ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวประวัติ วัดศรีอุปราราม  (อ่าน 4908 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ pairat

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 6
    • ดูรายละเอียด
ชีวประวัติ วัดศรีอุปราราม
« เมื่อ: 16 มิ.ย. 2552, 07:58:51 »
วัดหนองบัว ต.หนองบัว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
วัดหนองบัว สร้างตั้งแต่สมัยไหนไม่อาจจะรู้ได้จากคำบอกกล่าวของก๋งพ้ง บัวขม(แซ่โค้ว)อายุ99ปี
คุณก๋งพ้ง บัวขม(แซ่โค้ว เกิดเมื่อปีพ.ศ2425ชะตา2524บอกเล่าให้ผมผู้เป็นหลานสมัยท่านมีอายุ ขณะนั้นเข้าเจ้ามีอายุได้26ปี
สมัยที่ก๋งพ้งเป้นเด็กๆ ได้บอกกล่าวจาก ก๋งอู๊ บัวขว (แซ่โค้ว) ซึ่งเป็นบิดา ว่าวัดหนองบัวมีเจ้าอาวาสหลายองค์
1.หลวงปุ่โบย เป็นชาวมอญ
2.หลวงปู่เหมีน เป็นชาวเขมร
3.หลวงพ่ออุปณาย์ กลิ่น เป็นคนหนองบัวโดยกำเนิด
วัดหนองบัว เมื่อสมัยก่อนยังเป็น สำนักสงฆ์อยู่(ทุ่งเลือดแห้ง)หรือปัจจุบัน(ทุ่งลาดหญ้า)ท่านอุปณาย์กลิ่นองค์นี้เป็นบรมจารย์ที่เรืองเวทย์ พระอริยสงฆ์ขากทั่วสารทิศให้ความเคารพท่าน และมอบตัวเป็นศิษย์ของท่าน ถ้ำพุพระ (หรือถ้ำขุนแผน)ซึ่งอยู่ในเขตวัดหนองบัว เป็นที่นั่งวิปัสสนาหรือนั่งกรรมฐาน จนท่านสำเร็จวิชาต่างๆ
อริยสงฆ์ที่มอบตัวเป็นศิษย์ในยุดนั้น ได้แก่
1.หลวงปู่ม่วง วัดบ้านทวน จ.กาญจนบุรี
2.หลวงปู่เนียน วัดน้อย
3.หลวงปู่ปาน วัดบางเหี๊ย จ.สมุทรปราการ
4.หลวงปู่ทา วัดพระเนียงแตก จ.นครปฐม
5.หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
6.หลวงปู่บุญ วัดบางแก้วจ.นครปฐม
7.หลวงพ่อเฒ่ายิ้ม วัดหนองบัว (ศิษย์ก้นกุฎิจนหลวงปู่กลิ่นมรณภาพ)
หลวงปู่กลิ่น เกิดพ.ส.2301มรณะภาพพ.ศ 2418 รวมศิริอายุได้117ปี ถือว่าเป้นบรมจารย์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในสมัยนั้น
ชีวประวัติ ของหลวงพ่อเฒ่า (จันทโชติ) อริยสงฆ์แห่งวัดหนองบัว
ท่านเป็นชาววังดัง จ.กาญจนบุรี เกิดปีมะโรง เดือนห้าวันอังคาร พ.ศ. 2387 เป็นบุตร นายยิ่ง
นางเปี่ยม เมื่อสมัยเด็กมีนิสัยใจกล้าเป็นนักเลงพูดจริงทำจริงเด็กรุ่นเดียวกันหรือแก่กว่ายกให้เป็นลูกพี่ ได้เป็นกำลังช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพค้าไม้ไผ่ ไปขายที่ปากอ่าวแม่กลองจนเป็นที่รู้จักของชาวแม่กลองเป็นอย่างดี
