กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => ธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: ทรงกลด ที่ 22 มิ.ย. 2554, 08:17:53

หัวข้อ: ธรรมะหรรษา.........ไม้เขี่ยหมาเน่า
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 22 มิ.ย. 2554, 08:17:53
ไม้เขี่ยหมาเน่า

เรื่องมีอยู่ว่า..
หลวงพ่อถามว่า ถ้ามีหมาเน่าลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้าน เราจะทำยังไง
ทุกคนก็บอกว่าเอาไม้เขี่ยมันออกไป..
เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่าลอยไปแล้ว ไม้นั้นเราทำยังไง..
ก็ต้องโยนทิ้งไปใช่มะ..
หลวงพ่อบอกว่า นั่นแหละ..
มีคนบางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นทิ้งไปเฉยๆ
ไม่รู้เสียดายอะไร ทั้งๆที่รู้ว่าเหม็นแต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่เรื่อยไม้เขี่ยหมาเน่าๆเหม็นๆน่ะ..

- : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : -


เคยเป็นบ้างไหม เวลามีใครมาทำให้เราโกรธ
จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว
แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่นั่นแหละ..
ไม่รู้เสียดายอะไร ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้เป็นทุกข์ แต่ก็เก็บความคิดแค้นมาเผาใจอยู่เรื่อยๆ

หรือไม่ต้องเรื่องโกรธก็ได้.. อาจจะเป็นว่ามีเรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้ว..
แต่ก็ยังเก็บโน่นเก็บนี่มาคิดมากังวลมาเสียใจอะไรก็แล้วแต่..

เราคนนึงล่ะที่เคยเป็น แล้วเราว่าทุกคนก็คงเคยเป็นแหละ
คราวหลังถ้าเป็นอีกลองบอกตัวเองสิว่า..
แน่ะ.. หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะเรา..

คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย.. ไม่โง่ก็โรคจิตนะ
ดูซิว่ายังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆไว้ดมอีกไม๊ :)

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read7f95.html?No=478 (http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read7f95.html?No=478)
หัวข้อ: ตอบ: ธรรมะหรรษา.........ไม้เขี่ยหมาเน่า
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 22 มิ.ย. 2554, 08:29:26
เพราะไม่วาง...จึงหนัก

นาวาเอกผู้หนึ่งได้เข้าไปกราบสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเคยเป็นพระอุปัชฌาย์เขาเมื่อครั้งบวชที่วัดบวรนิเวศ

หน้าตาของนาวาเอกดูหม่นหมองและอิดโรย ท่าทางอมทุกข์ สมเด็จฯ จึงรับสั่งถามว่า “เป็นไงมั่งพักนี้?”

“หนักครับ” เขาทูล “ช่วงนี้แย่มากเลยครับ”
“หนักอะไร” สมเด็จฯ ถาม

แล้วนาวาเอกก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ประดังประเดเข้ามาทั้งเรื่องชีวิต เรื่องการงาน เขาบอกว่าตอนนี้จวนจะแบกไม่ไหวแล้ว
จึงมาเฝ้าสมเด็จฯ ขอบารมีเป็นที่พึ่ง


สมเด็จฯ นั่งสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่าและยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า
แล้วพระองค์ก็หยิบกระดาษชิ้นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของนาวาเอก จากนั้นพระองค์ก็เสด็จออกไปจากที่ประทับ
พร้อมกับรับสั่งว่า “นั่งอยู่นี่แหล่ะ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว” แล้วจึงเสด็จเข้าไป

นาวาเอกนั่งอยู่ในท่าคุกเข่า และประคองกระดาษทั้งสองมืออยู่เป็นเวลานาน ๑๐ นาทีก็แล้ว
๒๐ นาทีก็แล้ว สมเด็จฯ ก็ยังไม่ออกมา

เขาเริ่มเหนื่อย แขนก็เริ่มเมื่อยล้า กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งเบาหวิวดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออก


ในที่สุด สมเด็จฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม ทำทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักก็มองกระดาษที่มือนาวาเอก แล้วทรงถามว่า “เป็นไง?”


“หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว”
“อ้าว ทำไม ไม่วางมันลงเสียละ?” สมเด็จฯ รับสั่ง
“ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่อย่างนั้นนะสิ มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง”


กระดาษชิ้นเล็ก ๆ ที่เบาหวิว หากถือไปนาน ๆ เข้า ก็ย่อมกลายเป็นของหนัก
ตรงกันข้าม ก้อนหินก้อนใหญ่ ถ้าไม่ไปแบกหรืออุ้มมัน ก็ไม่รู้สึกหนัก
ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ ชีวิตหรือจิตใจหนักอึ้ง ควรรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง


แม้แต่ของที่มีประโยชน์ เราควรยึดถือก็ต่อเมื่อถึงเวลาใช้งาน
เมื่อใช้เสร็จ ก็ควรวางลงเสีย นับประสาอะไรกับของที่ไร้ประโยชน์
เช่นความทุกข์ ความห่วงกังวล ยิ่งต้องวางทันที ที่รู้ตัวว่ามาครองใจ
หาไม่แล้วจะกลายเป็นของหนักจนเอาตัวไม่รอด

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read8996.html?No=463
หัวข้อ: ตอบ: ธรรมะหรรษา.........ไม้เขี่ยหมาเน่า
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 22 มิ.ย. 2554, 10:43:03
นิทาน "โรคอรหันต์"

มีนิทานปรัชญาอยู่หนึ่งเรื่องที่ฟังแล้วน่าคิดมาก

มีคน ๆ หนึ่งชื่อ หลุงชูไปหาหมอชื่อ เหวินฉี
หลุงชูบอกว่ารู้สึกไม่สบาย ให้หมอช่วยรักษาให้หน่อย

หมอเหวินฉีก็ถามว่าบอกสิมีอาการอะไร

หลุงชูบอกว่า "ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
เวลาได้ยินคนอื่นเค้าสรรเสริญเยินยอ ไม่รู้สึกดีใจหรือเป็นเกียรติแต่อย่างใด
เวลาได้ยินเค้าติฉินนินทาก็ไม่รู้สึกเสียใจ
เวลาได้อะไรมาก็ไม่ดีใจ เสียอะไรไปไม่เสียใจ
ผมมองชีวิตเหมือนความตาย ความรวยเหมือนความจน
คนเหมือนหมู มองตัวเองเหมือนคนอื่น
รู้สึกว่าบ้านผมเองเหมือนโรงเตี้ยมที่เช่าเค้าอยู่
มองออกไปข้างนอกบ้านเห็นบ้านข้างเรือนเคียงแปลกหูแปลกตาไปหมด
ยศเสื่อมยศ ลาภเสื่อมลาภ ความเจริญความเสื่อม คุณโทษ สุข ทุกข์ ไม่มีอิทธิพลเหนือจิตใจผม

ตั้งแต่ผมป่วยโรคประหลาดนี้ ผมไม่สามารถทำหน้าที่ทางโลกได้เหมือนคนอื่น
ไม่ว่าจะเป็นงานราชการรับใช้เจ้านาย ปฏิบัติตนต่อเพื่อนและญาติพี่น้อง  แม้กระทั่งลูกเมียและคนใช้ โรคของผมมีทางรักษาหายมั้ย"


หมอเหวินฉีบอกให้หลุงชูยืนหันหลังให้แสงสว่าง เค้าก็ถอยหลังไปสองสามก้าว
ยืนเพ่งดูพักหนึ่ง และบอกว่า "ผมมองเห็นคุณแล้ว เห็นหัวใจคุณแล้ว
เนื้อที่ประมาณตารางนิ้วหนึ่งนี้ว่างเปล่า ในหัวใจคุณมีรูอยู่ 6 รูทะลุถึงกัน
แต่รูหนึ่งอุดตัน อาจเป็นเพราะอย่างนี้ก็ได้ คุณสมบัติของการเป็นอรหันต์ที่คุณมี
คุณกลับเข้าใจว่าเป็นความป่วยไข้ วิชาแพทย์อันคับแคบของผมไม่สามารถรักษาได้หรอก"


นิทานอันนี้บอกให้รู้ว่า ความเป็นอรหันต์นั้นคืออะไร
จิตที่สงบจะมีความสุข เช่น ถ้าเราได้ยินคนอื่นสรรเสริญเยินยอ ไม่รู้สึกดีใจหรือเป็นเกียรติ นี่ก็เป็นสุขข้อหนึ่ง
แต่ถ้าได้ยินเค้าติฉินนินทาก็ไม่รู้สึกเสียใจ ก็ค่อย ๆ มีความสุขไปเรื่อย ๆ
แต่หลุงชูไม่รู้ว่าสิ่งที่มี คือ ยอดแห่งความสุขแล้ว

