แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - NaMaPaTa

หน้า: [1]
1
พาเสือมาเดินเล่น....? :005:

2
ใครรู้บ้างว่าเป็นเหรียญที่มาจากไหน....
ใครเป็นคนทำ.... 
?:075:





----------------------------------

3
 :016:  เอารูปมาใส่ให้เยอะๆเลยนะครับอยากได้  หรือไม่ก็ส่งไป ---->SIT1802@hotmail.Com เลยครับ   :015:
ขอบคุงคร๊าบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ     :054:

4
มียันต์อะไรมั่ง..ครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

5
อยากได้? (หนุมานท้ารบ) กับ (หนุมานขี้สิงห์แผงศร)?
ที่ไหนมีให้ลงมั่งครับ แถวๆใน กทม. อ่ะ? ?:075:


6
พระบรมสารีริกธาตุ

อ้างถึง
  http://www.wt81.org/sareerikkatat/page2.htm 


7
ปี 2550? วันที่ 23 มีนาคม? ?ปีกุน? ? ? วันศุกร์? ? ? ? ? ?เป็นวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5
ปี 2551? วันที่ 10 เมษายน ปีชวด? ? วันพฤหัสบดี? ?? เป็นวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5
ปี 2552? วันที่ 30 มีนาคม? ?ปีฉลู? ? ? วันจันทร์? ? ? ? ?เป็นวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5
ปี 2553? วันที่ 20 มีนาคม? ?ปีขาล? ? วันเสาร์? ? เป็นวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5
ปี 2554? วันที่ 08 เมษายน ปีเกาะ? ? วันศุกร์? ? ? ? ? เป็นวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5
ปี 2555? วันที่ 27 มีนาคม? ?ปีมะโรง? วันอังคาร? ? ? ?เป็นวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5
ปี 2556? วันที่ 15 เมษายน ปีมะเส็ง? วันจันทร์? ? ? ? เป็นวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5
ปี 2557? วันที่ 04 เมษายน ปีมะเมีย วันศุกร์? ? ? ? ? เป็นวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 5



8
? ปฐวีกสิณ
 
? ? ? ? ? กสิณนี้? ท่านเรียกว่า? ปฐวีกสิณ? เพราะมีการเพ่งดินเป็นอารมณ์ ศัพท์ว่า "ปฐวี" แปลว่า
"ดิน"? กสิณ แปลว่า "เพ่ง"? รวมความแล้วได้ความว่า? "เพ่งดิน"?

อุปกรณ์กสิณ

? ? ? ? ? ปฐวีกสิณนี้? มีดินเป็นอุปกรณ์ในการเพ่ง จะเพ่งดินที่เป็นพื้นลานดิน ที่ทำให้เตียนสะอาด
จากผงธุลี หรือจะทำเป็นสะดึงยกไปยกมาได้ ก็ใช้ได้ทั้งสองอย่าง ดินที่จะเอามาทำเป็นดวงกสิณนั้น
ท่านให้ใช้ดินสีอรุณอย่างเดียว ห้ามเอาดินสีอื่นมาปน ถ้าจำเป็นหาดินสีอรุณไม่ได้มาก ท่านให้เอาดิน
สีอื่นรองไว้ข้างล่างแล้วเอาดินสีอรุณทาทับไว้ข้างบน ดินสีอรุณนี้ ท่านโบราณาจารย์ท่านว่าหาได้จาก
ดินขุยปู เพราะปูขุดเอาดินสีอรุณขึ้นไว้ปากช่องรูที่อาศัย เมื่อหาดินได้ครบแล้ว ต้องทำสะดึงตาม
ขนาดดังนี้ ถ้าทำเป็นลานติดพื้นดิน ก็มีขนาดเท่ากัน

ขนาดดวงกสิณ

? ? ? ? ? วงกสิณที่ทำเป็นวงกลมสำหรับเพ่ง? อย่างใหญ่ท่านให้ทำไม่เกินเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑ คืบ ๔
นิ้ว อย่างเล็กไม่เล็กกว่าขอบขัน ระยะนั่งเพ่งบริกรรม? ท่านให้นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลกว่า ๒ คืบ ๔ นิ้ว
ตั่งที่รองวงกสิณ? ท่านให้สูงไม่เกิน ๒ คืบ ๔ นิ้ว? ท่านว่าเป็นระยะที่พอเหมาะพอดี? ?เพราะจะได้
ไม่มองเห็นรอยที่ปรากฏบนดวงกสิณ? ที่ท่านจัดว่าเป็นกสิณโทษ? เวลาเพ่งกำหนดจดจำ? ท่านให้
มุ่งจำแต่สีดิน? ท่านไม่ให้คำนึงถึงขอบและริ้วรอยต่าง ๆ


