แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - gottkung

หน้า: [1]
1


ใกล้วันไหว้ครูแล้ว ล๊อกเกตหลวงปู่องค์นี้ผมใช้ติดตัวมานานพอสมควร
เดิมเลี่ยมพลาสติกไว้ ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมาเลยขอบูชาครูก่อนวันงานไหว้ครูจริง
ด้วยการห่มจีวรเงินให้ท่านครับ

ด้านหลังครับ ขอยืมรูปจากเวปโต๊ะช่างคลับ เพราะว่าเลนส์มาโครผมเสียเลย
ถ่ายออกมาได้ไม่สวยเท่าที่ควรครับ



ศิษย์ขอน้อมบูชาครูอันมีหลวงปู่หิ่ม หลวงปู่เปิ่น แห่งวัดบางพระเป็นที่ตั้งครับ :054:

2
ขออภัยที่นำมาลงช้าครับ พอดีติดงานนิดหน่อย


ขอนำภาพหลวงปู่ขึ้นก่อนครับ





ภาพที่เหลือขอติดไว้ก่อนนะครับ พอดีมีธุระเดี๋ยวจะรีบกลับมาอัพใหม่ครับ

3
เมื่อวานนี้ ผมได้กลับไปที่รร.เก่า แถวๆเทพารักษ์ก็อยู่่ช่วยงานที่รร.จนดึกครับ
พอดีพวกรุ่นน้องมันอยากไปต่อกัน ก็เลยนัดแนะกันว่าจะไปต่อกันแถวๆแบริ่งตัดใหม่
โดยแบ่งกันนั่งแท๊กซี่ไปสองคัน ระหว่างทางที่เลยสี่แยกเทพารักษ์พ้นจากซอยวัดด่านมาได้ซักครู่
ผมก็เห็นว่ามีคนประสบอุบัติเหตุมอเตอไซค์คว่ำ

   ตอนแรกคิดว่าคงเป็นวัยรุ่นเมาแล้วขับเลยไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไหร่ แต่รุ่นน้องผมมันเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง
นอนคว่ำหน้าเลือดโชกอยู่บนพื้น เลยบอกผมสุดท้าย ผมเลยตัดสินใจลงจากแท๊กซี่แล้วรีบวิ่งลงไปช่วยดูคนเจ็บ
ปรากฎว่าไม่ใช่วัยรุ่นเมาแล้วขับครับ แต่เป็นพ่อแม่ลูกสามคน เขาเล่าว่า ขับๆมาอยู่ดีๆโดนสิบล้อเบียด
ทำให้เสียหลักรถมอเตอร์ไซค์คว่ำ สิ่งที่หน้าสลดใจที่สุดที่ผมเห็นก็คือ แม่เด็กนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นเลือดไหลนองไม่รู้สึกตัว
สามีก็หัวแตกเลือดโชกเลย ส่วนเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นลูก พึ่งลุกขึ้นมาได้ร้องไห้ตลอดเลือดไหลอาบหน้าและลำตัวเลอะไปหมดเลยครับ
ผมก็ได้แต่อุ้มเด็กขึ้นมาปลอบ พร้อมกับหาทิชชู่จากคนข้างๆมาเช็ดเลือดให้น้องเค้าไปก่อน ระหว่างนั้นก็ให้รุ่นน้องมันโทรแจ้ง191
ก็มีคนผ่านมาผ่านไปหลายคนครับ หลายคนก็ลงมาดูเฉยๆ บางคนก็มาช่วยส่องไฟ มีคนที่มาช่วยก่อนหน้าผมอยู่คนหนึ่งใส่เสื้อกล้าม
ผมสังเกตุที่แผ่นหลังเค้า มียันต์ เก้ายอด แปดทิศ งบน้ำอ้อย อยู่ด้วยก็เลยเข้าไปคุยด้วย เห็นว่าเป็นลูกศิษย์ที่สักกับอาจารย์เอก
ความประทับใจในครั้งนี้ของผมก็คือ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีลูกศิษย์วัดบางพระอยู่เสมอ แล้วเป็นคนที่น้ำใจงามมากครับ ขี่มอเตอร์ไซค์ลงมาช่วยคนเจ็บ
ผมก็รอจนกระทั่งรถพยาบาลมา จึงเห็นว่าอาการของแม่เด็กค่อนข้างหนัก ต้องดามคอ ขา และแขน ตลอดจนต้องให้น้ำเกลืออย่างเร่งด่วน
ส่วนเด็กน้อยปลอดภัยแล้วครับ พ่อเด็กก็สามารถให้ปากคำกับตำรวจได้แล้ว ผมจึงชวนรุ่นน้องขึ้นแท๊กซี่กลับไปยังที่นัดหมายเดิมต่อ

