แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ทรงกลด

หน้า: [1]
1
การฝึกวิชามโนมยิทธิ
คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ

โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

            ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ
            หมวดที่ ๑ สุขวิปัสสโก
            หมวดที่ ๒ เตวิชโช
            หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ
            หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
            หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ
            สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็
            ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
            ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
            หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่
            ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศํยของบรรดาท่านพุทธบริษัท
            สำหรับ สุขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก
            สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น
            สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้
            สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
            ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
            สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
            มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อนเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า
            สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว

ที่มา
http://www.jidsai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539146167

2

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร
ทุกคนผู้เข้ามานับถือพระพุทธศาสนา จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม จะถือบวชก็ตาม ต้องทำกิจเบื้องต้น คือ ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยนี้เป็นสรณะ คือ ที่พึ่ง หรือดังที่เรียกว่านับถือเป็นพระของตน เทียบกับทางสกุล คือ นับถือพระพุทธเจ้าเป็นพระบิดา ผู้ให้กำเนิดชีวิตในทางจิตใจของตน สัจธรรมที่เป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔


คิริมานนทสูตร
ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตะวันมหาวิหาร ครั้งนั้น ท่านคิริมานนท์อาพาธ(เจ็บป่วย) หนัก กระสับกระส่ายเพราะพิษไข้ ท่านพระอานนท์จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลให้เสด็จไปเยี่ยม พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าอานนท์จะไปเยี่ยมพระคิริมานนท์จงแสดงสัญญา ๑๐ อย่าง ให้พระคิริมานนท์ฟังด้วย เพราะเมื่อฟังจบแล้วจะหายจากโรคาพาธนั้นโดยเร็วพลัน จากนั้นทรงแสดงสัญญา ๑๐ ให้ท่านพระอานนท์ได้เรียนและจดจำเพื่อนำไปแสดงแก่พระคิริมานนท์ต่อไป
สัญญา ๑๐
๑. อนิจจสัญญา
๒. อนัตตสัญญา
๓. อสุภสัญญา
๔. อาทีนวสัญญา
๕. ปหานสัญญา
๖. วิราคสัญญา
๗. นิโรธสัญญา
๘. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
๙. สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา
๑๐. อานาปานสติ
สัญญา หมายถึง ความจำได้, ความหมายรู้ได้, หรือความกำหนดหมาย เป็นสัญญาชั้นสูงที่จะนำไปสู่ปัญญา มี ๑๐ ประการ คือ
๑. อนิจจสัญญา กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร หมายถึง การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดมาแล้วดับไป ผันแปรเปลี่ยนสภาพตลอดเวลา หรือเป็นสิ่งชั่วคราวตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ
๒. อนัตตสัญญา กำหนดหมายความเป็นอนัตตาแห่งธรรม หมายถึง การพิจารณาเห็นความเป็นของมิใช่ตัวตนของอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์) ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสภาพว่างเปล่าหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง หรือไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใคร
๓. อสุภสัญญา กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย หมายถึง การพิจารณาร่างกายนี้ทั้งหมด ตั้งแต่พื้นฝ่าเท้าขึ้นไปจนถึงปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีอยู่ในกายนี้ ๓๑ อย่าง เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน เป็นต้น พิจารณาจนเกิดเห็นความไม่งามของกายขึ้นในจิต
๔. อาทีนวสัญญา กำหนดหมายโทษแห่งกาย คือ มีอาพาธต่างๆ หมายถึง การพิจารณาเห็นว่า กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก ความเจ็บไข้ต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ในกายนี้ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนฤดูกาล, วิบากกรรม, หรือการรักษาสุขภาพร่างกายไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น
๕. ปหานสัญญา กำหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตก และบาปธรรม หมายถึง การไม่รับเอาอกุศลวิตก ๓ (กามวิตก, พยาบาทวิตก, วิหิงสาวิตก) ที่เกิดขึ้น แต่กลับพยายามละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด และทำให้อกุศลทั้งหลายทั้งปวงไม่ให้เกิดขึ้นได้อีกต่อไป
๖. วิราคสัญญา กำหนดหมายวิราคะ คือ อริยมรรคว่า เป็นธรรมอันละเอียด หมายถึง การพิจารณาเห็นว่า ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความคลายกำหนัด และพระนิพพานเป็นภาวะที่สำรอกกิเลสได้จริง
๗. นิโรธสัญญา กำหนดหมายนิโรธความดับตัณหา คือ อริยผล ว่าเป็นธรรมอันละเอียด หมายถึง การพิจารณาเห็นว่าภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความดับ และพระนิพพาน เป็นภาวะที่ดับตัณหาได้จริง
๘. สัพพโลเก อนภิรตสัญญา กำหนดหมายความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง หมายถึง การละอุปาทานในโลกที่เป็นเหตุตั้งมั่น ยึดมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต งดเว้นไม่ถือมั่น รู้จักยับยั่งใจไม่ให้ไหลไปตามอำนาจตัณหา
๙. สัพพสังขาเรสุ อนิฏฐสัญญา กำหนดหมายความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง หมายถึง การพิจารณาความไม่ปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ จนเกิดความอึดอัด ระอาเบื่อหน่าย รังเกียจในสังขารทั้งปวง
๑๐. อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก หมายถึง การตั้งสติกำหนดอารมณ์กัมมัฏฐาน มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปในที่อื่น กำหนดจิตเฉพาะที่ลมหายใจเข้าออก
พระอานนท์ เมื่อได้เรียนทรงจำสัญญา ๑๐ ประการนี้ได้แล้วจึงได้ไปเยี่ยมไข้พระคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ นั้นแก่ท่าน เมื่อฟังจบแล้วท่านพระคิริมานนท์ได้หายขาดจากอาพาธนั้น
การที่ทุกขสัญญาไม่ปรากฏอยู่ในสัญญา ๑๐ ประการ ในคิริมานนท์สูตรนั้น มิใช่หมายความว่าไม่มีเรื่องทุกข์ร่วมอยู่ในที่นั้นด้วย เพราะทุกข์ได้ทรงแสดงไว้ในอาทีนวสัญญา การที่ทรงแสดงทุกข์ด้วยอาทีนวสัญญานั้น ก็โดยมีพระพุทธประสงค์ที่จะให้เหมาะแก่บุคคลผู้รับพระธรรมเทศนา คือ พระคิริมานนท์ผู้กำลังต้องอาพาธอยู่ จึงได้ทรงยกโรคาพาธต่างๆ อันเป็นอาการของทุกข์ขึ้นแสดง โดยความเป็นโทษของร่างกายเสียทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นอันยุติว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทุกข์ไว้ในที่นั้นโดยชื่อว่า อาทีนวสัญญา ฯ
(หนังสือบูรณาการแผนใหม่ นักธรรมชั้นเอก รวมทุกวิชา.กรุงเทพฯ:เลี่ยงเชียง,๒๕๔๗.)อริยสัจ ๔

เขียนโดย จิตติเทพ นาอุดม ที่ 02:13

ขอบคุณที่มา
http://buddhahastaught.blogspot.com/2010/11/blog-post.html

3
ขอขอบคุณ
:: ลานธรรมจักร ::
www.dhammajak.net
ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

ตอนที่ ๑ ต้นตระกูลภูไท บรรพบุรุษของหลวงปู่จาม
ตอนที่ ๒ วิถีชีวิตชาวภูไทในไทย
ตอนที่ ๓ กำเนิดเด็กชายจามในตระกูลสัมมาทิฎฐิ
ตอนที่ ๔ เรียนรู้ชีวิตปฐมวัย พ่อมอบสมบัติทิพย์ให้
ตอนที่ ๕ ชีวิตสามเณรน้อยที่เด็ดเดี่ยว
ตอนที่ ๖ สามเณรจาม เจอผีจริงเข้าแล้ว
ตอนที่ ๗ นิมิตสิ่งโบราณ
ตอนที่ ๘ ชีวิตวัยหนุ่มเรียนรู้ชีวิตทางโลก
ตอนที่ ๙ สงครามหัวใจ
ตอนที่ ๑๐ แม่วางเส้นทางชีวิต
ตอนที่ ๑๑ วิกฤติสร้างวีรบุรุษ
ตอนที่ ๑๒ อัศจรรย์เด็กผู้หญิง
ตอนที่ ๑๓ ทดสอบจิตใจตนเอง
ตอนที่ ๑๔ แสวงหามัชฌิมาเพื่ออริยมรรค
ตอนที่ ๑๕ เหตุการณ์ประหลาด
ตอนที่ ๑๖ ผีสางเทวดา
ตอนที่ ๑๗ เทพเป่าและนำทางไป
ตอนที่ ๑๘ ผจญผีที่ซากเจดีย์เก่า
ตอนที่ ๑๙ รู้แจ้งประจักษ์อนาคตอันไกลโพ้น
ตอนที่ ๒๐ ทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินเพื่อพระพุทธศาสนา
ตอนที่ ๒๑ ชีวิตในบั้นปลาย
ตอนที่ ๒๒ (จบ) ส่งท้ายไว้ให้คิด


ตอนที่ ๑
ต้นตระกูลภูไท บรรพบุรุษของหลวงปู่จาม

“หลวงปู่จาม มหาปุญโญ” นามสกุล ผิวขำ มีต้นตระกูลเป็นชนเผ่าภูไท กลุ่มเจ้าครองนครหรือกลุ่มผู้ปกครองถิ่นฐานเดิมของภูไท อยู่ที่สิบสองปันนา สิบสองจุไท อาณาจักรน่านเจ้า มีสภาพภูมิอากาศหนาวจัด ต่อมาเมื่อมีประชากรมากขึ้น การทำมาหากินเริ่มอัตคัดขัดสนและขาดแคลน ส่วนหนึ่งได้อพยพมาหาแหล่งทำมาหากินโดยมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองแถง เขตประเทศเวียดนาม ซึ่งอยู่ห่างจากป้อมเดียนเบียนฟูประมาณ ๒๓ กิโลเมตร และที่เมืองอังคำ เขตประเทศลาว

ต่อมา ภูไทส่วนหนึ่งก็ได้อพยพต่อมาหาแหล่งที่ทำมาหากินที่เมืองพิน เมืองพะลาน เขตประเทศลาว ผู้ปกครองลาวสมัยนั้นคือเจ้าอนุวงศ์ ได้เกณฑ์ชาวภูไทไปเป็นทหารเพื่อขยายอาณาจักรและจัดกองทัพเพื่อมารบพุ่งกับชาวไทย (ชาวสยามประเทศ) แต่เนื่องจากชาวภูไทรักสงบ ไม่ต้องการรบพุ่งทำสงคราม จึงอพยพหนีมาอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง โดยข้ามมาทางเรณูนคร มาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณดงบังอี่ (คำชะอี หนองสูงในปัจจุบัน)

ส่วนกลุ่มที่ข้ามมาทางท่าแขก จังหวัดนครพนมนั้น มาตั้งถิ่นฐานอยู่พรรณานิคม ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ชาวภูไทได้เข้ามาในประเทศไทย (สยาม) หลายระลอกในหลายรัชสมัยได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่แถวอำเภอกุสุมาลย์ อำเภอพรรณานิคม อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และบางส่วนก็เลยไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคกลางอีกหลายแห่ง ชาวภูไท เรียกตัวเองว่า ภูไท หรือผู้ไท สำเนียงอาจเพี้ยนกันบ้าง จึงอนุโลมเรียกภูไทหรือผู้ไทก็ได้ เพราะเข้าใจความหมายว่า เป็นกลุ่มเผ่าเดียวกันโดยความหมายที่แท้จริง คือ เป็นคนไทย เพราะชาวภูไทเองนั้น ภาคภูมิในความเป็นคนไทย หรือเป็นไท แปลว่า อิสระ รักสงบ

ภูไทมีภาษาของตนเอง พูดภาษามีสำเนียงหางเสียงท่วงทำนอง ไพเราะน่าฟัง เป็นภาษาไทยแบบภูไท มีขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเอง แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าหากพิจารณาเห็นว่าดีกว่า เหมาะสมกว่า เมื่อมาอยู่ในประเทศไทย (สยาม) ชาวภูไทมีความรักสามัคคีกัน สำหรับชาวภูไทตระกูลของหลวงปู่จาม ทางบ้านห้วยทรายเป็นเชื้อเจ้า ทางผู้หญิงอพยพมาจากเมืองวัง เรียนหนังสือเก่ง มีความคิดเฉียบคม ปัญญาเฉียบแหลม มีขุนบรมเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูล เมื่อถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาเรื่อยๆ ตามลำดับจากเมืองแถงสู่เมืองวัง เข้าสู่ประเทศไทย (สยาม) ตามลำดับ

4
ขอขอบคุณ

หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง
ผู้ถวายคำพยากรณ์ แด่ ร.๕
 
คัดลอกจาก http://www.lekpluto.com/index01/special03.html
และ
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm
====================================
(ขออนุญาตตัดตอนมาบางส่วน)

ในการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น  ไม่ได้เป็นการเสด็จเพื่อแสวงหาความสำราญแต่อย่างใด   แต่เป็นการเสด็จเพื่อดำเนินพระราชวิเทโศบายด้านการต่างประเทศอย่างชาญฉลาด  เป็นการเสด็จเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับราชวงศ์ต่าง ๆ  ของยุโรป    โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและเยอรมัน ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของอังกฤษ และฝรั่งเศส ด้วยหลักการที่ว่า "ศัตรูของเพื่อนก็คือศัตรูของเรา"  เมื่อผูกสัมพันธ์กับรัสเซีย เยอรมัน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ได้แล้ว อังกฤษ และฝรั่งเศสก็จะไม่กล้ารุกราน หรือยึดเอาประเทศไทยเป็น "อาณานิคม" อีกต่อไป ซึ่งส่งผลทำให้ไทยเราดำรงความเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้

การเสด็จประพาสยุโรปในสมัยนั้น  ทำได้ทางเดียว คือ "ทางเรือ" ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางแรมเดือน การออกทะเลหรือมหาสมุทรนั้น แม้ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาการเดินเรือ มีเรือที่มั่นคงแข็งแรง ประสิทธิภาพสูง  มีการติดต่อสื่อสารที่ทันท่วงที ก็ยังไม่วายจะ "อับปาง" เลยครับ หากออกเดินทางในช่วงมรสุม หรือ "สุ่มสี่สุ่มห้า"  ล่ะก็  เป็นเสร็จทุกราย       คนโบราณจึงสอนเอาไว้ว่า "อย่าไว้ใจทะเลคืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล มีภยันตรายรอบด้าน ทุกเวลานาที"  ท่านผู้อ่านลองหลับตาวาดภาพการเดินเรือในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วซิครับ ว่ายากลำบาก และมีอันตรายเพียงใด แต่ล้นเกล้า ฯ     รัชกาลที่ ๕ท่านก็ทรงเสด็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย เป็นการเสียสละพระองค์อย่างสูงสุด ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะทำได้  ตอนหน้าจะได้กล่าวถึงคำพยากรณ์และการแก้ไขเหตุร้ายแรงที่ประสบตามคำพยากรณ์    เป็นเรื่องของความเชื่อถือในคุณพระ และคาถาอาคม หากท่านเห็นว่า "ไม่ไร้สาระ" จนเกินไป


5
บุคคลที่ถูกห้ามบวชเป็นพระภิกษุ
 
 
คำชี้แจง

 
อาตมาได้รับคำถามจากหลายท่านอยู่บ่อยๆ  ในทำนองว่าคนที่เป็นชายไม่สมบูรณ์หรือผู้ที่มีใจสับสน  เช่นกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง  หรือพวกคนสองเพศ  หรือบางทีก็เรียกว่าเกย์  ภาษาไทยเราเรียกว่า  “กะเทย”  คนพวกนี้บวชได้ไหม?
 
อาตมาได้ชี้แจงว่า ตามพระวินัยกล่าวไว้ว่าบวชไม่ได้  แม้บวชแล้วก็ไม่เป็นพระหรือเณร  รู้เมื่อไรก็ให้เขาสึกเสีย  ถ้าเขามีศรัทธาก็ให้เขานุ่งขาวห่มขาวรักษาสิกขาบท ๕ - ๘  หรือรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ ก็จะเกิดกุศลมหาศาล  เป็นเหตุเป็นปัจจัยในภายภาคหน้าต่อไป
 
เขาก็เล่าให้ฟังว่า  เห็นมีบวชกันอยู่ทั่วไปในที่ต่างๆ  บางแห่งอยู่กันเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็มี  อาตมาก็บอกว่า นั่นเพราะว่าอุปัชฌาย์ไม่ทราบ หรือผู้ที่บวชไม่ทราบประเพณีของวินัยของพระพุทธเจ้าก็ได้  แต่เมื่อทราบก็ต้องชี้แจงให้เขาได้รับรู้  ให้เขาสึกเสียหรือสร้างกุศลกรรมอย่างอื่นยังมีทางที่ก่อให้เกิดบุญกุศลมากมาย  แต่ถ้าเขายังฝืนอยู่ในธรรมวินัยนี้มีแต่เสื่อม  และเป็นบาปมากๆ  เมื่อพระภิกษุผู้มีศีลต้องกราบไหว้หรือทำสามีจิกรรมเขาในเวลาเมื่อเข้าร่วมทำสังฆกรรมกับหมู่พระภิกษุ นอกจากจะทำสังฆกรรมให้วิบัติ  บวชพระไม่เป็นพระ  ทำสังฆกรรมเป็นคณะปูรกะ  ทำให้กรรมกำเริบคือเสียใช้ไม่ได้อีกด้วย   
 
ดังนั้นผู้ที่ทราบจงช่วยกันชี้แจงและบอกกล่าวให้รู้กัน เพื่อช่วยกันดูแลป้องกันพระศาสนา เพื่อสังฆมณฑลจะได้บริสุทธิ์ต่อไป.
“โพธิสัตตะ”
เรียบเรียงข้อความใหม่บางส่วนโดย พระวัชพล ปภาโต

.............................................................................................
ที่มา
http://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk

6
วิญญาณที่ถูกลืม 1/2


 ว่ากันว่า  เมื่อร่างกายของคนเราสูญสลายไปแล้วนั้น  สิ่งที่จะยังคงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงวิญญาณที่ล่องลอยรอเวลาไปเกิดใหม่ แต่ในบางครั้งอาจจะยังมีวิญญาณจำพวกหนึ่งซึ่งยังคงวนเวียนอยู่บนโลกนี้ โดยไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอกับความสุขครั้งใหม่ในชีวิตเลย  อะไรที่ทำให้วิญญาณเหล่านั้นต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นนี้  มันคือความผูกพันธ์ของวิญญาณเหล่านั้นที่มีต่อคนบนโลกมนุษย์ซึ่งไม่สามารถลบเลือนไปได้ หรือว่ามันจะหมายถึงความน่าสะพรึงกลัวบทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้ากันแน่


 เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นกับครอบครัวของอัลเลน   โดยมีโรเบิร์ต เป็นหัวหน้าครอบครัว   ซึ่งอาศัยอยู่กับเบ็ตตี้  ภรรยาสาวและลูกชายวัย 5  ขวบ  ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชานเมืองแมนเชสเตอร์  ประเทศอังกฤษอย่างสงบมานาน จนกระทั่งในปี 1996 ที่ผ่านมา  ครอบครัวอัลเลนก็ต้องเจอะเจอกับเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดขึ้น  เมื่อเบ็ตตี้ ภรรยาสาวสวย ถูกฆาตกรใจอำมหิตฆ่าข่มขืนและนำศพไปหมกทิ้งในกอหญ้า  ห่างจากบ้านของเธอเพียงไม่กี่ร้อยเมตร  ซึ่งแม้ว่าในภายหลังฆาตกรจะถูกจับตัวมาลงโทษได้  แต่สิ่งที่ครอบครัวอัลเลนต้องสูญเสียไปนั้น มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้


 และนอกเหนือไปจากความเศร้าโศกเสียใจแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องประสบในเวลาต่อมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ความน่าสะพรึงกลัวอันเกิดจากวิญญาณของเบ็ตตี้ซึ่งตามมาหลอกหลอน และสร้างความเขย่าขวัญให้กับครอบครัวอัลเลนโดยที่พวกเขาไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น ทั้งที่หลังจากเบ็ตตี้เสียชีวิตไปได้ 2 ปี เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นยังคงดูเงียบสงบปราศจากเหตุการณ์ร้ายแต่อย่างใด ทุกวันโรเบิร์ตจะพาลูกชายของเขาไปเคารพสุสานของเบ็ตตี้ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปไม่กี่ร้อยเมตร และทำเช่นนี้เป็นประจำจนกระทั่งไม่นานโรเบิร์ตได้แต่งงานใหม่กับหญิงสาวชาวอังกฤษคนหนึ่ง และได้อพยพครอบครัวไปอยู่ทางตอนใต้ ซึ่งนับจากนั้นมาโรเบิร์ตก็ปล่อยให้สุสานของเบ็ตตี้ตั้งอยู่อย่างอ้างว้างโดดเดี่ยวปราศจากการเหลียวแล แม้กระทั่งลูกชายของเขาเองก็ไม่เคยถามถึงมารดาอีกเลย ซึ่งดูเหมือนว่าการที่วิญญาณของเบ็ตตี้ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายเช่นนั้น มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันน่าสยดสยองที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้เลย


เหตุการณ์สยองขวัญดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้เคียงที่โรเบิร์ตกับลูกชายพร้อมด้วยภรรยาใหม่ไปพักอาศัยอยู่  เรื่องราวมันเริ่มขึ้นมาจาก  ในตอนตีสองของทุกคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่เบ็ตตี้ถูกฆาตกรรม มักจะมีคนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินร้องห่มร้องไห้ไปตามทางเดินของหมู่บ้าน ปากของเธอก็พร่ำร้องหาสามีและลูกชายตลอดระยะทางที่เธอเดินผ่านไป  และไม่ว่าเธอจะเดินผ่านไปทางไหน ทุกคนจะได้กลิ่นเหม็นสาปสางโชยมาตลอดเวลา  และเมื่อเป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า  ชาวบ้านก็เริ่มตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไม่เป็นอันทำอะไร  พอตกดึกทุกคนก็จะปิดประตูบ้านไม่มีใครกล้าออกไปไหน  เป็นอย่างนี้อยู่นาน จนชาวบ้านละแวกนั้นเริ่มทนไม่ได้  จึงได้จ้างวานหมอผีชื่อดังคนหนึ่งมาปัดเป่าวิญญาณของเบ็ตตี้ให้พ้นออกไปจากหมู่บ้าน  ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวมาคอยสร้างความหวาดผวาให้กับพวกเขาอีก  แต่มันก็เป็นเช่นนั้นอยู่ได้ไม่นาน

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4075

7
กฎแห่งกรรม / ผีตุ๊กตา (ตปท.)
« เมื่อ: 02 เม.ย. 2555, 10:06:36 »

ผีตุ๊กตา(1/2)

เชื่อว่าเมื่อเล็กๆ     เด็กผู้หญิงทุกคนต้องเคยเล่นตุ๊กตากันมาบ้างแล้ว     แต่ถ้าสักวันหนึ่ง  ของเล่นชิ้นนี้ของคุณ ได้กลายสภาพเป็นตุ๊กตาผีสิง  คุณจะรู้สึกเช่นไร  เราไปฟังเรื่องราวอันน่าสยองขวัญ  ที่เกี่ยวกับตุ๊กตาผีกันดีกว่า
 ในปี ค.ศ. 1880 ที่หมู่บ้านโบเดก้า  ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของซานฟรานซิสโก  มีเด็กหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตลง ในขณะที่มีอายุได้เพียง 8 ขวบ  สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่อย่างมาก   และก่อนที่ศพของเธอจะถูกนำไปทำพิธีทางศาสนา   พ่อกับแม่ของเด็กหญิงคนนี้  ได้ตัดสินใจพิมพ์รูปแบบใบหน้าของเธอ  แล้วนำมาทำตุ๊กตา เพื่อไว้เป็นที่ระลึก  เนื่องจากยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 นอกจากนี้เส้นผมยาวสีบรอนซ์ของเด็กหญิงคนนี้  รวมทั้ง ขนตา  และคิ้ว  ก็ถูกถอนออกมา 
เพื่อใส่ให้กับหุ่นตุ๊กตา ที่เป็นตัวแทนของเธอนั่นเอง ก่อนที่ตุ๊กตาตัวนี้จะถูกตั้งไว้ภายในบ้าน อยู่เป็นเวลาหลายปี  แต่เมื่อพ่อกับแม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้เสียชีวิตลง 

 ตุ๊กตาตัวแทนของเธอ ก็มีคนมานำเอาไปเก็บรักษาไว้  จนสุดท้าย จึงได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของ   พิพิธภัณฑ์เตุ๊กตาและของเล่น  โดยมีชาร์ลีน เวเบอร์  เป็นผู้ดูแลพิพิธภํณฑ์แห่งนี้
 พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาและของเล่น แต่เดิมเป็นเพียงโรงนาเก่าๆหลังหนึ่ง  ก่อนที่ชาร์ลีนจะดัดแปลงให้มาเป็นพิพิธภัณฑ์  เพื่อเก็บตุ๊กตาและของเล่น  และเปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้าชมได้  ภายในจะมีตุ๊กตาขนาดต่างๆ   ตั้งแต่สูงครึ่งนิ้ว    ไปจนถึงสูงเท่าคนจริง     และมีตั้งแต่ตุ๊กตาที่สร้างขึ้นในปี  ค.ศ. 1930  ไปจนถึงตุ๊กตาสมัยศตวรรษที่ 19  ทั้งที่ทำจากกระดาษอัด กระเบื้องเคลือบ  ไม้ เศษผ้า  ขี้ผึ้ง  และ ตุ๊กตาที่สร้างด้วยเส้นผม ขนตา  และคิ้วของเด็กหญิงคนนี้ด้วย


 เรื่องราวของอาถรรพ์ลี้ลับ  จึงได้เกิดขึ้นตั้งแต่ชาร์ลีนได้ตุ๊กตาตัวนี้มา  ในคืนวันหนึ่ง  ขณะที่ชาร์ลีนกำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่ในบ้านหลังใหญ่     ก็มีเสียงคล้ายเสียงกระจกแตก  ดังขึ้นในห้องเก็บตุ๊กตา ภายในพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ ไปอีกประมาณ 100 ฟุต


เสียงของมันดังมาก  จนทำให้ชาร์ลีนสะดุ้งตื่น  จากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปที่ห้องเก็บตุ๊กตาทันที  ที่นั่นเธอเห็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิง  นอนหงายอยู่กับพื้น  รอบบริเวณมีเศษกระจกแตกหล่นอยู่ทั่ว  ชาร์ลีนไม่แน่ใจว่า  ตุ๊กตาตัวนั้นหล่นลงมาจากบนชั้นวางได้อย่างไร  ในเมื่อหน้าต่างทุกบานในห้องนี้ถูกปิดสนิท  จึงไม่น่าจะมีลมเล็ดลอดเข้ามาได้  และจะว่ามีใครเข้ามาขโมยตุ๊กตา แต่เผลอปัดตกลงมา  ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้  เพราะก่อนที่ชาร์ลีนจะเข้ามาในห้อง  ประตูและหน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิท  ไม่มีร่องรอยการงัดแงะแต่อย่างใด


แต่สิ่งที่ทำให้ชาร์ลีน รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ก็คือ  ในขณะที่เธอกำลังจะนำตุ๊กตาขึ้นวางบนชั้นตามเดิมนั้น    เธอก็มีความรู้สึกว่า  ตุ๊กตาตัวนั้นกำลังจ้องมองเธออยู่  คล้ายกับถูกสายตาของคน  จ้องมองยังงัยยังงั้น  แต่ชาร์ลีนก็ไม่ได้เก็บเอามาวิตกอะไรมากมาย   เธอดิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง
แต่เหตุการณ์ประหลาด  ก็ยังคงเกิดขึ้นตามมาไม่มีหยุดหย่อน   ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น  มันยังตามมาหลอกลอนเธอถึงที่บ้านอีกด้วย   เมื่ออยู่ดีๆ แมวที่ชาร์ลีนเลี้ยงไว้ก็ตายลงโดยไม่รู้สาเหตุ  แต่ก่อนที่มันจะตาย  เธอเห็นมันวิ่งพล่านไปมาทั่วบ้าน  คล้ายกับหนีอะไรบางอย่าง


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4007

8
กฎแห่งกรรม เรื่อง เวรกรรมตามลมปาก

เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน  ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่งและเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
แพง : แม่ แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!! โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะเหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ...


 นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ... สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง


แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม
แม่ : เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น
แพง : โอ๊ย 500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว  ... แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนู
ไม่อยากจะทะเลาะด้วย ... อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่า
ลืมทำกับข้าวเผื่อนะคะ  แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู เพราะยายกินข้าวหก
เลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา ..


 นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน  ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ...  แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ
แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก
 วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า


ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู  ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูกคนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน


 ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด
 วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3985

9
วันตรุษไทย ประเพณีทำบุญวันสิ้นปี สมัยโบราณ



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก watyaichaimongkol.net, meeboard.com

          หากเอ่ยถึง วันตรุษไทย หลายคนคงไม่คุ้นเคยเท่ากับ วันตรุษจีน ทั้งที่ วันตรุษไทย ก็เป็นวันสำคัญของไทยที่มีประเพณีสืบต่อกันมา ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ว่าแล้ววันนี้ กระปุกดอทคอม จึงขอนำเรื่องราว วันตรุษไทย มาบอกกันต่อกันค่ะ

          วันตรุษไทย ตรงกับวันแรม 14 - 15 ค่ำ เดือน 4 และวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 รวม 3 วัน โดยถือเอาวันแรก คือ วันแรม 14 ค่ำ เป็นวันจ่าย เพื่อตระเตรียมสิ่งของไว้ทำบุญ และวันที่ 2 คือ วันแรม 15 ค่ำ เป็นวันทำบุญตักบาตร  มีการละเล่นสนุกสนานตามประเพณีท้องถิ่น ซึ่งจะเล่นกันจนถึงวันที่ 3 คือวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4

          ทั้งนี้ คำว่า ตรุษ เป็นคำไทยที่แผลงมาจากภาษาสันสกฤต มี 2 ความหมาย โดยความหมายแรก แปลว่า ตัด หรือ ขาด หมายความถึง วันตรุษไทย ที่มีนัยว่า ตัดปีเก่าที่ล่วงมาแล้วให้ขาดไป ส่วนอีกความหมายหนึ่ง ตรุษ แปลว่า ความยินดี ความรื่นเริงใจ ความบันเทิงใจ ซึ่งหมายถึง วันตรุษสงกรานต์ หรือ วันสงกรานต์ ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ทำให้ วันตรุษไทย เปรียบเสมือนวันสิ้นปี หรือเป็นประเพณีทำบุญส่งท้ายปีเก่านั่นเอง

          แต่ด้วยความที่ วันตรุษไทย มักจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งใกล้กับ วันสงกรานต์ ทำให้ปัจจุบันการจัดงาน วันตรุษไทย ถูกรวบยอดไปจัดในวันสงกรานต์ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนไทยจึงไม่ค่อยรู้จัก วันตรุษไทย


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/45859

10
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


วัดศรีอภัยวัน
ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย



๏ อัตโนประวัติ

“อย่ามีอคติ...อย่าลำเอียงกับใครเลย และอย่าขึ้นๆ ลงๆ อย่าเอารัดเอาเปรียบกันอีกเลย”

ความตอนหนึ่งจากธรรมโอวาทของ “พระราชญาณวิสุทธิโสภณ” หรือ “หลวงปู่ท่อน ญาณธโร” ที่คอยอบรมสอนสั่งสาธุชนให้ปฏิบัติตาม ด้วยกุศโลบายอันแยบคายในการแสดงพระธรรมเทศนา ให้ผู้ฟังนำไปขบคิดพินิจพิจารณาด้วยปัญญา

ท่านเป็นพระเถราจารย์ผู้ใหญ่สายวิปัสสนาธุดงค์กัมมัฏฐาน เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตตภาวนา การเทศนาธรรม และวิทยาคมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร มีนามเดิมว่า ท่อน ประเสริฐพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พุทธศักราช 2471 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง ณ บ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายแจ่ม และนางทา ประเสริฐพงศ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 19 คน ท่านบุตรคนที่ 6 ปัจจุบัน สิริอายุได้ 79 พรรษา 59 (เมื่อปี พ.ศ.2550) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีอภัยวัน บ้านหนองมะผาง ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย และเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต)


๏ การศึกษาเบื้องต้น

ในวัยเยาว์ สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนบ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่ด้วยฐานะทางบ้านยากจน ท่านจึงได้ลาออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ต่อมาได้เรียนต่อที่โรงเรียนผู้ใหญ่ที่บ้านหินขาว สอบเทียบได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้ว ท่านไม่ได้เข้าศึกษาต่อ เพราะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว จึงเป็นเหตุให้ต้องออกจากโรงเรียนอีกครั้ง เพื่อมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

11
ธรรมะ / ...นิทานคนบ้าหาบหิน
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2555, 10:31:12 »
...นิทานคนบ้าหาบหิน

นั้นมีอยู่ว่า บ้านั้นท่านว่าบ้า ๑๐๘ บ้า ๓๒ บ้า นับไม่ได้ มีบ้าชนิดหนึ่ง ไม่โหดร้ายประการใด ได้บุง ได้ตาด ได้อะไรมาก็หาบไป เมื่อเห็นไม้ เห็นก้อนหิน เม็ดกรวดอะไรก็ตาม เก็บใส่ข้างหน้าข้างหลัง แล้วก็หาบเรื่อยไป ไม่ว่าเห็นอะไรอยู่ข้างถนนหนทางก็เก็บมาใส่ทั้งนั้น เรียกว่าเก็บก้อนหิน ของหนักมาใส่ หาบไป จนกระทั่งหาบไปไม่ได้ ก็เก็บออก เก็บออกพอเบาไปได้ก็หาบไปอย่างนั้นแหละ..เขาให้ชื่อว่าคนบ้า

คนบ้าชนิดนั้นไม่มีเรื่องราวกับใคร แต่มีเรื่องราวกับหิน เห็นของหนักแล้วก็เอามาใส่ เจ้าของก็หาบไป เมื่อหาบไป มันก็เบา ก็เก็บมาใส่ใหม่ เห็นของใหม่ก็เก็บใส่ใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน แก ทำมาอย่างนั้น นี้เรียกว่าเป็นนิทานอันหนึ่ง..

นิทานคนบ้าหาบหินนี้ เปรียบอุปมาเหมือนจิตใจของคนเรา

ไม่ภาวนา ไม่สงบ ก็ไม่สละออกไปจากอารมณ์ต่าง ๆ ที่เก็บเข้ามา ตาเห็นรูป ก็เก็บเอามาไว้ มาคิด มานึก มาปรุงแต่งในทางที่จะยึดเอาถือเอาเหมือนคนบ้าหาบหิน รูปดีก็อยากได้ ดิ้นรนวุ่นวาย รูปสวย รูปงาม ไม่ว่ารูปวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ไม้สอยก็ตาม รูปคน... เมื่อเห็นว่ารูปดี ก็อยากได้ ปรารถนา ดิ้นรนไปตามกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันเก็บเข้ามา ยึดเข้ามา..

ที่นี้ ในขณะที่รูปไม่ดี รูปน่าเกลียดน่ากลัว รูปน่าชัง ก็เก็บเข้ามาอีก ไปเกลียด ไปกลัว ไปชัง พาให้จิตใจไม่เป็นสมาธิภาวนา คือเป็นธรรมดาของจิตไม่สงบ ไม่มีภาวนาพุทโธอยู่ในดวงใจ เมื่อตาเห็นรูปในส่วนที่ดีก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง ในส่วนที่ไม่ดี ก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง วุ่นวายอย่างนั้นแหละ เหมือนกับว่า "คนบ้าหาบหิน"..

นอกจากตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียง ก็คอยเก็บเข้ามา นอกจากเก็บเข้ามาแล้ว ตัวเองก็ชอบพูดชอบกล่าวแต่ในสิ่งที่ไม่นั้นแหละ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ธรรมะคำสั่งสอนมีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ไม่ท่องบ่นสาธยาย เอามาจดมาจำ แต่คำดุคำด่า ว่าร้ายป้ายสีให้แก่กัน วันนี้ชอบเอามาคิด เอามานึก แม้สิ่งนั้นจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม จำไว้ ไม่ให้ลืม เขียนไว้ไม่ให้ลืม เป็นอย่างนี้มาตลอดกัป ตลอดกัลป์ ตลอดภพ ตลอดชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย...มันเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักปล่อยวาง..


หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

โดย: ธรรมโอสถ

12
วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 19:08:53 น.

บทความพิเศษ
 
เสฐียรพงษ์ วรรณปก


ท่านรูปนี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์วัจฉโคตร นามเดิมว่า ปิลินทะ เรียกรวมกันว่า ปิลินทวัจฉะ เป็นชาวเมืองสาวัตถี

ท่านสนใจในเรื่องจิตเป็นพิเศษถึงกับออกบวชเป็นปริพาชกสำเร็จวิทยาการอันเรียกว่า "จูฬคันธาระ" นัยว่าทำให้มีฤทธิ์ และสามารถทายใจคนอื่นได้

ต่อมา วิชาจูฬคันธาระเสื่อม จึงคิดหาทางเรียนวิชามหาคันธาระ ตามที่ผู้รู้เล่าว่าผู้ที่เรียนสำเร็จแล้วจะไม่เสื่อม มีคนบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงวิชาชั้นสูงนี้ จึงไปขอบวชเป็นศิษย์พระองค์

พระพุทธเจ้าตรัสบอกกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตของท่านให้ไปบำเพ็ญ ท่านได้กรรมฐานจากพระพุทธเจ้า คิดว่าเป็นวิชามหาคันธาระ จึงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตาม ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมปฏิสัมภิทา (ความแตกฉานในด้านต่างๆ)

คือแตกฉานในอรรถ แตกฉานในธรรม แตกฉานในนิรุตติ และแตกฉานในปฏิภาณ แตกฉานใน (อ่านในคำอธิบายใน พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกเอาก็แล้วกัน ถ้าอยากได้รายละเอียด)



ท่านมีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แถมมีวาจาสิทธิ์อีกต่างหาก แต่ท่านมักมีคำพูดติดปาก ฟังไม่ค่อยไพเราะ คือคำว่า "ไอ้ถ่อย" (วสลิ) ไม่มีเจตนาพูดคำหยาบ แต่มันติดปากแก้ไม่หาย ภาษาพระเรียกว่า "เป็นวาสนา" ที่สั่งสมมายาวนานหลายภพหลายชาติ (คนละความหมายกับภาษาไทยที่ใช้กันอยู่นะครับ)

วันหนึ่ง มีพ่อค้าดีปลี ขนดีปลีผ่านหน้าท่านไป เพื่อเอาไปขายที่ตลาด ท่านปิลินทวัจฉะ จะถามว่า "บรรทุกอะไรมา ไอ้ถ่อย"

บุรุษเจ้าของดีปลีฉุนกึกเลย "พระอะไรวะ พูดจาไม่เข้ารูหูคน ไม่น่าเป็นพระเลย" จึงร้องตอบไปว่า "บรรทุกขี้หนูเว้ย ไอ้ถ่อย"

โต้ตอบสะใจแล้วก็ขับยานบรรทุกดีปลีต่อไป หารู้ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตัวเอง พอไปถึงตลาดก็จอดยาน เตรียมขนดีปลีออกมาวางขาย ก็ตกตะลึงดุจถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ

ดีปลีได้กลายเป็นขี้หนูไปหมดทั้งเล่มเกวียน

บุรุษหนุ่มร้องเสียงหลง จนผู้คนพากันมารุมล้อม ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเล่าเรื่องราวให้ฟัง บุรุษคนหนึ่งในกลุ่มชนนั้นกล่าวว่า

"พระที่ท่านว่านั้น คงจะเป็นพระคุณเจ้าปิลินทวัจฉะ เป็นแน่นอน ท่านผู้มีอิทธิฤทธิ์ วาจาสิทธิ์ เพราะคุณล่วงเกินพระอรหันต์เข้า คุณจึงประสบชะตากรรมเช่นนี้ ทางที่ดีไปขอขมาท่านเสีย"

บุรุษหนุ่มเจ้าของดีปลี กลับไปตามหาพระปิลินทวัจฉะ พบท่านแล้วก็กราบขอขมาที่ได้ล่วงเกินท่านโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ทันทีที่ท่านกล่าวว่า "ข้ายกโทษให้ ไอ้ถ่อย ขอให้ขี้หนูกลายเป็นดีปลีเหมือนเดิม เท่านั้น ขี้หนูทั้งเล่มเกวียนก็กลับกลายเป็นดีปลีตามคำพูดของท่านจริงๆ

ี่
ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327052647&grpid=no&catid&subcatid

13
อภัยทานกับธรรมทานอย่างไหนอานิสงส์มากกว่ากัน

สวัสดีครับ กัลยาณธรรมทุกๆ ท่าน วันนี้ผมมีประเด็นที่ยังเป็นที่ถกเถียงและยังเป็นเรื่องที่หลายคนยังสงสัยคือ ระหว่างอภัยทานกับธรรมทานอย่างไหนได้บุญมากกว่ากัน เรื่องนี้ผมก็เคยสงสัยมานาน เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนว่า สัพพะ ทานัง ธัมมะ ทานัง ชินาติ การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธองค์จะสอนผิด แต่ก็มีอีกหลายท่านที่กล่าวว่า “อภัยทาน คือ ทานอันสูงสุด เป็นปรมัตถบารมี”
เรื่องนี้มีการถกเถียงกันมากในหมู่ชาวพุทธเรา หลายท่านมักหาทางออกง่ายๆ คือ สรุปว่าก็ดีทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ ทำทั้งสองไปเลย…อันนี้ก็เห็นด้วยครับ แต่ไม่ใช่คำตอบของคำถามนี้ ผมว่าเรามาหาคำตอบกันดีกว่าครับ
เรื่องอภัยทานกับธรรมทานนี้ แม้แต่อาจารย์ทางธรรมที่ผมนับถือ ก็ยังสอนไม่เหมือนกัน ท่านหนึ่งเป็นพระโสดาบัน ท่านสอนว่า ธรรมทานได้บุญมากกว่าอภัยทาน ส่วนอีกท่านหนึ่งเป็นพระอรหันต์ ท่านสอนว่า อภัยทาน ก็จัดเป็นธรรมทานประเภทหนึ่ง และเป็นทานสูงสุดในหมวดธรรมทาน ขออนุญาตนำ link มาให้ทุกท่านได้ลองพิจารณาก่อนครับ ว่าจะเชื่อหรือไม่อย่างไร…

อภัยทานคือทานอันสูงสุด-หลวงพ่อฤาษีฯ

ผมเคยไปอ่านบทความเรื่องนี้ในกระทู้ธรรมะตามเวบต่างๆ ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นไปต่างๆ นานา หลายท่านสรุปว่า ธรรมทานได้บุญมากกว่า อภัยทาน เพราะยึดตามพุทธพจน์ที่ว่า “สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ “ คนที่กล่าวว่าอภัยทาน ได้บุญมากกว่าธรรมทาน ถือว่า ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งตัวผมเองไม่เห็นด้วยกับบทสรุปนี้ จึงตัดสินใจเขียนบทความนี้ขึ้น ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่อยากจะเขียนเรื่องที่เสี่ยงจะเป็นการโต้เถียงกับผู้ที่ไม่เห็นด้วย หรือดีไม่ดี เวบนี้อาจจะโดนด่า หาว่าสอนสิ่งที่ผิดๆ เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เป็นได้ แต่ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะแสดงบทสรุปที่ผมได้ศึกษามา เอาเป็นว่า ท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูเอาละกันนะครับ….

ที่มา
http://www.dhammatan.net/2011/08/ อภัยทานกับธรรมทาน/

14
มีเรื่องที่เคยกล่าวก่อนนี้คือ เรื่อง....

วิชาย่นระยะทางของท่านพระป่าอาจารย์ในดง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23341.0



ย่นระยะทางทำได้จริง

โดย  ดร. มนัส โกมลฑา  (Ph.D. Integrated Sciences)
สาขาวิชามนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน

เรื่อง การย่นระยะทางนี้  พุทธศาสนิกชนในเมืองไทยคงได้รับรู้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย

ในกรณีที่ว่านี้ ถ้าเป็นพุทธทั่วไปกับพุทธปฏิบัติธรรมก็จะมีความเชื่อว่า การย่นระยะทางพระอรหันต์  พระเกจิอาจารย์  หรือผู้ทรงวิทยาคุณสามารถทำได้จริงๆ   แต่กลุ่มที่เป็นพุทธวิชาการซึ่งเรียนมาก  เลยหลงเชื่อวิทยาการสมัยใหม่มากตามไปด้วย  ซึ่งส่งผลให้เลือกเชื่อพระไตรปิฎกในบางส่วนเท่านั้น

พุทธวิชาการหรือพวกที่บ้าปริยัติ จะเลือกเชื่อเฉพาะส่วนที่ยอมรับได้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน

หลายๆ ส่วนในพระไตรปิฎก พูดได้ว่า ส่วนใหญ่ของพระไตรปิฎกเลย พุทธวิชาการเหล่านี้ไม่เชื่อว่าเป็นความจริง  ยกตัวอย่างที่จะเขียนต่อไปก็คือ เรื่องย่นระยะทางนี้  พุทธวิชาการไม่เชื่อว่าจะมีคนทำได้จริงๆ

แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้ ความรู้ที่ว่าฟิสิกส์ใหม่ โค่นทฤษฎี (theory) หรือกฎ (law) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไปหมดแล้ว  เริ่มส่งผลในวงวิชาการของไทย

ในต่างประเทศเขารู้กันมานานแล้ว ว่า ทฤษฎี (theory) หรือกฎ (law) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเป็นความรู้แคบๆ  ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เคยหลงเชื่อกัน  แต่ความรู้ที่ว่านี้ เริ่มมาส่งผลในเมืองไทย  คือ มาช้าหน่อย ก็ดีกว่าไม่มา

องค์ความรู้ของฟิสิกส์ใหม่ที่ยอมรับกันในปัจจุบัน มีลักษณะที่เหมือนกันกับองค์ความรู้ในศาสนาพุทธหลายอย่างหลายประการ  ที่สอดคล้องกับมากที่สุดก็คือ  ความจริงของฟิสิกส์ใหม่กับศาสนาพุทธขัดกับสามัญสำนึก (common sense) ของมนุษย์

เรื่องของการย่นระยะทางนี่ก็เช่นเดียวกัน  นักฟิสิกส์รุ่นใหม่เชื่อว่าทำได้จริง และสามารถพิสูจน์ได้ให้เห็นแบบจะจะ โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพ (relative theory) ของไอน์สไตน์

ก่อนที่จะอธิบายถึงการย่นระยะทางแบบฟิสิกส์ใหม่ ต้องขออธิบายเรื่องความหมายของคำว่า “ย่นระยะทาง” เสียก่อน เพราะ คนจำนวนมากที่คิดว่า การย่นระยะทางเป็นไปไม่ได้เนื่องจากว่า เข้าใจความหมายของคำศัพท์แตกต่างกัน

คำว่าย่นระยะทางนี่ไม่ได้หมายถึง การทำให้หนทางหดสั้นลง หรือย่อโลกให้หดสั้นลง แต่หมายถึงว่า ใช้เวลาในการเดินทางน้อยลงกว่าเดิมที่เคยทำกันมา

คือ ย่นเวลา ไม่ใช่ย่นทาง

ตัวอย่างที่ 1

ในสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ การจะเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดชัยนาทบ้านเกิดของผม จะต้องใช้ถนนพหลโยธิน ออกจากกรุงเทพฯ ก็ไปสระบุรี ลพบุรี โคกสำโรง ตากฟ้า ตาคลี ถึงจะไปชัยนาทได้  แต่เมื่อมีการตัดถนนสายเอเชียขึ้น ทำให้เป็นการย่นระยะทางได้มาก

จากกรุงเทพฯไปชัยนาทปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 2 -3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องใช้เวลาเป็นวันๆ  นี่ก็หมายถึงว่า การย่นระยะทางไม่ได้เป็นการทำให้ถนนพหลโยธินมันหดสั้นลง แบบย่นย่นโลกแบบนั้น  แต่มีการทำทางใหม่

การเดินทางด้วยถนนเส้นใหม่นั้น ใช้เวลาน้อยลงจากเดิม จึงเรียกว่าการย่นระยะทาง

ตัวอย่างที่ 2

เอาตัวอย่างทางน้ำบ้าง  ผมนี่เรียนปริญญาโทกับปริญญาเอกอยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงคุ้นกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี

แม่น้ำเจ้าพระยาจากปากคลองบางกอกน้อยตรงข้างสถานีรถไฟบางกอกน้อย  ซึ่งตรงข้ามกับธรรมศาสตร์ ไปจนถึงปากคลองบางกอกใหญ่ข้างๆ วัดอรุณฯ นี่เมื่อก่อนเป็นพื้นดินนะครับ  ไม่ได้เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนปัจจุบัน

แม่น้ำเจ้าพระยาตัวจริงเสียงจริง เลี้ยวเข้าคลองบางกอกน้อยโค้งเป็นรูปเกือกม้าแล้วมาวกมาออกที่ปากคลอง บางกอกใหญ่ แถวๆ กรมอู่ทหารเรือ

ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2077-2089) มีการขุดคลองลัดตรงนี้

พอมีการขุดคลองลัดให้น้ำไหลตรงๆ  จากคลองที่เล็กๆ แคบๆ จึงถูกน้ำกัดเซาะใหญ่ขึ้นมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาตัวจริงเสียงจริงในปัจจุบัน  ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็กลายเป็นคลองบางกอกน้อยกับคลองบางกอกใหญ่ไป

การขุดคลองลัดนี่ก็ทำให้ย่นระยะทางได้มากอีกเช่นเดียวกัน

จะเห็นได้ว่า การย่นระยะทางที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นการใช้เวลาเดินทางในเวลาที่น้อยลงกว่าเดิม ไม่ได้หมายถึงว่า จะทำให้ผิวโลกย่นสั้นลง

ถ้าทำแบบนั้น บ้านช่องของคน ฯลฯ ตรงส่วนรอยย่นจะไปอยู่ที่ไหน คงจะถูกบีบอัดตายไปกันหมด


ที่มา
https://sites.google.com/site/manaskomoltha/withyasastr-kab-sasna/yn-raya-thang-thadi-cring

15
ธรรมะ / ธรรมะสร้างเสน่ห์
« เมื่อ: 30 ธ.ค. 2554, 05:54:23 »
ธรรมะสร้างเสน่ห์


คนเราเกิดมาทุกคนก็อยากมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม หล่อเหลาเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ผู้พบเห็นทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ สถานเสริมความงาม และเครื่องสำอางค์ต่างๆจึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่การมีหน้าตาดีอย่างเดียว ก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้อื่นชื่นชอบเราได้ อีกทั้งรูปกายภายนอกก็เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ดังนั้น จึงมีผู้ค้นคิดวิธีการต่างๆนานาที่จะปรับปรุง แก้ไข และสร้างเสริมให้เราเป็นที่ชื่นชมและยอมรับของผู้อื่น ซึ่งสิ่งนี้จะเรียกว่า “ ความมีเสน่ห์ ” ก็ได้ “ เสน่ห์ ” ก็คือ ลักษณะที่ชวนให้รัก ให้ชอบ เชื่อว่าคนเราทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย หรือผู้อยู่ในวัยไหนๆ ต่างก็อยากให้ตนเป็นที่รักที่ชอบของคนอื่นทั้งนั้น

              “ การสร้างเสน่ห์ ” เป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติที่จะทำให้คนนิยมชมชอบเรา ซึ่งต่างจากการ “ ทำเสน่ห์ ” อันเป็นเรื่องของไสยาศาสตร์ ที่อิงอยู่กับความเชื่อและเครื่องลางของขลัง ดังนั้น คนเราแม้จะไม่สวยไม่หล่อ ก็สามารถเป็น “ คนมีเสน่ห์ ” ได้ ส่วนวิธีการจะสร้างเสน่ห์ให้กับตัวเอง จะทำได้อย่างไร กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำเสนอ หลักธรรม บางประการที่ทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้กลายเป็น “ คนมีเสน่ห์ น่ารัก ” เพิ่มขึ้นได้ ดังจะได้กล่าวต่อไป

              เมื่อพูดถึง “ หลักธรรม ” หรือ “ ธรรมะ ” คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะวัยรุ่นจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเชย ไกลตัว ใกล้วัด บางคนก็คิดว่าเป็นเรื่องของคนสูงอายุ ใกล้หมดไฟ ดูคร่ำครึ ไม่ทันโลก แต่โดยแท้จริง วิธีการสร้างเสน่ห์หรือผูกใจคนในหนังสือ How to หรือจิตวิทยาของต่างประเทศที่คนทั้งหลายคิดว่าเป็นเรื่องใหม่ ทันสมัย ถ้าอ่านจริงๆแล้ว ก็จะพบว่าไม่ได้ต่างจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อนเลย จะไม่เหมือนกันก็เพียงการสื่อสารและภาษาที่ใช้เท่านั้น อีกทั้งหลักธรรมที่ว่าก็ยังมีอย่างหลากหลาย สามารถเลือกใช้กับบุคคลตามระดับสติปัญญา และสถานการณ์ต่างๆได้ด้วย แต่ในที่นี้ เราจะเลือกมาแต่ในส่วนที่จะช่วยเสริมสร้าง “ เสน่ห์ ” ให้เกิดขึ้นกับตัวเราเท่านั้น คือ

              ข้อแรก คนที่จะมีเสน่ห์ได้นั้น ท่านว่าต้องมี พรหมวิหารสี่ อันเป็นธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐหรือผู้มีจิตใจดี ซึ่งประกอบด้วย เมตตา คือ ความรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น กรุณา คือ ความสงสาร อยากจะช่วยเหลือผู้อื่น เห็นใครเดือดร้อนก็อยากบำบัดทุกข์ยากให้แก่เขา มุทิตา คือความเบิกบานพลอยยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีสุข พร้อมที่จะสนับสนุนส่งเสริมเขา ไม่อิจฉาริษยาเขา อุเบกขา คือ ความมีใจเป็นกลาง มองโลกตามความเป็นจริง ว่าใครทำดี ทำชั่วก็ได้รับผลกรรมตามนั้น พร้อมวางตนและปฏิบัติตามหลักการ เหตุผลและความเที่ยงธรรม หลักธรรมเรื่องนี้จะทำให้เราเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคนอย่างจริงใจ และยังมีจิตใจดีพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงจัง ทำให้ใครก็อยากมาใกล้ มารู้จัก เพราะอยู่ใกล้แล้วรู้สึกร่มเย็น สบายใจ ดูอย่างท่านท้าวมหาพรหม ด้วยเมตตาของท่าน ใครขออะไรท่านก็ให้ ทำให้คนจากทั่วสารทิศไปกราบไปไหว้ท่านมิได้ขาด แต่คนอย่างเราๆคงไม่ต้องถึงกับใครมาขออะไรก็ให้ เพราะเช่นนั้นเราคงเดือดร้อนเอง เพียงแค่มีความรัก ความเมตตากับคนรอบข้าง แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์เหลือเฟือแล้ว


ที่มา
http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1642

16
คนละเรื่อง

         มีชายหนุ่มจากต่างจังหวัดไกลสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่  ขณะที่ท่านพักผ่อนอยู่ที่มุขศาลาการเปรียญ  ดูอากัปกิริยาของเขาแล้วคงคุ้นเคยกับพระนักเลงองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อนแล้ว  สังเกตุจากการนั่งการพูด  เขานั่งตามสบาย  พูดตามถนัด  ยิ่งกว่านั้นเขาคงเข้าใจว่าหลวงปู่นี้คงสนใจกับเครื่องรางของขลังอย่างดี  เขาพูดถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่นๆ  ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง  ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่  คนหนึ่งมีหมูเขี้ยวตัน  คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ  อีกคนมีนอแรด  ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้  มีคนหนึ่งเอ่ยปากว่า  หลวงปู่ฮะ  อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันฮะ ฯ

        หลวงปู่ก็อารมณ์รื่นเริงเป็นพิเศษยิ้มๆ แล้วว่า

        "ไม่มีดี  ไม่มีวิเศษอะไรหรอก  เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน."


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

17
พุทโธเป็นอย่างไร

         หลวงปู่รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑  ในช่วงสนทนาธรรม  ญาติโยมสงสัยว่าพุทโธ เป็นอย่างไร  หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

         เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก  ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด  ความรู้ที่เราเรียนกับตำหรับตำรา   หรือจากครูบาอาจารย์  อย่าเอามายุ่งเลย  ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้  รู้จากจิตของเรานั่นแหละ  จิตของเราสงบเราจะรู้เอง  ต้องภาวนาให้มากๆเข้า  เวลามันจะเป็น  จะเป็นของมันเอง  ความรู้อะไรๆให้มันออกมาจากจิตของเรา

         ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกมาจากจิตนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

         ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว  อย่าส่งจิตออกนอก  ให้จิตอยู่ในจิต  แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง  ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ  พุทโธอยู่นั่นแหละ  แล้วพุทโธ  เราจะได้รู้จักว่า  พุทโธ  นั้นเป็นอย่างไร  แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละ  ไม่มีอะไรมากมาย.

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

18
ต่อจาก
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=19021.msg163400#msg163400
โดย นายธรรมะ เมื่อ ๑๘ ก.ย. ๕๓

มีไฟล์เสียงให้ฟัง

จาก http://www.fungdham.com/book/dule-gift.html

ข้อคิดข้อธรรมใน "หลวงปู่ฝากไว้"ของพระอริยเจ้า หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่บันทึกถ่ายทอดมาโดยพระโพธินันทะมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต)นั้นเป็นข้อคิดข้อธรรม ตลอดจนปริศนาธรรมที่สั้นกระชับแต่กินความหมายอันลึกซึ้ง ซึ่งถ้ากระทำการโยนิโสมนสิการด้วยความเพียรแล้ว จะทำให้เข้าใจในสภาวธรรม ตลอดจนแนวการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี

ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

        พระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙  หลังฟังโอวาทและข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่นๆ  แล้วหลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า

จิตที่ส่งออกนอก    เป็นสมุทัย

ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก   เป็นทุกข์

จิตเห็นจิต    เป็นมรรค

ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต   เป็นนิโรธ

สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

         อุบาสกผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง  สนทนากับหลวงปู่ว่า  "กระผมเชื่อว่า  แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย  เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฎ  เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้นแล้ว  เขาจะได้มีกำลังใจและความหวัง  เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางปฏิบัติให้เต็มที่" ฯ

         หลวงปู่กล่าวว่า

         "ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว  เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร  เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด"[/size]

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

19
ต่อจากข้อธรรมะ.....อเหตุกจิต ๓......หลวงปู่ดูลย์
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=25775

แนวทางพิจารณา และ แนวทางปฏิบัติ โดยอาศัยธรรม "อเหตุกจิต"

แนวการพิจารณา และแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
โดยอาศัยการพิจารณาในธรรม "อเหตุกจิต" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตาม อายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ และ มโนทวาร มีดังนี้

                 ตาไปกระทบกับรูป เกิด จักขุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ ตาเห็นรูป ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ(เช่นความคิด)   (ขอให้พิจารณาดูสภาวะธรรม หรือสภาวะแห่งธรรมชาตินี้ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นจริงดังนี้เป็นธรรมดาหรือไม่)  แล้วไม่คิดปรุง

                 หูไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้ หูได้ยินเสียง ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 จมูกไปกระทบกับกลิ่น  เกิด ฆานวิญญาณ คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้ จมูกรับกลิ่น ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 ลิ้นไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ ลิ้นรับรู้รส ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 กายไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กายรับสัมผัส ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 ใจไปกระทบกับความคิด เกิด มโนวิญญาณ คือการรับรู้ความคิดนั้น  จะห้ามไม่ให้ ใจรับรู้ความคิด ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง
 
วิญญาณทั้ง๖  นี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกาย และใจ ตามทวารนั้นๆ  ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นอยู่เช่นนั้น  ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๖ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอกและภายใน ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดมีเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้

ที่มา
http://nkgen.com/522.htm

20
อเหตุกจิต ๓


จากหนังสือ
"อตุโล ไม่มีใดเทียม"
บันทึกโดย พระโพธินันทะมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต)
รวบรวมและเรียบเรียงโดย รศ. ดร.ปฐม นิคมานนท์
                                     

         ๑. ปัญจทวาราวัชชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตาม อายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ มีดังนี้
                 ตา ไปกระทบกับรูป เกิด จักขุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูป ไม่ได้
                 หู ไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียง ไม่ได้
                 จมูก ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่น ไม่ได้
                 ลิ้น ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รส ไม่ได้
                 กาย ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กายรับสัมผัส ไม่ได้
        วิญญาณทั้ง ๕ อย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นอยู่เช่นนั้น  ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๕ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอก ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดมีเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้
        การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่น เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็นไม่คิดปรุง, ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง   ดังนี้ เป็นต้น (ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว) [ถืออุเบกขาไม่คิดนึกปรุงแต่งเอนเอียงเข้าไปแทรกแซงนั่นเอง - webmaster]


ที่มา
http://nkgen.com/521.htm

21
ประสบการณ์วิญญาณ / แท็กซี่ผีสิง
« เมื่อ: 24 ธ.ค. 2554, 10:48:23 »
แท็กซี่ผีสิง (1/2)


จนบัดนี้  ผมยังไม่เคยลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในครั้งนั้นเลย แม้มันจะผ่านมานานหลายปี แต่เหตุการณ์เหล่านั้น  ก็ยังตามมาหลอกหลอนผมมาจนกระทั่งทุกวันนี้  ผมยังจำได้ในปีที่ถือว่า ชีวิตของผมตกต่ำสุดขีด  ในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจอย่างหนัก  ต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ  หลายบริษัทประสบภาวะขาดทุน จนต้องปิดกิจการลง  สถาบันการเงินที่ผมทำงานอยู่ ก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย  ผมและเพื่อนๆอีกหลายร้อยคน  ต้องกลายเป็นคนตกงาน โดยที่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย


 เพื่อนๆของผมบางคนทำใจไม่ได้กับชีวิตที่พลิกผันอย่างหนักขนาดนี้  และที่แย่ไปกว่านั้น  พวกเขายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล ส่งเสียเงินทอง  พอไม่มีรายได้ขึ้นมา  ก็เลยไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร   ซึ่งผมเองก็ยังต้องรับผิดชอบชีวิตเมียและลูกอีกสองคน  จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากมาย


ผมยังโชคดีที่มีเงินเก็บอยู่บ้าง  แต่มันคงช่วยประทังชีวิตครอบครัวของผมไปได้อีกไม่นาน  เพราะลูกสองคนของผมก็ยังต้องเรียนหนังสือ  ไหนจะค่าเทอม  ค่าหนังสือหนังหา  อุปกรณ์การเรียนอีกตั้งมากมาย  ยังไม่รวมค่าเช่าบ้าน  ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่ผมเป็นผู้รับภาระอยู่เพียงคนเดียว  เนื่องจากภรรยาของผมสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง  ผมจึงไม่อยากให้เธอออกไปทำงานหนัก   แค่คิดขึ้นมาผมก็เริ่มปวดหัวแล้วหล่ะ  เพราะไม่รู้ว่าถ้าเงินเก็บหมด  ผมจะหาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านต่อไป  แถมตอนนั้นผมก็ยังหางานทำไม่ได้  แม้จะออกเดินสมัครงานเกือบทุกวัน  แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนยอมรับผมเข้าทำงานเลย


จนวันหนึ่ง   ผมเดินผ่านหน้าอู่ซ่อมรถแท็กซี่ ก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า  ผมน่าจะลองมาขับรถแท็กซี่ดู  เผื่อจะหาเงินเข้าบ้านได้บ้าง  เพราะความรู้อย่างอื่นผมก็ไม่มี นอกจากวิชาการบัญชีที่ร่ำเรียนมา  นอกนั้นที่ผมพอจะทำได้ก็คือการขับรถนี่แหละ  เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็เลยไปปรึกษาภรรยา  ซึ่งผมรู้ว่าเธอจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน  เพราะเราคงไม่มีทางเลือกอย่างอื่น


หลังจากบอกกล่าวภรรยาเรียบร้อยแล้ว  ผมจึงออกไปหาเช่ารถแท็กซี่มาขับ  พอดีมีคนข้างบ้านเขาเคยขับแท็กซี่มาก่อน  เขาจึงแนะนำให้ผมไปเช่ารถที่อู่เสี่ยโชค  โดยให้บอกว่าเขาแนะนำมา  ผมจึงทำตามที่เขาบอก  ซึ่งพอเสี่ยโชค รู้ว่าใครแนะนำผมมา  แกก็เลยเริ่มไว้ใจผมมากขึ้นและตกลงให้ผมเช่ารถมาขับ  โดยผมต้องเสียเงินประกันให้แกจำนวนหนึ่ง


ช่วงแรกผมต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หลังพวงมาลัยทั้งวัน  กว่าจะได้เงินพอค่าเช่ารถและค่าน้ำมัน  ส่วนที่เหลือก็เป็นรายได้ ซึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่  พอส่งรถตามกะแล้ว ผมก็กลับบ้านนอน  เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน ต่อมาผมเห็นว่าขับรถเพียงกะเดียว  รายได้ยังไม่เพียงพอ  จึงเพิ่มเป็นสองกะ ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพียงแค่คืนแรก  ผมก็ถูกต้อนรับน้องใหม่ซะแล้ว  หรือเรียกง่ายๆ ก็เจอดีงัยล่ะ  ขณะที่ผมกำลังขับรถตระเวนหาผู้โดยสารอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันดังแว่วมาจากเบาะหลัง  ผมเลยหันไปมอง  ก็ไม่เห็นใคร เจอแต่เบาะว่างเปล่า  ถ้าเห็นก็คงจะแปลกหล่ะ  ก็ผมยังไม่ได้รับผู้โดยสารขึ้นมาบนรถเลยแม้แต่คนเดียว  แล้วจะไปเห็นใครได้ยังงัยล่ะ

สักพักรถก็มาติดไฟแดงตรงสี่แยกอสมท.  เสียงนั้นก็เงียบไป แต่ทันทีที่ผมเร่งเครื่องเตรียมออกรถ เมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว   เสียงทะเลาะกันก็ดังแข่งกับ   เสียงเครื่องยนต์ขึ้นมาอีก     คราวนี้ผมชักใจไม่ดีแล้วหล่ะ  จึงค่อยๆชำเลืองมองทางกระจกส่องหลัง  ก็ยังไม่เห็นใครอยู่ดี  จะว่าเป็นเสียงจากวิทยุ ผมก็ไม่ได้เปิดนี่นา  แล้วเสียงนั้นมันดังมาจากไหนกันล่ะ


ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เวลาผ่านมาจนจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว  ผมยังไม่ได้ผู้โดยสารเลยซักคน ผมก็พยายามสอดส่ายสายตามองตลอดสองข้างทางแล้วนะ พอมองเห็นคนทำท่าเหมือนจะยืนรอรถแท็กซี่อยู่  ผมก็รีบโฉบเข้าไปใกล้ทันที แต่พอไปถึง ผู้โดยสารก็ไม่ยอมโบกมือเรียก  ตอนแรกผมก็นึกว่า เอ!! สัญญาณไฟว่างหน้ารถเราเสียรึเปล่า  แต่ลงไปดูแล้ว  มันก็ยังทำงานได้ปกติดีนี่นา

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4105

22
วิญญาณในทะเลสาบ (1/2)



   ทุกๆกลางเดือนกรกฎาคม  ซึ่งเป็นเดือนที่มีฝนตกหนักมากที่สุดในประเทศอินเดีย  ณ เมือง  เคราล่า  รัฐหนึ่งทางตอนใต้สุดของอินเดียตะวันตก ชาวเมืองจะต่างพากันหยุดงาน เพื่อออกมาฉลองเทศกาลปุราม  หรือพิธีเฉลิมฉลองก่อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลินั่นเอง แต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชาวเมืองเคราล่าในหมู่บ้านคอทตายัม  กลับต้องประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา  ท่ามกลางเหตุการณ์สยองขวัญสั่นประสาท  ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอ

 โดยปกติแล้ว  ทุกๆเดือนกรกฎาคม  ชาวเมืองเคราล่าในแต่ละหมู่บ้าน  จะเตรียมเรือของพวกเขาเพื่อนำไปแข่งขันกันในพิธีฉลองเทศกาลปุราม  ซึ่งในวันเทศกาลนั้น   ชาวบ้านในหมู่บ้านคอทตายัมทั้งหญิงและชายต่างมุ่งหน้ามายังทะเลสาบเวมนาบาด  เพื่อเข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์  พร้อมกับนำหม้อดินเปล่าๆติดตัวมาด้วย
เนื่องจากพวกเขาหวังว่าสายฝนจะโปรยปรายลงมา สร้างความชุ่มฉ่ำและนำพาโชคลาภมาให้แก่พวกเขา ซึ่งก่อนที่จะมีการแข่งขันพายเรือ  จะต้องมีพิธีสังเวยเรือโดยใช้ไก่เป็นเครื่องบูชา  จากนั้นชาวบ้านที่เป็นฝีพายก็จะลงไปนั่งประจำที่  ทุกคนต่างนุ่งโจงกระเบนและโพกหัวกันด้วยผ้าสีขาว  โดยมีนายเรือกางร่มสีแดงยืนคอยสั่งการอยู่กลางลำ

ในขณะที่ชาวเมืองต่างพากันวุ่นวาย  กับพิธีกรรมที่จะเริ่มขึ้นตรงหน้าในไม่ช้า ดูเหมือนว่าไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น  บุรุษลึกลับคนหนึ่ง  ซึ่งเข้าไปร่วมอยู่ในขบวนฝีพายบนเรือลำหนึ่งด้วย  นั่นคงเป็นเพราะการแต่งกายของชายคนนั้น  ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเลยแม้แต่น้อย  จึงทำให้ไม่มีใครรู้สึกผิดปกติ

แต่ในขณะที่เรือลำนั้นกำลังจะแล่นออกจากฝั่ง จู่ๆ  ก็เกิดคลื่นขนาดยักษ์พัดเข้ามากระแทกเข้ากับเรืออย่างจัง ส่งผลให้เรือลำใหญ่ถึงกับเอียงวูบ และพาร่างของฝีพายหลายสิบนาย จมหายลงไปในทะเลสาบทันที  ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวบ้านที่ยืนมุงดูอยู่ริมฝั่ง

ไม่กี่นาทีต่อมา  ทั่วทั้งท้องทะเลสาบก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มกว่า 30 คน  โผล่พรวดขึ้นมาบนผิวน้ำ  พร้อมกับตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ  จากนั้นไม่นาน นักประดาน้ำกว่า 10 นายก็มาพร้อมกันที่ชายฝั่ง  และโดดลงไปช่วยเหลือพวกเขาทันที ในขณะที่ชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งก็ต่างหาอุปกรณ์เท่าที่พอจะหาได้  โยนลงไปให้พวกเขาเหล่านั้นเกาะพยุงตัวเองเอาไว้

ทันทีที่ฝีพายกลุ่มแรกขึ้นมาจากน้ำได้ พวกเขาก็ละล่ำละลักบอกกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนฝั่งว่า ในทะเลสาบนั้นจะต้องมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน เพราะขณะที่พวกเขาลอยคออยู่ในน้ำนั้น ต่างรู้สึกเหมือนกับว่า  มีมือของใครคนหนึ่งมาดึงขาของพวกเขาเอาไว้  ทั้งที่ทุกคนในนั้นต่างว่ายน้ำเป็น  แต่มือลึกลับดังกล่าวกลับมีแรงมาก  จนทำให้พวกเขาไม่สามารถพยุงตัวเองเอาไว้ได้   ยังดีที่ความช่วยเหลือมาทันท่วงทีไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะต้องจบชีวิตอยู่ใต้ท้องทะเลสาบแห่งนี้อย่างแน่นอน

หลังจากที่นักประดาน้ำช่วยเหลือเหล่าฝีพายขึ้นมาจากทะเลสาบได้หมด  โดยที่ไม่มีใครเป็นอะไร  เพียงแต่บางคนอาจจะได้รับบาดเจ็บ  ขณะที่แย่งกันว่ายเข้าฝั่งบ้างเล็กน้อย  แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต 
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนที่อยู่ในพิธีเป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติแล้ว ในระหว่างประกอบพิธีฉลองเทศกาลปุราม ที่จัดขึ้นเป็นประจำมานานหลายปี  น้ำในทะเลสาบจะสงบเงียบปราศจากคลื่นลม ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น  แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้   ทำให้พวกเขาต่างพากันสงสัยว่า  มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4084

23
กฎแห่งกรรม เรื่อง ตัดชีวิต (1/2)

ฉันชื่อปอ เป็นนักศึกษาชั้นปีสี่ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ   ฉันไม่ขอบอกนะคะว่าเป็นมหาวิทยาลัยอะไร  เพราะอาจทำให้ใครบางคนไม่กล้าเอนทรานซ์เข้าไปเรียน ... ฉันเองเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเอง จะต้องเจอเรื่องลี้ลับเหล่านี้ แต่แล้ว ฉันก็ต้องมาเจอจนได้ ... บางคนบอกว่าฉันเป็นคนมีบุญ  ฉันเองพยายามคิดว่าก็อาจจะจริง เพราะคนทั่วไปคงจะไม่เจอกันง่ายๆ  และอีกอย่าง ใครคนนั้นที่มาบอกฉัน เขาก็มีเจตนาดี และต้องการให้ฉันนำเรื่องของเขาไปเล่าต่อ เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ไม่ให้คนที่รับฟังทำบาปทำกรรมกันอีก


เมื่อช่วงภาคเรียนซัมเมอร์ของปี 2545 ที่ผ่านมานี้ ฉันและเพื่อนอีกหลายคนได้ลงเรียนวิชาบังคับซึ่งวันๆ หนึ่ง ก็เรียนเพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น และเวลาที่เหลือ พวกเราก็จะได้ไปเที่ยวกัน “เฮ้ย ปอ  พิมพ์  สุ ไปเที่ยวกันไหม ?”  เสียงตะโกนดังมาจากข้างล่างหอพัก  ทำให้ฉันและเพื่อนอีกสองคนโผล่หน้าไปดูทางระเบียง“ไปไหนเหรอ ?” สุตะโกนถาม เมื่อเห็น โจ กับ แบ้งค์  เพื่อนร่วมรุ่น กำลังยืนข้างมอเตอร์ไซค์ ถือเบ็ดตกปลา และเงยหน้ามายังระเบียงห้องของพวกเรา “ไปตกปลาน่ะสิ ไม่เห็นเหรอ


ถือเบ็ดจะให้ไปซักผ้าหรือไง” แบ้งค์ตอบ “ไม่ไปหรอก ถ้าไปตกปลาน่ะ  พวกฉันไม่ชอบทำบาปย่ะ” ฉันตะโกนออกไป พร้อมกับเดินเข้าห้อง ฉันเองรู้สึกเคืองๆ พวกมันเล็กน้อย เพราะเคยเตือนไปหลายครั้งแล้ว ว่ามันเป็นบาปกรรม แต่พวกนั้นก็ไม่เคยเชื่อกันเลย ... ฉันเดินกลับเข้ามาได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์และบึ่งออกไป ซึ่งคาดว่า คงจะเป็นโจกับแบงค์ที่ออกไปตกปลากันนั่นเอง ... ซึ่งสถานที่ประจำ ก็คงจะเป็นอ่างเกษตรแน่ๆ เพราะเคยได้ยินโจบอกว่าถ้าไปทางด้านหลัง เป็นป่ารกๆหน่อย ก็จะไม่มีใครเห็นและไม่มีใครมาเอาผิดทั้งคู่ได้แล้ว ...


