กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด มิตรไมตรี => บทความ บทกวี => ข้อความที่เริ่มโดย: ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) ที่ 03 ม.ค. 2555, 01:30:07

หัวข้อ: มุมใหม่ ๆ รับปีใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) ที่ 03 ม.ค. 2555, 01:30:07
การเปลี่ยนวันปีใหม่ของไทยจากวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันที่ ๑ มกราคม มีความเป็นมาอย่างไร?

   ก่อนอื่นอยากให้ลองคำนวณดูว่า คนที่เกิดวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๒ พอถึง ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒ จะมีอายุเท่าไหร่

   คนที่เกิด พ.ศ.๒๔๘๒ จนถึง ๒๕๕๒ ตามหลักควรจะมีอายุ ๗๐ ปี ใช่ไหม แต่คำตอบคือ ๖๙ ปีเต็ม เพราะตอนปี ๒๔๘๒ นั้น พอถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๒ แล้ว วันถัดมาคือวันที่ ๑ มกราคม ซึ่งยังอยู่ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ พูดง่าย ๆ ว่า วันที่ ๑ มกราคม มาทีหลังวันที่ ๓๑ ธันวาคม ใน พ.ศ. เดียวกัน

   ปัจจุบัน ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒ จะต้องเป็นวันแรกของปี วันที่ ๓๑ ธันวาคม เป็นวันสุดท้ายของปี แต่ตอนนั้นไม่ใช่ คนที่เกิดวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นน้องของคนที่เกิดวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๒ ถามว่าทำไม เพราะตอนนั้นวันแรกของปีคือ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ วันสิ้นสุดปี คือวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๒ เราเพิ่งมาเปลี่ยนการนับให้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันแรกของปีในปี พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นครั้งล่าสุด เพราะฉะนั้นปี ๒๔๘๓ จึงเป็นปีพิเศษ ที่มีแค่ ๙ เดือน คือเริ่มต้นที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๓ แล้วไปสิ้นสุดปีในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓

   ย้อนไปก่อนหน้านี้เราถือว่าวันแรกของปีคือวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ต่อมาเราเปลี่ยนให้วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันแรกของปี แต่การนับตามจันทรคติ ซึ่งแต่ละปีจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่สะดวกและจำยาก เลยเปลี่ยนไปนับแบบสุริยคติ คือให้วันที่ ๑ เมษายน ของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ เริ่มนับอย่างนี้เป็นครั้งแรกในปี ๒๔๓๒ สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วมาเปลี่ยนเป็นแบบปัจจุบัน เมื่อ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๔ เหตุที่เปลี่ยนเพราะเรามีการติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้น จึงเปลี่ยนให้สอดคล้องกับนานาประเทศ ซึ่งจะทำให้การติดต่อต่าง ๆ สะดวกมากขึ้น

ปัจจุบันในช่วงปีใหม่ คนไทยนิยมส่งการ์ดอวยพรกัน สมัยก่อนเขาส่งข้อความปรารถนาดีให้กันอย่างไรบ้าง?

   สมัยก่อนในวันปีใหม่เขาจะส่งความปรารถนาดีด้วยการชวนกันไปทำบุญ ซึ่งเป็นการให้ความปรารถนาดีอย่างถูกหลักวิชาที่สุด และที่บอกว่าจะส่งความสุขให้กันนั้น คนส่งต้องมีคามสุขก่อนถึงจะส่งให้คนอื่นได้ แล้วความสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องประกอบเหตุคือทำบุญเสียก่อน ความสุขจึงจะเกิด สมัยก่อนเขาจึงให้ความปรารถนาดีแก่กันด้วยการชวนไปทำความดี ไปสร้างบุญสร้างกุศล เช่น ไปช่วยงานวัด ปัดกวาดลานวัด ฯลฯ

   แต่ถ้าเป็นคนที่มีความสำคัญ มีศักยภาพมาก และมีการติดต่อกว้างขวางกว่าในระดับชุมชนที่ตัวเองอยู่ เช่น เป็นเศรษฐีที่มีที่มีการค้าระหว่างเมือง หรือเป็นพระราชา ซึ่งจะต้องมีการติดต่อกันระหว่างเมือง ฯลฯ ก็อาจจะใช้วิธีฝากข่าวถึงกันโดยวาจาหรือโดยหนังสือก็ได้ ใครรู้ข่าวอะไรดี ๆ ก็จะบอกกล่าวกัน อย่างเช่นใครทราบข่าวว่า พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็รีบส่งข่าวถึงเพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก ข่าวดีเหล่านี้จะสร้างความปีติแก่ผู้รับข่าวเป็นอย่างยิ่ง อย่างพระราชามหากัปปินะ เมื่อทรงทราบข่าวการเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยจากพ่อค้าที่เดินทางไปถึงเมืองของพระองค์ ก็ทรงปีติจนตัวชาไปเลย และทรงตัดสินใจ สละราชสมบัติออกบวช สมัยก่อนเขาใจเด็ดขนาดนี้ นี่คือการส่งความปรารถนาดีในรูปแบบต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายให้ทุกคนมีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศล

อย่างนี้ช่วงปีใหม่ก็ควรจะทำบุญก่อนส่งความสุขให้คนอื่น การไปอยู่ธุดงค์ปีใหม่เป็นวิธีที่ควรทำใช่ไหม?

   จะทำอะไรก็ได้ที่เป็นบุญเป็นกุศลไม่ว่าจะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา การให้ทานนั้น เราอาจจะตักบาตรพระที่วัดใกล้บ้าน แล้ววันนั้นก็ตั้งใจรักษาศีลให้ดีเป็นพิเศษ แล้วเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม สวดมนต์ ทำภาวนา เป็นต้น นี่คือสิ่งที่ควรทำในวันปีใหม่ ไม่ใช่ปีใหม่แล้วฉลองกันจนเมา แบบนี้จะเป็นปีที่แย่มาก ต้องฉลองปีใหม่ด้วยใจที่สดใสผ่องแผ้ว ถ้าไปอยู่ธุดงค์ได้ยิ่งดีร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะกิจวัตรกิจกรรมทั้งหมด คือ ทาน ศีล ภาวนา จะครบถ้วนบริบูรณ์ ถือเป็นการรับปีใหม่ที่ดีมาก ๆ

บางคนใกล้สิ้นปีแล้วก็ไม่สิ้นปัญหาเสียที อยากทราบว่าปัญหาต่าง ๆ เกิดจากสาเหตุอะไร?

   ถ้ามองถึงรากของปัญหาจริง ๆ จะพบว่ามาจาก ๒ เหตุใหญ่ คือ ความอยากและความไม่รู้

   ๑.ความอยาก เมื่ออยากได้อะไรแล้วไม่ได้อย่างที่ใจเราคาดหวังไว้ ก็เสียอกเสียใจ หรือว่าอยากจะเป็นอะไร แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองคิด ก็ทุกข์ คือ มีความอยากแล้วไม่สมอยาก ไม่ได้อย่างที่หวัง ไปเจอสิ่งที่ไม่ชอบ เป็นต้น

   ๒.ความไม่รู้ คือ ไม่รู้วงจรของชีวิต

   พอ ๒ อย่างนี้มาประกอบกัน ปัญหาก็เกิดขึ้น สมมติว่า อยากรวย อยากได้สิ่งอำนวยความสะดวก แต่ไม่รู้ที่มาที่ไปที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ ก็จะมุ่งไปที่ผล คือ ความอยากได้ แล้วบางคนพออยากได้มาก ๆ ก็จะไปขโมย จี้ปล้น หรือแสวงหาทรัพย์โดยวิธีการที่ผิดกฎหมาย ทำให้เกิดปัญหาหนักยิ่งขึ้น บางทีอยากได้ตัวบุคคล พอไม่ได้อย่างใจก็ทำลายเสียเลย แล้วต้องหนีหัวซุกหัวซุน บางทีต้องไปอยู่ในคุก นั่นคือ  “อยาก” แต่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะสมปรารถนา สุดท้ายใจไปเกาะที่ผล ความเสียหายก็เกิดขึ้น

   แต่ถ้าเข้าใจเรื่องวงจรของชีวิต แม้ยังไม่ถึงขนาดหมดกิเลส ความอยากยังไม่หมดไป แต่เข้าใจความจริงของโลกและชีวิตว่า สิ่งที่เราอยากจะได้นั้น จะได้หรือเปล่าขึ้นอยู่ที่เหตุ คือบุญในตัวเรามีมากพอหรือเปล่า ก็จะสามารถควบคุมความอยากให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่อยากจนกระทั่งดึงดันไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

   เพราะฉะนั้นใครอยากได้อะไรต้องประกอบเหตุ แทนที่จะเอาใจไปเกาะที่ผลว่าอยากได้ ๆ พอได้ก็ดีใจหน่อยเดียว เดี๋ยวอยากได้ของใหม่อีกแล้ว พอไม่ได้ก็เสียใจ เราควรจะอยากแค่พอประมาณ ขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่า จะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุที่ประกอบไว้ในอดีต คือบุญที่เราสั่งสมไว้ และเหตุในปัจจุบัน คือ ความขยันหมั่นเพียร แล้วสุดท้ายสิ่งที่ปรารถนาก็จะได้มา และความดีที่เราทำในวันนี้ ก็จะเป็นบุญเก่าของวันต่อ ๆ ไป ถ้าบุญเก่าบวกบุญใหม่ประกอบกันแล้ว สิ่งที่หวังก็จะสมปรารถนา กล่าวโดยสรุป ปัญหาเกิดจากความอยากและความไม่รู้ ถ้าจะแก้ต้องลดระดับความอยากให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ แล้วเพิ่มพูนความรู้เรื่องความจริงของโลกและชีวิตให้มากขึ้น ปัญหาก็จะทุเลาลงไปได้

บางคนมีความรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาใหญ่กว่าคนอื่นมาก บางคนบอกว่าฉันมีปัญหานิดเดียว เราจะใช้อะไรตัดสินว่าปัญหาไหนใหญ่หรือเล็ก?

   ใครเจอปัญหาก็มักจะคิดว่าปัญหาของตัวเองเป็นปัญหาใหญ่ มีดบาดนิ้วเย็บแค่ ๒ เข็ม รู้สึกว่าเจ็บกว่าคนอื่นแขนขาดไปข้างหนึ่งเสียอีก เพราะมันเกิดกับตัวเอง ถ้าเกิดกับคนอื่นอย่างมากก็สงสาร เห็นใจอยากจะช่วยเขา แต่ไม่เหมือนที่เกิดกับตัวเอง หรือถ้าเกิดเรื่องกับคนใกล้ตัว ก็จะรู้สึกมากกว่าคนไกลตัว อันนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลักการสำคัญอยู่ที่ว่า เวลาเจอปัญหาอะไรก็ตาม ต้องไม่ขยายปัญหานั้นเกินจริง อย่าไปขยายให้ปัญหาเท่าหมูกลายเป็นเท่าช้าง เราควรจะเปลี่ยนปัญหาให้เหลือเท่าแมวมากกว่า และเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว อย่าเอาปัญหาของเราไปเป็นปัญหาของคนอื่น เช่น อยากได้อะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นปัญหาของตัวเอง ก็เลยไปปล้นเขา คือ ไปสร้างปัญหาให้คนอื่น อันนี้ไม่ถูก

   มีภูมิปัญญาของสังคมจีนที่สั่งสมมาหลายพันปีมาเล่าให้ฟัง เรื่องผู้เฒ่าซ่ายเสียม้า เรื่องมีอยู่ว่า ผู้เฒ่าชาวจีนคนหนึ่งชื่อซ่าย เขาเป็นคนที่เข้าใจชีวิตดีมาก มองชีวิตทะลุปรุโปร่ง ไม่ค่อยหวือหวาไปกับเรื่องราวที่มากระทบ มีอยู่คราวหนึ่งม้าของเขาหายไป เพื่อนบ้านรู้ข่าวก็มาแสดงความเสียใจ ผู้เฒ่าซ่ายบอกว่า ม้าหายไปตัวหนึ่งไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ข้าพเจ้าไม่ได้เสียใจอะไร เขาตอบอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่สมัยนั้นม้าหายไปตัวหนึ่งเป็นเรื่องใหญ่

   ม้าหายไปไม่กี่วันก็วิ่งกลับมาเอง แถมไปพาม้ามาอีกตัวหนึ่ง เป็นม้าพันธุ์ดีมาก ฝีเท้าเร็วมาก สง่างามมาก เพื่อนฝูงรู้ข่าวก็มาแสดงความดีใจ แต่ผู้เฒ่าซ่ายบอกว่า ได้ม้ามาตัวหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องร้ายก็ได้ ข้าพเจ้าไม่ได้ดีใจอะไรมาก

   ลูกของผู้เฒ่าซ่ายชอบม้าตัวใหม่มาก เขาชอบขี่มันไปเที่ยว วันหนึ่งเขาขี่ม้าตัวนี้ออกไป มันวิ่งเร็วมากจนเขาพลาดตกลงมา ขาเป๋ไปข้างหนึ่ง เพื่อนฝูงรีบมาแสดงความเห็นอกเห็นใจ ผู้เฒ่าซ่ายบอกว่า ลูกชายคนเดียวขาพิการไปข้างหนึ่งตลอดชีวิต ที่สุดแล้วจะเป็นเรื่องดีเรื่องร้ายยังยากจะตัดสินใจ

   ต่อมาประเทศจีนเกิดสงครามกับชนเผ่าทางเหนือของจีน ชายฉกรรจ์ทั้งแผ่นดินถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อป้องกันประเทศ แต่ลูกของผู้เฒ่าซ่ายเนื่องจากขาเป๋เลยไม่ต้องไปเป็นทหาร ศึกครั้งนั้นโหดมาก รบกันยืดเยื้อยาวนาน คนตายไปเป็นแสนเป็นล้านเลย แต่ลูกของผู้เฒ่าซ่ายกลับสามารถอยู่ในบ้านได้อย่างสงบสุข

   เรื่องนี้สอนว่า ถึงคราวได้อะไรมาก็อย่าเพิ่งดีอกดีใจจนเกินไป ในดีมีเสีย ในเสียมีดี เจอเรื่องเสียก็อย่าเสียใจจนเกินไป ก้มหน้าก้มตาทำกิจของตัวเองด้วยความไม่ประมาท สุดท้ายเราจะสามารถผ่านปัญหาต่าง ๆ ไปได้อย่างดี

คนเจอปัญหาแล้วเก็บไว้กับตัวเองตลอดเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด?

   ความอดทนไม่ตีโพยตีพายเป็นสิ่งที่ดี แต่เก็บกดไม่ดี การนิ่งเก็บปัญหาไว้กับตัวเองนั้น ต้องดูว่าเก็บแบบไหน เก็บด้วยความอดทนหรือเก็บกด อดทน คือทนรับเรื่องนั้นด้วยความเข้าใจ ด้วยใจที่ผ่องแผ้ว แต่เก็บกดเหมือนเก็บดินระเบิดเอาไว้ รอวันระเบิดออกมา ไม่ได้ทำด้วยความเข้าใจ ถ้าเข้าใจคือไม่มีปัญหาอะไรเลย เข้าใจที่มาที่ไปทุกอย่าง แล้วมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ใจของผู้ที่อดทนได้จะผ่องแผ้ว แต่ใจคนที่เก็บกดจะเครียดอยู่ข้างใน ข้างนอกอาจจะปั้นสีหน้ายิ้ม แต่ข้างในเครียด บางคนก็เกิดอาการโรคประสาท หรือแสดงอาการกราดเกรี้ยวออกมาเลยก็มี

   เราต้องเข้าใจปัญหา แล้วเดินหน้าแก้ไขด้วยใจที่ผ่องแผ้ว ไม่ย่อท้อ

บางคนเวลามีปัญหาเลือกที่จะเก็บไว้ไม่เปิดใจกัน เราควรจะเปิดใจกับบุคคลรอบข้างอย่างไร?

   ต้องเข้าใจความจริงว่าใจคนเราที่ยังไม่หมดกิเลสมันหวือหวามีขึ้นมีลง และต้องการการตอกย้ำสักนิดหนึ่ง สมมติชายหนุ่มกับหญิงสาวเกิดพึงใจกัน แล้วฝ่ายชายบอกฝ่ายหญิงว่า “ผมรักคุณ คุณจำไว้เลยนะ คำ ๆ นี้ใช้ได้ตลอดชีวิต ผมพูดครั้งเดียวพอ ผมเขียนให้คุณไว้ก็ได้ อยากจะฟังอีกเมื่อไร ก็เอากระดาษขึ้นมาอ่านแล้วกัน ครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต” อย่างนี้ไม่เวิร์ก จะต้องตอกย้ำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น เพราะคนเรามีเหตุผลกับอารมณ์คู่กัน บางคนสัดส่วนอารมณ์มาก บางคนเหตุผลมาก ความเข้าใจธรรมชาติของคนเป็นสิ่งจำเป็น บางทีต่างฝ่ายต่างหวังดีต่อกัน อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข แต่ไม่เข้าใจกัน คิดไปเองเรื่อยเปื่อย แล้วก็มานั่งกลุ้มอยู่คนเดียว อย่างนี้ไม่ถูก ถ้าได้พูดคุยจนเข้าใจกันก็เป็นสิ่งที่ดี การเก็บไว้ไม่ดี ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข

   อาตมาเคยเจอโยมท่านหนึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง อายุแค่ ๔๐ ปี เงินเดือน ๆ ละ ๓ แสนบาท เรียกว่าประสบความสำเร็จมาก แต่เขามาบอกว่ากำลังมีปัญหาครอบครัว จนกระทั่งคิดว่าจะแยกทางกับภรรยาแล้ว แต่สงสารลูก ๒ คน ตอนนี้ออกจากบ้านเป็นพัก ๆ เพราะเวลาอยู่บ้านเครียดมาก เครียดจนประสิทธิภาพในการทำงานลดลง

   เขาเล่าว่า เขาต้องทำงานทุกอย่าง กลับถึงบ้านก็ต้องดูแลบ้าน ดูแลลูก แม่บ้านไม่ยอมทำอะไรเลย วันธรรมดาเขาต้องรีบไปทำงาน เพราะงานเยอะมาก หัวค่ำ ๔ ทุ่มต้องนอนแล้ว แต่แม่บ้านยังไม่ยอมนอน ไปนอน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม พอวันศุกร์กับวันเสาร์ซึ่งเขาอยู่ดึก ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่มได้ ปรากฏว่า ๔ ทุ่มแม่บ้านเข้านอนแล้ว ตั้งใจจะไม่เจอกัน ทำไมไม่เอาใจเขาบ้าง ถ้าช่วยงานเขาไม่ได้ อย่างน้อยน่าจะช่วยทำให้เขาสบายใจหน่อย คือเอาใจเขาหน่อย

   อาตมาฟังแล้วก็บอกว่า จริง ๆ แล้วแม่บ้านคุณโยมต้องรักคุณโยมมากเลย ถามว่าทำไมพูดอย่างนี้ เพราะว่าแม่บ้านเขาเคยเป็นแอร์โฮสเตส มีความสามารถในการทำงาน ก่อนจะมีครอบครัวก็เป็นซูเปอร์วูแมน เมื่อมีครอบครัวก็ยอมลาออกจากงานมาดูแลครอบครัว แสดงว่าเขายอมเสียสละเพื่อคุณโยมมากทีเดียว แล้วมีปัญหาอย่างนี้เขาก็ไม่บ่นเลยสักคำ แต่มีอะไรเขาก็มาให้คุณโยมทำ คุณโยมเคยคิดหรือเปล่าที่คุณโยมบอกว่า แม่บ้านไม่เก่งเลยสักอย่าง คุณโยมทำดีกว่าหมดทุกอย่าง เขาทำอะไรไม่ถูกใจเลยสักอย่าง เขาก็เลยเกิดอาการค่อย ๆ ถอยให้คุณโยมทำให้หมด

   แต่ที่ยังอดทนอยู่เพราะลูกและด้วยความรักที่มีอยู่นั่นแหละ อย่างนี้คุณโยมกำลังถือตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือเปล่าว่าตัวเองแน่ คิดอะไรโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเราเลย คิดแต่ว่าฉันดี ฉันเสียสละ เธอทำอะไรก็สู้ฉันไม่ได้สักอย่าง ช่วยทำให้ฉันสบายใจหน่อย นี่คุณโยมกำลังเรียกร้องให้เขาเป็นตุ๊กตาใช่ไหม

   การที่เขายอมขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องรักคุณมาก ทำไมไม่กระตุ้นเขาด้วยวิธีการชมบ้าง อย่าตำหนิไปเสียทุกเรื่อง ให้ลองเปลี่ยนใหม่ดู พอเขาทำอะไรปั๊บชมเลย โอ้โฮ เยี่ยมมาก ดีมาก ให้เขามีกำลังใจทำสิ่งดี ๆ อย่างอื่นต่อไป เขาบอกว่า ผมจะลองดู ปรากฏว่าเรื่องราวจบลงอย่างมีความสุข พลิกมุมมองนิดเดียวเท่านั้นเอง

   เวลาเกิดอะไรขึ้นอย่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วจะเห็นอะไรอีกเยอะ เมื่อไรเราเข้าใจตัวเอง เราจะเข้าใจคนอื่นได้ดี แล้วลองคิดว่าทำอย่างนี้ พูดอย่างนี้ คนอื่นรู้สึกอย่างไร เวลาเห็นอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ให้มองลึกลงไปว่าอะไรทำให้เขาทำอย่างนั้น ที่เขาทำอย่างนั้นเขาคิดอย่างไร ถ้ามองอย่างนี้ได้เมื่อไร เราจะเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริง ที่เข้าใจคน มองคนได้ลึกซึ้ง แล้วเราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขและความสำเร็จ

   ปีใหม่นี้ ขอให้พวกเราทุก ๆ คน เป็นผู้ที่มีสติ ประกอบด้วยปัญญา สามารถสอนตนเองได้ เป็นผู้ที่ได้ศึกษาเรียนรู้ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแสงสว่างส่องทางชีวิต สามารถมองปัญหาทุกอย่างชัดเจนตรงตามความเป็นจริง และแก้ไขอุปสรรคปัญหาเหล่านั้นได้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ ให้ทุกคนเริ่มต้นปีใหม่ด้วยบุญกุศล ด้วยความดีงาม และประสบความสุขความสำเร็จตลอดปี ตลอดไป จงทุกท่านเทอญ.