กิจก่อนการเพ่งกสิณ

? ? ? ? ? เมื่อจัดเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว ท่านให้ชำระร่างกายให้สะอาด แล้วนั่งขัดสมาธิที่ตั่ง
สำหรับนั่ง หลับตาพิจารณาโทษของกามคุณ ๕ ประการ ตามนัยที่กล่าวในอสุภกรรมฐาน ต้องการ
ทราบละเอียดโปรดเปิดไปที่ บทว่าด้วยอสุภกรรมฐาน จะทราบละเอียด เมื่อพิจารณาโทษของ
กามคุณจนจิตสงบจากนิวรณ์แล้วให้ลืมตาขึ้นจ้องมองภาพกสิณจดจำให้ดีจนคิดว่าจำได้ก็หลับตาใหม่
กำหนดภาพกสิณไว้ในใจ ภาวนาเป็นเครื่องผูกใจไว้ว่า "ปฐวีกสิณ" เมื่อเห็นว่าภาพเลือนไปก็ลืมตา
ดูใหม่? เมื่อจำได้แล้วก็หลับตาภาวนากำหนดจดจำภาพนั้นต่อไป ทำอย่างนี้บ่อยๆ หลายร้อยหลายพัน
ครั้งเท่าใดไม่จำกัด จนกว่าอารมณ์ของใจจะจดจำภาพกสิณไว้ได้เป็นอย่างดี จะเพ่งมองดูหรือไม่
ก็ตาม ภาพกสิณนั้นก็จะติดตาติดใจ นึกเห็นภาพได้ชัดเจนทุกขณะที่ปรารถนาจะเห็นติดตาติดใจ
ตลอดเวลา อย่างนี้ท่านเรียกว่า "อุคคหนิมิต" แปลว่า นิมิตติดตา อุคคหนิมิตนี้ ท่านว่ายังมีกสิณ
โทษอยู่มาก คือภาพที่เห็นเป็นภาพดินตามที่ทำไว้ และขอบวงกลมของสะดึง ย่อมปรากฏริ้วรอย
ต่าง ๆ? เมื่อเข้าถึงอุคคหนิมิตแล้ว ท่านให้เร่งระมัดระวังรักษาอารมณ์สมาธิและนิมิตนั้นไว้จนกว่า
จะได้ปฏิภาคนิมิต ปฏิภาคนิมิตนั้น รูปและสีของกสิณเปลี่ยนจากเดิม คือกสิณทำเป็นวงกลมด้วย
ดินแดงนั้น จะกลายเป็นเสมือนแว่นแก้ว มีสีใสสะอาดผ่องใสคล้ายน้ำที่กลิ้ง อยู่ในใบบัว ฉะนั้น
รูปนั้นบางท่านกล่าวว่าคล้ายดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกปิดบัง เอากันง่าย ๆ ก็คือ เหมือน
แก้วที่สะอาดนั่นเอง รูปคล้ายแว่นแก้ว จะกำหนดจิตให้เล็กโตสูงต่ำได้ตาม ความประสงค์
อย่างนี้ท่านเรียกปฏิภาคนิมิต เมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้วท่านให้นักปฏิบัติเก็บตัว อย่ามั่วสุมกับ
นักคุยทั้งหลาย จงรักษาอารมณ์ รักษาใจให้อยู่ในขอบเขตของสมาธิเป็นอันดี อย่า สนใจใน
อารมณ์ของนิวรณ์แม้แต่น้อยหนึ่ง เพราะแม้นิดเดียวของนิวรณ์ อาจทำอารมณ์ สมาธิที่กำลัง
จะเข้าสู่ระดับฌานนี้ให้สลายตัวได้โดยฉับพลัน ขอท่านนักปฏิบัติจงระมัดระวัง อารมณ์รักษา
ปฏิภาคนิมิตไว้ คล้ายกับระมัดระวังบุตรสุดที่รักที่เกิดในวันนั้น


อากาสกสิณ อากาสกสิณ แปลว่า "เพ่งอากาศ"
อากาสกสิณนี้ ภาวนาว่า อากาสกสิณังๆ ๆ
ท่านให้ทำเหมือนในอาโลกกสิณ คือ เจาะช่องฝาเสื่อหรือหนัง หรือมองอากาศ คือความว่างเปล่าที่ลอดมาตามช่องฝา หรือหลังคา หรือตามช่องเสื่อ หรือผืนหนัง
โดยกำหนดว่า อากาศๆ ๆ จนเกิดอุคคหนิมิตซึ่งปรากฏเป็นช่องตามรูปที่กำหนด
ปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏคล้ายอุคคหนิมิต แต่มีพิเศษที่บังคับให้ขยายออกให้ใหญ่เล็ก สูงต่ำได้ตามความประสงค์ คำอธิบายอื่นก็เหมือนกสิณอื่น


อาโลกสิณ อาโลกสิณ แปลว่า "เพ่งแสงสว่าง"
ท่านให้หาแสงสว่างที่ลอดมาตามช่องฝา หรือช่องหลังคา หรือเจาะเสื่อลำแพน หรือหนังให้เป็นช่องเท่า ๑ คืบ ๔ นิ้ว ตามที่กล่าวในปฐวีกสิณ
แล้วภาวนาว่า อาโลกสิณังๆ ๆ ๆ อย่างนี้ จนอุคคหนิมิตปรากฏ
อุคคหนิมิตของอาโลกสิณ เป็นแสงสว่างที่เหมือนรูปเดิมที่เพ่งอยู่
ปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นแสงสว่างหนาทึบ เหมือนกับเอาแสงสว่าง มากองรวมกันไว้ที่นั่น
แล้วต่อไปขอให้นักปฏิบัติจงพยายาม ทำให้เข้าถึงจตุตถฌาน เพราะข้อความที่จะกล่าวต่อไปก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในปฐวีกสิณ

9
เหตุใดทำไมจึงเรียกว่า "มีดหมอ" ทั้ง ๆ ที่หมอไม่ได้มาเกี่ยวข้องสักหน่อย
ผู้ที่สร้างมีดหมอมักจะเป็นพระเกจิฯ ที่มีวิชาอาคมต่างหาก ก็ตามประสาคนช่างสงสัยนั่นแหละครับ
ทำไมจึงเรียกมีดที่กระเกจิฯ สร้างขึ้นมาว่ามีหมอ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วน่าจะเรียกว่า "มีดพระ" จึงจะเหมาะสม


              หากเรียกว่ามีดพระ ก็จะกลายเป็นว่าพระนั้นสร้างศาสตรวุธ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง พระท่านมิใช่นักรบ
แต่พระเป็นสาวกขององค์พระศาสดา มีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นทุกข์
               สมัยก่อนนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับผีเข้า หรือถูกคุณไสย มักจะมีให้เห็นกันอยู่เนือง ๆ ผู้ที่จะปราบหรือขับไล่ภูติผีปิศาจ มีคนอยู่สองกลุ่มด้วยกัน
(กลุ่มแรกคือพระเกจิฯ ที่เรืองเวทย์ มีวิชาอาคม).....(กับอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกหมอผี โดยเครื่องมือที่ใช้ในการสยบวิญญาณความชั่วร้าย
จะเป็นพวกมีดที่พระเกจิฯ ทำขึ้นเสียเป็นส่วนมาก) ดังนั้นการเรียกชื่อจึงมักเรียกว่า (มีดหมอ) จนติดปาก"


            อิทธิฤทธิ์อีกประการหนึ่งของมีดหมอนั้นก็คือ "การสังหารฝ่ายตรงข้ามที่มีวิชาอาคมหรือพวกหนังเหนียว พวกที่สักยันต์ตะกร้อ
(อย่างเช่นจอมโจรตี๋ใหญ่) ถ้าจะกล่าวว่าใช้อาคมฆ่าคนที่มีอาคมคงจะได้กระมัง" เชื่อกันว่าสมัยที่เสือขาวจะถูกยิงเป้านั้น
           (เสือขาวเป็นจอมโจรเจ้าของฉายาขุนโจรร้อยศพ มีประวัติเหี้ยมโหดมากฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กแรกเกิด เสือขาวมีของดีที่อยู่กับตัวคือ
"ลูกอมหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จังหวัดฉะเชิงเทรา") หลวงพ่อดิ่งได้เตือนเสือขาวว่า "มึงจะต้องตายโหงหากไม่เลิกเป็นโจร"
เสือขาวตอนนั้นกำลังทะนงตัว เพราะไม่มีอาวุธใด ๆ ทำอันตรายเสือขาวได้เลย ปืนก็ยิงไม่ออก มีดก็แทงไม่เข้า ความเป็นอมตะของเสือขาวนี้เอง
ทำให้เกิดความลำพองใจไม่ฟังคำเตือนของหลวงพ่อดิ่งซึ่งเป็นอาจารย์ของตัวเอง ตำรวจชุดไล่ล่าซึ่งประกอบด้วย ร.ต.อ.พจน์ รัตนดิลก จ่าบุญมี แก่นกระโทก
จ่าดวง เดชชาติ ได้มาหาหลวงพ่อดิ่งที่วัดบางวัว แล้วถามว่าจริงหรือที่ว่าเสือขาวนั้นหนังเหนียว หลวงพ่อดิ่งบอกว่า "จริง ไอ้ขาวมันหนังเหนียว
ยิงฟันไม่เข้าหรอก แต่มันจะแพ้ดวงของมันเอง อาตมาบอกไม่ได้หรอกว่าจะสังหารไอ้ขาวได้อย่างไร เพราะมันจะเป็นการผิดศีล"