เย็นวันนั้น ระหว่างที่ฉันและเพื่อนกำลังจะออกไปกินข้าว ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า น่าจะชวนพวกโจกับแบงค์ไปด้วย .... ฉันและเพื่อนเลยเดินไปเคาะประตูห้องของ 2 คนนั้น  เพราะคิดว่าน่าจะกลับกันมาแล้ว แต่เคาะอยู่สักพัก ก็ไม่มีเสียงตอบอะไร พวกเราก็เลยคิดกันว่า ทั้งคู่คงจะออกไปหาอะไรกินกันแล้วแน่ๆ  จึงออกไปข้างนอก ... หลังจากนั้น เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ฉันก็กลับเข้ามาในห้อง ส่วนสุกับพิมพ์ขอแยกตัวเข้าไปในมหาวิทยาลัย ฉันเปิดทีวีและนั่งดูรายการไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู  (SFX: ก๊อกๆๆ) ฉันจึงรีบเดินไปเปิดประตู... แล้วก็พบว่า คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็คือ แบงค์นั่นเอง ...แบ้งค์มายืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย ตาเหม่อลอย  ที่มือมีปลาที่ถูกขอเกี่ยวไว้ 2-3 ตัว แล้วแบงค์ก็ถามฉันว่า  “อยากกินปลาไหม เราเอาปลามาฝากเยอะเลย” ฉันรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3981

24
กฎแห่งกรรม / เวรกรรมตามลมปาก
« เมื่อ: 24 ธ.ค. 2554, 09:54:51 »
เวรกรรมตามลมปาก (1/2)


เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน  ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่งและเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
แพง : แม่ แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!! โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะเหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ...


 นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ... สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง


แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม
แม่ : เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น
แพง : โอ๊ย 500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว  ... แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนู
ไม่อยากจะทะเลาะด้วย ... อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่า
ลืมทำกับข้าวเผื่อนะคะ  แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู เพราะยายกินข้าวหก
เลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา ..


 นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน  ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ...  แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ
แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก
 วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า


ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู  ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูกคนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน


 ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด
 วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ


แพง : ยาย ยายทำบ้าอะไรเนี่ย .. ยายรีดเสื้อประสาอะไร ทำไมมันไหม้อย่างนี้ล่ะ ...เสื้อตัวนี้ แพงซื้อมาตั้งเท่าไร รู้มั๊ย ...  โง่จริงๆ เลย แก่แล้วยังไม่เจียมอีก รีดไม่เป็นวันหลังก็ไม่ต้องมาทำสิ ...
แม่ : แพง โวยวายอะไรกับคุณยายน่ะลูก
แพง : ก็คุณยายน่ะสิคะ ทำเสื้อแพงไหม้เป็นรู อย่างงี้จะไม่ให้ด่าได้ยังไงล่ะ แพงจะใส่วันนี้ด้วย
แม่ : แพง คุณยายเขาอุตส่าห์รีดให้นะลูก ขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
แพง : แม่พูดอย่างงี้ได้ยังไง คุณยายเป็นคนผิดนะ จะให้แพงขอโทษน่ะเหรอ ไม่มีวันซะหรอก
แม่ : แม่บอกให้แพงขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
แพง : แม่ฝันไปเถอะว่าแพงจะขอโทษคุณยาย...งี่เง่า!!
(SFX: ฉาด)
แพง : แม่
แม่ : แม่ไม่เคยสอนให้หนูเป็นคนอย่างนี้เลย แต่ทำไมหนูถึงกลายเป็นคนก้าวร้าวเห็นแก่ตัวอย่างนี้ แม่ทนมานานแล้วนะแพง ทำไมหนูทำแบบนี้
แพง : แม่ แม่จำไว้เลยนะ แม่ตบแพง ... แม่ตบตีลูกตัวเอง แม่จะต้องได้รับกรรม
(SFX: เสียงวิ่งออกไป)

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jnId=3985

25
สำรวจตัวเองหรือยัง

 สำรวจตัวท่านเองให้ดีว่าทำไมทุกวันนี้มีแต่จนลงมีแต่ความทุกข์มีแต่หนี้สินใช้หนี้ไม่มีวันหมด
    ครอบครัวไม่ทีความสุขพยายามหาทางแก้ไขก็ไม่มีใครช่วย พอมีคนจะช่วยก็เหมือนมีอะไรมา
    ปิดหูปิดตามบังไม่ให้เห็นทางแก้ปัญหา ไหวพระขอพรและบนบาลศาลกล่าวก็ไม่ประสบผล
    สำเร็จ

 ตราบใดที่เจ้ากรรมนายเวรยังไม่มีความสุขยังรับทุกข์ทรมานอยู่ ตราบนั้นตัวท่านจะไม่มี
    วันที่จะมีความสุขได้เลยปัญหาครอบครัว ปัญหาหนี้สิน ปัญหาการทำงาน ปัญหาค้าขาย
    มีแต่ขาดทุน จะยิ่งทวีความรุ่นแรงมากขึ้น จนท่านคิดที่จะฆ่าตัวตาย

 ผมไม่ใช่เทวดาจะแก้กรรมให้ใครได้ แต่ผมรู้วิธี "หยุดเวรต่อเวร หยุดกรรมต่อกรรม"

 

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
วิธีหยุดเวรต่อเวร หยุดกรรมต่อกรรม

 วิธีหยุดเวรต่อเวรหยุดกรรมต่อกรรม เริ่มจาก
 หมั่นใส่บาตรพระกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้มากขึ้น ,รักษาศีล ๕ ให้ได้
 ทำสังฆทานในโอกาสที่ทำได้
 ทำทานกับทุกคน ปล่อยนกปล่อยปลาและสัตว์ที่ทุกข์


ที่มา
http://www.thailawyer.net/jaekrrnayva/jaekrrnayva/jaekrr.php

26


ที่มา
http://www.thailawyer.net/jaekrrnayva/jaekrr.php

27
ตำนวนบ้านผีสิง


ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกกับการสังสรรค์หลากหลายวิธี บ้างก็จัดงานเลี้ยง บ้างก็ไปหาเพื่อน บ้างก็ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่เคยรู้กันมาก่อนเลยว่า

ประวัติของสถานที่นั้นๆเป็นมาอย่างไร วันหนึ่งกลุ่มเด็กวัยรุ่นได้ทำการเลี้ยงส่งเพื่อนๆด้วยการพาไปเที่ยวในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่สามารถออกนามได้

สถานที่แห่งนั้น มีอุปกรณ์สร้างความสนุกหลากหลายชนิด ซึ่งก็มีบ้านมีผีสิงตามเคยเหมือนสวนสนุกอื่นๆ บ้านผีสิงแห่งนี้ไม่เป็นที่นิยมนักเพราะตั้งอยู่

บนบริเวณมุมอับของสวนสนุกซึ่งยากนักจะมองเห็นถ้าไม่สังเกตุจริงๆ นานทีจะมีผู้เล่นมาใช้บริการบ้านผีสิงนี้ บ้านผีสิงแห่งนี้ไม่มีใครทราบว่าประวัติเป็นมา

เช่นไร บ้างก็ว่าสั่งทำหุ่นต่างๆจากต่างเมือง ต่างประเทศบ้าง บ้างก็ว่าเก็บศพจากต่างเมืองมาทำความสะอาดและนำมาดัดแปลงและนำมาโชว์

กลุ่มวัยรุ่นที่เดินผ่านมาไม่มีใครสนใจเลยซักนิด ยกเว้นเพื่อนคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคัก วิ่งหลบเข้าไปในบ้านผีสิง จึงสร้างความสงสัยมากให้

แก่เด็กหนุ่มวัยรุ่น เขาจึงชวนเพื่อนๆ พากันเดินไปออกันอยู่หน้าบ้านผีสิง ในขณะที่กลุ่มเด็กหนุ่มกำลังเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นผู้ที่เข้าไปก่อน มีมือซีดเซียว

เล็กเรียวโผล่ลอดออกมาจากประตูทางเข้าโทรมๆ และกระชากมือเพื่อนคนหนึ่งเข้าไปด้วยแรงมหาศาล

เด็กหนุ่มตัวปลิวกระเด็นเข้าไปในกระแทกประตูกำแพงเสียงดังโครมคราม และ กึกก้อง เพื่อนๆต่างตระหนกและทำอะไรไม่ถูกจึงพากันวิ่งตามเข้าไป

ทางเดินข้างในไฟสลัวมาก ! กลุ่มเด็กหนุ่มยังคงตระหนกกับเหตุการณ์นั้น เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าได้ยินเสียงเพื่อนของเขาร้องครวญครางอยู่ทางมุมห้องด้าน

ซ้าย เขาจึงไปเดินเข้าไป ! กลุ่มเด็กหนุ่มเดินต่อไปตามทางเดิน ในขณะนั้นเพื่อนคนที่สองก็บอกว่า เหมือนจะได้ยินเสียงเพื่อนของเขาร้องห่มร้องไห้

เหมือนเสียใจอะไรซักอย่างแบบหนักอึ้งในขณะที่เพื่อนๆไม่มีใครได้ยินเลย เขาจึงเดินเข้าไป ! เหลือเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร และไม่ได้

ยินเสียงอะไรเลย เขาเดิน เดิน และเดินต่อไปจนเห็นทางแยกซึ่งเป็นทางสามแยก คนหนึ่งไปทางซ้าย อีกคนหนึ่งไปข้างหน้า

ก่อนหน้านันเด็กหนุ่มที่ปลีกตัวไปทางด้านหน้าสะกิดใจว่า เพื่อนเค้าต้องอยู่ข้างมุมขวานั้นแน่ๆ เพราะเค้าเห็นคนวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินจะมองทัน แต่ในเ

เสี้ยววินาทีนั้นเขาสังเกตุเห็น เด็กผู้หญิงวิ่งตามเพื่อนเขาไปด้วย เขาจึงเกิดความกลัวและเห็นแก่ตัวตามสัณชาติญาณ

เป็นเวลานานมากกว่าเพื่อนๆจะมาพบกันในทางออกของบ้านผีสิง

เหลืออีกคนหนึ่ง...ซึ่งยังเดินวนเวียนไปวนเวียนมา จนมาเจอ

ผีตัวที่ 1 เป็นผีผูกคอ เมื่อเดินผ่านก็มีเสียงจากเครื่องขยายเสียงทำงาน

ผีตัวที่ 2 เป็นผีคนคุก ผีตัวที่ 3 เป็นผีผมยาวปิดหน้าปิดตา เขาเดินต่อไป ต่อไปเป็นเวลานานจนมาถึงผีตัวสุดท้าย

ผีตัวที่ 13 ลักษณะของผีตัวนี้แปลกๆ เป็นเด็กสาวผมยาวสลวย อยู่ในห้องคนคุกเดินวนไปวนมาอยู่ในคุก เขาสงสัยมากว่าทำไมกลไกของผีตัวนี้ดูน่าสนใจ

ยิ่งนัก เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ เธอหยุดนิ่ง และท่าทางดูสงบ เธอค่อยๆหันหน้าขึ้นมาและถามว่า "เธอต้องการอะไร" เด็กหนุ่มตอบไปอย่างทันควันว่า

"ผมอยากออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด" ผีเด็กสาว ยิ้ม เธอยิ้มและขำเสียงดังจนดูเหมือนเส้นเสียงในคอของเธอจะปิดปกติจนเธอสำรอกออกมาเป็น

เลือด !!

และทันใดนั้นเอง เด็กสาวเดินมาอย่างรวดเร็วและจับแขนเด็กหนุ่มพาวิ่งไปหาแสงจ้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางออกแต่ ไม่ใช่ !!~ มันไม่ใช่

...

เคยมีตำนานว่า บ้านผีสิงทุกแห่งจะมีผีตัวจริงซุกซ่อนอยู่ ซึ่งตามหลักของศาสนาคริสต์แล้ว เลข13 เป็นเลขอัปมงคล

นั่นก็คือ ทุกบ้านผีสิง..........ผีตัวที่ 13 คือ ตัวจริง !!!!!!   


ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=452365

28
หญิงชรากับบ้านปิดตาย ของจริง


ยามที่คุณเดินผ่านบ้านไม้เก่าๆที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในยามราตรีคุณรู้ศึกยังไง แต่สำหรับผมมีความรู้เหมือนมีคนจองมองผมอยู่ที่บ้านไม้หลังนั้น แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกลับหันไปมองบ้านไม้หลังนั้น เพราะความหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ และผมก็พญายามเดินหน้าต่อไป ด้วยอาการสั่นๆ และในที่สุดสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง เสียงนั้นมันดังมากๆ จงทำให้ผมสะดุ้งตกใจและวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว...............................

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว ตำบลxxxxx
มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของชาวบ้านมีประมาน100คนได้และผมก็ต้องมาด้วยเพราะพ่อผมเป็นเจ้าภาพ จัดงานอยู่ที่สวนไกลออกจากหมู่บ้านเล็กน้อยเวลาประมาน 4 ทุ้มทุกคนที่นั้นก็กินอิมหนำสำราญกันอยู่ตามปกติ แต่สำรับพวกผม7คนนั้นก็เป็นพวกสำรวจชอบไปป่าบ้างไปหนองน้ำบ้าง และในที่สุดเวลาก็ลวงเลยมานานมากกับการสำรวจ นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของผมบอกเวลาว่า ตีหนึ่ง ผมก็เลยบอกทุกคนว่า"พี่จะเล่นผีถวยแก้ววะ ใครจะเล่นด้วย" มีคนประติดเสด3คน คือ ฟลุ๊ก แนน และแพ(กระเทย ทอม ทั้งนั้น)ผมก็เลยไม่ห้ามแต่กฎมีอยู่ว่าถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเกมผีถ้วยแก้วนั้นห้ามมองดูหรืออยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขาให้กับไปที่งาน และพวกผมก็เริมเล่นกัน 4 คนมี พิษ นน ฟรีม และผม(คิม)วิธีการล่นต้องกระดานให้พร้อมและก็จุดธูปเชินวิญาณและก็เอาควันธูปไส้เข้าไปในแก้วแต่เล่นไปมากวิญาณก็ไม่เข้าแก้วสักที่ จงเราจะเลิกเล่นแต่อยู่ดีๆ ก็มีคนเดินมาทางที่พวกผมกำลังเล่นกันอยู่ และเดินเข้าพูดว่าอยากเล่นแบบเจอผีไหม พวกผมทุกคนก็พูดว่า"อยากๆครับ" สภาพของชายแก่คนนั้นเหมือนกับคนจรจัดไม่มีผิดอายุราว 80 แต่ผมก็ไม่ได้นึกอะไรเขาบอกว่าตามมา แต่ก็มีไอ้ นน บอกว่า"ไม่ไว้ใจเลยพี่กลัวมันจับไปฆ่า" ผมก็เลยบอกว่าไม่ไปครับ เขาก็อยากให้พวกเราไป เขาก็เลยให้เราค้นตัวว่ามีอาวุธไหม และ ให้ดูบัตรประชาชนแต่ผมเห็นบัตรนั้นมันนานมากและหมดอายุไปนานแล้ว ผมก็เลยถามว่า"ตาทำไหมไม่ไปต่ออายุ"ชายแกคนนั้นบอกว่า"ตาไม่มีเวลาไปสักที่" ผมก็เลยไม่สนใจอะไร ทุกคนตัดสินใจว่า:ไปก็ดีไหนไหนก็เคยไปบ้านร้างมาแล้วตาแกแก่มากทำอะไรเราไม่ได้หลอก" และทุกคนก็ไปกันประมานครึ่งกิโลเมตรได้ และมาถึงบ้านร้างเก่าๆ และเราก็เริ่มเล่นกัน แต่ตาไปไหนไม่รู้ และในที่สุด ฟรีมก็พูดขึ้นว่า"คนอยู่ตรงหน้าต่าง"ผมก็เลยไม่เชื้อคิดว่าคงเป็นสัตว์มากกว่าคน เพราะสภาพบ้านนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเป็นบ้านร้างไม้เก่าที่อยู่ในป่าทึม แต่มันหน้ากลัวเกินกลัวคนจะมาอยู่ได้ ผมก็เลยบอกว่า"หน้าจะเป็นแมวมากกว่าวะ"และฟริมพูดอีก"คนๆไม่ใช้แมว"ผมก็เลยมองเข้าไปที่หน้าต่างก็เห็นฆญิงชรากำลังมองดูพวกผมอยู่ในตัวบ้านผมก็เลยร้องกรีดและกระโดดไปมา และทุกคนในนั้นก็เห็นเหม์อนผม และก็บอกว่า"ห้ามวิ่ง เดินไปด้วยกันจับมือกันไว้และเดินไปข้างหน้าช้า"ความรู้สึกต้องนั้นกลัวมากคิดอยู่ในใจ "มาได้ยังไงวะ"แต่เสียงหญิงชราก็ร้องขึ้นว่า"พวกมึนจะไปไหน กูพูดได้ยินไหม กูบอกว่ามาหากู กูจะเอามพวกมึนมาตายแทนกู"พูดอยู่อย่านั้นไปเรื่อยๆ พวกผมก็ร้องไห้(เขียนไปหน้ากลัวมากครับ)แต่ว่าลุงที่พาพวกผมมานั้นก็บอกว่า"จะไปไหนไปตายแทนเมียกูเดียวนี้"และหญิงชราคนนั้นมาทางด้านผมหน้าตามีเลือดเต็มตัวตาแดงผิวขาวเสื้อลายดอก แต่พวกผมก็ไปต่อไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ จนมีร่างของคนแกคนหนึงไส้ชุดสีขาว เป้นผู้ชายพูดว่า"ปล่อยพวกเขาไปเถะฉันขอร้องเขายังเด็กอยู่นะฉันของ"ผมมีความรู้สึกเชื้อเรื่องผีขึ้นมาเลย และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปมีแต่ตาแกจรจังที่พาพวงเรามา ในต้องนั้นเหมือนมีพลังที่จะวิ่งออกไปจากที่นั้นได้ และพวกผมก็วิ่งไปสวนกับชายแกจรจัง และวิ่งต่อไปจงถึงงานเลียงเวลาประมานตี 4 ทุกคนในงานลวนกับกันเกือบหมดแล้ว ผมก็เลยเราเรื่องทั้งหมดให้ ตาจอม ฟัง ตายเขาบอก"สมัยก็บ้านหลังนั้นเป็นบ้านชาวสวนสองผัวเมียชราคู่หนึ่งอยู่อย่างมีความสุด แต่อยู่มาวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านและฆ่าหญิงชราทิ้งด้วยการเผาทั้งเป็น และสามีของหญิงชรากับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิเดียว และสุดท้ายเขาก็ตามหาคนที่จะไปตายแท้หญิงชรา เพื่อให้ได้ไปผุกไปเกิด" เรื่องนี้เป็นเรื่องผมไม่อยากจะเล่าเลยที่เพือนอยากให้เขียน ติดตามตอนต่อไปได้เลย เรื่อง คำสาปแห่งความรัก ลาก่อนนะครับของให้ไม่เจอผีหลอกเหมือนผม      

ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=453659

29
ประสบการณ์วิญญาณ / ผีในคุก
« เมื่อ: 21 ธ.ค. 2554, 09:14:12 »
ผีในคุก


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งที่อดีตเคยเป็นเรือนกักขังนัก โทษเก่ามาก่อน จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นดินแดนที่ใช้ประหารนักโทษมากมายหลายศพจนนับไม่ถ้วน!! นักเรียนชมรมสังคมต้องอยู่ศึกษาประวัติที่โรงเรียนจนดึก กว่าอาจารย์จะปล่อยกลับก็ล่วงเลยเวลามาเกือบสี่ทุ่ม ห้องสังคมนั้นตั้งอยู่ที่ตึก 5 ชั้น 3 บริเวณมุมด้านหลังสุด ดังนั้น เมื่อจะกลับก็ต้องเดินจากด้านหลังมาลงบันไดด้านหน้า ขณะที่ตามรายทางก็มีไฟเพียงไม่กี่ดวง

ระหว่างที่เหล่านักเรียนสังคมต่างรีบเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่า “ลิง” ดันลืมโทรศัพท์มือถือไว้จึงต้องเดินกลับไปเอา พร้อมบอกให้ “นัด” เพื่อนสนิทรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน จะรีบไปรีบกลับ ขณะที่ครู และเพื่อนคนอื่นๆ ต่างรีบกลับจึงขอตัวไปก่อน ขณะที่ “นัด” รอเพื่อนอยู่เพียงลำพังนั้น ก็เกิดได้ยินเสียงเพลงคล้ายๆ รำสวด แล้วก็เสียงคนตะโกนโวยวาย “อย่าๆๆๆ ผมไม่ไป ปล่อยผม !!!! อย่าทำผมเลย” วินาทีนั้น “นัด” เริ่มแปลกๆ ที่ดึกแล้วจะมีใครมาตะโกนร้องแบบนี้ได้

เวลาผ่านไปสักพัก เสียงทุกอย่างเงียบไปจนน่าวังเวง “นัด” เริ่มรู้สึกกลัว พยายามมองซ้ายมองขวา แต่เพื่อนที่ไปเอาของก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้เริ่มมีเสียงคล้ายๆ คนลากอะไรซักอย่างคล้ายโซ่แว่วมา มันเริ่มดังขึ้นๆ ๆ แล้วก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ๆ จังหวะนั้น “นัด” ทนไม่ไหวจึงคิดที่จะวิ่งหนีออกไป แต่พรึ่บบบ มีมือหนึ่งมาจับที่แขนของเธอไว้ แต่พอหันไปก็พบว่าคนที่มาจับมือคือ “ลิง” เพื่อนสนิทของเธอเอง.. “นัด” รีบถาม “ลิง” ว่าได้ยินเสียงคนลากอะไรหรือเปล่า ? ซึ่ง “ลิง” ก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “ได้ยิน เสียงคล้ายโซ่ใช่ไหม” เท่านั้นแหละทั้งสองคนต่างจับมือวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิต

ระหว่างที่วิ่งลงตึกอยู่ดีๆ “นัด” สะบัดมือ “ลิง” ออกอย่างกระทันหัน!! แล้วเดินกลับไปทางเดิมราวกับเหมือนโดนสะกด “ลิง” รู้แล้วว่าเพื่อนต้องโดนอะไรบางอย่างแน่ๆ จึงวิ่งไปหาพร้อมเขย่าตัว และตบหน้าเรียกสติเพื่อนอย่างนัด” กับ “ลิง” ไม่รีรออะไรแล้ว ทั้งคู่รู้แก่ใจแล้วว่าเป็นสิ่งลี้ลับแน่นอน จึงรีบวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิตจนกระทั่งไปชนกับใครคนหนึ่ง โครมมม !! พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าคนที่ชนนั้นคือ “คงพ่อของลิง” คนเก่าแก่ของโรงเรียน ทั้งสองจึงเล่าเรื่องที่เจอให้ลุงคงฟังทันที

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากนักเรียนทั้งสอง ลุงคงถึงกับตกใจ พร้อมเตือนว่า “ทำไมถึงไม่รีบลงมาพร้อมกันเยอะๆ ที่นี่เฮี้ยนมาก ลุงยังไม่กล้าขึ้นไปเลย หลายปีก่อนเคยมีเด็กหายไปไม่มีแม้กระทั่งศพ” สองสาวได้ฟังถึงกับสั่นผวา ด้าน “นัด” ก็เล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่สะบัดมือ “ลิง” เพราะระหว่างวิ่งได้หันกลับไป เห็น “ลิง” ยืนอยู่ จึงสะบัดมือออกเพราะคิดว่าเป็นมือผี แต่พอเดินไปหา “ลิง” ร่างของลิงก็กลับเปลี่ยนเป็นผู้ชายเหมือนนักโทษมีโซตรวนคล้องขาอยู่ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีถูกตบหน้า

นับแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครได้พบเห็นสองสาวนักเรียนสังคมนั้นอีกเลย เพราะอาจจะลาออกไปเรียนที่อื่น แต่เรื่องนี้ก็ยังคงถูกบอกเล่าจากปากต่อปากสู่รุ่นน้องที่เข้ามาเรียนโรงเรียนแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ..

ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=460486

30
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (1)




คราวนี้ก็จะได้นำเรื่องตายแล้วไปไหนมาเล่าอีกตามเคย เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องของพระที่ป่วยแล้วตาย เมื่อตายแล้วได้มีโอกาสพบเห็นทางที่มีความสุขและความทุกข์ ที่เรียกว่านรก สวรรค์ และนิพพาน ท่านเจ้าของเรื่องท่านรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ


ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า สวรรค์ นรก นั้นเป็นเรื่องที่น่าจะมีได้ แต่คำว่า นิพพานนี้ ตามที่เข้าใจกันตามตำราว่ามีสภาพสูญ คือสลายตัว ไม่มีอะไรเหลือ ความคิดเห็นนี้เป็นความเข้าใจของนักศึกษาทางศาสนามานานแล้ว แต่เมื่อมาพบเรื่องมีผู้ไปนิพพานเข้า ท่านอาจจะสงสัยว่าเรื่องกุขึ้น หรือเป็นอารมณ์ฝัน ตามที่ทางวัดเรียกว่าอุปาทาน คือยึดถือเกินไป เรื่องนี้จะมีอะไรเป็นเหตุผล ควรเชื่อหรือไม่เพียงใด ก็ขอยกให้เป็นภาระของท่านผู้อ่าน สำหรับผู้เล่าเรื่องนี้ขอเล่าตามที่ได้รับฟังมา


เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ รับฟังมาจาก พระธนะศิริ กันตะศิริ พระวัดราชประดิษฐ์ จังหวัดพระนคร เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ เรื่องราวของท่านมีดังนี้

เมื่อปี ๒๔๘๘ ท่านมีอายุ ๑๙ ปี ท่านตายไปครั้งหนึ่ง และ พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านตายอีกครั้งหนึ่ง รวมการตายของท่านที่ตายแล้วฟื้นในชีวิตของท่านสองครั้งด้วยกัน เมื่อสมัยท่านอายุ ๑๙ ปี ท่านได้ติดตามญาติของท่านคนหนึ่งไปอยู่ทางภาคอีสานของประเทศไทย ท่านไม่ได้บอกไว้ว่าจังหวัดไหน เมื่อท่านเล่าให้ฟังก็มัวสนใจเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง ไม่ได้ถามว่าจังหวัดไหนแน่ เอากันว่าท่านอยู่ภาคอีสานชั่วคราวก็แล้วกัน

วันหนึ่งท่านมีอาการปวดฟัน เนื่องจากโรคฟันหรือเหงือกเป็นฝี ที่เรียกว่าโรครำมะนาด ท่านมีอาการปวดมากจนเหลือที่จะทน ท่านจึงไปหาหมอรักษาและทำฟันที่ตั้งร้านรับรักษาและทำฟันในตลาดใกล้ ๆ บ้าน เพื่อให้หมอถอนฟันซี่นั้นออก เมื่อหมอถอนฟันแล้วท่านก็กลับบ้าน หมอที่ถอนฟันเป็นหมอจีน พวกหมอจีนนี้รู้สึกว่ามีวิชารอบรู้มาก มาถึงเมืองไทยแล้วเป็นทุกอย่าง เป็นช่างตัดผมก็ได้ ช่างทองก็เป็น ช่างปรุงอาหารให้คนไทย ทั้ง ๆ ที่อาหารที่คนไทยชอบแกก็ไม่ชอบกิน แต่แกก็สามารถทำให้คนไทยกินพากันติดอกติดใจในฝีมือปรุงอาหารของแก เป็นหมอปลูกฟัน หมอถอนฟัน หมอเสริมทรงเสริมสวย

เรื่องความสามารถของชาวจีนนี้เราทราบกันดี ไม่ว่าที่ไหนที่คนไทยด้วยกันเข้าไม่ถึง พี่แกเข้าถึงทุกด้าน ปริญญาที่ชาวจีนเรียนมานี้ คือปริญญาสามารถโดยไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะขอเรียนต่อจากแกบ้าง จะเป็นประโยชน์มาก

เอาแล้ว ว่าจะเล่าเรื่องของท่านศิริ แอบมายุ่งเรื่องเจ๊กให้อีก ขออภัยท่านผู้อ่านด้วย มาว่ากันเรื่องของท่านศิริต่อไป เมื่อท่านมาถึงบ้านแล้ว ก็เข้ามาพักตามปกติ (ท่านว่าอย่างนั้น) ครั้นเมื่อถามว่า อาการปวดหายสนิทดีแล้วหรือ ท่านบอกว่าปวดบ้างแต่ไม่มาก รู้สึกปวดเล็กน้อย มันปวดตุบ ๆ นิดหน่อย มีอาการคล้ายจะง่วงนอน ก็เลยเอนกายลงนอน ปรากฎเหมือนมีอะไรวิ่งซู่ซ่าตามมือและเท้า จะว่าลมพัดก็ไม่ชัด ว่าพิษความปวดก็ไม่เชิง มีอาการคล้ายมีตัวอะไรสักอย่างหนึ่ง วิ่งจากปลายเท้าและปลายมือ เข้ามารวมจุดกันที่หัวใจ ก็มีอาการคล้ายเคลิ้มหลับ แต่ไม่ใช่หลับสนิท มีอาการเหมือนฝัน

ตามความรู้สึกในขณะนั้น รู้สึกว่าตนเองนอนอยู่ในสภาพเดิมที่นอนอยู่ แต่ทว่าถูกปลุกให้รู้สึกตัวขึ้นด้วยน้ำมือของชายสองคน ชายสองคนนี้มีรูปร่างใหญ่โต ผิวดำล่ำสัน คนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านศีรษะ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านปลายเท้า คนที่ยืนทางด้านศีรษะถือคบเพลิงทองเหลืองจุดแสงสว่างมาก ทั้งสองคนนั้นประมาณอายุก็เห็นจะราว ๆ ๓๐ ปี ทั้งคู่ เขาทั้งสองออกปากชวนว่า

 
“ไปกันเถอะ” ท่านถามว่า “จะไปไหน” เขาก็ชวนว่า “ไปเถอะน่า ไปด้วยกัน”


เมื่อเขาชวน ความจริงตามความรู้สึกแล้วก็ไม่อยากไปกับเขา แต่ดูเหมือนมีอำนาจอะไรในตัวเขาทำให้ท่านต้องลุกจากที่นอน แล้วก็เดินตามเขาไปอย่างคนว่าง่าย เมื่อท่านเดินตามเขาออกจากบ้าน คนที่ยืนทางด้านศีรษะเป็นคนถือคบเพลิงนั้น บอกกับเพื่อนเขาว่า

“นี่ไอ้เกลอ เอ็งนำไปคนเดียวก็แล้วกันนะ มันคนเดียวและยังเป็นเด็กคงไม่หนีหรอก ส่วนข้าจะไปธุระที่อื่นสักครู่”

เพื่อนเขารับคำแล้วเขาก็แยกทางไป ไม่ทราบว่าเขาไปไหน ท่านเล่าว่า เมื่อขณะที่ถูกคุมตัวมานั้น คนคุมเขาไม่ได้ดุด่าว่าหรือฉุดกระชากลากตัวแต่อย่างใด เขาให้เดินตามเขาไปตามปกติ พอถึงทางสามแพร่ง ตอนนี้ท่านชักไม่ไว้ใจตัวเอง เกรงว่าจะกลับบ้านไม่ถูก เมื่อเข้าถึงทางแยก ท่านพยายามสังเกตุทางที่เดินไว้ทุกระยะ ทั้งนี้เพื่อว่าเมื่อเวลากลับจะได้ไม่หลงทาง พยายามเหลียวซ้ายแลขวาไว้เสมอ


ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

31
ผีสาง ขมังเวทย์ ทำสวย รวยทางลัด ความเชื่อที่สังคมต้องทบทวน


ห้ามขึ้นบ้านใหม่ในวันเสาร์ ห้ามเผาผีในวันศุกร์ ห้ามแต่งงานในวันพุธ ห้ามโกนจุกในวันอังคาร หรือที่ท่องบ่นกันจนติดปากว่า ?วันพุธห้ามตัดพฤหัสห้ามถอน?(ตัดผม ตัดเล็บ ตัดต้นไม้ ถอนเสาเรือน หรือทำการโยกย้ายสิ่งของใดๆที่สำคัญ ) ที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อของคนรุ่น ปู่ ย่า ตา ยายแต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าความเชื่อเช่นนี้จะยังอยู่คู่สังคมไทย ขนานกับ ความเชื่อใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกยุคไซเบอร์ดิจิตอลไร้พรมแดนสมัยนี้

เป็นที่รับรู้กันดีว่าเรื่องความเชื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ในครั้งที่คนเรายังไม่มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยผู้คนในยุคสมัยนั้นต่างมีความเชื่อที่ผูกติดอยู่กับธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสำคัญ บ้างก็เชื่อว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์คือผู้ให้ชีวิตที่ดีแก่ชาวโลก

และเพื่อให้การดำเนินชีวิตปลอดภัยจากภยันตรายทางธรรมชาติทั้งปวง รวมถึงการระลึกถึงบุญคุณที่ธรรมชาติบันดลบันดาลสิ่งดีๆให้กับชีวิตผู้คนในโลก ความเชื่อโดยผ่านพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจึงเกิดขึ้นโดยกระบวนการคิดของคนในสมัยนั้นๆ

ไม่ว่าจะเป็นการบูชาพระอาทิตย์ พระจันทร์ แม่น้ำ แผ่นดิน หรือแม้แต่ลม จนสมัยต่อมาผู้คนจึงได้มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นหลักในการดำเนินชีวิต สอนให้คนทำในสิ่งที่ดีงามจึงจะได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ

ปัจจุบันถึงแม้ว่าโลกจะแปรเปลี่ยนไปจากอดีตชนิดไม่เห็นหลังก็ตาม ด้วยกาลเวลาที่ได้ปรับเปลี่ยนพัฒนาผู้คนจากสังคมเกษตรแบบพึ่งพาตนเองและช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็กลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมจึงทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเริ่มมีการแข่งขันและเอารัดเอาเปรียบกันและกัน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการและอยู่เหนือผู้อื่น ความเชื่อเดิมๆจึงถูกปรับเปลี่ยนไปตามกระแสด้วยเช่นกัน จากที่เชื่อในวิถีแบบธรรมชาติที่สงบก็เปลี่ยนเป็นความเชื่อในวัตถุ แข่งขันกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และนับถือ?เงินคือพระเจ้า?

หลังจากนั้นการดำเนินชีวิตของผู้คนบนโลกใบนี้ก็ใช่ว่าจะหยุดนิ่งเพียงเท่านั้น แต่กลับพัฒนาไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น มีการประดิษฐ์คิดค้นให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ต่างๆที่จะสนับสนุนให้ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกและสบายกว่าที่เคยเป็นในโลกของข้อมูลข่าวสารไซเบอร์ดิจิตอลที่ไร้พรมแดน

ความเชื่อเรื่อง ผีสางนางไม้ เป็นหนึ่งในความเชื่อที่มีมานานแล้วในสังคมโลกถึงแม้ว่าโลกจะพัฒนาไปมากน้อยเพียงไรแต่ความเชื่อเรื่องผีก็ยังเป็นความเชื่อที่อมตะ นิรันดร์ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ในแต่ละรุ่นแต่ละสมัยจะยังคงกล่าวขานและเชื่อว่าผีมีจริง ผีหรอกคนได้ จนมักจะมีความเห็นและคำพูดที่ติดปากกันเสมอๆว่า ?ผีหลอก ผีดุ ผีสิง ผีเข้า?

ผีเป็นวิญญาณหลังความตายแล้ว ซึ่งมีทั้งผีดี และผีร้าย โดยในส่วนผีดีนั้นจะหมายถึงผีบ้านผีเรือนที่คอยปกปักษ์รักษาผู้คนในครอบครัวและชุมชนให้อยู่ดีมีสุข ส่วนผีร้ายก็มักจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงผีที่เป็นวิญญาณเร่ร่อนพเนจรไปตามที่ต่าง ๆ ตายแล้วไม่ได้ไปผุดเกิด ซึ่งอาจทำร้ายผู้คนให้เกิดความเจ็บป่วยได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไปล่วงเกินโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ได้

แต่ในสถานการณ์โลกปัจจุบันนอกจากผีดีและผีร้ายที่กล่าวมายังมี ?ผีพนัน?เกิดขึ้นในสมัยนี้ด้วย ซึ่งผีประเภทนี้จะเข้า สิงร่างของคนที่อ่อนแอไม่มีภูมิคุ้มกันและขาดรากฐานในการดำเนินชีวิต โดยท้ายที่สุดก็จะทำลายคนๆนั้นให้ได้รับซึ่งความทุกข์ที่แสนสาหัสจนถึงขั้นหายนะกับชีวิตกลายเป็นอาชญากรที่ต้องไปใช้ชีวิตในคุกตารางก็มีให้พบเห็นกันบ่อยๆ

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=1578.0

32
อานิสงส์ถวายสังฆทานและ วิหารทาน


ผู้ถาม   
ถ้าเราตั้ง จิตจะถวายสังฆทาน แต่ว่าไม่ได้บอกเล่าคะ ?

หลวงพ่อ
   ถ้า ตั้งจิตแต่ไม่ได้บอกก็ไม่ได้ยิน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าพระนั่งฉันอยู่ตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปหนูเอาของไปถวายเอาน้ำไปถวายถ้วยเดียว ก็เป็นสังฆทานทันที ไม่ต้องบอก ถ้ามีพระตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปนะ ถ้าองค์เดียวต้องบอก แล้วเขาจะเก็บไว้เป็นสังฆทานเลย จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างอื่นคนรับก็ไปนรกซิ ผู้ให้ไปสวรรค์เพราะว่าถวายทานเป็นส่วนบุคคลกับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันหลายแสนเท่า แล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไร การถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก ความจริงถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริง ๆ ละก็ รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้านที่วัดตั้งเยอะแยะ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีกังวลการบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมากอานิสงส์มันก็น้อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศล มันห่วงงานอื่นมากกว่า ไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายสังฆทาน คำว่าสังฆทานก็หมายความว่า ถวายสงฆ์ในหมู่ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัยท่านเรียกกันว่าคณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้นเป็นคณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียวเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ทานโดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก

ผู้ถาม
   การที่เราทำบุญใส่บาตร ตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัด แล้วไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ…..?

หลวงพ่อ
   ถ้า ฉันตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ องค์ ถึง ๓ องค์ อย่างนี้เป็น”ปาฏิปุคคลิกทาน

ผู้ถาม
   มี อานิสงส์มากไหมคะ……?

หลวงพ่อ
   “มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าวัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับ คนไม่มีศีล จนถึง พระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่า
ให้ทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับ พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
และถ้า ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับ ถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
คือสร้างวิหาร มีการ ก่อสร้างเช่นสร้างส้วม ศาลา การเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และก็ถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความ ยากจน เข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้ว จะไม่เกิดในที่นั้นผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่า แม้ แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน
คำว่าไม่เห็นที่สุดของ การถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด คำว่าอานิสงส์ ยังไม่หมดก็เพราะว่าถ้าบุคคลใดบูชาบุคคลผู้ควรบูชา นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน
ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หมายความว่าถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการ อย่างนี้เราถวายกี่หมื่นกี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่าถวาย แก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้า ก็เข้าถึงผล สมาบัติ เป็นต้นอย่างนี้มีผลมาก”

ที่มา
http://www.dhammatan.net/2010/06/ การทำสังฆทาน/

33

ภาพล่างซ้าย

พระอาจารย์ฯท่านให้มาครับ :054:

Ravee Sajja> นะมามีมา มะหาลาภา นะมามีมา มีมามาก มาก อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหินะชาลีติ มานิมามา โชคลาภจงมาหาข้าพเจ้า



34
ห้องประสบการณ์การฝึกจิต
แนะนำ
ขั้นตอนการฝึกจิตเบื้องต้น


เวลานี้ แม้กระทั้งหมอก็กล่าวว่า โรคภัยทั้งหมดเป็นผลมาจากอารมณ์หรือความรู้สึกที่ถูกรบกวน
และเกิดการตึงเครียดในจิตใจ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นการดีถ้าทุกคนอยู่ในความสงบ
และฝึกฝนจิตใจพร้อมกัน
Raja Yogi B.K. Jagdish Chander

ประโยชน์และความหมายของการฝึกจิต
ทุกคนควรมีการฝึกฝนจิตใจเป็นกิจวัตรซึ่งเป็นยาแก้ความเครียดที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นวิธีการผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย
การฝึกจิตทำให้ท่านสร้างทัศนคติและตอบสนองชีวิตแบบใหม่ ท่านสามารถเข้าใจจิตใจของตนเองได้อย่างกระจ่าง
การฝึกจิตคือขบวนการฟื้นฟูชีวิต สร้างความพอใจ และใช้พรสวรรค์หรือความชำนาญพิเศษของตนเอง ในทางที่ดี
การฝึกจิต ต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อได้รับสิ่งที่ดีงาม และมีผลลัพธ์ที่พอใจ
โดยการฝึกจิตวันละนิดทุก ๆ วัน ไม่นานจะกลายเป็นธรรมชาติ และนิสัยได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นผลมาจากการสร้างความเพียรพยายามที่เข้มข้น

ขั้นตอนการฝึกจิตพื้นฐาน:

หาเวลาว่างสำหรับตนเองทุก ๆ เช้าและเย็น 10 หรือ 20 นาที
หาสถานที่ ที่สงบเพื่อให้มีการผ่อนคลาย ใช้แสงไฟหรี ๆ และใช้เสียงเพลงเบา ๆ ช่วยสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม
นั่งตัวตรงในท่าที่สบายๆบนพื้นหรือบนเก้าอี้
ไม่หลับตา และไม่เปิดตาเกินไป มองไปยังจุดใดจุดหนึ่งข้างหน้า
หันความสนใจของท่านจากการเห็นและการได้ยินเพื่อเข้าไปสู่ภายในตนเองอย่างช้า ๆ
เฝ้าสังเกตการณ์ความคิดของท่านเอง
ไม่ควรพยายามที่จะหยุดคิด เพียงแต่เป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่วิจารณ์หรือขจัดความคิดออกไป เพียงแต่เฝ้าดู
ค่อย ๆ ทำให้ความคิดช้าลง และแล้วท่านจะเริ่มรู้สึกสงบมากขึ้น
สร้างความคิดเกี่ยวกับตนเอง ให้มีเพียงความคิดเดียว เช่น ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบ
นำความคิดนั้นไปสู่ฉากของจิตใจ จินตนาการว่าตนเองเต็มไปด้วยความสงบ เงียบ และนิ่ง
อยู่ในความคิดนั้นให้นานเท่าที่ทำได้ อย่าได้ต่อสู้กับความคิดอื่น หรือความทรงจำที่อาจเข้ามารบกวน เพียงแต่เฝ้าดูมันผ่านไป และกลับมาสร้างความคิดของท่านอีกครั้ง ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบ
ยอมรับและพอใจในความคิดและความรู้สึกที่เป็นบวก ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากเพียงหนึ่งความคิด
มั่นคงอยู่ในความรู้สึกเหล่านี้ซักครู่ จงระวังความคิดที่ไม่เกี่ยวข้อง
สิ้นสุดการฝึกจิตของท่านโดยปิดตาของท่านซักครู่หนึ่ง และสร้างความสงบในจิตใจของท่านอย่างสมบูรณ์

ที่มา
http://www.iamspiritual.com/chai/meditation.html

35
วิธีฝึกจิตให้มีพลัง  (1/5)
พระธรรมเจติยาจารย์
(พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร)
วัดธรรมมงคล
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 16491 โดย: จอม 07 ก.ย. 48

ต่อไปนี้ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจที่จะทำความสงบกันต่อไป ในเบื้องต้นนี้อาตมาจะเป็นผู้นำ ทุกๆ คนให้ว่าตาม

ข้าพเจ้า ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาล ให้ใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ พุทโธ ธัมโม สังโฆ (3ครั้ง) พุทโธ พุทโธ พุทโธ

นี่ก็ให้นึกไว้ในใจ นั่งขัดสมาส ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาหงายทับมือซ้าย วางไว้บนตัก หลับตา นึก พุทโธในใจ กำหนดใจของเราไว้ที่ใจ การทำสมาธิ ต้องการความเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งเป็นต้นเหตุของการที่จะให้เกิดพลังจิต พลังจิตนั้นก็คือ กระแสธรรม ทำอย่างไรพลังจิตของเราจะเกิดขึ้นได้

การทำจิตให้เป็นหนึ่ง คือการที่จะทำจิตนี้ให้เกิดพลังจิต พลังจิตนี้ ที่จะเป็นกำลังที่จะทำวิปัสสนาต่อไปในกาลข้างหน้า แต่การที่จะเป็นหนึ่งได้นั้น ต้องอาศัยคำบริกรรม คำบริกรรมนั้น อย่างที่เราบริกรรมว่าพุทโธๆ เป็นคำบริกรรม ผู้ที่นึกพุทโธได้แล้ว ถือว่าจิตนั้น เริ่มที่จะเข้าเป็นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นหนึ่งได้แล้ว พุทโธก็ไม่ต้องนึก

เมื่อเราไม่นึกพุทโธ แต่ว่าจิตของเราเป็นหนึ่งได้ ก็ถือว่าจิตของเราได้เลื่อนไปอีกขั้นนึง การที่เรากระทำสมาธินั้น เราจะต้องรู้ว่าเมื่อเวลาทำจิตของเราได้ผลอย่างไร เราจะต้องทำอย่างนั้นไปเสมอๆ เพราะว่าต่างคนก็ต่างมีนิสสัยวาสนาบารมีต่างกัน

เมื่อใครจะกำหนดจิตอย่างไรที่เป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตนนั้น เราก็จะต้องกำหนดจิตอย่างนั้น และเมื่อกำหนดจิตอย่างนั้นอยู่ตลอดไป ความชำนาญเกิดขึ้น ความชำนาญนั้น ในภาษาบาลีท่านกล่าวว่า วสี

วสี แปลว่าความชำนาญ ความชำนาญนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการบำเพ็ญจิต เหมือนกันกับผู้ที่เขียนหนังสือเกิดความชำนาญ เค้าย่อมจะต้องเขียนได้อย่างสบาย แม้จะหลับตาเขียนก็ได้ เพราะความชำนาญ และเขาก็ได้ประโยชน์จากการเขียนนั้น อย่างรวดเร็ว

ผู้ที่บำเพ็ญจิตก็เช่นเดียวกัน ต้องแสวงหาความชำนาญให้เกิดขึ้น หรือเรียกว่าแสวงหาวสี การที่เราตั้งจิตนั้น เมื่อเราตั้งได้อย่างนี้ เราทำอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าถูกต้อง เพราะความถูกนั้น อยู่ที่จิตเราตั้งได้ เมื่อจิตตั้งได้ ความตั้งของจิตนั้น ถือว่า สติ

สตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนจะต้องมี ถ้าสตินั้นขาดเมื่อไร การตั้งก็ตั้งไม่อยู่ เหมือนกันกับสิ่งที่เราจะตั้งขึ้นมาเป็นเสา หรือจะตั้งขึ้นมาเป็นสิ่งของ เป็นโต๊ะ เป็นเตียง ถ้าหากว่าขามันหัก หรือว่าขาไม่ดี เตียงก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ก็ต้องล้มกันลงไป ขาของเตียงก็ดี ขาของเก้าอี้ หรือเสาก็ดี ล้วนแล้วแต่เราสมมุติกันขึ้น แต่ถ้าหากว่าจะเปรียบเทียบ ก็เปรียบได้ด้วยสติ

สตินั้น คือความระลึก หรือเรียกว่าความตั้งอยู่ ความไม่วอกแวก จิตมันวอกแวกไปไม่ได้ในเมื่อมันมีสติ แต่พอขาดสติมันก็วอกแวกออกไป อย่างนี้เป็นลักษณะธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เราจะทำสิ่งที่เรียกว่าสมาธิให้เข้มแข็ง หรือเป็นกำลังต่อไปนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องเสริม คือเสริมสตินี้ ให้มีกำลังยิ่งๆ ขึ้นไป

วิธีการที่จะเสริมสติ พระพุทธเจ้าแนะนำไว้ 4 ประการ คือ สติปัฏฐาน 4 มีกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นต้น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หนึ่ง เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สอง จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน สาม ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สี่

สี่ประการนี้เป็นหลัก หรือเรียกว่าเป็นหน่วยของการส่งเสริมสติของเรานี้ให้มั่นคง ในจำนวนสติปัฏฐาน 4 นั้น พระพุทธเจ้ายกกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งก็คือกาย จึงเป็นสิ่งที่เราเห็นกันอยู่ ทุกวันๆ และเป็นสิ่งเราได้สัมผัสอยู่ ทุกวันๆ เราจึงรู้และเข้าใจง่ายในการที่จะเอากายนี้มาเป็นการส่งเสริม หรือเรียกว่าเสริมสติของเราให้แก่กล้ายิ่งขึ้น วิธีการที่ท่านให้เอากายนี้เป็นการเสริมสตินั้น ท่านทำอย่างไร

ในบาลีท่านแสดงไว้ว่าให้เราพากันมีสติมองดูกายในอดีต อนาคต และปัจจุบัน กายในอดีตเป็นอย่างไร กายในอนาคตเป็นอย่างไร กายในปัจจุบันเป็นอย่างไร เรากำหนดจิตไว้ที่นั่น จะเป็นระยะหนึ่ง หรือว่านาน หรือไม่นาน ก็สุดแล้วแต่ แต่ถ้าหากว่าเรากำหนดลงไปได้ จะเป็นการเสริมสติขึ้นมาทันที

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-03.htm

36
คาถาข้างพระที่ : คาถาของพระมหากษัตริย์


คาถาข้างพระที่หรือคาถาเจริญธาตุ เป็นคาถาของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยโบราณ ทรงเจริญพระคาถาเพื่อให้เจริญพระชนมายุ ป้องกันโภยภยันตรายต่างๆ ผู้ใดเจริญพระคาถานี้จะทำให้มีอายุยืนนาน ป้องกันสารพัดโรคาพยาธิครับ ตัวพระคาถามีดังนี้

พุทธัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิฯ


เขียนโดย ทศพรรษ พชร
ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ไสยศาสตร์

37

เรื่องผีในวังหลวง (สระพระองค์อรไทย)

สระนี้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่บริเวณแถวนอก หลังเต๊งแดงตรงกับประตูกัญญาวดี อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ในพระบรมมหาราชวัง เป็นสระน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้าง 10.00 เมตร ยาว 15.00 เมตร ลึก 4.00 เมตร ภายในสระก่ออิฐฉาบปูนโดยรอบ ที่ขอบสระทำเป็นทางเดินปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์ มีบันได้ก่ออิฐฉาบปูนลงไป สามารถตักน้ำได้ 2 ทาง มีรั้วไม้ฉลุลายตามแนวทางเดินโดยรอบ มีประตูเข้า-ออก 2 ทาง สระนี้มีหลังคาคลุมเป็นโครงหลังคามุงด้วยสังกะสี ที่ขอบชายประดับด้วยไม้แผ่นฉลุลายโดยรอบทางเข้า ด้านทิศตะวันออก มีแท่นปูนจารึกคำอุทิศดังนี้



" ศุภมัสดุรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ สุริยคติกาลที่ ๙ เดือนมีนาคม จันทรคตินิยม วันศุกร์ เดือนสี่ขึ้นสิบห้าค่ำ ปีมเสงสัปตศก จุลศักราช ๑๒๖๗ พระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา ทรงพระดำริห์ว่า จะใคร่บำเพ็ญอุทกทานให้เป็นสาธารณประโยชน์ทั่วไปในบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังอันตั้งอยู่ ณ ที่ห่างไกลจากฝั่งน้ำ จึงนำพระประสงค์ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาตแลพระราชานุเคราะห์ให้ได้ขุดสระดังความประสงค์ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กองโยธาในกระทรวงวัง จัดการสร้างสระนี้ กว้าง ๕ วา ยาว ๗ วา ๒ ศอก ลึก ๒ วา ได้ลงเขื่อนถือปูนสิเมนมีบันไดลาดศิลาขึ้นลง ปลูกสร้างหลังคาครอบแลรั้วกั้นแล้วสำเร็จเงิน ๘,๖๖๑ บาท ๘ อัฐ จึ่งได้อาราธนาพระสงฆ์เจริญพระปริตพุทธมนต์รับอาหารบิณฑบาตรเป็นเบื้องต้นแห่งทาน แล้วได้มีการแจกสลากต่าง ๆ มีช้างแลกระบือเป็นอาทินับจำนวนถ้วน ๕,๐๐๐ สลาก ทรงบริจาคทั่วไปในบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยหวังพระทัยให้เป็นประโยชน์แลยินดีทั่วหน้า ดังอำนาจพระเมตตาแลสาธารณทานอันได้ทรงบำเพ็ญครั้งนี้ จงเป็นอุปการวิธีกางกั้นสรรพพิบัติอันตราย ให้พระโรคเสื่อมคลายทรงพระเจริญศุขศิริสวัสดิ์สิ้นกาลนาน ทรงอุทิศพระกุศลส่วนสาธารณทานนี้แด่ท่านทั้งหลายผู้ได้อนุโมทนาจงสำเร็จความปรารถนาในทางธรรม ทั้งประจุบันแลภายน่านั้นเทอญ "


ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ไสยศาสตร์

38
สาระดีเรื่องของจำนวนธูปบูชาพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ใช้กี่ดอกดี




ความหมายของ จำนวนธูป


ธูป 1 ดอก วิญญาณธรรมดา ที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ

ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่เจ้าทาง

ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระรัตนตรัย (พระปัญญาคุณ พระกรุณาคุณ และพระเมตตาคุณ)

ธูป 5 ดอก ใช้บูชาพระฤาษี องค์เซียน เทพเจ้า ธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า บูชาเสด็จพ่อ ร. 5

ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์

ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของชาวฮินดู

ธูป 9 ดอก บูชาพระพุทธคุณ ทั้งเก้า และพระเทพารักษ์

ธูป 11 ดอก บูชาพระโพธิ์สัตว์ และสมมุติเทพ

ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา ตามความเชื่อของชาวจีน

ธูป 12 ดอก บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชาพระคุณของแม่

ธูป 16 ดอก บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น

ธูป 19 ดอก บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ

ธูป 21 ดอก บูชาพระคุณของพ่อ

ธูป 32 ดอก ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ

ธูป 108 ดอก บูชาทุกสัพสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า

หมอพิธีทั่วไปจะอิงตามตำรา และเสี่ยงทายโดยโยนหัวก้อย เป็นต้น ส่วนผู้มีญาณจะใช้วิธีไต่ถามกับเทพดาโดยตรง

**จริงๆ แล้ว ไม่ได้อยู่ที่ จำนวนธูปที่ เราจุดหรอก น่าจะอยู่ที่ จิตใจของคนที่ต้องการจะทำบุญมากกว่า ว่า เค้าคนนั้นมีจิตใจดี หรอไม่ !!!


เขียนโดย ทศพรรษ
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ธรรมะ

39
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเปรียบเทียบความสุข อันเกิดแต่กามไว้อย่างไรบ้าง ? (1/2)



“..... ดูก่อนคหบดี เปรียบเหมือนสุนัขอันความเพลียเพราะความหิวเบียดเบียนแล้ว พึงเข้าไปยืนอยู่ใกล้เขียงของนายโคฆาต นายโคฆาตหรือลูกมือของนายโคฆาตผู้ฉลาด พึงโยนร่างกระดูกที่เชือดชำแหลออกจนหมดเนื้อแล้วเปื้อนแต่เลือดไปยังสุนัข ฉันใด....

“..... ดูก่อนคหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบด้วยร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง

“..... ดูก่อนคหบดี เปรียบเหมือนแร้งก็ดี นกตะกรุมก็ดี เหยี่ยวก็ดี พาชิ้นเนื้อบินไป แร้งทั้งหลาย หรือนกตะรุมทั้งหลาย หรือเหยี่ยวทั้งหลายจะพึงโผเข้ารุมจิกแย่งชิ้นเนื้อนั้น ฉันใด....

“..... ดูก่อนคหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง

“..... ดูก่อนคหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงถือคบเพลิงหญ้าอันไฟติดทั่วแล้ว เดินทวนลมไปฉันใด.....

“..... ดูก่อนคหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยคบเพลิง มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง

“..... ดูก่อนคหบดี เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุรุษผู้รักชีวิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง ฉันใด....

ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ธรรมะ

40
คาถาอาคม / บทสวดพิจารณาอาหาร
« เมื่อ: 10 ธ.ค. 2554, 12:05:39 »
บทสวดพิจารณาอาหาร

ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาทัง ปะฏิเสวามิ เรายอมพิจารณาโดยแยบคาย แล้วฉันบิณฑบาต

เนวะ ทวายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน

นะ มะทายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลังพลังทางกาย

นะ มัณฑะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ

นะ วิภูสะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง

ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา แต่ให้เป็นเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้

ยาปะนายะ เพื่อความเป็นไปได้ของอัตภาพ

วิหิงสุปะระติยา เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย

พรัหมะจะริยานุคคะหายะ เพื่ออนุเคราะห์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์

อิติ ปุรานัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่า คือความหิว

นะวัญจะเวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ และไม่ทำทุกเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น

ยาตรา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วยความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วยจักมีแก่เรา ดังนี้

โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้

ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง
แต่ รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว และไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้น ซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทาน อาหารจะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ


ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ธรรมะ

41
สะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อ

          คนไทยเรานั้นเชื่อถือเรื่องโชคลางและบาปกรรมกันมาเป็นเวลานานมาแล้ว ส่วนหนึ่งเชื่อกันว่าเมื่อเรามีเคราะห์หรือทุกข์ร้อนต่างๆ นาๆ วิธีหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาสิ่งเลวร้ายต่างๆ ให้ทุเลาเบาบางลงไปบ้าง ก็คือการไปทำบุญ เข้าวัดเข้าวา และที่ขาดไม่ได้สำหรับคนไทยในสมัยก่อนนั้นก็คือการสะเดาะเคราะห์

          แต่การสะเดาะเคราะห์ดังกล่าวนี้ มีมากมายหลายอย่างที่เป็นสิ่งสืบทอดจนมาถึงปัจจุบัน บางครั้งเราเองก็เคยไปสะเดาะเคราะห์โดยการปล่อยสัตว์ต่างๆให้เป็นอิสระ แต่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลแก่ตัวเราอย่างไร ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการสะเดาะห์เคราะห์เพื่อผลบางอย่างเราจะต้องทำอย่างไร ลองอ่านบทความข้างล่างดู แล้วคุณจะทราบถึงเหตุผลที่คุณเองอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน


การทำบุญโดยปล่อยสัตว์ต่างๆ
          1. การปล่อยปลาไหล เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อให้การกระทำใดๆ หรืองานบางอย่างที่เรามุ่งหวัง ราบลื่น ลื่นไหลเหมือนดังชื่อของปลาไหล ไม่มีติดขัด และอุปสรรคใดๆขัดขวาง

          2.การปล่อยเต่า เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ตนหรือใครบางคนที่เราอธิษฐานถึง มีอายุมั่นขวัญยืน หรือถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ก็ขอให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นๆ

          3. การปล่อยหอยขม เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้ความทุกข์ ความขมขื่นที่เป็นอยู่ และเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้กับตัวเองจง หมดไป หรือหายไปพร้อมกับหอยขมที่เราปล่อยไป

          4. การปล่อยนก เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้ตัวเราจงพ้นจากความทุกข์ที่ผูกพันอยู่ในชีวิต พ้นจากปัญหา หรือเคราะห์ร้ายใดๆ ที่เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณของคุณให้เป็นทุกข์ ไร้อิสระ การปล่อยนกเป็นเสมือนกับการขอให้ตนได้เริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม

          5. การปล่อยปลาทั่วๆไป เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้มีความสุขร่มเย็นในชีวิต ทุกข์ใดๆที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ ขอให้หมดสิ้นไป แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ถ้าคุณทำบุญโดยการซื้อสัตว์อะไรมาปล่อยก็ตาม คุณก็จะได้ผลบุญหนุนนำให้ชีวิตรุ่งเรือง หมดเคราะห์หมดโศกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ร้อน หรือปรารถนาถึงเรื่องใดเป็นพิเศษ ก็ลองทำตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณเหล่านี้ดู เพราะอย่างน้อยที่สุดก็สร้างความสบายใจให้เกิดขึ้นแก่ตัวคุณได้

ที่มา
http://guru.sanook.com/pedia/topic/ สะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อ/

42
ดารากับธรรมมะ บางส่วนกับชีวิต สรพงศ์ ชาตรี

ไม่เพียงแต่จะเป็นดาวที่ไม่เคยอับแสง แม้จะผ่านการแสดงภาพยนตร์มาแล้วเกือบ 500 เรื่อง สำหรับ‘สรพงศ์ ชาตรี’ หรือ ‘กรีพงศ์ เทียมเศวต’ อดีตพระเอกยอดนิยมและนักแสดง ผู้ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2551 สาขาศิลปะการแสดง ประเภทนักแสดงภาพยนตร์และละครโทรทัศน์

เพราะชีวิตในวัยย่างเข้า 60 ปีของเขา ยังเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยพลัง พร้อมจะทำสิ่งที่ตั้งใจให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิญาณตนว่าจะขอทำหน้าที่นักแสดงผู้ซื่อสัตย์ต่อผู้ชมต่อไป ดังเช่นที่เขากล่าวไว้ในวันที่ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติว่า

“ผมเป็นเด็กท้องทุ่ง พ่อแม่ปู่ย่า ตายาย ไม่เคยมีใครเป็นดารา ไม่เคยได้เรียนมหาวิทยาลัยที่สอนการเป็นดารา ดังนั้นสิ่งที่ได้มาต้องอาศัยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ทำความดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่หวังผลตอบแทน”

ภายหลังว่างเว้นจากการเตรียมงานเพื่อทำบุญ 7 วัน 7 คืน ณ บ้านโนนกุ่ม ต.มิตรภาพ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา อันเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้เป็นโต้โผ สร้างอุทยานและรูปปั้นหลวงปู่โต องค์ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่นั่น

นักแสดงผู้เป็นลูกหลานชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและเวลานี้ทำหน้าที่เป็นประธาน ‘มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เมตตาบารมี’ ได้บอกเล่าถึงสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการสานต่อและทำให้สำเร็จภายใน 20 ปี เพื่อเป็น การตอบแทนพระพุทธศาสนา และเป็นสัญญลักษณ์ให้ ชาวพุทธได้กราบไหว้ คือการสร้างพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดในโลก

ชีวิตของนักแสดงผู้นี้ไม่ได้มาข้องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเอาในวัยที่สังขารของชีวิตเริ่มร่วงโรย เพราะนับแต่วัยเด็กเขามักติดตามพ่อแม่ไปทำบุญที่วัดอยู่เป็นประจำ

“จำความได้ก็ตามพ่อแม่ไปวัดแล้ว พ่อแม่ชอบไปทำบุญ ถึงวันโกนก็ต้องไปนอนวัด ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องช่วยทางวัดล้างถ้วยล้างชาม ขัดกระถางธูป ล้างคณโฑมาใส่น้ำใส่ยาอุทัย ใส่ดอกมะลิ และยกตะลุ่ม (สำรับอาหารของชาวอยุธยา)ไปถวายพระ เหลือจากพระฉันเราก็ทาน แล้วก็ช่วยล้างเก็บ”

กิจวัตรดีงามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาบอกว่าได้รับการปลูกฝังไว้ในวิถีชีวิต

“เป็นเรื่องปกติของคนอยุธยา และคนบ้านนอกทุกบ้าน ที่ถึงวันพระต้องไปทำบุญ และวันธรรมดาต้องใส่บาตร จัดเตรียมอาหารและขนมสารพัด”

ในวัย 11 ขวบ เขาได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร กระทั่งอายุ 19 ปี จึงได้สึกออกมา และได้รับการชักชวนให้เข้าสู่วงการบันเทิงและมีชื่อเสียงในที่สุด

จากชีวิตสามเณรที่ต้องรักษาศีล 10 ไม่บกพร่อง ส่งผลให้ชีวิตฆราวาสของนักแสดงผู้นี้ เป็นชีวิตที่พยายามประคองตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมเรื่อยมา

“เวลาไปถ่ายหนัง หรือถูกเชิญไปร้องเพลงที่ไหนก็ต้องแวะไปวัด เวลาพักกองถ่าย คนอื่นเขาจะกินเหล้ากันเราก็ไปวัด หรือตกเย็นถ่ายหนังเสร็จ ก็ไปคุยกับ พระ ติดนิสัยมาตั้งแต่ตอนเป็นเณร อยู่กับพระมาตั้งแต่อายุ 11-19 ปี จึงทำให้คุยกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเราไม่กินเหล้ากับเขา ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นสนุ้ก ไม่เล่นม้า ไม่เล่นหวย ชอบคุยกับพระมากกว่า ได้ถามปัญหาเกี่ยวกับธรรมะ มันได้ประโยชน์กับชีวิต”

ทีมา
http://chaiwat201149.blogspot.com/2011_03_01_archive.html

43
เอาไว้สอนวัยรุ่น คนหนุ่มสาวได้เลย


เรื่องสั้นแง่คิดดีๆ
อุบาย คลายความคิดถึง ของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

จากหนังสือ “ชวนม่วนชื่น” ของพระอาจารย์พรหม



ในปีแรกที่อาตมาบวชเป็นพระที่ภาคอีสานของไทย
อาตมากำลังนั่งอยู่ใน ตอนหลังของรถคันหนึ่งกับพระฝรั่งอีกสองรูป
หลวงพ่อชาท่าน อาจารย์ของอาตมานั่งที่เบาะหน้า

จู่ๆหลวงพ่อชาก็หันหน้ามาข้างหลัง
และจ้องดูพระหนุ่ม ชาวอเมริกันซึ่งเพิ่งบวชใหม่ๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆอาตมา
แล้วท่านก็พูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาไทย

พระฝรั่งอีกรูป หนึ่งที่นั่งอยู่ในรถที่ท่านพูดภาษาไทยได้คล่อง จึงแปลให้พระฝรั่งรูปที่หลวงพ่อพูดด้วยว่า
“หลวงพ่อบอกว่า คุณกำลังคิดถึงแฟนของคุณที่อยู่ที่แอลเอนู่น”

พระบวชใหม่ชาวอเมริกันถึงกับอ้าปากค้างด้วย ความงงงัน..........

หลวงพ่อรู้ วาระจิตของท่าน
รู้ ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แถมยังแม่นยำเสียด้วย.........

หลวงพ่อชายิ้ม แล้วพูดต่อว่า
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้จัดการได้ ให้เขียนจดหมายไปหาเธอ
ขอให้เธอส่งของส่วนตัว บางอย่างมาให้คุณ
เอา สิ่งที่ใกล้ชิดกับตัวเธอมากที่สุด
ที่คุณจะสามารถเอาออกมาชื่นชมได้ เมื่อคุณคิดถึงเธอ เพื่อจะเตือนคุณให้ระลึกถึงเธอ”

พระบวชใหม่ถามด้วยความประหลาดใจว่า
“โอ้ ! พระเจ้าเราทำได้หรือครับ”
หลวงพ่อชาตอบว่า “ทำได้”

เห็นทีพระท่านก็เข้าอกเข้าใจในเรื่องรักๆใคร่ๆ กระมัง……

สิ่งที่หลวงพ่อชากล่าวต่อไปนั้นต้องใช้เวลาอยู่หลายนาที

กว่าพระ ฝรั่งรูปที่เข้าใจภาษาไทยจะแปลออกมาได้
ล่ามของเราถึงกับต้องกลั้น หัวเราะให้อยู่และรวบรวมสมาธิเสียก่อน

“หลวงพ่อบอก ว่า…………………..”
ท่านพยายามที่จะเอ่ยคำออกมา
พลางปาดน้ำตาที่เล็ดจากการหัวเราะทิ้ง

“หลวงพ่อบอก ว่า................
คุณควรจะขอให้เธอส่งขี้ใส่ ขวดมาให้

แล้ว เมื่อไหร่ที่คุณคิดถึงเธอ
คุณก็จะได้หยิบขวดขี้ของ เธอออกมาสูดดม !

 :004:
เขียนโดย ชัยวัฒน์ ทองพริก :015:
http://chaiwat201149.blogspot.com/2011/03/blog-post_10.html

44

สาระธรรมอันอุดม

พระพุทธศาสนา กับคำสอนเรื่องเทวดา นรก และสวรรค์ ว่ากันอย่างไร



คำสอนเรื่องเทวดา

                 ในพระพุทธศาสนามีคำสอนเรื่องเทวดาไว้หลายประเภทรวมทั้งประเภทที่นับว่าสำคัญที่สุด คือที่ทุกคนอาจเป็นไปได้ในชาตินี้ โดยไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน นั้นก็คือการเป็นเทวดาได้โดยมีคุณธรรมอันเป็นคำสอนที่ต้องการให้ได้ประโยชน์และได้ผลจริง ๆ ในหมู่ผู้ฟัง เพราะการฟังเรื่องเทวดาบนสวรรค์ว่ามีสุขสมบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่ผิดอะไรกับฟังนิทาน พอเลิกแล้วก็แล้วไป ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรได้ หรืออาจปฏิบัติด้วยเชื่อว่าตายแล้วจะได้เป็นอย่างนั้นบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าจะเลื่อนลอยเกินไป ต้องทุ่มความเชื่อลงไปจนเต็มที่จึงจะปลอบใจให้สบายได้ ด้วยเหตุนี้จึงสู้คำสอนที่ให้เป็นเทวดาด้วยคุณธรรมในชาตินี้ไม่ได้ เพราะตรงไปตรงมาและมีเหตุผลในหลักคำสอนที่ให้เกิดผลดีแก่เอกชนและแก่ส่วนรวมอย่างน่าพอใจ
                  ประเภทแห่งเทพหรือเทวดาที่แสดงไว้ในพระพุทธศาสนามีดังนี้ :-
                  ๑. สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ ได้แก่ พระราชา พระราชินี พระราชกุมาร และพระราชกุมารี
                  ๒. อุปปัตติเทพ เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่ เทวดาจริง
                  ๓. วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ อย่างสูง ได้แก่ พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า

                  เทวดาทั้ง 3 ประเภทนี้ พอจะเห็นความได้ชัด คือ ในประเภทแรกสมมติเทพนั้น มนุษย์เราได้ยกย่องหัวหน้าขึ้นเทียบด้วยเทวดา
ทั้งนี้เป็นไปตามระบบราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์ การใช้ถ้อยคำแสดงคารวะก็เป็นไปโดยพิเศษ แต่เทวดาโดยสมมติอย่างนี้ ใคร ๆ จะเลือกเป็นตามชอบใจไม่ได้ เพราะจะต้องเป็นไปตามการสืบสกุลตามกฎมณเฑียรบาล ส่วนเทวดาประเภทที่ 2 ที่เรียกว่า อุปปัตติเทพนั้น ได้แก่ เทวดาจริง ๆ ซึ่งจะได้วินิจฉัยในตอนสุดท้ายที่ว่าด้วยสวรรค์นรกมีจริงหรือไม่ เทวดาประเภทนี้ กล่าวตามหลักพระพุทธศาสนาได้แก่ผู้เคยประกอบคุณงามความดีไว้ แล้วผลแห่งคุณงามความดีนั้นส่งสนองให้ได้ประสบสุขในเทวโลก ซึ่งดูเหมือนจะมีกล่าวไว้ในทุกศาสนา แต่คนสมัยใหม่ไม่ค่อยเชื่อ หาว่าเป็นเรื่องปดหรือเอาสวรรค์มาล่อให้คนทำความดี ฉะนั้นจึงควรได้รับการพิจารณาในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อมาถึงเทวดาประเภทที่ 3 แล้ว จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนาได้ใช้หลักตัดสินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการวินิจฉัยเรื่องเทวดาโดยให้หลักไว้ว่า ยังมีเทวดาอีกประเภทหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาประเภทอื่น 2 ข้อข้างต้น คือ วิสุทธิเทพหรือเทวดาโดยความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ในที่นี้หมายถึงความบริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ อันได้แก่ความประพฤติตนเป็นคนดีพร้อมนั้นเอง

                 คนที่ประพฤติตนดี มีความบริสุทธิ์ ย่อมชื่อว่าเป็นเทวดาสูงกว่าเทวดาโดยสมมติ สูงกว่าเทวดาบนสวรรค์ นี่แสดงว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้ให้เกียรติเทวดาบนสวรรค์ยิ่งกว่ามนุษย์ที่ประพฤติปฏิบัติตนให้บริสุทธิ์สะอาดทางกายวาจาใจแต่ประการไร อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกในโลกที่สอนเรื่องเทวดาบนพื้นโลกซึ่งทุกคนอาจเป็นได้ อันสูงกว่าเทวดาทุกประเภทซึ่งมีกล่าวไว้ในศาสนาต่าง ๆ ทั้งเป็นเรื่องที่มีเหตุผลอันอาจตรองตามและลงมือประพฤติปฏิบัติได้ด้วย

                  เทวดาโดยความประพฤติประเภทนี้ ที่ว่าอย่างสูง ได้แก่พระอรหันต์ผู้ละกิเลสได้ เป็นอันแสดงว่าอย่างต่ำก็มี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ประกอบด้วยหิริความละอายแก่ใจ โอตตัปปะความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต ประพฤติธรรมฝ่ายขาว คือ คุณงามความดี ชื่อว่ามีธรรมของเทวดา”

ที่มา
http://chaiwat201149.blogspot.com/2011/03/blog-post_28.html

45
พอดีได้อ่านเรื่อง...เล่าสู่กันฟัง...การอยู่ปริวาสกรรม
โดยพระอาจารย์ รวี สัจจะ...

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14047.msg127959#msg127959
ซึ่งมีการกล่าวถึง....กิจวัตร 10 ประการของพระสงฆ์
อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง จึงมาแบ่งกันกันครับ
=======================
กิจวัตร ๑๐ อย่างของพระสงฆ์ ที่ควรอ่านและปฏิบัติ

ของฝากสำหรับตัวข้าพเจ้าเองและเพื่อนพระภิกษุ
ประโยชน์ของกิจวัตร ๑๐ อย่าง

        1.   ลงอุโบสถ  ,  ได้ประโยชน์   6   อย่าง   อุ
1.       ได้ส่งเสริมพระธรรมวินัย
2.       ทำให้เกิดความสามัคคี
3.       มีความบริสุทธิ์
4.       มุตตกนิสัย
5.       คนเลื่อมใสศรัทธา
6.       พาให้เป็นแบบอย่างที่ดี

       2.   บิณฑบาต  เลี้ยงชีพ  ,  ได้ประโยชน์   6   อย่าง   บิณ
1.       ได้เจริญรอยตามยุคลบาท
2.       ได้โอกาสออกกำลังกายตอนเช้า
3.       ได้เข้าถึงความสำนึกในพระคุณแม่
4.       ได้เห็นทุกข์ในการแสวงหาอาหาร
5.       ได้เห็นความต้องการของประชาชน
6.       ได้ทำตนให้เป็นเนื้อนาบุญยิ่งขึ้น

        3.   สวดมนต์ไหว้พระ  ,  ได้ประโยชน์   6   สวด
1.       ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า
2.       เข้าใจศาสนพิธี
3.       มีจิตเป็นกุศล
4.       ทำตนให้แกล้วกล้า
5.       ชาวบ้านศรัทธา
6.       รักษาสัทธรรม

        4.   กวาดวิหารลานเจดีย์  ,  ได้ประโยชน์   6   อย่าง  กวาด
1.       ได้ออกกำลังกาย
2.       ทำให้สถานที่สะอาด
3.       ปราศจากโรคภัย
4.       จิตใจคลายเครียด
5.       เสนียดจัญไรลดลง
6.       คงไว้ซึ่งศรัทธา

        5.   รักษาผ้าครอง  ,  ได้ประโยชน์   6   อย่าง   รัก
1.       ได้ตื่นแต่เช้า
2.       เอาใจใส่ในกิจวัตร
3.       ฝึกหัดจิตใจ
4.       ทำให้สุขภาพดี
5.       มีความจำเยี่ยม
6.       เตรียมตารางชีวิต

เขียนโดย ชัยวัฒน์ ทองพริก
ที่มา
http://chaiwat201149.blogspot.com/2011/03/blog-post_5876.html

46
ธรรมวิจยะ พระอาจารย์ชา สุภัทโท : ตอนที่ 1/2
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 16:28:11 น.


http://www.matichonbook.com/index.php/newbooks/-855.html

บิณฑบาตเอาคนไม่เอาอาหาร

ระหว่างวันที่ ๕ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๐ พระอาจารย์ชา สุภัทโท เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร

เป็นการเดินทางไปพร้อมกับพระสุเมโธ และพระเขมธัมโม

เป็นการเดินทางขณะที่พระอาจารย์ชา สุภัทโท มีอายุครบ ๕๙ ปี ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๒๐

เป็นการเดินทางขณะอยู่ในพรรษาที่ ๓๘ ของการอุปสมบท

นอกเหนือจากที่ได้เขียนเอาไว้ในหัวข้อ “บันทึกเรื่องการเดินทางไต่างประเทศ” แล้ว ครั้งหนึ่งระหว่างบรรยายแก่พุทธบริษัทที่วัดหนองป่าพง ภายใต้หัวข้อที่ตั้งขึ้นในภายหลังว่า “ธรรมที่หยั่งรู้ยาก”

พระอาจารย์ชา สุภัทโท ได้เล่าเรื่องบางเรื่องของการเดินทางไปยังสหราชอาณาจักรอย่างเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา
ดังได้สดับมา ดังนี้

อาตมาออกไปเมืองนอกซึ่งเขาไม่มีพระเหมือนบ้านเรา ก็เป็นเหตุให้มองเห็นพระพุทธเจ้าเสียแล้ว
พอเราออกไปบิณฑบาต เขามองไม่เห็นพระเลย เขามองเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้

คนที่คิดจะใส่บาตรสักคนหนึ่งก็ไม่มี มีแต่เขาพากันมองว่าตัวอะไรน่ะมานั่น โอ้โฮ...นึกถึงพระพุทธองค์
อาตมากราบท่านเลย

มันแสนยาก แสนลำบาก ที่จะฝึกคน เพราะเขาไม่เคยทำ ผู้คนที่ไม่เคยทำไม่รู้จัก นี่มันลำบากมาก

พอมานี่ นึกถึงเมืองไทย เราออกจากป่าไปบิณฑบาตเท่านั้นแหละ ไม่อดแล้ว ไปที่ไหนมันก็สบายมาก แต่เมื่อเราไปเมืองนอกอย่างนั้น มองๆ ดูไม่มีใครตั้งใจมาตักบาตรพระ บาตรเขายังไม่รู้จักเลย

เราสะพายบาตรไป เขานึกว่าเป็นเครื่องดนตรีเสียอีก

ถึงอย่างนั้นอาตมาก็ยังดีใจในสิ่งที่ได้ทำมาแล้ว โดยมากพระท่านไปเมืองนอกท่านไม่บิณฑบาตหรอก อาตมามองเห็นข้อนี้นึกถึงพระพุทธเจ้า

อาตมาต้องบิณฑบาต ใครจะห้ามก็จะบิณฑบาต

ไปทำกิจอันนี้ที่กรุงลอนดอนได้ ดีใจเหลือเกิน พวกพระไปด้วยกันก็ว่าบิณฑบาตทำไม มันไม่ได้อาหาร

“อย่าเอาอาหารสิ ไปบิณฑบาตเอาคน เอาคนเสียก่อน ขนมมันมากับคน”

ก็เหมือนท่านพระสารีบุตร ท่านไปบิณฑบาต อุ้มบาตรอยู่ในบ้านตั้งหลายครั้ง เขาก็ไม่ใส่บาตรสักขันเลย
เขามองดูแล้วเขาก็เดินหนี

มาถึงวันหนึ่งเขาก็ว่า “พระสมณะนี่มาอย่างไร ไป หนีไป”

พระสารีบุตรท่านก็ดีใจแล้ว ได้บิณฑบาตแล้ววันนี้ เพราะเขาสนใจเขาจึงไล่เรา ถ้าเขาไม่สนใจเขาไม่ไล่หรอก เขาไม่พูดกับเราหรอก

อาตมานึกถึงข้อนี้แล้วก็ไม่อาย เพราะพระพุทธเจ้าของเราท่านตรัสว่า
“ให้อายแต่สิ่งที่มันเป็นบาป ไม่เป็นบาปไม่ต้องอาย”

ก็เลยออกบิณฑบาตได้สัก ๗ วัน ตำรวจก็จ้องสะกดรอยตามมาห้ามให้หยุดเดินบิณฑบาต บอกว่าผิดกฎหมายในเมืองเขา

เราไม่รู้นี่ว่ามันผิด เราก็หยุด ที่ผิดเพราะเขาหาว่าเป็นขอทานบ้านเขาห้ามขอทาน

เราก็บอกว่า อันนั้นมันเป็นเรื่องของคน แต่นี่มันเรื่องของศาสนาพระพุทธศาสนาไม่ใช่ขอทาน ขอทานประการหนึ่ง การบิณฑบาตอีกอย่างหนึ่ง

ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321955820&grpid=no&catid=&subcatid=

49
ทำกรรมกับงู : งูพยาบาท

น้อง M มาปรึกษาเราว่า เป็นอะไรก็ไม่รู้ปวดท้อง  ทีแรกก็ฟังไปเรื่อยไม่ค่อยสนใจ ไอ้เราว่า ปวดท้องแล้วมาบอกตูยะหยังวะ  เลยไล่ไปหาหมา เอ้ย!! หาหมอ  แต่ M ก็ว่าไปหาแล้ว หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร ในท้องทุกอย่างปกติดีหมด แต่ปวดมาตั้งหลายปีแล้ว เดี๋ยวก็ปวดๆ จนเข้าหมาลัยปีหนึ่งที่ปวดหนักขึ้น ปวดทีตัวงอ นอนกองพื้น ทำอะไรไม่ได้เลย  ถึงได้มาถามเราว่าตัวเองเป็น โรคเวรโรคกรรมรึเปล่า

อ่ะนะ… ถ้าถามมาอย่างนี้คืออยากให้เราดูกรรมให้ ก็เลยลองดูให้ค่ะ ซึ่งก็… เออว่ะ M จัง ไม่ได้ปวดท้องอาการธรรมดาๆ แล้วแบบนี้  เพราะจากที่เรามอง  M  มีจิตอาฆาตแปลกๆ ฟุ้งกระจายอยู่ด้านหลังด้วย เลยถามน้องเขาไปว่า

“เวลาปวดเนี่ย มันจะปวดช่วงเอว เริ่มตั้งแต่กระดูกสันหลังแผ่มาจนถึงท้องใช่ไหม” (เอามือจับเอวน้อง M ด้วย กลมอป๊อกหาส่วนขอดไม่เจอเลย 555555)

M ก็ตอบมาว่า
“ใช่ๆ พี่ ใช่อย่างนี้เลย”

“แล้วมันจะจุกขึ้นมาจนถึงหน้าอกใช่ไหม”

M ก็ตอบว่า
“ใช่ๆ พี่รู้ได้ยังไงอ่ะ?” <<< อ้าว…ไม่รู้เรอะ ตูนี่แหล่ะกูรู รู้ทุกเรื่องเป็นรองแค่กูเกิ้ล 55555

ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจดูให้ (เพราะขี้เกียจ 55555) แต่เห็นว่าจิตอาฆาตแรงฟร่ะ ก็ไม่อยากยุ่ง (ก็เค้ากลัวเข้าตัวนี่) M ก็ถามต่อมาว่า

“ไม่รู้ Mโดนของรึเปล่า”

เราก็ว่า “ของอ่ะไม่โดนหรอก  แต่ขนาดนี้มันหนักเกินมือพี่ว่ะ”
อ่า…นะ ถ้าแดงเถือกมาเต็มหลังขนาดนี้คุณพี่ก็เผ่นเอาตัวรอดก่อนล่ะค่ะ 555555 อ่ะนะ… ก็เปล่าใจจืดใจดำ (แต่ขี้เกียจให้ เข้าตัวง่ะ) เลยบอก M ไปว่า ถ้าปวดท้องก็ให้แผ่เมตตาให้เขาไป แล้วก็หาเวลาไปหาหลวงพ่อซะ  เกินมือพี่แล้ว อย่างนี้ (หลวงพ่อที่พูดถึงคือพระที่เก่งมากมายค่ะ ไล่ผีก็ได้ แก้คุณไสย์ก็ได้ ทำครีมหน้าเด้งก็ได้ สบู่สมุนไพรก็สุดยอด สร้างห้องน้ำวัดได้เองอีก เก่งสุดๆ ไปเลยค่ะ อิ อิ)

ก็บอกเจ้า M ไปตามนั้นล่ะ หลังๆ เวลาสาวเจ้าป่วยก็จะแผ่เมตตา ก็จะเบาไปได้ช่วงหนึ่ง ทว่า… แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น  เพราะเจ้า M ก็ไม่ยอมไปหาหลวงพ่อสักที  ซึ่งก็แบบ… อันนี้เราก็พอรู้อยู่อ่ะค่ะว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้อยู่กรุงเทพ แถมท่านก็ยุ่งมากๆ เลยหาตัวจับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ขนาดนัดท่านแล้วบางวันไปหาไม่เจอยังมีเลย

ซึ่งช่วงหลังๆ นี่เจ้า M ก็อาการหนักใช่ย่อย… ที่ว่าหนักนี่คือไม่ได้ปวดท้องหนักนะคะ (เรื่องปวดท้องอ่ะ เขาเป็นอยู่แล้ว) แต่ที่ว่าหนักก็คือ เวลาปวดท้องแล้วน้องเขาจะหาตัวช่วยไง  ด้วยความว่าไอ้น้องรู้ว่าคุณพี่นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็รู้ได้ว่าน้องปวดท้องยังไงแบบไหน  แล้วเวลามีใครตั้งจิตถึงเราเราก็จะรู้  ระยะหลังเวลาปวดท้องนะ แทนที่จะแผ่เมตตาตามเราบอก ไอ้เจ้า M มาดันเรียกหาเราเฉยเลย  <<<<แล้วช๊านจะไปทามอารายด๊ายยยยย >_<

ในส่วนของเรานี่…เวลามีใครตั้งจิตเรียก มันจะมีอาการปวดหัวค่ะ  บางทีจุก หอบขึ้นมาก็มี เลยจะรู้ได้ว่ามีใครกำลังตั้งจิตถึงเราอยู่ บางทีก็รู้ว่าใคร แต่บางทีก็ไม่รู้  มีอยู่วัน…เราก็ว่าเหมือนเราจะเป็นลม แล้วก็ปวดหัวมาก  ทำยังไงๆ ก็ไม่หาย  ที่ไหนได้อีกวันเจ้า M ดันมาเล่าให้ฟังเฉยเลยว่าปวดท้อง เลยเรียกหาตูทั้งคืน

M เล่นของ(ด้วยกระแสจิต 555) ขนาดนี้เราเลยคิดว่าไม่ไหวแล้ว ขืนรอ M ไปเจอหลวงพ่อ ไม่ใช่ M หรอก เรานี่แหล่ะท่าจะตายก่อน ก็เลยว่าจะจัดยาให้สักชุด ล้างพิษ ล้างลำไส้อะไรไปก่อน สุดท้ายก้ยอมแพ้ บอก M ไปว่า เอาดอกบัวมา 3 ดอก หนวดข้าวโพดกำมือหนึ่ง (พวกนี้เป็นยาสมุนไพรค่ะ) แล้วก็ธูปแหนบหนึ่ง เทียนขาวหนัก 1 บาท 3 เล่ม เงินพานครู 6 บาท (แบบว่าถ้าจะทำต้องไหว้ครู ถ้าผิดครูก็เรื่องใหญ่อยู่ <<< ลองมาแล้ว ถึงขั้นเข้า รพ.) เลย

วันต่อมา  เจ้าM เอาของมาให้ ที่ไหนได้….. แว๊กกก!! เพิ่งจะรู้ว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไม่รู้จักเทียนหนัก 1 บาท เจ้า M ดันเอาเที่ยนไขขาวมาซะงั้น (ไม่เหมือนกันเที่ยนขาวนะ) แล้วบ้านเราก็ไม่ได้มีเทียนขาวด้วยนะ หาไปหามาเจอเทียนน้ำมนต์ แง่งๆ ใช้เทียนทำน้ำมนต์ไปก่อนก็ได้

..
ที่มา
http://ghost.renrengang.com/ghost73

50
ศูนย์วิปัสสนากัมมัฏฐาน สวนพุทธธรรม วัดชายนา

 เป็นวัดมหานิกาย
       เลขที่  ๑๙๓   ถนนพัฒนาการทุ่งปรัง   ต.ในเมือง  อ.เมือง  จ.นครศรีธรรมราช
      มีอาณาเขตทิศเหนือติดกับวัดโคกธาตุ  ทิศใต้จรดซอยมงคล  ทิศตะวันออกจรดถนนพัฒนาการทุ่งปรัง     ทิศตะวันตกจรดคลองสวนหลวง    มีเนื้อที่  ๑๒ ไร่  ๕๕ ตารางวา  



       วัดชายนาเป็นวัดสมัยกรุงศรีอยุธยา   โดยพิจารณาจากถาวรวัตถุอันสำคัญคือ โบสถ์  ซึ่งมีลักษณะเป็นโบสถ์ยุคแรกทางพระพุทธศาสนาที่นิยมทำขนาดความยาวไม่เกิน ๗ ก้าว กว้างพอจุพระครบองค์สังฆกรรมตามบัญญัติในพุทธศาสนาได้เท่านั้น   มีประตูเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว  ไม่มีหน้าต่างแต่มีช่องหรือ    รูระบายอากาศที่ฝาผนัง   ผนังด้านหลังพระพุทธรูป เสาติดผนังและผนังด้านข้างมีร่องรอยภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังแต่ลบเลือนไปมาก  จากหลักฐานดังกล่าวนี้พร้อมด้วยกระเบื้องหลังคาเก่าที่ฝังจมดิน   ทรงหลังคา  ภาพเขียนสี  พระประธาน  และปราณีตศิลป์ที่ปรากฎบนบัวหัวเสาและฐานชุกชีนั้นเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยา     กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘   ตอนที่ ๑๒๗ง. วันที่  ๒๑  ธันวาคม  ๒๕๔๔ เป็นโบราณสถานวัดชายนามีพื้นที่ประมาณ ๙๐ ตารางวา

       มีหลักฐานทางราชการปี ๒๔๗๓   ซึ่งมีการจัดทำบัญชีสำรวจที่ดินวัดร้างในแผนกสรรพากรจังหวัดนครศรีธรรมราช อันดับที่ ๒๓ ว่าวัดชายนา(ร้าง) ตั้งอยู่ใน ต.นา  อ.เมืองนครศรีธรรมราช  ไม่มีผู้เช่า   ต่อมามีการแจ้งสิทธิ์ครอบครองรับเอกสาร ส.ค.๑ เลขที่ ๑๐๐ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๘
       จากการเป็นพื้นที่ว่างเปล่ามีโบสถ์เป็นจุดสำคัญและอยู่ไม่ไกลจากวัดพระมหาธาตุ  สภาพจึงเป็นดังสำนักสงฆ์มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาบ้างและบางขณะถูกปล่อยร้างสลับกันไป   หลักฐานที่ชัดเจนในการใช้อาณาบริเวณนี้เป็นที่ประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนา คือ  พ.ศ.๒๔๗๗  พุทธธรรมสมาคม สาขานครศรีธรรมราช  พยายามจัดหาสถานที่วิเวกสำหรับพระภิกษุสามเณรเพื่อปฏิบัติธรรมขั้นสูงโดยสะดวก และได้เลือกวัดชายนาซึ่งเป็นวัดร้างเปิดเป็นสถานที่วิปัสสนาธุระในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๗      โดยนิมนต์พระมหาเงื่อม (พุทธทาสภิกขุ) เป็นผู้ทำพิธีเปิด ท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาและได้ตั้งชื่อเรียกสถานที่วัดชายนานั้นว่า “สวนพุทธธรรมปันตาราม” แปลว่า สวนหรือป่าสงัดอันเป็นปัจจัยแห่ง    การบรรลุพุทธธรรม  จากนั้นสมาคมฯ ก็ได้นิมนต์พระมหาจุนท์ จากสวนโมกข์พลารามมาจำพรรษาเป็นองค์แรกสอนตามระบบ “อาณาปานสติ” อยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็จาริกไปสอนที่อื่นต่อไป

       ต่อมาพระอาจารย์ศรีนวล  จากสำนักนครพนม สอนแบบ “พุทโธ” อยู่ระยะหนึ่งแล้วจาริกไปสอนที่อื่นอีก
พระอาจารย์นุ่ม  จากสำนักภาคกลาง  สอนแบบ “อรหันต์” แล้วจาริกไปที่อื่น
พระอาจารย์สำคัญ  จากสำนักปากน้ำภาษีเจริญ จังหวัดนนทบุรี  สอนแบบ “สัมมาอรหันต์”  มีผู้สมัครเป็นศิษยานุศิษย์เป็นจำนวนมาก  แล้วก็จากไปที่อื่น
       พระอาจารย์เลื่อน  จากสำนักสงขลา  สอนแบบ “ยุบหนอพองหนอ”  อยู่ระยะหนึ่งแล้วจากไป
ดังนี้วัดชายนาจึงมีสภาพเป็นสำนักสงฆ์ที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาและบางขณะถูกปล่อยร้างสลับกันไป   จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๐๕   พระอาจารย์แป้น  ธมฺมธโร  (พระครูภาวนานุศาสก์, ๒๕๓๒)  มาจากสำนักสุพรรณบุรี   ได้เข้าบุกเบิกงานสอนการเจริญมหาสติปัฏฐานสี่อย่างจริงจัง  จนเป็นที่ยอมรับของพุทธศาสนิกชน  และได้ใช้ชื่อว่า “สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน สวนพุทธธรรม วัดชายนา” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเดิมว่า “สวนพุทธธรรมปันตาราม” และ “วัดชายนา”    

ที่มา
http://www.watchaina.com/index.php?option=com_content&task=view&id=25&Itemid=36

51
ขโมยของพระกับผู้หญิงหัวขาด

หลวงลุงที่เล่าถึงนี้ท่านคือ ‘หลวงปู่ศุข’ คับ…. ง่า…. แต่ไม่ใช่หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่านะ <<< ถ้าวัดปากคลองฯ ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อที่เรานับถืออยู่ รู้จักเหมือนกัน แต่ไม่ใช่หลวงปู่ศุขที่กำลังกล่าวถึง (เรื่องของเรื่องคือชื่อเหมือนกันไง)

หลวงปู่ศุขหรือที่เราเรียกว่าหลวงลุง  ปัจจุบันยามนี้ท่านมรณะภาพไปนานมากแล้ว  ตอนยังมีชีวิตอยู่นั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดเจริญวราราม (วัดน้อยคลองด่าน) และเรียกได้ว่าเป็นเกจิอาจารย์ที่มีวิชชา มีอภิญญาติดตัว มีญาณมองเห็นภูต ผี วิญญาณ เทพ เทวดา แถมทอล์คกิ้งเซฮัลโหลกันได้สบายๆ (สงสัยเราจะได้รับสืบทอด DNA ส่วนนี้มาอ่ะนะ) นอกจากจะมองเห็นพูดคุยกับสปีชี่ย์ต่างมิติ (ก็คุณผีนั่นแหล่ะ) ได้แล้ว ท่านยังรักษาโรคให้ป่วยได้ด้วย  เก่งแค่ไหนนั้นก็ขนาดรักษาคนเป็นมะเร็งหายได้นั่นแหล่ะ

วิธีการรักษาของหลวงลุงท่านจะใช้วิธีคุยกับเจ้ากรรมนายเวร ขอนุญาตกันก่อนว่าเขาจะยอมให้รักษาหรือไม่ จะยอมอโหสิกรรมให้คนป่วยได้ไหม ถ้ายอมเขาจะเอาอะไรบ้าง บางทีก็ต้องทำพิธีแก้กรรมกันก่อนถึงจะรักษาได้ ก็แล้วแต่ไปเคสไป<<<เก่งกว่าเรามากๆ เพราะข้าพเจ้ามีปัญญาแค่คุยกับเจ้ากรรมนายเวรเฉยๆ

ว่าแล้วก็นึกถึงได้อีกเรื่่องของหลวงลุง เป็นเรื่องก่อนที่เราจะเกิด (สมัยคุณป๋ายังหนุ่ม) คุณป๋าเล่าให้ฟังว่าไอ้คนบ้านข้างๆ มันลื่นล้มหรืออะไรยังไงเนี่ยแหล่ะ  ก็ไปนอนรพ.  หมอบอกว่าป่วยชิวๆ รักษาได้ ไม่ตายยาก  ตอนนั้นหลวงลุงยังไม่ได้บวช ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยนะ ท่านนั่งเล่นอยู่ตรงท่าน้ำ คุณป๋าไปเรียก อยู่ดีๆ หลวงลุงก็บอกว่า

“ไอ้…(ชื่อคนข้างบ้าน)… มันตายคืนนี้แหล่ะ” เสร็จแล้วก็เดินกลับบ้าน คุณป๋าอย่างงงๆ เหวอๆ เลยว่าหลวงลุงรู้ได้ยังไงหว่าว่าเจานั้นอยู่ รพ. <<< แล้วก็นั่นแหล่ะ ไปแช่งเค้า คนนั้นเลยตายเลยในคืนนั้นนั่นแหล่ะ

ทีนี้ตอนที่หลวงลุงท่านมาอยู่บ้านเรา เป็นประมาณช่วงที่เรนอยู่ ป.3 หรือ ป.5 ได้ ความทรงจำไม่ค่อยเที่ยงตรงเท่าไหร่(<<ออกแนวเที่ยงบ่ายเป็นส่วนใหญ่) แต่คิดว่าน่าจะ ป.3 มากกว่า (ถ้าจำไม่ผิดนะ) คือช่วงนั้นหลวงลุงท่านอาพาธ ต้องเข้ามารักษาตัวในกรุงเทพฯ คุณป้าท่านก็เลยรับหลวงลุงเข้ามาให้มาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แล้วก็เลยสร้างบ้านหลักเล็กๆ อีกหลังให้หลวงลุงท่านอยู่โดยเฉพาะ

บ้านหลังนั้นตอนที่สร้างจะไปติดกับต้นมะม่วงต้นใหญ่อยู่หนึ่งต้น (ที่บ้านโรงเรียนตอนนั้นมีต้นมะม่วงเยอะมาก  คุณปู่ปลูกเอาไว้เกือบครบทุกสายพันธุ์มะม่วงเลย<<ปัจจุบันโดนคุณป้าตัดออกไปเกือบหมด วันที่ตัดตรงมะม่วง<<ทั้งที่เราห้ามแล้วนะ เพราะแต่ละต้นมีคนคุ้มครองอยู่ แล้ววันที่ตัดนั่นแหล่ะ หลังคาห้องน้ำำถล่ม แถมคุณป้ายังลื่นล้ม เจ็บรอบเอวผ่ากลางลำตัวเลย<<กรรมดีแท้ ห้ามแล้วแต้ๆ เลย เฮ้อ—) ตอนสร้างบ้านตอนนั้นคุณป้าก็จะตัดต้นมะม่วงต้นนี้ออกไปทีแล้ว แต่หลวงลุงท่านไม่ยอม บอกให้สร้างเว้นๆ ไปเพราะต้นมะม่วงมีเทวดาคุ้มครองอยู่ ดังนั้นบ้านเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาก็เลยมีรูให้ต้นมะม่วงอยู่ด้วย 1 รู

ช่วงนั้นหลังจากที่หลวงลุงท่านมรณะภาพไปแล้วบ้านหลังเล็กนี้เลยเกิดอาการน้ำท่วมยามฝนตก ก็สืบเนื่องมาจากรูที่ต้นมะม่วงนี้แหล่ะ แต่น่าแปลก เพราะตอนที่หลวงลุงท่านยังมีชีวิตและพักอยู่ที่นี่กลับไม่มีฝนรั่วลงมาเลย

บ้านหลังเล็กพอสร้างเสร็จหลวงลุงท่านก็ทำพิธี ให้บ้านหลังนั้นเป็นเขตวัดเสีย พวกเรา (คือเรนและพวกญาติๆ) ก็เลยเรียกบ้านเล็กหลังนั้นว่า ‘ กุฏิ ’

หลังจากกุฏิสร้างเสร็จก็เป็นเรื่องของการย้ายศาลพระภูมิ  (จุดเริ่มของการย้่ายศาลแต่ดันลืมย้ายบริวารไปด้วยไง) ศาลพระภูมินี่ทีแรกอยู่ส่วนหน้าบ้านค่ะ แต่พอหลวงลุงท่านมาสงสัยพระภูมิท่านจะเฮฮา (พระภูมิบ้านโรงเรียนท่านเฮอาปาร์ตี้ดีมากเลย) อยากมีเพื่อนคุย ท่านก็เลยขอย้ายมาอยู่หน้ากุฏิหลวงลุง (ท่านบอกผ่านมากับหลวงลุง<<คนเอ๊ย! พระที่ฟังท่านพูดรู้เรื่องอ่ะ) พอย้ายศาลมาที่ดินตรงศาลเดิมก็ว่างเป็นหลุม เลยเอาต้นพลับพลึงมาปลูกไว้ (ก็คือเรื่องผีมันอยู่ในต้นพลับพลึงค่ะ)

ทีนี้ก็ช่วงนั้นนั่นแหล่ะ ช่วงที่หลวงลุงท่านมาพักรักษาตัวอยู่ที่กุฏิ ตอนนั้นที่บ้านมีคนขับรถมาอยู่ด้วยคนหนึ่ง เป็นคนขับรถโรงเรียน (เหตุที่เรื่องผีในบ้านเค้าโดนจัดอยู่ในหมวด เรื่องผีในโรงเรียน ก็เพราะว่าบ้านเค้าเป็นโรงเรียนนี่แหล่ะค่ะ) คนขับรถก็มีลูกด้วยอีกหนึ่งคน  ปกติแล้วเรื่องดูแลหลวงลุงท่านตอนกลางวันๆ คุณม่ามี๊เราท่านจะเป็นผู้ดูแลรับใช้ใกล้ชิด ขาดเหลืออะไรก็จะจัดหาให้ แต่ตอนกลางคืนไม่ได้ ก็หลวงลุงท่านเป็นพระอ่ะ จะให้ผู้หญิงไปค้างด้วยได้ยังไง ตอนกลางคืนท่านก็เลยต้องอยู่รูปเดียวไปตามระเบียบ

และแล้ว… (เออวุ้ย!… ร่ายมาตั้งยาวเพิ่งจะเริ่มเข้าเรื่อง) คืนวันหนึ่งที่ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น (ก็แน่ล่ะ ประเทศไทยนะ พระอาทิตย์จะขึ้นตอนกลางคืนได้ยังไง เดี๋ยวปั๊ด!!) สรุปคือในคืนหนึ่งอยู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น…

 

ที่มา
http://ghost.renrengang.com/ghost76-

52
ตอน คุณชุดแดง

…
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของชีวิตนักเรียน ม.ปลาย ที่โบว์เฝ้ารอมานาน โรงเรียนใหม่ของโบว์กว้างใหญ่จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร โบว์รู้จากหนังสือนิเทศน์ของโรงเรียนว่า โรงเรียน จปญ.(ชื่อเต็มคือโรงเรียนจนปัญญา) แห่งนี้เป็นโรงเรียนเก่าแก่ที่ก่อตั้งมานานนับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นักเรียนในโรงเรียนส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนไป-กลับที่มีผู้ปกครองมารับ-ส่ง ส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนบ้านไกลและนักเรียนจากต่างจังหวัดที่อาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียน
และโบว์…  คือหนึ่งในนักเรียนทุนจากต่างจังหวัดที่ต้องพักอยู่กับคนมากหน้าหลายตา
ในหอพักของโรงเรียน

ความมากหน้าหลายตาของผู้คนหลากหลายในหอพักแห่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่โบว์กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะโบว์มั่นใจว่าตนเองเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ดังนั้น สิ่งที่โบว์กำลังหวาดกังวลเป็นที่สุดภายในบ้านหลังใหม่หรือหอพักนักเรียนหญิงที่เธอจะต้อง
ใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ต่อไปเป็นเวลาอีก 3 ปีนั้นก็คือ  ประวัติศาสตร์อันยาวนานของตึกหอพัก
ที่ก่อสร้างมานานพร้อมๆ กับก่อตั้งโรงเรียนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้นต่างหาก

“โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเก่าแก่ มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีเจ้าที่เจ้าทางอาศัยอยู่ เป็นธรรมดาที่จะมีผู้อาศัยที่อยู่ที่นี่มาก่อนพวกเรานานนัก”
รินรวี ประธานหอพัก นักเรียนชั้นมัธยม 6 กล่าวกับรุ่นน้อง ม.4 สมาชิกใหม่ของหอพัก
ในพิธีปฐมนิเทศน์เด็กหอ

“พี่ท่านจะพูดไปทำไมเนี่ย แค่เห็นสภาพตึกหอเก่ามืดขนาดนี้ก็น่ากลัวจะแย่แล้ว”
เสียงค่อนเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างที่นั่งของโบว์ เด็กสาวหันไปมอง ปรากฏคือน้อย เพื่อนเด็กหอที่เป็นรูมเมทของเธอนั่นเอง

“แม่เราก็บอกว่าตึกเก่าๆ มักจะมีอาถรรพณ์”
โบว์กระซิบตอบเพื่อน หากเพียงแค่นั้นก็กลับเงียบลง เพราะเหลือบไปเห็นสายตาอาฆาตของประธานหอพักที่จ้องเขม็งมายังพวกเธอ

“ห้องน้ำในหอเราเป็นห้องน้ำรวม” รินรวีกล่าวต่อเมื่อรุ่นน้องทั้งสองพากันเงียบเสียงซุบซิบลง

“ที่หน้าห้องน้ำของทุกชั้นจะมี คุณชุดแดง นั่งอยู่”

เสียงฮืออากลับดังขึ้นเมื่อประธานหอกล่าวถึงชื่อ ‘คุณชุดแดง’ นักเรียนใหม่ชั้น ม.4 แต่ละคนต่างหันมองหน้าสบสายตาต่อกันด้วยความหวาดหวั่น
คุณชุดแดง… จินตนาการภาพตามแล้วคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าต้องคือผู้หญิงใส่ชุดสีแดงเป็นแน่ ทว่า แม้วันนี้จะเป็นวันเปิดเทอมวันแรก แต่ไม่ใช่วันเปิดหอวันแรก สาวๆ เด็กหอพวกนี้จากบ้านมาอยู่หอพักอย่างต่ำๆ ก็ก่อนเปิดเทอม 3 วัน หรือบางคนมาพักที่หอก่อนล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ก็ยังมี

นับแต่วันแรกที่มาถึงหอ น้อง ม.4 แต่ละคนต่างได้ยินคำร่ำลือถึง คุณชุดแดง จากพวกรุ่นพี่ที่อยู่หอมาก่อน  น้อง ม.4 ต่างคาดเดา… คุณชุดแดง…น่าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางตนหนึ่งของหอพักแห่งนี้ เพราะจากที่ได้ยินพวกรุ่นพี่เล่าให้ฟัง คราวที่มีเรื่องเดือดร้อน มีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นภายในหอพัก คุณชุดแดงจะต้องปรากฏกายขึ้นมาทุกครั้ง

โบว์จำได้แม่นยำเชียวว่าเธอได้ยินเรื่องราวของคุณชุดแดงนี่จากรุ่นพี่คนหนึ่งตั้งแต่วันแรกที่มาถึงหอ รุ่นพี่คนนั้นเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคุณชุดแดงให้โบว์ฟังว่า เมื่อตอนก่อนปิดเทอมใหญ่ มีอยู่วันหนึ่งที่ชั้น 3 ของหอพัก เด็ก ม.5 สี่คนที่เพิ่งจะเสร็จจากการสอบวันสุดท้ายต่างพากันมาจับกลุ่มเล่นผีถ้วยแก้ว ม.5 พวกนั้นคงลองดีกับประวัติของตึกหอพักอันเก่าแก่แห่งนี้ถึงได้กล้ามาเล่นผีถ้วยแก้วในตึกที่อายุมากกว่าร้อยปี แน่นอนว่า… ตึกหอพักแห่งนี้มีดีให้ลอง!

รุ่นพี่คนนั้นเล่าให้โบว์ฟังว่า ไม่รู้เป็นเพราะอาถรรพณ์ของเจ้าที่ดลบัลดาลให้เป็นไปหรืออย่างไร บางที เจ้าที่ของตึกคงอยากสั่งสอนกลุ่มเด็กลองของพวกนั้นก็ได้ เพราะในกลุ่มเด็ก ม.5 สี่คนที่เล่นผีถ้วยแก้วอยู่นั้น ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่อยู่ๆ คนหนึ่งก็เกิดพลาดเอามือไปปัดโดนเทียนที่จุดเอาไว้ให้ล้มลง ไฟจากเทียนลุกติดกระดาษแผ่นผีถ้วยแก้ว ลามไปโดนผ้าม่านใกล้ๆ แล้วเกิดไฟลุกไปทั่วห้อง ทันใดนั้นเอง…!

..

ที่มา
http://ghost.renrengang.com/ghost-

53
คุณยายนักเดิน

สวัสดีครับ ผมนายVaga (วกะ)ครับชื่อนี้เป็นามแฝงครับ  มีเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของคุณยายนักเดินคนหนึ่งครับ

เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนนั้นเด็กมาก แต่จำเหตุการณ์นี้ได้แม่นมาก เมื่อก่อนครอบครัวของผม อยู่บ้านพักข้าราชการแห่งหนึ่งซึ่งบ้านหลังนั้น เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นและบ้านเป็นลักษณะหลังติดกันเป็นแถวยาวๆ

เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นในทุกคืน หลังจากที่ปิดไฟทั้งบ้านเพื่อเข้านอน จะมีเสียงเดินขึ้นเดินลงบันไดบ้านเป็นประจำ แรกๆก็นึกว่าข้างบ้านเค้าเดินขึ้นบันไดเพราะบันไดบ้านจะอยู่ติดกันเพียงแต่มีพนังบ้านกั้น

แต่ลองคิดดูซิครับว่าใครที่ไหนมันจะเดินขึ้นเดินลงบันไดได้ทั้งคืนจนเช้า

ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนอยากรู้มาก วันหนึ่งก็เลยขอแม่นอนข้างล่างหน้าทีวีซึ่งเตียงนอนจะอยู่ติดกับบันไดเกิดเหตุเลย แต่แม่จะไล่ขึ้นไปนอนข้างบนให้ได้ไม่ทราบเพราะอะไร แต่ก็ต้องยอมความดื้อของผมให้นอนอยู่ข้างล่าง แม่ก็เลยกล่อมให้ผมหลับ แล้วก็ปิดไฟขึ้นไปข้างบน

สักพักเสียงเดินขึ้นลงบันไดมันก็เกิดขึ้นอีกจนผมต้องตื่นมามองหาต้นเสียง ผมมองไปที่บันไดเพราะเสียงมันมาจากตรงนั้น ผมเห็นเพียงแค่เงาของคนเดินขึ้นไปข้างบนและเดินลงมาข้างล่าง
ผมเห็นเพียงแต่เงาคนเป็นลักษณะคนตัวเล็กๆ และผมก็ไม่ทราบหลับไปครั้งไหนอีกครั้ง

เช้ามาก็เล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าฝันไป แต่ก็ยืนยันว่าเห็นจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ผมอยู่บ้านหลังนั้นไม่กี่ปีก็ย้ายมาอยู่อีกหลังหนึ่ง

เสียงเดินขึ้นเดินลงบันไดก็ยังแคลงใจผมอยู่ รู้แต่ว่าคนเดินขึ้นเดินลงเค้ากลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านไปแล้ว
จนกระทั้งผมย้ายบ้านครั้งที่ 3 ออกมาอยู่บ้านหลังปัจจุบัน ผมก็ถามแม่ถึงเรื่องนี้อีก แม่คงคิดว่าผมโตแล้วจึงเล่าให้ฟัง

แม่เป็นอีกคนหนึ่งในบ้านที่เห็นเหมือนผมที่ท่านว่าผมฝันเพราะกลัวผมจะกลัว ท่านบอกว่าคนที่เดินขึ้นลงบันไดเป็นคุณยายคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่นั้นมานานแล้วก่อนที่ครอบครัวเราจะย้ายเข้าไป คุณยายแกจะเดินบันไดแบบนี้ทุกคืน และที่ๆ แกอยู่เป็นใต้หิ้งพระซึ่งอยู่ชั้นบนตรงหัวนอนพอดี

คุณแม่ก็ถามว่าไปเห็นยายแกได้ไง ผมก็ว่าไม่รู้เหมือนกันแต่มันเห็น

ครั้งหนึ่งน้าเขยผมก็มานอนที่บ้านหลังนั้นก็เจอยายแกนั่งอยู่ใต้หิ้งพระ แต่น้าผมก็ไม่กลัวเท่าไหร่ก็มาบอกแม่ แม่ก็ว่าอย่าไปกวนแก แม่ยังว่าก็ที่จะย้ายออกมาก็ชวนแกมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ด้วย
แต่แกบอกว่าแกจะอยู่ที่นี้แหละไม่ไปไหน ที่อยู่ใหม่เค้าก็มีคนอยู่ อยู่แล้วจะไม่ไปอยู่หรอก ขอให้โชคดีก็แล้วกัน ผมจึงถึงบางอ้อว่า ยายแกเป็นเจ้าที่ๆ อยู่บ้านหลังนั้นเอง

แต่ยายแกเดินเก่งมากเลยครับ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผมและครอบครัวอีกเยอะแล้วจะเล่าให้ฟังอีกครับ ขอบคุณครับ

ขอขอบคุณ…
คุณ Vaga (วกะ)

ขอบคุณที่มา
http://ghost.renrengang.com/

54
วิธีสร้างบุญบารมี  หน้าที่8
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙

๓. การภาวนา
การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น มี ๒ อย่าง คือ (๑) สมถภาวนา (การทำสมาธิ) และ (๒) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) แยกอธิบายดังนี้ คือ


(๑) สมถภาวนา (การทำสมาธิ)
สมถภาวนา ได้แก่การทำจิตให้เป็นสมาธิ หรือเป็นฌาน ซึ่งก็คือการทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปยังอารมณ์อื่นๆ วิธีภาวนานั้น มีมากมายหลายร้อยชนิด ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติแบบอย่างเอาไว้ ๔๐ ประการ เรียกกันว่า "กรรมฐาน ๔๐" ซึ่งผู้ใดจะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ตามแต่สมัครใจ ทั้งนี้ย่อมสุดแล้วแต่อุปนิสัยและวาสนาบารมีที่ได้เคยสร้างสมอบรมมาแต่ในอดีตชาติ เมื่อสร้างสมอบรมมาในกรรมฐานกองใด จิตก็มักจะน้อมชอบกรรมฐานกองนั้นมากกว่ากองอื่นๆ และการเจริญภาวนาก็ก้าวหน้าเร็วและง่าย แต่ไม่ว่าจะเลือกปฏิบัติวิธีใดก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาศีลให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตามเพศของตนเสียก่อน คือหากเป็นฆราวาสก็จะต้องรักษาศีล ๕ เป็นอย่างน้อย หากเป็นสามเณรก็จะต้องรักษาศีล ๑๐ หากเป็นพระก็จะต้องรักษาศีลปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อให้บริบูรณ์ ไม่ให้ขาดและด่างพร้อย จึงจะสามารถทำจิตให้เป็นฌานได้ หากศีลยังไม่มั่นคง ย่อมเจริญฌานให้เกิดขึ้นได้โดยยาก เพราะศีลย่อมเป็นบาทฐาน (เป็นกำลัง) ให้เกิดสมาธิขึ้น อานิสงส์ของสมาธินั้น มีมากกว่าการรักษาศีลอย่างเทียบกันไม่ได้ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า "แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อยมานานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญกุศลน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเพียงให้จิตสงบนานเพียงชั่วไก่กระพือปีก ช้างกระดิกหู" คำว่า "จิตสงบ" ในที่นี้หมายถึงจิตที่เป็นอารมณ์เดียวเพียงชั่ววูบ ที่พระท่านเรียกว่า "ขณิกสมาธิ" คือสมาธิเล็กๆ น้อยๆ สมาธิแบบเด็กๆ ที่เพิ่งหัดตั้งไข่ คือหัดยืนแล้วก็ล้มลง แล้วก็ลุกขึ้นยืนใหม่ ซึ่งเป็นอารมณ์จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น สงบวูบลงเล็กน้อยแล้วก็รักษาไว้ไม่ได้ ซึ่งยังห่างไกลต่อการที่จิตถึงขั้นเป็นอุปจารสมาธิและฌาน แม้กระนั้นก็ยังมีอานิสงส์มากมายถึงเพียงนี้ โดยหากผู้ใดจิตทรงอารมณ์อยู่ในขั้นขณิกสมาธิแล้วบังเอิญตายลงในขณะนั้น อานิสงส์นี้จะส่งผลให้ได้ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นที่ ๑ คือชั้นจาตุมหาราชิกา หากจิตยึดไตรสรณคมน์ (มีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันสูงสุดด้วย ก็เป็นเทวดาชั้น ๒ คือ ดาวดึงส์)

สมาธินั้น มีหลายขั้นตอน ระยะก่อนที่จะเป็นฌาน (อัปปนาสมาธิ) ก็คือขณิกสมาธิและอุปจารสมาธิ ซึ่งอานิสงส์ส่งให้ไปบังเกิดในเทวโลก ๖ ชั้น แต่ยังไม่ถึงชั้นพรหมโลก สมาธิในระดับอัปปนาสมาธิหรือฌานนั้น มีรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลให้ไปบังเกิดในพรหมโลกรวม ๒๐ ชั้น แต่จะเป็นชั้นใดย่อมสุดแล้วแต่ความละเอียดประณีตของกำลังฌานที่ได้ (เว้นแต่พรหมโลกชั้นสุทธาวาสคือ ชั้นที่ ๑๒ ถึง ๑๖ ซึ่งเป็นที่เกิดของพระอนาคามีบุคคลโดยเฉพาะ) รูปฌาน ๑ ส่งผลให้บังเกิดในพรหมโลกชั้น ๑ ถึงชั้น ๓ สุดแล้วแต่ความละเอียดประณีตของกำลังฌาน ๑ ส่วนอรูปฌานที่เรียกว่า "เนวสัญญา นาสัญญายตนะ" นั้น ส่งผลให้บังเกิดในพรหมโลกชั้นสูงสุด คือชั้นที่ ๒๐ ซึ่งมีอายุยืนยาวถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป เรียกกันว่านิพพานพรหม คือนานเสียจนเกือบหาเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดมิได้ จนเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นนิพพาน

การทำสมาธิเป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อยที่สุด เพราะไม่ได้เสียเงินเสียทอง ไม่ได้เหนื่อยยากต้องแบกหามแต่อย่างใด เพียงแต่คอยเพียรระวังรักษาสติ คุ้มครองจิตมิให้แส่ส่ายไปสู่อารมณ์อื่นๆ โดยให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น การทำทานเสียอีกยังต้องเสียเงินทอง การสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาโรงธรรมยังต้องเสียทรัพย์ และบางทีก็ต้องเข้าช่วยแบกหามเหนื่อยกาย แต่ก็ได้บุญน้อยกว่าการทำสมาธิอย่างที่เทียบกันไม่ได้

อย่างไรก็ดี การเจริญสมถภาวนาหรือสมาธินั้น แม้จะได้บุญอานิสงส์มากมายมหาศาลอย่างไร ก็ยังไม่ใช่บุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบกับต้นไม้ก็เป็นเพียงเนื้อไม้เท่านั้น การเจริญวิปัสสนา (การเจริญปัญญา) จึงจะเป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบก็เป็นแก่นไม้โดยแท้


ที่มา
http://www.fungdham.com/book/prasungkarad.html

55
วิธีสร้างบุญบารมี หน้าที่1
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙
วัดบวรนิเวศวิหาร



บุญ ความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า บุญ คือ เครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฑติชอบทางกาย วาจา และใจ กุศลธรรม

บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง

วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือการให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทานหรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่ต่ำที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าการถือศีลไปได้ การถือศีลนั้นแม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่นการทำบุญตักบาตร ทอดกฐินผ้าป่า สละทรัพย์สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่าการทำทาน ก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อย เพื่อความเข้าใจอันดี จึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมี อย่างไรจึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้บุญบารมีมากที่สุดดังนี้คือ

๑. การทำทาน
การทำทาน ได้แก่การสละทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่น โดยมุ่งหวังจะจุนเจือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุขด้วยความเมตตาจิตของตน ทานที่ได้ทำไปนั้นจะทำให้ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยเพียงใด ย่อมสุดแล้วแต่องค์ประกอบ ๓ ประการ ถ้าประกอบหรือถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบ ๓ ประการต่อไปนี้แล้ว ทานนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญบารมีมาก กล่าวคือ

องค์ประกอบข้อ ๑. "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์"
วัตถุทานที่ให้ ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทานนั้นเอง จะต้องเป็นของที่บริสุทธิ์ ที่จะเป็นของบริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนได้แสวงหา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพ ไม่ใช่ของที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ได้มาโดยทุจริต ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฯลฯ

ตัวอย่าง ๑ ได้มาโดยการเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อสัตว์ เช่นฆ่าสัตว์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปลา โค กระบือ สุกร โดยประสงค์จะนำเอาเลือดเนื้อของเขามาทำอาหารถวายพระเพื่อเอาบุญ ย่อมเป็นการสร้างบาปเอามาทำบุญ วัตถุทานคือเนื้อสัตว์นั้นเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ แม้ทำบุญให้ทานไป ก็ย่อมได้บุญน้อย จนเกือบไม่ได้อะไรเลย ทั้งอาจจะได้บาปเสียอีกหากว่าทำทานด้วยจิตที่เศร้าหมอง แต่การที่ได้เนื้อสัตว์มาโดยการซื้อหาจากผู้อื่นที่ฆ่าสัตว์นั้น โดยที่ตนมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการฆ่าสัตว์ก็ดี เนื้อสัตว์นั้นตายเองก็ดี เนื้อสัตว์นั้นย่อมเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ เมื่อนำมาทำทานย่อมได้บุญมากหากถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบข้ออื่นๆด้วย

ที่มา
http://www.fungdham.com/book/prasungkarad.html

56
อานิสงส์ของการมีสัจจะ  1/2
พระภาวนาวิสุทธิคุณ


มีสองตายายเขาพากันเดินจงกรมบนนอกชานเรือนตอนเดือนหงาย ไอ้ขโมยมาลักควาย นี่เรื่องตก ๓๐ ปีแล้ว สองคนตายายเดินจงกรมที่นอกชานเดือนหงาย ถ้าไม่ได้ชั่วโมงไม่เลิก ต้องได้ชั่วโมง ก็ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ช้า ๆ ใครจะไปเหนือมาใต้ข้าไม่สนใจ ใครจะเรียกข้าก็ไม่รับปาก แหมเดินดี เดินจงกรมมีสัจจะว่าเดินหนึ่งชั่วโมง ควายอยู่ใต้ถุน ขโมยมา ๔ คนก็มาลักควาย คนหนึ่งก็เฝ้าเจ้าของไว้ คนหนึ่งก็ไปเฝ้าทางปากตรอกไว้ คนหนึ่งตัดคอกใต้ถุนแล้วเอาควายออก มีความ ๓ ตัว ควายอ้วน ๆ เอาควายไปแล้วเปิดเลย คนที่มันเฝ้าเจ้าของมันยังอยู่ สุนัขหลับหมด ไม่รู้มันใช้สะกดหรืออย่างไรเราก็ไม่ทราบ หรือดาวหมามันขึ้นเราไม่รู้ เรียนหรือเปล่าดาวหมาขึ้นลักขโมยตอนนั้น ถ้าไม่เรียนจะบอกให้เอาไหม ดาวหมาขึ้นหลับหมดเลย ลักของได้ตอนนั้นนะ

อานิสงส์การเดินจงกรม ความออกนอกบ้านไปแล้ว คนที่มันเฝ้าอยู่ใต้ถุนบ้านเจ้าของดูว่าเจ้าของจะตื่นหรือเปล่า เดือนมันหงายนี่มันก็อะไรไม่รู้ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เอ๊ะ ผีสิงหรือยังไง ก็เดินดูจนควายออกไปตั้งเยอะแล้ว ออกปากตรอกไปแล้ว เอ อะไรกัน นี่ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขโมยที่เฝ้าคอกมันก็ถอยหลังเรื่อย มันอยากดู ถอยหลังมาเรื่อย ๆ ถอยหลังออกมาจากใต้ถุนเรื่อย ๆ ก็ดู อะไรกัน นึกว่าผีเรือนหรือยังไง เพราะไปลักควายมาหลายเจ้าไม่เคยมีผีอย่างนี้ ขโมยไม่ได้เรียนเดินจงกรม ถ้าขโมยมาเรียนซะแล้วก็ไม่เป็นอะไรนะ จะได้รู้ว่าเขาเดินจงกรม มันไม่รู้นี่ ถอย ๆ มาเหยียบเอาหมาเข้า หมาตื่นหมดบ้าน หมามีอยู่ ๑๐ ตัวเห่ากันใหญ่ เลยควายที่เอาไปแตกกันหมด ควายไม่หาย นี่อานิสงส์เดินจงกรมนะ มีข้าวของอะไรไม่ต้องไปจ้างใครเขาเฝ้า สองคนตายายก็เดินจงกรมไปซี ถ้าไม่เดินก็หลับเลย อันนี้เรื่องจริงที่ผ่านมา ๓๐ ปีแล้ว

มีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องคล้ายกัน บ้านตาแป๊ะแก่คนหนึ่ง อยู่กันสองคนกับยายซิ้ม เขานัดหมายกันนั่งชั่วโมงหรือสองชั่วโมงจำไม่ได้ เวลานั่งแล้ว ใครจะเรียกมาหาใครจะมาลักขโมยไม่สนใจไม่ต้องฟังเสียง ถ้านาฬิกาไม่กริ๊งไม่เลิก ตั้งสัจจะและพระที่คล้องคอก็ไม่มี เมียนั่งโน้นผัวนั่งนี่ บ้านนั้นมีเครื่องลายครามเยอะแยะหมด แล้วก็มีลูกสาวคนหนึ่งผอม สะโพก ๒ ศอกได้มั้ง ขณะนี้ลูกสาวน่ะ สามีเป็นนายพันเอก อย่าไปออกชื่อเขาเลย เป็นลูกอาจารย์กองทัพอากาศ เดี๋ยวนี้ยังอยู่แต่ปลดเกษียณแล้ว

ก็ได้ความว่าลูกสาวมาเยี่ยมเตี่ยกับแม่ แล้วทีนี้เตี่ยกับแม่ก็นั่งบริกรรมพองหนอยุบหนอ ถ้าไม่ได้กำหนดไม่ออก ถือสัจจะ พอดีรถปิคอัพเข้ามา ขโมยปล้นมีเอ็ม ๑๖ มาก็ยิง ยิงเลย ยิงไม่ออก ยิงโด่งออก แล้วโจรก็มาคลำดูที่คอ สองคนก็ภาวนาพองหนอยุบหนอตลอด ลูกสาวกำลังรับประทานอาหารอยู่ กำลังจิ้มไก่ย่างใส่ปาก เคี้ยวไปยังไม่ทันกลืนนะ พอเสียงปืนโป้งปั้งทำไง ก็รีบเข้าไปใต้เตียง ไม่ชิงชันสูงคืบเดียวนะ เข้าไปได้สะโพกเบ้อเร่อเข้าได้สบายมาก แล้วก็ไก่ย่างยังอยู่ในปาก

มันเป็นเรื่องอัศจรรย์อันหนึ่ง ยิงก็ไม่ออก มันจะมาฆ่าตาแป๊ะคนนี้ มีเครื่องลายครามขนใส่รถหมด ข้าวของเงินทองขนใส่รถ ยายซิ้มพองหนอยุบหนอ คิดหนอ ๆ ก็พองหนอยุบหนอต่อไป แหมเขาแน่จริง ๆ ขโมยก็ขึ้นรถไปออกไปถึงตรอกนั้น ร้อนถึง จักรินเทวราช สั่งมาตุลีเทพบุตรบอกให้สารวัตรใหญ่เข้าไปในตรอกนี้ให้ได้ เกิดสังหรณ์ในใจ ตำรวจสารวัตรใหญ่เป็นพันตำรวจโทก็สั่งลูกน้องเข้าในตรอกนี้ซิ มันสงสัย ก็สวนกันรถขโมยพอดีเลย พอสวนรถขโมย มันเปิดไฟเห็นตำรวจมันก็โดด ตำรวจโดดตาม พอตำรวจโดดตามจับได้หมด

เลยผลสุดท้ายก็ถามว่า เอามาจากบ้านใคร โจรก็บอกกับตำรวจว่าเอามาจากบ้านตาแป๊ะนี่ เลยถอยหลังกลับไป พอรถขโมยไปจอดรถ รถสารวัตรใหญ่ไปจอด สองคนนั่งพองหนอยุบหนอ ยังไม่ออกจากกรรมฐานเลย เลยตำรวจก็ปลุกตาแป๊ะ ไม่ลุก สักประเดี๋ยวนาฬิกากริ่ง ตาแป๊ะก็ออกพอดีเจอตำรวจบอกว่า เอ...ไอ้ผู้ร้ายบอกว่าเอาปืนยิงไม่ออก เลยคลำที่คอบอกว่าไม่มีพระ ไม่มีพระเครื่องรางของขลังแต่ยิงไม่ออก บอกนี่โดนปล้นรู้ไหม ตาแป๊ะบอกรู้ แต่กำหนดได้ว่าอย่างนี้นะ รู้นะไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่เข้าพลสมาบัติ รู้เลยอย่าได้เอาไป รู้หนอ ๆ พองหนอ ยุบหนอต่อไป อยากได้เอาไป ๆ ถ้าเป็นของลื้อ ๆ เอาไป ถ้าเป็นของอั๊วอยู่ พองหนอ ยุบหนอ ๆ อยากได้เอาไป ๆ


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

57
อานิสงส์ของการแผ่เมตตา   1/2
พระภาวนาวิสุทธิคุณ

อาตมาเมื่อหลายปีผ่านมานี้ ๕-๖ ปีแล้ว มีลูกประคำอยู่สายหนึ่ง เคยสวดมนต์รัตนมาลาเมื่อสมัยเดินธุดงค์ ลูกประคำสายนี้รักมาก อาตมาก็มีหมอนมีอะไรที่กุฏิอาตมานะ หนูนี่ไปกัดหมอนกัดอะไรเกลื่อนกลาดหมดเลยนะ กัดเต็มไปหมดที่บนกุฏิอาตมานี่น่ะ อาตมาก็พูดเล่น ๆ แต่จิตใจก็เคืองเหมือนกันนะ “ไอ้หนูไม่มีดีฆ่ามันเลย ให้เด็กไปซื้อกรงมาดักเลย หนูไม่ดี เดี๋ยวคืนนี้จะฆ่ามันให้หมด” พูด ๆ ลอย ๆ ออกมาอย่างนี้แหละ แต่จิตใจเราอาจไม่ถึงขนาดนั้น ก็พูดด้วยความโมโห ต้องเอามันเลย หนูมันไม่ดีกัดหมอนกัดพรมหมดไม่มีเหลือ แล้วลูกประคำอาตมาวางไว้ข้างที่อาตมาจำวัด

คืนนั้นแหละกัดลูกประคำแหลกเลย หนูกัดแล้วเอาไปลงร่องไปเลย ๘-๙ เม็ดหายไปแล้ว มานับดูไม่พอร้อยแปด ขาดไป ๘-๙ เม็ดแล้วยังไง ให้พระมาช่วยหา หาไม่เจอ บอกหลวงพ่ออยู่ใต้เพดานใต้ฝ้า เอาไม่ได้ ล้วงไม่ได้ ถ้าจะเอาได้ต้องงัดพื้นออกเอาไง เอ...งัดก็เสียหมดนะซี เขาตอกตะปูไว้แน่นนี่จะงัดอย่างไร มีร่องนิดเดียว พอเม็ดลูกประคำลงได้เห็นแต่ล้วงก็ไม่ได้ ลูกประคำอยู่ข้างล่าง ติดฝ้าทำยังไงดี

คืนนั้นถ้าใครเห็นเขาก็คงว่าอาตมาท่าจะยังไงเสียแล้ว อาตมาก็จุดธูปจุดเทียน เดินจงกรม นั่งสมาธิ ๆ เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ก็พูดว่า “พ่อหนูเอ๋ย พ่อหนู เมื่อคืนวานนี้ที่เราพูดกับเจ้าว่าหนูไม่มีดีจะฆ่าให้หมดเลยนั้น ขอโทษด้วยเหอะ จงอโหสิกรรมให้เราหน่อยนะ เราขอแผ่เมตตาให้เจ้า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอากล้วยให้กิน อย่ามากัดหมอนกัดเสื่อกัดพรมเป็นของสงฆ์เป็นบาปเป็นกรรมนะพ่อหนูนะ ขอแผ่เมตตาเจ้า จงอโหสิกรรมให้แก่เราเถิด ที่เราพูดพลั้งเผลสติไป”

เช้าขึ้นมาเป็นยังไงโยม ลูกประคำได้คืนหมด หนูคาบมาให้ที่นอนเลย เลยอาตมาก็มามีหมอตำรวจคนหนึ่งที่สิงห์บุรีนี่น่ะ มาอยู่กับอาตมาเป็นแรมปี แกก็มานั่งนอนอยู่ข้างล่าง รับใช้ในวัดนี้ แกรู้เรื่องนี้ดี เพราะเคยหาลูกประคำด้วยกัน เอาไฟส่องไปตามรู ว่ามันไปอยู่ข้างล่าง พอเช้าอาตมายังไม่ได้โยกย้ายลูกประคำวางหนูกัดบิ่นไป ๔-๕ ลูก บิ่นไป มันไปขบ มันมีรูยังพอจะใช้ได้ ก็ไปเรียก พระปลัดประสิทธิ์ มา เรียกลูกศิษย์มา แล้วก็เรียกหมอเยื้อน ชโลปถัมภ์ ที่เป็นสมาชิกสมาคมสิงห์บุรี เดี๋ยวนี้แก่มากแล้ว เป็นหมอตำรวจ ให้แกมาดู แกก็บอกว่า “แน้ มาได้ไง” ก็เอาไฟส่องดู ก็ขึ้นมาหมดแล้ว หนูเอามาคืน ด้วยการแผ่เมตตาน่ะ โยมจำไว้ หนูเอามาคืน

ผลสุดท้ายอาตมาก็ไปซื้อสายซอทอมาร้อยเรียบร้อย หมอเยื้อนอยู่กับอาตมาอีก ๒-๓ เดือน บอกหลวงพ่อไม่ให้อะไรผมไม่ว่าอะไร ผมขอลูกประคำได้ไหม แล้วอธิบดีสมพรก็อยากได้ คนโน้นก็อยากได้ คนนี้ก็อยากได้ จะให้ใครดี ก็พิจารณาคนใกล้ตัวก่อน ก็หมอเยื้อนมารับใช้เราเป็นปี ๆ ก็ให้หมอเยื้อนไป นี่ลูกประคำลูกนี้นะ หมอเยื้อนยังไปรักษาอยู่จนบัดนี้ นี่อำนาจเมตตาลองดูนะ ตั้งแต่นั้นมาหนูไม่เคยมากัดหมอนมุ้งเลยจดบัดนี้ นี่หนูก็เยอะ อาตมาก็ต้องให้กล้วยกิน แผ่เมตตากับมัน เอ้าลองดูนะ แล้วจะไม่มากัดของเราเลย


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

58
สติปัฏฐาน ๔ ปิดอบายภูมิได้....1/2
พระภาวนาวิสุทธิคุณ

ญาติโยมเอ๋ย โปรดได้ทราบไว้เถอะ บุญกรรมมีจริง บาปกรรมมี ยมบาลจดไม่มี จิตนี้เป็นผู้จด จดทุกวันคือ อารมณ์ เรื่องจริงแน่ จดทุกกระเบียดนิ้ว บาปบุญคุณโทษบันทึกเข้าไว้ พอวิญญาณออกจากร่างไป มันก็ขยายออกมาใช้กรรมไป ถ้าเราทำดีก็ไปบังเกิดในสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรกไปแบบนี้

อาตมามาคิดดูนะว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดินก็คงไม่ใช่ ดูตัวอย่างที่เคยเล่าให้ญาติโยมฟัง
ตาเล่งฮ่วย ผูกคอตาย วิญญาณไปเข้ายายเภา ยายเภาเป็นคนไทยแท้ ๆ เกิดพูดภาษาจีนได้ ตอนนั้นอาตมาอยู่วัดพรหมบุรี อาตมาเป็นหมอไล่ผีแต่ไม่มีคาถา ถ้าเป็นหมอผีไม่ต้องใช้คาถา ทำปากขมุบขมิบ เทน้ำมนต์ราดส่งไป ผีจริงก็ร้อง ผีปลอมก็ร้อง พวกนี้โดนน้ำไม่ได้ร้องหมด อาตมาจับผีได้หมดแล้ว จริงปลอมรู้หมด

คนที่เป็นลมเพลมพัดไม่ต้องเสกคาถาหรอก เอาน้ำพ่นไปยังร้องเลย ร้องหวีดหวาด ๆ คนสติไม่ดี ไม่ใช่อะไรหรอก คนไม่มีสติเขาสวดภาณยักษ์กัน คนไม่มีสติดิ้นกันจะตาย คนมีสติเขาเฉย นี่จำไว้ มีสตินี่มีประโยชน์ คนไม่มีสติผีเข้าเจ้าสิง มีคนมาตามอาตมาไป พอไปถึงยายเภาพูดภาษาจีน เลยต้องให้เรือไปตาม ตาแป๊ะเลี่ยงเกี๊ยก ไว้ผมเปีย เป็นลุงเขยอาตมาให้มาเป็นล่าม
เขาบอกไม่ต้องไล่เขา เขาอยู่กับ ฮ่วยเซียเถ้า อยู่ตรงใกล้วัดพรหมบุรีนี่เอง

อาตมาถามว่า “ฮ่วยเซียเถ้า” คือใคร ทำไมถึงไปอยู่กับ “ฮ่วยเซียเถ้า” เขาบอกว่า “ชื่อ หลวงตามด เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางพรหมนคร อยู่เหนือตลาดปากบางนี่เอง อยู่ด้วยกัน ๒ คน ขุดดินถมถนนทุกวัน ถ้าไม่ขุดดินเขาเฆี่ยนตี และฮ่วยเซียเถ้าก็ขุดดินด้วย”
อาตมาได้ถามคนเฒ่าคนแก่ชื่อ บัวเฮง อยู่ตลาดปากบางบอกว่า ฮ่วยเซียเถ้ามีจริง ชื่อ สมภารมด อยู่วัดกลาง เป็นสมภารวัด จะสร้างถาวรวัตถุของวัด แต่เงินทองถูกมัคทายกโกงไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไร เสียใจเลยผูกคอตาย นี่เห็นไหมสมภารผูกคอตาย ไม่ได้เคยเจริญกรรมฐานเลย ตายมาตั้งห้าหกสิบปีแล้ว เดี๋ยวนี้ยังอยู่ ตาเล่งฮ่วยเล่าว่า อยู่กับฮ่วยเซียเถ้า ชื่อมด ก็ตรงกัน อาตมาถามว่า “อยู่ตรงไหนล่ะ ทานข้าวที่ไหน ลื้อมาทำไมล่ะ”
“อั๊วมาบอกให้ลื้อไปบอกหลานสาวอั๊วนะ ทำบุญไปให้อั๊วไม่ได้นะ อย่าทำเลย”
“แล้วกินที่ไหนล่ะ”
“อั๊วกับฮ่วยเซียเถ้าไปกินตามกองขยะ ที่เขาเอาเศษอาหารมาทิ้งกินกับหนอน”
“เอ้า! ที่ดี ๆ ทำไมไม่กินล่ะ”
“ไม่มีใครให้กิน มีอีกพวกหนึ่งขุดถนนเหมือนกัน แต่เขามีข้าวกิน พวกอั๊วไม่มีข้าวกิน ต้องไปกินที่มันเหลือ ๆ จึงจะกินได้ ไปบอกหลานสาวอั๊วชื่อ เจีย นะ บอกว่าไม่ต้องทำบุญไป อั๊วไม่ได้ ถ้าลื้ออยากทำบุญให้อั๊วนะ ฮ่วยเซียเถ้ามดบอกับอั๊ว บอกให้ลูกหลานเจริญวิปัสสนานะ และอั๊วจะได้”


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

59
ภาพปริศนธรรม : ปฏิจจสมุปบาท
Posted by สอนสุพรรณ ,

  ... ช้างสารซ่านซับมัน    รันแรงร้ายเกินกำหนด
          ลือชาทั่วปรากฏ    มาลดกายให้กบกิน ...


                                               หนังสือสุภาษิตภาคใต้

          จากข้อความข้างต้น  หลาย ๆ ท่านอาจจะคิดสงสัยว่า  ช้างตัวใหญ่ยอมให้กบตัวเล็กนิดเดียวกินได้อย่างไร  คำถามนี้ยากเป็นความที่มีนัยแห่งข้อธรรมที่ลึกซึ้ง  ซึ่งผู้ประพันธ์สุภาษิตถอดความมาจากภาพปริศนาธรรม

          ภาพปริศนาธรรม เป็นการถ่ายทอด หรือ อธิบายข้อธรรมด้วยภาพมีองค์ประกอบเป็นภาพสัตว์ชนิดต่าง ๆ ทั้งประเภทจตุบาท ทวิบาท และสัตว์เลื้อยคลาน ได้แก่ ช้าง กบ นก งู  สาระในภาพสื่อให้เกิดความคิดในเชิงเปรียบเทียบ  เพื่อให้เห็นความเป็นไปตามสภาพธรรมของโลกโดยลำดับ 

          เนื้อหาของภาพเป็นเป็นตอน ๆ ต่อเนื่องกันเป็นชุด  ภาพปริศนาธรรมชุดนี้มี ๖ ตอน  ถ่ายทอดมาจากบทธรรมปฎิจจสมุปบาท



          ภาพที่ ๑  เริ่มต้นด้วยภาพสระน้ำ ๓ สระ  มีคำอธิบายประกอบภาพว่า  น้ำ ๓ สระคือตัณหาทั้งสาม ได้แก่

          ๑.  กามตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากในกาม ได้แก่  กามคุณซึ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

          ๒.  ภวตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากในภพ ได้แก่  ความอยากในภาวะของตัวตนที่  จะได้  จะมี  จะเป็น

          ๓.  วิภวตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากในวิภพ ได้แก่  ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตน  จากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา



ภาพที่ ๒  เป็นภาพช้างมีน้ำ ๓ สระอยู่ภายในท้อง  มีคำอธิบายประกอบภาพว่า ช้างสาร คือ ชาติ  กลืนน้ำ ๓ สระ คือ ตัณหาทั้งสาม


ที่มา
http://www.oknation.net/blog/phaen/2007/10/05/entry-1

60
***เมื่อหลวงปู่เทพโลกอุดรเฉลยปริศนาธรรม***




มีเรือน แต่ไม่มีผู้อยู่…….
มีข้าวแต่ไม่มีผู้กิน……..
มีทาง แต่ไม่มีผู้คน……..


ปริศนาธรรมนี้ มีผู้กล่าวว่า เป็นคำสืบทอดมาจากพระกัสสปะเถรเจ้า จริงเท็จอย่างไรยากจะสืบสาว แต่ขอให้ศึกษาด้วยเหตุของภาวะธรรมเถิด
สมัยหนึ่ง มีคำเล่าว่า พระอรหันต์ผู้แตกนิกายออกไป ผู้ตกตายแล้วหรือปรินิพพานแล้ว มีกระดูกสารีริกธาตุ เป็นแก้วเพชรพลอย เฉลยความไว้ว่า

มีเรือน ไม่มีผู้อยู่………..เพราะโลกเกิดสงคราม คนจึงละบ้านช่องหลบภัย
มีข้าว ไม่มีผู้กิน…………เพราะระหว่างเกิดสงคราม คนหนีภัย จึงขนข้าวไปได้แต่น้อย
ส่วนเหลืออยู่ในเรือนร้าง จึงไม่มีคนกิน
มีทาง ไม่มีผู้เดิน……….เพราะสมัยโลกเจริญ มีแต่การตัดถนนหนทาง มีรถลามาก คนจึงเดิน
ทางด้วยพาหนะ ไม่ต้องเดินด้วยเท้าเช่นแต่ก่อน


ที่มา
http://www.buddhapoem.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=73890&Ntype=5

61
กฎแห่งกรรม / อานิสงส์ของการบวช
« เมื่อ: 30 พ.ย. 2554, 09:35:26 »
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21981.msg180602#msg180602
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23200
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=10216
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=8477

อานิสงส์ของการบวช


 ๒๕๐๙ ย่างเข้า ๒๕๑๐ อาตมาได้ย้ายจากวัดชายนา ตำบลคลัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชไปอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อไปถึงก็ได้รับข่าวเรื่องน่าสนใจขึ้น คือที่ตำบลพรุพี อำเภอบ้านนาสาร หมู่ที่ ๕ เรียกกันว่าหมู่บ้านห้วยบอน เหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้คนจำนวนมากมาที่วัดสุคนธาวาสที่อาตมาอยู่ เพื่อมานิมนต์ให้ไปทอดผ้าป่าให้กับยายนายลอยผู้ตายไป ก็มีการเล่าและการเชื่อกันว่า เป็นความจริง เหตุการณ์นี้คือ แม่ของนายลอยได้สิ้นชีวิตไปแล้ว และยายก็สิ้นชีวิตไปแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้น่าเชื่อถือ คือ นายลอยเป็นคนชอบเล่นไพ่ ไม่ชอบเรื่องธัมโมธรรมะ หลังจากเล่นไพ่มา ๓ วัน ๓ คืน ในงานหนึ่งก็กลับไปนอนบ้าน การนอนนั้น หลับไปตั้งแต่ตอนบ่าย และก็ไปตื่นเอาตอนเที่ยงวัน และก็ไปเล่นไพ่ต่อ ไม่สนใจเรื่องสิ่งที่ตนได้พบเห็นในความคิดความฝัน ก็ไม่เล่าให้ใครฟัง ไม่พูดให้ใครฟัง


 อยู่มาช่วงหนึ่ง ยายของนายลอยที่ตายไปแล้ววิญญาณไปเจอลูกสาวคือแม่ของนายลอยตกนรกอยู่เรียกว่า อุสุตะนรก เป็นนรกขุมแรกของเมืองมนุษย์ ถัดจากมนุษย์ไป ยายคนนั้นเลยถามว่า ลูกสาวทำไมมาอยู่ที่นี่ ลูกสาวตอบจากในหลุมขุมนั้นว่า ลูกมาตกนรกอยู่ แต่แม่ต้องช่วยด้วย ลูกลอยมันโกหกว่า จะบวชให้แม่ แต่กลับไปเห็นยังไม่บวช ฉันทรมานมาก ขอให้แม่ไปช่วยบอกหลานของแม่ด้วย มันโกหก รับปากว่าบวช ยังไม่บวช ไปเล่นไพ่ต่อ



 อยู่ในเมืองนรกยังรู้ว่าลูกเล่นไพ่ต่ออีกยายเลยถามว่า จะให้ไปบอกได้อย่างไร เราเป็นวิญญาณ เขาเป็นมนุษย์ แม่ของนายลอยตอบว่า ให้แม่ไปประทับทรงที่หลานของแม่เอง คือนางละออง (นางละอองเป็นน้องของนายลอย) นายนายลอยก็รับปากลูกสาวว่า จะไปบอกให้และกลับจากขุมนรกนั้น มาถึงบ้านของนายลอย ซึ่งมีแต่น้องสาวอยู่บ้าน คือนางละออง ก็ได้มีการประทับทรงทันที

การประทับทรงนั้น เมื่อประทับทรงแล้ว นางละอองไม่รู้สึกตัว แต่คนผ่านหน้าบ้านมาเห็นยายนายลอยนั่งอยู่ก็แปลกใจว่า ยายนายลอยตายไปแล้ว ทำไมมานั่งอยู่ได้ หรือผีหลอก พอเดินผ่าน ยายนายลอยเลยถามว่า เอ้ย...มึงไปบอกไอ้ลอยที บอกให้มาบ้านด่วน มันไปโกหกแม่มันในเมืองนรกว่า จะบวชให้ แต่ไม่บวชไปเล่นไพ่ต่อช่วยบอกที คนที่เดินผ่านมาจำนวนมาก ก็ได้รับการฝากไปบอกทั้งหมด เมื่อทุกคนไปถึงบ้านงานศพ ไปบอกนายลอยว่า “ลอย ๆ ยายมึงมารอคอยอยู่ที่บ้าน มึงโกหกแม่มึงว่า มึงจะบวชให้ แต่ไม่บวช แม่มึงตกนรกอยู่นายลอยจึงว่า

“ยายมาได้อย่างไรล่ะ”  “บอกว่าโน้น ไปดูสิ นั่งรออยู่ที่บ้าน นายลอยก็นึกได้ว่า เอ...มิใช่ฝันแล้ว รับปากกับแม่แล้ว มิใช่ฝันแล้ว ก็เลยรีบเลิกจากการเล่นไพ่ไปบ้านทันที แต่มีคนหลายคนมาบอก ในงานศพว่า ยายนายลอยมารอคอยอยู่เช่นนั้น ทุกคนก็พากันแปลกใจ เลิกจากการเล่นไพ่ทั้งหมดไปบ้านนายลอย ไปถึงเห็นยายนายลอยนั่งอยู่ ทุกคนที่รู้จัก จำได้ แต่ไม่เห็นเป็นน้องสาวนายลอยคือนางละออง เห็นเป็นยายของนายลอย พอเห็นหน้านายลอยโผล่เข้าไปถึง ยายว่า “ลอย ๆ มึงโกหกแม่มึงว่า มึงจะบวช แต่ทำไมมึงไม่บวชล่ะ แม่มึงตกนรกอุสุตะนรก” ยาย ๆ มาได้อย่างไรนี่ ผมคิดว่าผมฝัน




 “ไม่ใช่ฝันซะแล้ว หลานลอยกูไปเจอแม่มึงแล้ว ตกนรกอยู่”
 นายลอยก็ได้บอกยายว่า แล้วยายมาได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ยายอยู่ที่ไหน กินอยู่อย่างไร ยายบอกว่า ยายมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง มุงหลังคาใบถัง มีน้ำอยู่ไหหนึ่ง มีขันน้ำด้วย แล้วก็มีข้าวกิน แต่ตอนนี้หลังคาได้พังไปหมดแล้ว ไปช่วยทำให้ที นายลอยก็ได้ถามว่าจะให้ไปทำได้อย่างไร และบ้านอยู่ที่ไหนไปทำได้อย่างไรละ ยายบอกว่า ลอยบ้านเกิดด้วยบุญ เขาสร้างหนำไว้ลูกหนึ่งคนไปกินน้ำที่นั่นแหละ หนำน้ำนั่นแหละ กินข้าวกินน้ำ ยายได้อานิสงส์ มีบ้านอยู่ มีน้ำ มีข้าว อาหารพร้อม การไปทำไม่ใช่ไปทำไปสร้างเหมือนบ้านมนุษย์ ให้เธอทอดผ้าป่าต่อพระสงฆ์ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับยาย ยายจะได้ทันทีเพราะลูกหลานเป็นผู้ทำให้ นายลอยว่าถ้าอย่างนั้นจะได้นิมนต์พระมาทอดผ้าป่า “แล้วลอยมึงไม่สงสารแม่มึงหรือ มึงก็ได้เห็นเขาด้วยตาเองมาแล้ว ทำไมต้องทำเฉยไม่บวชละ” ยายว่า
 นายลอยบอกว่า ยาย ผมไม่อยากบวช ผมไม่ศรัทธา ก็ไม่ใช่บวชด้วยศรัทธา ด้วยความชอบของตนเองบวชให้แม่ตนเอง บวชให้แม่พ้นทุกข์

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-45

62
ธรรมะ / ธรรมะอินเทรนด์......2
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2554, 04:58:24 »
ธรรมะอินเทรนด์ : วิถีบัณฑิต
วันพุธ ที่ 23 พฤศจิกายน 2554 เวลา 0:00 น 



อตฺตานํ  ทมยนฺติ  ปณฺฑิตา

บัณฑิตย่อมฝึกตน

(พุทธสุภาษิต ๒๕/๑๖)


อัสดรหัตถีปักษีชาติ    แม้เปรื่องปราดปรีชาไวอยู่ไพรสณฑ์   

หากคนไม่ฝึกหัดไม่ดัดตน    ก็เก่งวนแต่กินอยู่สมสู่กัน
   
ครั้นมนุษย์นำมาพากันฝึก    สัตว์สำนึกเปลี่ยนไปใฝ่สร้างสรรค์

ปลาโลมาเปิดแสดงโชว์แข่งกัน    แต่ละวันหาเงินได้ไม่น้อยเลย
   
อัสดรหัตถียิ่งดีกว่า    เป็นดาราในหนังบ้างละเหวย

ดีเด่นดังอย่างโดดเด่นเสียจนเคย    บางตัวเลยได้ยศช้างอย่างฤาชา
   
สัตว์ประเสริฐเพราะคนฝึกสำนึกใหม่           จึงเติบใหญ่แตกต่างอย่างสัตว์สา

บัณฑิตชนฝึกตนบ้างสร้างวิชชา    พัฒนายิ่งกว่านั้นนับพันนัย

จากปุถุชนคนต่ำนำมาฝึก    ค่อยค่อยตรึกพัฒนาอัชฌาสัย

จากเห็นผิดเป็นเห็นถูกปลูกวินัย    จากพงษ์ไพร่เป็นพงษ์ปราชญ์ฉลาดชนม์
   
จากคนป่าเป็นคนเมืองผู้เรืองฤทธิ์    จากมืดมิดเป็นสว่างกระจ่างหน

จากกิเลสเกรอะกรังค่อยล้างตน    จึงหลุดพ้นเหนือกิเลสวิเศษไป
   
บัณฑิตชนเฝ้าฝึกตนทุกเวลา    จึงปรีชาประโชติดวงอย่างช่วงใส

ส่องสว่างกว่าดวงจันทร์ตะวันไว    เป็นเลิศไร้ผู้ปานเปรียบเทียบไม่ทัน.

ว.วชิรเมธี

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=671&contentID=177420

63
ธรรมะ / ธรรมะอินเทรนด์......1
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2554, 04:41:30 »
ธรรมะอินเทรนด์ : 4.พาลลักษณ์
วันพุธ ที่ 02 พฤศจิกายน 2554 เวลา 0:00 น  



โย  พาโล  มญฺญติ  พาลฺยํ    ปณฺฑิโต  วาปิ  เตน  โส
    
พาโล  จ  ปณฺฑิตมานี    ส  เว  พาโลติ  วุจฺจติ
    
คนโง่  ที่ยังรู้ตัวว่าเป็นคนโง่  
    
ก็ยังพอมีโอกาสเป็นคนฉลาดได้บ้าง
    
ส่วนผู้ใดเป็นคนโง่ แต่กลับสำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด  
    
คนนั้นปราชญ์ท่านเรียกว่า “จอมโง่”

(พุทธศาสนสุภาษิต ๒๕/๑๕)
    
เป็นคนเขลารู้ว่าเขลาเข้าทีอยู่    ยังมีลู่ทางฉลาดเป็นปราชญ์ได้

แต่คนเขลาสำคัญผิดตั้งจิตไว้    ว่าตนไซร้ช่างฉลาดเป็นปราชญ์จริง

คนเช่นนั้นปราชญ์ตำหนิดำริผิด    เขาลิขิตตนไม่ดีถูกผีสิง

ตัวของตัวไม่รู้จักไร้หลักอิง    ปราชญ์ท่านติงว่า “จอมโง่” โอ้คนพาล.

ว.วชิรเมธี


ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=671&contentID=173349

64
ความสุขที่แท้จริง ... อยู่ที่ใจนี่เอง ...1/3
(จาก fwd mail)

จะหาความสุขได้จากที่ไหนๆ
 
พระธรรมเทศนา โดยพระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล)
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
 
ความสุขคือความสบายกายสบายใจ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการปรารถนา
ไม่ว่าจะทำกิจการงานอะไร จุดหมายปลายทางรวมอยู่ที่ความสุขทั้งนั้น
ความสุขเกิดจากไหน?
ก่อนจะให้คำตอบ จะขอเล่าเรื่องประสบการณ์ที่ได้ประสบมาให้ฟัง
คือเมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีผ่านไปแล้ว เวลาประมาณ ๔ ทุ่มเศษ
หลังจากที่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือจนรู้สึกเมื่อย ข้าพเจ้าจึงลงไปเดินเล่นรอบๆ วิหาร
พอเดินไปถึงหน้าวิหาร ใกล้กับวิหารอินทขิล
โดยปรกติบริเวณรอบๆ แถวนี้ ไม่ค่อยจะมีใครไปเดินเพราะกลัว
“ทำไมถึงกลัว?”
เพราะสถานที่ตรงนั้นมีโบราณวัตถุเก่าแก่และชำรุดปรักหักพัง
เวลากลางคืนเป็นที่เปลี่ยว ทำให้เป็นสถานที่น่ากลัว
วันนั้น ข้าพเจ้าเดินไปหยุดอยู่สักครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ
ข้าพเจ้าสะดุ้ง ขนหัวลุก รีบเดินกลับกุฏิทันที นึกในใจว่าโดนผีหลอกเข้าแล้ว
กว่าจะสงบจิตใจได้ตั้งนาน ไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ใคร เก็บเรื่องไว้ในใจ แล้วเข้านอน
 
รุ่งขึ้น ได้เวลาก็ออกบิณฑบาต เมื่อผ่านวิหารอินทขิล
ข้าพเจ้าจึงแวะไปดูที่ที่ได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ เมื่อคืนวานนี้
ปรากฏว่าที่ตรงนั้นมีชายคนหนึ่งเป็นคนพเนจร ได้มานอนหลับอยู่อย่างสบาย
ข้าพเจ้าได้บทเรียนจากประสบการณ์ครั้งนี้ว่า
“ที่ที่ข้าพเจ้าหวาดหวั่นสะดุ้งกลัวที่สุดนั้น กลับเป็นที่ที่สุขสบายที่สุดของชายคนนั้น”
ข้าพเจ้ามีปัญหาต่อไปว่า “ทำไมสถานที่ที่เดียวกันทำให้เกิดความรู้สึกแก่คนได้ไม่เหมือนกัน
คนหนึ่งเกิดความรู้สึกสะดุ้งกลัว อีกคนหนึ่งได้อาศัยพักผ่อนหลับนอนได้อย่างสบาย?”
ความรู้สึกนี้เกิดกับข้าพเจ้าอยู่นาน ต่อมาภายหลังได้รับความเข้าใจในเรื่องนี้ว่า
วัตถุสถานที่เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์
การที่เห็นวัตถุสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง แล้วจะเกิดอารมณ์ดี อารมณ์เสีย
อารมณ์กลัว อารมณ์กล้า หรืออารมณ์รัก อารมณ์เกลียด อย่างไรนั้น
แล้วแต่พื้นจิตใจของคนที่เห็น
 
บ้างเห็นซากศพแล้วเกิดอารมณ์หวาดหวั่น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เป็นภาพติดตาหลอกใจตัวเองให้กลัวอยู่ตลอดเวลา
ตรงกันข้าม คนบางคนเมื่อได้เห็นซากศพแล้วเกิดธรรมสังเวช
ได้คติสอนใจ มีอุตสาหะในการที่จะเว้นชั่ว ประพฤติดี
ข้าพเจ้ารู้จักกับชายคนหนึ่ง เขาเป็นชาวกสิกร
อาชีพของเขาคือทำเตาบ่มใบยาและทำสวนชา
เขาเล่าให้ฟังว่าเวลาที่เขามีความสุขใจที่สุด
คือเวลาที่เขาเข้าไปในโรงงาน ได้เห็นเครื่องจักรกำลังเดินเครื่องทำงานอยู่
เขาให้เหตุผลว่าเครื่องจักรที่กำลังเดินเครื่องอยู่
มันแสดงถึงความเคลื่อนไหว ผลิตผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
ทำให้ชีวิตมีประโยชน์ เห็นแล้วสบายใจ

65
ธรรมะ / คุณค่าของเต๋า
« เมื่อ: 15 พ.ย. 2554, 05:18:44 »
คุณค่าของเต๋า

คนปัญญาระดับสูง พอได้ฟัง ..เต๋า.. ก็พากเพียรปฏิบัติ

คนปัญญาระดับกลาง แม้นมีวาสนาได้ฟัง ..เต๋า..แต่มักพากเพียรในเต๋าไม่ตลอด

คนปัญญาระดับต่ำ เนื่องจากความรู้น้อย จึงไม่แจ้งความสำคัญของเต๋า ประกอบด้วยจิตหลงมัวเมา ดีแต่แสวงหาความสุขทางโลก พอได้ฟัง..เต๋า..ก็หัวร่อเยาะ

555 ถ้าคนโง่พวกนี้ไม่หัวร่อย่อสิ ก็ไม่รู้ว่า คุณค่าของ.เต๋า..อยู่ที่ไหน
เขียนโดย : อมิตตาพุทธ

ที่มา
http://www.firodosia.com/showdetail.asp?boardid=4504

66
ฮือฮาหลวงพ่อสดเพลิงเผาบ้านวอดภาพถ่ายไม่เป็นไร
วันจันทร์ ที่ 14 พฤศจิกายน 2554 เวลา 10:12 น 



ฮือฮาปาฏิหาริย์ ภาพถ่ายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ อริยสงฆ์เมืองไทย ผู้ค้นพบวิชาธรรมกาย หล่นในกองเพลิงที่กำลังลุกโชนไหม้ห้องเช่าเผาผลาญ เตียงนอน ชั้นวางหนังสือ ตู้เย็น โทรทัศน์กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่แสงเพลิงกลับไม่ทำลายภาพถ่ายได้แม้แต่น้อย เชื่อเป็นบุญบารมีแสดงอานุภาพ ทำให้ไม่มอดไหม้
   
เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 13 พ.ย. พ.ต.ท.ประสิทธิ์ มั่นศรี พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ที่ห้องแถวเลขที่ 57/15 พัทยาใต้ ซอย 6 หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จึงประสานขอรถน้ำจากหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเมืองพัทยา 2 คัน ไปตรวจสอบเป็นการด่วน
   
ที่เกิดเหตุเป็นห้องแถวให้เช่าชั้นเดียวปลูกติดกัน 5 ห้อง ภายในห้องพักเลขที่ 2 พบแสงเพลิงและกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก จนต้องงัดประตูห้องและฉีดน้ำเข้าไปสกัดเพลิง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสงบ จากนั้นได้เข้าตรวจสอบภายในห้องเกิดเหตุพบว่าทรัพย์สินภายในห้อง ประกอบด้วย เตียงนอน ชั้นวางหนังสือ ตู้เย็น และโทรทัศน์ ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายกองเป็นเถ้าถ่าน แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุอยู่นั้นถึงกับต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าภาพถ่ายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ขนาดกว้าง 25 ซม. ยาว 30 ซม. ตกอยู่ที่พื้นข้างผนังห้อง แต่ไม่ถูกเพลิงไหม้เสียหายแต่อย่างใด
     
จากการสอบสวนนางกุณา ภูศรี อายุ 56 ปี เจ้าของห้องแถว ให้การว่า ต้นเพลิงเกิดจากห้องเช่าห้องที่ 2 ซึ่งมีชายไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 50 ปี ทราบเพียงว่ามีอาชีพเดินเร่ขายนาฬิกามาเช่าอยู่ โดยขณะเกิดเหตุไม่อยู่ภายในห้อง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า สาเหตุน่าจะมาจากเจ้าของห้องจุดธูปเทียนบูชาพระไว้ก่อนออกจากห้อง แต่ธูปหรือเทียนอาจล้มไปไหม้ชั้นวางหนังสือ ก่อนลุกลามไหม้ทรัพย์สินต่าง ๆ มีเพียงภาพหลวงพ่อสด ที่ติดไว้ที่ผนังห้องเท่านั้นที่ไม่ถูกไฟไหม้ ทำให้ผู้ที่มาดูเหตุการณ์ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวราวปาฏิหาริย์และเป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากภาพตกอยู่ในกองเพลิงแต่กลับไม่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ได้รับความเสียหายแม้แต่นิดเดียว
   
สำหรับชาติภูมิพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เดิมชื่อ สด มีแก้วน้อย เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2427 ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก ฉศก จุลศักราช 1246 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ณ บ้านสองพี่น้อง ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่สองของนายเงินและนางสุดใจ มีแก้วน้อย มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา 5 คน
   
เมื่ออายุได้ 14 ปีโยมบิดาได้ถึงแก่กรรมท่านจึงรับภาระดูแลการค้าทางเรือแทนและเจริญรุ่งเรืองโดยลำดับ จนเป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง วันหนึ่งเมื่อท่านนำเรือเปล่ากลับบ้านพร้อมเงินรายได้จากการขายข้าวผ่านลัดคลองเล็กซึ่งชาวบ้านเรียกว่า คลองบางอีแท่น มีโจรผู้ร้ายชุกชุมท่านนึกถึงความตายขึ้นมา และได้อธิษฐานจิตว่า “ขอบวชจนตลอดชีวิต”
   
ครั้นอายุได้ 22 ปี ได้อุปสมบท ณ วัดสองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี มีฉายาว่า จนฺทสโร โดยมี พระอาจารย์ดี วัดประตูสาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบท ท่านจึงเริ่มปฏิบัติสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์เนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ได้จำพรรษาอยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษาเมื่อออกพรรษาที่วัดสองพี่น้องแล้ว ท่านจึงเดินทางมาจำพรรษา ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพื่อศึกษาด้านคันถธุระและฝากตัวเป็นศิษย์อดีตพระเถราจารย์ยุคเก่าอีกหลายรูป
   
หลวงพ่อสด หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นผู้ค้นพบวิชาธรรมกายจากการปฏิบัติธรรมขั้นสูง เป็นหนึ่งในพระอริยสงฆ์ประเทศไทยที่ได้รับการเคารพนับถือจากพุทธศาสนิกชนทั่วไป ซึ่งท่านเคยทำนายวันและเวลามรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำเหลือเชื่อ โดยในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 เวลา 15.05 น. ท่านได้มรณภาพอย่างสงบ ณ ตึกมงคลจันทสร วัดปากน้ำภาษีเจริญ สิริอายุ 74 ปี 3 เดือน 24 วัน 53 พรรษา.

ที่มา เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=175899

67
ฝึกนามรูป ฝึกธรรมกาย

 พรรษาที่ ๕ ปฏิบัติแบบ “นามรูป” ศึกษาจากฆราวาสบ้าง ศึกษาจากพระภิกษุบ้างและจากที่อื่นบ้าง ก็ได้มาศึกษาเรื่อง “นามรูป” ติดต่อกันนาน ทำได้สะดวกดี
 ทั้งนี้เพราะพิจารณานามรูปนี้ กำหนดไม่ยาก กำหนดว่า เห็นเป็นรูป-รู้เป็นนาม, รักเป็นรูป-รู้เป็นนาม, เดินเป็นรูป-รู้เป็นนาม, ย่างเป็นรูป-รู้เป็นนาม, เกลียดเป็นรูป-รู้เป็นนาม, รักเป็นรูป-รู้เป็นนาม



 ฉะนั้นอะไรเกิดขึ้นเป็นรูปทั้งหมด และตัวรู้เป็นนามทั้งหมดด้วย เพราะไม่ใช่ตัวเรา ของเราทั้งหมดแยกออกไป
 พอย่างเข้าพรรษาที่ ๖ อาตมาปฏิบัติแบบ “ธรรมกาย” ตอนนั้น พระอาจารย์แจ้ง สอนบ้างและศึกษากับพี่ชายบ้าง ซึ่งตอนหลังพระอาจารย์แจ้งก็สึกออกมา
 ขณะที่ศึกษากับพระอาจารย์แจ้ง อาตมาไปติดเพียง “กายทิพย์” แล้วก็เห็นว่าถึงทำไปก็ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ เป็นเพียงดวงของพระอรหันต์ เช่นดวงพระโสดา ดวงพระสกิทาคามี ดวงพระอนาคามี นี่เรียกว่าสำเร็จดวง แต่คนยังไม่ได้เป็น ก็เลยเลิก
 หลังจากนั้นผ่านนานแล้ว อาตมาก็ได้เข้าปริวาสกรรมที่วัดตโปทาราม จังหวัด ชลบุรี ได้เจอกับอาจารย์แก้ว ซึ่งเป็นฆราวาสเป็นผู้สอบอารมณ์ให้ผ่านพ้นไป จนถึง “ดวงพระอรหันต์” เมื่อถีงดวงพระอรหันต์ก็ดวงเป็น แต่คนยังไม่เป็น
 สรุปว่าวิชาธรรมกายนี้ ถึงแม้ว่าจะได้เพียง “กายทิพย์” ก็สามารถเอา “ดวง” ไปรักษาคน โดยทำดวงให้ใหญ่ก็ได้ เล็กก็ได้ แล้ววางไว้ที่หัวคนให้หายปวดหัว พอดวงหายแว๊บ แล้วก็หายปวด หายเมื่อย หายอาการต่าง ๆ คนก็นิยมให้อาตมารักษาอยู่ช่วงหนึ่ง
 อาตมาเห็นว่าหากทำอย่างนี้ต่อไปจะถูกรบกวนตลอด โดยไม่ได้มรรคผลอะไรเลย
 ความจริงวิชาธรรมกายนี้สามารถระลึกชาติหนหลังได้ เมื่อถึงกายทิพย์ดวงกำเนิด พอถึงดวงกำเนิดนี้ สามารถอธิษฐานให้รู้ว่าชาติก่อนเป็นอะไร พูดอย่างไร เสียงอย่างไร
 ฉะนั้นเมื่อได้ดวงแล้วใช้ให้มีกำลังก็ได้ ใช้ให้คนกลับใจก็ได้ แต่จะให้เป็นถึง “พระอรหันต์” คงไม่เป็น

http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-36

68
ผีขึ้นจากหลุม


 พระอาจารย์จำเนียร สีลเสฏโฐ บวชพรรษาที่ ๑ วัดนารีประดิษฐ์ จำวัดในป่าช้า มีพระบวชใหม่ในพรรษานั้น แต่ท่านยังกลัวผี หลวงพ่อจำเนียรจึงต้องการฝึกพระบวชใหม่ ไม่ให้กลัวผีเมื่อกลัวสิ่งใดต้องเข้าไปหาสิ่งนั้น อยู่ใกล้สิ่งนั้นจึงจะหายกลัว ท่านจึงพาพระบวชใหม่ ใครบ้างที่อยากไปจำวัดในป่าช้าคืนนี้ มีผีตายท้องกลมมาฝังไว้ ซึ่งกิตติศัพท์ผีตายท้องกลมเขาว่าดุนักหนา


 ในหนังผีก็กล่าวถึงบ่อย ๆ ได้อาสาสมัครที่จะไปนอนในป่าช้า ๔ องค์ หลวงพ่อพาพระบวชใหม่เข้าป่าช้าจัดให้นอนใกล้ ๆ หลุมผีตายท้องกลม พอดีมีคนมาตามพระอาจารย์จำเนียรให้ไปไล่ผี เพราะผีมาเข้าคน พระอาจารย์จำเนียรจึงออกจากป่าช้ามาทำพิธีไล่ผีที่สิงอยู่ในคน จากนั้นจึงกลับเข้าไปในป่าช้าเพื่อจำวัดตามปกติ เดินไปได้ครึ่งทาง พบพระบวชใหม่ ๔ องค์วิ่งหน้าตาตื่น ละล่ำละลักบอกผีหลอก




 “ผีมันกำลังขึ้นมาจากหลุมพวกผมเลยวิ่งก่อน”
 พระใหม่กลับไปจำวัดที่กุฎิ พระอาจารย์จำเนียรเดินไปที่หลุมผีตายท้องกลมยืนดูอยู่ว่า เมื่อไหร่จะลุกออกมาจากหลุมก็ไม่เห็นมีทีท่าอะไร นั่งสมาธิอยู่ข้าง ๆ หลุม รอให้ลุกมาจากหลุมก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราจนเมื่อยจึงล้มตัวลงนอน ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น เสียงนั้นดังฟืดฟืด ปุดปุด ๆ มันเอาราแน่หรือ รีบลุกขึ้นนั่งเพ่งมองดูที่หลุมมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า


 เหตุการณ์เป็นปกติอีกลองนอนใหม่ ก็ได้ยินเสียงดังเหมือนเดิมอีก จึงนอนฟังพิจารณาหาเหตุผลของเสียง ก็ความจริงว่าเป็นเสียงศพขึ้นอืด น้ำเหลืองน้ำหนองดันขึ้นออกจากศพ แต่ถูกดินกดทับไว้ จึงแทรกตัวซึมกระจายไปตามดิน ยิ่งใกล้สว่างเสียงยิ่งดังมากขึ้น ดังชัดขึ้นก็เพราะศพบวมอืดมากขึ้นนั่นเอง
 ฟ้าสว่างแล้วจึงออกจากป่าช้าไปบอกพระบวชใหม่ ให้ท่านมาดูว่าผีไม่ได้ลุกมาจากหลุม อย่างที่ท่านเข้าใจ แท้ที่จริงมันเป็นเสียงอะไรกันแน่
 สาเหตุที่นอนจะได้ยินเสียงชัดก็เพราะศพอยู่ใต้ดิน หรือผิวดินเสียงจึงใกล้หูมากกว่าตอนนั่งหรือยืน

http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-33

69
พบผีกลางวัน


 ขณะที่อยู่ วัดสุคนธาวาส ช่วงออกพรรษาแล้ว อาตมาได้เดินธุดงค์ทุกปี ไปไหนระหว่างออกพรรษาเงินก็ไม่เอา ไปไหนก็เดินหรือจะมีญาติโยมช่วยจ่ายค่ารถให้เป็นตอน ๆ บางครั้งมีพระติดตามช่วยจ่ายค่ารถให้ บางแห่งได้มีลูกศิษย์รับส่งให้เป็นช่วง ๆ บ้าง
 ตอนนั้นอาตมาไม่จับเงิน เพิ่งมาจับเงินที่วัดถ้ำเสือนี่เอง เพราะเป็นประธานสงฆ์ ต้องรับผิดชอบมากมายในกิจที่ต้องใช้เงิน



 อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ทุกปี บางปีก็ได้เจอเสือเจอช้าง บางปีไปถึงเชียงราย เชียงของ ไปเพื่อศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ จากผู้รู้ไปอยู่วัดนั้นคืนหนึ่ง วัดนี้คืนหนึ่ง แล้วเดินธุดงค์ต่อไป
 ครั้งหนึ่งอาตมาเจอพระภิกษุแก่องค์หนึ่งเดินป่ามานาน ชำนาญในเส้นทางเขมร ลาว และพม่า
 อาตมาได้ถามหลวงพ่อว่า
 “ท่านจะไปทางไหน”
 หลวงพ่อท่านท่านก็บอกว่า
 “ผมจะไปทางพม่า”
 อาตมาก็ขอร่วมเดินธุดงค์ไปด้วย จนกระทั่งจะเข้าพม่ากับท่าน ๆ ก็บอกว่า
 “อย่าโกนคิ้วนะ อยู่เป็นพระพม่าไปเลยแล้วเที่ยวได้หมด เพราะพระทางการก็ไม่เกี่ยวด้วยไม่ต้องทำพาสปอร์ตเดินทางอะไรเขาไม่เกี่ยว ขอให้ท่านอย่าโกนคิ้ว”
 ทั้งนี้วันหนึ่งพอฉันเช้าเสร็จก็เดินทางต่อ ท่านก็พูดว่า
 “ระหว่างเชียงของ เขตเชียงรายต่อแดนพม่า แถวนี้มีพวกผีกะเหรี่ยงอยู่ คุณอยากเห็นไหม
 ผีกระเหรี่ยงมันจะเดินนำหน้า ช่วงตอนเย็นพระอาทิตย์กำลังจะตก ผีพวกนี้จะเดินนำหน้าทันที คุณอย่าทัก อย่าพูดนะ แต่ดูได้ ถ้าพูดด้วยจะหายทันที”
 อาตมาก็เดินตามหลังท่านไป ก็คุยเรื่องอื่นบ้าง อะไรบ้าง แล้วท่านก็ชีให้อาตมาดู บอกว่า
 “เห็นหรือยังล่ะ”
 อาตมาบอกว่า
 “เห็นแล้ว”
 “แต่งตัวเหมือนพวกกะเหรี่ยงน่ะเต็มยศเลย ตานี้ไม่ปิด ลืมตาไปตลอดไม่กะพริบ เดินหันหลังให้ เราเดินไล่ไปเลย ไล่ไปให้ทัน”
 พอผีกระเหรี่ยงเดินออกข้างทางก็หายแวบไปเลย ไปไหนก็ไม่รู้ มองหาก็ไม่เห็น ก็เลยถามหลวงพ่อไปว่า
 “หลวงพ่อครับ มันหายไปไหนหาไม่เจอ”
 หลวงพ่อก็บอกว่า
 “เห็นเหมือนกันว่ามันเดินออกข้างทาง แล้วหายไปทันทีเลย”

http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-46

70
กฎแห่งกรรม / เทวดาสร้างบันได
« เมื่อ: 04 พ.ย. 2554, 03:19:44 »
เทวดาสร้างบันได 1/3
(หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ กระบี่)


http://www.tripdeedee.com/traveldata/krabi/krabi16.php

 อาตมาก็จะขอเล่าถึงเทวดามาช่วยสร้างบันไดหินได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเป็นงานใหญ่ใช้พลังมากหินผาก็หนัก ถ้าจ้างเขาทำ ๓ ปี ก็ไม่เสร็จ แต่แปลกที่สร้างเสร็จภายใน ๓ เดือน เรื่องนี้หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ได้บอกกับอาตมาว่าจะเชิญในหลวงเสด็จมาทอดพระเนตรถ้ำเสือ
 คือว่าทีแรกอาตมาให้ทำบันไดไม้ไว้ก่อนพอขึ้นลงเข้าไปในหุบเขาได้ ซึ่งบันไดนี้ใช้ได้ชั่วคราว
 อาตมาก็ว่าบันไดทำกับไม้เล็ก ๆ อย่างนี้ เดี๋ยวในหลวงเสด็จมาแล้วก็ย่อมมีคนมาก พอคนมากบันไดก็จะหักเสียหายหมด ให้ทำบันไดปูนเสียก่อน ขอให้ท่านหญิงช่วยติดต่อปูนที่โรงปูนราคาพอสมควรเพื่อมาทำบันไดก่อน
 ท่านหญิงก็รับว่าช่วยได้ อาตมาก็ตัดสินใจสร้างบันไดปูนก่อน แต่เทพเขาไม่ยอมให้สร้าง เขาอยากให้สร้างบันไดไม้ให้แข็งแรง
 พอท่านหญิงเสด็จกลับไปพักที่ทุ่งสง ที่ค่ายตำรวจตระเวนชายแดน ขณะนั้นท่านหญิงได้ปิดประตูใส่กลอนเรียบร้อยแล้วและกำลังเขียนหนังสือ ทันใดนั้นมีทั้งหญิงชาย เข้าไปในห้องเต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดประตู

 ท่านหญิงก็ตกใจ จึงได้ถามว่า
 “ใคร...มาทำไม เอ...ปิดประตูอยู่แล้วเข้ามาได้อย่างไร”
 พวกนั้นก็บอกว่า
 “อย่าตกใจ พวกเราเป็นเทวดาอยู่ที่ถ้ำเสือ”
 ท่านหญิงถามว่า
 “แล้วพวกท่านมาทำไม”
 เทวดาก็บอกว่า
 “ช่วยบอกอาจารย์จำเนียรด้วยว่าให้ทำบันไดไม้ อย่าทำบันไดปูนได้ไหม ขอร้องแค่นี้ เพราะอาจารย์จำเนียรเกรงใจท่านหญิงมาก”
 ท่านหญิงก็ว่า
 “ได้ เพราะฉันก็รักธรรมชาติเหมือนกัน”
 แล้วพวกเทวดาก็กลับไป ส่วนท่านหญิงก็เอากระดาษมาเขียนจดหมาย เพื่อให้ตำรวจตระเวนชายแดนมาส่งให้อาตมา ยังไม่ทันสว่างเลยตำรวจก็ไปถึงวัดถ้ำเสือ
 อาตมาก็ถามว่า
 “มาทำไม”
 ตำรวจก็บอกว่า
 “ท่านหญิงให้เอาจดหมายมาให้อาจารย์”

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-54

71
โค่นต้นไม้ใหญ่ด้วยพลังจิต


 หลวงพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดพระธาตุน้อย ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างถนนจากจันดีไปนครศรีธรรมราช มีต้นไม้ใหญ่อยู่ ๑ ต้นที่ขวางเส้นทางของถนน


 ชาวบ้านตัดขาดแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมโค่นดึงก็ไม่ล้มจึง ไปนิมนต์หลวงพ่อท่านคล้ายมา ท่านบอกให้ทุกคนหนีออกมาให้พ้นรัศมีของต้นไม้ซึ่งจะล้มไปทางที่หลวงพ่อกำหนดให้ล้ม เมื่อประชาชนหลบไปหมดแล้ว หลวงพ่อหยิบผ้าผูกเงื้อนตาย นิ่งสักครู่ก็ดึงผ้าในมือขาดเป็น ๒ เส้น ทันทีที่ผ้าในมือหลวงพ่อท่านคล้ายขาดต้นไม้ใหญ่ ล้มไปในทิศทางที่หลวงพ่อท่านบอกว่า





 “มันจะล้มไปทางนี้ขอให้ถอยออกมาให้หมด” ก็เป็นความจริงทุกประการ
 ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์มีหลายสิบคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แม่ชีอิ่มวัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่เป็นผู้หนึ่งที่ไปดูหลวงพ่อท่านคล้ายโค่นต้นไม้ด้วยพลังจิตของพระอรหันต์ทรงอภิญญา ๖ ปัจจุบันแม่ชีอิ่มยังมีชีวิตอยู่


ที่มา
http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-49

72
ประลองกับจระเข้ 1/2




 พอตอนอายุได้ ๕ ขวบเศษ พ่อได้สอนคาถาป้องกันจระเข้ ป้องกันสัตว์ร้ายและบุคคลอื่นให้เกิดเมตตาต่อเรา เรียกว่า คาถาเมตตาพุทโธ           อาตมาก็ท่องจำจนขึ้นใจ


 ต่อมาวันหนึ่งมีชาวบ้านไปตักน้ำในคลอง ซึ่งคลองนั้นก็มีจระเข้อาศัยอยู่ด้วย ปรากฏว่าชาวบ้านคนหนึ่งถูกจระเข้ฟาดอาการสาหัส ฝูงจระเข้ได้พากันลอยคอโผล่หัวสลอนเลย น่ากลัวมาก พ่อรู้เรื่องจึงรีบมา อาตมากับพี่ชายก็ตามมาด้วย
 พอมาถึงพ่อได้แกล้งโยนขวานลงไปในคลอง แล้วบอกพี่ชายอาตมาว่า
     “เองลงไปงมเอาของขึ้นมาให้ข้า”


 พี่ชายผวาหน้าซีด บอกว่าไม่กล้าเพราะกลัวจระเข้คาบเอาไปกิน พ่อจึงหันมาบอกให้อาตมาลงไป
 อาตมาก็ผวาเหมือนกัน มีใครบ้างที่ไม่กลัวจระเข้คาบเอาไปกิน อาตมาจึงเกี่ยงให้ท่านลงไปงมเอาเอง แต่ท่านกลับบังคับให้อาตมาลงไป


 “ข้าสอนคาถาป้องกันสัตว์ร้ายทุกชนิดให้เอ็งแล้วจำไม่ได้หรือ คาถานั้นจะป้องกันจระเข้ได้ด้วย เองท่องคาถาแล้วลงไปงมเอาของขึ้นมาเลย ข้ารับรองจระเข้ไม่กล้าทำอะไรเอ็ง”


 ถ้าอาตมาไม่ลงไป ต้องถูกดุว่าทุกตีหนักแน่ มีความกลัวท่านมากกว่ากลัวความตาย อันที่จะเกิดจากจระเข้ในน้ำเสียอีก
 อาตมาจึงหลับตาพนมมือบริกรรมคาถาป้องกันสัตว์น้ำ ปลุกใจตัวเองให้เกิดความกล้าหาญ แล้วอาตมาก็กระโจนลงไปในน้ำดังตูม แต่ก็แปลกมากน่าอัศจรรย์ จระเข้มันไม่ทำอะไรมันมองดูเฉย ๆ

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=533545

73
ธรรมะ / สุจริต 3 ทุจริต 3
« เมื่อ: 04 ต.ค. 2554, 11:00:49 »
สุจริต 3  ทุจริต 3

อาจารย์ไกรวิท วงศ์อามาตย์ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม  

สุจริต 3

สุจริต หมายถึง การประพฤติชอบ ประพฤติดี ส่งผลให้ผู้ประพฤติประสบกับสิ่งที่ดี? เช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน พูดความจริง พูดจาไพเราะ ปรารถนาดีต่อผู้อื่น เป็นต้น

ความประพฤติชอบเกิดได้ 3 ทาง คือ
1.? กายสุจริต คือ การทำความดีทางกาย เช่น แบ่งปันสิ่งของให้เพื่อน
บริจาคเงินสร้างวัด บริจาคสิ่งของแก่ผู้ที่เดือดร้อน ช่วยครูถือหนังสือ เป็นต้น
2.? วจีสุจริต คือ การทำความดีทางวาจา เช่น พูดจาไพเราะ พูดแต่ความจริง พูดยกย่องเพื่อน??? พูดให้กำลังใจผู้อื่น เป็นต้น
3.? มโนสุจริต คือ การทำความดีทางใจ เช่น ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข คิดแต่สิ่งที่ดีงามถูกต้อง เป็นต้น

ความประพฤติชอบทั้ง 3 ทางนี้ เป็นสิ่งที่ดี ควรทำ เพราะเมื่อกระทำลงไปแล้วจะทำให้ตนเองและผู้อื่นมีความสุข และส่งผลให้สังคมส่วนรวมมีความสงบสุข

ทุจริต 3

ทุจริต หมายถึง การประพฤติชั่ว ประพฤติไม่ดี ส่งผลให้ผู้ประพฤติประสบกับสิ่งที่ไม่ดี และอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนได้ เช่น หยิบเงินของพ่อแม่มาใช้โดยไม่ได้บอกกล่าว
โกหกเพื่อน พูดจาหยาบคาย เป็นต้น

ความประพฤติชั่วเกิดได้ 3 ทาง คือ
1.? กายทุจริต คือ การทำความชั่วทางกาย เช่น การลักขโมย การประพฤติผิดในกาม การทำร้ายผู้อื่น การฆ่าผู้อื่น เป็นต้น
2.? วจีทุจริต คือ การทำความชั่ว ความไม่ดีทางวาจา หรือการพูดไม่ดี พูดโกหกพูดหลอกลวง? พูดโป้ปดมดเท็จ เป็นต้น
3.? มโนทุจริต คือ การทำความชั่วทางใจ เช่น จิตคิดอิจฉาริษยา คิดปองร้าย? คิดโกรธเกลียด??? คิดอาฆาต พยาบาท โมโหฉุนเฉียว
เป็นต้น

ความประพฤติชั่วทั้ง 3 ทางนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรทำ ควรหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อกระทำลงไปแล้วจะทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ไม่มีความสุข และอาจส่งผลให้สังคมส่วนรวมเดือดร้อน


ที่มา
http://sassanapor4.com/th/index.php?option=com_content&view=article&id=94:-3-3-&catid=43:-2--&Itemid=99

74
เป็นหนังสือธรรมะที่อ่านง่ายย่อยง่าย อ่านสนุกด้วยครับ เลยนำมาให้ชาวเวปบางพระได้อ่านกันครับ
ในหนังสือมีทั้งหมด 20 ตอน จะทะยอยลงจนครบให้อ่านกันนะครับ

ขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/book/panya/

สารพันปัญญา (ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ)

คำนำ

           พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุผล ไม่บังคับให้เชื่อถืออย่างงมงาย แต่สอนให้ใช้ปัญญาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นก็ใช้ปัญญาค้นคว้าหาสาเหตุ แล้วพิจารณาหาทางแก้ไขที่ถูกต้อง ความทุกข์ก็ลดน้อยลง ชีวิตก็มีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาจึงเป็นชีวิตที่ประเสริฐ

เนื้อหาของหนังสือนี้ว่าด้วยการใช้ สารพันปัญญา แก้ไขปัญหาต่างๆ จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี นำมาเสนอเพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นคุณค่าของปัญญา อันเปรียบได้กับแก้วสารพัดนึกประจำชีวิต

ขออนุโมทนาท่านที่บริจาคทรัพย์ ท่านเจ้าของบทความ คติหรือข้อคิดที่ปรากฏในหนังสือนี้ รวมทั้งท่านที่ให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำต่างๆ ทำให้การพิมพ์หนังสือนี้สำเร็จด้วยดี ท่านเหล่านี้ย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของธรรมวิทยาทานนี้ด้วย หากมีความผิดพลาดใดๆ ในหนังสือนี้ ขอท่านผู้รู้ช่วยแนะนำแก้ไขหรือท้วงติงด้วย

ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและอำนาจแห่งธรรมวิทยาทานนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญา รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักผิดชอบชั่วดี นำปัญญามาเป็นประทีปส่องทางชีวิต แล้วก้าวเดินไปในทางที่ควรเดิน เว้นทางที่ควรเว้น บรรลุจุดหมายอันประเสริฐแห่งชีวิต่ของตน โดยทั่วหน้ากันเทอญ


ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕

.........................

75
ขอบคุณ นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์

20 วิธีเพื่อการนอนหลับดี ป้องกันฝันร้าย+ผีอำ

อาจารย์แห่งเว็บไซต์สุขภาพ 'RealAge' มีคำแนะนำดีๆ เพื่อการนอนหลับแสนสบาย ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ [ RealAge ]
...

(1). '12 ไม่'

ไม่กินอาหารที่มีกาเฟอีนหลังอาหารกลางวัน เช่น กาแฟ ชา ชอคโกแล็ต โกโก้ น้ำอัดลมชนิดน้ำดำ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ฯลฯ
ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ) 6 ชั่วโมงก่อนนอน (เหล้าทำให้กรนมากขึ้น หลับเร็วขึ้น แต่หลับตื้น และตื่นง่ายขึ้น)
...

ไม่ดู TV ก่อนนอน (ประมาณ 1-2 ชั่วโมง)... ถ้าเป็นรายการ TV เบาๆ ดูได้ เช่น สารคดี นิทานก่อนนอน ข่าวต่างประเทศ ฯลฯ ถ้าเป็นรายการเครียดๆ เช่น ข่าว 3 จังหวัดภาคใต้ ข่าวกลุ่มประท้วง 2 สีในไทย ฯลฯ ไม่ควรดู
ไม่สูบบุหรี่ก่อนนอน (บุหรี่ทำให้หัวใจเต้นแรง-เร็ว นอนหลับยากขึ้น)
...

ไม่เข้านอนทั้งที่หิว (หิวมากนอนหลับยาก อาจใช้วิธีเบาๆ สบายๆ เช่น ดื่มนมไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม 1/2 แก้ว ผลไม้ เช่น กล้วย แอปเปิล 1/2 ผล ฯลฯ)
ไม่กินอาหารมื้อใหญ่ 1-3 ชั่วโมงก่อนนอน (วิธีที่ดีคือ กินมื้อเย็นเป็นมื้อเล็กๆ มื้อเช้า-เที่ยงเป็นมื้อใหญ่)... ถ้าเป็นโรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease / GERD) ควรกินมื้อเย็นให้น้อยลงไปอีก
...

