กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด มิตรไมตรี => รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) => ข้อความที่เริ่มโดย: SOLSKJAER ที่ 15 เม.ย. 2549, 07:35:51

หัวข้อ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: SOLSKJAER ที่ 15 เม.ย. 2549, 07:35:51
คือว่าผมไปสักยันต์มาอ่ะครับ เหงข้อห้ามอยุ่ข้อหนึ่ง ห้ามกินฟักแฟง นําเต้า อยากจะถามว่า แกงต้มฟักกินได้ไหมครับ โดยไม่ได้กินเนื้อที่เปงฟักอ่ะครับ กินแต่หมู ช่วยตอบผมทีนะครับ
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: 444 ที่ 15 เม.ย. 2549, 07:41:04
แล้วคุณกินโดนฟักหรือเปล่าครับ ในความคิดของผมนะครับเราไม่ได้กินฟักหนิครับกินแต่หมู ผมว่าข้อห้ามอื่นๆยังสำคัญมากกว่าเช่นการถือศีลห้า การประพฤติตัวให้อยู่ในศีลธรรมครับ :002:
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำมัน ที่ 15 เม.ย. 2549, 09:45:14
ขอห้าม สำหรับการสักยันต์ ของวัดบางพระ ห้ามกินน้ำเต้า และมะเฟื่อง ไม่ได้ห้ามกินฟัก นะ โปรดเข้าใจด้วย
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: ooo ที่ 16 เม.ย. 2549, 05:09:14
? :001: ขอเชิญร่วมทำบุญ

(http://img91.imageshack.us/img91/8910/ya00569ug.jpg)
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: TheBlues ที่ 16 เม.ย. 2549, 07:14:51
สิ่งใดทำแล้วไม่สบายจัย ก้อจงอย่าทำ :) :) :)
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: potato ที่ 16 เม.ย. 2549, 06:41:02
 ห้ามกินฟักแฟง นําเต้า บวบ ของเหลือเดน  ที่สำคัญคือตำลึง  ที่จริงมันเป็นข้อห้าม  แต่ถ้าเราจะกินสมมุดจะกินฟักก็ให้เรียกว่าต้มไก่  เรียกเป็นอย่างอื่นสิ  การเล่นของมีทางแก้หมดที่เราทำผิด  นอกจากอ.จะไม่บอก  เพราะไม่อยากให้ลูกศิษนอกลู่นอกทางอยากให้อยู่ในกรอบ
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: ~เสน่ห์เอ~ ที่ 19 เม.ย. 2549, 03:37:25
ห้ามกินฟักแฟง นําเต้า บวบ ของเหลือเดน? ที่สำคัญคือตำลึง? ที่จริงมันเป็นข้อห้าม? แต่ถ้าเราจะกินสมมุดจะกินฟักก็ให้เรียกว่าต้มไก่? เรียกเป็นอย่างอื่นสิ? การเล่นของมีทางแก้หมดที่เราทำผิด? นอกจากอ.จะไม่บอก? เพราะไม่อยากให้ลูกศิษนอกลู่นอกทางอยากให้อยู่ในกรอบ

ที่วัดนี้ไม่เคยห้ามกินตำลึง ครับโปรดเข้าใจด้วยชัดเจนน่ะครับ แล้วก็ไม่มีสอนให้เรียกอะไรเป็นอย่างอื่นด้วย  ที่คุณเขียนมาของที่ไหนอ่ะครับดูเหมือนง่ายๆเลยทำไรผิดก็แก้ได้หมด ผมมาวัดบางพระแห่งนี้ก็เกือบ10ปีแล้วไม่เคยได้ยินเลยครับ
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: เค็น ที่ 19 เม.ย. 2549, 07:21:13
potatoมั่วป่าวคับเนี่ย มาจากสำนักนั๋ยหรอคุณอ่ะ >:( >:(
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: นาย วัชรพล น้ำใจดี(###เปียกปูน###) ที่ 19 เม.ย. 2549, 02:32:08
....potato....
ผมว่าที่คุณ  potato  น่าจะเป็น สำนักของ อ.หนู น่ะคราบ ผมเคยอ่านหนังสือ ที่เขียนไว้เป็นหนดังสือ เกี่ยวกับ ประวัติ ของ อ.หนู่ คราบแต่ผมคิดว่า ที่พี่เอ พูดมาก็มีเหตุผล  ถือซะว่าที่
คุณ potato พูดมาเป็นการแก้ เคล็ด ของสำนักอื่นแล้วกันคราบ ใครอยากรู้ ว่าจริงไหม รองไปหาอ่าน หนังสือ อ.หนู ดูได้คราบจะพบ วิธี การข้อห้าม ที่ อ.หนู ได้บอกไว้ ...
....แต่พูดไปแล้ว นี้เป็นเว็บ ของ วัดบางพระ คนที่เป็น ลูกศิษย์ อ.หนู ไม่น่าจะมาลงโฆษนา นะผมว่า เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหากัน
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: potato ที่ 19 เม.ย. 2549, 07:40:34
อ้าว  เค้าใช้กันทั้งหมดแหละใครก็ใช้หยั่งงี้  ที่เค้าไม่บอกเพราะไม่อยากให้รู้สมมุดคุณกินฟักเข้าไปแล้วคุณจะมาสักทำไมในเมื่อทำแล้วของหลุดแล้วกินของเละๆไม่มีทางหายหลอกสักทีพันทีก็ไม่มีผลงั้นสิ  ที่จริงหลวงพ่ออ่ะบอกไว้ว่าหลวงพ่อถือมากที่สุดคือของเหลือเดน ยิ่งเหล้ายิ่งห้ามตำลึงห้ามลอดกับห้ามกิน งั้นแล้วห้ามลอดไม่ค้ำกล้วยมีข้อห้ามทุกสำนักแสดงว่าใครสักมาก่อนคนสักทีหลังก็เรียนแบบสิ  แสดงว่าหลวงพ่อเรียนแบบมางั้นรึ  ใครเค้าจะมาบอกคุณหมดหล่ะแค่ 5 ข้อที่บอกทำได้ทุกวันรึป่าวที่จริงมีเยอะมากเค้าไม่บอกจะได้ไม่ผิด  ผมบอกเพื่อเป็นความรู้ที่จริงอ.หนูก็เรียนมากับหลวงพ่อไม่ใช่หรอ  นี่กันหรอที่เค้าเรียกว่าศิษหลวงพ่อเปิ่นที่ว่าเหนียวจริงๆเค้าเป็นแบบนี้หรอ  งั้นคนโดนทำของใส่คงไม่มีทางแก้สงสัยต้องนอนรอวันตายอย่างเดียว  ที่เร็วๆนี่ไปงานที่วัดบางพระมาวันไหว้ครูเค้าต้มฟักให้กินได้ไงสงสัยหลวงพ่อคงโกหกหล่ะมั้ง เอ้อ นายนี่ศิษหลวงพ่อเปิ่นจริงอ่ะป่าวเนี่ย  สงสัยต้มเลี้ยงคนอื่นไม่งั้นคงต้มเฉยๆ
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: potato ที่ 19 เม.ย. 2549, 07:48:09
ทุกสำนักก็สักคล้ายๆกันแหละครับ ทุกสำนักก็เรียนมาหลายที่แหละ  ถ้าไม่เหมือนกันจริงสักเสือที่หลวงพ่อบอกไปสักเสือที่อื่นมาอีกสักเสือสองอย่างของขึ้นคงลงไปว่ายน้ำเล่นอ่ะเราว่าถ้ามันไม่เหมือนกัน
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: 444 ที่ 19 เม.ย. 2549, 08:15:31
เอาแล้วโดนตาปลาเข้าให้ อ่านแล้ว งง ครับ ใจเย็นๆค่อยๆพิมพ์ก็ได้ อ่านแล้วงงเสืออะไรสักแล้วจะไปว่ายน้ำ สื่อความหมายใหม่อีกที่ครับ   ประโยคนี้พูดบ่อยเหลือเกินนะครับ (นี่กันหรอที่เค้าเรียกว่าศิษย์หลวงพ่อเปิ่น) ทำไมเหรอครับ คุณมีอะไรในใจเหรอครับ
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กลำปาง ที่ 19 เม.ย. 2549, 09:33:43
อ้าว? เค้าใช้กันทั้งหมดแหละใครก็ใช้หยั่งงี้? ที่เค้าไม่บอกเพราะไม่อยากให้รู้สมมุดคุณกินฟักเข้าไปแล้วคุณจะมาสักทำไมในเมื่อทำแล้วของหลุดแล้วกินของเละๆไม่มีทางหายหลอกสักทีพันทีก็ไม่มีผลงั้นสิ? ที่จริงหลวงพ่ออ่ะบอกไว้ว่าหลวงพ่อถือมากที่สุดคือของเหลือเดน ยิ่งเหล้ายิ่งห้ามตำลึงห้ามลอดกับห้ามกิน งั้นแล้วห้ามลอดไม่ค้ำกล้วยมีข้อห้ามทุกสำนักแสดงว่าใครสักมาก่อนคนสักทีหลังก็เรียนแบบสิ? แสดงว่าหลวงพ่อเรียนแบบมางั้นรึ? ใครเค้าจะมาบอกคุณหมดหล่ะแค่ 5 ข้อที่บอกทำได้ทุกวันรึป่าวที่จริงมีเยอะมากเค้าไม่บอกจะได้ไม่ผิด? ผมบอกเพื่อเป็นความรู้ที่จริงอ.หนูก็เรียนมากับหลวงพ่อไม่ใช่หรอ? นี่กันหรอที่เค้าเรียกว่าศิษหลวงพ่อเปิ่นที่ว่าเหนียวจริงๆเค้าเป็นแบบนี้หรอ? งั้นคนโดนทำของใส่คงไม่มีทางแก้สงสัยต้องนอนรอวันตายอย่างเดียว? ที่เร็วๆนี่ไปงานที่วัดบางพระมาวันไหว้ครูเค้าต้มฟักให้กินได้ไงสงสัยหลวงพ่อคงโกหกหล่ะมั้ง เอ้อ นายนี่ศิษหลวงพ่อเปิ่นจริงอ่ะป่าวเนี่ย? สงสัยต้มเลี้ยงคนอื่นไม่งั้นคงต้มเฉยๆ
อ.หนู ศิษย์หลวงพ่อเปิ่นเหรอครับ ?  :o
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: gear ที่ 19 เม.ย. 2549, 09:51:36
เนอ ความคิดเห็งหน่อยคับ เรื่องการกินนี้เท่าที่ผมสอบถามคนเฒ่าคนแก่ เค้าจะห้ามกินของจำพวก น้ำเต้า ฟัก บวบ ซึ่งท่านจะบอกว่าของพวกนี้เป็นพืชที่มีมือ คนเล่นของเค้าไม่ค่อยกินกัน ซึ่งพืชมีมือก็มีอีกหลายชนิดนอกจาก น้ำเต้า ฟักฯ ?

เรื่องการห้ามลอดตำลึง อย่างที่คุณ potato ว่า ตัวผมไม่เคยได้ยินจากคนเฒ่าคนแก่ เพิ่งจะเคยได้ยินจากคุณ และเคยได้ยินก่อนหน้านี้ 1ครั้งซึ่งได้ยินจากใครก็จำไม่ได้แร้ว รวมเป็น 2ครั้ง ซึ่งถ้าเค้าห้ามลอดกันจริงๆก็คงจะรวมพืชมีมือทุกชนิด ซึ่งถ้าถือกันจริงๆก็คงจะลำบาก เพราะสมัยก่อนป่าและต้นไม้มันเยอะ พืชที่มีมือ พวกนี้ก็คงจะเลื้อยไปทั้วเวลาเดินไปไหนก็ต้องสังเกตกันตลอดลำบากน่าดู

ส่วนเรื่องการลอดไม้ค้ำต้นกล้วย สพานหัวเดียวก็ได้ยินมานานแล้วคงจะถือกันทุกสำนัก แต่ก็มีเกจิอาจารย์บางองค์ในสมัยก่อนเปรียบวัตถุมงคลของท่านเสมือนทองคำหรืองู ซึ่งทองคำตกไปที่ไหนก็ยังเป็นทองคำไม่มีวันที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้ และงูพิษเมื่อลอดใต้หว่างขา ไม่ค้ำต้นกล้วย สะพานหัวเดียวเมื่อไปกัดคุณ คุณตายไหมครับ

เรื่องไสยศาสตร์นี้ผมว่าคนที่จะเข้าใจมันมากที่สุดก็คือตัวมันเอง ส่วนข้อห้ามแต่ละอาจารย์จะถือไม่เหมือนกัน ให้ถือตามแบบที่อาจารย์เราให้ถือก็พอ
เพราะ อ. แต่ล่ะ อ. ก็เรียนมาไม่เหมือนกัน ข้อห้ามก็อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ บางอาจารย์วัตถุมงคลของท่านไม่ถืออะไรเลยถือแค่ห้ามผิดลูกเค้าเมียใคร ห้ามว่าบุพการี จะไปลอดนู้นรอนนี้ก็ไม่ถือ อาจารย์บางองค์ก็ถือแค่ห้ามว่าบุพการี ห้ามรอดไม้ค้ำต้นกล้วย สพานหัวเดียว สุดแล้วแต่ตัวอาจารย์

การสักยันต์ หรือวัตถุมงคลที่ปลุกเสก ก้อเหมือนกัน เพียงแต่ว่าการสักนั้นจะติดตัวเราไปตลอดกันการลืมหรือคนที่ไม่ชอบพกวัตถุมงคลกลัวจะลืมหรือทำหาย สุดแล้วแต่คุณจะเลือกแบบไหน การสักหรือเสกวัตถุมงคลจะขลังหรือไม่อยู่ที่ตัวอาจารย์ว่าญาณท่านถึงไหม ถ้าตัวอาจารย์ญาณท่านถึงมีศีลบริสุทธิ์ จะจับจะเสกอะไรก็คลัง พระอาจารย์บางองค์สมัยก่อน
ปลุกเสกวัตถุแล้วท่านก็จะบอกว่าของๆท่านไม่มีวันเสื่อมไม่ว่าจะไปลอดไปทำอะไรก็ตาม แต่วัตถุมงคลของท่านช่วยได้เฉพาะคนดีและไม่ใช่วิบากกรรม  ใช่ว่าจะไปปล้นฆ่าเค้าแล้วจะหวังว่าให้สิ่งศักดิ์จากวัตถุมงคลคุ้มครอง อาจจะช่วยได้เฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้น

ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง แม่ผมสมัยที่เป็นวัยรุ่น บ้านก็อยู่ใกล้กับวัด มีคนตายแล้วที่ตัวก็สักยันต์แล้วก็นำร่างไปเผาปรากฎว่าเผาไม่ได้เผายังไงก็ไม่ไหม้คราวนี้ให้ลองนำผ้าถุงที่ผู้หญิงเคยนุ่งตอนมีประจำเดือนมาคลุมร่างศพ(ก็เหมือนกับการลอดราวตากผ้า) แล้วนำไปเผาใหม่ก็ยังไม่ไหม้ ก็ลองอีก
หลายวิธี จนสุดท้ายต้องนำประจำเดือนผู้หญิงมาป้ายที่ตัวจึงจะเผาไหม้แล้วเหม็นมากๆๆ
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: 789 ที่ 20 เม.ย. 2549, 02:41:23
อ้าว? เค้าใช้กันทั้งหมดแหละใครก็ใช้หยั่งงี้? ที่เค้าไม่บอกเพราะไม่อยากให้รู้สมมุดคุณกินฟักเข้าไปแล้วคุณจะมาสักทำไมในเมื่อทำแล้วของหลุดแล้วกินของเละๆไม่มีทางหายหลอกสักทีพันทีก็ไม่มีผลงั้นสิ? ที่จริงหลวงพ่ออ่ะบอกไว้ว่าหลวงพ่อถือมากที่สุดคือของเหลือเดน ยิ่งเหล้ายิ่งห้ามตำลึงห้ามลอดกับห้ามกิน งั้นแล้วห้ามลอดไม่ค้ำกล้วยมีข้อห้ามทุกสำนักแสดงว่าใครสักมาก่อนคนสักทีหลังก็เรียนแบบสิ? แสดงว่าหลวงพ่อเรียนแบบมางั้นรึ? ใครเค้าจะมาบอกคุณหมดหล่ะแค่ 5 ข้อที่บอกทำได้ทุกวันรึป่าวที่จริงมีเยอะมากเค้าไม่บอกจะได้ไม่ผิด? ผมบอกเพื่อเป็นความรู้ที่จริงอ.หนูก็เรียนมากับหลวงพ่อไม่ใช่หรอ? นี่กันหรอที่เค้าเรียกว่าศิษหลวงพ่อเปิ่นที่ว่าเหนียวจริงๆเค้าเป็นแบบนี้หรอ? งั้นคนโดนทำของใส่คงไม่มีทางแก้สงสัยต้องนอนรอวันตายอย่างเดียว? ที่เร็วๆนี่ไปงานที่วัดบางพระมาวันไหว้ครูเค้าต้มฟักให้กินได้ไงสงสัยหลวงพ่อคงโกหกหล่ะมั้ง เอ้อ นายนี่ศิษหลวงพ่อเปิ่นจริงอ่ะป่าวเนี่ย? สงสัยต้มเลี้ยงคนอื่นไม่งั้นคงต้มเฉยๆ
อ.หนู ศิษย์หลวงพ่อเปิ่นเหรอครับ ?? :o

ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดครับเรื่องที่อ.หนูเป็นศิษย์หลวงพ่อเปิ่นโปรดจงรับรู้ทั่วกันด้วยครับ......และก็อย่าไปสนใจเรื่องที่คนรู้ไม่จริงโพสกันขึ้นมาสงสัยประการใดเชิญที่วัดบางพระได้เลยถามครูบาอาจารย์กันตรงๆ....ก็ไม่รู้ว่าคุณpotatoสักที่วัดนี้มานานยังครับเห็นรู้มากจริงๆทำไมไม่เป็นอาจารย์สักซ่ะเองเลยล่ะครับรวยด้วยน่ะ....เคารพสถานที่กันบ้างไหม...ลูกศิษย์หลวงปู่เขาจะเข้าใจผิดกันไปหมดแล้วถ้าป่วนเชิญที่อื่นเลยครับ...
คนที่เขารู้เยอะรู้จริงยังมีกมาอย่าพยายามทำตัวเด่นเลยไม่มีประโยชน์หรอกบาปกรรมมีจริง
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: TheBlues ที่ 20 เม.ย. 2549, 06:21:29
 ; >:( >:( >:(คุณpotato กรุณาอย่าพาดพิงหลวงปู่ของพวกเรามากนะคับ ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว >:( >:( >:(
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: potato ที่ 20 เม.ย. 2549, 05:59:21
ที่วัดนี้ไม่เคยห้ามกินตำลึง ครับโปรดเข้าใจด้วยชัดเจนน่ะครับ แล้วก็ไม่มีสอนให้เรียกอะไรเป็นอย่างอื่นด้วย  ที่คุณเขียนมาของที่ไหนอ่ะครับดูเหมือนง่ายๆเลยทำไรผิดก็แก้ได้หมด ผมมาวัดบางพระแห่งนี้ก็เกือบ10ปีแล้วไม่เคยได้ยินเลยครับ
potatoมั่วป่าวคับเนี่ย มาจากสำนักนั๋ยหรอคุณอ่ะ 
สามหาวจริงๆ เลย
หลวงพ่อสอนผมให้เป็นคนดีครับ  แล้วพูดอย่างนี้เป็นไงหล่ะครับอย่างงี้เหมาะสมมั้ยครับ
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: potato ที่ 20 เม.ย. 2549, 06:01:50
เค้าสอนให้มากีดกันหรอครับ  ผมว่าหลวงพ่อก็ดีมันก็เสียที่ลูกศิษมาเยอะแล้วผมว่าที่วัดน่าจะไม่เป็นนะเนี่ย
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: 777 ที่ 20 เม.ย. 2549, 06:51:14
เค้าสอนให้มากีดกันหรอครับ? ผมว่าหลวงพ่อก็ดีมันก็เสียที่ลูกศิษมาเยอะแล้วผมว่าที่วัดน่าจะไม่เป็นนะเนี่ย

ไม่ได้กีดกันอย่างเดียวครับสำหรับคุณต้องขับไล่ด้วยถึงจะถูก.....
เสียที่ลูกศิษมาเยอะ....จะเสียจริงๆก็เพราะมีลูกศิษย์อย่างคุณนี่แหละแสนรู้ไปหมด
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: potato ที่ 20 เม.ย. 2549, 07:28:27
เนอ ความคิดเห็งหน่อยคับ เรื่องการกินนี้เท่าที่ผมสอบถามคนเฒ่าคนแก่ เค้าจะห้ามกินของจำพวก น้ำเต้า ฟัก บวบ ซึ่งท่านจะบอกว่าของพวกนี้เป็นพืชที่มีมือ คนเล่นของเค้าไม่ค่อยกินกัน ซึ่งพืชมีมือก็มีอีกหลายชนิดนอกจาก น้ำเต้า ฟักฯ ?