               ตำรวจชุดไล่ล่าลาหลวงพ่อดิ่งกลับ ในขณะนั้นมีตาเถรคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับจ่าบุญมีได้มาบอกว่า "ถ้าจะสังหารไอ้ขาว
จะต้องใช้ลูกปืนที่หัวกระสุนทำด้วยใบมีดหมอ มีดหมอต้องเป็นของหลวงพ่อโศก วัดปากคลอง จังหวัดเพชรบุรี
ซึ่งหลวงพ่อโศกเป็นพระสหายของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว วิชาอาคมของหลวงพ่อดิ่งที่ลงไว้ หลวงพ่อโศกท่านจะจารแก้ไว้บนใบมีดหมอของท่าน
" สมัยก่อนนั้นมีดหมอของหลวงพ่อโศก วัดปาคลองยังพอที่จะหาได้ไม่เหมือนในเวลานี้ ซึ่งหามีดหมอของท่านไม่ได้อีกแล้ว
ซึ่งหาได้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นของแท้หรือเปล่า เพราะของปลอมมีแยะเหลือเกิน ทำได้เหมือนของจริงจนแยกแยะไม่ออก
เสือขาวได้ปะทะกับตำรวจชุดไล่ล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะกระสุนเพียงนัดเดียวมันก็เกินพอที่จะทำให้เสือขาว
ถึงกับทรุดท้องทะลุแม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็คางเหลืองสิ้นลายของคำว่า "จอมโจรหนังเหนียว"  นับตั้งแต่บัดนั้น
เสือขาวถูกพิพากษาโทษให้ประหารชีวิต (ยิงเป้า) ซึ่งกระสุนที่เพชรฆาตใช้สังหารเสือขาว
หัวกระสุนทั้งหมดที่ใช้ยิงทำจากใบมีดหมอของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองทุกนัด

10
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ฤาษี
« เมื่อ: 03 พ.ย. 2549, 11:23:00 »
ฤาษีต้องเพียรบำเพ็ญตบะกันอย่างหนัก ฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจึงมีแตกต่างกันไปตามความเพียรพยายาม
ใครปฏิบัติได้มากก็ได้รับการยกย่องให้เป็นฤาษีอันดับสูง เท่าที่ทราบเขาจัดฤาษีไว้ ๔ ชั้นดังนี้


๑.ราชรรษี (เจ้าฤาษี)
๒.พราหมณรรษี (พราหมณฤาษี)
๓.เทวรรษี (เทพฤาษี)
๔.มหรรษี (มหาฤาษี)


แต่ในบางแห่งก็จัดฤาษีที่สำเร็จตบะไว้เพียง ๓ ชั้นคือ
๑.พรหมฤาษี คือผู้มีตบะเลิศ ข่มจิตสงบได้จริง ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งทั้งปวง
๒.มหาฤาษี คือเป็นพวกฤาษีชั้นกลาง มีตบะ ข่มกามคุณได้หมดสิ้นแล้ว
๓.ราชฤาษี ได้แก่ ฤาษีที่มีตบะฌานสำเร็จเป็นอันดับต้น


การไต่อันดับไม่ได้ใช้ระบบการสอบ ผู้ที่จะเลื่อนชั้นจะต้องปฏิบัติบำเพ็ญตบะจน
ได้ผลตามที่กำหนดไว้ ซึ่งจะต้องใช้ความเพียรพยายามและความอดทนอย่างยิ่งยวด


ในคำไหว้ครู ที่ได้ยกมากล่าวในตอนต้น มีชื่อฤาษีที่คุ้นหูคนไทยส่วนมากอยู่ ๓ ตนด้วยกันคือ ฤาษีนารอด ฤาษีตาวัว ฤาษีตาไฟ
ฤาษีทั้งสามนี้คนระดับชาวบ้านสมัยก่อนรู้จักกันดี มักพูดถึงอยู่เสมอในตำนานพระพิมพ์ที่ว่า
จารึกไว้ในลานเงินก็ได้กล่าวถึงฤาษีตาวัว (งัว) และฤาษีตาไฟไว้เหมือนกัน ดังความว่า


        "ตำบลเมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิไชยสงคราม เมืองพิจิตร เมืองสุพรรณ ว่ายังมีฤาษี ๑๑ ตน
ฤาษีเป็นใหญ่ ๓ ตนๆ หนึ่งฤาษีพีลาไลย ตนหนึ่งฤาษีตาไฟ ตนหนึ่งฤาษีตางัว เป็นประธานแก่ฤาษีทั้งหลาย
จึงปรึกษากันว่า เราท่านทั้งหลายนี้จะ เอาอันใดให้แก่ พระยาศรีธรรมาโศกราช ฤาษีทั้ง ๓ จึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า
เราจะทำด้วยฤทธิ์ทำด้วยเครื่องประดิษฐานเงินทองไว้ฉะ นี้ฉลองพระองค์ จึงทำเป็นเมฆพัตร อุทุมพร
เป็นมฤตย์พิศม์ อายุวัฒนะ พระฤาษีประดิษฐานไว้ในถ้ำเหวใหญ่น้อย เป็นอานุภาพแก่มนุษย์ทั้งหลาย
สมณชีพราหมณาจารย์เจ้าไปถ้วน ๕๐๐๐ พรรษา

            พระฤาษีองค์หนึ่งจึงว่าแก่ฤาษีทั้งปวงว่า ท่านจงไปเอาว่าน ทั้งหลายอันมีฤทธิ์ เอามาให้สัก ๑๐๐๐
เก็บเอาเกสรไม้อันวิเศษ ที่มีกฤษณาเป็นอาทิให้ได้ ๑๐๐๐ ครั้นเสร็จแล้ว ฤาษีจึงป่าวร้องเทวดาทั้งปวง
ให้ช่วยกันบดยา ทำเป็นพระพิมพ์ไว้สถานหนึ่ง ทำเป็นเมฆพัตรสถานหนึ่ง ฤาษีทั้ง ๓ องค์นั้น
จึงบังคับฤาษีทั้งปวงให้เอาว่านทำเป็นผง เป็นก้อน ประดิษฐานด้วยมนต์คาถาทั้งปวงให้ประสิทธิทุกอัน
จึงให้ฤาษีทั้งนั้น เอาเกสรและว่านมาประสมกันดีเป็นพระให้ประสิทธิแล้ว ด้วยเนาวหรคุณประดิษฐานไว้บนเจดีย์อันหนึ่ง
ถ้าผู้ใดให้ถวายพระพรแล้ว จึงเอาไว้ใช้ตามอานุภาพเถิด ให้ระลึกถึงคุณพระฤาษีที่ทำไว้นั้นเถิด"


ดังนี้แสดงว่า แต่กาลก่อนทางภาคพื้นประเทศไทยเราก็มีฤาษีอยู่มาก โดยเฉพาะ ฤาษีตาวัว กับ ฤาษีตาไฟ
ติดปากคนมากกว่าฤาษีอื่นๆ และประวัติก็มีมากกว่า เท่าที่ทราบพอจะรวบรวมได้ดังต่อไปนี้


ฤาษีตาวัว
           นั้นเดิมทีเป็นสงฆ์ตาบอดทั้งสองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำให้ปรอทแข็งได้
แต่ยังไม่ทันใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ก็เอาไปทำหล่นตกถาน (ส้วมของพระตามวัด) เสีย จะหยิบเอามาก็ไม่ได้
เพราะตามองไม่เห็น เก็บความเงียบไว้ ไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกศิษย์ไปถาน แลเห็นแสงเรืองๆ
จมอยู่ใต้ถาน ก็กลับมาเล่าให้อาจารย์ฟัง หลวงตาดีใจบอกให้ศิษย์พาไป เห็นแสงเรืองตรงไหนให้จับมือจุ่มลงไปตรงนั้น
จะเลอะเทอะอย่างไรช่างมัน
            ศิษย์กลั้นใจทำตาม หลวงตาก็ควักเอาปรอทคืนมาได้ จัดแจงล้างน้ำให้สะอาดดีแล้วก็แช่ไว้ในโถน้ำผึ้งที่ท ่านฉัน
ไม่เอาติดตัวไปไหนอีก เพราะกลัวจะหล่นหาย
           อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็มารำพึงถึงสังขาร ว่าเราจะมานั่งตาบอดอยู่ทำไม มีของดีของวิเศษอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะลองดู
จึงให้ศิษย์ไปหาศพคนตายใหม่ๆ เพื่อจะควักเอาลูกตา แต่ลูกศิษย์หาศพใหม่ๆ ไม่ได้ ไปพบวัวนอนตายอยู่ตัวหนึ่ง
เห็นเข้าที่ดีก็เลยควักลูกตาวัวมาแทน
         หลวงตาจึงเอาปรอทที่แช่น้ำผึ้งไว้มาคลึงที่ตา แล้วควักเอาตาเสียออก เอาตาวัวใส่แทน แล้วเอาปรอทคลึงตามหนังตา
ไม่ช้าตาทั้งสองข้างก็กลับเห็นดีดังธรรมดา แล้วหลวงตาก็สึกจากพระ เข้าถือเพศเป็นฤาษี จึงได้เรียกกันว่าฤาษีตาวัว มาตั้งแต่นั้น


ฤาษีตาไฟ
        ที่ตาของท่านจะแรงร้อนเป็นไฟ แบบตาที่สามของพระอิศวร  ฤาษีทั้งสองนี้เป็นเพื่อนเกลอกัน และได้สร้างกุฎีอยู่ใกล้กันบนเขาใกล้เมืองศรีเทพ
ท่านออกจะรักและโปรดมาก มีอะไรก็บอกให้รู้ ไม่ปิดบัง
        วันหนึ่งฤาษีตาไฟได้เล่าให้ศิษย์คนนี้ฟังว่า น้ำในบ่อสองบ่อที่อยู่ใกล้กันนั้นมีฤทธิ์อำนาจไม่เหมือนกัน น้ำในบ่อหนึ่ง
เมื่อใครเอามาอาบก็จะตาย และถ้าเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีก
        ศิษย์ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ฤาษีตาไฟจึงบอกว่า จะทดลองให้ดูก็ได้ แต่ต้องให้สัญญาว่า ถ้าตนตายไปแล้ว
ต้องเอาน้ำอีกบ่อหนึ่งมารดให้คืนชีวิตขึ้นใหม่ ศิษย์ก็รับคำ ฤาษีตาไฟจึงเอาน้ำในบ่อตายมาอาบ ฤาษีก็ตาย
ฝ่ายศิษย์เห็นเช่นนั้นแทนที่จะทำตามสัญญา กลับวิ่งหนีเข้าเมืองไปเสีย
        กล่าวฝ่ายฤาษีตาวัว ซึ่งเคยไปมาหาสู่ฤาษีตาไฟอยู่เสมอ เมื่อเห็นฤาษีตาไฟหายไปผิดสังเกตเช่นนั้นก็ชักสงสัย
จึงออกจากกุฎีมาตา ม เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำตายเห็นน้ำในบ่อเดือด ก็รู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว เดินต่อไปอีกก็พบซากศพของฤาษีตาไฟ
        ฤาษีตาวัวจึงตักน้ำอีกบ่อหนึ่งมาราดรด ฤาษีตาไฟก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฤาษีตาวัวฟัง
และว่าจะต้องแก้แค้นศิษย์ลูกเจ้าเมือง ตลอดจนประชาชนพลเมืองทั้งหมดอีกด้วย
        ฤาษีตาวัวก็ปลอบว่า อย่าให้มันรุนแรงถึงอย่างนั้นเลย ฤาษีตาไฟก็ไม่เชื่อฟังได้เนรมิตวัวขึ้นตัวหนึ่ง เอาพิษร้ายบรรจุไว้ในท้องวัวจนเต็ม
แล้วปล่อยวัวกายสิทธิ์ให้เดินขู่คำรามด้วยเสียงกึกก้ อง รอบเมืองทั้งกลางวันกลางคืน แต่เข้าเมืองไม่ได้ เพราะทหารรักษาประตูปิดประตูไว้
        พอถึงวันที่เจ็ด เจ้าเมืองเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็สั่ง ให้เปิดประตูเมือง วัวกายสิทธิ์คอยทีอยู่แล้วก็วิ่งปราดเข้าเมือง
ทันทีนั้นท้องวัวก็ระเบิดออก พิษร้ายก็กระจายพุ่งออกมาทำลาย ผู้คนพลเมืองตายหมด เมืองศรีเทพก็เลยร้างมาแต่ครั้งนั้น