ปล ฝากข้อคิดเตือนใจกับพี่ๆน้องๆทุกท่านด้วยนะครับ ว่าการใช้รถใช้ถนนเวลาค่ำคืนไม่ควรประมาท เพราะถ้าพลาดเพียงนิดเดียว
ย่อมหมายถึงความเสียหายของชีวิตและทรัยพ์สิน ทรัยพ์สินเงินทองเสียไปแล้วยังหาใหม่ได้ แต่ชีวิตเสียไปแล้วหาใหม่ไม่ได้นะครับ
สุดท้ายก็ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ทนอ่านจนจบ ขอบคุณครับ

4
เป็นงานศิลป์ที่แกะจากกาบอ่อนของลูกมะพร้าว สร้างสรรค์งานโดย
คุณลุงรัชช์ เศรษฐบุตร ศิลปินหัตถกรรมครับ
ผมเลยนำไปให้พระอาจารย์ที่เคารพนับถือ ทำการเบิกเนตรให้ครับ






5
พอดีเป็นวันคล้ายวันเกิดคุณแม่ผม เลยพาท่านไปทำบุญที่วัดราชโยธา
ไปกราบหลวงปู่หลุยขอพรท่าน ก็เลยได้ของดีติดไม้ติดมือกลับมานิดหน่อยครับ :001:


พระสมเด็จ หลวงปู่เมตตาแจกมาให้ครับ


ด้านหลังครับ

ส่วนนี่คือวัตถุมงคลของท่านบางส่วนที่ผมสะสมไว้ครับ

เหรียญรุ่นแรกเนื้อทองแดง (มีโค๊ดครับ)


ด้านหลัง ยันต์ครูของหลวงปู่(เป็นยันต์ตัวเดียวกับที่ประทับลงบนเหรียญของหลวงปู่ทองท่าน)


รูปถ่ายหลวงปู่ทองสกรีนลงบนใบลานเก่าครับ


ด้านหลังครับ


พระสมเด็จยุคแรกๆของหลวงปู่หลุยท่านครับ


ด้านหลังครับ


ชานหมากของหลวงปู่หลุยท่านครับ


ผ้ายันต์จีวรปั๊มรูปหลวงปู่ทอง จารมือด้วยดินสอครับ




6


สั่งทำ “ตะกรุด” ขายนักท่องเที่ยว ?


“ธีระ” ตั้งปลัด วธ.เป็นประธานศึกษาการผลิตตะกรุดต้นแบบสินค้าวัฒนธรรม “อ.อ๊อด” เกจิตะกรุดหนุนเป็นเครื่องราง แต่ต้องปลุกเสก แนะสร้างความเข้าใจนักท่องเที่ยว หวั่นต่างชาตินำไปห้อยข้อเท้า ฝ่ายองค์กรชาวพุทธรุมต้าน จวกทำประชาชนงมงายไสยศาสตร์ ชี้ของดีหลายอย่างที่น่าจะทำเป็นสินค้าที่ระลึกได้

ธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม  กล่าวว่า จากที่ตนได้มอบหมายให้กรมศิลปากรไปศึกษาข้อดี ข้อเสีย เรื่องการผลิตลูกปัด ตะกรุดลงลายไทยเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมเพื่อขายให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั้น เป็นแนวคิดที่เกิดตั้งแต่ตนเป็น ครม.วัฒนธรรมเงา ซึ่งมีโอกาสไปดูงานในประเทศตุรกี และกรีซ และพบดวงตาสีฟ้า (บลูอายส์) ซึ่งเป็นสินค้าที่ระลึกยอดนิยม จึงมีแนวคิดว่าประเทศไทยน่าจะมีสินค้าวัฒนธรรมที่เป็นสากลขายให้กับนักท่องเที่ยวบ้าง ดังนั้น เมื่อเข้ามารับตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม จึงมอบหมายให้ นาย เกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร ไปศึกษาแนวทางการออกแบบลายไทยลูกปัด และตะกรุด
       