ที่มา... ถอดความจากรายการวิทยุศาสตร์แห่งชีวิต
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/reada3ba.html?No=460
หัวข้อ: ตอบ: ธรรมะหรรษา.........ไม้เขี่ยหมาเน่า
เริ่มหัวข้อโดย: berm ที่ 22 มิ.ย. 2554, 10:44:43
 :053:ต่อให้วัตถุสิ่งนั้นเบาขนาดไหนถ้าเราไม่ปล่อยวางซะบ้างก็จะหนักอยู่เรื่อยไป
หัวข้อ: ตอบ: ธรรมะหรรษา.........ไม้เขี่ยหมาเน่า
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 22 มิ.ย. 2554, 10:48:47
เต่าในลำธาร

จักรพรรดิองค์หนึ่งได้ข่าวว่าเล่าจื๊อเป็นนักปราชญ์ที่ปราดเปรื่องมาก ส่งคนไปนิมนต์มาเป็นมหาอำมาตย์ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน

เมื่อมหาอำมาตย์ไปแจ้งพระราชประสงค์ให้ทราบ เล่าจื๊อ มหาปราชญ์ผู้สถาปนาปรัชญาเต๋า
ชี้ให้ท่านราชทูตดูเต่า (ตายแล้ว) ตัวหนึ่งซึ่งประดิษฐานอยู่บนศาลเจ้า มีกลิ่นธูปควันเทียนลอยคลุ้ง แล้วถามราชทูตว่า

การเป็นเต่าอยู่ในน้ำ ใช้ชีวิตอย่างเสรี ท่องไปได้ตลอดทิศทั้งสี่ กับการเป็นเต่าที่ได้รับการเทิดทูน แต่ตายแล้ว
และต้องนิ่งสนิทอยู่บนศาลเจ้าให้คนสักการะนั้น อย่างไหนจะดีกว่ากัน

ราชทูตตอบว่า....เป็นเต่ามีชีวิตอย่างเสรีอยู่ในน้ำย่อมดีกว่าอย่างไม่มีทางเทียบกันได้

เล่าจื๊อจึงว่า

"ไปบอกจักรพรรดิของท่านเถิด เราขอเป็นเต่าอยู่ในลำธารเล็กๆ ก็พอแล้ว"

ผลของการเป็นเต่าอยู่ในลำธารเล็กๆ ก็คือ

แม้กาลเวลาจะล่วงไปกว่าสามพันปีแล้ว ภูมิปัญญาของเล่าจื๊อก็ยังคงทอแสง เจิดจรัสอยู่จนทุกวันนี้

ส่วนพระจักรพรรดิและมหาอำมาตย์ผู้สูงด้วยอิสริยยศของพระองค์นับไม่ถ้วน คนนั้น
มาบัดนี้ ชาวโลกแทบไม่รู้จักชื่อเอาเลยว่า ได้ทำประโยชน์อะไรไว้ให้แก่โลกบ้าง ?


บทความโดย ว.วชิรเมธี จากคอลัมน์ อินธรรม อินเทรนด์
นสพ. ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 3894
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readf39a.html?No=459
หัวข้อ: ตอบ: ธรรมะหรรษา.........ไม้เขี่ยหมาเน่า
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 22 มิ.ย. 2554, 10:57:02
ผู้ชายในสเป็คของหล่อน

(http://www.tamdee.net/sarakhun/data/dat/imagefiles/456.jpg)

หรือจะจริงที่เค้าว่า ผู้ชายดี ๆ ไปบวชหมดแล้ว(ไม่จริง!! ที่ผมเห็นอยู่ก็มีท่านsaken6009 และท่านปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)เป็นต้น) :027:

ศีลข้อที่3 กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

บุคคลต้องห้ามสำหรับฝ่ายชาย คือ
(๑) ภรรยาคนอื่น
(๒) ผู้หญิงที่ยังอยู่ในความอุปการะของผู้อื่น (ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นอยู่)
(๓) ผู้หญิงที่จารีตต้องห้าม (แม่ ย่า ยาย พี่สาว น้องสาว ลูกสาว ชี หญิงผู้เยาว์

บุคคลที่ต้องห้ามสำหรับฝ่ายหญิง คือ
(๑) สามีคนอื่น
(๒) ชายจารีตต้องห้าม (พ่อ ปู่ ตา พี่ชาย น้องชาย ลูกชาย พระภิกษุ สามเณร ชายผู้เยาว์)

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read85e8.html?No=456
หัวข้อ: ตอบ: ธรรมะหรรษา.........ไม้เขี่ยหมาเน่า
เริ่มหัวข้อโดย: saken6009 ที่ 22 มิ.ย. 2554, 11:24:18
ธรรมะหรรษา...หลากหลายเรื่องราว 36; 36;
                                             
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
   
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :033: :033: