กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ, กฎแห่งกรรม และ ประสบการณ์วิญญาณ => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ => ข้อความที่เริ่มโดย: nutpunpr ที่ 07 ก.ค. 2555, 10:50:27

หัวข้อ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nutpunpr ที่ 07 ก.ค. 2555, 10:50:27
คือผมเคยไปวัดแถวบ้านที่ผมเคยอยู่ ที่วัดนั้นพระอาจารย์ที่สอนการทำสมาธิ จะมีวิธีตรวจสอบสมาธิของแต่ละคนโดยให้คนที่จะทดสอบหันหลังให้ แล้วอีกคนทอยเต๋า แล้วให้คนทดสอบบอกว่าลูกเต๋าออกหน้าอะไร แล้วทีนี้พระอาจารย์ดูผลทดสอบของผมแล้วบอกว่ารู้จักการเข้าสมาธิก็ต้องออกสมาธิให้เป็น แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงต้องออกสมาธิ เคยถามพระอาจารย์ที่วัดนั้นแต่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ

จนมีอยู่วันหนึ่ง ผมก็นั่งสมาธิปกติ แต่วันนั้นก่อนที่ผมจะทำสมาธิผมนึกถึงพ่อแม่และน้องผมว่าทำไมต้องได้รับทุกข์ตลอดเวลา ผมก็เลยนึกถึงเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่และน้องผมว่า กรรมใดที่พ่อแม่น้องทำอะไรไม่ดีไว้ให้ขอเอามาคืนกับผมแทน ผมก็เลยนั่งสมาธิแต่วันนั้นพอผมหยุดนั่งสมาธิ เดินไปอยู่ดีๆ มันก็วูบไปเองไม่มีแรงเดิน ความรู้สึกเศร้า หดหู่เข้ามาเอง ทั้งๆที่ตอนหยุดนั่งใหม่ๆ ยังไม่รู้สึกอะไรเดินสบายๆ แต่พอเดินสักพักก็มีอาการอย่างนี้

ผมก็เลยสงสัยว่า อาการนี้เป็นเพราะผมไม่ออกจากสมาธิให้ถูกวิธีรึเปล่าหรือเป็นเพราะสิ่งที่ผมตั้งจิตขอให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นมาเอาคืนที่ผมแทน
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: รวี สัจจะ... ที่ 07 ก.ค. 2555, 11:28:38
...อาการของการออกสมาธิไม่ถูกวิธีนั้นจะมีอาการเบรอ
สาเหตุมาจาก กายและจิตไม่สัมพันธ์กัน มีสติแต่ขาดสัมปชัญะ
จะเป็นในช่วงที่ออกจากสมาธิใหม่ๆ สักพักอาการนั้นก็จะหายไป
เพราะจิตและกายปรับเข้าหากันได้ สัมปชัญญะกลับคืนมา
ร่างกายจะรับรูู้และปฏิบัติตอยสนองตามคำสังได้ตามปกติ
...ส่วนอาการที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการกดทับเส้นประสาท
ในขณะที่เรานั่งสมาธิ ซึ่งอาจจะกดทับนานเกินไป
ทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวก กล้ามเนื้อหมดกำลัง
ซึ่งถ้าพูดกันตามหลักธรรม ก็คือการเกิดจากกรรมของตัวเราเอง
ซึ่งเรานั้นกำลังชดใช้มัน...
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: jookku ที่ 08 ก.ค. 2555, 01:20:23
คือผมเคยไปวัดแถวบ้านที่ผมเคยอยู่ ที่วัดนั้นพระอาจารย์ที่สอนการทำสมาธิ จะมีวิธีตรวจสอบสมาธิของแต่ละคนโดยให้คนที่จะทดสอบหันหลังให้ แล้วอีกคนทอยเต๋า แล้วให้คนทดสอบบอกว่าลูกเต๋าออกหน้าอะไร แล้วทีนี้พระอาจารย์ดูผลทดสอบของผมแล้วบอกว่ารู้จักการเข้าสมาธิก็ต้องออกสมาธิให้เป็น แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงต้องออกสมาธิ เคยถามพระอาจารย์ที่วัดนั้นแต่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ

จนมีอยู่วันหนึ่ง ผมก็นั่งสมาธิปกติ แต่วันนั้นก่อนที่ผมจะทำสมาธิผมนึกถึงพ่อแม่และน้องผมว่าทำไมต้องได้รับทุกข์ตลอดเวลา ผมก็เลยนึกถึงเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่และน้องผมว่า กรรมใดที่พ่อแม่น้องทำอะไรไม่ดีไว้ให้ขอเอามาคืนกับผมแทน ผมก็เลยนั่งสมาธิแต่วันนั้นพอผมหยุดนั่งสมาธิ เดินไปอยู่ดีๆ มันก็วูบไปเองไม่มีแรงเดิน ความรู้สึกเศร้า หดหู่เข้ามาเอง ทั้งๆที่ตอนหยุดนั่งใหม่ๆ ยังไม่รู้สึกอะไรเดินสบายๆ แต่พอเดินสักพักก็มีอาการอย่างนี้

ผมก็เลยสงสัยว่า อาการนี้เป็นเพราะผมไม่ออกจากสมาธิให้ถูกวิธีรึเปล่าหรือเป็นเพราะสิ่งที่ผมตั้งจิตขอให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นมาเอาคืนที่ผมแทน

แป๊ะเลย เรื่องประมาณนี้ก็เกิดขึ้นกับผม
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: นักรบอาทมาต ที่ 08 ก.ค. 2555, 01:23:55
อ่านจากที่เจ้ากระทู้เล่ามา...มันแปลกๆนะครับ...

ผมก็บวชเรียนมา เรื่องการทำสมาธิ ไม่เคยเจอแบบทดสอบ อะไรแบบนั้น ที่ต้องให้ทายลูกเต๋า

ลองศึกษา  การทำสมาธิ สายพระอาจารย์มั่น หรือ สายหลวงพ่อสดวัดปากน้ำดู

อาจจะทำให้ท่านได้เข้าใจการทำสมาธิที่ถูกต้อง....

อย่างที่ท่านเล่ามาผมว่า มันเป็นการทำสมาธิที่ไม่ถูกต้องนะครับ...

ยังไม่ทันไรก็ทดสอบพลังวิเศษกันซะแล้ว...

ปล. อย่าทำเป็นเล่นไปนะครับ เรื่องแบบนี้ทำไม่ถูกต้องเป็นบ้าเอานะ...
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: cartoon_2 ที่ 08 ก.ค. 2555, 08:11:03
สมาธิคือจิตที่สงบ แต่จิตที่สงบบางครั้งเกิดจากเราไปบังคับ กำหนดให้เกิด สังเกตุดูว่าเรานั่งแล้วจะเกร็งหน้าเกร็งตา เนื่องจากเราไปบังคับมัน การนั่งสมาธิเมื่อจิตสงบแล้ว ก็ให้ยกจิตขึ้นพิจารณา ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหลุดออกจากสมาธิ นั่นก็คือ นั่งดูจิตเราเอง เห็นจิตเราเอง เราเป็นผู้นั่งดู จิตตอนนี้มีอารมณ์อย่างไร โกรธ โลภ หลง นั่งดูจิตที่ติดกิเลสอย่างหยาบ เมื่อดูแล้วนั่งดูการเกิดดับของกิเลสเหล่านี้ เราจะเห็นทุกข์ที่เกิดจากกิเลส เมื่อจิตรู้เท่าทัน มันจะปล่อยวาง เราจะรู้สึกสบาย เพราะจิตไม่ยึดติดกับเจ้า 3 ตัวที่ว่า ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากคิด การปล่อยวางต้องปล่อยวางด้วยจิตอย่างรู้เท่าทัน ไม่ใช่ปล่อยวางด้วยคิด เรื่องของธรรมพระพุทธเจ้าถึงแบ่งรูปออกเป็น 1 แบ่งจืตออกเป็น 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ธรรมมันอยู่ที่ร่างกายเรา ศึกษาจากตัวเราทั้งนั้น จิตที่เกิดสมาธิ จะทำให้เราพิจารณาจิตโดยไม่มีกิเลส 3 ตัว มาสร้างความลำเอียงในการยกจิตขึ้นพิจารณา แต่ไม่ใช่การที่เกิดสมาธิจะทำให้อายตนะเราปิดหมด คือไม่รู้เสียง ไม่รู้กลิ่น อะไรแบบนี้ เสียงเรายังได้ยิน แต่เราต้องรู้เท่าทันครับ
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nutpunpr ที่ 08 ก.ค. 2555, 11:56:54
ขอบคุณมากๆ ครับ ทุกคำตอบ  :050:

