนั้น อาจจะถูกต้องหรือผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็ไม่อาจจะสรุปได้ เพราะมันเป็นความรู้สึกส่วนตัว
ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งคนส่วนมากไม่ยอมรับในสิ่งนั้น พยายามปกปิดหรือปฏิเสธมันอยู่ตลอดเวลา เพราะมันคือกิเลสที่มีอยู่จริงที่ซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของเรา ทันทีที่ตากระทบรูปหรือ
รูปมากระทบตา หูได้ยินเสียง หรือเสียงมากระทบหู จมูกรับรู้กลิ่น ลิ้นรับรู้รส กายได้รับการสัมผัส ความรู้สึกก็เกิดที่ใจ ดีบ้างชั่วบ้าง ต่างกรรมต่างวาระ แล้วแต่เหตุปัจจัยในขณะนั้น
ซึ่งถ้าจิตเป็นกุศลผลที่ออกมาในทางที่ดี และถ้าจิตในขณะนั้นเป็นอกุศล ผลที่ออกมาย่อมเป็นทางลบ ทั้งหมดมาจากพื้นฐานของการฝึกฝนอบรมจิต หันมามองตัวของเรา ค้นหาตัวเรา
ทำความรู้ความเข้าใจกับตัวเรา
:059:คุณเคยมองบ้างไหมในเรื่องนี้ ลองศึกษาดูบ้าง แล้วคุณจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณ
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ทดลองวิธีปฏิบัติตัวใหม่ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อน เพียงแต่ได้ยินได้ฟังได้เห็นมา แต่ไม่เคยปฏิบัติจริง ลองทำดูก็รู้สึกว่าดี จิตละเอียดขึ้น ความฉับไวของสติดีขึ้น ตามดูตามรู้ตามเห็น
เริ่มจากของหยาบไปสู่ของละเอียด จากช้าไปหาเร็ว ไปตามขบวนการของการพัฒนาทางจิต
ไม่ว่ากรรมฐานกองใด ถ้าเราเข้าใจหลักการของการปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากก็คือใจของเรา ทำใจเราให้ยอมรับความจริง ลดความถือตัวถือตน ความยึดถือ ฝึกใจ
ให้ละพยศคือความดื้อรั้น เท่านั้นก็เพียงพอต่อการเข้าสู่พื้นฐานการพัฒนาทางจิต ไปสู่ภูมิธรรมที่ยิ่งกว่า
ฟังดูง่าย พูดง่ายๆ แต่ทำได้ไม่ง่ายเหมือนที่พูด ที่เขียน เพราะก่อนที่จิตมันจะยอมรับ เราต้องทำความรู้จักทำความคุ้นเคยกับสิ่งนั้นเสียก่อน เราต้องรู้จักใจของเรา เห็นกิเลส
ของเรา คือเห็นตัวตนที่แท้จริงของเราเสียก่อนว่ามันเป็นอย่างไร เราจึงจตะเข้าไปจัดการกับมันได้ เพื่อความเหมาะสมตามกำลังความสามารถ ความพร้อมของกายและจิต โดยอาศัย
จังหวะ เวลา โอกาศ สถานที่ และบุคคล เป็นเหตุเป็นปัจจัย....
รอยเท้าที่ก้าวไปจะห่างไกลจากจุดเริ่มต้นไปทุกขณะ.....ถ้าเรายังก้าวเดินไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา.....