เรื่องการห้ามลอดตำลึง อย่างที่คุณ potato ว่า ตัวผมไม่เคยได้ยินจากคนเฒ่าคนแก่ เพิ่งจะเคยได้ยินจากคุณ และเคยได้ยินก่อนหน้านี้ 1ครั้งซึ่งได้ยินจากใครก็จำไม่ได้แร้ว รวมเป็น 2ครั้ง ซึ่งถ้าเค้าห้ามลอดกันจริงๆก็คงจะรวมพืชมีมือทุกชนิด ซึ่งถ้าถือกันจริงๆก็คงจะลำบาก เพราะสมัยก่อนป่าและต้นไม้มันเยอะ พืชที่มีมือ พวกนี้ก็คงจะเลื้อยไปทั้วเวลาเดินไปไหนก็ต้องสังเกตกันตลอดลำบากน่าดู

ส่วนเรื่องการลอดไม้ค้ำต้นกล้วย สพานหัวเดียวก็ได้ยินมานานแล้วคงจะถือกันทุกสำนัก แต่ก็มีเกจิอาจารย์บางองค์ในสมัยก่อนเปรียบวัตถุมงคลของท่านเสมือนทองคำหรืองู ซึ่งทองคำตกไปที่ไหนก็ยังเป็นทองคำไม่มีวันที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้ และงูพิษเมื่อลอดใต้หว่างขา ไม่ค้ำต้นกล้วย สะพานหัวเดียวเมื่อไปกัดคุณ คุณตายไหมครับ

เรื่องไสยศาสตร์นี้ผมว่าคนที่จะเข้าใจมันมากที่สุดก็คือตัวมันเอง ส่วนข้อห้ามแต่ละอาจารย์จะถือไม่เหมือนกัน ให้ถือตามแบบที่อาจารย์เราให้ถือก็พอ
เพราะ อ. แต่ล่ะ อ. ก็เรียนมาไม่เหมือนกัน ข้อห้ามก็อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ บางอาจารย์วัตถุมงคลของท่านไม่ถืออะไรเลยถือแค่ห้ามผิดลูกเค้าเมียใคร ห้ามว่าบุพการี จะไปลอดนู้นรอนนี้ก็ไม่ถือ อาจารย์บางองค์ก็ถือแค่ห้ามว่าบุพการี ห้ามรอดไม้ค้ำต้นกล้วย สพานหัวเดียว สุดแล้วแต่ตัวอาจารย์

การสักยันต์ หรือวัตถุมงคลที่ปลุกเสก ก้อเหมือนกัน เพียงแต่ว่าการสักนั้นจะติดตัวเราไปตลอดกันการลืมหรือคนที่ไม่ชอบพกวัตถุมงคลกลัวจะลืมหรือทำหาย สุดแล้วแต่คุณจะเลือกแบบไหน การสักหรือเสกวัตถุมงคลจะขลังหรือไม่อยู่ที่ตัวอาจารย์ว่าญาณท่านถึงไหม ถ้าตัวอาจารย์ญาณท่านถึงมีศีลบริสุทธิ์ จะจับจะเสกอะไรก็คลัง พระอาจารย์บางองค์สมัยก่อน
ปลุกเสกวัตถุแล้วท่านก็จะบอกว่าของๆท่านไม่มีวันเสื่อมไม่ว่าจะไปลอดไปทำอะไรก็ตาม แต่วัตถุมงคลของท่านช่วยได้เฉพาะคนดีและไม่ใช่วิบากกรรม? ใช่ว่าจะไปปล้นฆ่าเค้าแล้วจะหวังว่าให้สิ่งศักดิ์จากวัตถุมงคลคุ้มครอง อาจจะช่วยได้เฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้น

ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง แม่ผมสมัยที่เป็นวัยรุ่น บ้านก็อยู่ใกล้กับวัด มีคนตายแล้วที่ตัวก็สักยันต์แล้วก็นำร่างไปเผาปรากฎว่าเผาไม่ได้เผายังไงก็ไม่ไหม้คราวนี้ให้ลองนำผ้าถุงที่ผู้หญิงเคยนุ่งตอนมีประจำเดือนมาคลุมร่างศพ(ก็เหมือนกับการลอดราวตากผ้า) แล้วนำไปเผาใหม่ก็ยังไม่ไหม้ ก็ลองอีก
หลายวิธี จนสุดท้ายต้องนำประจำเดือนผู้หญิงมาป้ายที่ตัวจึงจะเผาไหม้แล้วเหม็นมากๆๆ