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


ที่มา : วารสารอยู่ในบุญ ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๑๑ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๕
         หน้า ๖๘ คอลัมน์ ข้อคิดรอบตัว เรื่องโดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.; Ph.D.)
.
   



หัวข้อ: ตอบ: มุมใหม่ ๆ รับปีใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 04 ม.ค. 2555, 05:42:47
ขอบคุณครับ :054:
เก็บไว้อ่านก่อนนอน
หัวข้อ: ตอบ: มุมใหม่ ๆ รับปีใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 05 ม.ค. 2555, 10:58:10
ขอบคุณท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) อีกครั้งสำหรับแนวคิดดีๆ ที่เราลืมกันไป

ถ้ายาวไปให้อ่านช่วงสองวรรคสุดท้ายก็พอ :001:

ปีใหม่ ลดได้ มีสุข
วันอังคารที่ 3 มกราคม 2555 เวลา 00:00 น.
   
(http://dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/5770.jpg)
เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นเทศกาลของการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ของผู้คนในสังคมเพื่อเป็นการให้กำไรและความสุขแก่ชีวิตหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจ
เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นเทศกาลของการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ของผู้คนในสังคมเพื่อเป็นการให้กำไรและความสุขแก่ชีวิตหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจและหน้าที่การงานมาตลอดปี แต่ละคนอาจจะมีทางเลือกที่แตกต่างกันออกไปตามเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้นกับตัวเอง บางท่านพักผ่อนอยู่กับครอบครัวอย่างเงียบ ๆ บางท่านวุ่นวายอยู่กับการเก็บกวาดขยะมูลฝอยที่มากับภัยน้ำท่วม บางท่านออกไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจตามที่สามารถไปได้เพราะถือว่าปีใหม่มีเพียงครั้งเดียวในรอบปี แต่ดูแล้วเทศกาลปีใหม่ในครั้งนี้ดูเหมือนจะเงียบเหงาไปอย่างถนัดตาเพราะผู้คนส่วนมากต่างได้รับผลกระทบจาก “ภัยน้ำท่วม”  มีทั้งได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจนกลายเป็นความเดือดร้อนและความทุกข์เป็นลูกโซ่ บางคนสุขภาพไม่อำนวยจึงอยู่กับที่ บางคนค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวและฉลองปีใหม่หมดและไม่มีจึงต้องอยู่กับที่ บางคนพอจะมีกำลังเพื่อการท่องเที่ยวอยู่บ้างแต่ไม่ทำเพราะในใจลึก ๆ แล้วความสุขและความสดใสยังไม่เกิดขึ้นมาเลย ปีใหม่จึงน่าจะสดใสสำหรับบางคนแต่น่าจะหงอยเหงาสำหรับบางคน

คนเราเกิดขึ้นมาในโลกนี้ต่างได้พบกับสิ่งที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่พึงพอใจนับตั้งแต่ได้ลาภ ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ได้รับการสรรเสริญเยินยอ ได้รับความสุข สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับบุคคลใดแล้วบุคคลนั้นย่อมมีความสุข มีกำลังใจและเกิดพลังที่จะผลักดันให้เกิดการต่อสู้ดิ้นรนให้เจริญก้าวหน้าต่อไป แต่สิ่งที่ไม่พึงพอใจนับตั้งแต่เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกติฉินนินทา ได้รับความทุกข์ สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นกับบุคคลใดแล้วบุคคลนั้นย่อมได้รับทุกข์ ขาดกำลังใจและไม่มีพลังที่จะเดินหน้าต่อไป มีความคิดที่ท้อถอย ไม่อยากทำ ไม่อยากช่วย ไม่อยากเกี่ยวข้อง ไม่อยากสนับสนุนใด ๆ ทั้งสิ้น จนกลายเป็นชีวิตที่ไร้ความหวังไร้ความสุขโดยสิ้นเชิง