สำหรับความคืบหน้าขณะนี้คือจะทำการตั้งคณะกรรมการเพื่อให้ศึกษาการพัฒนาสินค้าวัฒนธรรม โดยมี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน โดยคณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่พิจารณาแนวทางการผลิตสินค้าวัฒนธรรมในเชิงการค้าพาณิชย์ เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้แต่ละชุมชนโดยในเบื้องต้นจะมีลูกปัด และตะกรุดเป็นเครื่องประดับต้นแบบ ซึ่งแนวทางต่อไปจะให้วัฒนธรรมจังหวัด 75 จังหวัดทั่วประเทศเสนอสินค้าวัฒนธรรมเด่นๆ ในแต่ละท้องถิ่นเพื่อให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวคัดเลือกและพัฒนาเป็นสินค้าวัฒนธรรมต่อไป
       
“ตะกรุดที่คิดขึ้นจะทำเป็นเครื่องประดับไม่ได้อิงกับการปลุกเสกแต่อย่างใด อาจจะต้องลงลายไทยเพื่อความสวยงาม ผมจะทำจริงๆ จะเริ่มจริงจังหลังจากคณะกรรมการฯ ได้ข้อสรุปและคัดเลือกสินค้าแล้ว” นายธีระ กล่าว
       
พระปลัดอิทธิพล ปธานิโก หรือ พระอาจารย์อ๊อด วัดสายไหม อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เกจิชื่อดังด้านตะกรุด กล่าวว่า ขอสนับสนุนแนวคิดที่จะมีการผลักดันให้ ตะกรุด เป็นสินค้าทางวัฒนธรรม ของนายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม เพราะตะกรุดมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยคนไทยเชื่อว่าตะกรุดเป็นเครื่องราง เกิดจากการปลุกเสกของผู้มีอาคม ผู้ทรงศีล อาทิ พระสงฆ์ จึงเชื่อในเรื่องของพุทธคุณ จะสามารถคุ้มครองผู้ที่ครอบครอง สร้างเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ใช้ในการค้าขาย ซึ่งตะกรุดมีไว้ใช้แขวนที่เอว หรือแขวนที่คอ ส่วนวัสดุที่นำมาจัดสร้างมีตั้งแต่กระดูก หนังกลอง โลหะ

สำหรับการนำตะกรุดไปเป็นสินค้าทางวัฒนธรรม อยากจะฝากว่า ตะกรุดเป็นเครื่องรางของขลัง การทำเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมและไม่มีการปลุกเสก เห็นว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากเกรงว่าเมื่อต่างชาติใช้เป็นเครื่องประดับ จะนำไปห้อยข้อเท้ามากกว่านำไปแขวนคอ ดังนั้น หากจะมีการจัดทำขึ้นมาจริง ควรที่จะมีการปลุกเสก และอธิบายให้ชาวต่างชาติเข้าใจว่า ตะกรุด คือเครื่องรางของขลังของคนไทย ที่จะนำความโชคดีมาสู่ผู้สวมใส่ และควรสวมใส่อย่างเหมาะสมด้วย โดยผู้ชายใช้แขวนคอ หรือแขวนเอว ส่วนผู้หญิงใช้พกไว้ในกระเป๋า เพื่อเป็นการป้องกันการลบหลู่ วัตถุมงคลที่ชาวพุทธนับถือ
       
“ตอนนี้ชาวต่างชาติรู้จักตะกรุดมากขึ้น ซึ่งแต่ละวันมีชาวต่างชาติ อาทิ ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ เข้ามาบูชาตะกรุดกับอาตมาเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีภรรยาเป็นคนไทย จึงได้อธิบายถึง พุทธคุณของตะกรุดให้ชาวต่างชาติเข้าใจ ซึ่งขณะนี้ อาตมาได้จัดสร้างตะกรุด และมีผู้นำไปบูชาแล้วถึง 2 ล้านดอก”

เลขาธิการเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กล่าวว่า เป็นความคิดที่ผิด เพราะหากต้องการให้คนสนใจพระพุทธศาสนา มีสิ่งอื่นอีกมากที่สามารถสร้างขึ้นมาเป็นของที่ระลึกได้ เช่น พระพุทธรูป พระกริ่ง มากกว่าที่จะทำของที่มีความเชื่อส่วนใหญ่ไปในทางไสยศาสตร์อย่างตะกรุด ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรมควรทบทวนความคิดดังกล่าว เพราะจะเป็นการสร้างความเข้าใจผิด และมอมเมาประชาชน ทั้งนี้การสร้างตะกรุดเป็นความเชื่อของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่ควรที่จะมีการนนำเสนอในระดับรัฐบาล และมีงบประมาณรองรับแบบนี้ เพราะถือว่าไม่มีความเหมาะสม
ข้อมูลอ้างอิงจาก เวปไซต์ไทยทอล์คดอทคอม