ก่อนครบบวชท่านได้บวชเป็นสามเณรอยู่2ปีที่วัดบ้านเกิด ต.วังด้ง จนอายุ20ปีบริบูรณ์ ตรงกับปีพ.ศ.2408 โยมบิดา- มารดาทั้งสองได้นำสามเณรยิ้มไปบวชที่วัดทุ่งสมอ เขตบ้านทวน จ.กาญจนบุรี (ซึ่งเป็นบ่านเกิดของแม่ท่านเอง )โดยเจ้าอาวาสวัดทุ่งสมอเป็นพระอุปฌาย์บวชเป็นพระยิ้ม (จันทโชติ)อยู่รับใช้อุปฌาย์ และเรียนวิชาจนแตกฉาน อยู่2พรรษา สามารถสวดปาฎิโมกข์ได้อุปฌาย์วัดทุ่งสมอจึงชี้แนะให้ไปศึกษาวิชาและภาษาบาลี ที่สำนักวัดลิงขบ ย่านธนบุรี ซึ่งหลวงปู่พวง วัดลิงขบเป็นสหายกับอาจารย์ของท่าน ศึกษาอยู่ได้1พรรษา จึงเดินทางกลับวัดทุ่งสมอ อุปฌาย์วัดทุ่งสมอจึงชี้แนะให้ศึกษาวิชาไสยเวทย์ต่อที่จ.สมุทรสงคราม




ออฟไลน์ pairat

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 6
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ชีวประวัติ วัดศรีอุปราราม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 16 มิ.ย. 2552, 08:01:02 »
1.1หลวงพ่อปลัดทิม วัดบางยี่น้อย (เป็นสหายกับอุปฌาย์ของท่าน) ใครอาบน้ำมนต์วัดนี้คนจนก็จะรวย
2.1 หลวงปู่พ่วง วัดลิง้จน(วัดปากสมุทรสุดคงคา)เรียนวิชาทำธงกับอสุนิบาตสายฟ้าและพายุ
3.1หลวงพ่อกลัด วัดบางพรมอัมพวา เรียนทางมหาอุดผ้าเช็ดหน้าทางมหานิยม
4.1หลวงพ่อแจ้ง วัดประดู่อัมพวา เรียนทางแพทย์แผนโบราณ มีดหมอปราบภูตผีปัศาจรวมถึง1ปีเต็มๆท่านก็ออกธุดงค์ไปทางภาคใต้ สำนักวัดเขาอ้อจ.พัทลุง ด้วยความยากลำบาก และได้มนัสการหลวงปู่เฒ่าศึกษาวิชาจนสำเจ็จและได้ออกเดินธุดงค์ย้อนกลับมาถึงจังหวัดกระบี่ ด้วยความยากลำบากท่านธุดงค์บ่ายหน้าสู่ตะวันออกไปถึงนครวัตร ประเทศเขมรและธุดงค์ต่อประเทศลาว ผ่านภูเขาควาย ได้พบกับพระอาจารย์ เสาร์ ได้สนทนาธรรมและได้ย้อนกลับเมืองไทย ข้ามแม่น้ำโขงตรงกลับ จ.นครพนม เพื่ออวะกราบพระธาตุพนมและเดินธุดงค์ไปจรดเหนือสุดประเทศไทย ธุดงค์ไปมนัสการ พระธาตุเชวงกอง ประเทศพม่า และธุดงค์กลับประเทศผ่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี เพื่อเยี่ยมมนัสการอุปฌาย์ของท่านที่วัดทุ่งสมอ และได้จำพรรษาที่วัดทุงสมอจนถึงปีพ.ศ2416ได้ข่าวว่าสำนักสงฆ์แห่งวัดหนองบัวมีบรมจารย์ผู้แก่กล้าคือ ท่านหลวงพ่อกลิ่น อุปฌาย์กลิ่น หลวงพ่อเฒ่ายิ้มจึงมีความเกิดสัทธายิ่งจึงถวายตัวเป็นศิษย์ปลายปีพ.