แต่เมื่อมองในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นทั้งแปดประการคือได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้รับการสรรเสริญ ถูกติฉินนินทา ได้รับความสุข ได้รับความทุกข์ รวมเรียกว่า “โลกธรรม” คือธรรมะที่อยู่คู่กับโลกตลอดไป ทุกคนจะต้องได้พบและได้สัมผัสโดยไม่มีการยกเว้น จะมีเพียงว่าใครได้รับข้อใดหรือส่วนใดมากน้อยแตกต่างกันเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้รับสิ่งที่พึงพอใจก็ขอให้มีความสุขอย่างมีสติและมีปัญญาคอยควบคุมและพิจารณาไตร่ตรองอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันเมื่อได้รับสิ่งที่ไม่พึงพอใจก็ขอให้ทำใจและเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต ใช้สติและปัญญาของตนเองบริหารและควบคุมให้ได้ ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าเมื่อทุกข์มาให้เราอดทนอีกหน่อยอีกไม่นานสิ่งร้ายก็จะผ่านไป อย่าได้ตกเป็นทาสของสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นจนเอาชีวิตไม่รอด ชีวิตคนเราเมื่อมีมืดก็ย่อมมีสว่าง มีตกต่ำก็ย่อมมีรุ่งโรจน์ มีจนก็ย่อมจะมีรวย มีทุกข์ก็ย่อมจะมีสุขคละเคล้ากันไป จึงขอให้ใช้ชีวิตของเรานี้อย่างมีสติคอยควบคุมและใช้ปัญญาแก้ไข จากร้ายก็จะกลายเป็นดี จากที่ดีอยู่แล้วก็จะดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าทำได้เช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า “เรามีธรรมะครองใจ” โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปฏิบัติธรรมที่วัดวาอารามเสียอีก

ปีใหม่ทุกคนต่างหวังความสุขสิ่งที่ดีและเป็นมงคลแก่ชีวิตด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่ดีและสิ่งที่ใหม่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็ควรจะเกิดขึ้นจากผลของการกระทำของเรา คิดดี พูดดี ทำดี สิ่งที่ดีก็จะติดตามมา แต่ถ้าคิดก็ชั่ว พูดก็ชั่ว ทำก็ชั่ว ความลำบาก และความเดือดร้อนก็จะติดตามมา ทำอะไรก็ตามที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น แต่เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น นั่นเป็นการกระทำที่ดี แต่ในทางตรงกันข้ามทำอะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นแล้ว นั่นเป็นการกระทำที่ไม่ดี บางคนรู้ว่าทำลงไปแล้วมันไม่ดีแต่ยังกลับทำลงไปก็เพราะเขาถูกกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลงเข้าครอบงำจิตใจ คนเช่นนั้นอาจจะมีนิสัยหรือสันดานที่ต่ำทรามจึงมีแต่กระทำกรรมที่ชั่วช้า ส่วนคนที่ชนะความโลภได้ ชนะความโกรธได้ ชนะความหลงได้ คนเช่นนั้นได้ชื่อว่าชนะตนเองซึ่งถือว่าเป็นการชนะสิ่งทั้งปวง ถือว่าเป็นยอดของมนุษย์ สมควรยกให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้คนในสังคม การไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นและกับตนเอง การใช้สติและปัญญาสร้างสิ่งที่ดีให้กับตนเองและผู้คนในสังคม การชนะใจตนเอง ควบคุมจิตใจมิให้ตกต่ำ มิให้ตกอยู่ในอำนาจของความโลภ ความโกรธและความหลงได้ นับว่าเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ดังนั้นปีใหม่จะพบแต่ความสุขและความเจริญจึงอยู่ที่การกระทำของเรา จงสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม อย่าตกอยู่ภายใต้อำนาจที่ตกต่ำยกจิตใจของตนเองให้ประเสริฐ ให้เลิศให้งามแล้วความสุขปีใหม่ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา กับครอบครัวของเรา กับสังคมของเรา และกับประเทศชาติของเรา ปีใหม่นี้จะมีสุขหรือมีทุกข์ก็อยู่ที่การกระทำของตัวเรานี่เอง

การเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ขาดสติ การดื่มของมึนเมาจนขาดสติ นับว่าเป็นมหันตภัยของชีวิต การเดินทางหรือการท่องเที่ยวที่ผสมผสานไปกับความคึกคะนอง เป็นการดำเนินชีวิตที่ประมาท อาจจะกลายเป็นหนทางแห่งความตายหรือเป็นหนทางที่นำไปสู่ความหายนะของชีวิต ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าทุกชีวิตล้วนต้องการความสุขด้วยกันทั้งนั้น จะทำอะไรขอให้ระลึกและเห็นใจเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน เรามีความสุขแล้วแต่อย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง ขอให้แบ่งปันความสุขที่เรามีนี้ให้เกิดกับเพื่อนบ้านหรือผู้คนที่อยู่รอบข้าง ความสุขของเราก็จะกลายเป็นความสุขที่ยั่งยืนและมีความสุขจริง ๆ การดื่มของมึนเมาชนิดต่าง ๆล้วนเป็นการประพฤติผิดศีลข้อที่ห้าซึ่งถือว่าเป็นศีลของพุทธศาสนิกชนผู้ครองเรือน การจะมีความสุขสนุกสนานรื่นเริงในเทศกาลอันสำคัญเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ของมึนเมามาเป็นองค์ประกอบของการสร้างความสุขสนุกสนานก็ได้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะอันเกิดขึ้นจากการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับครอบครัวกับเพื่อนบ้านกับผู้คนในชุมชนหรือในหมู่บ้าน  มันเป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่จีรังยั่งยืน ดังนั้นการเที่ยวเตร็ดเตร่และการตกเป็นทาสของสิ่งมึนเมาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้คนในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เช่นนี้

ปีเก่ากำลังจะผ่านไปและปีใหม่กำลังจะเข้ามานี้ ขอให้ท่านจงมีชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท มีความสุขอย่างมีสติ เดินทางอย่างมีสติ เมื่อมีความสุขก็ขอให้สุขพอประมาณ คิดถึงวันที่จะทุกข์บ้าง มีใช้จ่ายวันนี้ขอให้คิดถึงวันพรุ่งนี้ด้วย  อย่าได้มีความสุขเพียงตัวเราคนเดียว ขอให้คิดถึงสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนบ้านกันบ้าง ขอจงร่วมกันสร้างความสุขอันแท้จริงบนพื้นฐานแห่งความรักและความอบอุ่นในครอบครัว ในชุมชน ในหมู่บ้าน ในสังคมไทยเราเถิด

ปีใหม่ไม่ได้ทำอะไรมากก็ขอให้คิดถึงและห่วงใยผู้ด้อยโอกาสในสังคมกันบ้าง คนชรา คนพิการ เด็กด้อยโอกาสที่มีอยู่ในสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ ยังมีอยู่จำนวนมากและต้องการการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เครื่องอุปโภคเครื่องบริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตหรือแม้แต่ทรัพย์สินเงินทองถ้าพอจะแบ่งปันเพื่อผู้ด้อยโอกาสก็คงจะเป็นการทำบุญทำทานให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตในเทศกาลขึ้นปีใหม่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ปีใหม่ขอให้ลดความเห็นแก่ตัว อย่าตกอยู่ภายใต้อำนาจของความโลภ ความโกรธและความหลง ขอให้ใช้สติควบคุมตนเอง ขอให้ใช้ปัญญาแก้ปัญหาชีวิต ขออย่าได้ตกเป็นทาสของสิ่งมึนเมา ขอให้รักษาศีลและประพฤติธรรมแล้วความสุขในเทศกาลปีใหม่ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราและครอบครัวของเราอย่างแท้จริง ขอจงเป็นคนรู้จักทำใจและเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต สิ่งที่ชั่วร้ายเมื่อเกิดขึ้นกับเราก็ขอจงมีความอดทน กล้าเผชิญ กล้าต่อสู้ อีกไม่นานสิ่งชั่วร้ายก็จะหายไป ความทุกข์ก็จะหายไปเพราะเรามีความอดทนและเข้าใจจนเราชนะมันได้ เมื่อทุกข์หายไปแล้วความสุขก็จะติดตามมาแล้วช่วยรักษาความสุขที่เกิดขึ้นกับเรานี้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ปีใหม่ขอให้ลดสิ่งที่ไม่ดี เพิ่มพูนสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวเรา ในครอบครัวของเรา ในที่ทำงานของเรา ในชุมชนหรือหมู่บ้านของเรา ความเป็นสิริมงคลก็จะเกิดขึ้น ความสดใสก็จะติดตามมา ความสุขทั้งวันปีใหม่ ตลอดทั้งปีใหม่ก็จะติดตามมาให้เกิดความสุขด้วยกันทั่วทุกคน...

ปีใหม่ ลดได้ มีความสุข แต่ถ้าปีใหม่ก็ยังไม่ลดการเห็นแก่ตัว ไม่ลดความโลภ ความโกรธ ความหลงเสียแล้ว จะมีปีใหม่สักกี่ครั้งตัวเราก็ยัง “ทุกข์เหมือนเดิม”.

พระมหาสมัย  จินฺตโฆสโก
มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่  ธนบุรี
ที่มา
http://dailynews.co.th/education/5770