 

7
เมื่อวานนี้ลองจัดไฟถ่ายภาพวัตถุมงคลดูครับ หลังจากร้างกล้องไปนาน
ลองชมกันดูนะครับ :001:


รูปหล่อพ่อทอง ตลาดพลู ศิษย์สิงค์โปร์สร้าง


ด้านหลัง


แม่นางพิมพา


ด้านหลัง


ตะกรุดสามชั้นหลวงพ่อประเทือง ตะกรุดเมตตาหลวงพ่อกวย และคุณปลัดหลวงพ่อกวย(รุ่นย้อนยุค 52)


พระพิฆเนศวร หลวงพี่ติ๊ก วัดด่านเจริญชัย


เสือหล่อวัดบางพระพิธีไหว้ครู ปี 44


พระพิฆเนศวรงาแกะ วัดบางพระ


สุดท้ายล๊อกเกตหลวงปู่ รูปใบสุทธิ ครับ

8
ไปเจอมาจากเวปเพื่อนบ้านครับ
พึ่งเคยเห็นเหมือนกันครับ
รอยสักยันต์ ท่านพ่อพระยาพิชัยดาบหัก
วีรชนแห่งเมืองอุตรดิถท์ ครับ




9
บทความ บทกวี / "ช่างหัวมัน"
« เมื่อ: 28 ต.ค. 2552, 07:01:38 »
วันหนึ่ง หลานชายได้คุยปรับทุกข์กับหลวงลุงของตนว่า

              หลาน.   ที่ทำงานผมมีอยู่คนหนึ่งไม่ถูกชะตากับผมเลย เมื่อเห็นครั้งแรกก็รู้สึกหมั่นไส้แล้ว นิสัยมันแย่มากครับ เรื่องเห็นแก่ตัวงี้ เป็นที่หนึ่งไม่มีสอง ขี้เกียจก็ไม่มีใครเกิน แถมยังขี้คุยชอบนินทาคนอื่นอยู่เรื่อย สักวันมันคงโดนดีแน่ หรือหลวงลุงว่าไง

              หลวงลุง. ช่างหัวมัน

             หลาน.   เมื่อวันก่อนก็มาแซว แต่ผมทำเฉยเสีย ผมกลัวว่าวันหนึ่งจะทนไม่ไหว ถ้าผมไปทำอะไรมันเข้าแล้ว   เจ้านายไล่ผมออกหรือถูกตำรวจจับ หลวงลุงจะทำยังไง

              หลวงลุง. ช่างหัวมัน

              หลาน. ถ้าไม่มีผม ใครจะซักสบงจีวร กวาดวัด ทำความสะอาดกุฏิ หลวงลุงจะไม่ลำบากหรือหลวงลุง.

                ช่างหัวมัน
             ช่างหัวมันในที่นี้หมายถึง อย่านึกถึง อย่าใส่ใจ (ในคนที่เราโกรธ) เป็นวิธีระงับความอาฆาตหรือความโกรธที่มาในปฐมอาฆาตวินยสูตร (๒๒/๑๖๑) ถ้าเราสามารถทำได้อย่างหลวงลุงองค์นี้ อะไร ๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของเราก็ช่างหัวมัน โกรธใครเกลียดใครก็ช่างหัวมัน ใครจะทำอะไรก็อย่าไปสนใจ เราก็จะสามารถอยู่อย่างสงบสุขในโลกอันวุ่นวายนี้ ไม่ต้องเดือดร้อนใจ ไม่โกรธเคืองใคร ๆ ในเรื่องไหน ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องครอบครัว
            ช่างหัวมัน นั้นควรใช้ ให้เข้าที            ทุกวันมี เรื่องสับสน สุดทนไหว
      ทั้งเรื่องบ้าน เรื่องการงาน บานตะไท    โกรธทำไม ให้ปล่อยวาง ช่างหัวมัน                                                                                    

(ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ)

ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก เวปไซต์ธรรมจักรดอทคอมครับ

10
ขออภัยด้วยครับที่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมา 2 วัน
พอดีการ์ดความจำมีปัญหานิดหน่อย :075:




