ศ.2416เป็นศิษย์องค์สุดท้าย ศึษาวิชาไสยเวทย์ต่างๆอยู่จนพ.ส.2417หลวงพ่ออุปฌาย์กลิ่นได้มรณภาพลง วัดหนองบัวจึงว่างเจ้าอาวาส ขาวบ้าน ต.หนองบัวจึงพร้อมใจนิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองบัวองค์ที่4ต่อจากหลวงพ่ออุปฌาย์ กลิ่นเมื่อปีพ.ศ2420 หลวงปู่ยิ้มได้บูรณะวัดต่อจากหลวงปู่กลิ่น จนวัดเจริญรุ่งเรือง ชาวหนองบัวจึงเคารพและศรัธาท่านมาก ในชีวิตของท่าน ท่านปักกลดเป็นวัด ใต้ต้นโพธิ์ ถ้ำเป็นวัดเฉพาะเข้าพรราอยู่ที่วัด แต่ออกพรรษาท่านจะธุดงค์ไปศึกษาวิชากับพระอาจารย์ต่างๆทั่วสารทิศ พระอาจารย์ไหนที่ว่าเก่ง จนท่านมีพระสหาย อริสงฆ์ดังๆหลายท่าน ซึ่งเป็นศิษย์ในสำนักเดียวกันบ้าง ต่างสำนักบ้าง ส่วนใหญ่ท่านจะปักกลดอยู่ใต้ต้นโพธิ์ มีอยู่ครั้งหนึ่งได้เกิดอาเพศทั้งฝนและลมได้ตกลงมาพัดจนกิ่งโพธิ์หักที่หลวงพ่อปะกกลดอยู่พอฝนหายนายก๋งพ้ง ปุ่ชื่น ปู่ทัน ได้วิ่งไปหาหลวงปู่ยิ้มด้วยความเป็นห่วง กิ่งโพธิ์ได้หักลงมาทับกลด แต่กลดของหลวงปู่ไม่เสียหายและเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกลดของหลวงปู่ไม่เปียกฝนและได้กลดที่ท่านนั่งน้ำไม่ไหลเข้าไป ลูกศิษย์ท่านนิมนต์ท่านให้ขึ้นวัด หลวงปู่ยิ้มได้พูดว่าเป็นเรื่องของธรรมชสติฉันไม่เป็นไร คืนนี้จะจำวัดที่นี่ต่อ ทุกคนจึงไม่กล้านิมนต์ท่าน เพราะหลวงปู่เป็นพระพูดน้อย ลูกศิษย์ทุกคนจึงไม่กล้าพูดต่ออีก และบางวันท่านจะถอนกลดจากใต้ต้นโพธิ์ไปจำวัดอยู่กลางป่าช้า เช้าท่านออกบินธบาตรโปรดสัตว์แล้วท่านก้จะกลับมากลางป่าช้าที่ปักกลด ท่านจะฉันข้าวอยู่กับวากศพที่ฝังและพวกสัตว์ป่าทั้งหลาย พอท่านฉันเสร็จท่านก็จะหว่นข้าวที่ลานป่าช้า ให้สัตว์จนสัตว์ป่าเชื่อง โดยเฉพาะหลวงปู่ท่านคุยกับสัตว์ได้ มีครั้งหนึ่งก๋งพ๋ง จำได้เวลาประมาณสองทุ่ม ได้นำลูกสมอที่ดองไปถวายท่าน หลวงปู่ยิ้มบอกก๋งพ๋งว่าฉันจะทำอะไรให้ดู หลวงปู่ให้ก๋งพ๋งไปหยิบดินเหนียวมาก้อนใหญ่ ให้ปั้นเป็นควาย1ตัววัว1ตัว พอปั้นนเสร็จก๋งพ๋งก็ส่งให้หลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่หยิบควายขึ้นมาไว้ในมือและ

ออฟไลน์ pairat

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 6
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ชีวประวัติ วัดศรีอุปราราม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 16 มิ.ย. 2552, 08:05:01 »
นั่งบริกรรมปากชมุมขมิบแล้วท่านก็อามือปล่อยความไป ควายค่อยๆเคลื่อนตัววิ่งได้แล้วคล่อยๆใหญ่ขึ้นอยู่ตรงมุมป่าช้า สองขาเขี่ยดินฝุ่นกลบนัยต์ตาความแดงเหมือนดวงไฟ แล้วหลวงปู่ยิ้มก็หยิบวัวขึ้นมาแล้วทำปากขมุบขมิบก่อนปล่อยวัวท่านได้เดินขีดเส้นเป็นวงกลมบอกกับก๋งพ้งว่าอย่าออกไปนอกเส้น เดี๋ยวจะปล่อยวันธนูและวควายธนูขวิดกันพอพูดเสร็จ หลวงปู่ยิ้มปล่อยวัวธนูๆค่อยๆวิ่งออกไปและขยายตัวใหญ่เท่าควาย หลวงปู่ยิ้มพูดขึ้นว่าไอ้เขาเก ไอ้ทองแดงขวิดกันให้ดูหน่อยสิ พอสิ้นเสียงหลวงปู่สั่งทั้งสองตัวใหญ่ผิดปกติกว่าวัวควายธรรมดา เลียงเขาต่อตีต่อกันเป็นแสงประกายไฟดังป็อบแป๊บๆทำให้ก๋งพ้ง กลัวมากเพราะเป็นเวลากลางคืน และในป่าช้าด้วย พอสักพักหนึ่งสียงขวิดกันก็หายไปแล้วหลวงปู่ยิ้มก็ถามอยากดูอะไรอีกไหม ให้ก๋งพ้งลุกขึ้นไปหยิบฟางห่างจากป่าช้านิดหน่อย ก๋งพ้งได้ฟางสองกำมือและส่งให้หลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่ยิ้มจึงทำฟางให้เป็นหุ่นครทั้งสองคน แล้วนั่งบริกรรมคาถาเสกฟางให้เป็นหุ่นคนให้ตีกันให้ดูเป็นที่น่าแปลกประหลาดนักบางครั้งท่านจะถอนกลดไปจำวัดถ้ำผุพระ(ถ้ำขุนแผน) ภายในถ้ำขุนแผนนั้นมีศาลาทรงไทยเรือนเล็กอยู่หนึ่งหลังมีพระนอนใหญ่มากและพระพุทธรูปองค์ใหญ่ร่วมร้อยองค์ หลวงปู่ยิ้มท่านจะไปปักกลดบำเพ็ญภาวนาเพ่งกสิณไปบางครั้งอยู่เป็นเดือน ลูกศิษยืลูกหามาหาท่านจะต้องตามไปที่ถ้ำผุพระ แต่พอเข้าพรรษาท่านจะเดินมาปักกลดที่วัดหรือใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่ท่านบำเพ็ญวิปัสสนาของท่าน จนออกพรรษาเมื่อหมดหน้าฝน ลมตะวันออกเริ่มพัดมาน้ำใรแม่น้ำ (ต้นแม่น้ำแควใหญ่)เริ่มลดลงชาวกระเหรี่ยงเมืองท่ากระดาน ปัจจุบันคืออำเภอศรีสวัสดิ์  จ.กาญจนบุรี  ได้ล่องแพเอาอาหารป่ามาแลกเสื้อผ้า กระปิ เกลือ หอม กระทียมกับชาวบ้านหนองบัวในแพที่ล่องอยู่นั้นส่วนมากจะมีช้าง5/10เชือก พอแลกข้าวของเสร็จจะเอาของที่แลกได้ไส่หลังช้างกลับเมืองท่ากระดานเก่าเป็นอย่างนี้ทุกๆปีของชาวกระเหรี่ยง มีอยู่ครั้งหนึ่งชาวชาวเมืองท่ากระดานได้ล่องแพมาจอดอยู่ที่ท่าน้ำหน้าวัดหนองบัว ได้เอาช้าง2เชือกลงจากแพเพื่อให้กินหญ้าอยู่ชายแม่น้ำในเขตวัด เป็นเวลาประมาณ4โมงเย็น ชาวกระเหรียงก็เริ่มหุงข้าวอยู่บนแพ ขณะนั้นนั้นฝนก็ตกลงมาทำให้ฟืนที่อยู่บนแพเปียก ไม่มีฟืนจะหุงข้าว พ่อบ้านกระเหรี่ยงชื่อผ่องเซง ผู้มีวิชาอาคมทางไสยสาตร์มาก ชาวบ้านเมืองท่ากระดานกลัวเกรงมาก จึงพูดด้วยใจห้าวหาญไม่กลัวใคร เมื่อฟืนไม่มีหุงข้าว ก็เอาเสาศาลาเก่าๆวัดนี้เป็นฟืนหุงข้าวก็แล้วกัน พ่อบ้านกระเหรี่ยงจึงนั่งพนมมือหันหน้ามาทางศาลาเก่าๆแล้วหยิบขวานฟันไปที่หน้าแข้งตัวเองได้สิบกว่าครั้ง แล้ววางขวานลงสั่งให้ลูกน้องวิ่งขึ้นไปเอาฟืนที่ศาลาเก่านั้นลงมาที่แพเพื่อหุงข้าวค้มกิน  ช้างที่ปล่อยก็กินต้นไม้ที่วัดปลูกแทบจะไม่เหลือเลย พอฝนหยุดตกหลวงพ่อเหรียญกับ ก๋งพ้ง ปู่ชื่น ได้ออกจากห้องเพื่อจะไปไล่ช้างเดินผ่านศาลาเก่าเห็นชาวกระเหรี่ยงหยิบไม้ท่อนที่โคนเสาศาลาเก่า หลวงพ่อเหรียญ ก๋งพ้ง ปู่ชื่น ก็ตกใจจึงกลับมาบอกหลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่หัวเราะ หึ หึ สั่งให้ก๋งพ้งไปหยิบกะลามา2ลูกแล้วเดินลงจากกฎิของท่าน มายืนดูชาวกระเหรี่ยงแล้วเดินมาที่ช้าง2เรียกเห็นช้างกินหญ้าอย่างเพลิดเพลิน หลวงปู่นั่งยองๆอยู่พักหนึง ช้างทั้งสองเชือกก็เกิดอาการหมุมติ้วและเกิดลมปั่นฝุ่นคลุ้งไปหมด พอฝนจางช้างทั้งสองเชือกตัวเล็กนิดเดียว ยืนอยู่ข้างหน้าหลวงปู่ หลวงปู่จึงเอากะลาที่ถือมาครอบครอบไปที่ช้างสองตัวแล้วเดินกลับยืนอยู่ที่หน้าวัดที่ชาวกระเหรี่ยงผูกแพ หลวงปู่หัวเราะ ฟืนก็ไม่เปียกทำไมมุหุงข้าวล่ะเดี๋ยวมึดเด็กเล็กคงจะหิวนะโยม ย่องเซง หลวงปู่เดินกลับเข้ากุฎิได้สักพักหนึ่ง หลวงปู่เรียก ก๋งพ้ง ปู่ชื่น ให้เอาข้าวที่เหลือกับกับข้าวไปให้ชาวกระเหรี่ยงกินสิ  เพราะเขาหิวแล้ว ชาวกระเหรียงกินข้าวที่ทางวัดจัดให้จนอิ่ม พ่อบ้านชาวกระเหรี่ยงก็เอ๊ะใจ ทำไมฟืนที่เอามาหุงข้าวทั้งๆที่แห้งทำไมก่อไฟเท่าไหร่ก็ไม่ติดจึงคิดอยู่ในใจ พ่อบ้านชาวกระเหรี่ยงลุกขึ้นมาชักชวนลูกบ้านอีกสิงคนเดินขึ้นจากแพไปดูช้างที่ปล่อยไว้กินหญ้า ทั้งสามคนหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จึงกลับมานอน พอตื่นขึ้นเช้ารีบตามหาช้างอีกก็ไม่เจอจนนายทั้งสามคนจึงเข้ามากราบหลวงปู่ยิ้มให้ช่วยตามช้างให้ที หลวงปู่หัวเราะ หึ หึ แล้วเรียกก๋งพ้ง ให้ไปเอากะลาที่ครอบช้างออก พอก๋งพ้ง ปู่ชื่นกลับมา หลวงปู่ก็บอกชาวกระเกรียงทั้งสามคน ลองไปดูสิว่ามีช้างหรือเปล่า ชาวกระเหรี่ยงตรงไปที่กุฎิหลวงปู่ชาวกระเหรี่ยงขึ้นไปกราบอีกครั้งเพื่อขอรับผิดหลวงปู่ยิ้ม และพูดขึ้นว่าอย่าคิดว่ามีวิชาแล้วรังแกผู้อื่นคราวนี้ยกโทษให้แต่คราวหน้าอย่าทำอีกนะ หนังควายที่ท่านส่งมาเมื่อคืนนี้เอากลับไปด้วย ปีหน้าฉันจะทำศาลา