งั้นแสดงว่าคุณคนนี้เค้าพูดไม่ดีงั้นสิ
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: ooooooooo ที่ 20 เม.ย. 2549, 08:58:59
อ้าว? เค้าใช้กันทั้งหมดแหละใครก็ใช้หยั่งงี้? ที่เค้าไม่บอกเพราะไม่อยากให้รู้สมมุดคุณกินฟักเข้าไปแล้วคุณจะมาสักทำไมในเมื่อทำแล้วของหลุดแล้วกินของเละๆไม่มีทางหายหลอกสักทีพันทีก็ไม่มีผลงั้นสิ? ที่จริงหลวงพ่ออ่ะบอกไว้ว่าหลวงพ่อถือมากที่สุดคือของเหลือเดน ยิ่งเหล้ายิ่งห้ามตำลึงห้ามลอดกับห้ามกิน งั้นแล้วห้ามลอดไม่ค้ำกล้วยมีข้อห้ามทุกสำนักแสดงว่าใครสักมาก่อนคนสักทีหลังก็เรียนแบบสิ? แสดงว่าหลวงพ่อเรียนแบบมางั้นรึ? ใครเค้าจะมาบอกคุณหมดหล่ะแค่ 5 ข้อที่บอกทำได้ทุกวันรึป่าวที่จริงมีเยอะมากเค้าไม่บอกจะได้ไม่ผิด? ผมบอกเพื่อเป็นความรู้ที่จริงอ.หนูก็เรียนมากับหลวงพ่อไม่ใช่หรอ? นี่กันหรอที่เค้าเรียกว่าศิษหลวงพ่อเปิ่นที่ว่าเหนียวจริงๆเค้าเป็นแบบนี้หรอ? งั้นคนโดนทำของใส่คงไม่มีทางแก้สงสัยต้องนอนรอวันตายอย่างเดียว? ที่เร็วๆนี่ไปงานที่วัดบางพระมาวันไหว้ครูเค้าต้มฟักให้กินได้ไงสงสัยหลวงพ่อคงโกหกหล่ะมั้ง เอ้อ นายนี่ศิษหลวงพ่อเปิ่นจริงอ่ะป่าวเนี่ย? สงสัยต้มเลี้ยงคนอื่นไม่งั้นคงต้มเฉยๆ
โต ๆ กันแล้ว เรียนหนังสือคงมีความรู้ ใช้ net เป็น ที่ต่ำที่สูง ก็น่าจะรู้บ้างใครจะเรียนไม่เรียนก็รู้อยู่แก่ใจ กินได้หรือไม่ได้ ถามตัวเองดีกว่าว่าประพฤติ ปฏิบัติได้ขนาดไหน
 :069:
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: 777 ที่ 21 เม.ย. 2549, 12:27:34
เนอ ความคิดเห็งหน่อยคับ เรื่องการกินนี้เท่าที่ผมสอบถามคนเฒ่าคนแก่ เค้าจะห้ามกินของจำพวก น้ำเต้า ฟัก บวบ ซึ่งท่านจะบอกว่าของพวกนี้เป็นพืชที่มีมือ คนเล่นของเค้าไม่ค่อยกินกัน ซึ่งพืชมีมือก็มีอีกหลายชนิดนอกจาก น้ำเต้า ฟักฯ ?

เรื่องการห้ามลอดตำลึง อย่างที่คุณ potato ว่า ตัวผมไม่เคยได้ยินจากคนเฒ่าคนแก่ เพิ่งจะเคยได้ยินจากคุณ และเคยได้ยินก่อนหน้านี้ 1ครั้งซึ่งได้ยินจากใครก็จำไม่ได้แร้ว รวมเป็น 2ครั้ง ซึ่งถ้าเค้าห้ามลอดกันจริงๆก็คงจะรวมพืชมีมือทุกชนิด ซึ่งถ้าถือกันจริงๆก็คงจะลำบาก เพราะสมัยก่อนป่าและต้นไม้มันเยอะ พืชที่มีมือ พวกนี้ก็คงจะเลื้อยไปทั้วเวลาเดินไปไหนก็ต้องสังเกตกันตลอดลำบากน่าดู

ส่วนเรื่องการลอดไม้ค้ำต้นกล้วย สพานหัวเดียวก็ได้ยินมานานแล้วคงจะถือกันทุกสำนัก แต่ก็มีเกจิอาจารย์บางองค์ในสมัยก่อนเปรียบวัตถุมงคลของท่านเสมือนทองคำหรืองู ซึ่งทองคำตกไปที่ไหนก็ยังเป็นทองคำไม่มีวันที่จะแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้ และงูพิษเมื่อลอดใต้หว่างขา ไม่ค้ำต้นกล้วย สะพานหัวเดียวเมื่อไปกัดคุณ คุณตายไหมครับ

เรื่องไสยศาสตร์นี้ผมว่าคนที่จะเข้าใจมันมากที่สุดก็คือตัวมันเอง ส่วนข้อห้ามแต่ละอาจารย์จะถือไม่เหมือนกัน ให้ถือตามแบบที่อาจารย์เราให้ถือก็พอ
เพราะ อ. แต่ล่ะ อ. ก็เรียนมาไม่เหมือนกัน ข้อห้ามก็อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ บางอาจารย์วัตถุมงคลของท่านไม่ถืออะไรเลยถือแค่ห้ามผิดลูกเค้าเมียใคร ห้ามว่าบุพการี จะไปลอดนู้นรอนนี้ก็ไม่ถือ อาจารย์บางองค์ก็ถือแค่ห้ามว่าบุพการี ห้ามรอดไม้ค้ำต้นกล้วย สพานหัวเดียว สุดแล้วแต่ตัวอาจารย์