ใครกันหนอ...........  :007: :095:





11

ธนบัตรขวัญถุง วัดช่องแค ขอขอบพระคุณพี่เจมส์คนรักพระมากๆครับที่เมตตาให้มาบูชา


ธนบัตรขวัญถุงแม่นางพิม อภินันทนาการจากเฮียโจ้ ขอบคุณพี่เอ็กด้วยครับที่เป็นธุระนำมามอบให้


เหรียญระฆังหลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร จากท่านโจรสลัด




พระปรกโพธิ์หลวงปู่เปิ่น เนื้อผงพุทธคุณครับ




ปิดตาเนื้อผงหลวงปู่เปิ่น




เหรียญหล่อหน้าเสือรุ่นใหญ่ ปี35ครับ




และที่ขาดไม่ได้ครับ จิ้งจกเนื้อผง :095:


สุดท้ายครับเหรียญหยดน้ำหลวงปู่เปิ่น ได้รับความเมตตาจากหลวงลุงต้อย

12
นำมาเผยแพร่ให้พี่ๆน้องได้อ่านกันครับ อีกหนึ่งศาสตร์ที่อยู่กับการสักยันต์มาช้านาน

เรื่อง : จักรพันธุ์ กังวาฬ

นิตยสาร สารคดี: ฉบับที่ ๒๑๙ เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖

ปล.คัดลอกมาบางส่วนแล้วกันนะครับ บางคนอาจจะอ่านไม่ไหวเพราะยาวมาก

"วิชาดาบอาทมาฏเป็นของสมเด็จพระนเรศวรฯ เป็นวิชาที่รวดเร็ว รุนแรง และอันตรายมาก คนที่จะหัดได้ต้องมีจรรยาบรรณ ห้ามไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เพราะอาจตีเขาตาย โดยเฉพาะวิชาตัดข้อตัดเอ็น ซึ่งเป็นวิชาสูงสุดของอาทมาฏ คือไม่มีการฟันดาบ แต่มุ่งฟันข้อต่อของร่างกาย"ครูมาโนทย์ บุญญมัด--ครูฝึกประจำสำนักกล่าว
      ในยุคคอมพิวเตอร์ที่คนยิงกันตายเกลื่อนเมืองเช่นปัจจุบัน การที่คนกลุ่มหนึ่งคร่ำเคร่งฝึกวิชาดาบย่อมเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่สำคัญ วิชาดาบที่พวกเขาเชื่อกันว่าเป็นวิชาโบราณ สืบทอดมาจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้นจะเป็นอย่างไร...