ไม่รอจนง่วงแล้วค่อยเข้านอน ทางที่ดีคือ เข้านอนก่อนง่วง... การเข้านอนหลังง่วงเต็มที่อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน เช่น ลุยทำงานดึกทำให้ร่างกายตื่นตัว อาจทำให้นอนดึกขึ้นเรื่อยๆ ฯลฯ
ไม่ออกกำลังหนักใกล้เวลานอน ให้ห่างออกไปสัก 1-3 ชั่วโมงน่าจะดี
...

ไม่ทำงานหน้าจอ (คอมพิวเตอร์) ก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรเขียนบล็อกเรื่องตื่นเต้นก่อนนอน (เรื่องเบาๆ เขียนได้ เช่น นิทานก่อนนอน ฯลฯ)
ไม่เปิดจอ (คอมพิวเตอร์) สว่างจ้าหลังพระอาทิตย์ตกดิน ควรปรับจอคอมฯ ตามเวลากลางวัน-กลางคืน กลางวันเปิดหน้าจอสว่างหน่อยได้ หลังพระอาทิตย์ตกดินควรเปิดไฟในบ้านให้สว่างน้อยลง เปิดจอคอมฯ ให้สว่างน้อยลง
...

ไม่เปิดเพลงเร็วๆ เร้าใจ หรือเพลงดังๆ ก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง ควรปรับเสียงต่ำ (เบส) ตามเวลากลางวัน-กลางคืน กลางวันเปิดเบสดังหน่อยได้ (ไม่ควรดังจนรบกวนคนอื่น) หลังพระอาทิตย์ตกดินควรลดเสียงเบสให้เบาลง
ไม่นอนกอดอก (อาจทำให้ฝันร้าย หรือรู้สึกคล้ายผีอำได้จากแรงกดของมือและแขน)


ที่มา
http://health2u.exteen.com/20090503/entry-5

76
วิสุทธิ ๗ ความบริสุทธิ์ของ ศีล สมาธิ ปัญญา

คัดลอกมาจาก
บทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ชุดที่ ๑๐
เรื่อง วิปัสสนากรรมฐาน
บทที่ ๒ วิสุทธิ ๗

วิสุทธิ แปลว่า ความบริสุทธิ์ อันหมายถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสที่เป็นไปทางกาย ทางใจ และทางปัญญา

กล่าวโดยย่อได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นไปโดยบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งปวง ความหมดจดจากกิเลส มี ๓ ระดับ คือ หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งทางกายทางจิตและปัญญา

ถ้าหมดจดจากกิเลสโดยศีล ก็หมดจดจากกิเลสอย่างหยาบ
โดยสมาธิ ก็หมดจดจากกิเลสอย่างกลาง
โดยปัญญา ก็หมดจดจากกิเลสอย่างละเอียด

วิสุทธิเป็นธรรมที่ละเอียดมากและเป็นธรรมชนิดนำไปสู่แดนเกษม คือพระนิพพาน
ผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานได้นั้นต้องดำเนินไปด้วยวิสุทธิ คือ
ต้องดำเนินไปด้วยความหมดจดจากกิเลส วิสุทธิ ๗ นี้มีการดำเนินไปที่เกี่ยวเนื่องกับญาณ ๑๖

ดังนั้น จึงแสดงตารางความสัมพันธ์กันของวิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๖ ไว้ที่หน้าสุดท้าย

วิสุทธิมี ๗ คือ
๑.สีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งศีล
๒.จิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งจิต
๓.ทิฏฐิวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งความเห็นที่ถูกต้อง
๔.กังขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของญาณที่ข้ามพ้นความสงสัย
๕.มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ในการเห็นแจ้งของญาณว่า
เป็นทางปฏิบัติถูกและทางปฏิบัติไม่ถูก
๖.ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ในการเห็นแจ้งของญาณในทางปฏิบัติถูก
๗.ญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของความรู้ความเห็น

ขอบคุณที่มา
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3669.msg13317#msg13317

77
ธรรมะ / อภิญญา 6
« เมื่อ: 12 ก.ย. 2554, 09:42:49 »
อภิญญา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

อภิญญาในคำวัดหมายถึงคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มี 6 อย่าง คือ

1.อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
2.ทิพพโสต มีหูทิพย์
3.เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
4.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
5.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
6.อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
อภิญญา 5 ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาณ) ข้อ 6 มีเฉพาะในพระอริยบุคคล
ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/อภิญญา

78
วิถีแห่งความรู้แจ้ง 1-2 ฉบับสมบูรณ์ ของ พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช         



ผู้เขียน พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช นามเดิม นายปราโมทย์ สันตยากร อุปสมบทที่วัดบูรพาราม
อ.เมือง จ.สุรินทร์ เมื่อ พ.ศ.2544 ช่วงก่อนอุปสมบทท่านได้เขียนบทความเกี่ยวกับการเจริญสติ เจริญวิปัสสนา หรือการดูจิต จากประสบการณ์ที่ได้รับการศึกษาและปฏิบัติมาจากหลวงปู่ดูลย์ อตุโล โดยใช้นามปากกาว่า อุบาสกนิรนามและสันตินันท์ หลังจากอุปสมบทแล้วท่านได้แสดงธรรมและเขียนหนังสือเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติภาวนา เพื่อพิมพ์แจกเป็นธรรมทานอีกหลายเล่ม
หนังสือวิถีแห่งความรู้แจ้ง แบ่งเป็นสองภาค คือ วิถีแห่งความรู้แจ้ง 1 พิมพ์แจกเป็นธรรมทานครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 และวิถีแห่งความรู้แจ้ง 2 พิมพ์แจกเป็นธรรมทานครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2545 เป็นงานเขียนที่มุ่งชี้แนวทางการปฏิบัติธรรมอันลัดสั้น ตามหลักวิปัสสนากรรมฐาน หนังสือนี้ไม่ใช่เพื่อความรอบรู้ในทางวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเสมือนแผนที่บอกวิถีทางสู่ความ
พ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง จนถึงขณะนี้หนังสือทั้งสองภาคได้รับการตีพิมพ์เป็นธรรมทานมาแล้วเกือบแสนเล่ม และเมื่อปีพ.ศ.2549 สำนักพิมพ์พรีม่า พับลิชชิ่ง ได้รับอนุญาตให้นำมาจัดพิมพ์และจัดจำหน่าย
วิถีแห่งความรู้แจ้ง 1 เป็นการรวบรวมงานเขียนของพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ครั้งยังเป็นฆราวาส แบ่งเป็น 4 บท ได้แก่ 1) แด่เธอผู้มาใหม่ ที่กล่าวถึงเรื่องเรียบง่ายและธรรมดาที่เรียกว่าธรรมะ 2) แนวทางปฏิบัติธรรมโดยสังเขป กล่าวถึงการเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้อง โดยมีเครื่องมือในการปฏิบัติธรรม อันได้แก่ สติ และสัมปชัญญะ 3) แนวทางปฏิบัติธรรมของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) กล่าวถึงเหตุผลที่ท่านเน้นการศึกษาที่จิต โดยวิธีดูจิต และ 4) การดูจิต กล่าวถึงความหมาย วิธีการ และผลของการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการอธิบายในเชิงวิชาการ
ส่วนวิถีแห่งความรู้แจ้ง 2 นั้นเป็นงานเขียนเมื่อได้อุปสมบทแล้ว หนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงสิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา อันได้แก่ความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง มีเนื้อหาที่กล่าวถึงว่าทุกข์คืออะไร ความทุกข์เกิดจากอะไร และอะไรคือทางแห่งความดับทุกข์ รวมถึงการแจกแจงเรื่องของการเจริญสติ อันได้แก่การเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ของรูปและนาม โดยการระลึกรู้ ถึง สภาวะธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง เจริญสติรู้ทันความปรุงแต่ง จนพ้นจากความปรุงแต่ง เข้าถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
ประเด็นหลัก/คุณค่าที่คู่ควรกับจิตตปัญญาศึกษา: หนังสือทั้งสองเล่มนี้ มีรายละเอียดอย่างสมบูรณ์ ในเรื่องของการเรียนรู้ศึกษาจิตใจตัวเอง ด้วยการมีสติ มีสัมปชัญญะ เป็นการเรียนรู้จิตใจตัวเองจากประสบการณ์ตรง ด้วยการใช้ภาษาที่เรียบง่ายในการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ในหนังสือ จึงทำให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้ด้วยตัวเอง และสามารถปฏิบัติตามได้ไม่ยาก และเมื่อได้เรียนรู้จิตใจตัวเองจนเกิดปัญญา เข้าใจความจริงตามหลักของพุทธศาสนา คือเข้าใจความเป็นไตรลักษณ์ของจิตใจตัวเองได้แล้ว ปัญญาอันเป็นจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพุทธศาสนา ก็จะส่งผลไปสู่การพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือการเข้าถึงความสุขที่แท้จริงต่อไป

ที่มา
http://www.jittapanya.com/index.php?option=com_content&view=article&id=202:-1-2-&catid=50:2010-03-01-08-40-53&Itemid=79

79
จริตของคนประเภทต่างๆ (จริต หรือ จริยา 6)         

จริต หรือ จริยา 6 (ความประพฤติปกติ, ความประพฤติซึ่งหนักไปทางใดทางหนึ่ง อันเป็นปกติประจำอยู่ในสันดาน, พื้นเพของจิต, อุปนิสัย, พื้นนิสัย, แบบหรือประเภทใหญ่ๆ แห่งพฤติกรรมของคน)
ตัวความประพฤติเรียกว่า "จริยา" บุคคลผู้มีความประพฤติอย่างนั้นๆ เรียกว่า "จริต"
1.ราคจริต (ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม) กรรมฐานคู่ปรับสำหรับแก้ คือ อสุภะและกายคตาสติ
2.โทสจริต (ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางใจร้อนหงุดหงิด) กรรมฐานที่เหมาะ คือ พรหมวิหารและกสิณ โดยเฉพาะวัณณกสิณ
3.โมหจริต (ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางเขลา เงื่องงง งมงาย) กรรมฐานที่เกื้อกูล คือ อานาปานสติและพึงแก้ด้วยมีการเรียน ถาม ฟังธรรม สนทนาธรรมตามกาล หรืออยู่กับครู
4.สัทธาจริต (ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางมีจิตซาบซึ้ง ชื่นบานน้อมใจเลื่อมใสโดยง่าย) พึงชักนำไปในสิ่งที่ควรแก่ความเลื่อมใส และความเชื่อที่มีเหตุผล เช่น พิจารณาอนุสติ 6 ข้อต้น
5.พุทธิจริต หรือ ญาณจริต (ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางใช้ความคิดพิจารณา) พึงส่งเสริมด้วยแนะนำให้ใช้ความคิดในทางที่ชอบ เช่น พิจารณาไตรลักษณ์ กรรมฐานที่เหมาะ คือ มรณสติ อุปสมานุสติ จตุธาตุววัฏฐานและอาหาเรปฏิกูลสัญญา
6.วิตกจริต (ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางนึกคิดจับจดฟุ้งซ่าน) พึงแก้ด้วยสิ่งที่สะกดอารมณ์ เช่น เจริญอานาปานสติ หรือเพ่งกสิณ เป็นต้น

ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) หน้า 189-190
http://www.buddha4u.org/index.php?option=com_content&view=article&id=75&Itemid=74

80
หลักในการคบเพื่อนและคุณธรรมแห่งบัณฑิต

คนเราเกิดมาต้องมีเพื่อนกันทุกคน เพราะว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่กันเป็นสังคม มีสัมพันธภาพเป็น สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อการดำรงชีวิตของบุคคลหนึ่งอย่างที่สุด

คำสอนที่ว่า " คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล "

นั้นยังคงใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย การที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาในสังคมหนึ่ง ซึ่งมีทั้งคนดีและ    ไม่ดีปะปนผสมกันไปนั้น ย่อมต้องส่งผลต่อเส้นทางเดินของเด็กคนนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถ้าเราสังเกตดูให้ดี ให้ลึก และมีจิตใจเป็นกลาง เราจะพบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ล้วนมีเพื่อนดีกันทุกคน เพื่อนที่    ดีที่ว่านี้คือ บุคคลซึ่งปิดทองหลังพระคอยตักเตือนชี้แนะ คอยนำพาเราไปพบแต่สิ่งดี ๆ และนำสิ่งดี ๆ มาให้เรา    เสมอโดยโดยไม่หวังผลตอบแทน การที่เด็กสมัยนี้จะเป็นคนดีมีคุณธรรมได้นั้น นอกจากต้องได้รับความดูแลเอา    ใจใส่และให้การอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว เพื่อนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะนำพาให้เขาถึงฝั่งฝันสมใจ    ปองของทุก ๆ คนได้ง่าย ลองดูหลักในการคบเพื่อน และ ความหมายของการคบบัณฑิตกันดีกว่า เผื่อจะได้ความ    หมายของคำว่า มีศตรูเป็นบัณฑิต ดีกว่ามีมิตรที่เป็นพาลและนำไปไช้ในชีวิตประจำวันอย่างเกิดประโยชน์เราควร    มีหลักการคบเพื่อนอย่างไรบ้าง   

1)  คนพาลชอบชักนำไปในทางที่ผิด เช่นชักชวนไปกินเหล้าเมายา เที่ยวกลางคืน

2)  คนพาลไม่ชอบวินัย ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองและประพฤติผิดศีลธรรม

3) คนพาลชอบแต่สิ่งที่ผิด ชอบเห็นความพินาศของผู้อื่นเมื่อเวลาตัวเองทำผิดก็ภูมิใจ

4) คนพาลชอบทำในสิ่งทีไม่ใช่ธุระของตนคือ ชอบไปก้าวก่ายธุระหน้าที่ของผู้อื่น ปล่อยปละละเลย ชีวิตของตน   

5) คนพาลแม้พูดจาดี ๆ ด้วยก็โกรธ

เมื่อเห็นใครทีมีลักษณะเลวทรามเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง 5 ประการ ให้ตั้งข้อสงสัยเลยว่า เขาเป็นคนพาลไม่ควรคบหาด้วย สำหรับบัณฑิตนั้นในทางธรรมหมายถึง ผู้รู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก รู้บุญ รู้บาป ซึ่ง    อาจรับปริญญาหรือไม่ก็ตามแต่สามารถดำเนินชีวิตด้วยความรู้เหล่านั้นด้วยดี เมื่อเราคบบัณฑิตเป็นเพื่อน เราจะ    ได้รับการถ่ายทอดความประพฤติและนิสัยที่ดีจากบัณฑิต ทำให้เรามีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น ทั้งด้านการ    งานเงินและชีวิตส่วนตัว ถึงแม้เราจะมีศัตรูเป็นบัณฑิตกับความเห็นผิดของเราเท่านั้น เมื่อเรากลับตัวเป็นคนดี บัณฑิตย่อมไม่ถือโทษโกรธเคือง แต่จะกลับเป็นมิตรแท้ให้แก่เราจนวันตาย เพราะฉะนั้นมีศัตรูเป็นบัณฑิตจึงดี    กว่ามิตรทีเป็นพาล

จัดทำโดย
นางสาวเฉลิมขวัญ ฉัตรทวีอุดม นางสาวประภัสสร พูลเกษม นางสาวสุทธ์สินี กิจแสงทอง นางสาวเขมจิรา เชษฐ์ชัยอมรกุล
โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพมหานคร

ที่มา
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-4/no09-24-32-38/page06.html

81
ธรรมะ / ....ตัณหา.......
« เมื่อ: 22 ส.ค. 2554, 09:32:47 »
ตัณหา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ตัณหา เป็นหลักธรรมข้อหนึ่งในพุทธศาสนา หมายถึง ความติดใจอยาก ความยินดี ยินร้าย หรือติดในรสอร่อยของโลก
ตัณหา ประกอบด้วย ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ และ ตัณหาย่อมเจริญแก่ผู้ประพฤติประมาท
ตัณหา ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดังนั้น ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อบุคคลยังถอนเชื้อตัณหาไม่ได้

ในหลักปฏิจจสมุปบาท ตัณหาเกิดจากเวทนาเป็นปัจจัย โดยมี อวิชชาเป็นมูลราก
ควรเห็นตัณหา เป็นดังเครือเถาที่เกิดขึ้น แล้ว จงตัดรากเสียด้วยปัญญา

ตัณหาแบ่งออกเป็น 3 อย่าง

กามตัณหา คือ ความอยากหรือไม่อยาก ใน สัมผัสทั้ง 5
ภวตัณหา คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ไม่ต้องการให้มันเปลี่ยนแปลง
วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากทางจิต ความอยากดับสูญ
ควรเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละตัณหา 3 อย่างนี้


อ่านเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ...ตัณหา ๓...โดย คุณ ~@เสน่ห์เอ็ม@~
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=17788.msg155611

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/ ตัณหา

82
จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน (โทสะจริต) 1/4

โทสะจริต


หากเราเป็นโทสะจริต
คนที่อยู่กลุ่มโทสะจริต หรือมีสภาวะอารมณ์เป็นอารมณ์โกรธ คนที่อยู่ในกลุ่มนี้โดยธรรมชาติแล้วเป็นบุคคลผู้มีหลักการของตนเองในการทำงานและในการกระทำต่างๆ และมักเป็นผู้เคารพกฎเกณฑ์และมีวินัยสูงกว่าจริตอื่นๆ และการที่ตัวเองมีหลักเกณฑ์ ระเบียบวินัยค่อนข้างสูง จึงทำให้ทนไม่ได้เมื่อมาเจอผู้ที่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีเคารพหลักเกณฑ์ นอกจากนี้จะเป็นคนที่รักษาคำพูดรักษาเวลา จึงทำให้ทนไม่ได้มาเมื่อกับคนที่ไม่รักษาคำพูดไม่รักษาเวลา

กลุ่มโทสะจริตมักคาดหวังว่าโลกจะเป็นอย่างที่ตัวเอง และจากการที่ตัวเองมักจะมีระเบียบวินัยสูงกว่าคนปกติ ก็มักจะคิดว่าโลกควรจะเปลี่ยนไปเหมือนตัวเอง แต่เมื่อพบว่าโลกไม่ได้เป็นอย่างนั้น และไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ก็เกิดความขุ่นเคืองลึกๆ อยู่ในใจอยู่เสมอ และพร้อมจะระเบิดออกมาได้เมื่อเจอกับผู้ที่ไม่มีความเป็นระเบียบวินัย หรือความไม่ถูกต้อง

การที่ยึดมั่นในหลักการและกฏเกณฑ์ต่างมากกว่าคนอื่นๆ ทำให้เป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้บุคคลที่เป็นโทสะจริงมีสมาธิแรงมาก แต่ในทางกลับคนที่มีพื้นฐานจิตเป็นโทสะจริตมักมีสติค่อนข้างอ่อน เพราะไม่ได้ดูโลกตามความเป็นจริง ไม่ได้ดูว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร แตกต่างกันเราอย่างไร อันที่จริงแล้วคนกลุ่มก็แทบไม่สนใจดูคนอื่นหรือดูโลกเท่าไรเลย เพราะคิดว่าโลกหรือทุกคนควรจะเปลี่ยนตัวเองไปตามหลักการหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง นั้นคือ ทุกคนควรมีวินัย ควรตรงต่อเวลา ควรเคารพกฏเกณฑ์ โลกของกลุ่มโทสะจริตเป็นโลกที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เป็นโลกที่เป็นอยู่จริง คนที่ไม่สามารถทำได้จะถูกดูว่าไม่มีความสามารถ และมีท่าทางเย้ยหยันโลก ดูถูกโลก กลุ่มโทสะจริตจึงไม่ค่อยมีความเมตรากับคนอื่นมากนัก เพราะมองว่า คนพวกนี้ทำตัวของตัวเอง ไม่รักษาคำพูด ไม่มีระเบียบวินัยเอง ดังนั้น เขาจึงได้รับผลจากกระทำของตัวเองดังกล่าว
คนประเภทโทสะจริตลึกๆ แล้วก็เป็นคนอ่อนข้างในเพราะไม่ค่อยได้รับความรักความอบอุ่น จึงมีความน้อยใจหรือต้องการความรักความอบอุ่นอยู่ลึกๆ แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง เลยจำต้องยึดกรอบเกณฑ์ระเบียบเป็นเสมือนเป็นเกราะป้องกันความอ่อนแอภายใน และไม่ต้องการให้ใครได้เห็นความอ่อนแอดังกล่าว แต่การที่มีเกราะขึ้นมาป้องกันมากทำให้ไม่สามารถแสดงความรักความรู้สึกได้มากเท่าไร ทำให้จิตใจค่อนข้างขุ่นเคืองเป็นประจำ

เราจะสังเกตคนกลุ่มโทสะจริตได้อย่างไร

คนที่อยู่ในกลุ่มโทสะจริตจะมีวิธีการพูดที่ตรงๆ ไม่กลัวใคร การพูดจาจะมีพลัง เสียงดังฟังชัด ฟังแล้วน่าเกรงขาม เพราะมีสมาธิแรง แต่คำพูดค่อนข้างแรงและหนัก ฟังแล้วไม่รื่นหูคำพูดอาจไม่ไพเราะ เพราะไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนฟังเท่าไร นอกจากนี้ จะพูดค่อนข้างเร็ว เพราะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ทำให้ผู้อื่นรับรู้ พฤติกรรมดูหยาบและดูหนัก
นอกจากนี้ยังเป็นคนพูดชี้ถูกชี้ผิด เพราะคนที่เป็นโทสะจริตเป็นคนที่คิดว่าตัวเองมีหลักการ และยึดกฏเกณฑ์เป็นที่ตั้ง ดังนั้นจะมีสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องอยู่ในใจเสมอ สิ่งไหนที่ไม่เป็นไปตามหลักการและกฏเกณฑ์ของตนเองแล้วย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูก เนื่องจากคนประเภทนี้มักจะเชื่อว่าตัวเองมีคุณธรรม มีวินัยสูง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นประเภทเจ้าระเบียบ เจ้ากฏเกณฑ์ จึงมักจะใช้หลักเกณฑ์ของตนเองเข้าชี้ผิดชี้ถูกคนอื่นอยู่เสมอ เป็นคนที่เคารพกฏเกณฑ์จึงมักทนไม่ได้ที่เห็นใครละเมิดกฏเกณฑ์ขององค์กรหรือของสังคม ทำให้คนอื่นมองว่าเป็นพวกชอบจับผิด
หากจะดูวิธีการแต่งกายของคนที่มีลักษณะโทสะจริตจะเห็นได้ว่า ค่อนข้างเป็นระเบียบ การแต่งตัวค่อนข้างประณีต สะอาด สำหรับสีที่ชอบจะเป็นสีฉูดฉาดหรือไม่ก็สีเข้ม เช่น แดง สีส้มสด เหลืองสด เพราะทำให้อารมณ์นิ่งสงบและเข้าสู่ภาวะปกติ
คนในกลุ่มนี้จะมีการเดินที่รวดเร็วและตรงแน่ว เพราะเขารู้ชัดเจนว่าจะเดินไปทางไหน เนื่องจากเป็นคนที่เคารพเวลาและมีวินัย จึงไม่ค่อยวอกแวก และรู้สักตัดบทเก่ง ไม่เออระเหยลอยชาย
ดวงตาจะสว่างไสวและเป็นประกาย เพราะสมาธิสูง หน้าจะมีสีสันต์และพลังงาน แต่หน้าตาอาจไม่สวยไม่หล่อนัก เพราะจิตมีความขุ่นเคืองเป็นอารมณ์ ไม่แจ่มใสเบิกบาน ประกอบกับไม่มีความเมตราทำให้ไม่มีเสน่ห์และบารมีมากนัก


ที่มา
http://www.yimtamphan.com/?p=135

83
กราบขอบพระคุูณทีมงานฯ.....ที่ตอนนี้ มีเสียงธรรมให้ฟังให้ได้ศึกษา
ชอบฟัง ฟังแล้วได้ความรู้มากมาย
ฟังซ้ำก็ได้ ก็ดี ฟังได้เสมอครับ

ขอบพระคุณครับ :054:

84
กาสาวพัสตร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กาสาวพัสตร์ (อ่านว่า กาสาวะพัด) แปลว่า ผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นคำเรียกผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งห่ม ผ้านุ่งห่มของพระสงฆ์ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีแก่นขนุนหรือสีกรัก ก็เรียกว่าเป็นผ้ากาสวพัสตร์ทั้งสิ้น ถือว่าเป็นของสูง เป็นของพระอริยะ เป็นเครื่องนุ่งห่มของพระพุทธเจ้าที่ทรงประทานอนุญาตให้พระสาวกใช้ได้ จัดเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง
คำว่า กาสาวพัสตร์ ในความหมายรวมๆ ก็คือผ้าเหลืองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา เช่น แม่พูดกับลูกว่า “ลูกเอ๋ย บวชให้แม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองสักพรรษานะลูก” คำว่า ผ้าเหลือง ในที่นี้ก็คือผ้ากาสาวพัสตร์ นั่นเอง


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/กาสาวพัสตร์

85
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ภิกษุณี
« เมื่อ: 20 ส.ค. 2554, 01:46:27 »
เห็นว่าท่านsaken6009 ไม่รู้จักภิกษุณี เลยขออนุญาตนำมาฝากให้อ่านกันครับ
=================
ภิกษุณี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ

ภิกษุณี (บาลี: ภิกฺขุณี; สันสกฤต: ภิกฺษุณี; จีน: 比丘尼) เป็นคำใช้เรียกนักบวชหญิง ในพระพุทธศาสนา คู่กับ ภิกษุ ที่หมายถึงนักบวชชายในพระพุทธศาสนา คำว่า ภิกษุณี เป็นศัพท์ที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา โดยเป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาอื่น
ภิกษุณี หรือ ภิกษุณีสงฆ์ จัดตั้งขึ้นโดยพระบรมพุทธานุญาต ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี โดยวิธีรับคุรุธรรม 8 ประการ ในคัมภีร์เถรวาทระบุว่าต่อมาในภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตวิธีการอุปสมบทภิกษุณีให้มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น จนศีลของพระภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ โดยพระภิกษุณีมีศีล 311 ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีศีลเพียง 227 ข้อเท่านั้น เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อน และการตั้งภิกษุณีสงฆ์ควบคู่กับภิกษุสงฆ์อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากได้บุคคลที่ไม่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวช
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ปรากฏว่ามีการตั้งวงศ์ภิกษุณีเถรวาทขึ้นในประเทศไทย อย่างไรก็ตามในประเทศพุทธเถรวาทที่เคยมี2หรือไม่เคยมีวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ในปัจจุบัน3 ต่างก็นับถือกันโดยพฤตินัยว่าการที่อุบาสิกาที่มีศรัทธาโกนศีรษะนุ่งขาวห่มขาว ถือปฏิบัติศีล 8 (อุโบสถศีล) ซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า แม่ชี เป็นการผ่อนผันผู้หญิงที่ศรัทธาจะออกบวชเป็นภิกษุณีเถรวาท แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีเถรวาทได้[1] โดยส่วนใหญ่แม่ชีเหล่านี้จะอยู่ในสำนักวัดซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากกุฎิสงฆ์
ภิกษุณีสายเถรวาทซึ่งสืบวงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลด้วยการบวชถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท ที่ต้องบวชในสงฆ์สองฝ่ายคือทั้งภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์ ได้ขาดสูญวงศ์ (ไม่มีผู้สืบต่อ) มานานแล้ว คงเหลือแต่ภิกษุณีฝ่ายมหายาน (อาจริยวาท) ที่ยังสืบทอดการบวชภิกษุณีแบบมหายาน (บวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว) มาจนปัจจุบัน ซึ่งจะพบได้ในจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และศรีลังกา1
ปัจจุบันมีการพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีในฝ่ายเถรวาท โดยทำการบวชมาจากภิกษุณีมหายาน และกล่าวว่าภิกษุณีฝ่ายมหายานนั้น สืบวงศ์ภิกษุณีสงฆ์มาแต่ฝ่ายเถรวาทเช่นกัน[2] แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายมหายานมีการบวชภิกษุณีสืบวงศ์มาโดยมิได้กระทำถูกตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีศีลที่แตกต่างกันอย่างมากด้วย ทำให้มีการไม่ยอมรับภิกษุณี (เถรวาท) ใหม่ ที่บวชมาแต่มหายานว่า มิได้เป็นภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีการยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างว่าพระพุทธศาสนาจำกัดสิทธิสตรีด้วย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะพระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้มีภิกษุณีที่นับเป็นการเปิดโอกาสให้มีนักบวชหญิงเป็นศาสนาแรกในโลก เพียงแต่การสืบทอดวงศ์ภิกษุณีได้สูญไปนานแล้ว จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถบวชสตรีเป็นภิกษุณีตามพระวินัยเถรวาทได้


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/ภิกษุณี

86
ผลกรรมของหลวงพ่อ 1/4
พระครูภาวนาวิสุทธิ์

อาตมา มี ประสบการณ์เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ที่เราจะต้องรับใช้ เมื่อเรามีจิตมีปัญญาเกิด จะรู้กฎแห่งกรรมทันที
จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เวรกรรมตามสนองอาตมา จึงรู้บุญบาป เมื่อก่อนนี้อยู่กับยาย อาตมาไม่สนใจกับพระตลอดกาล เวลาไปวัดหาบของไปทำบุญที่วัด ยายก็ต้องให้เก็บเอาก้อนดินไปด้วย ใส่กระบุงไปข้างละ ๓ ก้อน ไปถึงวัดแล้วให้ไปโยนไว้ที่มันเป็นบ่อ เป็นหลุมอยู่ในวัด ยายบอกได้บุญ อาตมาบอกว่าคนอื่นเขาไม่หาบดินไปวัดกันหรอก มีบ้านเราบ้านเดียวอายเขาตาย
ยายบอกว่าเราไปวัดเหยียบดินติดเท่ามานี่เป็นกรรมนะ เป็นบาป ใช้หนี้สงฆ์ เป็นหนี้สงฆ์มากเป็นบาปเป็นกรรม แต่แกก็ไม่ได้อธิบาย เขาเล่ากันมาอย่างนี้แกก็จำมาอย่างนี้ ก็ทำมาอย่างนี้ไม่เหมือนคนเดี๋ยวนี้ว่าไม่บาป บาปได้ยังไงเหยียบแค่นิดเดียว
พระก็ถมเอาเองซิ นี่คนรุ่นใหม่เข้าใจอย่างนี้ แต่คนรุ่นเก่าถือนักถือเชื่อเข้าไว้ก่อนมันมีประโยชน์ มันได้กำไรชีวิต
คือเชื่อกฎแห่งกรรม อาตมาเป็นเด็กเมื่อมาบวชใหม่ ๆ ไปบ้านญาติที่เขาเป็นนักเลง เป็นโจร เป็นเสือ เขากินเหล้ากัน พอเห็น
พระมาเขาเก็บแก้วหมดเลย เอาหล้าแอบเลย ยังกลัวบาปนะ เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง กินต่อหน้าพระเลยสบายมาก แถมงานศพเล่นไพ่
หน้าศพอุทิศส่วนกุศล แล้วพระก็สวดไป ไม่ได้เกรงกลัวต่อบาปกรรมแต่ประการใด เขาว่าบาปกรรมไม่มีแน่นอนเข้าใจอย่างนี้

สร้างกรรม-กินอาหารที่ยายถวายพระ

ตอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยม ยังอยู่กะยาย ยายให้เอาอาหารไปถวายพระ แล้วเราก็เอาไปทานเสียเองทั้งคาว ทั้งหวาน
แล้วก็บอกว่าไปถวายสมภาร เดินจากบ้านไปไม่มีรถหรอก เดินไปเป็นระยะทาง ๑ กิโลเมตร อาตมาไปก็ไปเจอเพื่อนนักเรียน
ที่สร้างความดีมาด้วยกัน หนีโรงเรียนกันสะบัด เพื่อนบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเลย เราก็นึกเลยว่าจะเอาไปให้พระทำไม เราก็ยัง
ไม่ได้กินเลย พรรคพวก ๔-๕ คนด้วยกัน ก็เห็นด้วย เลยตั้งวงกินกันเสียเลยเรียบร้อยล้างปิ่นโตเสร็จกลับบ้าน ยายถาม ไปวัดเจอสมภารไหมล่ะ บอกยายว่าผมไม่ได้ขึ้นกุฏิหรอก ให้เด็กมันถ่ายปิ่นโตให้แล้วผมก็มา ยายบอกว่าต่อนี้ไปต้องรับพรด้วยนะ
รับพรสมภารมาแล้วก็มาบอกยาย ยายจะได้ชื่นใจแล้วบอกท่านด้วยว่ายายให้เอาอาหารมาถวาย วันหลังเอาอีกแล้ว ให้ไปอีกก็เจอเพื่อนอีก โรงเรียนปิด ก็แบบเดิม กินเสร็จแล้วไปตีผึ้งต่อ ยายถามว่า “เจอสมภารมั้ย” เจอครับ รับพรเสร็จผมก็มา แท้ ๆ สมภาร
ดันมาอยู่บนบ้านเรา มาไม่บอกเราเลย มานั่ง นั่งตั้งนานแล้ว วันนั้นสมภารไปฉันบ้านใต้ ฉันเสร็จแล้วก็มานั่งคุยกับยาย แวะมาเยี่ยมยาย เราไม่รู้ ไม่บอกเรา เราไม่ทันแหงนดูบนบ้าน สมภารนั่งยิ้ม ยายเป็นคนใจบุญ พระชอบมาเยี่ยม แต่อาตมารำคาญ
พอสมภารกลับไปแล้วโดนหนัก บอกว่าบาป ถามว่านี่กี่เที่ยวแล้ว เราบอกว่า ๒ เที่ยวแล้วครับ ยายบอกว่า นี่ต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม กินข้าวไม่ลง เราก็ถามว่าเปรตสูงกว่าต้นตาลมั้ย ยายบอกว่าไม่เห็น เราไม่เชื่อหรอก ว่าหลอกเราแต่เราไม่พูด เถียงไม่ได้

โกงค่าเรือจ้าง
ในเวลากาลต่อมาไปโรงเรียนต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์ อาตมาโกงค่าเรือจ้างไม่ให้ค่าเรือจ้าง
กินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย แถมเลี้ยงเพื่อนด้วยนะ ก็โกงค่าก๋วยเตี๋ยวเขาอีก

ยิงนก-หักคอ-หักขานก

ในเวลาต่อมา โรงเรียนปิดหลายวันเทอมสุดท้ายแล้ว ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลเขามาขอแรงอาตมาไปยิงปืน ไปยิงนก เราก็ไม่รู้บุญบาปมันมีจริงอย่างไร สนุกดีก็เอาปืนลูกซองดาวกระจาย ๕ นัด บอกกับโยมว่าจะไปติดวิชาตอนโรงเรียนปิด อยู่สัก
๗ วันจะกลับมา ขอสตางค์สัก ๑๐๐ แม่ก็ให้ตังค์ไป เราจะเอาปืนไปได้ยังไง ก็เอาที่นอนไปด้วยเอาเสื่อออกมาเอาปืนไว้ข้างใน
เช้ากินข้าวแล้วก็ออกตามทุ่งตามหนองยิงนกเป็ด นกกระสา พอยิงได้จับหักคอใส่ตะข้อง พอนกมันจิก จิกก็ถลกหนังเลย ทรมานเหลือเกิน เราไม่ทราบว่ามันจะมีบาปกรรมแต่ประการใด ล่วงมาอีกวันหนึ่ง ก็ไปยิงนกกระสาถูกปีกมันหักแล้วมันบินไม่ได้
เราก็ขับมัน เหนื่อยมาก แล้วก็จับได้ ทำไง หักขาเลย นกก็ดิ้นร้องไห้ตาย สรุปให้ฟังที่อาตมาทำบาปกรรม ต่อมาได้บวชใน
พระพุทธศาสนา พ่อแม่ให้บวชโดยไม่ได้เลื่อมใส ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่อย่างนี้ก่อนที่จะบวชก็ไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ ไปอยู่โรงเรียนหลายโรงเรียนอยู่วัดก็ตั้งหลายวัด พอเสร็จจากเรียนหนังสือก็มาบวช กะว่าจะบวชสักพรรษาเดียวท่องเรียนหนังสือ
ไปจนจบหลักสูตร ก็ไปเจริญพระกรรมฐานออกป่าดงพงไพร

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

87
ปลาดุก ย่าง เป็นเหตุ 1/3
ปัญญา ฤกษ์อุไร

เมื่อเรารดน้ำมนต์หลวงพ่อแพเสร็จแล้ว คุณอำนวย ก็บอกข้าพเจ้าว่า ออกจากนี่เราจะไปวัดอัมพวันกัน วัดอัมพวัน
อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ออกไปทางถนนพหลโยธิน วัดตั้งอยู่ริมทางเลี้ยวเข้าไปประมาณ ๕๐๐ เมตรเท่านั้น ไหน ๆ ก็มาทำบุญ
วัดหลวงพ่อแพแล้ว ก็ควรจะเลยไปวัดอัมพวันสักหน่อยก็จะดี“ หลวงพ่อองค์นี้ดีทางไหน ”ข้าพเจ้าถามคุณอำนวยผู้แนะนำ
“ท่านเก่งทางนั่งทางใน และทางวิปัสสนากรรมฐาน” คุณอำนวยชี้แจง“ท่านเก่งทางวิปัสสนาก็เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวอะไรกะเราผู้เป็นฆราวาส” ข้าพเจ้ายังไม่หายสงสัย “เกี่ยวซิ ทำไมจะไม่เกี่ยว ยิ่งคนซวย ๆ อย่างผู้ว่ายิ่งเกี่ยวมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเรื่องที่ซวยอยู่เวลานี้มันเป็นมาอย่างไร” คุณอำนวยชักฉุนเพราะความขี้สงสัยของข้าพเจ้า “รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ไปพบท่านแล้วจะหายซวยกระนั้นหรือ” คุณอำนวยเกาหัวยิกยัก คงจะโมโหที่ข้าพเจ้าสงสัยไม่หยุด “อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร จึงได้รับเคราะห์กรรมถึงปานนั้น พระที่นั่งทางในได้นั้นย่อมมองเห็นอดีตและอนาคตของสัตว์โลกทุกชนิด เขาเรียกว่า มีทิพยจักษุ หรือญาณจักษุ อะไรทำนองนี้แหละ เข้าใจหรือยัง” เขาอธิบายจบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ซาบซึ้งแล้วครับ” ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ คุณอำนวยค้อนประหลับประเหลือก คงนึกในใจว่าไม่ควรพาข้าพเจ้ามา ดูจะมีปัญหามากเหลือเกิน

  เราออกจากวัดพิกุลทองของหลวงพ่อแพ มุ่งตรงไปออกทางเข้าสิงห์บุรีตรงตัดกับถนนพหลโยธิน แล้ววิ่งมาตามถนนพหลโยธินมุ่งเข้ากรุงเทพฯ จากปากทางเข้าเมืองสิงห์บุรีมาได้ประมาณ ๘ ก.ม. ก็จะถึงวัดอัมพวัน วัดนี้ถ้ารถยนต์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จะอยู่ทางด้านขวามือ ที่ปากทางมีป้ายเขียนไว้ว่า ทางเข้าวัดอัมพวัน หน้าวัดมีโรงเรียนหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่งชื่อโรงเรียนวัดอัมพวัน เมื่อผ่านโรงเรียนไปแล้วก็จะถึงตัววัด บริเวณวัดกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน มีต้นไม่ใหญ่ ๆ หลายต้นร่มรื่นสมกับ
เป็นที่อยู่ของบรรพชิต

   เมื่อพวกเราไปถึง ท่านอยู่พอดีมีอุบาสกอุบาสิกานั่งอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ คน พอคณะของพวกเราประมาณสิบกว่าคนไปถึง บรรดาท่านเหล่านั้นก็ลาหลวงพ่อไป คุณอำนวยนำพวกเราไปนั่งใกล้ ๆ สำหรับข้าพเจ้านั้นให้ไปนั่งข้างหน้าใกล้ ๆ กับหลวงพ่อ หลวงพ่อมีตำแหน่งเป็น พระครูภาวนาวิสุทธิ์ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกท่านว่า พระครูจรัญ เข้าใจว่าคงจะเป็นชื่อเดิมท่าน อายุประมาณ ๕๐ เศษ ดูท่าทางเป็นคนเคร่งศีลและวินัย การพูดจาตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ทำถูกท่านก็ว่าถูก ทำผิด ท่านก็ว่าผิด อาศัยเหตุผลเป็นหลักในการพูด เมื่อคุณอำนวยไปหาท่านโอภาปราศรัยดี แสดงว่าคุณอำนวยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ คนหนึ่ง “มาวันนี้ก็ดีแล้ว อยู่ให้ถึงเย็น อาตมาจะให้เขาหุงอาหารไว้ให้กิน” ว่าแล้วท่านก็สั่งแม่ชีจัดการหุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงคณะคุณอำนวย โดยที่คุณอำนวยไม่ทันจะพูดว่ากะไร “ผมมาวันนี้ นอกจากมากราบนมัสการท่านแล้ว ก็ยังได้แนะนำเพื่อนมาคนหนึ่ง ที่เขาประสบเคราะห์กรรม อยากจะให้หลวงพ่อช่วยนั่งทางในดูสักทีว่าเรื่องราวมันไปยังไงมายังไงกัน ถึงได้มาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้” คุณอำนวยบอกหลวงพ่อ “ไหนคนไหน” “คนนี้ครับ” ว่าแล้วคุณอำนวยก็ชี้มือมายังข้าพเจ้า “อ้อคนนี้เรอะ ท่าทางดีนี่ไม่เลวเลย แต่หน้าตาดูจะหมองคล้ำไปสักหน่อย คนกำลังมีเคราะห์ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวอาตมาจะนั่งหลับตาดูซิว่า
มันเรื่องอะไรกัน” พูดจบท่านก็นั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง พอลืมตาคุณอำนวยก็ถาม “เป็นไงหลวงพ่อ พอไหวไหม” “เฮ้อ! รายนี้อาการหนักมาก ความจริงดวงชะตาจะขาดอยู่แล้วตั้งแต่เดือนก่อนโน้น มีคนจะมาดักยิงที่บ้านพักแต่ยิงไม่ได้

ยมบาลก็ให้อภัยโทษอีก ๔๐ ปี บอกว่าสามีของเธอได้บวชในพระศาสนา ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลมาขอให้
อภัยโทษ ๔๐ ปี เหลือ ๒๐ ปีนี้เพราะเธอมีโทษ หนึ่งลักทองแล้วโยนความผิดไปให้คนอื่น สองที่บาปหนักคือ ลักข้าว ให้อภัยไม่ได้
เธอจะเอาอย่างนี้ไหม ก็เห็นว่าเธอมีคุณงามความดีสวดมนต์ไหว้พระเป็นหัวหน้าในเมืองนรกเจริญกรรมฐานในที่สุด จะให้กลับไปอยู่เมืองมนุษย์ ๒๐ ปี ไปใช้หนี้ผัว และจะต้องไม่กลับมาที่นี่ แต่ให้สัญญานะเจ้าจะต้องรักษาอุโบสถทุกวันพระ ทำได้หรือไม่ ประการที่สอง จะต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานเงิน ๑ ชั่ง ไม่เกินไม่ขาดเพื่ออุทิศส่วนกุศล มิฉะนั้นจะต้องกลับมาเมืองนรกอีก อย่างนี้นางก็รับปาก ก็มาเกิดใกล้บ้านตาปุ่นประมาณ ๒ กิโลกว่า ๆ มาเกิดเป็นลูกตาแป๊ะแก่ อยู่คนละตำบล แต่รู้จักกัน แป๊ะแก่ได้ภรรยามา ๑๕ ปี ไม่มีบุตร ภรรยาสาว แต่ผัวก็ ๕๐ กว่าแล้ว แต่เกิดมามีบุตรตอน ๑๕ ปีผ่านไป บุตรนั้นได้แก่นางสอิ้งนั่นเอง นางสอิ้งคนเดิมรูปร่างเหมือนยักษ์ขะหมูขีมีไฝฝีขี้แมลงวันเม็ดเบ้อเร่อ แล้วจอนตัดทัด ใบหู ดำปี๋ นุ่งผ้าโจงกระเบน ผอมเกร็ง อาตมารู้ เพราะดูรูปที่เขาแต่งงานกับตาปุ่น


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

88
ธรรมะ / เทวดามีจริงหรือ?........
« เมื่อ: 10 ส.ค. 2554, 10:54:27 »
เทวดามีจริงหรือ? 1/3

ปัญหามีอยู่ว่า: ตามบาลีมีอยู่ว่า

เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง.

ถ้าเชื่อว่ามีจริงเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องเหลวไหล ตามคติในยุคปัจจุบันไปหรือ?

ปัญหานี้ ผู้ถามได้ยึดเอาหลักที่อาตมาได้บรรยายไปในวันก่อนๆ ถึงตอนที่กล่าวว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ หาที่อื่นไม่ได้ ไม่พบ ต้องมาหาในมนุษยโลก ซึ่งมีพระรัตนตรัย;

เลยยึดเอาว่า ถ้าอย่างนั้น บาลีก็ยืนยันว่า ตัวเทวดามีจริง สวรรค์มีจริง? อาตมาอยากจะขอตอบว่า ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง;

แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐาน เช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง.

เรื่องเทวดานี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว อย่าไปเชื่อตามดีกว่า เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดา หรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คนที่มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณอย่างเทวดา และ จะเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ที่มัวเมาอยู่แล้ว ยากที่จะมีจิตใจที่โปร่งหรือแจ่มใสเพียงพอ ที่จะเข้าใจเรื่องดับทุกข์ หรือ เรื่องนิพพาน

เพราะฉะนั้น เทวดาเมื่อสำนึกถึงความที่ตนมัวเมาอยู่ในกามคุณ หรือในสวรรค์ได้ ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเอง ว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่เอาตัวรอดเสียแล้ว;

ควรจะเป็นในที่ที่ไม่มัวเมา ในกามคุณมากถึงเช่นนั้น; ควรจะเป็นที่ที่จะหาเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเรื่องดับทุกข์นั้นได้โดยง่าย.

เพราะฉะนั้น โลกที่ดีที่น่าเกิด ก็ควรจะเป็นมนุษยโลก แทนที่จะเป็นเทวโลก.

เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ควรจะอยู่ในที่ที่หาพบพระรัตนตรัยได้ง่าย หรือ ทำการดับทุกข์ได้ง่าย;


ที่มา
http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html

89
ความกลัว 1/5

 ความกลัว เป็นสิ่งที่มีอำนาจมากสิ่งหนึ่ง ในบรรดา สิ่งที่ทำลาย ความสุข สำราญ หรือ รบกวนประสาท ของมนุษย์ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยกัน

ความกลัวนี้ ย่อมมีลักษณะ และพิษสง มากน้อยกว่ากัน เป็นขั้นๆ ตามความรู้สึก อันสูงต่ำ ของจิต

เด็กๆ สร้างภาพ ของสิ่งที่น่ากลัว ขึ้นในใจ ตามที่ผู้ใหญ่ นำมาขู่ หรือได้ยิน เขาเล่า เรื่อง อันน่ากลัว เกี่ยวกับผี เป็นต้น สืบๆ กันมา แล้วก็กลัว เอาจริงๆ จนเป็นผู้ใหญ่ ความกลัวนั้น ก็ไม่หมดสิ้นไป


ความกลัว เป็นสัญชาตญาณ อันหนึ่งของมนุษย์ เหมือนกันหมด แต่ว่า วัตถุที่กลัว นั่นแหละต่างกัน ตามแต่เรื่องราวที่ตนรับ เข้าไว้ในสมอง

วัตถุอันเป็น ที่ตั้งของความกลัว ที่กลัวกันเป็นส่วนมากนั้น โดยมากหาใช่วัตถุ ที่มีตัวตน จริงจัง อะไรไม่ มันเป็นเพียงสิ่งที่ใจสร้างขึ้น สำหรับกลัวเท่านั้น ส่วนที่เป็น ตัวตน จริงๆ นั้น ไม่ได้ ทำให้เรากลัวนาน หรือ มากเท่าสิ่งที่ใจสร้างขึ้นเอง มันมักเป็น เรื่องเป็นราวลุล่วงไปเสียในไม่ช้านัก

บางที เราไม่ทันนึก กลัว ด้วยซ้ำไป เรื่องนั้นก็ได้มาถึงเรา เป็นไปตามเรื่องของมันและผ่านพ้นไปแล้ว มันจึงมิได้ทรมานจิตของมนุษย์มากเท่าเรื่องหลอกๆ ที่ใจสร้างขึ้นเอง

เด็กๆ หรือคนธรรมดา เดินผ่านร้านขายโลง ซึ่งยังไม่เคย ใส่ศพเลย ก็รู้สึกว่า เป็นที่น่ารังเกียจ หรือเป็นที่ อวมงคล เสียจริงๆ เศษกระดาษ ชนิดที่เขา ใช้ปิดโลง ขาดตก อยู่ในที่ใด ที่นั้น ก็มี ผี สำหรับเด็กๆ

เมื่อเอาสีดำ กับกระดาษ เขียนกันเข้า เป็น รูปหัวกระโหลก ตากลวง ความรู้สึกว่าผี ก็มาสิง อยู่ใน กระดาษ นั้นทันที

เอากระดาษฟาง กับกาวและสี มาประกอบกัน เข้าเป็น หัวคนป่า ที่น่ากลัว มีสายยนต์ ชักให้แลบลิ้น เหลือกตา ได้ มันก็พอที่ทำให้ใคร ตกใจเป็นไข้ได้ ในเมื่อนำไปแอบ คอยที่ชักหลอกอยู่ในป่า หรือที่ขมุกขมัว และแม้ที่สุด แต่ผู้ที่เป็นนายช่าง ทำมันขึ้นนั่นเอง ก็รู้สึกไปว่า มันมิใช่กระดาษฟาง กับกาวและสี เหมือนเมื่อก่อน เสียแล้ว ถ้าปรากฏว่า มันทำให้ใคร เป็นไข้ ได้สักคนหนึ่ง


เราจะเห็นได้ ในอุทาหรณ์ เหล่านี้ ว่า ความกลัวนั้น ถูกสร้างขึ้น ด้วยสัญญาในอดีตของเราเอง ทั้งนั้น เพราะปรากฏว่า สิ่งนั้นๆ ยังมิได้เนื่องกับผีที่แท้จริง แม้แต่นิดเดียว และสิ่งที่เรียกว่า ผี ผี , มันก็ เกิดมาจากกระแส ที่เต็มไปด้วย อานุภาพอันหนึ่ง อันเกิดมาจาก กำลังความเชื่อแห่งจิต
ของคนเกือบทั้งประเทศ หรือ ทั้งโลก เชื่อกันเช่นนั้น อำนาจนั้นๆ มัน แผ่ซ่าน ไปครอบงำจิตของคนทุกคน ให้สร้าง ผีในมโนคติ ตรงกันหมด
และทำให้เชื่อ ในเรื่องผี ยิ่งขึ้น และผีก็มีชีวิต อยู่ในโลกนี้ได้

จนกว่าเมื่อใด เราจะหยุดเชื่อเรื่องผี หรือ เรื่องหลอก นี้กันเสียที ให้หมดทุกๆ คน ผีก็จะตายหมดสิ้นไปจากโลกเอง จึงกล่าวได้ว่า ความกลัวที่เรากลัวกันนั้น เป็นเรื่องหลอก ที่ใจสร้างขึ้นเอง ด้วยเหตุผล อันผิดๆ เสียหลายสิบเปอร์เซ็นต์

ความกลัว เป็นภัยต่อความสำราญ เท่ากับความรัก โกรธ เกลียด หลงใหล และอื่นๆ หรือบางที จะมากกว่าด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่า ธรรมชาติ ได้สร้างสัญชาตญาณ อันนี้ให้แก่สัตว์ ตั้งแต่ เริ่มออกจากครรภ์ ทีเดียว, ลูกนก หรือ ลูกแมว พอลืมตา ก็กลัวเป็นแล้ว แสดงอาการหนี หรือป้องกันภัย ในเมื่อเราเข้าไปใกล้

ที่มา
http://www.buddhadasa.com/shortbook/fearghost.html

90
ประสบการณ์วิญญาณ / หลอนสุดขีด
« เมื่อ: 04 ส.ค. 2554, 10:28:39 »
หลอนสุดขีด

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"นิศานาถ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของคนขี้ลืม

ดิฉัน มีเพื่อนข้างห้องที่เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมอย่างร้ายกาจ และเพราะโรคเจ้ากรรมนี้เองค่ะที่ทำให้เกิดเรื่องสยองขวัญอย่างแทบจะเป็นไป ไม่ได้

ไม่ต้องคิดไปไกลถึงคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือคนชราที่นับวันก็ยิ่งเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมตามอายุขัย อย่างที่พูดกันติดปากว่า "หลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่" เพียงแค่เอ่ยถึงคนที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวนี่ก็พอค่ะ

ทุกคนย่อมเคย รู้จักคนขี้ลืมกันทั้งนั้น และทุกคนที่ยอมรับความจริงก็ต้องพบว่าตัวเองเคยเป็นคนขี้ลืม จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่มีอาการมากหรือน้อยเท่านั้นแหละ

ตั้งแต่วางของใช้ เช่น ปากกาหรือแว่นตาไว้แล้วจำไม่ได้ว่าวางไว้ที่ไหน

ลืมกุญแจบ้าน ลืมกุญแจรถ กระทั่งลืมกุญแจไว้ในรถที่ล็อกเรียบร้อยแล้ว

จำ ไม่ได้ว่าปิดไฟ ปิดแก๊สไว้หรือเปล่า? หลายๆ ครั้งถึงกับต้องย้อนกลับไปดูให้รู้แน่ ไม่งั้นก็ไม่สบายใจ กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ จนถึงเข้าห้องนอนแล้วนึกไม่ออกว่าใส่กลอนหรือล็อกประตูเรียบร้อยหรือยัง?

ลืมลูกเล็กๆ ไว้ในรถประจำทาง แม้แต่ในรถแท็กซี่ก็เคยเป็นข่าวหลายครั้ง

ขนาดจะเดินทางไปต่างประเทศ พอถึงสนามบินแล้วเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้นำหนังสือเดินทางมาด้วยก็มีนี่คะ!

"เปิ้ล" เป็นเพื่อนข้างห้องเช่าที่ดินแดงนี่เอง นิสัยเราตรงกันตรงที่ชอบอยู่คนเดียว ไม่อยากชวนใครมาเป็นเพื่อนเพื่อแชร์ค่าห้อง ถือว่ารักอิสระเสรีเหนืออื่นใด ...แต่สิ่งที่แตกต่างกันสุดขั้วก็คือเปิ้ลเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมขนาดหนัก ตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ ยังคิดว่าเธอแกล้งทำด้วยซ้ำ

เดี๋ยวลืมกุญแจ ห้อง เดี๋ยวลืมกุญแจรถ เดี๋ยวลืมกระเป๋าสตางค์...ทั้งในห้องและที่ทำงาน เดี๋ยวลืมรหัสเอทีเอ็ม เดี๋ยวลืมว่ารุ่งขึ้นเป็นวันหยุด เดี๋ยวลืมว่านัดกับเพื่อนที่ศูนย์การค้าจนเพื่อนโทร.มาต่อว่า ขณะที่เปิ้ลเข้ามานั่งคุยจ๋อยๆ อยู่ในห้องดิฉัน แต่ไม่มีใครถือโกรธมากมายอะไรเพราะรู้นิสัยขี้ลืมของเธอดี

"ขวัญ" เพื่อนสนิทคนหนึ่งถึงกับแซวว่า....นี่เปิ้ล! ฉันว่าเธอเขียนชื่อแขวนคอไว้ดีกว่าว่ะ เผื่อเกิดลืมว่าตัวเองชื่ออะไรจะได้ดูป้ายไงล่ะ!

เปิ้ลได้แต่ยิ้ม แหยๆ ดูแล้วก็น่าสงสาร เพราะวันนั้นขวัญมาค้างที่ห้องเปิ้ล หาซื้ออะไรมากินกันสามคน พูดคุยปากกว้างเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ แต่ขวัญแซวซะจนดิฉันอดสงสารเปิ้ลไม่ได้ ...เราแนะนำให้เธอไปหาหมอเพื่อปรึกษาโรคลืมฉกาจฉกรรจ์ แต่เปิ้ลกลับค้อนควักให้

"จะบ้าเรอะ? จู่ๆ จะให้ฉันไปหาจิตแพทย์ เดี๋ยวใครก็นึกว่าฉันเป็นบ้าน่ะซี!"

ต้องยอมรับว่าคนไทยเรายังแยกไม่ออกหรอกค่ะ ทำให้คนที่มีปัญหาทางอารมณ์หรือจิตใจที่อาจรักษาได้ แต่ไม่กล้าไปพบจิตแพทย์เป็นส่วนใหญ่

จน กระทั่งวันหนึ่งก็เกิดเหตุร้าย เมื่อขวัญโดนรถเก๋งชนตายคาที่หน้าบริษัทที่สีลมนั่นเอง ขณะรีบร้อนจะออกไปหาอาหารกลางวันกินกับเพื่อนๆ แต่เธอเคราะห์ร้ายเพียงคนเดียว

เปิ้ลร้องห่มร้องไห้จนนัยน์ตาบวม เล่าว่าวันนั้นเธอไปกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งที่ส่วนมากจะไปกับขวัญ...พวกเราไม่มีโอกาสได้ไปงานศพเธอ เพราะญาติๆ จากภาคเหนือมารับศพไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด

ความตายอาจจะเป็นการ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ หรือไม่ก็เป็นการสาบสูญไปเลย ตามความเชื่อของคนบางกลุ่มก็ได้ค่ะ เพราะไม่มีวี่แววว่าใครจะพบเห็นหรือฝันถึงเธอเลยแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งวันเสาร์ถัดมา...

ขณะ ที่ดิฉันนอนตื่นสายจนตะวันโด่ง เพราะไม่ต้องรีบไปทำงานตามปกติ หลังจากทำธุระส่วนตัวแล้วก็ออกมาชงกาแฟ เปิดทีวีดูข่าว...เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เปิ้ลก้าวเข้ามาดูข่าวนิด หน่อย แล้วเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะถามโพล่ง...ไอ้ขวัญล่ะ? หายไปไหน? เข้าห้องน้ำเหรอ? เล่นเอาดิฉันงุนงงไปพักหนึ่ง...ขวัญไหน? เปิ้ลก็มองเหมือนจะค้อนให้

"ยังจะแกล้งถามอีก ก็ไอ้ขวัญเพื่อนเปิ้ลไง! เมื่อคืนมันมานอนด้วย เม้าธ์กันจนดึก แต่ตื่นเช้ามานี่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ...เลยนึกว่ามาคุยที่ห้องเธอน่ะซี!"

ดิฉัน ยอมรับว่าตกใจจนแข็งทื่อ อ้าปากค้าง ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว จ้องหน้าเปิ้ลก่อนจะหลุดปากแบบโพล่งออกมาว่า ...ขวัญตายไปตั้งหลายวันแล้ว จะมานอนค้างกับเธอได้ยังไง?

เท่านั้นแหละค่ะ เปิ้ลก็เบิกตากว้าง กรีดร้องสุดเสียง ก่อนจะเป็นลมล้มฮวบลงกองกับพื้น...อยู่ดีๆ นิสัยขี้หลงขี้ลืมของเธอ จำไม่ได้ว่าเพื่อนตายไปแล้ว ก็ทำให้ดิฉันหวิดจะหัวใจวายไปเลย...ขนหัวลุกค่ะ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEzTVRJMU1nPT0=ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNaTB3Tnc9PQ==

91
ประสบการณ์วิญญาณ / คนดวงขาด
« เมื่อ: 02 ส.ค. 2554, 10:44:27 »
คนดวงขาด

"เมธิชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อคนเมา ขับรถ

สงกรานต์ปีนี้ทำให้ผมนึกถึงสงกรานต์ปีก่อน โดยเฉพาะเรื่องราวสยดสยองของอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายปีละหลายร้อยหลายพัน...ไม่นึกว่าจะต้องประสบกับญาติมิตรตัวเองมาก่อนเลย

คำขวัญต่างๆ ล้วนออกมาปลุกเร้าให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดมากยิ่งขึ้นทุกๆ ปี

"ดื่มแล้วขับ ถูกจับแน่"

"ดื่มไม่ขับ-ขับไม่ซิ่ง"

เคยเห็นคำขวัญทำนองนี้ที่ต่างจังหวัด กระทบใจสุดๆ

"ขับคะนอง-จองโลง!!"

เรื่องสยองขวัญวันสงกรานต์เกิดกับ "พี่แพ็ต" เพื่อนบ้านผมที่คลองประปา บางซื่อนี่เองครับ

พี่แพ็ตเป็นหนุ่มใหญ่ อาชีพรับราชการทั้งผัวทั้งเมีย นิสัยดี อารมณ์รื่นเริงคุยสนุก ข้อเสียอย่างเดียวของพี่แพ็ตคือชอบดื่มเหล้าขนาดหนัก ถึงจะไม่ดื่มตอนกลางวันจนเสียงาน แต่ตกเย็นเป็นร่ำสุราจนน่ากลัวใจ

ยิ่งรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดด้วยแล้ว พี่แพ็ตกระหน่ำเหล้าชนิดไม่ยับยั้งจริงๆ เอ้า!

คนเมาขับรถก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่พี่แพ็ตขับซิ่งชนิดบ้าระห่ำ ผมเคยนั่งด้วยหนเดียวเข็ดจนตาย ถึงแม้พี่แพ็ตจะยืนยันว่าตั้งแต่ขับรถมาสิบกว่าปี ยังไม่เคยประสบอุบัติเหตุรุนแรงแม้ครั้งเดียวก็ตาม

เขาว่าพวกคอเหล้ามักจะมีเพื่อนฝูงมาก คงจะเป็นความจริงนะครับ เพราะเห็นพี่แพ็ตมีเพื่อนมากมายเหลือเกิน ขนาดผมอยู่บ้านรั้วติดกันยังรู้จักไม่หมด!

ระยะหลังๆ สังเกตว่าร่างกายของพี่แพ็ตชักจะอ่อนแอลง หรือเพราะดื่มหนักกว่าเดิมก็ไม่ทราบแน่ชัด บางคืนขับมาจอดหน้าบ้านแล้วขับรถเข้าประตูไม่ได้ ต้องทิ้งรถแล้วเดินโซเซเข้าไป บางคืนก็หลับผล็อยคาพวงมาลัย...เมียมาปลุกบ้าง หลับไปจนสว่างบ้าง ถึงจะไม่เกิดอุบัติเหตุก็น่าห่วงใยเต็มที

ผมเคยเตือน "เมาไม่ขับ" เป็นดีที่สุด ถ้าไม่นั่งแท็กซี่ก็ให้เพื่อนฝูงที่ไม่เมาขับให้ เมื่อถึงบ้านก็มีเพื่อนที่ขับรถตามมารับโชเฟอร์จำเป็นกลับไปด้วยก็จะดีมากๆ

พี่แพ็ตก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง จนกระทั่งเหตุร้ายอุบัติขึ้นมา!

สงกรานต์ปีนั้น ผมกับพี่แพ็ตไม่ได้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็เหมือนกับทุกปีน่ะแหละครับ คือเราไม่ชอบไปเที่ยวหน้าเทศกาล ไม่อยากแย่งกันใช้ถนน แย่งกันอยู่ แย่งกันกิน...แต่หลายๆ คนก็ชอบ บอกว่าไปเที่ยวทั้งทีไม่ได้แย่งอยู่แย่งกินก็ไม่สนุกน่ะซี

ผมอยู่บ้านกับครอบครัวจริงๆ แต่พี่แพ็ตไม่มีโอกาสเพราะเพื่อนมาก ต้องไปดื่มกับคนนั้น ต้องไปเฮกับคนนี้ จนถึงวันหยุดสุดท้ายแกบอกผมว่า เรามาฉลองสงกรานต์กันที่บ้านดีกว่า! แต่ไม่วายมีเพื่อนพี่แพ็ตมาหาอีกสามคน รถยนต์หนึ่งคัน

ยินดีต้อนรับเต็มที่ ทั้งเหล้าและกับแกล้มเหลือเฟือ เมียพี่แพ็ตก็นำอาหารมาเพิ่มเติม...ทำท่าว่าจะเมาให้หมดสติอยู่ที่บ้านนั่นแหละ รุ่งขึ้นก็ไปทำงานแล้ว

ราวสองทุ่มเศษก็มีเพื่อนโทร.มาตามพี่แพ็ต บอกว่านัดไว้จะไปฉลองกันที่ร้านซีฟู้ดริมแม่น้ำบางปะกง เพื่อนอีกสามคนก็นึกขึ้นได้...พี่แพ็ตเลยต้องขอตัวไปพบเพื่อน ผมบอกให้นั่งรถเพื่อนไปเลย แต่พี่แพ็ตบอกว่าเอารถไปดีกว่า อยากกลับจะได้กลับทันที

ผมย้ำให้เพื่อนที่ชื่อโจ้ช่วยขับรถให้ พี่แพ็ตก็หัวเราะ โบกมือล่ำลา...

คืนนั้นผมใจคอหงุดหงิดวุ่นวายบอกไม่ถูก กว่าจะขึ้นนอนก็ราวห้าทุ่ม...ฝันเห็นพี่แพ็ตขับรถตะบึงมาในความมืดน่ากลัว เสียงโครมสนั่น! เล่นเอาสะดุ้งตื่น...เมื่อลุกไปดูที่หน้าต่างก็เห็นพี่แพ็ตเดินโซซัดโซเซเข้าบ้าน

ก่อนจะลับตา ดูเหมือนแกจะหันมาเงยหน้ามองผมในแสงไฟเยือกเย็น...

รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าพี่แพ็ตเกิดอุบัติเหตุตอนขากลับ รถพุ่งชนเสาไฟคอหักตายคาที่กับเพื่อนชื่อโจ้...พี่แพ็ตเมามากจนนอนอยู่เบาะหลัง โจ้ต่างหากล่ะครับที่เป็นคนขับน่ะ...ไม่รู้ว่าผีพี่แพ็ตมองผมอย่างตัดพ้อหรือเปล่า? ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกครับ!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV5TURVMU13PT0=

92
ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม 1/2
สุวิไล บุญธวัชชัย

    ก่อนอื่นดิฉันขอขอบคุณสามีที่อนุญาตให้นำเรื่องนี้มาเล่า เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่มีคู่ครองติดสุราหรืออบายมุขอื่นๆ ที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ได้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

    ชีวิตของดิฉันตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ความสุขสบาย ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาไม่นาน ก็ได้แต่งงานกับสามีซึ่งมีฐานะและพื้นฐานทางครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน คุณพ่อของสามีมีกิจการค้าส่วนตัว เมื่อเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวสามี คุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของสามีดีต่อดิฉันมาก สามีก็ช่วยกิจการค้าของคุณพ่อ
ชีวิตสมรสของดิฉันราบรื่น ขณะที่มีลูกสาว ๓ คนที่น่ารัก (ลูกชายคนเล็กเกิดภายหลังวิกฤตการณ์ของครอบครัว) สามีเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ ไปไหนมาไหนจะไปทั้งครอบครัว วันหยุดส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือจน ต้องมาใช้กรรมที่ทำไว้ทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดิฉันก็เช่นเดียวกัน หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อยู่หลายปีเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานประมาณ ๑๐ ปี สามีไปเข้าหุ้นทำการค้ากับเพื่อนๆ ตัวเขาไม่ได้เข้าไปบริหารแต่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท ทำไปได้ไม่นานก็เกิดขาดทุน ไม่มีใครเข้าไปรับผิดชอบ สามีดิฉันซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จึงต้องเข้าไปสะสางหนี้สินทั้งหลาย

   ชีวิตของดิฉันแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพราะสามีต้องไปทำงานที่บริษัทใหม่ หน้าที่การงานที่เขาเคยรับผิดชอบอยู่ที่กิจการของคุณพ่อก็ต้องโอนให้ดิฉันดูแลแทนทั้งหมด ตอนกลางวันดิฉันต้องดูแลร้าน มีปัญหาเกี่ยวกับการค้าก็ต้องหาทางแก้ไขเอง เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ตอนกลางคืนก็ต้องดูแลลูกสาว ๓ คน และลุกชายคนเล็กซึ่งยังเล็กอยู่
เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก เมื่อสามีดิฉันเข้าไปสะสางปัญหาต่างๆมากมายในบริษัทใหม่ ความเครียดกับงานก็เพิ่มมากขึ้น เขาเริ่มดื่มเหล้าเพื่อให้หลับในตอนกลางคืน จนกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เริ่มขาดสติและมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขาไปงานสังคมและกลับบ้านดึก ดิฉันจะเป็นห่วงและไม่เข้านอนจนกว่าเขาจะกลับมา โรคปวดหลังที่เคยเป็นมาก่อนก็รุมเร้าดิฉันหนักขึ้น ถึงกลับเดินไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหาย ดิฉันได้แต่ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่คนเดียว ทุกครั้งที่กลุ้มใจมากๆก็จะเข้าห้องพระ จุดธูปอธิฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดิฉัน แม้จะสวดมนต์บทชินบัญชรคาถา เพื่อให้คลายทุกข์ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เนื่องจากดิฉันไม่ทราบวิธีการสวดมนต์ที่ถูกต้อง และไม่เข้าใจว่าสวดมนต์เพื่ออะไร ขณะที่ดิฉันแทบจะหมดอาลัยตายอยาก
อาจจะเป็นเพราะได้ทำบุญกุศลร่วมกับพี่สาวของดิฉัน อยู่มาวันหนึ่งพีสาวโทรศัพท์มาเล่าว่า ตั้งแต่ลูกๆเขาไปเรียนเมืองนอก เขาว่างมาก จึงหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ได้จากงานศพของคนรู้จัก มาสวดทุกเย็นหลังเลิกงาน เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง จิตใจแจ่มใสขึ้น ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็หยิบหนังสือสวดมนต์ที่ได้รับจากงานศพเดียวกันมาสวดบ้าง (เป็นบทสวดมนต์เดียวกับที่หลวงพ่อจรัญแนะนำให้สวด)

   การสวดมนต์และแผ่เมตตาที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันนั้น ทำได้ยากมาก เพราะการที่จะสำรวมกายสำรวมใจสวดมนต์ในตอนแรกๆ ต้องอดทนและฝืนใจตัวเองอย่างมากๆ คนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวดิฉันเองมักจะพูดว่าไม่มีเวลาสวดมนต์ ทำงานเหนื่อยทั้งวัน สวดมนต์ทีไรง่วงทุกที แต่อย่างที่เขาพูดว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นก็จะพบธรรมะ เมื่อความทุกข์เพิ่มทวีคูณ ดิฉันก็พยายามหาทางขจัดทุกข์ให้เร็วที่สุด จากที่เคยสวดบทง่ายๆและไม่เคยแผ่บทเมตตา ในช่วงแรกๆก็ได้เริ่มสวดบทพาหุงมหากา บทพุทธคุณ (อายุของตัวเองบวกหนึ่งจบ)  พร้อมทั้งอโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง อานิสงฆ์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้นและคลายจากความทุกข์ความกังวลเกี่ยวกับสามีลงมาก แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ อานิสงฆ์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันได้พบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนกับธรรมะจัดสรรให้
   
   หลังจากได้สวดมนต์ไม่นาน พี่สาวของดิฉันก็ได้นำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม มาให้อ่าน มีหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นที่เป็นพลังผลักดันให้ดิฉันใฝ่หาความรู้ทางธรรมะมากขึ้น ความศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญจากหนังสือเล่มดังกล่าว ทำให้พี่สาวและดิฉันขับรถไปที่วัดอัมพวันเพื่อฟังธรรมะจากหลวงพ่อโดยตรง ทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมจากท่าน ดิฉันจะนำคำสอนจากท่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเอง ดิฉันเริ่มมอง ตัวเองและแก้ไขสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง ซึ่งแต่ก่อนมักจะโทษว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่นทำมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสามีติดเหล้า  จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นทุกข์   และจะโกรธเขาทุกข์ครั้งที่เห็นเขาดื่มเหล้า  แต่หลังจากได้สวดมนต์ปฏิบัติธรรม  และฟังธรรมจากหลวงพ่อทำให้ดิฉันอยู่กับตัวเองมากขึ้น  กลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า คงเป็นกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้ชาติที่แล้ว จึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้  ฉะนั้นเราควรอดทนใช้กรรมที่เราทำไว้ในอดีตอย่างมีสติ และไม่ควรเพิ่มกรรมใหม่ที่ไม่ดีในปัจจุบัน ดิฉันได้เริ่มต้นโดยขออโหสิกรรมจากสามี  และอโหสิกรรมให้เขาเช่นกัน  ไม่รื้อฟื้นสิ่งที่ไม่ดีในอดีต  ปรับปรุงตัวเอง ลดทิฐิ พูดจาดีๆกับเขา ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เขาเลิกเหล้า หลังจากที่ดิฉันปรับปรุงแก้ไขตัวเองไม่นาน สามีของดิฉันก็ค่อยๆลดการดื่มเหล้าลง  จนถึงขณะนี้เขาเลิกดื่มแล้วและกลับมาเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ และเป็นสามีที่ดีของดิฉัน

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

93
จากสวดพาหุงมหากา  สู่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 1/2
ชลธิชา ชาญวิชา

ในกฎแห่กรรมเล่มที่ ๑๗ ข้าพเจ้ากล่าวถึงความมหัศจรรย์ของข้าพเจ้าคือ นายสมศักดิ์ ชาญวิชา ผู้ช่วยนายสถานีรถไฟลพบุรี ได้สวดพหุงมหากา และเกิดความเจริญรุ่งเรือง มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าปฏิบัติตามด้วยความศัทธาอย่างแรงกล้า

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าสวดมนต์เสร็จจะอธิษฐานจิตว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้มีช่องทางทำมาหากิน เพื่อช่วยภาระค่าใช้จ่ายในบ้านเพราะบ้านที่สร้างยังต้องผ่อนอยู่ และขอให้พบกับญาติทางธรรม มาช่วยเหลือเกื้อกูลข้าพเจ้าด้วยเถิด” ไม่นานคำอธิฐานจิตเป็นไปดังปรารถนา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักกับคุณณัฐวัชร – ศรินยา เมธารมณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคนที่ ๓ ของโลก ในบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนเคยฝึกปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย


จากแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจทำงานกับบริษัทขายตรงแห่งนี้ หลวงพ่อทราบแล้วให้พรว่า “ให้อดทน ตั้งในทำงาน ก่อนสบายต้องลำบากก่อนเสมอ” หลวงพ่อจะแผ่เมตตาให้ ข้าพเจ้ารับพรจากหลวงพ่อแล้วทำงานด้วยความตั้งใจ พร้องทั้งไม่ลืมสวดมนต์แล้วแผ่เมตตาไปด้วย

งานของข้าพเจ้าเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ เดือนแรกขึ้นตำแหน่งผู้จัดการ เดือนที่สองขึ้นตำแหน่งผู้จัดการอาวุโส ขายสินค้าทะลุเป้ามากมาย การทำงานครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สัจธรรมของชีวิตว่า “ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตน” เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ที่หลวงพ่อเคยสอยไว้ ข้าพเจ้านำมาปฏิบัติ ข้าพเจ้าทำงานด้วยคาวมจริงจัง กินน้อย นอนน้อย พักผ่อนน้อย ข้าพเจ้าเหนื่อยมาก ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เลย ความสบายต้องลงทุนด้วยความลำบากก่อนเสมอ เป็นจริงดังที่หลวงพ่อพูด บางวันกลับถึงบ้านด้วยร่างกายเหนื่อยล้า ทำให้ไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระ สวดบ้างไม่สวดบ้าง ทำให้หน้าที่การงานมีปัญหาและอุปสรรค ช่วงที่ข้าพเจ้ายังแก้ปัญหาไม่ได้รู้สึกสับสนมืดมนอยู่นั้น คืนหนึ่งข้าพเจ้าฝันไปว่า ได้เดินไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เคว้งคว้างมาก มีผู้คนมากมาย มีหลวงพ่อเดินนำพาไป และมีเสียงหนึ่งมากระซิบที่ข้างหูหลายครั้งว่า “ต้องมาเจริญกรรมฐานเจ็ดวัน ชีวิตถึงจะเจริญรุ่งเรือง”

ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาทบทวนความฝัน ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลในความเมตตาปราณีของครูบาอาจารย์ ที่ถึงคราวลูกศิษย์อยู่ในฐานะลำบาก หลวงพ่อมีเมตตาเตือนสติ และส่องแสงสว่างแห่งปัญญามาให้

วันหนึ่งมีญาติธรรมโทรศัพท์มาถามข้าพเจ้าว่า จะเข้าปฏิบัติธรรมในโครงการปฏิบัติธรรมถวายเป็นกุศลแด่หลวงพ่อ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๕ ปีของหลวงพ่อ ในวันที่ ๕ – ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๖ นี้หรือไม่ ข้าพเจ้ารีบตอบรับทันที ตั้งใจไปปฏิบัติกรรมฐานเจ็ดวัน เพื่อทดแทนคุณของครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยอยู่ถึงเจ็ดวันเลย ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอดทนเพียงไร

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

94
การปฏิบัติธรรมมีผลจริงไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว 1/3
รศ.พญ.ฐิตวี แก้วพรสวรรค์

   ดิฉันขอนอบน้อมระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ที่ดิฉันเคารพบูชาอย่างสูงด้วยบทความนี้ และเพื่อป็นการสร้างเสริมศรัทธาแก่ผู้อ่านให้มั่นคงในพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะที่เคารพบูชาสูงสุดของเราทั้งหลาย หากมีสิ่งใดผิดพลาด บกพร่องล่วงเกินประการใด ดิฉันกราบขออภัย ขออโหสิกรรม และขอน้อมรับไว้เพื่อพิจารณาแก้ไขต่อไป

      การที่คนเราจะมีโอกาสมาปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐานนั้นยากมาก มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสเช่นนี้เพราะผ้ที่จะปฏิบัติธรรมได้นั้นต้องมีความพร้อมทั้งร่ายกาย (ต้องสมบูรณ์แข็งแรง) จิตใจ (มีสุขภาพจิตไม่เป็นปัญหาต่อการปฏิบัติธรรม) และต้องมีกัลยาณมิตรชี้แนะสนับสนุน และถึงแม้จะมีความพร้อมทั้ง ๓ ด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ และมีกัลยาณมิตรก็ตาม บางคนก็ยังไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม เช่นตัวดิฉันเองเป็นตัวอย่าง


     ดิฉันเป็นจิตแพทยท์ และเป็นอาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์สาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงพอ มีสุขภาพจิตปกติ และมียอดกัลยาณมิตร คือสามีของดิฉัน ที่คอยชักชวนสนับสนุนให้ดิฉันไปปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานานมาก (สามีของดิฉันเริ่มปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๗-๒๕๒๘ และได้ปฏิบัติต่อเนื่องทั้งที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ที่วัดอัมพวัน และได้จัดโครงการปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นต้นมา) แต่ดิฉันก็ไม่เคยไปปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานจริงจังสักที ถามว่าดิฉันทราบไหมว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็ต้องตอบว่าทราบแน่นอน แต่ถ้าจะให้ไปปฏิบัติจริงๆก็ไม่ไป ดิฉันได้ลองคิดวิเคราะห์ถึงเหตุติดขัด-ขัดข้องของดิฉัน คิดว่ามีความติดขัด ๔ ประการ

๑.ติดธุระ
การเป็นแพทย์กับเรื่องติดธุระดูแล้วเป็นเรื่องสมเหตุสมผลมาก แต่ดิฉันคิดว่าเรื่องติดธุระเป็นเพียงข้ออ้างมากกว่า เพราะถ้าเมื่อคนเราให้ความสำคัญกับสิ่งใดแล้ว เราจะมีเวลาให้กับสิ่งนั้นเสมอ เพราะฉนั้นการที่เราอ้างว่าติดธุระ ไม่ว่าง ก็แสดงว่าเรายังให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นน้อย (ดั้นนั้นถ้าคุณจะมาปฏิบัติอย่ารอให้ว่าง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคุณจะไม่มีเวลาว่างสำหรับการปฏิบัติธรรม ต่อเมื่อคุณมาปฏิบัติธรรมแล้วนั่นแหละคุณถึงจะเห็นความว่างได้เอง)

๒.ติดสบาย
ความสะดวกสบายที่คันเคยส่วนตัวเป็นเหตุอุปสรรคขัดข้องสำหรับบางคน รวมถึงตัวดิฉันเองด้วย เมื่อคิดว่าต้องมาอยู่รวมกันหลายคน การทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ จะไม่มีความสะดวกสบายที่คันเคยนานประการ ก็ทำให้ดิฉันติดขัดไม่อยากมาปฏิบัติธรรม

๓.ติดสุข
ดิฉันเคยกล่าวกับผู้อื่นอยู่บ่อยครั้งว่า ดิฉันคิดว่าชีวิตของดิฉันมีความสุขแล้ว ดิฉันมีโชคถึง ๓ ชั้น ชั้นที่ ๑ คือ
มีครอบครัวดี อบอุ่น ชั้นที่ ๒ คือ มีสามีดี เป็นกัลยาณมิตร ยอดเยี่ยม และชั้นที่ ๓ คือ มีอาชีพการงานที่ดี ดิฉันเป็นแพทย์และเป็นอาจารย์สอนแพทย์ซึ่งหลวงพ่อท่านเคยกล่าวว่า อาชีพที่บุญและเป็นอาชีพที่น่าสนันสนุนมี ๒ อย่างคือ อาชีพแพทย์และครูบาอาจารย์ ดังนั้นการที่ดิฉันเป็นแพทย์และอาจารย์แพทย์  จึงได้เป็นรวมทั้ง ๒ อย่าง

๔.ติดดี
ดิฉันคิดว่าดิฉันเองเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม เป็นจิตแพทย์ที่คอยแนะนำวิเคราะห์จิตใจของคนอื่น และอาจจะหลงตัวเองว่าเก่งแล้ว ดีแล้ว ซึ่งอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นที่จะต้องปฏิบัติธรรมพัฒนาจิตใจ-ปัญญาของตัวเอง

แต่หลังจากได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ดิฉันจึงเกิดปัญญารู้ว่าสิ่งที่ดิฉันเคยคิดมาก่อนนั้นผิดพลาดอย่างมหันต์ หากดิฉันยังติดอยู่กับสิ่งแหล่านี้ว่าเป็นความสุขความดีแล้วละก็ วันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งต้องมีวันนั้นแน่นอน ดิฉันจะต้องเจ็บปวดสาหัส

จะเห็นได้ว่าผู้มีปัญญานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีความรู้ความสามารถทางโลกสูง หรือมีฐานะร่ำรวยอะไร ในทางกลับกันคนที่มีความรู้ความสามารถสูงบางคนยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยทางปัญญาก็มีอยู่มากมาย

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

95
กฎแห่งกรรม / กรรมที่ต้องชดใช้
« เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 07:33:50 »
กรรมที่ต้องชดใช้ 1/2
เฉลา ขำวงษ์

   ดิฉันมีอาชีพรับราชการครู อยู่โรงเรียนกระทุ่มราย อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ไม่ไกลกับวัดอัมพวันเท่าไร แต่ไม่มีโอกาสได้มาปฏิบัติธรรม มีแต่ฟังธรรมจากท่านทางโทรทัศน์บ้าง จากเทปบ้าง อ่านหนังสือของท่านบ้าง และเมื่อครั้งที่บิดาของดิฉันป่วยหนัก ดิฉันได้มีโอกาสสวดมนต์บทพาหุงมหากา ดิฉันได้รับบทสวดมนต์เป็นลายมือของญาติผู้ป่วยที่ไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอ่างทอง เมื่อบิดาเสียชีวิตได้ไม่นาน สามีของดิฉันก็เสียชีวิตอีกคนหนึ่งระยะเวลาห่างกันเพียง ๑ ปี ตลอดเวลาที่บุคคลทั้งสองป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดิฉันดูแลปรนนิบัติอย่างดี พร้อมกันนั้นก็สวดมนต์ไปเรื่อยๆเท่าที่โอกาสจะอำนวย สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงบางครั้งก็สวดคาถาชินบัญชรบ้าง

   หลังจากทำศพสามีแล้ว ตัวดิฉันเองก็แทบจะป่วยตายไปด้วย แต่เมื่อมีลูกต้องดูแลอีก ๒ คน ดิฉันจึงต้องหางานพิเศษทำ ดิฉันไปธุรกิจขายตรงกับบริษัทแห่งหนึ่ง ดิฉันทำมาค้าขึ้นได้ใช้หนี้สิน ซื้อรถยนต์ป้ายแดง ซื้อบ้าน และมีโอกาสไปต่างประเทศหลายประเทศ เที่ยวเมืองไทยเกือบทั่ว ได้ไปเป็นนักจัดรายการวิทยุหลายสถานี จนมีคนรู้จักดิฉันมากมาย ดิฉันเชื่อว่าเกิดจากอานิสงส์ของการทำความดี และสวดมนต์ไหว้พระ ใส่บาตรเกือบทุกวัน ยิ่งให้ยิ่งได้

   ต่อมาดิฉันได้มีโอกาสเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน หลังจากที่กลับมาอยู่บ้านได้ประมาณเดือนเศษๆก็ประสบอุบัติเหตุ น้ำมันร้อนๆในกระทะที่ทอดปลาอยู่หกราดมือและแขนทั้ง ๒ข้าง อาการปวดแสบปวดร้อนนั้นสุดที่จะบรรยายได้ มันทรมานมาก ดิฉันปฐมพยาบาลตัวเองแล้วพันผ้าไว้เพราะร้อนและปวดมาก ดิฉันข้นไปห้องพระ อาราธนาพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ขอบารมีจากท่านขอให้แผ่เมตตาช่วยดิฉันด้วย สวดมนต์ก็ผิดๆถูกๆ เปิดหนังสือสวดมนต์ใหม่ สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สวดคาถาชินบัญชร อาราธนาหลวงพ่อโต ช่วยอีก ก็ยังปวดและร้อนเหลือเกิน อธิฐานจิตขอคาถาดับพิษไฟจากหลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องพระ  เมื่อเปิดหนังสือคู่มือชาวพุทธของหลวงพ่อที่แจก ก็พบคาถาดับพิษไข้ แต่ดิฉันขอดับพิษไฟ คือบทที่ว่า “อมอัคคี คงคานัง ระงับดับหาย สวาหะ” ดิฉันก็ว่าไปเป่าไปเรื่อยๆ ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ ดิฉันสบายขึ้น และคืนนั้นนอนหลับสนิท อาจจะเป็นเพราะกำลังใจส่วนหนึ่ง และความมีสมาธิมากขึ้น และมาหยุดคิดว่ากรรมนี้เราต้องใช้เขาแล้วนะ เพราะว่าสมัยสาวๆทำกับข้าวเสร็จเคยสาดน้ำร้อนถูกสุนัขใต้ถุนบ้านบ่อยๆ เขาก็คงเจ็บปวดแบบนี้เหมือนกัน เขาถูกน้ำร้อน เราถูกน้ำมัน ใช้ทั้งต้นทั้งดอกเลย ดิฉันคิดถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญว่า ท่านเองบวชเรียนมีบุญบารมีขนาดนี้ ท่านยังต้องใช้กรรมเลย ก็แล้วเราล่ะเป็นใครถึงจะหนีกรรมพ้น ก็เลยไม่ทุกข์ทรมานและกระวนกระวายเกินไป

   เมื่อรักษาแผลน้ำมันลวกแล้ว ประมาณเดือนเศษๆ ดิฉันก็ฝันเห็นหลวงพ่อจรัญ พอตื่นขึ้นก็มาคิดว่า ทำไมเราเห็นหลวงพ่อนะ ท่านมาเพื่อจะบอกอะไรหรือว่าให้เราดีใจที่ได้ชดใช้หนี้กรรมไปส่วนหนึ่งแล้ว เราน่าจะไปวัดอัมพวันอีก อย่างน้อยก็จะได้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรบ้าง ไม่รู้ว่าเราทำอะไรไว้ และเขาจะมาทวงเราเมื่อไรอีก จะช้าหรือเร็วไม่ทราบได้ ต้องไปสะสมบุญไว้ก่อน

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

96
กรรมฐานสร้างชีวิตใหม่ 1/2
สวลักษณ์ ฉายาบรรณ

        ดิฉันเป็นครู อายุ 49 ปี มีบุตรชาย 2 คน ดิฉันแต่งงานเมื่ออายุ 26 ปี ชีวิตคู่มีปัญหา ดิฉันจึงต้องพึ่งหมอดู ไม่ว่าหมอดูที่ไหนแม่น ฉันก็จะกระเสือกกระสนดั้นด้นไปดูให้ได้ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลถูกหรือแพงจะดูหมด เรียกว่าบ้าหมอดูเลยที่เดียว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันดีขึ้นเลยมีแต่เสียเงินเสียเวลา ความทุกข์ที่เกิดจากสามีเจ้าชู้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย กลับยิ่งมีมากขึ้น

     ดิฉันมีลูกชายคนแรกปี พ.ศ. 2542 และลูกชายคนที่ 2 ปี 2529 ชีวิตของดิฉันก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ มีสุขบ้างแต่มีความทุกข์มากกว่า บางครั้งเคยถามตัวเองเหมือนกันว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

     เมื่อลูกชายคนแรกมีอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้อยากลอง เขาก็เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวเป็นนักเลง ชกต่อยกับคนอื่นจนเลยเถิดไปติดยา ในช่วงนี้ดิฉันได้ประสบกับมรสุมชีวิตหนักที่สุด มากกว่าปัญหาเรื่องความเจ้าชู้ของสามี เราหย่าร้างกัน ดิฉันได้เลี้ยงลูกทั้งสอง ดิฉันต้องรับภาระแก้ปัญาแต่เพียงผู้เดียวด้วยความสมัครใจของดิฉันเอง ลูกชายเริ่มนำของในบ้านไปขาย อะไรแลกเป็นเงินได้เป็นเอาหมด เพื่อจะได้เสพยา ดิฉันก็พยายามซื้อของคืน ลูกไปเป็นหนี้สินที่ตรงไหนก็ตามใช้หนี้ให้ ปัญหาก็ไม่ได้จบสิ้นกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น ดิฉันไม่ทราบจะพึ่งใครได้ เคยคิดจะยิงตัวตายเพื่อประชดลูก จนดิฉันไปได้หนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อมาจากเพื่อนครูคนหนึ่ง เขาไม่ได้อธิบายอะไร บอกเพียงว่าลองสวดมนต์ดูซิ

     ดิฉันก็เริ่มสวดมนต์ด้วยความศรัทธาเพราะหวังว่าช่วยลูกของดิฉันได้ ดิฉันเป็นคาธอลิก การสวดมนต์จึงยากสำหรับดิฉัน แต่ในยามที่ดิฉันมีทุกข์อย่างนี้ อะไรก็ได้ที่คิดว่าเป็นหนทางช่วยลูกดิฉันจะทำหมด ดิฉันสวดมนต์ของหลวงพ่อโดยไม่ทราบว่าต้องมีการแผ่เมตตาอย่างไรเวลาผ่านไปได้ 3 เดือนเต็ม ๆ ผลก็ยังไม่เห็น ดิฉันไปตักบาตรทุกวัน เหตุการณ์ก็ไม่ดีขึ้นมาเลย

     เมื่อดิฉันเริ่มไม่มีเงินที่จะให้ลูกชาย เขาก็หันจากเป็นผู้เสพมาเป็นผู้ส่งของเสียเอง จนในที่สุดก็ถูกตำรวจจับ ต้องไปเสียค่าปรับในชั้นศาล เป็นครั้งแรกที่ต้องเห็นลูกชายถูกใส่กุญแจมือ และนั่งท้ายรถกระบะตำรวจเพื่อไปศาล หัวใจของแม่แทบแตกสลาย น้ำตาไหล ในสมองคิดว่าจะช่วยลูกอย่างไร มันเป็นภาพที่ตรึงอยู่ในใจของดิฉัน เมื่อได้ไปเสียค่าปรับที่ศาลก็กลับมาบ้าน ดิฉันคิดว่าลุกคงจะเข็ดขยาด แต่ลูกกลับไปมั่วสุมหนักกว่าเก่า ดิฉันได้พยายามบอกเขาว่า ไม่มีเงินจะไปเสียค่าปรับอีกนะ เขาเข้าออกจากทัณฑสถาน 5 ครั้ง บางครั้งอยู่ 1 เดือนก็ไปเสียค่าปรับออกมา ในที่สุดเมื่อหมดเงินก็ต้องปล่อยให้อยู่เช่นนั้น แต่ในใจมีแต่ความเศร้าหมอง คิดหาทางช่วยเหลือลูก

     วันเวลาผ่านไป ชีวิตของดิฉันมีแต่ความทุกข์ ดิฉันเหมือนตกอยู่ในนรก ใจหดหู่ ตั้งแต่แต่งงานจนถึงระยะลูกติดยามานี้ เป็นระยะเวลาหาความสุขในชีวิตไม่ได้

     จนกระทั่งในเดือนธันวาคม 2545 ได้คำชักชวนจากเพื่อนรักคือ คุณดวงกมล ยิ่งวรากุล ว่าไปวัดเถอะชีวิตจะได้ดีขึ้น จึงตัดสินใจไปวัดอัมพวัน ตอนนั้นดิฉันคิดว่าพระที่วัดนี้คงดูหมดแม่น และมีญาณพิเศษช่วยปัดเป่าทุกข์สุขของชาวบ้านที่ไปหาได้ ดิฉันเคยบ้าหมอดู จึงยิ่งมีความมุ่งมั่นที่จะไปพบหลวงพ่อ

     เมื่อดิฉันไปกราบหลวงพ่อที่กฏิ หลวงพ่อพูดกับเพื่อนที่กราบเรียนหลวงพ่อเรื่องสามีไปติดผู้หญิงว่า “สามีที่ดีต้องอยู่กับเรา สามีไม่ดีก็ไม่อยู่กับเรา  ก็ปล่อยเขาไป คนไม่ดีจะเอามาทำไม ทำกรรมฐานซิ สามีคนดีก็จะกลับมา” และหลวงพ่อก็หันมามองดิฉันและพูดว่า  “ลูกที่ติดยาก็จะดี” ดิฉันแปลกใจมากว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่าดิฉันมีปัญหาเรื่องลูก

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

97
กรรมฐานคือเทียนส่องนำทางให้พ้นทุกข์ 1/2
สุกัญญา  รัตนบูรณะ

  ดิฉันศรัทธาและปฏิบัติตมาแนวทางของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก   เนื่องจากคุณปู่คุณย่า  คุณตาคุณยายรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ได้แนะนำและนำให้ปฏิบัติ   เริ่มจาการหัดใส่บาตร   เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม   ตอนแรกก็เป็นการถูกบังคับแกมเต็มใจปฏิบัติบ้าง   ตามประสาเด็กๆที่ต้องทำเพื่อไม่ให้โดนดุ   นานเข้ากลับกลายซึมซับเข้าสู่จิตใจกลายเป็นพฤติกรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่องโยมิต้องมีใครมาคอยเคี่ยวเข็ญให้ทำ

   ดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมจริงจังมากขึ้นเมื่ออายุประมาณ ๑๕ ปี  โดยไปถือศีลและปฏิบัติธรรมที่วัด  และแต่ละครั้งก็ชอบที่จะบำเพ็ญบุญอยู่ที่โรงครัว  เพราะรู้สึกเป็นสุขอย่างมากที่จะทำให้ผู้มาถือศีลปฏิบัติธรรมได้เกิดความสะดวกสบายในการกินอยู่  เห็นชุดขาวก็จะเป็นสุขเหลือเกิน  ได้ยินเสียงสวดมนต์ก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้น  ดิฉันไม่เคยทิ้งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลย  บางช่วงตั้งใจว่าจะให้ตัวเองได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน   และถือเป็นการทดสอบฝึกความอดทนของกายและใจด้วย   ดังนั้นหากมีเวลาไม่ว่าเป็นการไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างจังหวัดที่ทุรกันดาร   ไปทอดกฐินหรือผ้าป่าตามจังหวัดต่างๆ   หรือแนวปฏิบัติใดที่เป็นแนวของพระพุทธองค์ดิฉันปฏิบัติหมด โดยไม่ได้ยึดติดแนวใดเลย แต่จะนำหลักของแต่ละแนวมาปฏิบัติและยึดถือเพื่อมุ่งควบคุพฤติกรรมของตัวเองให้อยู่ในกรอบธรรมให้มากที่สุดเท่านั้น

   ขณะนี้ดิฉันอายุ ๓๐ ปีแล้ว  ระหว่างอายุ ๑๕ ปีถึง  ๒๐ ปีที่ผ่านมานี้  มีมรสุมชีวิตมากมายเหลือเกินเข้ามาให้ขบคิดแก้ไขและหาทางออกให้กับตัวเอง  ครอบครัว  รวมถึงคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา   ทุกข์มีมากกว่าสุข   เพราะทุกๆวันเต็มไปด้าวคำว่าต้องอดทนเมื่อมองย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา   ก็อดภาคภูมิใจในความอดทนของตัวเองไม่ได้   ส่วนหนึ่งก็รู้สึกขอบใจตัวเองที่นำพาตนเข้าสู่การสร้างสมบุญอย่างจริงจัง  สร้างความอดทนให้กับกายและจิตอยู่ตลอดขณะปฏิบัติธรรม  จึงทำให้คำว่าอดทนนั้นมีประโยชน์เหลือเกินเมื่อประสบทุกข์

   ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวดิฉันส่วนใหญ่มาจากปัญหาเรื่องเงินและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์   ในการตัดสินใจของผู้เป็นพ่อและแม่ในการลงทุนเพื่ประกอบอาชีพ  ผลที่ได้รับก็คือกลายเป็นภาระหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นหนี้ ๑ รายก็เพิ่มเป็น ๒ ราย ๓ ราย   และต่อๆไปมากขึ้นทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย   จิตใจเกิดความหวาดระแวงเมื่อถูกทววงเงิน   เกิดความทุกข์ใจเศร้าใจอย่างหนัก  ส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ลง  ครอบครัวขาดความอบอุ่น  มีแต่ความเครียดอยู่ตลอดเวลา  ทะเลาะกันเป็นระยะๆ บ้านมิต่างอะไรกับไฟเลย   และไหนจะปัญหาภาระการผ่อนชำระนาคารที่มีค่างวดสูงจนธนาคารกำลังจะยึดบ้าน    ผนวกกับภาระเรื่องการเรียนของน้องชายซึ่งอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ  เพราะกำลังจะจบปริญญาตรีซึ่งต้องใช้เงินเพิ่มในการทำวิทยานิพนธ์

   ช่วงเวลานี้พี่สาวและน้องชายต่างออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับเพื่อนเพื่อไปให้พ้นจากปัญหา เหลือดิฉันคนเดียวที่ต้องรับรู้และแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง  นอกจากนั้นดิฉันยังถูกหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานไม่เข้าใจ  พยายามที่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นตลอดเวลา  โดยกดดันดิฉันทุกเรื่องที่จะทำได้  ไหนจะปัญหาสุขภาพอีกที่ป่วยโดยไม่มีสาเหตุอยู่หลายครั้ง   ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดที่ดิฉันประสบอยู่ก็เป็นได้ ทุกปัญหาวิ่งเข้ามาในเวลาเดียวกันหมดเลย ทำให้สงสัยว่าคนทำดีต้องประสบอะไรเช่นนี้ด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อทั้งทางโลกและทางธรรม

   ดิฉันต้องทำงาน ๗ วัน  ไม่มีวันหยุดเลย  เพื่อหาเงินมาผ่อนหนี้สินให้พ่อและแม่  ส่งธนาคารและส่งน้องเรียน  จนกระทั่งมันทุกข์ที่สุด  นั่นคือหาทางออกไม่ได้แล้ว    แก้ปัญหาไม่ได้แล้ว    ปลงตกแล้ว  คิดอยู่ในใจว่าบ้านจะถูกยึดก็ให้ยึดไปพ่อแม่จะถูกเจ้าหนี้แจ้งตำรวจจับหรือน้องจะเรียนไม่จบหรือตนเองจะถูกให้ออกจากงาน  ก็ต้องปล่อยไป  จะป่วยจนตายไปเลยก็ต้องปล่อยตามนั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นทำให้ดิฉันกลายเป็นคนนิ่งสงบ  ความเงียบเข้ามมาแทนที่ความสบสันและน้ำตา  จนงงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อจิตนิ่งอยู่ได้สักพักก็ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าเมื่อทุกข์จนถึงที่สุดจนชินกับความทุกข์นั้นแล้ว     จิตก็สงบนิ่งไปเองอาจเป็นเพราะทุกข์จนเกิดการปล่อยวางไปโดยไม่ตั้งใจกระมัง  จึงจารณาได้ว่าการปล่อยวางนี่เองที่นำมาซึ่งความสงบของจิต ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในช่วงที่ทุกข์หนักนั้นกลับทำให้ดิฉันสุขใจมากกว่าทุกข์ใจ  เมื่อเทียบกับทุกข์ครั้งที่ผ่านมาทำให้เกิดกำลังใจที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาใหญ่อีกครั้งค่อยๆแก้ไขปัญหาไปเรื่อยๆเท่าที่จะทำได้

   ประมาณปลายปี ๒๕๔๔ ดิฉันมีโอกาสได้ไปถือบวชที่วัดอัมพวันตามคำชักชวนของเพื่อน ซึ่งได้อ่านประวัติของหลวงพ่อและวัดอัมพวันทางอินเตอร์เน็ท  แล้วเกิดความศรัทธาอยากไปกราบหลวงพ่อและอยากได้ถือบวช เมื่อได้ไปถึงวัดดิฉันได้มีโอกาสได้พบหลวงพ่อจรัญ  ได้ฟังธรรมจากท่าน  ซึ่งได้ข้อคืดทางธรรมเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมากทีเดียว  ดิฉันได้ถือบวชอยู่ที่นั่น ๓ วัน  รู้สึกศรัทธาหลวงพ่อและแนวปฏิบัติกรรมฐานอย่างมาก  หลังจากเสร็จสิ้นการบวชดิฉันได้นำแนวกรรมฐานมาปฏิบัติต่อที่บ้านอย่างต่อเนื่องมากบ้างน้อยบ้างตามความสามารถของสภาพกายและใจในขณะนั้น   ด้วยคิดว่าเราย่อมช่วยเหลือตัวเราเองก่อนไม่ว่าจะทางธรรมหรือทางโลก   หลายครั้งรู้สึกท้อต่อการปฏิบัติแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดปฏิบัติ  ไม่ว่าจะเหนื่อยงานหรือท้อแท้กับปัญหาขนาดไหนก็จะปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทำให้ดิฉันเริ่มมีสติมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน มีทางออกในการแก้ไขปัญหาให้กับตัวเองมากขึ้น  เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะรู้จักเรียงลำดับปัญหาที่สำคัญมากไปจนถึงสำคัญน้อยจาก  นั้นก็จะนำเอาทุกปัญหามาคิดหาทางออก  ซึ่งบางปัญหาจะมีทางออกให้เลือกมากกว่า ๑ ทาง เมื่อได้ทางออกแล้วก็จะใจเย็นมากข้นในการแก้ไขโดยไม่คาดหวังมากนัก  นั่นคือหากแก้ไขได้ก็ดีไป  หากแก้ไขไม่ได้ก็จะไม่ฟูมฟาย  จะค่อยๆหาทางออกไปเรื่อยๆจนกว่าจะแก้ไขได้

   ทุกวันนี้ดิฉันไม่ละทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานเลย  ในช่วงนี้จะเน้นที่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย  นั่นคือการนำสติเข้ามาควบคุม กาย วาจา ใจ คือตามดูตามรู้เพื่อให้จิตละเอียดมากขึ้น  และเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างอกุศลกรรมขึ้นอีก รู้สึกใจเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   ปล่อยวางสุขและทุกข์ได้มากขึ้น  รู้จักบริจาคทานมากขึ้น  มีความรักความเมตตาให้กับคนรอบข้าง  รู้จักให้อภัยมากขึ้น  และทำให้รู้จักมีความเกรงใจทุกคนมากขึ้น

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

98
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน1/3
ธนรัตน์ เลปนานนท์

  ข้าพเจ้าอายุ ๓๑ ปี กำลังศึกษาต่อระดับปริญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญมาก่อน แต่เป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่แล้ว แม้จะไม่สม่ำเสมอเท่าใด อยากจะฝึกนั่งสมาธิมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาศ จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิต

  ระหว่างอายุ ๒๕ – ๒๗ ปี ข้าพเจ้าปฏิบัติงานในตำแหน่งนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยมาขอบคุณที่ได้ช่วยทำกายภาพบำบัดเขาจนดีขึ้น และไดมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า ที่หน้าปกมีรู)พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้ารับหนังสือนั้นมาแล้วไม่ได้สนใจจะหยิบอ่าน

  หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้รู้จักและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งภาพหลังทราบว่าเขาเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก จนมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ รวมทั้งสมาธิในการปฏิบัติงานเป็นนักกายภาพบำบัดด้วย ไม่ทราบว่าจะจัดการกับจิตใจอย่างไรให้ดีขึ้น ก็ได้แต่อาศัยการสวดมนต์ไหว้พระเป็นที่พึ่งทางใจ มีผู้แนะนำให้สวดมนต์บทพาหุงฯด้วยจะได้พ้นจากเรื่องทุกข์ใจ พยายามสวดมนต์มาสักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น ปัญหาก็เริ่มคลี่คลายไป แต่จิตใจยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าใดนัก

  ปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าสอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้ จึงหันมาใส่ใจกับการศึษา ทำให้จิตใจดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าหากอยู่คนเดียวก็มักจะคิดย้อนไปถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาอีก ทำให้ยังคงเสียใจอยู่ และคิดว่าทำไมต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย ข้าพเจ้ากลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วู่วาม คิดจะทำอะไรอยากจะทำสิ่งใด ต้องให้ได้เดี๋ยวนั้น บางครั้งทำไปเลยโดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองมาก เวลามีเรื่องราวอะไรมากระทบจะวิตกกังวลเศร้าโศกอยู่นานหลาย ๆ วัน

  ต่อมาประมาณปี ๒๕๔๕ – ๒๕๔๖ ข้าพเจ้าประสบปัญหาการคบกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ความที่จิตใจของตนเองยังไม่ได้รับการแก้ไข ยังเป็นคนหงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต ทำให้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยมาก คุณแม่เตือนก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง จะเดื้อเงียบ ช่วงนั้นข้าพเจ้าไม่สบายใจมากร้อนรนกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิในการเรียน ร้องไห้เสียใจบ่อย ๆ และนึกถึงคุณพ่อที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้วเป็นอันมาก จึงต้องการที่จะบวชปฏิบัติธรรมอุทิศบุญกุศลให้ท่าน และเพื่อจิตใจของตัวเองสงบด้วย

   เพื่อนพาข้าพเจ้าไปบวชเนกขัมมะปฏิบัติ ถือศิล ๘ นุ่งขาวห่มขาว ที่วัดแห่หนึ่งเป็นเวลา ๓ วัน ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดปกติมาใส่ชุดขาวเท่านั้น ไม่ได้ความสงบของจิตใจเท่าใด พอกลับบ้านไปอารมณ์และจิตใจก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไข จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ คุณศุภรัตน์ ปรศุพัฒนา เพื่อนรุ่นพี่ืที่ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเดียวกันกับข้าพเจ้า ได้ชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๓ วัน (ศุกร์ – เสาร์ - อาทิตย์) ข้าพเจ้าได้วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง ทำให้ข้าพเจ้าสามารถกำราบจิตใจของตนเองที่สับสนวุ่นวายไม่สงบสุขและเศร้าหมองลงได้มาก

  แม้ได้อยู่ปฏิบัติเพียงแค่ ๓ วัน แต่ข้าพเจ้าถือว่าได้พบสิ่งมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในขณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น ต้องประสบกับทุกขเวทนาตลอดทั้ง ๓ วัน เช่น เวลาเดินจงกรมก็มีอาการปวดหัวไหล่ เวลานั่งสมาธิก็ปวดขามาก มิหนำซ้ำยังมีความฟุ้งซ่านด้วย แต่ข้าพเจ้ากับรู้สึกว่าทุกขเวทนาและความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอาจารย์ที่มาสอนข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจสภาวะจิตใจของตนเองมากขึ้นว่า จิตที่มีความทุกข์และความร้อนกระวนกระวายนั้นเพราะเราคิดเราปรุงแต่และยึดมั่นถือมั่น ต่อเมื่อเราหยุดคิดหยุดปรุงแต่ปล่อยวาง จิตนั่นจะสงบนิ่ง และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจ ทั้งนี้จะต้องมีสมาธิมาคอยควบคุมจิตของเราด้วย

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

99
อานิสงส์การเลี้ยงดูมารดาบิดา

พระธรรมสิงหบุราจารย์

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ อุจฺจเร
อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ ปชาย อนุกมฺปกาติ.

บัดนี้จักแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาอานิสง์ที่บุตรธิดาจะพึงได้จากการเลี้ยงมารดาบิดา เพื่อเตือนใจท่านผู้ฟัง ให้เกิดสำนึกในเรื่องนี้สืบต่อไป
คำว่า มารดา
แปลว่า ผู้นับถือบุตร คือ นับถือว่าเป็นลูกของตน
แปลว่า ผู้รักษาบุตร คือ รักษาลูกของตนให้มีความสุขกายสุขใจ
แปลว่า ผู้ยังลูกให้ดื่ม คือ ดื่มน้ำนม ดื่มเครื่องดื่มและดื่มรสอื่น ๆ
แปลว่า ผุ้อันบุตรพึงนับถือ คือลูกๆ ทุกคนต้องนับถือมารดาของตนยิ่งกว่าคนอื่น

คำว่า บิดา
แปลว่า เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีของสัตว์โลกทั้งหมด หมายความว่า สัตว์โลก
คือผู้เกิดมา ทุก ๆ คนต้องมีพ่อ เมื่อเห็นพ่อก็ต้องดีใจชื่นใจด้วยกันทั้งนั้น
แปลว่า ผู้รักษาสัตว์โลกทั้งปวง หมายความว่า พ่อของลูกทุก ๆ คน ต้องรักษา
คุ้มครองป้องกันลูกของตนทุกวิถีทาง เพื่อให้ปลอดภัยมีความสุขทุกประการ
แปลว่า ผู้รักใคร่บุตร หมายความว่า พ่อทุกคนต้องรักใคร่นับถือ เอ็นดู สงสารลูกของตน

มารดาบิดามีพระคุณแก่บุตรธิดามาก ดังพุทธภาษิตที่ยกขึ้นเป็นหัวข้อเทศนาว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร เป็นต้น
แปลว่า มารดาบิดาท่านว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ เป็นผู้ควรบูชาของบุตร


อานิสงส์การเลี้ยงดูมารดาบิดา 2

และเป็นผู้อนุเคราะห์หมู่สัตว์ฯ ซึ่งจะได้วิสัชนาต่อไป
คำว่า มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร หมายความว่า มารดา บิดาย่อมประกอบด้วยพรหมวิหารธรรมหรือธรรม ๔ ประการคือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ในบุตร คือ ท่านปรารถนาให้บุตรธิดามีความสุข จึงอุตส่าห์ทะนุถนอมเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ตั้งใจคอยสอดส่องหาอุบายที่จะให้บุตรธิดา
ประสบสุขทุกเมื่อ เมื่อได้ทราบว่ากิจการใดจักเป็นไปเพื่อประโยชน์และสุขแก่ บุตรธิดา แม้จะต้องพร่าประโยชน์และสุขส่วนตนก็ยอม มุ่งความสุขสำราญแก่บุตรธิดาเป็นเบื้องหน้านี้คือท่านมีความเมตตาความรัก ท่านปรารถนาให้บุตรธิดาพ้นทุกข์ คอยสอดส่องถึงเหตุการณ์อันเป็น ที่ตั้งแห่งความเสื่อมเสีย อันจะพึงมีแก่บุตรธิดาเสมอ เมื่อทราบว่ามีทุกข์ขึ้นก็รีบ ขวนขวายแก้ไขป้องกันจนสุดความสามารถ นี้คือท่านมีกรุณาความสงสาร เมื่อท่านได้ทราบว่าบุตรธิดาของตนมีความสุขสำราญได้รับผลสำเร็จจากการงาน ได้ตำแหน่งหน้าที่ ท่านไม่อิจฉาริษยา มีแต่พลอยยินดีด้วยความจริงใจ ต้องการให้บุตรธิดาเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี้ท่านมีมุฑิตาความยินดีตาม เมื่อได้ทราบว่าบุตรธิดามีความสุขความเจริญตามสมควรแก่ฐานะแล้ว ก็ไม่จัดการแก้ไข หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจแก่บุตร ธิดา แต่คอยเพ่งดูอยู่ว่าจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างใด ถ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีจะได้ป้องกันและแก้ไข หาใช่วางเฉยโดยมิได้ทำอะไรก็หาไม่ นี้ท่านมี อุเบกขาคือความวางเฉย บิดามารดามีคุณธรรมคือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ทั้ง ๔ นี้ประจำใจ จึงเรียกว่าท่านเป็นพรหมของบุตร คำว่า เป็นบุรพาจารย์ หมายความว่า ท่านเป็นอาจารย์คนแรกของบุตรก่อนอาจารย์อื่นทุกคน ท่านสอนให้นั่ง ให้เดิน ให้กิน ให้เรียก

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

100
วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม 1/4

พระธรรมสิงหบุราจารย์
________________________________________
   
      วันนี้จะเล่าเรื่องให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการปฏิบัติเจริญวิปัสสนาแล้วสามารถแก้กรรมได้

   กล่าวถึงนายไกร  พัฒนทายาท  บ้านเดิมอยู่จังหวัดแพร่  เป็นลูกของมัคนายกวัด  สำเร็จการศึกษาแค่มัธยม ๖  ก็มาเข้างานที่สำนักงานไร่ยาสูบที่จังหวัดเพชรบูรณ์

   นายไกรเข้ามาทำงานโดยผู้จัดการคนก่อนรับไว้และช่วยเหลืออุปการะ ตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัสดุ  ต่อมาเกิดมีการก่อสร้างโรงเรือนต่างๆ เพิ่มขึ้น         ผู้จัดการคนใหม่กับรองผู้จัดการไม่ถูกกันอย่างมากเลยทีเดียว

   นายไกรก็ทำบัญชีตะพึด  โกงหรือไม่โกงเขาไม่รู้         ผู้สอบบัญชีมาตรวจพบว่าผู้จัดการทุจริตในหน้าที่การก่อสร้าง เอาสิ่งของวัตถุก่อสร้างไปใช้ผิดประเภท

   ทางการก็สั่งพักงานผู้จัดการทันที  ข้างนายไกรก็กลุ้มอกกลุ้มใจเหลือเกิน  “เอ เราเป็นพยานจะต้องให้การ  อย่างไร ถ้าให้การไปตามจริง  เจ้านายจะติดคุก เราจะต้องติดร่างแหด้วย แต่ท่านก็เป็นเจ้านายเรานี่ แหม! พะอืดพะอมเหลือเกิน เราอุตส่าห์ตั้งใจทำงาน ตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัสดุ เงินเดือนสูงขึ้น และลูกยังเล็กๆ ๓ คน  จะออกใหม่อีกคนเป็น ๔ คน ถ้าจะให้การตามจริงก็จะเป็นการแฉความผิดของผู้จัดการผู้มีพระคุณและเป็นเจ้านาย  ถ้าเราจะให้การโดยเล่ห์เพทุบายก็เป็นการโกงรัฐบาล” นายไกร    กลุ้มอกกลุ้มใจมาก

   ในที่สุดนายไกรก็ตัดสินใจตาย  บอกกับภรรยาและลูกเล็กๆ ว่าจะเข้ากรุงเทพฯนะ ก็เตรียมหีบเสื้อผ้า เตรียมยาไปเสร็จ ขึ้นรถยนต์ไปลงตะพานหิน ซื้อตั๋วรถไฟไปลงกรุงเทพฯ  แต่คงเป็นบุญวาสนาของเขา ก็เกิดร้อนอกร้อนใจลงเสียที่สถานีลพบุรี  ไม่ไปกรุงเทพฯ  แต่ได้บอกกับภรรยาไว้ว่าจะไปธุระราชการที่กรุงเทพฯ  ติดต่องานนิดหน่อยเท่านั้น  ด้วยความกลุ้มใจว่าตัวจะต้องโดนติดคุกด้วย  เสียอกเสียใจข้าวปลาไม่รับประทาน  มาลงที่สถานีลพบุรีเสร็จแล้วก็แบกหีบเทิ่งๆ ไป

   ตอนนั้นไฟฟ้าภูมิภาคไม่มีนะ  มีโรงไฟฟ้าเทศบาลอยู่ที่สวนสัตว์โน่น  ไปทางวัดไก่มีโรงไฟฟ้าของเทศบาล  สมัยเก่าไฟฟ้ายังไม่เข้า  เขาก็มีวิกอยู่ ๒ วิก  วิกนารายณ์กับวิกท่าขุนนาง  วิกท่าขุนนางเป็นวิกลิเก  วิกนารายณ์เป็นวิกหนัง  และนายไกรก็ไปพักโรงแรมทหารบก  ไฟฟ้าก็หรี่ตอนหัวค่ำ  แล้วก็นั่งเขียนหนังสือว่าจะกินยาตาย และก็ขอตายที่โรงแรมนี้  เขียนหนังสือว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน  ทำไมต้องมากินยาตายที่นี่ด้วย ขอให้ทางโรงแรมได้รับทราบในเรื่องนี้ของเขาในค่ำคืนวันนั้น  แต่เขาก็ยังมีบุญอยู่  พอจะเอายาขึ้นมาจะดื่ม  ไฟฟ้าซึ่งริบหรี่อยู่เกิดสว่างพรึบขึ้นมาทันที  สว่างโล่งเลย ตกใจ! ยาหกไปหน่อยหนึ่งแล้วก็วางตั้งสติ  เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้  ตั้งสติอารมณ์ใหม่ เอ! เมื่อตะกี้ไฟมันหรี่  มัน ๖ ทุ่มกว่า จะตี ๑ แล้ว หนังเลิกคนก็ใช้ไฟฟ้าน้อยลง  ไฟก็สว่างพรึบขึ้น

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

101
กฎแห่งกรรม / พระญวนแก้กรรม
« เมื่อ: 31 ก.ค. 2554, 11:10:59 »
พระญวนแก้กรรม 1/4

พระธรรมสิงหบุราจารย์
________________________________________
   
     วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร  กรรมเก่าต้องใช้หนี้ทั้งนั้น  แต่เรื่องใหม่นี่เราคงไม่ได้ทำกันอีก คนที่สร้างกรรมไว้แล้ว เมื่อสำนึกได้  ยอมรับผิด  ก็ต้องยอมรับชดใช้กรรม  ไม่ใช่บุญบาปล้างกันได้นะ  เราทำบุญไปแล้วล้างบาปที่ทำไว้คงไม่ได้ เป็นกฎตายตัว บุญไปตามบุญ  บาปไปตามบาป น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้  ต้องแก้อย่างไร อาตมาจะเล่าให้โยมฟัง  เรื่องของพระญวนมาแก้กรรมที่วัดอัมพวัน โดยที่ไม่รู้จักอาตมามาก่อนเลย  เขาคงมีปุพเพกตปุญญตา เมื่อชาติก่อนคงจะมาแก้กรรมกันที่วัด  เพราะวัดอัมพวันนี้เก่าแก่

     เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว  ยุวพุทธิก - สมาคมฯ  จัดการฝึกอบรมพัฒนาจิต  โดยให้ชวนเชิญนักศึกษามาเข้าค่ายกันที่วัดอัมพวัน คุณสมพร  เทพสิทธา เป็นประธาน  อาจารย์วิศาล  อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูมหาสารคาม  ปลดเกษียณแล้วก็มาช่วยยุวพุทธฯ จัดงานอบรมพัฒนาจิต

     ที่วัดอัมพวันนี้  ตอนนั้นยังไม่มีหอประชุม  ก็ใช้ผ้าใบขึง  ศาลาก็ยังไม่เรียบร้อย  ห้องน้ำห้องส้วมก็ยังมีน้อย ไม่เหมือนปัจจุบันนี้  ให้นักศึกษาอยู่กลด  ยุวพุทธฯ ซื้อให้คนละอัน  เดี๋ยวนี้ยังฝากไว้ที่นี่

     นายบัวเฮียว  เป็นชาวญวน  อยู่ทางสกลนคร  รับจ้างฆ่าวัว  ฆ่าควาย  เงินเดือนก็ไม่พอเลี้ยงชีพ  ก็ไปอยู่กับเถ้าแก่คนจีน  รับจ้างฆ่าหมูต่อไป  ฆ่าวันละ ๔ ตัว ๕ ตัว  เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าทางภาคอีสานถ้ามีงานเลี้ยงก็ต้องฆ่าวัว

    เริ่มหมดกรรม...วันหนึ่งเขาจะหมดเวรหมดกรรมของเขา  เขาก็เดินกลับไปที่พัก  ก็ไปเจอพระธุดงค์องค์หนึ่งปักกลดอยู่  เขาไม่เคยมีศรัทธากับพระ  แต่วันนั้นเห็นพระธุดงค์เกิดนึกเลื่อมใสอยากจะไปไหว้  เมื่อไปถึงแล้วก็กราบพระธุดงค์  ตักน้ำถวายท่าน  พระธุดงค์องค์นั้นก็ถามว่า  คุณชื่ออะไร  มีอาชีพการงานอะไร  บัวเฮียวก็เล่าถวายทุกประการ  พระท่านคงสงสารว่ามีอาชีพฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าหมู ท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง  ชี้ให้เห็นผิดถูก  ชี้บุญบาป  บัวเฮียวก็ซึ้งในธรรมะ  พระท่านก็แนะนำบอกว่าไปหาอาชีพอย่างอื่นเถิด  เป็นบาปเป็นกรรมเหลือเกิน ถ้าเชื่อก็ควรปฏิบัติตาม  บัวเฮียวเล่าว่า  นึกเลื่อมใสพระธุดงค์องค์นี้มาก  ไม่เคยไหว้พระ  ไม่เคยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  อาตมาก็ไม่ได้ถามว่า ท่านนับถือศาสนาอะไร กลับไปบ้านนอนไม่หลับ  คืนนั้นฆ่าหมูไม่ลงต้องแข็งใจฆ่าไปสักคืนหนึ่ง  รุ่งเช้าขอลาออก ไปบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

     บวชแล้วก็ไปเดินธุดงค์ ๑๐ กว่าปี ศึกษาวิปัสสนา เจริญอานาปานสติ  พุท หายใจเข้า   โธ หายใจออก  ทำมาโดยมีสมาธิคร่าวๆ  ดิ่งเข้าไปโดยเอกัคคตารมณ์  เวลานั่งแล้วจะเห็นแต่หมูเห็นแต่วัวแต่ควายที่เคยฆ่า  ทำให้จิตใจเศร้าหมองตลอดเวลา ไม่สามารถจะแก้ได้เลย  ท่านก็เดินธุดงค์ไปเรื่อย  จากภาคอีสานไปกระทั่งเชียงใหม่  ถ้ำเชียงดาวท่านก็ไป  เจออาจารย์องค์โน้นองค์นี้มากมาย

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

102
ธรรมะ / ...กายคตานุสติ...2
« เมื่อ: 27 ก.ค. 2554, 08:27:53 »
ภาค 1 เป็นเรื่องที่ท่านพระอาจารย์ฯได้ได้บันทึกไว้นานแล้ว
ดังข้อความข้างล่างนี้
เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาปฏิบัติแล้ขยายความ จึงได้นำบทความอื่นๆมาให้อ่านกัน

"ยสฺสกสฺสจิ กายคตาสติ อภาวิตา อพหุลีกตา
ลภติ ตสฺส มาโร โอตารํ ลภติ ตสฺส มาโร อารมฺมณํ"

   ภิกษุไม่เจริญกายคตาสติอยู่ประจำแล้ว
ย่อมตกเป็นทาสของมาร มารอยู่เหนืออารมณ์
              ...กายคตาสติสูตร ๑๕/๑๘๖...

ทบทวนในสติปัฏฐาน ๔...
เริ่มจากฐานกายในแต่ละบรรพ
โดยเจริญกายคตาสติควบคู่กันไปในบางอารมณ์
เริ่มจากกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก รู้ลมสั้น รู้ลมยาว รู้ลมหายใจปกติ
เจิญอยู่ในอานาปานบรรพจนจิตพบความสงบระงับแห่งลมหายใจ
จดจำทางเดินของจิตในแต่ละขั้นของอารมณ์ธรรมกรรมฐาน
เวลาเราเปลี่ยนอิริยาบทของกายก็ให้มีสติกำหนดรู้อยู่ตลอด
เป็นการเจริญสติพิจารณาอยู่ในอิริยาบทบรรพทุกขณะ
มีสัมปชัญญะรู้ตัวในการเคลื่อนไหวจิตอยู่ในสัมปชัญญะบรรพ
จิตพิจารณากายให้เห็นถึงความน่าเกลียดของร่างกาย
จนเกิดความจางคลายเบื่อหน่ายในตัวตนเป็นการเจริญสติในปฏิกูลปนสิการ
แยกกายของเราให้เห็นเป็นอาการสามสิบสอง ซึ่งประกอบมาจากธาตุทั้ง ๔
คืนร่างกายของเรานี้สู่ธรรมชาติเห็นกายเป็นเพียงธาตุที่จิตมาอาศัย
ไม่นานก็ต้องทิ้งไปตามกาลเวลาพิจารณาอยู่ในธาตุบรรพ
เมื่อจิตออกจากกายด้วยความสลายเสื่อมไปของธาตุที่รวมกัน
กายนั้นย่อมมีความเสื่อมสลายกลายเป็นซากศพมีลักษณะต่างๆ
๙อย่างของการเสื่อมสลายจนเกิดความจางคลายในกายนี้
จิตพิจารณาในนวสีถิกาบรรพลักษณะของกายที่เป็นซากศพ
จิตก็พบกับความเป็นจริงของกายนี้ที่จิตเข้ามาอยู่อาศัย
เกิดความรู้ความเข้าใจ จิตจางคลายจากการยึดถือในตัวตน
ฝึกฝนพิจารณาในฐานกายให้มีความช่ำชองในทุกบรรพของฐานกาย
เมื่อพื้นฐานหนักแน่นมั่นคงแล้วความเสื่อมในธรรมทั้งหลายย่อมไม่เกิดขึ้น
มีแต่ความเพิ่มพูนงอกงามเจริญในธรรมเพราะมีพื้นฐานที่ดีและถูกต้องมั่นคง
การปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องเริ่มจากพื้นฐานซึ่งคือกายของเรานี้เอง....
 :059:แด่กายคตานุสติกรรมฐานที่เป็นพื้นฐานแห่งสติปัฏฐาน ๔ :059:
                  เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
                            รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๗ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๒.๑๘ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=12608.0

103
ธรรมะ / สีลานุสติ
« เมื่อ: 26 ก.ค. 2554, 08:19:21 »
สีลานุสติ 1/9


              มาว่าเรื่องกรรมฐานของเราต่อ จริงๆ แล้วการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เราต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ และต้องมีปัญญาประกอบด้วย การที่เราจริงจังสม่ำเสมอ ผลของการปฏิบัติถึงจะมี
              เพราะว่าการที่เรามาปฏิบัติกรรมฐานกัน เป็นการฝืนกระแสโลก เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ถ้าหากว่าเราไม่พยายามว่ายเข้าไว้ ให้ตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอ มันก็จะลอยตามกระแสไป
              การปล่อยให้ลอยตามกระแสไปนั้น ถ้าเรากำลังยังดีอยู่ ถึงเวลาตะเกียกตะกาย ว่ายขึ้นมาใหม่ มันยังมีกำลังที่จะว่าย แต่ระยะทางอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะว่าเราปล่อยลอยไป สมมติว่าหนึ่งวัน แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาว่ายกลับมา
              พยายามที่จะทำ พยายามที่จะว่าย เป็นเวลาหนึ่งวัน ระยะห่างอาจจะได้เท่าเดิม แล้วเราปล่อยลอยไปอีก ว่ายใหม่ก็จะได้แค่เดิม หรือถ้าหากว่ามันล้าเสียแล้ว เราเองก็อาจจะได้ระยะทางไม่เท่าเดิม หรือน้อยกว่าเดิม
              ถ้าปล่อยให้มันลอยไปอีก คราวนี้ระยะทางมันก็จะยิ่งไกลมากขึ้น กลายเป็นว่าเราเป็นคนขยัน ทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว พอทำไป ทำไป หลายท่านก็หมดกำลังใจ ท้อ และก็เลิกทำไปโดยปริยาย

             บรรดากรรมฐานต่าง ๆ นั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ มีถึง ๔๑ แบบ คือสมถกรรมฐาน ๔๐ กอง แล้วก็มีมหาสติปัฏฐาน ๔ อีกแบบหนึ่ง เพื่อให้มีกรรมฐาน ที่เหมาะกับจริต นิสัยของแต่ละคน ซึ่งมันแตกต่างกันไป

              จริต คือ ความเป็นไปของจิต มี ๖ อย่าง ด้วยกัน คือ


              พุทธิจริต ประกอบไปด้วยความฉลาดเป็นปกติ
              ศรัทธาจริต ประกอบไปด้วยน้อมใจเชื่อเป็นปกติ
              โทสะจริต เป็นคนมักโกรธเป็นปกติ
              วิตกจริต เป็นคนที่คิดไม่ได้ตรองไม่ตก ละล้าละลังเป็นปกติ
              โมหะจริต เป็นบุคคลที่มีกำลังใจมืดมนเป็นปกติ
              ราคะจริต เป็นบุคคลที่มีความรักสวยรักงามเป็นปกติ

             ในแต่ละจริตนั้น มันล้วนแล้วแต่มีอยู่ในใจของเรา ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง ๖ ประการ เพียงแต่ว่า อย่างใดอย่างหนึ่งที่มันจะเด่นขึ้นมา อันนี้ต้องสังเกตเอง เราเป็นคนฉลาด ฟังอะไรครั้งเดียวจำได้ สามารถที่จะทำอะไรได้คล่องตัว มีความเข้าใจแตกฉาน ในสิ่งต่าง ๆ หรือไม่ ?