   
             ถ้าว่าตามเรื่องที่เล่ามานี้ ฤาษีตาวัวก็ดูจะใจดีกว่าฤาษีตาไฟ และคงจะเป็นด้วยฤาษีตาวัวเป็นผู้ช่วยให้ฤาษีตาไฟฟื้น
คืนชีพขึ้นมานี่เองกระมัง ทางฝ่ายแพทย์แผนโบราณจึงได้ถือเป็นครู ส่วนทางฝ่ายทหารออกจะยกย่องฤาษีตาไฟ
ดังมีมนต์บทหนึ่งกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า "ขอพระศรีสุทัศน์เข้ามาเป็นดวงใจ พระฤาษีตาไฟเข้ามาเป็นดวงตา"




11
กสินไม่จำเป็นสำหรับทุกคนที่ต้องการนิพพาน แต่จำเป็นสำหรับบางคน
กสินไม่ได้เป้นเครื่องมือช่วยให้เกิดฤทธิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือช่วยปรับคนที่มีจริตต่างๆที่ยังไม่พร้อมสำหรับงานวิปัสนา
ให้ข่มกิเลส นิวรณ์และ สังโยชน์ต่างๆ ให้พร้อมสำหรับวิปัสนากรรมฐาน เพื่อบรรลุมรรคผล


ในสมัยพุทธกาล ก็มีพระอรหันต์หลายองค์ ที่ต้องใช้ กสิน เป็นตัวทำ สมถกรรมฐานก่อน แล้วค่อยเจริญวิปัสนา เพื่อบรรลุอรหัตตผล
เช่น ลูกนายช่างทอง พระสารีบุตรฝึกให้อยู่พรรษาเต็มๆ ยังไม่ก้าวหน้า
เพราะจริตไม่อำนวย พระพุทธเจ้าจึงเป็นผู้ฝึกให้โดยเนรมิต ดอกบัวสีแดง สำหรับฝึกโลหิตกสิน
เป็นเบื้องต้นสำหรับแก้จริต เมื่อพระรูปนั้นเจริญกสินจนเกิดอุคหนิมิต สามารถเห็นภาพติดตา บังคับเล็ก ใหญ่ได้ดังใจ
พระพุทธเจ้าก็เนรมิตให้ดอกบัวเหี่ยวเฉาลง พระรูปนั้นก็ได้สติ พิจารณาถึงไตรลักษณ์ ก็สามารถบรรลุอรหันต์ ได้ภายในวันเดียว


วิธีฝึกกรรมฐาน แนววิธี กสิณ 10
กราบระลึกถึง พระพุทธเจ้า
กราบระลึกถึง พระธรรม
กราบระลึกถึง พระสงฆ์
กราบระลึกถึง คุณพ่อ คุณแม่ (ทุกภพทุกชาติ)
กราบระลึกถึง ครูอาจารย์ (ทุกภพทุกชาติ - ผู้ชายให้ กราบครูอุปัชฌาย์ด้วย)
นั่งหลับตา ทำจิตให้สงบ เพ่งตรงฝ่าความมืดไกลออกไปข้างหน้า ปฏิบัติรอบละ 20 นาทีแล้วพัก
(ถ้าหากปวดเมื่อย สามารถเปลี่ยนท่านั่งได้)


ผลแห่งการฝึกกรรมฐานแนวกสิณปฏิบัตินี้ บังเกิดผลขึ้นตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้
และเป็นทางหนึ่งที่นำไปสู่ฤทธิ์อำนาจอภิญญา แต่การอภิญญาในขั้นโลกียอภิญญานี้
ไม่สามารถหลุดพ้นทุกข์ได้ จักต้องเจริญวิปัสนากรรมฐาน พิจารณาความเป็นไปแห่งอารมณ์
และหลุดพ้นจิตใจกาย กายในธรรม สุดท้ายย่อมดับไปสิ้นแล ...


แสดงจริต 6
พึงทราบการรวบรวมจริต โดยมี 6 อย่าง ดังนี้ คือ ราคจริต, โทสจริต, โมหจริต, สัทธาจริต, พุทธิจริต, วิตกจรติ
จริต หมายถึง ความประพฤติ, พื้นนิสัย หรือพื้นเพแห่งจิตของคนทั้งหลาย
ที่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างกันไปคือ......?
ราคจริต คือ ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางรักสวยรักงาม มักติดใจ)
โทสจริต คือ ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางใจร้อน ขี้หงุดหงิด)
โมหจริต คือ ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางเหงาซืม งมงาย)
สัทธาจริต คือ ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางน้อมใจเชื่อ)
พุทธิจริต คือ ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดพิจารณา)
วิตกจริต คือ ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดจับจดฟุ้งซ่าน)




หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อปานเรียกว่า ? ฤาษีลิงดำ ? วัดท่าซุง )

12
กสิณ ๑๐ กอง? ?:075:

ปฐวีกสิณ? ? ? ? ? ? ? ? เพ่งดิน
อาโปกสิณ? ? ? ? ? ? ? ?เพ่งน้ำ
เตโชกสิณ? ? ? ? ? ? ? ?เพ่งไฟ
วาโยกสิณ? ? ? ? ? ? ? ?เพ่งลม
นิลกสิณ? ? ? ? ? ? ? ? ? เพ่งสีเขียว
โลหิตกสิณ? ? ? ? ? ? ? เพ่งสีแดง
ปิตกสิณ? ? ? ? ? ? ? ? ? เพ่งสีเหลือง
โอทากสิณ? ? ? ? ? ? ? ?เพ่งสีขาว
อาโลกกสิณ? ? ? ? ? ? ?เพ่งแสงสว่าง
อากาสกสิณ? ? ? ? ? ? ?เพ่งอากาศ

-----------------------------------
ปฐวีกสิณ กสิณนี้? ? ? ?ท่านเรียกว่า ปฐวีกสิณ เพราะมีการเพ่งดินเป็นอารมณ์?
ศัพท์ว่า "ปฐวี" แปลว่า "ดิน"?
กสิณแปลว่า "เพ่ง" รวมความแล้วได้ว่า "เพ่งดิน"

-----------------------------------
อาโปกสิณ อาโปกสิณ อาโป แปลว่า "น้ำ" กสิณ แปลว่า "เพ่ง" อาโปแปลว่า "เพ่งน้ำ"?
กสิณน้ำมีวิธีปฏิบัติดังต่อไปนี้?
ท่านให้เอาน้ำที่สะอาด ถ้าได้น้ำฝนยิ่งดี ถ้าหาน้ำฝนไม่ได้ท่านให้เอาน้ำที่ใส แกว่งสารส้มก็ได้ อย่าเอาน้ำขุ่น หรือมีสีต่าง ๆ มา?
ท่านให้ใส่น้ำในภาชนะ เท่าที่จะหาได้ ใส่ให้เต็มพอดี อย่าให้พร่อง?
การนั่ง หรือเพ่ง มีอาการอย่างเดียวกับปฐวีกสิณ จนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต
อุคคหนิมิตของอาโปกสิณนี้ ปรากฏเหมือนน้ำไหวกระเพื่อม
สำหรับปฏิภาคนิมิต ปรากฏเหมือนพัดใบตาลแก้วมณี คือ ใสมีประกายระยิบระยับ
เมื่อถึงปฏิภาคนิมิตแล้ว จงเจริญต่อไปให้ถึงจตุตถฌาน?
บทภาวนา ภาวนาว่า "อาโปกสิณัง"

-----------------------------------
เตโชกสิณ เตโชกสิณ แปลว่า "เพ่งไฟเป็นอารมณ์"?
กสิณนี้ท่านให้ทำดังต่อไปนี้?
ท่านให้จุดไฟให้ไฟลุกโชน?
แล้วเอาเสื่อ หรือหนังมาเจาะทำเป็นช่องกว้าง ๑ คืบ ๔ นิ้ว แล้ววางเสื่อหรือหนังนั้นไว้ข้างหน้า
ให้เพ่งพิจารณาไปตามช่องนั้น การนั่งสูง หรือระยะไกลใกล้ เหมือนกันกับปฐวีกสิณ?
การเพ่ง อย่าเพ่งเปลวไฟที่ไหวไปมา ให้เลือกเพ่งแต่ไฟที่มีแสงหนาทึบ ที่ปรากฏตามช่องนั้นเป็นอารมณ์
ภาวนาว่า เตโชกสิณังๆ ๆ ๆ ๆ หลายๆ ร้อยพันครั้ง จนกว่านิมิตจะเป็นอุคคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิต
อุคคหนิมิตปรากฏเป็นดวงเพลิงตามปกติ?
สำหรับปฏิภาคนิมิตนั้น มีรูปคล้ายผ้าแดงผืนหนา หรือ คล้ายกับพัดใบตาลที่ทำด้วยทอง หรือเสาทองคำที่ตั้งอยู่ในอากาศ?
เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้วท่านจงพยายามทำให้ถึงจตุตถฌานเถิด ผลที่ตั้งใจไว้จะได้รับสมความปรารถนา
?
-----------------------------------
วาโยกสิณ วาโยกสิณ แปลว่า "เพ่งลม"?
การถือเอาลมเป็นนิมิตนั้น ท่านกล่าวว่าจะถือเอาด้วยการเห็นหรือจะถือเอาด้วยการกระทบก็ได้
การกำหนดถือเอาด้วยการเห็น ท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดถูกต้องปลายหญ้าหรือปลายไม้เป็นอารมณ์เพ่งพิจารณา
การถือด้วยการถูกต้องกระทบ ท่านให้ถือเอาการที่ลมพัดมากระทบตัวเป็นอารมณ์ สมัยนี้
การถือเอาลมกระทบจะให้พัดลมเป่าแทน ลมพัด หรือถือเอาการเห็นต้นหญ้าต้นไม้ที่ไหวเพราะลมพัด
จะใช้ลมเป่าให้ไหวแทนลมธรรมชาติก็ได้?
เมื่อเพ่งพิจารณาอยู่ให้ภาวนาว่า วาโยกสิณังๆ ๆ ๆ? ? ?
อุคคหนิมิตของวาโยกสิณนี้ ปรากฏว่ามีการไหวๆ คล้ายกับ กระไอ แห่งการหุงต้ม ที่มีไอปรากฏมากระทบจักษุ
พูดให้ชัดเข้าก็คือ มีปรากฏการณ์คล้ายตามองเห็นไอน้ำที่ต้มเดือดแล้วนั้นเอง มีอาการปรากฏขึ้นอย่างนั้น
สำหรับปฏิภาคนิมิต มีอาการปรากฏภาพเหมือนไอน้ำที่ลอยขึ้น แต่ไม่เคลื่อนไหวหรือคล้ายกับก้อนเมฆบาง
ที่ลอยอยู่คงที่นั้นเอง อาการอื่นนอกนี้เหมือนปฐวีกสิณ
?
-----------------------------------
นิลกสิณ นิลกสิณ แปลว่า "เพ่งสีเขียว"?
ท่านให้ทำสะดึงขึงด้วยผ้าหรือหนังกระดาษก็ได้แล้วเอาสีเขึยวทา หรือจะเพ่งพิจารณา สีเขียวจากใบไม้ก็ได้ ทำเช่นเดียวกับปฐวีกสิณ?
อุคคหนิมิต เมื่อเพ่งภาวนาว่า นีลกสิณังๆ ๆ ๆ?
อุคคหนิมิตนั้น ปรากฏเป็นรูปที่เพ่งนั่นเอง

-----------------------------------
ปีตกสิณ? ปีตกสิณ แปลว่า "เพ่งสีเหลือง"?
การปฏิบัติทุกอย่างเหมือนนีลกสิณ แต่อุคคหนิมิตเป็นสีเหลือง ปฏิภาคนิมิตเหมือนนีลกสิณ นอกนั้นเหมือนกันหมด?
บทภาวนา ภาวนาว่าเป็น ปีตกสิณังๆ ๆ

-----------------------------------
โลหิตกสิณ โลหิตกสิณ แปลว่า "เพ่งสีแดง"?
บทภาวนา ภาวนาว่า โลหิตกสิณังๆ ๆ ๆ?
นิมิตที่จัดหามาเพ่งจะเพ่งดอกไม้สีแดง หรือเอาสีแดงมาทาทับกับสะดึงก็ได้
อุคคหนิมิต เป็นสีแดง
ปฏิภาคนิมิต เหมือนนีลกสิณ

