กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ, กฎแห่งกรรม และ ประสบการณ์วิญญาณ => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ => ข้อความที่เริ่มโดย: รวี สัจจะ... ที่ 08 ก.ย. 2554, 07:59:34

หัวข้อ: คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๗ กย. ๕๔ ...
เริ่มหัวข้อโดย: รวี สัจจะ... ที่ 08 ก.ย. 2554, 07:59:34
คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๗ กย. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึงชลบุรี
พฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔
             ร่างกายอ่อนเพลียจากการเดินทางและจากการที่นั่งสนทนากัน
กับน้องๆที่แวะมาเยือนจนสว่างไม่หลับนอน แล้วเดินทางไปปราจีนบุรีต่อ
กลับมาถึงอาศรมก็นั่งคุยกันต่อจนดึกจึงเข้าที่พัก นั่งเขียนบทความบทกวีต่อ
จนถึงเกือบตีสามจึงได้จำวัตรพักผ่อน หลับยาวรู้สึกตัวตื่นตอนหกโมงเช้า
ทำให้ไม่ได้ออกไปบิณฑบาตเพราะเลยเวลาไปแล้ว.....
           ตอนเช้ามีโยมขึ้นเขาเอาข้าวโพดต้มกับมะพร้าวอ่อนมาถวาย
ฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ชวนกันลงไปทำบันไดทางเดินขึ้นเขาใหม่
ทำงานเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เจริญสติสัมปชัญญะ
 ตามแนวของสติปัฏฐาน ๔ ในอิริยาบถบรรพและสัมปชัญญบรรพ
 คือพิจารณาดูอิริยาบทของกายและพิจารณารู้ตัวในความเคลื่อนไหว
ทำงานไปพิจารณาไปจนไม่ได้สนใจกับเวลาที่ผ่านไป ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จึงได้ดูนาฬิกาจึงได้รู้ว่าเวลาผ่านไปจนถึงห้าโมงเย็นแล้ว จึงลงไปสรงน้ำเตรียมตัว
ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็น พยายามทรงอารมณ์กรรมฐานไว้ โดยการมีสติและ
สัมปชัญญะอยู่กับกาย เวทนา จิต ธรรม อยู่ตลอดเวลา พิจารณาในหัวข้อธรรม.....
   ถ้าจิตใจเศร้าโศกไม่เบิกบานร่าเริงแล้ว ความเป็นมงคลทั้งหลายก็จะหายไปหมด 
แต่ถ้าจิตใจไม่เศร้าโศก มีแต่ความร่าเริงแจ่มใสเกษมสำราญ ความเป็นมงคลทั้งหลาย
ก็จะปรากฏขึ้น ดั่งคำที่ว่า " จิตดี กายเด่นจิตด้อย กายดับ " เมื่อจิตใจเป็นกุศลความเป็น
มงคลทั้งหลายก็จะเกิดขึ้น......
   อย่าลุอำนาจแก่ความโกรธเป็นอันขาด เพราะเมื่อความโกรธนั้นเกิดขึ้นแล้ว
มันจะมืดมิดปิดบังปัญญา คิดแต่จะเอาชนะเพียงอย่างเดียว ทั้งที่จริงแล้วมันกำลังแพ้ตัวเอง
แพ้ความโกรธของตัวเอง ถ้าระงับความโกรธไม่ได้ ใจก็ไม่เป็นสุข เพราะฉะนั้นอย่าเอาความโกรธ
มาเป็นอารมณ์มาเป็นตัวของตัวเป็นอันขาด พึงข่มความโกรธ ด้วยการเจริญสติ การลดทิฏฐิ
การให้อภัย แล้วใจของเรานั้นจะสบาย......
   ผู้เจริญย่อมไม่เบียดเบียนใคร ไม่อาฆาตใคร ไม่พยาบาทใคร ให้อภัยแก่คนทุกจำพวก
เจริญเมตตาจิต เป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหลาย ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร ใจพร้อมที่จะให้อภัย
อยู่เสมอ วางใจได้อย่างนี้ ใจเราก็จะมีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์เพราะการให้อภัย.....
   ให้มีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา มีสัมปชัญญะความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมออย่าให้เผลอ
จิตนิ่งสงบก็รู้อยู่ในความนิ่งสงบนั้น เป็นหนึ่งอยู่ รู้ตัวอยู่ ไม่เผลอ ไม่หลง ไม่ส่ง ไม่ส่าย ไม่วุ่น ไม่วาย
 ไม่ปล่อยใจให้ไปออกนอกลู่นอกทาง อยู่กับอารมณ์กรรมฐานตลอดเวลา อย่าให้มีช่องว่างที่กิเลส
จะแทรกเข้ามาได้ เราก็จะได้พบกับสภาวธรรมที่แท้จริง.......
   ต้องรวมจิต ให้ไปอยู่ ณ จุดเดียว เมื่อจิตเข้าถึงความสงบจิตนั้นจึงจะมีพลัง ที่เรียกว่าพลังจิต
แล้วพิจารณาในพลังจิตนั้นอย่างแยบคาย เราก็จะได้เห็นธรรม ธรรมอันเกิดจากจิต ที่พิจารณาในอารมณ์สมาธิ
เห็นกาย เห็นจิต ก็เห็นธรรม......
                   เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
                         รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๘ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๕.๓๐ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี
หัวข้อ: ตอบ: คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๗ กย. ๕๔ ...
เริ่มหัวข้อโดย: berm ที่ 08 ก.ย. 2554, 08:52:15
กราบนมัสการพระอาจารย์...อากาศแปรปรวนท่านพระอาจารย์รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
หัวข้อ: ตอบ: คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๗ กย. ๕๔ ...
เริ่มหัวข้อโดย: saken6009 ที่ 08 ก.ย. 2554, 09:02:55
จิตดี..กายเด่น  จิตด้อย..กายดับ 36; 36;
                                           
ผู้เจริญย่อมไม่เบียดเบียนใคร ไม่อาฆาตใคร ไม่พยาบาทใคร
                       
เจริญเมตตาจิต เป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั้งหลาย
                                     
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ  รักษาดูแลสุขภาพด้วยนะครับ :054: :054:
 
ขอบพระคุณ ท่านพระอาจารย์ สำหรับคำสอนดีๆ ที่นำมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ
                                                                                                                                               
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบพระคุณมากครับ) :033: :033:
หัวข้อ: ตอบ: คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๗ กย. ๕๔ ...
เริ่มหัวข้อโดย: boomee ที่ 08 ก.ย. 2554, 09:05:57
กราบนมัสการครับพระอาจารย์  :054:
หัวข้อ: ตอบ: คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๗ กย. ๕๔ ...
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 08 ก.ย. 2554, 01:14:15
กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ :054:

อ้างถึง
ต้องรวมจิต ให้ไปอยู่ ณ จุดเดียว เมื่อจิตเข้าถึงความสงบจิตนั้นจึงจะมีพลัง ที่เรียกว่าพลังจิต
แล้วพิจารณาในพลังจิตนั้นอย่างแยบคาย เราก็จะได้เห็นธรรม ธรรมอันเกิดจากจิต ที่พิจารณาในอารมณ์สมาธิ
เห็นกาย เห็นจิต ก็เห็นธรรม......