ออฟไลน์ ~เสน่ห์ต้นน้ำ~

  • ลูกบางพระ
  • ผู้คุมกฎ
  • *****
  • กระทู้: 3234
  • เพศ: ชาย
  • แก้งค์ ศาลา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ชีวประวัติ วัดศรีอุปราราม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 16 มิ.ย. 2552, 10:11:17 »
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

แต่กรุณาบอกที่มาหรือให้เครดิตกับหนังสือหรือผู้เขียนที่ท่านคัดลอกมาด้วยนะครับ
                            ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ pairat

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 6
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ชีวประวัติ วัดศรีอุปราราม
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 17 มิ.ย. 2552, 09:51:43 »
หนังสือ บันทึกโดย คุณก๋งพ้ง บัวขม(แซ่โค้ว)จากต้นตระกูล ผู้สร้างพระปิดตาหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว บันทึกไว้ที่ใน กระดาษสา (หนังสือไม่มีจำหน่าย) วันนี้พระเครื่องพระปิดตาหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัวไม่ใช่เพียงตำนานอีกต่อไป
 หลวงปู่เฒ่ายิ้ม วัดหนองบัว จังหวัดกาญจนบุรี     
ตะกรุดลูกอมท่านทำด้วย ทองคำ เงิน นาค ทองแดง ฝาบาตร ตพกรุดลูกอมท่านจะลงหัวใจโลกะธาตุมีน้ำหนัก1สลึงยาว7ใบมะขาม เรียงสัตตะโภชณงค์7  ตะกรุดมหาระงับปราบหงสา ทำด้วยเงิน ทองแดง ฝาบาตร ตะกั่วนมทุบ ซึ่งเป็นตะกั่งพระท่ากระดานที่หลวงปู่ยิ้มได้เอามาจากวัดท่ากระดาน  อำเภอศรีสวัสดิ์ บางลูกทำด้วยปรอท หรืออาจจะพบทำด้วยหน้าผากเสือใหญ่ เสือตัวที่นำมาทำจะต้องเป็นพญาเสือคุมเขตป่า ความยาวตะกรุด5-6-7นิ้ว
ท่านจะลงยันต์พระไตรปิฎกสลับลงจารด้วยยันต์พระพุทธเจ้าเดินจงกลมในพระครรภ์มารดา ล้อมด้วยหัวใจเปิดโลกขอบนอกด้วย อิติปิโสแปดทิศ  บางลุกท่านลงยันต์มหาโสฬมงคล แถวล่างลงหัวใจโลกะธาตุ ตามด้วย นะมะพะทะ ล้อมด้วยอิติปิโสแปดทิศ
ตะกรุดโทนทำด้วยตะกั่วนมท่ากระดาน ท่านจะทำใต้น้ำในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ทำได้ปีละครั้งๆละ9ดอก มีอยู่ปีหนึ่งหลวงปู่ยิ้มได้ทำที่วัดบ้านทวนโดยมีหลวงปู่ม่วงวัดบ้านทวนอยู่ด้วยหลวงปู่ม่วงเอาไว้4ดอกหลวงปู่ยิ้มเอากลับวัด5ดอกความยาวของตะกรุด4-5นิ้ว
ตะกรุดโทนนี้ต้องต้องถักเชือกจูงศพเท่านั้น  ต่อมาภายหลังหลวงปู่เหรียญได้นำตะกรุดของหลวงปู๋ยิ้มมาทารักใหม่
ตะกรุดทุกลูกที่ท่านทำท่านจะใช้พลังจิดเพ่งไปที่ตะกรุดให้ม้วนเองได้ ตะกรุดระงับปราบหงสาท่านจะทำครั้งละหลายๆสิบลูกเมื่อทำเสร็จท่านจะนำไปไว้ในโบสถ์ ในช่วงเข้าพรรษา3เดือน เมื่อออกพรรษาแล้วท่านจะรอให้พระอาทิตย์ทรงกลดตอนที่ยงวันซึ่งจะต้องเป็นวันเสาร์หรือวันอังคารด้วย ท่านจะนั่งปลุกเสกบนทรายที่ร้อนจัดจนกว่าพระอาทิตย์ทรงกลดนั้นหายไป และใบบัวที่วางตะกรุดนั้นเหี่ยวพับปิด ตะกรุดทุกลูกเสร็จแล้วท่านจะนำมาถักเชือกคนที่ถักคนแรกคือก๋งอู๋ บัวขม (แซ่โค้ว)ซึ่งเป็นพ่อของก๋งพ้งบัวขม ลายถักจะเป็นลายตะเข้ขบกับลายธรรมดาทั่วไป หลังจาก การถักตะกรุดเรียบร้อยแล้วท่านก็จะนำเข้าปลุกเสกครั้งสุดท้ายด้วยพระคาถาหัวใจพระปาฎิโมกถึง108ครั้งถือว่าเสร็จสิ้นวิธีปลุกเสกตะกรุดลูกอมของท่านพระคาถาสุดท้ายที่ท่านใช้ปลุกเสกมีดังนี้
อุททิฎฐัง  โขอายัสมันโต นิทานัง
อุททิฎฐา  จัตตาโร  ปาราชิกา ธัมมา
อุททิฎฐา  เตระสะ สังฆาทิเสสา  ธัมมา
อุททิฎฐา   เทว อะนิยะตา ธัมมา
อุททิฎฐา    ติงสะ นิสสัคคิยา ปาจิตติยา ธัมมา


อุททิฎฐา   เทวนะวุติ ปาจิตติ ธัมมา
อุททิฎฐา    จัตตาโร ปาฏิเทสะนียา ธัมมา
อุททิฎฐา (ปัญจะสัตตะติ) เสขิยา ธัมมา.
 เอตตะกันตัสสะ  ภะคะวะโต สุตตาคะตัง สุตตะปะริยาปันนัง  อันวัฑฒะมาสัง อุทเทสัง อาคัจฉะติ
ตัตถะ สัพเพเหวะ สะมัคเคหิ สัมโมทะมาเนหิ อะวิวะ ทะมาเนหิ สิกขิตัพพันติ ภิกขุปาฎิโมกขัง นิฎฐิตัง
หลวงปู่ยิ้มท่านยังได้ทำตะกรุดชุดพิเศษ มี9ดอก1.ทองคำ2.เงิน3.นาค 4.ทองแดง5.ฝาบาตร 6.ตะกั่วนมทุบพระท่ากระดาน7.ปรอทแท้8.เหล็กน้ำพี้หลอมรวมกับเพชรน้ำทั่ง 9.วัชระธาตุหยดน้ำทราวดี (เหล็กนิพาน) พร้อมกับรูปเหมือนกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ด้านหลังมียันต์ประทับตรงกับปีพ.ศ.2450ทำจากเนื้อพระปิดตามหาลาภ ที่ได้สร้างถวายให้กับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ คู่กับ มีปราบไพรี ตะกรุดปรอทแท้นั้นยาวถึง7นิ้ว