-----------------------------------
โอทากสิณ โอทากสิณ แปลว่า "เพ่งสีขาว"?
บทภาวนา ภาวนาว่า โอทาตกสิณังๆ ๆ ๆ?
สีขาวที่จะเอามาเพ่งนั้น จะหาจากดอกไม้ หรืออย่างอื่นก็ได้ตามแต่จะสะดวก หรือจะทำเป็นสะดึงก็ได้
นิมิตทั้งอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต ก็เหมือนนีลกสิณ เว้นไว้แต่อุคคหนิมิต เป็นสีขาวเท่านั้นเอง

-----------------------------------
อาโลกสิณ อาโลกสิณ แปลว่า "เพ่งแสงสว่าง"?
ท่านให้หาแสงสว่างที่ลอดมาตามช่องฝา หรือช่องหลังคา หรือเจาะเสื่อลำแพน หรือหนังให้เป็นช่องเท่า ๑ คืบ ๔ นิ้ว ตามที่กล่าวในปฐวีกสิณ?
แล้วภาวนาว่า อาโลกสิณังๆ ๆ ๆ อย่างนี้ จนอุคคหนิมิตปรากฏ?
อุคคหนิมิตของอาโลกสิณ เป็นแสงสว่างที่เหมือนรูปเดิมที่เพ่งอยู่?
ปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเป็นแสงสว่างหนาทึบ เหมือนกับเอาแสงสว่าง มากองรวมกันไว้ที่นั่น
แล้วต่อไปขอให้นักปฏิบัติจงพยายาม ทำให้เข้าถึงจตุตถฌาน เพราะข้อความที่จะกล่าวต่อไปก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในปฐวีกสิณ
?
-----------------------------------
อากาสกสิณ? อากาสกสิณ แปลว่า "เพ่งอากาศ"?
อากาสกสิณนี้ ภาวนาว่า อากาสกสิณังๆ ๆ?
ท่านให้ทำเหมือนในอาโลกกสิณ คือ เจาะช่องฝาเสื่อหรือหนัง หรือมองอากาศ
คือความว่างเปล่าที่ลอดมาตามช่องฝา หรือหลังคา หรือตามช่องเสื่อ หรือผืนหนัง?
โดยกำหนดว่า อากาศๆ ๆ จนเกิดอุคคหนิมิตซึ่งปรากฏเป็นช่องตามรูปที่กำหนด?
ปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏคล้ายอุคคหนิมิต แต่มีพิเศษที่บังคับให้ขยายออกให้ใหญ่เล็ก สูงต่ำได้ตามความประสงค์ คำอธิบายอื่นก็เหมือนกสิณอื่น
?
---------------------------------------
อานุภาพกสิณ ๑๐
 
? ? ? ? ?กสิณ ๑๐ ประการนี้ เป็นปัจจัยให้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้วในอภิญโญ เมื่อบำเพ็ญปฏิบัติใน
กสิณกองใดกองหนึ่งสำเร็จถึงจตตุถฌานแล้ว ก็ควรฝึกตามอำนาจที่กสิณกองนั้นมีอยู่ให้ชำนาญ
ถ้าท่านปฏิบัติถึงฌาน ๔ แล้ว แต่มิได้ฝึกอธิษฐานต่างๆ ตามแบบ ท่านว่าผู้นั้นยังไม่จัดว่าเป็นผู้เข้าฌานถึงกสิณ

-----------------------------------
? ? ? ? อำนาจฤทธิ์ในกสิณต่างๆ มีดังนี้
ปฐวีกสิณ? ? ? มีฤทธิ์ดังนี้ เช่น นิรมิตคนๆ เดียวให้เป็นคนมากได้ ให้คนมากเป็นคนๆ เดียวได้ ทำน้ำและอากาศให้แข็งได้?
อาโปกสิณ? ? ?สามารถนิรมิตของแข็งให้อ่อนได้ เข่นอธิษฐานสถานที่เป็นดินหรือหรือหินที่กันดารน้ำให้เกิดบ่อน้ำ
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? อธิษฐานหินดินเหล็กให้อ่อน อธิษฐานในสถานที่ฝนแล้วให้เกิดฝนอย่างนี้เป็นต้น?

เตโชกสิณ? ? ?อธิษฐานให้เกิดเป็นเพลิงเผาผลาญหรือให้เกิดแสงสว่างได้ ทำแสงสว่างให้เกิดแก่จักษุญาณ
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? สามารถเห็นภาพต่าง ๆ ในที่ไกลได้คล้ายตาทิพย์ ทำให้เกิดความร้อนในที่ทุกสถานได้?
วาโยกสิณ? ? ?อธิษฐานจิตให้ตัวลอยตามลม หรืออธิษฐานให้ตัวเบา เหาะไปในอากาศก็ได้
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? สถานที่ใดไม่มีลมอธิษฐานให้มีลมได้?

นีลกสิณ? ? ? ? สามารถทำให้เกิดสีเขียว หรือทำสถานที่สว่างให้มืดครึ้มได้?
ปีตกสิณ? ? ? ? สามารถนิรมิตสีเหลืองหรือสีทองให้เกิดได้ ?
โลหิตกสิณ? ? สามารถนิรมิตสีแดงให้เกิดได้ตามความประสงค์?
โอทากสิณ? ? สามารถนิรมิตสีขาวให้ปรากฏ และทำให้เกิดแสงสว่างได้ เป็นกรรมฐาน
? ? ? ? ? ? ? ? ? ?ที่อำนวยประโยชน์ในทิพยจักขุญาณ เช่นเดียวกับเตโชกสิณ?

อาโลกสิณ? ? นิรมิตรูปให้มีรัศมีสว่างไสวได้ ทำที่มืดให้เกิดแสงสว่างได้เป็นกรรมฐานสร้างทิพยจักขุญาณโดยตรง?
อากาสกสิณ? สามารถอธิษฐานจิตให้เห็นของที่ปกปิดไว้ได้ เหมือนของนั้นวางอยู่ในที่แจ้ง
? ? ? ? ? ? ? ? ? ?สถานที่ใดเป็นอับด้วยอากาศ สามารถอธิษฐานให้เกิดความโปร่งมีอากาศสมบูรณ์เพียงพอแก่ความต้องการได้?