ขอถามอีกคำถามนึงครับ
แล้วถ้าเราอยู่ในสมาธิตลอดเวลาทุกการกระทำ โดยที่ไม่ออกจากสมาธิเลยจะเป็นอะไรไหมครับ  :049:
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: banmung ที่ 08 ก.ค. 2555, 02:20:11
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: cartoon_2 ที่ 08 ก.ค. 2555, 04:34:05
ขอบคุณมากๆ ครับ ทุกคำตอบ  :050:

ขอถามอีกคำถามนึงครับ
แล้วถ้าเราอยู่ในสมาธิตลอดเวลาทุกการกระทำ โดยที่ไม่ออกจากสมาธิเลยจะเป็นอะไรไหมครับ  :049:
สมาธิเราสามารถอยู่ได้ตลอดเวลา นั่นคือเราต้องรู้ปัจจุบันขณะตลอด ทุกอริยาบท สามารถทำได้ แต่สมาธิทำให้เกิดปัญญาได้เราจะต้องยกจิตขึ้นพิจารณา ถึงจะเกิดปัญญา ปัญญาที่ว่าคือความเข้าใจในการเกิด ตั้งอยู่และดับไป ไม่ใช้บอกว่าปัญญาที่ทำให้เราสามารถรู้ทุกเรื่องที่เราไม่เคยศึกษา พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาจากร่างกายเรานี้แหละ ความรู้ ผู้รู้ก็ได้จากตัวเรา ร่างกายเรานี้แหละ เมื่อเรานั่งดูจิต เข้าใจ รูปนาม สามารถแยกรูปและนามออกจากกันได้ เราจะเห็นเกิดดับของขันธ์ 5 เข้าใจ เมื่อจิตรู้ทันก็จะปล่อยวาง เราก็จะเกิดปิติครับ แต่ก็อย่าไปหลงติดกับปิติ เพราะไม่ใช่หนทางดับทุกช์ ควรศึกษาลงในราบละเอียดของแต่ละอย่างมากขึ้นครับ
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: นักรบอาทมาต ที่ 08 ก.ค. 2555, 04:55:38


สมาธิเราสามารถอยู่ได้ตลอดเวลา นั่นคือเราต้องรู้ปัจจุบันขณะตลอด ทุกอริยาบท สามารถทำได้ แต่สมาธิทำให้เกิดปัญญาได้เราจะต้องยกจิตขึ้นพิจารณา ถึงจะเกิดปัญญา ปัญญาที่ว่าคือความเข้าใจในการเกิด ตั้งอยู่และดับไป ไม่ใช้บอกว่าปัญญาที่ทำให้เราสามารถรู้ทุกเรื่องที่เราไม่เคยศึกษา พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาจากร่างกายเรานี้แหละ ความรู้ ผู้รู้ก็ได้จากตัวเรา ร่างกายเรานี้แหละ เมื่อเรานั่งดูจิต เข้าใจ รูปนาม สามารถแยกรูปและนามออกจากกันได้ เราจะเห็นเกิดดับของขันธ์ 5 เข้าใจ เมื่อจิตรู้ทันก็จะปล่อยวาง เราก็จะเกิดปิติครับ แต่ก็อย่าไปหลงติดกับปิติ เพราะไม่ใช่หนทางดับทุกช์ ควรศึกษาลงในราบละเอียดของแต่ละอย่างมากขึ้นครับ

ชอบข้อความนี้มากๆ ครับ เป็นการอธิบายได้ชัดเจนเป็นที่สุด กับการทำสมาธิ

กระชับได้ใจความ พระอาจารย์ที่วัดอโศกราม สมุทรปราการ ก็สอนผมมาแบบนี้ครับ

ถ้าท่านใดปฎิบัติได้ตามนี้ รับรอง ท่านจะได้รู้ได้เห็นอะไรอีกมาก และไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: นักรบอาทมาต ที่ 08 ก.ค. 2555, 11:15:48
เพิ่มเติมเคล็ดลับ อย่างนึงต่อจากคุณ  cartoon_2 คือ