ที่มา
http://www.grathonbook.net/book/grammathan40/05.html

104
มรณานุสติกรรมฐาน

         มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดาของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด ความตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของ
ธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์อะไร ? ปัญหาข้อนี้ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดาจริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึงตนเองหรือญาติ คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตายมาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายามทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใครจะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือธรรมดาไม่มีทางทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดาเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดาไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็นสาม
อย่างด้วยกัน คือ

         ๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของพระอรหันต์ท่านเสร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่าตายขาดตอนไม่กลับมาเกิดอีก

         ๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือ ความดับ หรือการเคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอดคือ  ตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออกและเกิดต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราวเมื่อสิ้นอำนาจของอาหารเก่า ร่างกายต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทนแต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทนชีวิตก็จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของอาหารเก่า ท่านถือว่าร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระหนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลมหายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามีความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือตายเล็ก ๆ น้อย ๆ

         ๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัยที่ชาวโลกนิยม เรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาลมรณะ แปลว่า ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบอกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสี แสวงหาที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำไว้ขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้นต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตายคลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัดตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตามธรรมดาเรียกว่า อกาลมรณะ คือตายก่อนกำหนด ตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือสามารถช่วยให้พ้นตายได้ เช่น ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุ การสะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุนั้น ต้องทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้แต่ถ้าต่อแบบหมอต่อยังมืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อชีวิตหมอให้มีความสุข  ส่วนผู้ต่อกลายเป็น ผู้ต่อทุกข์ไป เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาในพระสูตรคือเรื่องของท่าน อายุวัฒนสามเณร

ที่มา
http://www.luangporruesi.com/499.html

105
ธรรมะ / มรรค ๘ อินทรีย์ ๕
« เมื่อ: 22 ก.ค. 2554, 08:58:25 »
มรรค ๘ อินทรีย์ ๕

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

   บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

   สติปัฏฐานเป็นหลักปฏิบัติทั้งเพื่อสมาธิ และทั้งเพื่อปัญญา แต่ว่าก็ต้องเป็นสติปัฏฐานที่ปฏิบัติให้ตั้งขึ้นในจิต ให้จิตเป็นสติปัฏฐาน จึงจะเป็นสมาธิและเป็นปัญญาได้ ทางปฏิบัตินั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสั่งสอนไว้ และก็ปรากฏในพุทธประวัติ ว่าพระองค์ได้ทรงปฏิบัติมาแล้ว ดังที่มีเล่าว่าตั้งแต่เป็น ..ตั้งแต่ทรงเป็นพระราชกุมาร ได้ตามเสด็จพระพุทธบิดาไปในพระราชพิธีแรกนาขวัญ ขณะที่พระพุทธบิดาทรงประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญอยู่ พระราชกุมารน้อยได้ประทับรออยู่ภายใต้ร่มหว้า ในขณะนั้นพระหทัยของพระองค์ก็รวมเข้ามา กำหนดลมหายใจเข้าออกของพระองค์เอง ก็ทรงได้สมาธิที่ท่านแสดงว่า ปฐมฌาน อันแปลว่าฌานที่ ๑ ซึ่งก็เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่น แต่ว่าสมาธิที่ทรงได้นั้นก็เสื่อมไป

ที่มา
https://sites.google.com/site/smartdhamma/mrrkh-8-xinthriy-5

106
ตายแล้วฟื้นของคุณครูบุญชู บันทึกสภาพเมืองนรก 1/2

   วันนั้นเป็นวันที่ ๕ ก. พ ๒๔๙๕ ฉันได้ไปทำกิจวัตรประจำวันของฉันคือเป็นครูน้อยประจำโรงเรียนประชาบาล ต. สามโก้ ๔ (วัดมงคลธรรมนิมิตร) อ.วิเศษไชยชาญ จ. อ่างทอง ตามปกติ แต่วันนั้นเป็นวันที่ฉันรู้สึกเกียจคร้าน ไม่มีกำลังใจที่จะสอนเด็กประกอบกับความง่วงผิดปกติ ซึ่งฉันก็ไม่ได้ไปอดนอนที่ไหนมา แต่เป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบทำให้ฉันง่วงนอนอยากจะหลับ เป็นเหตุทำให้จิตใจของฉันไม่เป็นปกติ แต่ฉันก็ทนสอนต่อไปจนหมดเวลา ๑๕.๑๕ น. ซึ่งเป็นวันเวลาเลิกทำการสอน

   พอปล่อยเด็กกลับบ้านแล้วฉันก็เดินมาบ้านซึ่งห่างจากโรงเรียนประมาณ ๓ เส้นเศษ ฉันมาถึงบ้านก็ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน คือหุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน อาบน้ำ ตนเองและบุตร เมื่อเสร็จงานบ้านแล้ว ฉันก็นำเสื่อมาปูและนอนเล่นกับบุตร ๒ คน ในขณะนั้นเวลา ๑๖. ๓๐ น. เศษต่อมาฉันก็หลับไปเมื่อไรไม่ทราบมารู้สึกตัวต่อเมื่อตัวของฉันเองมายืนอยู่ใต้ร่มไม้ มีร่มมะพร้าว ขนุน มองดูสวยงามมาก มะพร้าวและขนุนกำลังมีผลดก แต่ก็ไม่ทราบว่าที่ฉันยืนอยู่นี้เป็นที่ใด

   ฉันมองไปรอบ ๆ ตัวบังเอิญสายตามองไปบนถนนสายหนึ่ง ยาวเหยียดไปข้างหน้า ด้วยความอยากรู้ฉันยกเท้าจะขึ้นไปเที่ยวถนนสายนั้น  แต่ยังมิทันที่เท้าของฉันจะถูกพื้นถนนก็ต้องสะดุ้ง เพราะได้ยินเสียงพูด แต่เสียงดังเหลือเกิน ดังคล้ายตวาด มาจากทางข้างหน้าของฉันว่า
“ อ้อ...บุญชู เหมอะเลยมาเถิด นายให้มารับ ถึงเวลาแล้ว ” ฉันได้ยินดังนั้นก็บอกเขาไปว่าไม่ไปหรอก พร้อมกับผละวิ่งหนีทันที
แต่ชายทั้งสี่คนก็เดินตามและพูดว่า “ ถึงเวลาแล้ว ไม่ไปไม่ได้ ”
ฉันก็หันไปบอกเขาว่า “ ลุงไปบอกนายเถิดว่า ฉันผัดไปก่อน ฉันยังไม่ไปไหนหรอก ”
แต่เขาก็ตอบมาอีกว่า “ผัดกับข้าไม่ได้ เอ็งต้องไปผัดเอง”
เมื่อหมดหนทางเลี่ยงฉันจึงบอกว่า “ ถ้าเช่นนั้นต้องคอยก่อน ฉันต้องไปบอกคนทางบ้านเสียก่อน เพราะที่มาเที่ยวนี้ไม่มีใครรู้ ”
แล้วฉันก็เดินมาหน้าบ้านและเดินเข้ารั่วบ้านขึ้นบันไดไป ก็พบว่าบนบ้านสว่างไปด้วยตะเกียงเจ้าพายุและมีชาวบ้านมานั่งกันอยู่เต็มบ้านพร้อมทั้งร้องไห้ ฉันขึ้นบันไดได้ก็ผละวิ่งจากตรงบันไดไปหาสามีของฉัน ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆหมอ ฉันเสียหลักสะดุดชายเสื่อล้มลงไป
เมื่อฉันลุกขึ้นมา ชาวบ้านใกล้เคียงที่มานั่งอยู่บนบ้านข้าง ๆ ฉันนั้นต่างพากันถอยหนีไปรวมกันอยู่หน้าครัวหมดและต่างก็ชิงกันถามว่า
“ ครูฟื้นแล้วหรือ ครูไม่ตายหรือ ครูไม่ได้หลอกพวกฉันไม่ใช่หรือ”
ฉันก็บอกพวกนั้นว่า “ อย่ากลัวฉันเลย ฉันอยากจะพูดอะไรด้วยสักหน่อย แล้วก็จะไปเพราะเขามารับฉันแล้ว ฉันอยู่ไม่ได้ฉันยังไม่อยากตาย ขอผัดเขา เขาไม่ยอมบอกให้ไปผัดกับยมบาลเองฉันจึงจะต้องไป และฉันขอร้องด้วยขอให้เก็บศพฉันไว้ ๓ วันก่อน ถ้าไม่กลับหมายความว่าเขาไม่ยอม จึงค่อยเผา”

พอดีได้ยินเสียงสุนัขหอนขึ้นและได้ยินเสียงเรียก ฉันจึงบอกว่า “ โน้นเขาเรียกเร่งมาแล้ว ฉันไปล่ะ ลาก่อนทุก ๆ คน ” นายเจ๊กที่เป็นหมอแกจึงเอาธูปเทียนมาให้ฉัน และบอกว่า “ พระอรหํ พระอรหํ” ตอนนี้ฉันเกือบจะหมดสติแล้ว รับคำพระอรหํได้สองครั้งก็หมดสติวูบไป มาารู้สึกตัวว่าตัวของฉันเองได้เดินอยู่บนถนนสายนั้นเสียแล้ว

    ในระยะที่ฉันฟื้นและตายไปใหม่นี้คือฟื้นตอนประมาณ ๒๒. ๐๐ น. และตายไปใหม่ประมาณ ๒๒ . ๐๖ น. ตลอดทางที่เดินไปนั้นฉันอยู่ตรงกลาง มีคนขนาบข้าง ๒ คน เดินมาพักใหญ่จึงมาพบโต๊ะตั้งข้างทางเดินมีอาหารหลายชนิดตั้งอยู่บนโต๊ะ มีเหล้า ข้าว หมู ไก่ ขนมจีนน้ำยาและขนมอีกหลายชนิดคนทั้งสี่ตรงเข้าไปที่โต๊ะและเรียกฉัน “บุญชูยังไม่ได้กินข้าว มากินเสียซิ”
ฉันก็ตรงเข้าไปกินกับเขา เมื่ออิ่มแล้วก็ถามเขาว่า “ ของใครนี่เรามากินของเขาไม่ว่าเอาหรือ ”
คนที่มีท่าทีว่าจะเป็นหัวหน้าบอกฉันว่า “ ไม่มีใครว่าหรอกเพราะเขาเซ่นผี ไว้อีกสองวันข้าจะกลับมาเอา” ฉันถามว่าบ้านใครเล่า
เขาบอกว่า “ โน้นไงเล่า บ้านนางหล่ำ หัวตะพานเขาทำบุญต่ออายุไว้ อีกสองวันเถิดข้าจะมาเอาตัวไป” ฉันมองตามมือก็เห็นบ้านหลังนี้อยู่ข้าง ๆ บ้านมีลูกกรงสีเขียวต่อจากบ้านนางหล่ำมาอีกพักใหญ่ จึงพบขบวนคนยืนอยู่สองฟากถนนต่างไชโยโห่ร้องรับฉัน และร้องบอกกันว่า “ พวกเรามาอีกคนแล้วโว้ย ”ฉันบอกกับเขาว่า “ ฉันไม่มาเป็นพวกแกหรอก ” พวกนี้ส่วนมากไม่นุ่งผ้ากันเลย

   จากพวกนี้ไปก็ถึงสวนดอกไม้ใหญ่ ดอกสวยมากเป็นทองคำทั้งดอก ใบสีเขียวเป็นมันเหมือนมรกต ฉันตรงเข้าไปจะเก็บก็ถูกห้ามไม่ให้เก็บ เขาบอกว่าถ้ายังอยากจะกลับละก้ออย่าเก็บ ถ้าเก็บแล้วเอ็งจะกลับไม่ได้ ฉันต้องเดินผ่านมาด้วยความเสียดาย

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/WRITE/2010/11/18/entry-1

107
ธรรมะ / ธรรมสมาธิ ๕
« เมื่อ: 22 ก.ค. 2554, 09:29:50 »
ธรรมสมาธิ ๕
 
       ธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นสนิทในธรรม เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมถูกต้อง กำจัดความข้องใจสงสัยเสียได้ เมื่อเกิดธรรมสมาธิ คือความมั่นสนิทในธรรม ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต

       ห้าประการได้แก่
       ๑. ปราโมทย์ (ความชื่นบานใจ ร่าเริงสดใส)       
       ๒. ปีติ (ความอิ่มใจ, ความปลื้มใจ)
       ๓. ปัสสัทธิ (ความสงบเย็นกายใจ, ความผ่อนคลายรื่นสบาย)
       ๔. สุข (ความรื่นใจไร้ความข้องขัด)
       ๕. สมาธิ (ความสงบอยู่ตัวมั่นสนิทของจิตใจ ไม่มีสิ่งรบกวนเร้าระคาย)

       ธรรม หรือคุณสมบัติ ๕ ประการนี้ ตรัสไว้ทั่วไปมากมาย เมื่อทรงแสดงการปฏิบัติธรรมที่ก้าวมาถึงขั้นเกิดความสำเร็จชัดเจน ต่อจากนี้ ผู้ปฏิบัติจะเดินหน้าไปสู่การบรรลุผลของสมถะ (คือได้ฌาน) หรือวิปัสสนา แล้วแต่กรณี ดังนั้น จึงใช้เป็นเครื่องวัดผลการปฏิบัติขั้นตอนในระหว่างได้ดี และเป็นธรรมหรือคุณสมบัติสำคัญของจิตใจที่ทุกคนควรทำให้เกิดมีอยู่เสมอ
 
 
 พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

ที่มา
https://sites.google.com/site/smartdhamma/

108
ธรรมะ / พระอภิธรรม
« เมื่อ: 19 ก.ค. 2554, 11:18:22 »
ประวัติพระอภิธรรม

เรียบเรียงโดย นายวิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ
คัดลอกจาก http://www.geocities.com/gogfox/aphithum2.html

     ในสัปดาห์ที่ ๔ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรูแล้ว พระองค์ทรงพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับพระอภิธรรมซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) อันเป็นแก่นของธรรมะใน พระพุทธศาสนาอยู่ตลอด ๗ วัน ในขณะที่ทรงพิจารณาเรื่องของเหตุ เรื่องของปัจจัยในปรมัตถธรรม อันเป็นที่มาของคัมภีร์มหาปัฎฐานอยู่นั้นก็ปรากฎฉัพพรรณรังสี (รัศมี ๖ ประการ) มีสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีเทา สีเงิน และสีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก แผ่ออกมาจากพระวรกายอย่างน่าอัศจรรย์
 
    ในช่วง ๖ พรรษาแรกของการประกาศศาสนา พระพุทธองค์ยังมิได้ทรงตรัสสอนพระอภิธรรมแก่ผู้ใด เพราะพระอภิธรรมเป็นธรรมะที่เกี่ยวข้องกับปรมัตถธรรมล้วน ๆ ยากแก่การที่จะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย บุคคลที่จะรับอรรถรสของพระอภิธรรมได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยศรัทธาอันมั่นคงและได้เคยสั่งสมบารมีอันเกี่ยวกับปัญญาในเรื่องนี้มาบ้างแล้วแต่กาลก่อน แต่ในช่วงต้นของการประกาศศาสนานั้นคนส่วนใหญ่ยังมีศรัทธาและมีความเชื่อในพระพุทธศาสนาน้อย ยังไม่พร้อมที่จะรับคำสอนเกี่ยวกับปรมัตถธรรมซึ่งเป็นธรรมะอันลึกซึ้งได้  พระองค์จึงยังไม่ทรงแสดงให้ทราบ เพราะถ้าทรงแสดงไปแล้วความสงสัยไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อย่อมจะเกิดแก่ชนเหล่านั้น เมื่อมีความสงสัยไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อพระอภิธรรมได้ ซึ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี

    ล่วงมาถึงพรรษาที่ ๗ พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงพระอภิธรรมเป็นครั้งแรก โดยเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทดแทนคุณของพระมารดาด้วยการแสดงพระอภิธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ประสูติประองค์ได้ ๗ วัน และได้อุบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตมีพระนามว่า สันตุสิตเทพบุตร ในการแสดงธรรมครั้งนี้ได้มีเทวดาและพรหมจากหมื่นจักรวาลจำนวนหลายแสนโกฎิมาร่วมฟังธรรมด้วย โดยมีสันตุสิตเทพบุตรเป็นประธาน ณ ที่นั้น

   พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรมแก่เหล่าเทวดาและพรหมด้วย วิตถารนัย คือ แสดงโดยละเอียดพิสดารตลอดพรรษา คือ ๓ เดือนเต็ม สำหรับในโลกมนุษย์นั้นพระองค์ได้ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเป็นองค์แรก คือในระหว่าง ที่ทรงแสดงธรรมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นพอได้เวลาบิณฑบาต พระองค์ก็ทรงเนรมิตพุทธนิมิตขึ้นแสดงธรรมแทนพระองค์แล้วพระองค์ก็เสด็จไปบิณฑบาตในหมู่ชนชาวอุตตรกุรุ เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว ก็เสด็จไปยังป่าไม้จันทร์ ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าหิมวันต์ใกล้กับสระอโนดาต เพื่อเสวยพระกระยาหาร โดยมีพระสารีบุตรเถระมาเฝ้าทุกวัน หลังจากที่ทรงเสวยแล้วก็ทรงสรุปเนื้อหาของพระอภิธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเทวดาและพรหมให้พระสารีบุตรฟังวันต่อวัน (พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรด้วย สังเขปนัย คือ แสดงอย่างย่นย่อ) เสร็จแล้วพระองค์จึงเสด็จกลับขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวโลกเพื่อแสดงธรรมต่อไป ทรงกระทำเช่นนี้ทุกวันตลอด ๓ เดือน เมื่อการแสดงบนเทวโลกจบสมบูรณ์แล้ว การแสดง พระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรก็จบสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน เมื่อจบพระอภิธรรมเทศนา เทวดาและพรหม ๘๐๐,๐๐๐ โกฎิ ได้บรรลุธรรมและสันตุสิตเทพบุตร (พุทธมารดา) ได้สำเร็จ เป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็นำมาสอนให้แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านโดยสอนตามพระพุทธองค์วันต่อวันและจบบริบูรณ์ในเวลา ๓ เดือนเช่นกัน การสอนพระอภิธรรมของพระสารีบุตรที่สอนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้เป็นการสอนชนิดไม่ย่อเกินไป ไม่พิสดารเกินไป เรียกว่า นาติวิตถารนาติสังเขปนัย

   ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ เคยมีอุปนิสัยมาแล้วในชาติก่อน คือในสมัยศาสนาของพระกัสสปสัมมา สัมพุทธเจ้า ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้เป็นค้างคาวอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม ๒ รูปที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นเช่นกัน กำลังสวดสาธยายพระอภิธรรมอยู่ เมื่อค้างคาวทั้ง ๕๐๐ ตัวได้ยินเสียงพระสวดสาธยายพระอภิธรรม ก็รู้เพียงว่าเป็นพระธรรมเท่านั้นหาได้รู้ความหมายใด ๆ ไม่ แต่ก็พากัน ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อสิ้นจากชาติที่เป็นค้างคาวแล้วก็ได้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกเหมือนกันทั้งหมด จนกระทั่งศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจึงได้จุติจากเทวโลกมาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็นภิกษุในศาสนานี้ตลอดจนได้เรียนพระอภิธรรมจากพระสารีบุตรดังกล่าวแล้ว นับแต่นั้นมา

   การสาธยายท่องจำและการถ่ายทอดความรู้เรื่องพระอภิธรรมก็ได้แพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ภายหลังที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลังจาก ถวายพระเพลิงได้ ๕๒ วัน ท่านมหากัสสปเถระ พระอุบาลีเถระ พระอานนทเถระ พร้อมด้วยพระอรหันต์รวมทั้งสิ้น ๕๐๐ องค์ ซึ่งล้วนเป็นปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ปฏิสัมภิทัปปัตตะ = ผู้ที่ได้ปฏิสัมภิทา ๔ คือผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรมะอย่างแตกฉาน สามารถแยกแยะและขยายความได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง มีปฏิภาณไหวพริบ มีโวหารและวาทะที่จะทำให้ผู้อื่นรู้ตามเข้าใจตามได้โดยง่าย) ฉฬภิญญะ (ผู้มีอภิญญา ๖ อันได้แก่ ๑ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ๒ มีหูทิพย์ ๓ ทายใจผู้อื่นได้ ๔ ระลึกชาติได้ ๕ มีตาทิพย์ ๖ สามารถทำลายอาสวะกิเลสให้สิ้นไป) และเตวิชชะ (ผู้ที่ได้วิชชา ๓ อันได้แก่ ๑ ระลึกชาติได้ ๒ รู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ ๓ มีปัญญาที่ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป) ได้ช่วยกันทำสังคายนา พระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และได้กล่าวยกย่องพระอภิธรรมว่าเป็นหมวดธรรมที่สำคัญมากของพระพุทธศาสนา การทำสังคายนาครั้งนี้ มีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/dhamma/abidhamma-05.htm

109
เรื่องพระอภิธรรมค่อนข้างยาว(มาก)
ขอย่อยเป็นเรื่องๆไว้เพื่อศึกษากันนะครับ
========================

การสวดพระอภิธรรมในงานศพ
เรียบเรียงโดย นายวิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ
คัดลอกจาก http://www.geocities.com/gogfox/aphithum2.html

     ทุกท่านคงจะพบคำว่า สวดพระอภิธรรม หรือ ตั้งศพสวดพระอภิธรรม ในบัตรเชิญหรือในหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อเชิญไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลแด่ท่านผู้วายชนม์อยู่บ่อย ๆ ที่ว่า สวดพระอภิธรรม นั้น เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้ย่อมทราบดีแล้วว่าหมายถึงอะไร
ตามหลักฐานของท่านผู้รู้กล่าวว่ามีการนำเอาพระอภิธรรมมาสวดในพิธีศพของพุทธศาสนิกชนชาวไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและท่านได้ให้ความเห็นไว้ว่าการบำเพ็ญกุศลในงานศพเพื่ออุทิศให้ ผู้วายชนม์นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความกตัญญูต่อผู้วายชนม์ซึ่งจากไปไม่มีวันกลับ การที่ พุทธศาสนิกชนชาวไทยนำเอาคัมภีร์พระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีนี้นั้นตามข้อสันนิษฐาน คงจะเกิดจากเหตุผลประการต่าง ๆ ดังนี้

ประการแรก เป็นเพราะ พระอภิธรรม ไม่กล่าวถึงสัตว์ ไม่กล่าวถึงบุคคล ไม่มีตัวตน เรา เขา แต่ทรงจำแนกธรรมออกเป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤต (ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล) ทรงกระจายสรีระกายซึ่งเป็นกลุ่มก้อนออกเป็นขันธ์ ๕ บ้าง อายตนะ ๑๒ บ้าง ธาตุ ๑๘ บ้าง อินทรีย์ ๒๒ บ้าง อัน เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยซึ่งต้องมีการเสื่อมสลายไปตามสภาวะมิสามารถตั้งอยู่ได้ตลอดไป การได้ฟังพระอภิธรรมจะทำให้ผู้ฟังน้อมนำมาเปรียบเทียบกับการจากไปของผู้วายชนม์ ทำให้เห็นสัจจธรรมที่ แท้จริงของชีวิต ท่านโบราณบัณฑิตคงจะเห็นว่าในงานเช่นนี้เป็นโอกาสอันดีที่ท่านผู้ฟังและท่านผู้ ร่วมบำเพ็ญกุศลในงานศพจะสามารถพิจารณาเห็นความจริงของชีวิตได้โดยง่าย จึงได้นำเอาพระอภิธรรมมาแสดงให้ฟัง

อีกประการหนึ่ง เพราะเห็นว่าในการตอบแทนพระคุณพุทธมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านได้เสด็จขึ้นไปทรงแสดงพระอภิธรรมเทศนาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดาซึ่ง สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อบุพพการีอันได้แก่ มารดา บิดา ถึงแก่กรรมลง ท่านผู้เป็นบัณฑิตจึงได้นำเอาพระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในการบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ โดยถือว่าเป็นการสนองพระคุณมารดา บิดา ตามแบบอย่างพระจริยวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมา แม้ว่าท่านผู้วายชนม์จะมิใช่มารดาบิดาก็ตาม แต่การนำเอาพระอภิธรรมมาแสดงในงานศพก็ถือเป็นประเพณีไปแล้ว

ประการสุดท้าย เพราะเชื่อว่า พระอภิธรรมเป็นคำสอนขั้นสูงที่มีเนื้อหาละเอียดลึกซึ้ง เกี่ยวกับปรมัตถธรรม ๔ ประการ หากนำมาแสดงในงานบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์แล้ว ผู้วายชนม์จะได้บุญมากการสวดพระอภิธรรมก็คือการนำเอาคำบาลีขึ้นต้นสั้น ๆ ในแต่ละคัมภีร์ของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์มาเรียงต่อกัน การสวดพระอภิธรรมนี้บางทีเรียกว่า สวดมาติกา ถ้าเป็นงานพระศพบุคคลสำคัญในราชวงศ์เรียกว่า พิธีสดับปกรณ์ ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า สัตตปกรณ์ อันหมายถึง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นั่นเอง (สัตต = เจ็ด ปกรณ์ = คัมภีร์ ตำรา)
ต่อมาภายหลังมีผู้รู้ได้นำเอาคาถาในพระอภิธัมมัตถสังคหะ ของพระอนุรุทธาจารย์มาสวดเป็นทำนอง สรภัญญะ (คือการสวดเป็นจังหวะสั้น  ยาว) เรียกว่า สวดสังคหะ โดยนำเอาคำบาลีในตอนต้นและตอนท้ายของแต่ละปริจเฉท ซึ่งมีทั้งหมด ๙ ปริจเฉทมาเรียงต่อกันเป็นบทสวด

110
พระประวัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

http://www.soonphra.com/geji/putachan/

    เรื่องประวัติของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อันเนื่องด้วยการศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น ได้ฟังผู้หลักผู้ใหญ่เล่ากันมาว่า ท่านได้เล่าเรียนในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค) เปรียญเอก วัดระฆัง เป็นพื้น และได้เล่าเรียนต่อสมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุบ้าง นอกจากนี้จะได้เล่าเรียน ที่ใดอีกบ้าง หาทราบไม่ เล่าว่าเมื่อเป็นนักเรียนท่านมักได้รับคำชมเชยจากครูบาอาจารย์เสมอว่ามีความทรงจำดี ทั้งมีปฏิภาณอันยอดเยี่ยม ดังมีเรื่องเล่าขานกันว่า........

    เมื่อท่านเรียนพระปริยัติธรรมในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั้น ก่อนจะเรียนท่านกำหนดว่า วันนี้ท่านจะเรียนตั้งแต่นี่ถึงนั่น ครั้นถึงเวลาเรียนท่านก็เปิดหนังสือออกแปลตลอด ตามที่กำหนดไว้ท่านทำดังนี้เสมอ จนสมเด็จพระสังฆราชรับสั่งว่า "ขรัวโตเขามาแปลหนังสือให้ฟัง เขาไม่ได้มาเรียนหนังสือกับฉันดอก" ยังมีข้อน่าประหลาดอีกอย่างหนึ่ง ที่ท่านเรียนรู้ปริยัติธรรมแต่ไม่เข้าแปลหนังสือเป็นเปรียญ (ในสมัยก่อนนั้น การสอบพระปริยัติธรรมไม่ได้ออกเป็นข้อสอบเหมือนทุกวันนี้ การสอบในครั้งนั้นต้องสอบพระปริยัติธรรมต่อพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นการสอบด้วยปากเปล่า สุดแต่ผู้เป็นประธานกรรมการ และกรรมการจะสอบถามอย่างใด ต้องตอบให้ได้ ถ้าตอบไม่ได้ก็หมายความว่าตกเพียงแค่นั้น)

     พระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คือสมเด็จพระสังฆราช "ไก่เถื่อน” (สุก) (สมเด็จพระสังฆราช (สุก) พระองค์นี้ เดิมอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม ในแขวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ดูพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑) เมื่อรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงอาราธนามาตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระญาณสังวร ด้วยทรงเห็นว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงในทางวิปัสสนาธุระเป็นที่นับถือของชนทั้งหลาย ถึงกับกล่าวกันว่า ทรงไว้ซึ่งเมตตาพรหมวิหารแก่กล้าถึงกับสามารถเลี้ยงไก่เถื่อน ให้เชื่อง ได้เหมือนไก่บ้าน ทำนองเดียวกับที่สรรเสริญพระสุวรรณสาม โพธิสัตว์ในเรื่องชาดก ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๓ คนทั้งหลายจึงพากันถวายพระฉายานามว่า "พระสังฆราชไก่เถื่อน" และได้เสด็จมาประทับ ณ วัดมหาธาตุเพียง ๑ ปี ก็สิ้นพระชนม์ทรงพระชันษาได้ ๙๐ เมื่อถวายพระเพลิงศพแล้ว โปรดฯ ให้ปั้นรูปบรรจุอัฐิไว้ในกุฏีหลังหนึ่ง ด้านหน้าพระอุโบสถ


    อัจฉริยภาพ ในการสร้างพระสมเด็จฯ นั้น เข้าใจว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับการศึกษามาจากพระอาจารย์พระองค์นี้ กล่าวคือ พระวัดพลับ ของสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นี้ (สร้างตอนดำรงสมณศักดิ์เป็นพระญาณสังวร ครองวัดพลับ วัดนี้อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ฝั่งเหนือ จังหวัดธนบุรี เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ตัววัดเดิมอยู่ทางด้านริม เดี๋ยวนี้ค่อนไปทางตะวันตก ) เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงอาราธนา พระอาจารย์สุก (สังฆราชไก่เถื่อน) มาจากวัดหอย จังหวัดพระนาคศรีอยุธยานั้น ท่านขออยู่วัดอรัญญิก จึงโปรดให้อยู่วัดพลับแล้วสร้างพระอารามหลวงเพิ่มเติมขยายออกมาอีก
 
    สมเด็จพระญาณสังวรนี้ ทรงเป็นพระอาจารย์ทางคันถธุระและวิปัสสนาธุระเจ้านายมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็ดี ล้วนเคยศึกษาวิปัสสนาธุระ ในสำนักสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ทั้งนั้น ที่วัดนี้ยังมีตำหนักจันทร์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อทรงผนวช นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังโปรดให้ซ่อมพระอาราม แล้วพระราชทานเปลี่ยนนามวัดเสียใหม่ว่า "วัดราชสิทธาราม" ถึงในรัชกาลที่ ๔  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างพระเจดีย์ ทรงเครื่องไว้ข้างหน้าพระอาราม ๒ องค์ ๆ หนึ่งนามว่า "พระศิราศนเจดีย์" (พระเจดีย์องค์นี้ทรงอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ อีกองค์หนึ่ง ทรงขนานนามว่า "พระศิรจุมภฎเจดีย์" (พระเจดีย์พระองค์นี้ทรงสร้างเป็นส่วนพระองค์เอง ทั้งนี้เพื่อเป็นที่ระลึกว่า ได้เคยมาทรงศึกษาพระวิปัสสนา ในสำนักสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) )

    เมื่อพิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นได้ว่า มีลักษณะของเนื้อ เหมือนเนื้อของพระสมเด็จฯ (ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ) ที่สุด แต่พระวัดพลับมีอายุในการสร้างสูงกว่าพระสมเด็จฯ ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เอาแบบอย่างส่วนผสมผสานมาดัดแปลง และยิ่งพระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงหลังเบี้ยด้วยแล้วก็ยิ่งสังเกตได้ว่า ดัดแปลงเค้าแบบมาจากพระวัดพลับทีเดียว

    อนึ่ง การทรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณา อันเป็นที่รักแห่งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานนั้นเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีคุณลักษณะคล้ายคลึงสมเด็จพระสังฆราชพระอาจารย์พระองค์นี้มาก เข้าใจว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีความเลื่อมใสและเจริญรอยตามพระอาจารย์แทบทุกอย่าง................

คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-raja/monk-raja-04-hist.htm

111
อ้างถึงคำสอนของท่านพระอาจารย์และข้อความที่ท่านเคยเขียนไว้ดังนี้

ในหัวข้อ    สภาวะธรรม...ปิติ...
:054:"ปิติ" เป็นสมมุติบัญญัติที่ให้ความจำกัดความของสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในขณะเจริญภาวนา  อาการปิตินั้นคือการปรับธาตุในตัวเราให้มีความเหมาะสมกับสภาวะจิตที่จะเกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งจะปรากฏออกมาได้มากมายหลายอย่าง หลายประการ แต่จะสรุปเป็นหัวข้อใหญ่จำกัดไว้ได้ 5 ประการ ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ ซึ่งอาการของปิตินั้น ที่แสดงอกมาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับธาตุในกายและจิตในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร จึงไม่เป็นไปเหมือนกันในแต่ละครั้งและแต่ละคน ปิติคือการเริ่มต้นที่จะเข้าสู่ความสงบ
 :059:ถ้าอยากจะศึกษาเรื่องอารมณ์ของปิติให้ละเอียดเราต้องไปศึกษาแนวการปฏิบัติของพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน)คือการปฏิบัติแบบปิติ5
ซึ่งสมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านเคยปฏิบัติกันมา ก่อนที่จะหันมาภาวนา"พุทโธ"ในสมัยหลวงปู่มั่น และอานาปานุสติในสมัยหลวงพ่อพุทธทาส
ซึ่งแนวปฏิบัติกรรมฐานปิติ5นั้นจะแสดงอย่างละเอียดเรื่องอาการของปิติทั้งหลาย(ฝากไว้เป็นข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้)

 :054:อาการที่เรารู้สึกคล้ายกับกายเราโยกคลอนนั้นเกิดจากธาตุลมในกายของเรากำลังปรับให้มีความพอดี และจิตของเราในขณะนั้นเข้าไปจับอยู่กับลมในกาย คือการหายใจของเรา และเรากำลังรวมจิตเราเข้ากับลม ซึ่งสภาวะของธาตุลมนั้นมันพัดไหวเคลื่อนที่ไปตลอดเวลา มันจึงทำให้เรารู้สึกคล้ายว่า ร่างกายของเรากำลังโยกคลอน เอนไปเอนมา ทั้งที่กายของเรายังตั้งตรงอยู่ตามปกติ (อาจจะมีอาการก้มหน้าลงและเงยหน้าขึ้นบ้างในบางครั้ง)ถ้าเราไปตามลมทีหายใจเข้าและหายใจออก
 :059:เราอย่าไปกังวลใจว่าใครจะคิดอย่างไรในการปฏิบัติของเรา ขอให้เรามีสติระลึกรู้ว่าเรากำลังทำอะไร และสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร
รู้เท่าทันอารมณ์ ไม่หลงไปในอารมณ์ที่เกิดขึ้น(ไปยินดีและพอใจอยากจะให้มันเกิดขึ้นอีก) ไม่ไปยึดติดในอารมณ์เหล่านั้น เพราะทุกอย่างตั้งอยู่ในพระไตรลักษณ์"เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"อารมณ์ปิติเหล่านั้นไม่เที่ยงแท้ ถ้าเข้าไปยึดถือก็เป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่ยึดถือไม่ได้เพราะแปรเปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัย "จังหวะ เวลา โอกาศ สถานที่ และบุคคล" จงฝึกฝนปฏิบัติต่อไปอย่าหวั่นไหวและย่อท้อ และขอให้ความเจริญในธรรมจงบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลายผู้ใฝ่ธรรม...
 :059:เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ไมตรีจิต-แด่มิตรผู้ใฝ่ธรรม :059:
                          รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๒๖ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย

ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=10614.0

112
ต่อจากตอนที่ 5
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23685
==========================================

จิตหลอก

    ตอนใดที่จิตของเรามีความแน่วแน่บริสุทธิ์แท้จริง ความรู้มันก็จริง ถ้าช่วงใดที่จิตของเราไม่แน่วแน่และมีกิเลสเจือปน หรือเราอยากรู้อยากเห็น มันจะโกหกเราทันที เพราะฉะนั้น ทางผิดทางถูกอย่าไปสำคัญมั่นหมายในสิ่งรู้ทั้งหลายเหล่านั้น อะไรมันจะมีก็มี อะไรมันจะเป็นก็เป็น เช่นอย่างรู้ว่าคนโน้นเขาจะเป็นอย่างนี้ คนนี้เขาจะเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นแต่เพียงอารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติเท่านั้น เราอย่าไปยึด ถ้าหากว่าเราไปสำคัญมั่นหมายว่าเรารู้จริงเห็นจริงแล้ว ทีหลังมันจะโกหกเรา

   หลวงพ่อเคยทดลองดูแล้วตอนที่เขากำลังเล่นหวยกัน ทีแรกมีโยมอุปัฏฐากคนหนึ่งเขาก็นับถือว่าหลวงพ่อนี่คือลูกของเขาคนหนึ่งเหมือนกัน วันหนึ่งไปเยี่ยม เขาพูดขึ้นมาอย่างนี้ ทีลูกบ้านลูกเมืองเขาบอกหวยบอกเบอร์พ่อแม่ได้ ทีลูกเรานี่ไม่เห็นบอกสักที หลวงพ่อก็เลยบอกว่า โยมเอาจริงไหม ถ้าเอาจริงแล้ว มาสัญญากันไว้ก่อน ถ้าหลวงพ่อไม่บอกแล้วอย่าไปซื้อ ทีนี้พอสัญญากันเรียบร้อย หลวงพ่อก็มานั่ง แล้วมันก็เกิดนิมิตขึ้นมาทีเดียว ๕ งวด งวดแรกหลานมาจังหันก็เขียนใส่ซองส่งไปให้ พอหลานเอาไป ก็เอาไปให้พ่อมันดู อันนี้มันไม่ออกหรอก ฉีกทิ้ง ใบที่สอง อันนี้มันไม่ออกหรอก ฉีกทิ้ง ทีนี้แกทนไม่ไหว มันผ่านมางวดสองงวดแล้ว แกทนไม่ไหว แกอยากเล่น พอเสร็จแล้วแกก็มาเอง หลวงพ่อบอกว่าเที่ยวนี้ให้ซื้อ ๐๖ กับ ๔๒ แกก็ไปซื้อแต่ ๔๒ มันก็ออก ๐๖ เที่ยวหลังไปขออีก เอา เที่ยวนี้ให้ซื้อ ๔๒ แกก็บอกว่า ๔ กับ ๒ มัน เป็น ๖ มันออกมาแล้ว มันจะออกมาได้อย่างไร ใครไปตั้งกฎหมายบังคับ พอเสร็จแล้วมันก็ออก ๔๒

   มาภายหลังนี่.. เอาล่ะ หลวงพ่อเลิกบอกแล้ว แต่ว่าไม่บอกโยม แต่เราก็มาทำเพื่อพิสูจน์ทดสอบของเราเอง มานั่งเข้าได้ตั้ง ๕ งวดอีกเหมือนกัน ตอนนี้ไม่บอกใคร เขียนใส่แผ่นกระดาษแล้วก็เอาใส่ไว้ในลิ้นชักว่ามันจะออกไหม พอผ่านไปแล้วมันออกหมดทุกตัว เอาละ ทีนี้จะบอกญาติบอกโยมบ้างล่ะ ไปนั่ง..มันมาสวยกว่าเก่า แล้วก็มามากด้วย มาตั้ง ๑๐ งวด เป็นคู่ ๆ มาตั้ง ๑๐ คู่ มาตอนนี้ บอกปั๊บ งวดแรก ไม่ออก งวดที่ ๒ ก็ไม่ออก งวดที่ ๓ ไม่ออก งวดที่ ๔ ที่ ๕ ไม่ออก เอ้า หยุดบอก พองวดที่ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ออกหมดทุกงวด นี่มันเล่นตลกเรา อย่างนี้แหละ

   สิ่งที่เรารู้อย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น จะรู้จริงหรือไม่จริงไม่สำคัญ เราอย่าไปสำคัญมั่นหมาย เอาตรงที่ว่ามันรู้ปัจจุบันนี้จิตของเราเป็นอย่างไร มันเศร้าหมองหรือมันผ่องแผ้ว แล้วมัน มีแนวโน้มไปทางบาปหรือไปในทางบุญ แล้วมันมุ่งที่ยึดมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แน่วแน่หรือเปล่า ดูกันที่ตรงนี้ ส่วนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่าไปสำคัญมั่นหมาย แม้แต่ความรู้ในธรรมะนี่ พอมันโผล่ขึ้นมา เอ๊ะ.. อันนี้มันอะไรนี่ อย่าไปสนใจ เอาเพียงแต่รู้ว่า เรามีความคิด มีอารมณ์จิตเท่านั้น ผิดถูกอย่าไปสำคัญมั่นหมาย ความผิดความถูกมันมีสิ่งที่ตัดสิน อันใดที่เรารู้แล้วมันไม่ชวนเราไปทำผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง นั่นแหละถูกต้อง

   เดี๋ยวนี้นักปฏิบัติมาเถียงกันเฉพาะว่า สมาธิขั้นนั้นเป็นอย่างไร ญาณขั้นนั้น ฌานขั้นนั้นเป็นอย่างไร มัวอยู่เฉพาะตรงนี้ แต่ตัวใน ตัวจิตนี่ไม่ดู อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือก็ไปเที่ยวกล่าวตู่แต่ชาวบ้านเขา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่จิต อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ไม่ดู สิ่งอื่นๆ นอกจากจิตของเราแล้วมันไม่มีอะไรเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตของเรานี้เอง พอเรากระทบอารมณ์ที่ทำให้โกรธ พอจิตของเราเที่ยงมันก็ไม่หวั่นไหว กระทบอารมณ์ที่ทำให้รักให้ชอบ ถ้าจิตของเราเป็นปกติ ไม่หวั่นไหว มันก็เที่ยง ถ้ามันหวั่นไหวเมื่อไรก็ไม่เที่ยง เขาด่ามามันโกรธ มันก็ไม่เที่ยง ถ้าด่ามาแล้วมันไม่โกรธไม่เคียดอันนั้นมันเที่ยง


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html

113
ประวัติแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม

ฆราวาสผู้เปี่ยมด้วยธรรม


         คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมียขึ้น 15 ค่ำเวลา 11.20 น. หรือตรงกับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2437 ท่านได้กำเนิดในครอบครัว ที่มีฐานะค่อนข้างยากจน มีนายยิ้ม กลิ่นผกา เป็นบิดา และมี นางสวน กลิ่นผกา เป็นมารดา สถานที่เกิดอยู่ที่คลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร

         ต่อมาบิดามารดาของท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี อยู่ในละแวกบ้านชาวสวน และมีฐานะเป็นชาวสวนในเวลาต่อมา คุณแม่บุญเรือน ท่านก็ได้เติบโตมาในละแวกบ้านชาวสวน ที่ตำบลบางปะกอกใหญ่นั่นเอง

         นายยิ้ม บิดาของคุณแม่บุญเรือน มีภรรยาทั้งสิ้น 3 คน คนแรกก็ได้แก่ นางสวน มีบุตรด้วยกันสองคน คนโตคือ นางทองอยู่ ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว คนที่สองก็ได้แก่ คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกานั่นเอง

         ภรรยาคนที่สอง ชื่อนางเทศ มีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่ นายเนื่อง นางทองคำ และนางทิพย์ ซึ่งทั้งสามคนนี้ ถือเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน
ภรรยาคนที่สาม ไม่มีใครจำชื่อได้ และไม่มีใครยืนยันว่า นายยิ้ม ได้มีบุตรกับภรรยาคนนี้หรือไม่

         การศึกษาเล่าเรียนและชีวิตในครอบครัว

         ชีวิตในวัยเยาว์ คุณแม่บุญเรือน เป็นผู้ได้รับความรักความทะนุถนอมจากบิดามารดา เป็นอันมาก พอเหมาะสมกับฐานะของครอบครัว ท่านได้รับการศึกษาให้รู้ภาษาไทย พออ่านออกเขียนได้ และเชื่อว่าท่านได้รับการฝึกสอน จากบิดามารดา ให้มีความรอบรู้ และ สามารถทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนเป็นอย่างดี พอเหมาะสมกับสมัย เนื่องจากปรากฏต่อมาในภายหลังว่า คุณแม่บุญเรือน มีความสามารถในการทำกับข้าวมีรสอร่อยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริก อาหารจำพวกแกง และ ต้ม ท่านก็สามารถทำได้อย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีความสามารถในการเย็บจักร ตัดเสื้อผ้าได้

         เหล่านี้เป็นความสามารถที่เป็นที่ประจักษ์แก่คนที่รู้จักทุกคน

         ฝึกหัดเป็นหมอนวดและสนใจในงานบุญ

         เมื่ออายุราว ๆ 15 ปี ท่านได้รับการฝึกสอนจากในครอบครัว ให้รู้จักการนวด ซึ่งท่านได้ให้ความสนใจอยู่เป็นอันมาก จนในที่สุด ท่านได้รับครอบวิชาหมอนวด และ ตำราหมอนวด จากปู่ของท่าน คืออาจารย์กลิ่น ซึ่งในขณะนั้นถือว่า เป็นหมอนวดผู้มีชื่อเสียง

         จากการได้รับมอบตำราหมอนวด ทำให้ท่านได้ศึกษาวิธีการนวด จากตำราดังกล่าวจนเกิดความชำนาญ และกลายเป็นแม่หมอผู้มีชื่อเสียงในการนวดต่อมาในภายหลัง

         ขณะเป็นวัยรุ่น ท่านได้รู้จักกับคุณลุงของท่าน คือหลวงตาพริ้ง ซึ่งเป็นพระภิกษุ อยู่ที่วัดบางปะกอก ด้วยความคุ้นเคยกับหลวงตาพริ้ง ผู้เป็นลุงนั่นเอง ท่านได้เริ่มนำอาหารไปถวายอยู่บ่อย ๆ ทำให้ท่านได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ และ คุณธรรมในการดำเนินชีวิต ตามแนวคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เริ่มเลื่อมใสศรัทธา และมีใจรัก ในงานบุญงานกุศลมากขึ้นอันน่าจะถือได้ว่า นี่เป็นปฐมเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านบำเพ็ญกรณียกิจเป็นนักบุญในพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา หลวงตาพริ้ง จึงเป็นพระภิกษุที่คุณแม่บุญเรือนมีความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก และวัดบางปะกอกนี้ก็น่าจะเป็นวัดที่ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จนนำไปสู่การบำเพ็ญภาวนาในเวลาต่อมา


         ชีวิตสมรสและบุตรธิดา

         เมื่อมีอายุพอสมควร ก็ได้ทำการสมรสกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม ซึ่งขณะนั้นเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลสัมพันธวงศ์ ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาที่ดีตลอดมา แต่ก็ไม่มิบุตรธิดาด้วยกัน และเนื่องจากไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน ทำให้คุณแม่ บุญเรือน โตงบุญเติมได้รับอุปการะเด็กหญิงชายอื่นบ้าง แต่มีผู้ที่ท่านรับอุปการะแต่มีอายุได้ 6 เดือนจนเติบใหญ่เป็นเวลายาวนานคนหนึ่งในฐานะบุตรบุญธรรมคือ นางอุไร คำวิเทียน จนกระทั่ง นางอุไร มีอายุ ได้ 19 ปีจึงได้สมรสกับ ร.ต.ท.เต็ม คำวิเทียน นางอุไร กับ ร.ต.อ.เต็ม อยู่กินกันมาจนมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อว่า นิดา คำวิเทียน นับว่าเป็นหลานยายที่คุณแม่บุญเรือนให้ความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง

         ชีวิตสมรสระหว่างคุณแม่บุญเรือน และ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม อยู่กินกันมา จนกระทั่งในปี 2479 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 42 ปี ส.ต.ท.จ้อย ได้ถึงแก่กรรมลง เนื่องจากได้เข้าไปช่วยดับเพลิง เมื่อครั้งเพลิงไหม้ใหญ่ตลาดน้อย อำเภอบางรัก ต่อจากนั้นมา คุรแม่บุญเรือนก็ได้ครองความเป็นโสด บำเพ็ญงานบุญ และได้ใช้นามสกุล โตงบุญเติม ของสามีตลอดมา และได้อุปการะเลี้ยงดูนางอุไร คำวิเทียน จนกระทั่งอายุ 19 ปี และได้สมรสกับ ร.ต.ท.เต็ม คำวิเทียน ซึ่งขณะนั้นเป็นตำรวจประจำอยู่ที่โรงพักกลาง ดังนั้นจึงมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่คุณแม่บุญเรือน ได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักของทางราชการ ที่โรงพักกลาง

         ในระหว่างครองชิวิตร่วมกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม คุณแม่บุญเรือน ได้ประกอบอาชีพตัดเย็บผ้า เป็นการช่วยสามีอีกแรงหนึ่ง และรับรักษาโรคโดยเป็นหมอนวด ซึ่งการเป็นหมอนวดเพื่อรักษาโรคนั้น ท่านทำเป็นการกุศลไม่มีสินจ้าง นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถในการทำคลอด หรือเป็นหมอตำแยแผนโบราณด้วย ซึ่งทำให้ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากในขณะนั้น

         ด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยจักรท่านก็ทำได้อย่างดี จนทำให้ครอบครัวท่านมีฐานะที่มั่นคงพอสมควร ในระหว่างนี้ท่านก็ใช้เวลาในการบำเพ็ญบุญ ถือศีล สวดมนต์ ฟังธรรม ด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างแท้จริง ท่านได้ไปประกอบการบุญที วัดสัมพันธวงศ์ เป็นประจำ และได้เริ่มฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตั้งแต่มีอายุประมาณ 30 ปี หลัง ส.ต.ท.จ้อย ถึงแก่กรรม ท่านได้ไปพักอยู่ที่โรงเรียนช่างกลสมบุญดี มักกะสันอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่ง นางอุไร คำวิเทียน บุตรบุญธรรม ได้ทำการสมรสแล้ว ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่ บ้านพักของทางราชการ ที่โรงพักกลางต่อไป

         ขณะที่ยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ ส.ต.ท.จ้อย ด้วยความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ได้ไปฟังพระสวดมนต์ ฟังธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่บ่อย ๆ ทั้งได้ฝึกหัดทำวิปัสสนากัมมัฐานที่วัดนี้ด้วย ต่อมา ส.ต.ท.จ้อย ผู้เป็นสามี ได้ลาอุปสมบท ที่วัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา 1 พรรษา ทำให้คุณแม่บุญเรือน ได้มีความใกล้ชิดและผูกพันในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อสามีสึกออกมาแล้ว คุณแม่บุญเรือน ก็ได้ลาสามีบวชเป็นชีและอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด สัมพันธวงศ์ ได้พากเพียรพยายามฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้อยู่ปฏิบัติที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ จนทำให้เกิดความเข้าใจ และ ปลอดโปร่งในธรรมะ รักความสงบประกอบการกุศลต่าง ๆ ช่วยปักหมอนสำหรับธรรมาสน์พระสวดปาฏิโมกข์เป็นต้น

ที่มา
http://kumarntalk.net/webboard-id10494.html

114
วิธีแก้กลุ้มแบบเซ็น


ถ้าสังเกตให้ดี นิทานเซ็นที่มีผู้รวบรวมและแปลออกเป็นภาษาต่าง ๆ หลายเล่ม ก็คือบันทึกเทคนิควิธีการสอนธรรมอันหลากหลายของอาจารย์เซ็นนั้นเอง

สอนสิบคนก็สิบวิธี ไม่เคยปรากฏว่าอาจารย์เซ็นท่านใช้เทคนิควิธีเดียวกับคนทั่วไป เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะประสบความล้มเหลวในการสอนคน

อาจารย์เซ็นท่านไม่ทำตนเหมือนชาวนาที่โง่ ที่ไถนาไปแล้ว เห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตายโดยบังเอิญ แล้วก็คิดว่าการจะได้กระต่ายกินนั้นไม่ยาก เพียงแต่นั่งรออยู่แถว ๆ นี้ เดี๋ยวก็มีกระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก เขารอตั้งหลายวันก็ไม่มีกระต่ายตัวที่สองวิ่งมาชนตอไม้ตายเลย
ต่อให้รอจนตายก็จะไม่มี

อาจารย์เซ็นท่านจะไม่รอใช้เทคนิคเดิม ขึ้นอยู่กับศิษย์แต่ละคนว่ามีข้อด้อยข้อเด่นในด้านไหน ท่านจะเลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะ เป็นคน ๆ ไป
บางคนชอบท่องพระสูตร ท่านก็บอกให้ท่องพระสูตรให้ฟัง แล้วก็พูดแรง ๆ สองสามคำ เพื่อให้คน ๆ นั้นสลดใจหรือได้คิด ในที่สุดศิษย์ก็ได้บรรลุธรรม

บางคนมาลาอาจารย์เพื่อไปศึกษาต่อสำนักอื่น (คิดว่าตนอยู่สำนักอาจารย์ได้รู้อะไรมากแล้วอยากรู้มากกว่านี้)
พอไปกราบลาอาจารย์ก็เอาเท้ายันยอดอกศิษย์จนหงายหลังตึง แล้วศิษย์ก็บรรลุธรรม!

ท่านพุทธทาสก็มีความเป็นเซ็นไม่น้อย
ดังครั้งหนึ่งก็มีโยมคนหนึ่งพกความกลุ้มเต็มอกเข้าไปกราบท่าน
บอกว่ากลุ้มเหลือเกินจนสมองจะระเบิดแล้ว

ท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้นโดยถอยไปยืนกลางแจ้ง
ยืดกายตรงแล้วตะโกนให้สุดเสียงว่า “กูกลุ้มจริงโว้ย” สามครั้ง

นายคนนั้นถอยออกไปทำตามที่ท่านสั่ง แล้วกลับเข้ามา
ท่านถามว่า “เป็นไงบ้าง”
“ค่อยยังชั่วแล้วครับท่าน” เขาตอบ
หลวงพ่อพุทธทาสตอบยิ้ม ๆ ว่า “ใช่สิ ก็เอาไอ้ตัวกลุ้มออกแล้วนี่”


++++++++++++++++
ที่มา.... หนังสือ " สองอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ หลวงพ่อพุทธทาส และ หลวงพ่อชา"
ของ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read9405.html?No=363

115
  เจ้าน้ำเงิน...คำนี้ไม่มีในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แต่เกิดมีอยู่ในคำอธิบายคำว่า นวโลหะ...เป็นหนึ่งในโลหะทั้งเก้า ส่วนผสมพระพุทธรูปสำคัญ หรือพระกริ่ง

เจ้าน้ำเงิน เชื่อกันว่าเป็นโลหะเรียกเงินได้ เกิดจากหินในป่า แถวเมืองสุพรรณ

วิธีตรวจสอบ...ให้เอาเหรียญเงินหลายๆเหรียญโปะทับ เอาชามครอบ วางที่น้ำค้างตก...รุ่งเช้าเปิดชามดู ถ้าก้อนโลหะนั้น โผล่ไปอยู่บนกองเหรียญ สิทธิการิยะ ..........ท่านว่า เจ้าน้ำเงินแท้

แร่กายสิทธิ์ หายากที่สุด คือสุวรรณเขต หรือขีด ยังไม่มีใครบอกได้ว่า รูปพรรณเป็นฉันใด บอกได้แต่คุณสมบัติว่า ขีดไปที่โลหะอะไร โลหะนั้นจะกลายเป็นทอง (คำ)


ในสมัยรัชกาลที่ 3 ร่ำลือกันว่า สุวรรณขีด ฝังอยู่ในบริเวณพระเศียรหลวงพ่อโต (หน้าตัก 9 ศอก 21 นิ้ว) พระประธานวัดสระตระพาน เมืองเพชรบุรี (ตอนนี้เป็นวัดร้าง)

นักเลงประวัติศาสตร์โบราณคดีรุ่นอาจารย์ล้อม สืบเสาะจนได้ความ ตามโฉนดที่ดิน ชื่อเดิมวัดนี้คือ วัดสัตตพาน ชื่อพระองค์นี้ มีสองชื่อ พระศรีสรรเพชญ์สัตตะพันพาน ชื่อหนึ่ง

พระพุทธสุวรรณเขต (หรือขีด) อีกชื่อหนึ่ง

ชื่อแรก เล่าสืบกันมาว่า โลหะที่หล่อองค์หลวงพ่อ ใช้พานถึงเจ็ดพันใบ

ชื่อสอง พระพุทธสุวรรณเขต (หรือขีด) บอกนัยว่า ช่างหล่อได้ฝัง “สุวรรณขีด” ก้อนแร่กายสิทธิ์ไว้

ชื่อสองนี่เอง ก่อเหตุเภทภัยให้กับองค์หลวงพ่อ

ผู้มีบุญบารมีในยุคนั้น เกิดอยากนิมนต์ท่านจากเพชรบุรีไปไว้ในกรุงเทพฯ ตอนอยู่เมืองเพชร เม็ดพระศกสัญลักษณ์ศิลปะสมัยทวาราวดี ก็สวยงามดีอยู่ แต่มาอยู่กรุงเทพฯ ก็มีช่างฝีมือทักว่า เม็ดพระศกท่านใหญ่ไป...ไม่งาม
จัดการเลาะเม็ดพระศกเก่าออก แล้วเติมเม็ดพระศกใหม่ ขนาดเล็กกว่าแทน

ใครอยากดูว่า เม็ดพระศกหลวงพ่อโตองค์นี้ ใหญ่เล็ก งามไม่งามยังไง...ก็ไปขอพระท่านดูได้ ในโบสถ์วัดบวรนิเวศ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่อยู่หลังพระชินสีห์...องค์นั้นแหละ

การเลาะเม็ดพระศกหลวงพ่อโตครั้งกระนั้น จะพบแร่กายสิทธิ์หรือไม่? พบแล้วเอาไปขีดโลหะอื่นเป็นทองไปแล้วหรือเปล่า? เป็นเรื่องที่สืบหาไม่ได้
อาจารย์ล้อมท่านแค่ตั้งข้อสังเกต นี่คือตัวอย่างให้ประจักษ์ว่า

ความละโมบของคนนั้น...สามารถทำได้ทุกอย่าง

อาจเป็นเพราะข่าวการเลาะเม็ดพระศกเศียรพระ แต่ครั้งกระนั้นแพร่หลาย ชื่อและความเชื่อแร่กายสิทธิ์สุวรรณขีด ก็เริ่มสร่างซาและหายไป จนวันนี้ ไม่มีปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฯ

เหล็กไหล ใครมีในตัวอยู่ยงคงกระพัน เจ้าน้ำเงิน ใครมีไว้เรียกเงิน หรือสุวรรณขีด...ขีดโลหะเป็นทอง นี่คือความเชื่อของผู้คนแต่โบราณ

ที่มา
http://www.gmcities.com/board/index.php?topic=118.0

116
ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี

มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ท่านหลวงพ่อได้เดินทางไปต่างประเทศ ตามคำนิมนต์ของญาติโยมแถบนั้น (คนไทยที่ตั้งรกรากอยู่ในประเทศนั้น) ที่ต้องการให้ท่านไปแสดงธรรมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจบ้าง
พอคน (ไทย) รู้ข่าวเข้า ก็พากันมาเพื่อจะฟังธรรมจากท่านมากมาย (เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย)

หลังแสดงธรรมจบแล้ว
ก็มีช่วงสนทนาระห่างท่านกับญาติโยมที่มา ซึ่งใช้เวลานานอยู่พอสมควร ก่อนพวกเขาจะลากลับ ท่านหลวงพ่อก็ได้ให้เทป – หนังสือธรรมะไว้เพื่อสำหรับศึกษาต่อไป
แต่มีผู้หญิงคนหนึ่ง ร่างท้วม ๆ ผิวขาว ๆ พูดไทยไม่ค่อยชัด อายุราว 50 เศษ ๆ ได้เข้ามากราบท่าน แล้วขอให้ท่านช่วยเขียนผ้ายันต์ให้

ท่านหลวงพ่อบอกว่า “อาตมาทำไม่เป็น”
“งั้นช่วยทำตะกรุดให้อั๊วะสักอัน !” เธอต่อรอง
“ตะกรุดก็ทำไม่เป็น” ท่านหลวงพ่อตอบ
“ทำตะกรุดไม่เป็น งั้นลื้อช่วยอาบน้ำนมต์ให้อั๊วะก็ได้” เธอยังไม่เลิกดื้อ
“ลื้อจะอาบน้ำมนต์ไปทำไม ?” ท่านใช้สรรพานามคำเดียวกับที่เธอใช้
“อาบ เพื่อให้โชคดี ทำมาค้าขึ้น ไม่เจ็บไม่ไข้” เธอตอบด้วยความเชื่อมั่นว่าจะเป็นจริงตามนั้น

ท่านหลวงพ่อตอบผู้หญิงคนนั้นไปว่า
“น้ำมนต์อย่างที่โยมว่า อาตมาก็อาบให้ไม่เป็น แล้วก็ไม่เคยอาบให้ใครด้วย อาบเป็นแต่น้ำธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น”

พูดหวังเพื่อให้เธอสงสัย และอยากจะรู้เรื่องของน้ำธรรมบ้าง แล้วท่านจะได้ช่วยอธิบายถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาให้เข้าใจ แต่....
“ลื้อนี้บวชมาแล้วกี่ปี ?” เธอแสดงสีหน้าผิดหวัง พร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก

ท่านหลวงพ่อก็บอกจำนวนปีที่ท่านบวชมา
ผู้หญิงคนนั้นถึงกับอุทานขึ้นมาทันที

“โอโห้ ! ลื้อบวชมาแล้วตั้งนาน แต่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไปมัวทำอะไรอยู่ เมื่อสามเดือนก่อนมีพระอย่างลื้อนี่แหละ อีบวชมาแค่สามปีเอง อียังทำให้อั๊วะได้ตั้งหลายอย่าง”

ว่าแล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินจากไป โดยไม่ยอมกราบลาท่านเลย :069: ท่านหลวงพ่อพอได้ฟังเช่นนั้น ก็อดสงสารเธอไม่ได้

+++++++++++++++++
คัดลอกจาก.... หนังสือ "ธรรมะอารมณ์ดี ง่าย ๆ สไตล์หลวงพ่อปัญญา" โดย บ.ส. ษิริ บุณยภาค

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readf42f.html?No=385

117
ต่อจากตอนที่ 4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23320
====================================


ศีล ๕ เป็นกฎธรรมชาติ

   กิเลสแม้ว่ายังไม่หมด โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่ ผู้มีศีลเขาจะใช้กิเลสให้ถูกทาง พอจิตคิดจะทำผิดขึ้นมาพั๊บ! มันจะได้สติระลึกว่าสิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา แล้วมันจะหยุดทันที เพราะฉะนั้น การปฎิบัติธรรมนี่ต้องให้จิตเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อย่าไปแต่ง แต่ว่าให้มั่นคงในการฝึกสติ สติรู้ๆๆ จิตระลึกในสิ่งใดให้มีสติรู้อยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา แล้วเราจะได้หลักปฏิบัติซึ่งไม่ขัดต่อการทำงาน ในเมืองไทยนี่เขาสอนกันว่า ผู้ภาวนาต้องสละกิจการงานหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ภาวนานี่ทำได้แต่ในวัดอย่างเดียวเท่านั้น ไปสอนคนให้เข้าใจผิดหมด คนที่เรียนหนังสือสูงๆ เรียนจบปริญญามา ทุกคนฝึกสมาธิมาแล้วทั้งนั้นแหละ ไม่มีสมาธิเรียนจบปริญญามาได้อย่างไร ไม่มีสมาธิทำงานโหญ่โตได้อย่างไร

   สมาธิเป็นหลักธรรมสาธารณะทั่วไป ไม่สังกัดศาสนาและลัทธิใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ไม่มีศาสนาก็ทำสมาธิได้ แต่ความแตกต่างมันอยู่ตรงศีลเท่านั้น ในศาสนาคริสต์ เขาก็มีศีลของเขา ๑๐ ข้อ ในศาสนาพุทธมีศีลเบื้องต้น ๕ ข้อ ศีลปาณาติบาตของศาสนาพุทธ ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ บาปทั้งนั้น แต่ศาสนาคริสต์ฆ่าสัตว์เป็นอาหารไม่เป็นบาป เพราะพวกนี้มันเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ เขาว่าอย่างนี้ อันนั้นเป็นความเข้าใจของเขา แต่แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่าการฆ่า ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉานหรือมนุษย์ บาปด้วยกันทั้งนั้น อย่างศาสนาคริสต์ว่าล้างบาปๆ เราไปตำหนิเขาว่าบาปที่ทำแล้วจะล้างได้อย่างไร เราไม่เข้าใจในความหมายของเขา ล้างบาปนี่เหมือนกับพระแสดงอาบัติ เป็นการสารภาพบาปเมื่อเราได้ทำผิดอย่างนั้นๆ ต่อไปนี้เราจะสำรวมไม่ทำอีกแล้ว มันผิดเพียงแค่นั้นเอง เราในฐานะคนต่างศาสนา ก็ไปหาจุดด้อยของเขา ยกเป็นปัญหาขึ้นมาโจมตี อย่างของเขาก็หาจุดด้อยของเราเป็นจุดโจมตีอีกเหมือนกัน

    เขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ เขามาพูดว่าพระพุทธเจ้าของเราเป็นแต่เพียงผู้มาประกาศธรรมะเท่านั้นเอง ไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร และก็ไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้บนโลกนี้ เขาว่าอย่างนั้น มันก็ถูกอย่างที่เขาว่า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เคยประกาศว่าท่านสร้างอะไร แต่ประกาศและยืนยันว่าเราสามารถรู้ความจริงของธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ กายกับใจเป็นสภาวธรรม สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมเป็นสภาวธรรม สิ่งนี้คือธรรมชาติ ทีนี้ธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีกฎประจำ กฎธรรมชาติ สิ่งที่ว่านี้ก็คือ เกิดขึ้น ทรงอยู่ สลายตัว ภาษาทางแขกเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ศีล ๕ พาพ้นภัย

   ถ้าเราจะปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีล ๕ ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก คฤหัสถ์กินข้าวเย็น ไม่มีในคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ว่าตกนรก ถ้าหากละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งล่ะตกนรกทันที ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักษาศีล ๕ โดยวิสัยของพระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระกรุณาคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีล ๕ ไปทำไม ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรม เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี รักได้ทุกคน เมื่อเรามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น การไม่ลักขโมยเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาทก็เคารพในสิทธิของผู้อื่น สุราไม่มัวเมา เคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย

    เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ไม่ต้องกังวล เป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบาย อยู่ป่าก็สบาย

   คนมีศีลบริสุทธิ์นี่ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด หลวงตาสนอยู่เมืองอุบลเมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโตขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจ นึกถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะไปติดคุกอยู่ ๑๔ ปี พอออกจากตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า โอ๊ย เพิ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้ อยากจะบวช ไม่มีบริขารจะบวช ขอบริขารไปบวชหน่อย คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่ ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทางรถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อนๆ ไปฝังๆ เรียงกัน จนสัตว์ใหญ่ๆ เข้าไม่ได้ ใครเดินทางมาจะต้องรีบเร่งให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั่น มิฉะนั้นเสือมันเอาไปกินหมด

    ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็ไปนอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กาง เดือนหงายๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง ท่านก็บอกว่า "เสือเอ๊ย! ... มากินมันเสีย บักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้ฆ่าคนมามากแล้ว มากินเสียให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย" เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์มันจะหมอบทำท่าขู่ แต่นี่มันมาแล้วมานั่งเฝ้าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยองๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ ท่านเดินเข้าไปหามัน จะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไป แทนที่มันจะกัดท่าน มันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่นๆ ตลกๆ ว่า "เออ! ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วนี่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอา ของทิ้งแล้ว"

เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัย ตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่มของบาปกรรม ทอนกำลังกิเลส

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0843.html

118
ธรรมะ / นิทานเซน : กุศลผลบุญ
« เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 08:19:01 »
นิทานเซน : กุศลผลบุญ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   29 มิถุนายน 2554 07:18 น.

   
ภาพประกอบจาก http://blog.bandao.cn/
       《银华两记》
       
       ครั้งที่อาจารย์เซนเฉิงจัว(Seisetsu Shucho) จาริกธรรมยังวัดหงฝ่า(弘法寺) มณฑลเจ้อเจียง จนได้รับความเคารพศรัทธายิ่งนัก ทุกครั้งที่มีการแสดงธรรมเทศนา ล้วนมีผู้คนมารอฟังอย่างเนืองแน่นจนกลายเป็นแออัด จึงมีผู้เสนอให้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสร้างหอแสดงธรรมแห่งใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้มีศรัทธาในพุทธศาสนานิกายเซนจำนวนมากให้ได้มาร่วมกันฟังธรรม
       
       เมื่อเห็นตรงกัน อุบาสกผู้หนึ่งจึงนำถุงบรรจุเงินห้าสิบตำลึงทองมาถวายให้อาจารย์เซนเฉิงจัว โดยระบุว่าขอร่วมบริจาคเงินสร้างหอแสดงธรรมแห่งใหม่ อาจารย์เซนเฉิงจัวจึงรับเงินมาเก็บไว้ จากนั้นลงมือทำกิจวัตรประจำวันต่อไปตามปกติ
       
       อุบาสกผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่เห็นดังนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เนื่องเพราะเขาเห็นว่าเงินห้าสิบตำลึงทองจัดว่ามากโข คนธรรมดาสามัญสามารถใช้เงินจำนวนนี้ดำรงชีวิตได้หลายปีทีเดียว ทว่าอาจารย์เซนกลับรับเงินไปด้วยท่าทางเฉยเมย ไม่มีการให้ศีลให้พร แม้แต่คำว่า "ขอบคุณ" สักคำยังไม่ยอมเอ่ย เมื่อคิดได้ดังนั้น อุบาสถผู้นี้จึงเดินไปเน้นย้ำต่ออาจารย์เซนว่า "ท่านอาจารย์ ข้านำเงินมามอบให้ถึงห้าสิบตำลึงทองเชียวนะ"
       
       อาจารย์เซนเฉิงจัวได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับด้วยอาการสงบว่า "อาตมาทราบดี เพราะท่านบอกอาตมาแล้ว" จากนั้นจึงเดินต่อไปโดยไม่เหลือบแลกลับมาอีก อุบาสกเห็นดังนั้นจึงขึ้นเสียงสูง ร้องว่า "นี่ท่าน! วันนี้ข้ามอบเงินทำบุญถึงห้าสิบตำลึงทอง ไม่ใช่เงินน้อยๆ หรือว่าแค่คำขอบคุณสักคำท่านก็กล่าวเพื่อตอบแทนข้าไม่ได้เชียวหรือ?"
       