 -----------------------------------
วิธีอธิษฐานฤทธิ์
1. วิธีอธิษฐานจิตที่จะให้เกิดผลตามฤทธิ์ที่ต้องการท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ท่านให้เข้าฌาน ๔ ก่อน
2. แล้วออกจากฌาน ๔
3. แล้วอธิษฐานจิตในสิ่งที่ตนต้องการจะให้เป็นอย่างนั้น
4. แล้วกลับเขาฌาน ๔ อีก
5. ออกจากฌาน ๔
6. แล้วอธิษฐานจิตทับลงไปอีกครั้ง สิ่งที่ต้องการจะปรากฏสมความปรารถนา

 -----------------------------------
? ? (จบกสิณ ๑๐ แต่เพียงเท่านี้)? ?:074:
? ? ?จากหนังสือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
ที่มาจาก----> www.banfun.com
? ? :075:

13
ผมอยากให้  แก้ไข  ให้กระทู้มันเด้งขึ้นไปอยู่อันบน
เวลาที่คนเข้ามาตอบคำถาม  เหมือนกระทู้มันอัพเดท
เพราะบางคำถามเป็นคำถามเดิม....ผู้เยี่ยมชมเข้ามาใหม่
เค้าก็จะดูเพียงหน้าแรก  เค้าไม่ลงไปดูกระทู้หน้าหลังๆ.....
ทำให้เกิดคำถาม  แบบเดียวกันหลายๆ  ครั้ง
   :027:

ปล.คำเสนอแนะของผมอาจจะเป็นประโยชน์บ้างนะคร๊าบ     :075:

14
ตามนี้เลย -----> http://www.cm77.com/hongpra/yanlanna.php




15
ตามนี้เลย ?:048:
http://sak-yant.com





16
เดินเล่นบนเน็ทแล้วแว็บไปเจอมาเลยเอามาให้ดู ? ?:010:
http://www.sak-yant.com/archive/hlwongporphern/







http://sak-yant.com/

ปล.? ถ้ารูปมันเยอะไปต้องขออภัยด้วย? แล้วผมจะเอาไปแปะไว้ที่หมวดรูป
? ? ? ?ถ้าไม่มีคัยว่าผมไม่ขอย้ายนะ....แฮะๆ....
:009:

17
? :016:? รูปยันต์ต่างๆ...เข้าไปดูนะ...? :015:
บางทีที่วัดอาจจะเรียกไม่เหมือนกัน
ลองเข้าไปดูเป็นความรู้? เห็นหลายท่านบอกอยากดูรูปยันต์ต่าง
แต่ผมหามาได้เท่านี้เองลองดูแล้วกาน
? ? ?:048:
http://www.bp-th.org/webboard/index.php/topic,821.new.html#new

18
ของขึ้นหรอ.......
ข้อ1.อยู่ที่จิต...
ถ้าจิตอ่อนจิตก็จะคล้อยตามสิ่งใดง่าย

ข้อ2.ถ้าจิตแข็ง....
ต้องนั่งสมาธิ...สมาธิให้เกิดพลัง
(มีวิธีนั่ง  นั่งธรรมดาก็จะได้สมาธิธรรดา)
พอได้พลังส่วนหนึ่งแล้ว
(จะคล้ายๆกับเป็นเหน็บ แต่ไม่ใช่เหน็บ พลังจะเกิดบริเวณมือ2ข้าง)
ถ้าได้ตะกรุดที่วัด(ตะกรุดหอมเชียง ปี44)จะทำให้เรามีพลังเพิ่มขึ้น
(พลังตะกรุดจะทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคลื่นวงแหวนวิ่งระหว่างมือ2ข้างขึ้นไปยังแขน)
ที่ผมบอกตะกรุดหอมเชียงเพราะว่า  มีพลังอยู่เยอะจิต แต่ใส่แล้วจะร้อน(อารมณ์ร้อน)
ตะกรุดอื่นยังไม่เคยอ่ะคับ  ว่าจะลองหามาลองเหมือนกัน
--------------------------------------------------------------------------------
ปล.ถ้าจิตแข็งไม่มากก็จะก็ขึ้นเร็ว  ถ้าจิตแข็งมากก็ต้องใช้พลังมากใช้เวลามาก
      ไม่แนะนำให้นั่งคนเดียวในการนั่งครั้งแรก  ถ้านั่งจนจำความรู้สึกได้นั่งคนเดียวก้ไม่มีปัญหา
       ถ้านั่งจนชำนาญสามารถ  ใช้จิตดูวัตถุมงคลทั้งหลายว่ามีพลังเป็นแบบใดได้
       วิธีการนั่งแบบนี้อาจารย์ผมที่สอนเรียกว่า การดูจิตว่ามีสิ่งดีไม่ได้อ่ะรัยอยู่ในจิตเราบ้าง
       ถ้านั่งเสร็จแล้วให้ อุทิศส่วนกิศลด้ยนะ
       ที่ผมได้บอกไปนี้บอกไม่ครบถ้วนแต่อยากชี้แนวทาง  เพราะกลัวไปจะคุมอารมณ์และสติไม่ได้
       อันนี้ผมไม่แน่อาจารย์เตือนมาตอนผมฝึกแรกๆ  แต่ก็ไม่อยากให้ใครเป็นอะรัยไป 
       ถ้าได้คนที่มีความรู้ก็ศึกษากับคนนั้น   
        ผมต้องไปทำงานต่อแล้วแค่นี้ก่อนล่ะกัน

19
ที่วัดมี สักพระพรหม ป่าวคับ      :054:
คัยรู้ตอบหน่อยคับ
   :054:

20
 :070: :070: ดาว ไม่ ขึ้น อ่ะ  แง แง    :070: :070:

21
 :092: อยากได้ประสบการณ์  :054: จากผู้ที่เคยสักอ่ะคับ  :086:
 :002: ว่ายันต์ตัวไหนที่  :095: แรงที่สุด
    :002:

22
วันพฤหัส        (เพราะเป็นวันครู)    :043:
          :100:     หรือว่า    :100:
วันเสาร์กับวันอังคาร    (เพราะวันแข็ง)     :043:
 :010: :010: :010: :032: :032: :032: :002: :002: :075: :075: :075:

23
ถ้าเราสัก น้ำมัน ทั้งตัว? แล้ว อาจารย์จะรู้ไหมคับว่าเราสักอะรัยไปมั่งแล้ว .... :075:

24
(การภาวนา 108 คาบ)       :067:

ใช่การสวด 108 จบใช่เปล่าคับ      :062:
เช่น           อิติปิโสวิเสเสอิ             อิเสเสพุทธะนาเมอิ   
                 อิเมนาพุทธะตังโสอิ     อิโสตังพุทธะปิติอิ

แล้วสวดวนเป็นคาบที่ 2 ต่อ     :073:
                อิติปิโสวิเสเสอิ            อิเสเสพุทธะนาเมอิ   
                อิเมนาพุทธะตังโสอิ     อิโสตังพุทธะปิติอิ
     :010:
จนครบ 108 จบ ใช่เปล่าคับ     :009:
------------------------------------------------------------------------------------------------

หน้า: [1]