จำไว้ขึ้นใจเลยนะครับ....เมื่อจิตนิ่งแล้ว  จะเกิดความปิติ

จงอย่าไปยินดีกับสิ่งนั้น  ไม่งั้นจิตหลุดคือไม่นิ่ง ต้องตั้งต้นใหม่
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nutpunpr ที่ 09 ก.ค. 2555, 11:59:40


สมาธิเราสามารถอยู่ได้ตลอดเวลา นั่นคือเราต้องรู้ปัจจุบันขณะตลอด ทุกอริยาบท สามารถทำได้ แต่สมาธิทำให้เกิดปัญญาได้เราจะต้องยกจิตขึ้นพิจารณา ถึงจะเกิดปัญญา ปัญญาที่ว่าคือความเข้าใจในการเกิด ตั้งอยู่และดับไป ไม่ใช้บอกว่าปัญญาที่ทำให้เราสามารถรู้ทุกเรื่องที่เราไม่เคยศึกษา พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาจากร่างกายเรานี้แหละ ความรู้ ผู้รู้ก็ได้จากตัวเรา ร่างกายเรานี้แหละ เมื่อเรานั่งดูจิต เข้าใจ รูปนาม สามารถแยกรูปและนามออกจากกันได้ เราจะเห็นเกิดดับของขันธ์ 5 เข้าใจ เมื่อจิตรู้ทันก็จะปล่อยวาง เราก็จะเกิดปิติครับ แต่ก็อย่าไปหลงติดกับปิติ เพราะไม่ใช่หนทางดับทุกช์ ควรศึกษาลงในราบละเอียดของแต่ละอย่างมากขึ้นครับ

ชอบข้อความนี้มากๆ ครับ เป็นการอธิบายได้ชัดเจนเป็นที่สุด กับการทำสมาธิ

กระชับได้ใจความ พระอาจารย์ที่วัดอโศกราม สมุทรปราการ ก็สอนผมมาแบบนี้ครับ

ถ้าท่านใดปฎิบัติได้ตามนี้ รับรอง ท่านจะได้รู้ได้เห็นอะไรอีกมาก และไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์

เพิ่มเติมเคล็ดลับ อย่างนึงต่อจากคุณ  cartoon_2 คือ

จำไว้ขึ้นใจเลยนะครับ....เมื่อจิตนิ่งแล้ว  จะเกิดความปิติ

จงอย่าไปยินดีกับสิ่งนั้น  ไม่งั้นจิตหลุดคือไม่นิ่ง ต้องตั้งต้นใหม่


ขอบคุณมากๆครับ ผมจะพยายามต่อไป
เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ธรรมชาติมอบร่างกายมาให้ใช้แล้ว ผมจะใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด
หัวข้อ: ตอบ: ถามเกี่ยวกับการทำสมาธิครับ
เริ่มหัวข้อโดย: cartoon_2 ที่ 09 ก.ค. 2555, 01:28:37


สมาธิเราสามารถอยู่ได้ตลอดเวลา นั่นคือเราต้องรู้ปัจจุบันขณะตลอด ทุกอริยาบท สามารถทำได้ แต่สมาธิทำให้เกิดปัญญาได้เราจะต้องยกจิตขึ้นพิจารณา ถึงจะเกิดปัญญา ปัญญาที่ว่าคือความเข้าใจในการเกิด ตั้งอยู่และดับไป ไม่ใช้บอกว่าปัญญาที่ทำให้เราสามารถรู้ทุกเรื่องที่เราไม่เคยศึกษา พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาจากร่างกายเรานี้แหละ ความรู้ ผู้รู้ก็ได้จากตัวเรา ร่างกายเรานี้แหละ เมื่อเรานั่งดูจิต เข้าใจ รูปนาม สามารถแยกรูปและนามออกจากกันได้ เราจะเห็นเกิดดับของขันธ์ 5 เข้าใจ เมื่อจิตรู้ทันก็จะปล่อยวาง เราก็จะเกิดปิติครับ แต่ก็อย่าไปหลงติดกับปิติ เพราะไม่ใช่หนทางดับทุกช์ ควรศึกษาลงในราบละเอียดของแต่ละอย่างมากขึ้นครับ