       ยามนั้น อาจารย์เซนจึงได้หยุดและกล่าวว่า "ท่านทำบุญเพื่อเพิ่มพูนศีลธรรมบารมีให้ตัวท่านเอง แล้วเหตุใดอาตมาต้องขอบคุณท่านด้วยเล่า"
       
       การทำบุญย่อมได้บุญ จิตผ่องใสนั่นเป็นบุญ :015:
       
       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

ที่มา
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000078832

119
พระเตะตะกร้อ

วันหนึ่งสมเด็จโตฯ เดินผ่านหลังโบสถ์ เห็นพระกำลังเตะตะกร้อกันอย่างสนุกสนาน

นายทศซึ่งเดินไปกับท่านด้วย รู้สึกแปลกใจที่ท่านไม่ว่าอะไร ทั้งๆ ที่การเตะตะกร้อมันผิดพระวินัย
จึงถามท่านไปว่า “ทำไมไม่ห้ามพระเตะตะกร้อ?”

“ถึงเวลาเขาก็เลิกเอง ถ้าไม่ถึงเวลาเขาเลิก เราไปห้ามเขา เขาก็ไม่เลิก” ท่านตอบนายทศอย่างนั้น
จะเลิกไม่เลิกมันอยู่ที่ใจของเขา

ต่อมาพระกลุ่มนั้นได้ใจ คิดว่าสมเด็จฯ ไม่ว่าอะไร จึงเล่นเตะตะกร้อกันอีก
แต่คราวนี้ สมเด็จฯ ท่านไม่ปล่อย เหมือนคราวก่อน
ท่านให้เด็กไปเรียกพระเหล่านั้นมา แล้วให้เด็กยกน้ำร้อนน้ำชาและน้ำตาลทรายมาถวาย

สักครู่สมเด็จฯ ได้ถามขึ้นว่า
“นี่คุณ! ตะกร้อนี่หัดกันนานไหม?”

พวกพระต่างมองตากัน รู้สึกอาการชักจะไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าสมเด็จฯ จะเล่นไม้ไหน ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ

“ลูกไหนเตะยากกว่ากัน ลูกข้างลูกหลังน่ะ?” สมเด็จฯหยอดเข้าไปอีก

พระเหล่านั้นไม่พูดอะไร หน้าถอดสี รู้สึกละอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียให้ได้

โดยปกติ สมเด็จฯ ท่านไม่ค่อยได้ว่ากล่าวอยู่แล้ว ท่านไม่เคยปากเปียกปากแฉะอย่างพระเจ้าอาวาสทั่วๆไป
นานๆ ครั้งจะว่ากล่าวกันที ยิ่งท่านไม่ค่อยได้ว่ากล่าวตักเตือน ยิ่งทำให้ละอายอย่างมาก

ปรากฏว่า ต่อมาพระวัดระฆังเลิกเตะตะกร้อกันอย่างเด็ดขาด

ที่มา...หนังสือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พฺรหฺมรํสี (ประวัติที่น่าสนใจของหลวงพ่อโต แห่งวัดระฆัง ผู้มีชื่อเสียง และมีเมตตาธรรมอันสูงยิ่ง)

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readf3b7.html?No=405

120
   
พระคาถาพญาไก่เถื่อน(ตำรับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถือน)

พระคาถาพระยาไก่เถื่อน


เป็นคาถานำพระคาถาทั้งปวง ใช้ในทางสำเร็จประโยชน์ แต่ผู้ใช้พระคาถานี้ต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตเป็นเอกัคตาจิตขั้นสูง ถึงเมตตาเจโตวิมุตติ จึงจะใช้พระคาถานี้ได้ เพราะเป็นคาถามหาเมตตา เพื่อปลดปล่อยสัตว์และปลดปล่อยจิตของตัวเอง

พระคาถาพระยาไก่เถื่อนนี้ ผู้ใดภาวนาได้สามเดือนทุกๆ วันโดยไม่ขาด ผู้นั้นจะมีปัญญาดั่งพระพุทธโฆษาฯ และไก่ป่านี้ขันขานไพเราะนัก ด้วยอำนาจแห่งพระคาถาพระยาไก่เถื่อน ให้สวดสามจบ จะไปเทศน์ ไปสวด ไปร้อง หรือไปเจรจาสิ่งใดๆ ดีนัก มีตบะเดชะนัก ถ้าแม้นสวดได้เจ็ดเดือน อาจสามารถรู้ใจคน เหมือนดังไก่ป่ารู้กลิ่นตัวคนฉะนั้น ถ้าสวดครบหนึ่งปีจะมีตบะเดชะเหนือกว่าคนทั้งหลายทั้งปวง

แม้จะเดินทางไกล ให้สวดแปดจบเหมือนไก่ขันยาม เป็นสวัสดีกว่าคนทั้งหลาย ใช้เสกหิน เสกแร่ ไว้สี่มุมเรือน โจรผู้ร้ายไม่เข้าปล้นเหมือนไก่ป่าไม่ทิ้งรัง แม้ผีร้ายเข้ามาในเขตบ้าน ก็คร้ามกลัวยิ่งนัก เสกข้าวสารปรายหนทางก็ดี ประตูก็ดี ผีกลัวยิ่งนัก คนเดินไปถูกเข้าก็ล้มแล แพ้แก่อำนาจเรา

พระคาถานี้ได้เมื่อพระกกุสันโธเสวยพระชาติเป็นไก่ป่า เป็นอาการสามสิบสองของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตโม พระศรีอริยเมตไตย พระคาถาบทนี้ ถ้าจำเริญภาวนา จะมีอานุภาพมาก ผู้ใดภาวนาเป็นนิจสิน จะเกิดลาภยศมิรู้ขาด ทำมาค้าขึ้น ทำนา ทำสวน ทำไร่ เจริญงอกงามดี ทั้งทำให้บังเกิดสติปัญญาด้วย ถ้าเดินทางไปทางบกหรือเข้าป่า สวดภาวนาให้คลาดแคล้วจากภัยอันตรายดีนักแล ในบั้นปลายก็จะบรรลุพระนิพพานด้วยเมตตาบารมีนี้เอง


ที่มา
http://www.buddhakhun.org/main/index.php?topic=3189.0

121
คาถาอาคม / คาถาจินดามณี (3)
« เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 09:39:27 »
กระทู้แรก เรื่อง    ผงยาวาสนาจินดามณี
โดยคุณ โยคี http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,1190.0.html
มีสูตรการสร้างยาจินดามณี

อ้างถึง
พระคาถาเสกยาจินดามณี

"จินดามณี ปิยังมันตัง ยะสังธาสังโกนัง อุปะสันติ สิเนหัง มาตาปิตาวะ โอระหัง ปะโพตันจะ
มหาราชา ตะวังมังโปสัตถุ โนทีปัง กาเรเทโว สุโป เสทิ กิญจิ เทโว เย สักโก ปัชชัง ทัสมิง กินเนวา
ทัตตาปิยัง กันตัง สาริปุตโต ภวันตุ เม สิทธิลาภัง ชนานะเย มณีจินดา ปิยัง จะ ธะนังสัพเพชะนา
พหูชะนา ปิยังมะมะ"

มนต์จินดาบทนี้มีคุณเป็นเอนกประการ ขอให้ผู้มีเม็ดยาหรือพระยาจินดามณี หมั่นท่องบนภาวนาเป็นประจำ
จะช่วยเสริมอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ของยาให้บังเกิดสรรพคุณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่หากท่านยังไม่มีเม็ดยา
หรือพระยาจินดามณี ถ้าจะจดจำเอาไว้สวดภาวนาอยู่เป็นนิจก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด พุทธคุณนั้นมากหลาย
=====================================
กระทู้ที่สอง เหมือนกระทู้แรก
มีสูตรสร้างยาและคาถา
   
หัวข้อ..ใ ค ร มี ค า ถ า จิ น ด า ม ณี บ้ า ง ค่ ะ ?? โดยคุณหมอนอิง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1675.msg9599
==================================
ส่วนกระทู้นี้เน้นเรื่องคาถาและเรื่องประกอบ
เห็นว่ามีหลายคาถา หลายมนต์ แตงต่างกันไป แต่เข้าใจว่ามีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกันมาก

122
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

จากหนังสือปกติ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และสิ่งที่ฝากไว้
เรียบเรียงและจัดพิมพ์โดย กลุ่มเทียนสว่างธรรม
มีนาคม 2532


หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

กำเนิด

   หลวงพ่อเกิดที่บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่5 กันยายน พ.ศ. 2454 ตรงกับวันอังคารเดือนสิบ ปีกุน ขึ้น 13 ค่ำบิดาของท่านชื่อจีน มารดาชื่อโสม นามสกุลอินทผิว

   หลวงพ่อมีนามจริงว่าพันธ์ อินทผิว เหตุที่ท่านเป็นที่รู้จักในนามหลวงพ่อเทียน ก็เนื่องจากท้องถิ่นของท่านนิยมเรียกชื่อกันตามชื่อของลูกคนหัวปี บุตรชายคนแรกของหลวงพ่อชื่อเทียน ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านจึงเรียกท่านว่าพ่อเทียน ภรรยาของท่านชื่อหอม ก็ได้รับการเรียกขานว่าแม่เทียนเช่นเดียวกัน

    ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คน คนแรกเป็นชายชื่อ สาย คนที่สองเป็นชายชื่อ ปุ้ย คนที่สามเป็นชายชื่อ อุ้น คนที่สี่เป็นหญิงชื่อ หวัน พิมพ์สอน ท่านเองเป็นคนที่ห้า และคนที่หกเป็นชายชื่อ ผัน พี่น้องของท่านที่ยังมีชีวิตอยู่คือพี่สาวคนเดียวของท่านชื่อ หวัน พิมพ์สอน หรือป้าหนอม พี่น้องคนอื่น ๆ ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วทั้งสิ้น

ปฐมวัย

หลวงพ่อมีชีวิตในวัยเด็กเช่นเดียวกับเด็กชาวบ้านในท้องถิ่นชนบทห่างไกลความเจริญทั่วไป ตื่นเช้าท่านก็ออกไปช่วยพ่อแม่ทำนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ตกเย็นก็ไล่ต้อนวัวควายกลับบ้าน ท่านเล่าว่าท่านไม่เคยได้มีโอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียน เนื่องจากในท้องถิ่นของท่านยังไม่มีโรงเรียน ถ้าจะเรียนก็ต้องเดินทางไปเรียนในท้องถิ่นที่เจริญกว่า ในสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวก หลวงพ่อจึงไม่สามารถจะเดินทางไปเรียนในโรงเรียนที่อยู่ไกลจากบ้านท่านได้ ท่านเล่าว่าในท้องถิ่นของท่านไม่มีความเจริญทางวัตถุแต่อย่างใด รถไฟ รถยนต์ เครื่องบินหรือแม้แต่จักรยาน ท่านก็ยังไม่เคยเห็น สำหรับเครื่องบินนั้นแม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน

บรรพชาเป็นสามเณร


บริเวณที่หลวงพ่อเคยเดินจงกรมกับหลวงน้า
สมัยที่บวชเป็นสามเณรที่วัดภู หรือวัดบรรพตคีรี

   เมื่อหลวงพ่ออายุได้ราว 10 ขวบ หลวงน้าของท่านซึ่งไปเรียนหนังสือมาจากจังหวัดอุบลราชธานี ได้มาขอกับบิดามารดาของท่านให้ท่านบวชเป็นเณรคอยรับใช้หลวงน้า เรียกว่าเณรใช้ หลวงน้าของท่านชื่อยาคูผอง นามสกุลจันทร์สุข อุปสมบทเมื่ออายุยังน้อยและครองเพศบรรพชิตมาโดยตลอด หลวงพ่อเล่าว่าทางบ้านเกิดของท่านมีประเพณีรดน้ำพระภิกษุที่บวชมานาน รดครั้งแรกเรียกสมเด็จ รดครั้งที่สองเรียกซา รดครั้งที่สามเรียกยาคู และในพิธีรดน้ำครั้งต่อ ๆ ไปก็เรียกยาคูทั้งสิ้น

   ก่อนที่หลวงพ่อจะบรรพชาเป็นสามเณรนั้น หลวงพ่อไปวัดหลวงน้าอยู่เป็นประจำทุกเช้า เย็น วัดที่หลวงน้าจำพรรษาอยู่นั้นชื่อวัดภูหรือวัดบรรพตคีรี อยู่ไม่ห่างจากบ้านหลวงพ่อ ตอนเช้าหลวงพ่อต้องนำอาหารและดอกไม้ไปกราบหลวงน้าแล้วจึงไปนา ตอนเย็นหลังจากตักน้ำที่คลองน้ำแล้วท่านก็จะไปวัด

   ขณะที่บวชเป็นเณรอยู่กับหลวงน้า หลวงน้าสอนหลวงพ่อให้ท่องนะโม ตัสสะ ทำวัตรเช้า วัตรเย็น อาราธนาศีล อาราธนาธรรมดูฤกษ์ยาม ทำกรรมฐาน เดินจงกรม หลวงพ่อได้เรียนตัวลาวหรือตัวไทยน้อย และอักษรธรรมซึ่งเขียนบนใบลานกับหลวงน้า สำหรับการเรียนการสอนนี้เป็นแบบปากเปล่า ไม่มีการเขียน ใช้วิธีจดจำ เวลากลางคืนหลังจากเลิกเรียนหนังสือแล้ว หลวงน้าจะพาหลวงพ่อเดินจงกรม หลวงน้าเป็นพระที่ขยันปฏิบัติ บางครั้งท่านก็ลุกขึ้นเดินจงกรมในเวลาดึก ทางเดินจงกรมของหลวงน้ายาวราว 20 วา หลวงพ่อเดินห่างจากหลวงน้า 4-5 วา

   สำหรับการฝึกกรรมฐานนั้น หลวงน้าให้หลวงพ่อนั่งขัดสมาธิเพชรหลับตาแล้วภาวนา หายใจเข้าให้ว่า“ พุท” หายใจออกให้ว่า“ โธ” ในเวลานั้นหลวงน้ามีเพื่อนพระภิกษุที่สอนกรรมฐานอยู่หลายรูป หลวงพ่อจำได้ว่าเพื่อนหลวงน้ารูปหนึ่งที่สอนกรรมฐานให้หลวงพ่อชื่ออาจารย์เสา เมื่ออาจารย์เสาเห็นหลวงพ่อภาวนา “พุทโธ” ท่านให้ความเห็นว่า เวลาขึ้นต้นไม้จะขึ้นปลายที่เดียวไม่ได้ ต้องขึ้นตั้งแต่ต้น ๆ ท่านให้นับหนึ่ง สอง สาม หายใจเข้าให้ภาวนาว่า หนึ่ง หายใจออกให้ภาวนาว่า สอง เรื่อยไปจนถึงสิบ เมื่อถึงสิบให้นับย้อนหลังลงมาถึงหนึ่ง แล้วตั้งต้นจากหนึ่งถึงสิบ ทำเช่นนี้เรื่อยไป อาจารย์เสาท่านบอกว่า การภาวนาเช่นนี้ทำให้เกิดความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าถูกของมีคมบาดเป็นแผล ให้ภาวนาตามวิธีการดังกล่าวแล้วเป่าที่แผลเลือดจะหยุดทันที เมื่อไปนอนตามป่าตามดง มีเสือมีผี ให้เสกก้อนหินด้วยการภาวนาดังกล่าว แล้วเอาก้อนกรวดก้อนหินวางเรียงรายไว้รอบตัว จะนอนได้อย่างปลอดภัย เสือและผีจะกลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้


บนภูทอกน้อย อ. เชียงคาน จ.เลย

   หลวงพ่อเล่าว่าหลวงน้าได้สอนการเพ่งกสิณให้ท่าน โดยให้ใช้เท้าขีดวงกลมให้ห่างจากสายตาราว 1 เมตร เพ่งกสิณลงไปให้เห็นเป็นแสงเวลาเช้าให้จ้องดวงอาทิตย์โดยไม่กะพริบตา จนกระทั่งสายตาสู้แสงพระอาทิตย์ได้ หลวงน้าบอกท่านว่าถ้าทำได้จะเป็นฤษีตาไฟ ถ้าจ้องมองไปที่ใครคนนั้นจะล้มทันที หรือจะทำให้เป็นไฟไหม้ก็ยังได้ นอกจากนี้หลวงน้ายังมีคาถาย่อแผ่นดิน ซึ่งหลวงพ่อเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า หลวงน้าของท่านรูปร่างสูงและผิวขาวเหมือนฝรั่ง เวลาติดตามหลวงน้าไปไหน หลวงน้าเดินแต่หลวงพ่อต้องวิ่ง หลวงพ่อจึงมาคิดได้ในภายหลังว่า ที่หลวงน้าบอกว่ามีคาถาย่อแผ่นดินให้หดเข้านั้นเป็นอย่างนี้เอง เวลาเดินหลวงน้าท่านขายาว ท่านก็ก้าวเพียงก้าวเดียว ในขณะที่หลวงพ่อต้องก้าวถึงสามก้าวจึงจะเดินทันท่าน

   ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้ติดตามหลวงน้าไปอยู่ที่เมืองลาว แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กเมื่อใครพูดถึงบ้าน ท่านก็ร้องไห้คิดถึงบ้าน ในที่สุดก็ต้องเดินทางกลับมาบ้านเกิดของท่าน

   หลวงพ่อบวชเป็นสามเณรอยู่กับหลวงน้าเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ได้เรียนมนต์คาถาจากหลวงน้าพอสมควร เนื่องจากขณะที่หลวงน้าไปเรียนมูลกัจจายน์ที่อุบลฯ ท่านได้เรียนเวทมนต์คาถาอาคมของเขมรด้วย เช่น คาถาไส้หนังบังควัน วัวธนูดูหน้าน้อย ซึ่งเป็นอาคมไล่ผี เมื่อหลวงพ่อลาสิกขาบทแล้ว ท่านยังรู้สึกเสียดายช่วงเวลาที่บวชอยู่กับหลวงน้า ด้วยในขณะนั้นท่านอยากมีความรู้ทางไสยศาสตร์ อยากมีหูทิพย์ ตาทิพย์เหาะได้ หายตัวได้ ย่อแผ่นดินได้ มีคาถาอาคม ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกเหมือนกับหลวงน้า ในสมัยนั้นในท้องถิ่นที่หลวงพ่ออาศัยอยู่ยังมีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจกันอยู่มาก ลูกผู้ชายต้องมีเวทมนต์ไว้รักษาตัวเองและคุ้มครองรักษาคนในครอบครัวรวมทั้งญาติพี่น้อง หลวงน้าจึงได้เมตตาอบรมสั่งสอนหลวงพ่ออย่างเข้มงวดกวดขัน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์เมื่อสึกออกมาเป็นผู้ครองเรือน

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-thien/lp-thien-hist-index.htm
http://www.fungdham.com/monk-history/history-tien.html

123
พระองค์นี้ทำมาจากอะไร..?

นายแพทย์คนหนึ่งซึ่งร่ำเรียนมาไม่น้อย รักษาคนมาก็มากโข แต่หลงลืมรักษาใจของตัวเอง

วันหนึ่งมีโอกาสได้กราบนมัสการพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่
นามหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ อย่างใกล้ชิด
นายแพทย์หยิบพระนางพญาราคาแพงอายุกว่า 700 ปีขึ้นมาอวด
ยังไม่ทันพูด.. หลวงพ่อก็ปุจฉา

“พระองค์นี้ทำมาจากอะไร”

“ ทำจากเนื้อดินเผาแกร่ง สีน้ำตาลเข้ม”


นายแพทย์ตอบด้วยความภาคภูมิ
หากหลวงพ่อกลับยิ้มแย้มไม่มีอาการตื่นเต้นหรือรู้สึกทึ่ง  ในกฤษฎาภินิหารของพระเครื่องแม้แต่น้อย

“ดินนั้นเกิดมาพร้อมกันตั้งแต่สร้างโลก
พระองค์นี้ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เราเหยียบก่อนเข้ามาในบ้านนี้หรอก”


เก็บความบางส่วนจาก หนังสือ ธรรมะเกร็ดแก้ว โดย ว.วชิรเมธี

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read0ad8.html?No=447

124
ธรรมะ / ธรรมะหรรษา..........พุทโธหาย....?
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2554, 08:52:32 »
พุทโธหาย....? (1/3)

            ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กับพระลูกศิษย์รูปหนึ่ง เที่ยวธุดงค์แสวงหาที่วิเวกตามอำเภอต่าง ๆ ในเขตเชียงใหม่ ได้เดินธุดงค์ข้ามเขาหลายลูก และไปพักอยู่ชายเขาแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านชาวเขาราวสองกิโลเมตร โดยพักอยู่ใต้ร่มไม้ เวลาฝนตกลงมาก็เปียกโชกแต่ก็ทนเอาไม่เดือนร้อนไม่สนใจเพราะทนได้

ตอนเช้าพากันเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านชาวเขา พวกชาวเขาเห็นท่านเข้าไปบิณฑบาตก็ถามว่า ตุ๊เจ้ามาธุระอะไร? ท่านบอกว่ามาบิณฑบาต เขาถามว่า มาบิณฑบาตคืออย่างไร? พวกเขาไม่เข้าใจ เขาเคยรู้จักพระเหมือนกัน แต่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของพระ ท่านบอกว่าบิณฑบาตก็คือพระมาขอแบ่งข้าวจากชาวบ้านไปกิน เขาถามว่าจะเอาข้าวสารหรือข้าวสุก? ท่านตอบว่าข้าวสุก

เขาก็บอกกันต่อ ๆ ไปให้เอาข้าวสุกมาใส่บาตรท่าน เมื่อได้ข้าวแล้วท่านก็พาพระลูกศิษย์กลับมายังร่มไม้ที่พัก และฉันข้าวเปล่า ๆ อยู่นานวัน ขณะที่ท่านพักอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้หมู่บ้านแห่งนี้พวกเขาใส่บาตรให้ก็จริง แต่พวกเขาไม่มี ความเลื่อมใสและไว้ใจท่านเลย พอตกกลางคืนหัวหน้าชาวบ้านตีเกาะนัดให้ชาวบ้านมาประชุมกันแล้วประกาศว่า ขณะนี้มีเสือเย็นสองตัว (หมายถึงพระอาจารย์มั่นและพระลูกศิษย์) มาพักอยู่ที่ป่าใกล้หมู่บ้าน

คำว่า “เสือเย็น” หมายถึง “เสือสมิง” นั่นเอง ขอให้ชาวบ้านทั้งหลายอย่าได้ไว้ใจเสือเย็นสองตัวนี้ มันแปลงเป็นพระจะมาจับพวกเราไปกินเป็นอาหารห้ามไม่ให้เด็กและผู้หญิงเข้าไปในป่าเป็นอันขาด แม้ผู้ชายจะเข้าไปในป่าก็ควรจะมีพรรคพวกเป็นเพื่อนไปด้วยหลาย ๆ คนและต้องมีอาวุธป้องกันตัวไปด้วย ไม่ควรเดินป่าตัวคนเดียวเป็นอันขาดจะมีอันตรายถูกเสือเย็นสองตัวตะครุบกัดกิน


พวกชาวเขาได้จัดเวรยามครั้งละ 3 – 4 คน มีอาวุธมีดพร้าขวานและหน้าไม้ ให้มาคอยเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของพระอาจารย์มั่นแหละพระลูกศิษย์อยู่ใกล้ ๆ ที่พักอยู่ตลอดเวลาทั้งวันและทั้งคืนเป็นผลัด ๆ

ไม่ว่าท่านจะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิภาวนา พวกเขาจะคอยสอดส่ายสายตาจับตาดูความเคลื่อนไหวไม่ยอมให้คลาดสายตาไปได้เลย ไม่พูดไม่จาไม่ไถ่ถามอะไรทั้งนั้น เอาแต่จ้องมองทมึงทึงท่าเดียว แต่เวลาเข้าไปบิณฑบาตพวกเขาก็ใส่ให้อย่างเสียไม่ได้ ใส่ให้ด้วยความเกรงกลัวต้องการเอาใจไว้บ้างมากกว่า ถ้าไม่ใส่บาตรให้เสียเลย เดี๋ยวเสือเย็นจะโกรธใหญ่หาเรื่องทำร้ายเอาได้ง่าย ๆ

เหตุการณ์เป็นไปอย่างนี้อยู่หลายวันทีเดียว บรรยากาศภายในหมู่บ้าน ตึงเครียดมาก แต่พระอาจารย์มั่นก็หาได้หวั่นไหวไม่ ท่านกำหนดวาระจิตตรวจสอบดูจิตใจชาวบ้านทุกคนอยู่ทุกระยะ ในที่สุดหัวหน้าหมู่บ้านก็จัดให้มีการประชุมขึ้นอีก ได้มีการปรึกษาพิจารณาสถานการณ์ของหมู่บ้านอย่างเคร่งเครียดว่าจะเอายังไงกับพระสององค์นี้ต่อไป

พวกเวรยามที่มาคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของพระอาจารย์มั่นได้รายงานว่า ไม่เห็นพระสององค์มีอะไรผิดแปลกเลย เห็นแต่ท่านนั่งหลับตาบ้าง เดี๋ยวลุกขึ้นเดินไปเดินมาบ้าง นอนงีบเดียวแล้วก็ลุกขึ้นมาเดินอีก เดินพักหนึ่งแล้วก็นั่งหลับตา ไม่รู้ว่าท่านนั่งหลับตาทำไมและเดินกลับไปกลับมาหาอะไร จะหาว่าของหายก็ไม่เห็นหาเจอสักที (หมายถึงเห็นท่านเดินจงกรม)

หัวหน้าหมู่บ้านได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอึ้ง มีชาวบ้านผู้อาวุโสคนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าของหมู่บ้าน เคยเข้าไปในเมือง รู้ขนบธรรมเนียมประเพณีคนเมืองอยู่บ้าง รู้จักพระสงฆ์องค์เจ้าปฏิบัติธรรมพอสมควร แกได้พูดขึ้นว่า......

" พระสององค์นี้เห็นจะเป็นพระจริง ๆ ไม่ใช่เสือเย็นปลอมแปลงมาหรอก พระพวกนี้ชอบท่องเที่ยวอยู่ในป่าปฏิบัติตัวเป็นนักบุญ การที่พวกเราชาวบ้านไปสงสัยและกล่าวหาพระสององค์นี้ว่าเป็นเสือเป็นสางน่ากลัวจะไม่ถูกต้องเสียแล้ว จะทำให้พวกเรามีบาปหนักผีป่าผีปู่ย่าตาทวดจะโกรธเอาเปล่า ๆ ทางที่ควรจะพากันไปพบพระสององค์นี้แล้วไถ่ถามเอาให้รู้ต้นสายปลายเหตุว่า มานั่งหลับตาทำไม มาเดินไปเดินมาหาอะไร"

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readbe4b.html?No=448

125
การหายใจเป็น หลวงปู่พุทธะอิสระ

   จริงๆแล้ว ทุกคนหายใจได้ แต่รู้บ้างมั๊ยว่า เรายังหายใจกันไม่เป็น มาดูกันว่า ชีวิตที่มันยืนยาว กับชีวิตที่สั้น มีลมหายใจต่างกันอย่างไร……………
ลองสังเกตดูว่า ไม่ว่าจะเป็นนกก็ดี หมูก็ดี หนูก็ดี ปลาก็ดี ไก่ก็ดี หมาก็ดี แมวก็ดี มันจะมีลมหายใจถี่ และไม่เป็นจังหวะเข้า-ออกที่สม่ำเสมอ…………….

    ทางวิทยาศาสตร์ถือว่า ลมหายใจที่เข้า มันสูดเอาสิ่งที่ดีๆเข้าไป เพื่อจะปรุงเป็นโลหิต ไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้มีพลัง การหายใจยาวๆ หมายถึง การได้สูดเอาของดีๆให้เข้าไปขับไล่ของเสียออกมาจากการหายใจออก ในขณะเดียวกัน มันก็ทำหน้าที่ปรุงพลังให้กับร่างกาย……………

   มีเรื่องพิสูจน์ยืนยันได้ว่า การหายใจเข้า-ออก ยาวกว่าคนปกติธรรมดา จะมีชีวิตยืนยาวได้เป็น 300 – 400 ปี หรือไม่ตายแม้กระทั่งฝังทั้งเป็น อย่างในประเทศอินเดีย มีโยคีนอกศาสนาเรียนวิชาโยคะ วิชาโยคะมี 38 ท่า ในท่าสุดท้าย จะมีวิธีการฝังตัวและหายใจแบบกบ เรียกว่า กบจำศีล มีอาจารย์โยคะท่านหนึ่ง สามารถที่จะฝังตัวเองได้เป็นสิบปี เมื่อถึงเวลาแล้ว ลูกศิษย์ไปขุดดู ปรากฏว่าอาจารย์ยังสบายดี ไม่ตาย ทั้งนี้ก็ได้มาจากการหายใจ ความละเอียดอ่อนของลมหายใจ และการรู้จักขั้นตอนในการระบายลมเข้าและออก…………..

   ฉะนั้น “ลมหายใจ” นอกจากจะมีประโยชน์ในการให้พลังต่อร่างกายแล้ว มันยังหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิต มีพลังความคิดและมีอำนาจต่างๆเกิดขึ้นมากมาย จากการที่คนหายใจเป็น สัตว์หายใจเป็น……………..

    แต่ผู้ที่หายใจไม่เป็น สัตว์ที่หายใจไม่เป็น เราจะเห็นว่าอายุจะสั้น เช่น แมวตายก่อนหมา หมาตายก่อนควาย ควายตายก่อนวัว วัวตายก่อนช้าง ช้างตายก่อนปลาวาฬ อะไรเหล่านี้ จะเห็นว่ามันมีการหายใจต่างกัน…………….
ถ้าถามว่าเกี่ยวกับระบบสรีระด้วยรึเปล่า? เกี่ยวกับปอด เกี่ยวกับถุงลม เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ด้วยรึเปล่า ?…………………

   สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยกรรมพันธุ์อย่างเดียว แต่มันเกิดขึ้นโดยการกระทำด้วยเหมือนกัน เช่น ถ้าเราฝึกปรือให้เด็กทารกรู้จักหายใจเข้ายาว ออกยาว เป็นจังหวะ มันก็สามารถที่จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางร่างกาย เปลี่ยนแปลงกรรมพันธุ์ทางร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว
เช่นในกรณีของคนที่มีพันธุ์หน้าอกเล็ก ปอดเล็ก ถุงลมเล็ก ถ้าเราฝึกให้รู้จักหายใจเป็น หายใจเข้าและออกยาวตั้งแต่เล็กๆ มันจะสามารถขยายทรวงอก ขยายโครงสร้างของร่างกายและขยายอวัยวะต่างๆในร่างกาย ให้ทำงานได้เหมือนกับคนที่มีร่างกายแข็งแรงใหญ่โต เรื่องนี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์……………….

    หลวงปู่เคยใช้วิชาหายใจรักษาคนที่เป็นโรคปอด เป็นมะเร็งในปอด จนปอดเหลือข้างเดียว ตอนนั้นเค้าอายุ 40 กว่า จนอยู่มาได้ถึง 70 กว่า ด้วยวิธีการค่อยๆผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ
การหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนคลายออกยาวๆนั้น มันจะสามารถขับความร้อนในกาย ที่เกิดจากการเสียดสีของการทำงาน มันจะขับของเสีย ที่มีอยู่ในกายออกไป ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องออกมาเป็นเหงื่อ……………..

    แน่นอนละ ทางการแพทย์ย่อมรู้ว่า การขับเหงื่อออกมาเป็นการดี เพราะสามารถจะระบายของเสียในร่างกาย แต่ของเสียในร่างกาย มิใช่ออกมาจากเหงื่ออย่างเดียว มันออกมา จากลมได้ก็มี…………..

พวกเราจะสังเกตเห็นว่า หลวงปู่ไม่มีเหงื่อหยดติ๋งๆ ไม่ใช่เพราะว่าต่อมต่างๆมันอุดตัน แต่หลวงปู่จะใช้วิธี การหายใจระบายของเสียโดยลม แต่ไม่ยอมให้ร่างกายเสียน้ำ เพราะถ้าเสียน้ำมาก จะเพลียมากกว่าเสียลม คนที่เหงื่อออกมากๆในเวลาทำงานนั้น เมื่อเลิกทำงานจะรู้สึกเพลียและกะปลกปะเปลี้ยไปหมด คือว่าร่างกายเสียน้ำ ขาดน้ำ แต่หลวงปู่พยายามทำให้เหงื่อออกน้อยที่สุด แล้วพยายามระบายลมให้คงที่ เป็นปกติ ความเหนื่อยของเรา ก็จะผ่อนคลายออกมากับลมหายใจที่พ่นออก พลังเราก็จะเข้าไปกับลมหายใจที่สูดเข้า และเมื่อถึงเวลา เราจะระบายของเสียอีกประเภทหนึ่งออกมา ก็คือ ปัสสาวะ ถ้าเราเหนื่อยจัด หรือว่ามีของเสียมาก เราจะรู้สึกปวดปัสสาวะ นี่คือเทคนิคของผู้ที่มีศิลปะในการกำจัดของเสีย…………….

   พวกที่รู้จักการหายใจ มีศิลปะในการระบายลมหายใจ นอกจากร่างกายจะมีพลังปกติ โคจรได้อย่างสมบูรณ์ ยังมีเคล็ดวิเศษในวิชานี้อีก คือสามารถดูดพลังจากธรรมชาติได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อ ลองถามลูกหลานที่เคยอยู่ใกล้หลวงปู่ว่า ถ้าหลวงปู่เป็นลมล้มลงไป จะไล่ทุกคนออกจากห้องทั้งหมด ขอเพียงอยู่ลำพังสัก 3 – 10 นาที หลวงปู่สามารถลุกขึ้นมาทำงานได้เป็นปกติทุกอย่าง เหมือนมีพลังเท่าเดิม เพราะสามารถจะดูดพลังจากไอของความชื้น ความร้อน สุริยัน จันทรา และสิ่งแวดล้อมได้…………….

   ใครจะปฏิเสธมั๊ยว่า ผิวหนังสามารถจะหายใจและระบายของเสีย พร้อมๆกับสูดเข้าได้ ถ้าปฏิเสธตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเชื้อโรคและของที่เป็นพิษเข้าทางผิวหนังได้อย่างไร นี่แหละศิลปะในการหายใจ ทำให้เราสามารถหายใจทางผิวหนังได้ สูดของเสียและระบายของเสียออกจากผิวหนังได้ ในขณะเดียวกันก็สูดอากาศเข้าสู่ผิวหนังได้ ก็อย่างที่เล่าว่า โยคีที่ฝังตัวเองไว้เป็น 10 ปี ยังไม่ตาย เค้าหายใจทางไหน ได้รับน้ำกับความชื้นจากอะไร ก็จากผิวหนัง นี่คือ ศิลปะการสูดลมหายใจเป็นปกติและเทคนิคพิเศษ…………..

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

126
ศิลปะในการหายใจ  หลวงปู่พุทธะอิสระ

    มีการค้นพบกันว่า สัตว์ที่หายใจสั้นและถี่ จะมีชีวิตสั้น ส่วนสัตว์ที่หายใจยาวและเป็นระบบ จะมีอายุยืนยาว อวัยวะในกาย เซลล์ต่างๆในกาย จะตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเสมอ สังเกตดูได้จากสัตว์รอบๆตัวท่าน………..

   ศิลปะในการหายใจ นี้ หลวงปู่เรียกมันว่า ลม7 ฐาน หรือใครจะเรียกมันว่า โยคะ หรือ โยคี อะไรก็แล้วแต่ มันมีอยู่แล้วในศิลปะการหายใจ มีอยู่ใน พุทธศาสนา นั่นคือ วิชา อานาปานสติกรรมฐาน นี้แหละ วิชาอานาปานสติกรรมฐาน คือ การค่อยๆผ่อนลมหายใจ หายใจด้วยความผ่อนคลาย ความรู้สึกดื่มด่ำ ซึมซาบ และซึมสิงกับกลิ่นอายธรรมชาติแวดล้อมที่สูดเข้าไป และไปเปลี่ยนเป็นพลังงานพร้อมกับขับถ่ายของเสียออกมากับลมหายใจที่ระบายออก คือ การตามดูลมที่เข้าและออก มีสติ จดจ่อ จับจ้อง จริงจัง และก็ตั้งใจ………..

   ศิลปะในการหายใจเพื่อการผ่อนคลาย หลวงปู่ไม่อยากจะเรียกมันให้เป็นวิชาสูงส่ง เพราะพระพุทธเจ้าทรงสูงส่งกว่าหลวงปู่มาก แต่ประสบการณ์ทางวิญญาณ ที่หลวงปู่ได้รับรู้จากการปฏิบัติ ที่นำมาเล่าสู่พวกท่านฟัง ก็คือ ระบบการหายใจ คำพูดประโยคหนึ่งที่หลวงปู่พูด คิด ทำ ที่พวกท่านได้ฟังบ่อยๆ ก็คือเรื่อง จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด………..
 
  เพราะฉะนั้น เรามาเริ่มจัดโครงสร้างของกายให้เป็นระเบียบกันก่อน ที่จริงเราฝึกจิต ไม่ใช่ฝึกกาย แต่เมื่อกายเป็นที่อยู่แห่งจิต เราก็จำเป็นต้องปรับระบบโครงสร้างของกายให้โล่ง โปร่งเบา ผ่อนคลาย จนเป็นที่สบายของจิตเสียก่อน…………

    เริ่มจากการปรับโครงร้างของกายให้ตรง ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนๆ ท่านั่งก็ได้ ท่ายืนก็ได้ ท่าเดินก็ได้ หรือท่านอนก็ได้ เสร็จเรียบร้อย แล้วก็ปรับโครงสร้างของตนให้มี อิริยาบถ 3 ประการคือ อิริยาบถสะอาด อิริยาบถสงบ อิริยาบถปกติ เมื่อเรามีอิริยาบถอันสะอาด อันได้แก่ อิริยาบถที่ปราศจากมลทิน อิริยาบถที่ปราศจากเครื่องร้อยรัด อิริยาบถที่ปราศจากความคั่งค้าง คาราคาซัง ไม่เสร็จ ไม่เสร็จในภาระกิจทั้งปวง ส่วนอิริยาบถสงบ คือ อิริยาบถที่ผ่านขั้นตอนในการชำระล้าง สะสาง ขจัด เครื่องร้อยรัดและมลทิน พร้อมกับภาระกิจทั้งปวง ได้ถูกปล่อยวาง จนหมดสิ้นแล้ว สำหรับอิริยาบถปกติ นั่นมันหมายถึง ความจริงจัง จริงใจ สนใจ สม่ำเสมอ ต่อการชำระสะสาง ขจัด ขัดเกลา ในภาระทั้งเก่าและใหม่ ให้หดหาย ผ่อนคลาย เบาสบาย ทีนี้ก็เริ่มที่จะจัดโครงสร้างภายในกาย…………….


   ก่อนอื่น ลองดูรูปโครงกระดูกที่มีให้ไว้นี้ รูปโครงกระดูกที่เห็นนี้ จะเป็นคู่มือในการจัดโครงสร้างของกาย เป็นรูปที่ช่วยป้องกันภัยพิบัติจากตาเห็น หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส และกายสัมผัส……………….(ไม่มีรูป...แต่ให้นึกเอา)

ลำดับแรก เราน้อมเอารูปโครงกระดูกอันนี้ เข้ามาอยู่ในกายเรา ลำดับที่ 2 ก็คือ โยกขยับปรับโครงสร้าง ลองขยับดูให้ดี ตรงไหนมันบิดมันเบี้ยว ทับเส้นเอ็นเส้นประสาท จัดให้เข้าท่าเข้าทาง จนแน่ใจว่า ทำให้เราสบายในขณะที่นั่งอยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนมือไม้จะวางไว้ตรงไหน หลวงปู่ไม่จำเป็นจะต้องบอก ว่าจะต้องวางไว้ที่เข่าอย่างหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ถนัดอย่างนี้ ก็วางอย่างนี้ แต่ถ้าเราถนัดอย่างไร ก็วางเอาไว้อย่างนั้น หรืออาจจะเอามาซ้อนไว้ตรงหน้าตักก็ได้ หรือวางทิ้งไว้ข้างขาก็ได้ จะหลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ แล้วแต่ แต่ต้องไม่เกร็ง หรือข่มหนังตาและลูกตา………..

    ที่นี้ลองโยกตัวไปข้างหน้า โยกตรงๆ ไม่ใช่โยกเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง โดยทิ้งน้ำหนักตัวลงสู่ช่วงล่างของลำตัว เพื่อรักษาดุลถ่วง ตอนที่โยกตัวไปข้างหน้า ก็ให้ส่งความรู้สึกไปในโครงสร้างดูว่า กระดูกทุกส่วนของร่างกายมันมีอะไรบกพร่องบ้าง อะไรผิดพลาดบ้าง โยกตัวไปช้าๆ ให้ลำตัวเกือบขนานไปกับพื้น อย่างมีสติ แล้วค่อยๆโน้มขึ้นมาให้ตั้งตรง แล้วก็เอนไปทางขวา แล้วก็กลับมาตั้งตรงขึ้นมาอย่างช้าๆ จากนั้นเอนไปทางซ้าย แล้วก็ตั้งตรงขึ้นมาอย่างช้าๆ ถ้าเราส่งความรู้สึกมันลงไปในกาย แล้วคลุมอาการไหวของโครงสร้างภายในกายให้ตลอด แล้วเราก็จะสัมผัสได้ถึงความชัดเจน รู้จริง เห็นจริง ในอิริยาบถของตนเอง แล้วสิ่งหนึ่งที่จะปรากฏแก่เราก็คือ ความสงบ สงบไหม เริ่มรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้วใช่ไหม เช่นนี้แหละที่เรียกว่า สติปัฏฐาน นั่นคือ สติเป็นฐานที่ตั้งมั่นของพฤติกรรม เรื่องที่เราทำ คำที่เราพูด สูตรที่เราคิด จะถูกต้องชอบธรรมได้ก็ด้วยอาศัยฐานที่ตั้งอันนี้แหละ…………..

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

127
เป็นตอนต่อจาก......   บทสาธยายยอดธรรมยอดคาถา พระคุณเจ้าดาบส สุมโน
โดยคุณ powertom เมื่อ: ๐๕ ก.พ. ๕๓
ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=15178.msg135532
=======================
แบบทำสมาธิดับทุกข์ ตอน 2
ในหลักยอดธรรมยอดคาถาสูตร ของอาศรมเวฬุวัน เชียงราย
โดยท่านเจ้าพระคุณเจ้าหลวงพ่อ ดาบส สุมโน


คำนำ

     หนังสือเล่มนี้ ถอดใจความและขยายความ จากหนังสือยอดธรรมยอดคาถาสูตร ที่ใช้ประจำในอาศรมเวฬุวัน ทั้งได้นำเอาพระสูตรบางสูตร ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ เรื่องการทำสมาธิแบบนี้ มาประกอบยืนยันด้วย
หลักปฏิบัติ คือ การทำสมาธิในแบบนี้ ทั่วๆไปมักไม่ได้นำมาปฏิบัติกัน จึงไม่ค่อยปรากฏในวงการปฏิบัติ อาจจะเห็นว่าหลักนี้ไม่มีพิธีอะไร หรือเห็นว่ามันง่ายเกินไป ไม่มีหลักจับ หรือมิฉะนั้น ก็จะเห็นว่ามันสูงเกินไป เกินที่จะเอื้อมถึง
คนส่วนมาก มักจะเลื่อมใสและชอบไปในแบบที่มีพิธีต่างๆ หรือที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จึงมองข้ามการทำจิตให้ผ่องใส สงบระงับกันไปเสีย
การปฏิบัติแบบนี้ แม้จะมีความหมายมุ่งไปสู่ฝั่งโน้น คือ ความสงบล่วงแดน แต่เมื่อไม่ถึงตามความหมาย ก็ไม่เกิดโทษอะไร คงได้ผลเท่าที่ได้ การทำแบบนี้ ทำได้เสมอ เพราะเป็นการทำจิต ซักฟอกจิตให้สะอาด มีแต่ได้ ไม่ต้องลงทุน แม้ไม่มีอาจารย์ควบคุมหรือสอบอารมณ์ก็ทำได้

หลักทำสมาธิภาวนา

การทำสมาธิภาวนา ในอาศรมเวฬุวัน หลักใหญ่ทำแบบในยอธรรมยอดคาถาสูตร
หลักในยอดธรรมยอดคาถาสูตร ก็คือ ทำจิตของเราให้ว่างจากความนึกความคิด และอารมณ์ที่เกาะที่ถือใดๆทั้งปวง
ไม่ให้มีที่ภายในและที่ภายนอก
ไม่ให้มีที่ล่วงไปแล้วและที่ยังมาไม่ถึง ไม่ให้มีแม้ที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันเฉพาะหน้าขณะนี้
ด้วยวิธีทำในจิตในใจ สละปล่อยคลายวางอารมณ์ต่างๆ ที่นึกที่คิดและที่เกาะถือ ให้จิตว่าง เข้าถึงความสงบผ่องใส
ประหนึ่งผู้ขมักเขม้นทำความสะอาดดวงแก้ว อันเป็นที่รักที่ถนอมของตน หรือภาชนะเงินคำ(ทองคำ) ที่มีฝุ่นละอองเกาะกุมหนาแน่น ทำการปัดเป่าเช็ดถู ให้หมดจดสุกปลั่งใสสะอาดแวววาว โดยรอบฉะนั้น ฯ

การสละปล่อยคลายวาง เป็นทางดับทุกข์ ล่วงทุกข์ทั้งหลาย เป็นทางเข้าถึงฝั่งอมตะนิพพาน ที่คนทั้งหลายเข้าถึงได้โดยยาก ฝั่งอมตะนิพพานนี้ เป็นธรรมประเสริฐ เป็นธรรมยอดเยี่ยม ที่พระตถาคตผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ฯ
เนื้อความหรือใจความ ในยอดธรรมยอดคาถาสูตร ก็มีเนื้อความใจความสำคัญ เท่านี้แล ฯ


การทำสมาธิภาวนา

ผู้ทำสมาธิภาวนา ก็เหมือนกับผู้จะข้ามฟาก จากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น ฝั่งนี้มีทุกข์ภัย ฝั่งโน้นไม่มีทุกข์ภัย
พระพุทธองค์ตรัสไว้ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้จะข้ามห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งข้างนี้น่าเกลียด มีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า ฝั่งโน้นเกษมไม่มีภัย ถ้ากระไรเราถึงรวบรวมหญ้า กิ่งไม้และใบไม้ มาผูกเป็นแพ แล้วอาศัยแพนั้น พยายามด้วยมือและเท้าข้ามไป
บุรุษนั้น กระทำตามดำรินี้ พึงข้ามไปสู่ฝั่งโน้น ด้วยความสวัสดีได้ ฯ


ฝั่งนี้ฝั่งโน้น

ฝั่งนี้……..ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ชื่อว่า ฝั่งนี้ หรือจะเรียกย่อๆว่า อารมณ์ทั้งหลายก็ใช่
ฝั่งโน้น……หมายถึงอมตะนิพพาน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ชี้ไว้ คือ ธรรมชาตินั่นสงบละเอียด ธรรมชาตินั่นประณีตยอดเยี่ยม(เอตังสันตัง เอตังปะณีตัง) ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่(อัตถิภิกขะเว ตะทายะตะนัง)
อมตะนิพพาน หมายถึงฝั่งโน้น คือ ฝั่งพ้นทุกข์ พ้นภัย อมตะ แปลว่า ไม่ตาย นิพพาน แปลว่า พ้นทุกข์ หรือ ไม่ทุกข์ อมตะก็ดี นิพพานก็ดี มักเข้าใจผิดกันว่า เป็นสภาพเปล่า สภาพสูญ ไม่มีอะไร แต่ความจริงตรงกันข้าม คือ หมายความว่ามีอยู่ และไม่เปล่า ไม่สูญ ทั้งไม่ตาย คือ มีอยู่ โดยเป็นธรรมชาติสงบละเอียด แลประณีตยอดเยี่ยม และเป็นอายตนะที่เหนืออายตนะใดๆทั้งนั้น และเป็นสุขอย่างยิ่ง

ฝั่งโน้นมี และผู้ที่ไปสู่ฝั่งโน้นแล้วก็มี มีพระพุทธเจ้า ทั้งสาวกสาวิกา นับจำนวนไม่ถ้วน
ปัจจุบัน ฝั่งโน้นก็ยังเป็นฝั่งโน้นอยู่เหมือนเดิม 2 พันกว่าปีมาแล้ว อย่างใดก็อย่างนั้น
แท้จริง อมตะนิพพาน ไม่มีอดีต อนาคต ไม่มีเบื้องต้นที่ตั้งขึ้นและเบื้องปลายที่ต้องสลาย เป็นกาลิโกและอนันตัง พระพุทธองค์จะพบธรรมนี้ได้ก็แสนยาก ครั้นเมื่อพบแล้ว ที่เรียกว่า ตรัสรู้ ก็ยังท้อพระหฤทัย ก็จะบอกจะสอนผู้อื่น เพราะมาทบทวนดูแล้ว เห็นว่าอมตะนิพพาน นี้เป็นธรรมล้ำลึก สงบประณีตยิ่งนัก ยากที่สัตว์ทั้งหลายจะรู้ได้ สอนไปแล้วเขาไม่รู้ ก็จะเป็นการลำบากเปล่า แต่แล้วภายหลังก็มาเห็นว่า เหมือนบัว4เหล่า ผู้ที่พอจะรู้ได้ก็มีอยู่ จึงกลับมีพระหฤทัยน้อมไปเพื่อจะโปรดสัตว์ตามปณิธาน ที่ได้สร้างพุทธบารมีมา 4 อสงไขยกับแสนกัลป์ อมตะนิพพาน หรือ ฝั่งโน้น อันเป็นฝั่งมีอยู่ และก็ไม่ใช่จะอยู่ไกล ที่จะต้องไปถึงได้ด้วยการเดินเท้าหรือด้วยยานใดๆ อยู่ใกล้ที่สุด คือ ที่ตัวเรา หรือ จิตของเรานี้เอง แต่เส้นผมบังภูเขา เราจึงมองไม่เห็น หมอกม่าน ฝ้าฟาง บังตาของเราอยู่ท่านผู้รู้บอกเราว่า ฝั่งอยู่ข้างหน้าเรานี้นี่แหละ เรามองไปข้างหน้าตามที่ท่านบอก ก็เห็นเพียงน้ำเขียวๆกับฟ้าสีครามเท่านั้น ไม่เห็นฝั่ง หากเราลงมือทำตามที่ท่านบอกไปตามทิศทางที่ท่านชี้ ย่อมไม่ผิดหวัง แม้จะยังไม่ถึงฝั่งโน้น ผลที่ได้ทันทีในขั้นแรก โดยไม่ทันรู้ตัว ก็คือ ความเบา ความปลอดโปร่ง ความเป็นตัวเอง ความอิ่มเอิบ ความเยือกเย็น เบิกบาน

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

128
มหาสติปัฏฐานสูตร(ปฏิบัติ)ด้วยวิธีธรรมชาติ
มหาสติปัฏฐาน 4

“เฒ่าไม้แห้ง”

คำนำ

ด้วยสำนึกที่มีต่อศาสนาธรรมนี้ว่า ต้องรับผิดชอบสืบทอดอุดมการณ์แห่งพระศาสดาพระพุทธะ ผู้ประเสริฐหลายพระองค์นั้นให้ถูกต้อง ตรงแนว ชอบธรรม บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด อย่างชนิดว่า มีอยู่ทุกหยาดหยดของชีวิต ด้วยการทำดีให้เขาดู เป็นครูให้เขาเห็น ผู้อื่นจะได้ทำตามเป็น…….รวมทั้งเกิดกระแสการเรียกร้องให้บอก แสดง สอน ถึงวิธีการปฏิบัติบำเพ็ญ สติ สมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญารู้ทั่วถึงธรรม……..
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นที่มาของข้อเขียน อันประกอบไปด้วยวลีของการบอกกล่าวเล่าสู่กันฟัง เป็นวลีถ้อยกระทงความ ที่มิอาจจะเอาไปเปรียบกับหลักวิชา หรือตำราใดๆได้มากนัก เกรงจะเป็นที่เสื่อมเสียต่อตำรับตำราวิชาเหล่านั้น………
ข้อเขียนทั้งหมดนี้ คงจะมีค่าเพียงแค่ คำพูด คำบอก คำชี้แจงของเพื่อนผู้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย คนหนึ่งเท่านั้น และเมื่อท่านกับผู้เขียนเป็นเพื่อนกัน จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องพูด ต้องบอก ต้องเตือนกันตรงๆ ด้วยความจริงใจอย่างจริงจัง โดยมุ่งหวังให้เพื่อนได้รับประโยชน์สูงสุด ในการมีชีวิต ผู้เขียนหวังว่า เพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลาย คงจะไม่ถือสาในข้อผิดพลาดพลั้งไปต่อการทำ พูด คิด ที่เราลิขิตขีดเขียนมา หวังว่าเพื่อนผู้มีปัญญา จะพิจารณาเลือกเอาแต่ประโยชน์ที่ดี มีคุณ ถูกใจ เอาไปใช้ให้ได้สาระ……….
ความรู้ที่ผู้เขียน นำมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังนี้ มันจะดูไร้ค่าเสียจริงๆ ถ้าเพื่อนๆเพียงแต่อ่าน แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านๆไป แต่ถ้าจะให้ข้อเขียนนี้มีค่าราคาสาระขึ้น เพื่อนๆต้องทดลองปฏิบัติมันด้วยความจริงจัง พร้อมกายรวมใจ แล้วเพื่อนทั้งหลายคงจะมีคำตอบของตนเองว่า ไร้สาระหรือมีสาระ………..


ท้ายนี้ต้องขอบูชา พระธรรมของพระพุทธะ ผู้ประเสริฐหลายพระองค์นั้น ที่ทำให้ผู้เขียนมีความเพียร มีปัญญา ได้พบประสบการณ์ทางวิญญาณอันเยี่ยมยอดสุดบรรยาย ขอบพระคุณพ่อแม่ และกรรมที่ให้ชีวิต เลือดเนื้อ วิญญาณ จนได้พบพระธรรมอันวิเศษ หอมหวานในชาตินี้ ขอบคุณครูอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิทยาการแต่เล็กๆ จนพออ่านออกเขียนได้ ขอบคุณญาติและท่านผู้มีคุณทั้งหลายที่ให้อาหาร ที่อยู่อาศัย ปัจจัย 4 ด้วยสำนึกในพระคุณครั้งนี้ เราจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ ไม่สบายใจ ขอบคุณลูกหลาน และสานุศิษย์ทั้งหลาย ที่ช่วยให้การบำเพ็ญบารมีครั้งนี้สัมฤทธิผล ขอบคุณภิกษุ สุธี ขันติชโย กับภิกษุ สนธิชัย ปุญญกาโม และภิกษุ ชูศักดิ์ ชาตปัญโญ ที่ช่วยหาข้อมูลและแก้คำผิด ทั้งยังช่วยเรียบเรียงลงเครื่องคอมพิวเตอร์ ขอบคุณหนังสืออานาปานสติภาวนา ของท่านพุทธทาส ที่ช่วยให้ข้อมูล ขอบคุณหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ที่ช่วยให้ความกระจ่างเรื่องศัพท์แสงทางวิชาการ ขอบคุณมูลนิธิธรรมะอิสระและคณะกรรมการ ผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ขอบคุณท่านที่บริจาคและจ่ายกระตังค์ ขอให้โชคดี


หลวงปู่เทพโลกอุดร

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

129
คำวัด - ตักบาตรเทโวโรหนะ


ภาพพลังศรัทธาญาติโยมอย่างล้นหลาม ที่นำอาหารหวาน อาหารคาว ข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มมัด รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ อาจจะป็นดัชนีชี้วัดความ
สำเร็จของการโหมงบโฆษณาของ ททท.

   แต่เชื่อหรือไมว่า อาหารคาวหวานที่ญาติโยมเตรียมใส่ภาชนะไปเป็นอย่างดี ถูกจัดเตรียมมาล่วงหน้าเป็นวัน หลังจากใส่บาตรแล้วถูกถ่ายลงกระสอบปุ๋ยราวกับของไร้ค่า เรื่องที่พระจะนำไปฉันนั้นไม่ต้องพูดถึง บางแห่งถูกทิ้งอย่างไร้ค่า ที่ดีหน่อยก็ถูกนำไปมอบต่อยังสถานสงเคราะห์ต่างๆ
 
 มีคำพูดหนึ่งที่น่าคิด คือ "การทำบุญอยู่ที่เจตนาอันบริสุทธิ์ ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ ตักบาตรเทโว ณ วัดใกล้บ้านก็ได้บุญไม่แพ้กัน"
 สำหรับที่นิยมตักบาตรเทโวของภาคกลาง จะทำบุญเป็น ๒ วัน คือ วันออกพรรษากับวันเทโว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ และวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ในวันออกพรรษา ก็มีการฟังเทศน์ตอนสาย และรักษาอุโบสถศีล

 ในภาคใต้ก็มีประเพณีชักพระ (พระพุทธรูป) ทางภาคใต้เรียกว่า พิธีลากพระ มี ๒ กรณี คือ ชักพระทางบก และชักพระทางน้ำ ถึงแม้ภาคนี้จะมีความแตกต่างไปจากภาคอื่น ภาคใต้ก็มีจุดประสงค์ปรารภเหตุ การเสด็จลงมาของพระพุทธเจ้าจากเทวโลกมาถึงพื้นโลก ในวันปวารณาออกพรรษาเช่นเดียวกัน

พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "ตักบาตรเทโว" หมายถึง การทำบุญตักบาตรในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก
 คำว่า "เทโว" ย่อมาจากคำว่า "เทโวโรหนะ" ซึ่งแปลว่า การเสด็จลงจากเทวโลก
 ความเดิมมีว่า ในพรรษาที่ ๗ นับแต่วันตรัสรู้พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อเทศน์โปรดพระพุทธมารดา จนบรรลุโสดาปัตติผล ครั้นออกพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ แล้ว จึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกัสสะนคร ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลก ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก

 เมื่อทรงแลดูข้างล่าง สถานที่นั้นก็มีเนินอันเดียวกันจนถึงอเวจีมหานรก ทรงแลดูทิศใหญ่และทิศเฉียง จักรวาลหลายแสนก็มีเนินเป็นอันเดียวกัน เทวดาก็เห็นพวกมนุษย์ แม้พวกมนุษย์ก็เห็นเทวดา สัตว์นรกก็เห็นมนุษย์และเทวดา ต่างก็เห็นกันเฉพาะหน้าทีเดียว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี ขณะที่พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

 รุ่งขึ้นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวเมืองจึงพากันทำบุญตักบาตรเป็นการใหญ่ เพราะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้ามาถึง ๓ เดือน การทำบุญตักบาตรในวันนั้นจึงได้ชื่อว่า "ตักบาตรเทโวโรหนะ" ต่อมามีการเรียกกร่อนไป เหลือเพียง "ตักบาตรเทโว"

"พระธรรมกิตติวงศ์ "

ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20101022/76972/ คำวัด-ตักบาตรเทโวโรหนะ.html

130
ต่อจากตอนที่ 1
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23638


ทีมารูปภาพ http://www.santidham.com/tatu1st/tatu/present/p-taou/p-taou.html
e ๓๓ f
อดีตพระราชาเมืองตองฮู้

วิญญาณที่มาในรูปชีปะขาวหนุ่มได้เล่าเรื่องราวในอดีตของตนถวายหลวงปู่ว่า

“แต่ก่อนข้าพเจ้าเป็นพระราชาอยู่เมืองตองฮู้ ระยะแรกได้เมินเฉยต่อพระธรรมคำสอน เพราะโลภมากในทรัพย์สมบัติ แต่ระยะหลังๆ ตอนบั้นปลายของชีวิตได้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์เคยเสด็จมาโปรด ข้าพเจ้าก็ได้รับศีลรับพรจากท่าน ได้กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ได้ประทับรอยพระบาทไว้เพื่อเป็นที่สักการบูชาแก่ชาวเมือง

พระองค์ได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล อยู่กลางแม่น้ำที่พนังหินกลางแม่น้ำ แม่น้ำนี้ลึกท่วมหลังช้างเท่านั้น ไม่ลึกมากเท่าไรแม่น้ำนี้อยู่ใกล้เมืองประดู่ขาว

ปัจจุบันแม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า แม่น้ำปอน และเมืองประดู่ขาวเปลี่ยนเป็น เมืองรัว”

วิญญาณนั้นบอกย้ำอีกว่า “รอยพระพุทธบาทนั้นอยู่กลางแม่น้ำนั้น นิมนต์ท่านไปดูและนมัสการด้วย ถ้าท่านนับถือพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็จะบอกหนทางเดินให้ แต่ท่านอย่าลืมว่าตรงปากทางเข้าไปจะถึงแม่น้ำนั้น จะมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้นจะเห็นหินยาวรีมีลักษณะคล้ายงู แต่เป็นก้อนหินธรรมดา มนุษย์ทั่วไปเข้าใจว่าเป็นงูเพราะมีแต่ความกลัวเป็นใหญ่ ให้ท่านเดินข้ามไปหรือเหยียบไปเลยก็ได้ และภายใต้หินก้อนนั้นมีไหเงินและทองคำอยู่ ๔ ไห ถ้าหากท่านพระอาจารย์จะเอาไปเพื่อเป็นการเมตตาต่อข้าพเจ้าแล้วก็ขอน้อมถวายท่านเลย”

เมื่อพูดเพียงนี้แล้ว ชีปะขาวหนุ่มนั้นก็กราบลาแล้วก็หายไป

e ๓๔ f
เดินทางไปดูรอยพระพุทธบาท

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมได้พักภาวนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ออกเดินทางเพื่อไปดูรอยพระพุทธบาทตามที่วิญญาณอดีตพระราชาเมืองตองฮู้ ได้บอกไว้เมื่อคืนก่อน
หลวงปู่เล่าว่า ท่านใช้เวลาเดินทางตามที่วิญญาณบอก ๑ วันเต็มๆ ก็ไปถึงปากถ้ำทางเข้าไปเพื่อดูรอยพระพุทธบาทนั้น ท่านได้พบก้อนหินยาวเหมือนรูปงูจริงๆ ซึ่งมันก็เป็นก้อนหินธรรมดานั่นเอง เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงริมแม่น้ำ ก็มองเห็นหินก้อนใหญ่เหมือนภูเขาทั้งลูกตั้งอยู่กลางแม่น้ำเลย และก็ได้พบรอยพระพุทธบาทตามคำบอกเล่าจริงๆ

รอยพระพุทธบาทนี้ยาวประมาณ ๘ ศอก กว้าง ๖ ศอก สูง ๔ ศอก โดยประมาณเห็นจะได้

เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้จริงๆ หลวงปู่ จึงได้กระทำการสักการะ แล้วก็จากสถานที่นั้นไป

ขณะที่หลวงปู่ตื้ออยู่ปฏิบัติภาวนาในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามดอยตามป่าต่างๆ นั้น ท่านมักจะเจอกับพวกกายทิพย์ และมีเหตุการณ์แปลกๆ มารบกวนการบำเพ็ญภาวนาของท่านเสมอ

หลวงปู่ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นเอาชนะด้วยการบำเพ็ญภาวนาไปทุกครั้ง
พวกวิญญาณหรือกายทิพย์ทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนมากมักจะเป็นพวกที่อยู่เฝ้าสมบัติมีค่าต่างๆ เมื่อได้ทดสอบความมั่นคงทางจิตใจของหลวงปู่แล้ว วิญญาณเหล่านั้นก็จะบอกถวายสมบัติที่พวกเขารักษานั้นให้ แต่หลวงปู่ก็ไม่เคยสนใจ คงมุ่งหน้าแต่การปฏิบัติพระธรรมกรรมฐานเพียงอย่างเดียว

e ๓๕ f
พุทโธช่วยให้พ้นภัยอันตรายได้

ลูกศิษย์ลูกหาต่างก็เชื่อมั่นว่า นับตั้งแต่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านบวชมาในพระพุทธศาสนาท่านก็ได้ดำเนินปฏิปทาในการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ไม่เคยรู้สึกท้อแท้ หลวงปู่ท่านบอกว่า “จงสละไปเถิดวัตถุธรรม เพื่อความดี คือพระธรรม อันเป็นความดีที่สุดของชีวิต”

จากเรื่องราวชีวิตของหลวงปู่ จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ท่านได้ออกธุดงค์ครั้งแรกเป็นต้นมา ก็จะพบเจ้าที่เจ้าทางและวิญญาณทั้งหลายมาทดสอบความเข้มแข็งทางจิตใจ เพื่อจะเอาชนะท่านเสมอ แต่ด้วยวิสัยของลูกศิษย์พระตถาคตแล้ว ท่านไม่เคยท้อแท้ หรือลดละความพยายามในการปฏิบัติธรรมเลย

การท่องธุดงค์ของหลวงปู่ มักจะเป็นการผจญภัยใกล้ต่ออันตรายในชีวิตเสมอ นับเป็นปกติที่หลวงปู่ไม่ได้ฉันอาหารติดต่อกันตั้งแต่ ๗-๑๕ วัน เพราะต้องท่องเที่ยวอยู่ในป่าเขาที่ไม่พบผู้คนเลย ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าหลวงปู่ตื้อ และพระธุดงค์ทั้งหลายท่านไม่มีความพึงพอใจในการกระทำเช่นนั้น ท่านเต็มใจทำไปเพื่อความเห็นแจ้งตามแนวทางธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

เมื่อเวลาท่องธุดงค์ในป่าเขาที่ห่างบ้านผู้คน ท่านจะต้องนึกเอา พุทโธ เป็นอารมณ์ทำให้เกิดกำลังใจ จิตใจแช่มชื่น ทนต่อความหิวและความกระวนกระวายลงได้

ท่านทั้งหลายยอมสละตาย มอบกายถวายชีวิตเพื่อค้นหาพระธรรม จึงไม่มีอะไรที่จะเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญเพียรของท่านเลย ท่านมีใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นต่อการค้นหาพระธรรมอย่างแท้จริง
นิสัยของหลวงปู่ตื้อที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ท่านชอบรู้สิ่งต่างๆ ที่เร้นลับ เช่น พวกกายทิพย์ ผีสางเทวดา เปรต และวิญญาณต่างๆเป็นต้น

หลวงปู่เคยเล่าให้บรรดาศิษย์ฟังเสมอ เกี่ยวกับพวกกายทิพย์นี้ เรื่องที่ท่านบอกเล่าล้วนแต่น่าอัศจรรย์ เพราะเป็นเรื่องที่นอกเหนือที่มนุษย์ธรรมดาสามัญจะรู้ได้ แต่สำหรับผู้สนใจใฝ่รู้ในด้านการปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธศาสนาแล้วก็เชื่อมั่นว่าเป็นความจริง

หลวงปู่ตื้อ ท่านยืนยันว่าเรื่องสิ่งเร้นลับต่างๆ เกี่ยวกับภพภูมิที่แตกต่างออกไป เช่นพวกกายทิพย์ เทวดา ผีสางนางไม้ สัตว์นรกและเปรตต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถสัมผัสรู้เห็นได้ ถ้าเรามีการฝึกฝนด้านจิตใจจนมีความละเอียดเพียงพอ

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-tue/lp-tue-hist-03.htm