การสักยันต์ หรือวัตถุมงคลที่ปลุกเสก ก้อเหมือนกัน เพียงแต่ว่าการสักนั้นจะติดตัวเราไปตลอดกันการลืมหรือคนที่ไม่ชอบพกวัตถุมงคลกลัวจะลืมหรือทำหาย สุดแล้วแต่คุณจะเลือกแบบไหน การสักหรือเสกวัตถุมงคลจะขลังหรือไม่อยู่ที่ตัวอาจารย์ว่าญาณท่านถึงไหม ถ้าตัวอาจารย์ญาณท่านถึงมีศีลบริสุทธิ์ จะจับจะเสกอะไรก็คลัง พระอาจารย์บางองค์สมัยก่อน
ปลุกเสกวัตถุแล้วท่านก็จะบอกว่าของๆท่านไม่มีวันเสื่อมไม่ว่าจะไปลอดไปทำอะไรก็ตาม แต่วัตถุมงคลของท่านช่วยได้เฉพาะคนดีและไม่ใช่วิบากกรรม? ใช่ว่าจะไปปล้นฆ่าเค้าแล้วจะหวังว่าให้สิ่งศักดิ์จากวัตถุมงคลคุ้มครอง อาจจะช่วยได้เฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้น

ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง แม่ผมสมัยที่เป็นวัยรุ่น บ้านก็อยู่ใกล้กับวัด มีคนตายแล้วที่ตัวก็สักยันต์แล้วก็นำร่างไปเผาปรากฎว่าเผาไม่ได้เผายังไงก็ไม่ไหม้คราวนี้ให้ลองนำผ้าถุงที่ผู้หญิงเคยนุ่งตอนมีประจำเดือนมาคลุมร่างศพ(ก็เหมือนกับการลอดราวตากผ้า) แล้วนำไปเผาใหม่ก็ยังไม่ไหม้ ก็ลองอีก
หลายวิธี จนสุดท้ายต้องนำประจำเดือนผู้หญิงมาป้ายที่ตัวจึงจะเผาไหม้แล้วเหม็นมากๆๆ

งั้นแสดงว่าคุณคนนี้เค้าพูดไม่ดีงั้นสิ


ในเวบนี้ไม่มีใครพูดไม่ดีเท่าคุณแล้วครับ....ผมล่ะอยากรู้ความในใจลึกๆของคุณจริงๆว่าทำอย่างนี้เพื่ออะไรมีความคับแค้นใจอะไรโดยส่วนตัวหรือปล่าว?...
ก็บอกมาตรงๆก็ได้ครับอย่าทำอย่างนี้เลยสมาชิกเค้าจะเกลียดคุณกันหมด :069:
หัวข้อ: ตอบ: ถามอะไรหน่อยครับ เรื่องการกินฟัก
เริ่มหัวข้อโดย: 8 ที่ 21 เม.ย. 2549, 04:21:02
      สิ่งที่เป็นมงคล ( มงคล ๓๘ )

      มนุษย์เราไม่ว่าหญิงหรือชาย? เด็กหรือผู้ใหญ่? ยากจนหรือมั่งมี? ล้วนแต่ต้องการสิ่งที่ดีงาม? เป็นมงคล
แก่ชีวิตของตนทั้งสิ้น? แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ามงคลคืออะไร? และอะไรที่เป็นมงคล

      นานมาแล้วในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติบังเกิดขึ้น? ได้มีการถกเถียงกันในชมพูทวีป
ว่าอะไรเป็นมงคล? ต่างคนต่างก็แสดงสิ่งที่เป็นมงคลตามความเห็นของตน? แต่ไม่อาจตกลงกันได้ว่า? อะไรแน่เป็น
มงคล? การถกเถียงกันมิได้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เท่านั้น? หากได้ลุกลามไปถึงพวกเทวดาและพรหม? ในสรวงสวรรค์
ด้วย? ?ถึงกระนั้นก็ยังหาข้อยุติไม่ได้จวบจนเวลาล่วงไป ๑๒ ปี? ?สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือพระพุทธเจ้าของเรา
พระองค์นี้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก? พวกเทวดาในดาวดึงส์เทวโลกจึงได้พากันเข้าไปเฝ้าท้าวสักกะเทวราช? (คือพระอินทร์)
ผู้เป็นพระราชาในภพดาวดึงส์ทูลถามถึงมงคล? ท้าวสักกะตรัสถามว่า? ท่านทั้งหลายได้ทูลถามเรื่องนี้กับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหรือยัง? เมื่อทรงทราบว่ายัง? จึงได้ทรงตำหนิว่าพวกท่านได้ล่วงเลย? พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงแสดงมงคลแล้วกลับมาถามเรา? ?เป็นเหมือนทิ้งไฟเสีย? ?แล้วมาถือเอาไฟที่ก้นหิ้งห้อย? ?ตรัสแล้วชวนกันไป
เฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระวิหารเชตวัน? ใกล้กรุงสาวัตถีในแคว้นโกศล? ถวายบังคมแล้วยืนอยู่? ณ? ที่ควร? ท้าวสักกะ
ทรงมอบหมายให้เทวดาองค์หนึ่งเป็นผู้ทูลถามเรื่องนี้

      ในเวลานั้นเทพเจ้าในหมื่นจักรวาล? เนรมิตกายให้ละเอียดมาแออัดประชุมกัน? เพื่อมงคลปัญหาในที่
นั้นด้วย? ?จนพระเชตวันสว่างไสวไปทั่วด้วยรัศมีกายของเทวดาเหล่านั้น? ?ถึงกระนั้นก็มิอาจบดบังพระรัศมี? ?ซึ่ง
เปล่งออกจากพระกายของพระพุทธเจ้าได้? ?เทวดาองค์ที่ได้รับมอบหมายให้ทูลถามมงคลปัญหากะพระพุทธเจ้า?
ได้ทูลถามปัญหากะพระพุทธเจ้าว่า? "เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากหวังอยู่ซึ่งความสวัสดี? ได้พา
กันคิดสิ่งที่เป็นมงคล (แต่ไม่อาจคิดได้)? ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอุดมมงคล"

      พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสให้ทราบว่า มงคลมีอยู่ ๓๘ มงคล? ด้วยพระคาถา ๑๐ คาถาใน มงคลสูตร๑
ตามลำดับดังนี้

   ๑.พระไตรปิฎก? เล่ม? ๒๕? ขุททกนิกาย? ขุททกปาฐะ? ข้อ ๕-๖

   คาถาที่ ๑. มี ๓ มงคลคือ
   ๑.? ?อเสวนา จ พาลานํ การไม่คบคนพาล
   ๒.? ?ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา การคบบัณฑิต (คือ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย)
   ๓.? ?ปูชา จ ปูชนียานํ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

   คาถาที่ ๒. มี ๓ มงคลคือ
   ๔.? ?ปฏิรูปเทสวาโส จ การอยู่ในประเทศ(ถิ่น)ที่สมควร
   ๕.? ?ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา การได้กระทำบุญไว้แล้วในปางก่อน
   ๖.? ? อตฺตสมฺมาปณิธิ จ การตั้งตนไว้ชอบ? ?

   คาถาที่ ๓. มี ๔ มงคลคือ
   ๗.? ?พาหุสจฺจญฺจ การสดับตรับฟังมาก
   ๘.? ? สิปฺปญฺจ การศึกษาศิลปะ
   ๙.? ? วินโย จ สุสิกฺขิโต วินัยที่ศึกษาดีแล้ว
   ๑๐.? ?สุภาสิตา จ ยา วาจา วาจาสุภาษิต? ?

   คาถาที่ ๔. มี ๔ มงคลคือ
   ๑๑.? ?มาตาอุปฏฺฐานํ การบำรุงมารดา
   ๑๒.? ?ปิตุอุปฏฺฐานํ การบำรุงบิดา
   ๑๓.? ?ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห การสงเคราะห์บุตรและภรรยา
   ๑๔.? ?อนากุลา จ กมฺมนฺตา การงานไม่อากูลคั่งค้าง? ?

   คาถาที่ ๕. มี ๔ มงคลคือ
   ๑๕.? ?ทานญฺจ ทาน การให้
   ๑๖.? ?ธมฺมจริยา การประพฤติธรรม
   ๑๗.? ?ญาตกานญฺจ สงฺคโห การสงเคราะห์ญาติ
   ๑๘.? ?อนวขฺขานิ กมฺมานิ การกระทำการงานที่ไม่มีโทษ? ?

   คาถาที่ ๖. มี ๓ มงคลคือ
   ๑๙.? ?อารตี วีรตี ปาปา การงดการเว้นจากบาป
   ๒๐.? ?มฺชชปานา จ สญฺญโม การสำรวมจากน้ำเมา
   ๒๑.? ?อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย

   คาถาที่ ๗. มี ๕ มงคลคือ
   ๒๒.? ?คารโว จ ความเคารพ
   ๒๓.? ?นิวาโต จ การอ่อนน้อมถ่อมตน
   ๒๔.? ?สนฺตุฏฺฐี จ ความสันโดษ
   ๒๕.? ?กตญฺญุตา ความกตัญญูรู้คุณ
   ๒๖.? ?กาเลน ธมฺมสฺสวนํ การฟังธรรมตามกาล? ?

   คาถาที่ ๘. มี ๔ มงคลคือ
   ๒๗.? ?ขนฺตี จ ความอดทน
   ๒๘.? ?โสวจสฺสตา ความเป็นผู้ว่าง่าย
   ๒๙.? ?สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะ
   ๓๐.? ?กาเลน ธมฺมสากจฺฉา การสนทนาธรรมตามกาล? ?

   คาถาที่ ๙. มี ๔ มงคลคือ
   ๓๑.? ?ตโป จ ความเพียรเผากิเลส
   ๓๒.? ?พฺรหฺมจริยญฺจ การประพฤติพรหมจรรย์
   ๓๓.? ?อริยสจฺจานทสฺสนํ การเห็นอริยสัจ
   ๓๔.? ?นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ การทำนิพพานให้แจ้ง? ?

   คาถาที่ ๑๐. มี ๔ มงคลคือ
   ๓๕.? ?ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ จิตของผู้ใดถูกโลกธรรมกระทบแล้วไม่หวั่นไหว
   ๓๖.? ?อโสกํ ความไม่เศร้าโศก
   ๓๗.? ?วิรชํ จิตที่ปราศจากธุลี คือกิเลส
   ๓๘.? ?เขมํ จิตที่ถึงความเกษมจากโยคะ

      พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงมงคล ๓๘ ด้วยพระคาถา ๑๐ คาถาเหล่านี้แล้ว? ได้ทรงแสดงอานิสงส์ของมงคลไว้ใน
คาถาสุดท้าย? ( คือคาถาที่ ๑๑ )? ว่า? "เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายกระทำมงคลทั้งหลายดังนี้แล้ว? เป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง?
ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน? ข้อนั้นเป็นมงคลอันสูงสุดของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น"

http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html