ชอบข้อความนี้มากๆ ครับ เป็นการอธิบายได้ชัดเจนเป็นที่สุด กับการทำสมาธิ

กระชับได้ใจความ พระอาจารย์ที่วัดอโศกราม สมุทรปราการ ก็สอนผมมาแบบนี้ครับ

ถ้าท่านใดปฎิบัติได้ตามนี้ รับรอง ท่านจะได้รู้ได้เห็นอะไรอีกมาก และไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์

เพิ่มเติมเคล็ดลับ อย่างนึงต่อจากคุณ  cartoon_2 คือ

จำไว้ขึ้นใจเลยนะครับ....เมื่อจิตนิ่งแล้ว  จะเกิดความปิติ

จงอย่าไปยินดีกับสิ่งนั้น  ไม่งั้นจิตหลุดคือไม่นิ่ง ต้องตั้งต้นใหม่


ขอบคุณมากๆครับ ผมจะพยายามต่อไป
เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ธรรมชาติมอบร่างกายมาให้ใช้แล้ว ผมจะใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด
การพิจารณารูป เวลาเรานั่งสมาธิ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่นเกิดการเมื่อย ล้า เหน็บ หรือมีอาการชา ให้เราถอยออกไปนั่งดู การเกิดของอาการเหล่านี้ มันจะเกิด  เมื่อเกิดแล้วมันจะค่อยๆสูงขึ้น และท้ายที่สุดมันก็หายไป คือดับไป เป็นไปตามหลักธรรมชาติ ตัวเรา ร่างกายเราไม่ใช่ของเรา เกิดดับมันใีอยู่ตลอดให้เห็น
อาการของเวทนา เกิดความทุกข์ เกิดความสุข เกิดความโลภ อยากได้โน่นได้นี่  แม้กระทั่งโกรธ เป็นอาการของเวทนาที่ร่างกายได้รับ สัญญาเป็นสิ่งที่ทำให้จำได้ระลึกได้ สังเกตุดูว่า ถ้าใครมาพูดแบบนี้ อย่างนี้จะโกรธ จะส่งอารมณ์ให้เกิดเวทนาได้ หรือแม้กระทั้่งเห็นไก่ นึกถึงรสชาติของต้มไก่ เป็นต้น ตัวสังขารเป็นอีกอันที่ทำให้มนุษย์เราเกิดทุกข์ เพราะจะปรุงแต่งไปเรื่อยๆ คิดไปต่างๆนาๆ ปรุงไปเรื่อย ปรุงไปจนตัวเองก็ทุกข์ ตัวสุดท้ายก็คือวิญญาน เป็นตัวที่บอกว่าตัวกูขิองกู สิ่งที่ปรุงมา ระลึกได้ ปรุงแต่งมาเป็นของเรา

เมื่อเราเข้าใจถึงขันธ์ 5 เราควรละและวางเสีย การละวางเราต้องละมาจากจิต ไม่ใช่คิด จิตที่ละได้นั้นจะทำให้เราเห็นตัวรู้ เมื่อเรารู้จิตจะปล่อยวางทันที ความโกรธจะหายไป โลภจะหายไป หลงจะหายไป หายไปจากจิต สิ่งที่เราได้เรียนมา ว่าโกรธ ต้องให้อภัย ที่ผ่านมาเราอภัยแต่ปาก แต่คิด ไม่ได้เกิดจากใจ เมื่อยกจิตขึ้นพิจารณาเราจะเห็นจิตที่แท้จริงว่ามันยังติดเรื่องโกรธ หรือกิเลสอื่นหรือไม่ เมื่อเรานั่งมองดูจิตอย่างเข้าใจ เห็นเกิดดับของกิเลสเรานี้ เห็นจนเป็นธรรมชาติที่มันเป็นแบบนี้ นี่แหละกองทุกข์แท้ๆของมนุษย์ กองทุกข์กองใหญ่ จิตเกิดการยอมรับ ปล่อยวาง เราจะรู้สึกปิติ อาการจะมีลักษณะเบาอกเบาใจ ครื้มอกครื้มใจ ใจเบาสบาย เพราะกิเลสมันได้ปล่อยแล้ว

ถ้าเราเข้าถึงตรงนี้ เราจะเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น อยู่ใกล้เรามาก เราจะค้นเจอหรือไม่

ขอให้พบเจอและสามารถหาทางดับทุกข์ได้ครับ