ประวัติของผู้ก่อตั้ง

กล่าวได้ว่า สำนักดาบอาทมาฏนเรศวรกำเนิดขึ้นได้ เพราะการโคจรมาพบกันของคนสองคน คืออาจารย์ชาติชาย อัชนันท์ และครูมาโนทย์ บุญญมัด เรื่องราวของสำนักดาบแห่งนี้คงไม่สมบูรณ์ หากขาดบันทึกประวัติของบุคคลทั้งสอง
      แม้อาจารย์ชาติชายได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้งสำนัก และเป็นเจ้าของสถานที่ แต่ต้นตำรับวิชาดาบอาทมาฏคือครูมาโนทย์ ผู้เกิดและเติบโตในจังหวัดพิษณุโลก --เมืองเดียวกับที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระราชสมภพ และภายหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับ มาจากการเป็นตัวประกัน ของพระเจ้าบุเรงนองที่ประเทศพม่า ก็เสด็จมาครองเมืองนี้ในฐานะพระมหาอุปราช
      "ผมเกิดที่จังหวัดพิษณุโลก"ครูมาโนทย์เริ่มต้นเล่าสู่วงสนทนา เขาเป็นคนผิวคล้ำ ปีนี้อายุได้ ๔๔ ปี ตัวไม่ใหญ่แต่คล่องแคล่วแข็งแรง"สมัยเด็กๆ ผมป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด ลุงที่มีความรู้ด้านโหราศาสตร์ ได้แนะนำให้เอาผมไปถวายเป็นลูกบุญธรรม ของท่านเจ้าคุณวรญาณมุนี ซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือที่เรียกว่าวัดใหญ่ คือเอาไปให้พระเลี้ยง ผมได้เข้าไปอาศัยอยู่ในวัด ตั้งแต่นั้นมาก็หายป่วย ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกเลย"
      ครูมาโนทย์เล่าถึงที่มาของการเริ่มฝึกวิชาดาบว่า"ผมชอบดาบมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ในงานวัดจะมีขายพวกดาบพลาสติก ผมก็ชอบซื้อแต่ดาบอยู่อย่างงั้น หัดฟันเล่นๆ ไปๆ มาๆ ก็มีคนมาสอนดาบให้ ผมมีโอกาศได้เรียนกับครูดาบหลายท่าน ตั้งแต่ก่อนเรียนดาบสายกรมพละในโรงเรียนอีก"
      "แล้วครูผมแต่ละท่านจะมาแปลกๆ บางท่านตกรถไฟมา ไม่มีข้าวกิน มาขอกินข้าว ผมก็เอาข้าวให้กิน เช่นครูธำรงค์ ไม่ยอมบอกนามสกุล บอกแต่ว่ามาจากสำนักดาบพุธไธสวรรค์ มากินนอนและฝึกดาบอยู่กับผมถึง ๓ ปีก็ยังไม่รู้นามสกุลของท่านเลย จนกระทั่งท่านจากไป อีกท่านหนึ่งบอกแต่ชื่อสำนัก แต่ไม่ยอมบอกชื่อตัวท่าน ผมจึงเรียกท่านว่าครูมาตลอด ท่านบอกแต่เพียงเป็นหนึ่งในสี่ศิษย์เอกของท่านปรมาจารย์อารีย์ ผู้ก่อตั้งสำนักดาบศรีอยุธย์ ที่จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังมีอีกสองท่านที่ไม่ยอมบอกสำนัก แต่ละท่านได้สั่งสอนผมท่านละหนึ่งปีบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง"    
ครูมาโนทย์กล่าวว่า แม้ตัวเขาเรียนวิชาดาบมาหลายสำนักแล้ว แต่เมื่อได้เห็นวิชาดาบของครูต่างถิ่นท่านหนึ่ง ก็ถึงกับตื่นเต้นและฉงนสนเท่ห์ นี่คือจุดเริ่มต้นที่เขาได้รู้จักวิชาดาบอาทมาฏ
      "ตอนนั้นผมอายุสิบกว่าปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมที่โรงเรียนพุทธชินราช และเป็นครูฝึกดาบสายพุทไธสวรรค์ให้กับนักเรียนรุ่นน้อง ก็ได้ข่าวว่ามีครูดาบฝีมือดีจากทางเหนือมาสอนอยู่ที่โรงเรียนเซนต์นิโคลัส เมื่อได้ไปดูท่านฝึกซ้อมแล้วรู้สึกเป็นเรื่องที่แปลกมาก ครูท่านนั้นอายุประมาณ ๔๐ กว่า ท่านใช้วิชาดาบสองมือ ที่สำคัญคือท่านเป็นคนขาเป๋ แต่พอฟันดาบท่านมีความรวดเร็วมาก คู่ฝึกซ้อมที่เป็นคนขาดีจะรับก็รับไม่ทัน หนีก็หนีไม่พ้น จะฟันก็ตามท่านไม่ทัน แล้วท่าดาบของท่านก็แปลกๆ มีการยกแข้งยกขา เหินตัว มีการกระโดด การฉาก ผิดกับวิชาสำนักอื่นที่ผมเรียนมา ซึ่งส่วนมากจะวิ่งตรง ถอยตรง"
      "ผมจึงไปฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ทราบว่าท่านชื่อครูสุริยา และวิชาดาบสองมือที่ท่านใช้เรียกว่าวิชาดาบอาทมาฏ ผมเรียนดาบกับท่านอยู่สามปี ฝึกซ้อมทั้งกลางวันกลางคืน ระหว่างนั้นครูสุริยาได้เล่าประวัติของวิชาดาบอาทมาฏให้ฟังว่า เดิมวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของตำราพิชัยสงครามซึ่งถูกฉีกออกก่อนสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก นำไปเก็บรักษาไว้ทางภาคเหนือ แล้วส่งมอบให้กับสมเด็จพระนเรศวรฯ เมื่อพระองค์เสด็จกลับจากเป็นตัวประกันที่พม่า มาครองเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระนเรศวรฯได้ใช้วิชานี้ฝึกสอนผู้คนที่ซ่องสุมไว้ เข้าป่าเข้ารกฝึกกัน โดยพระองค์และพระเอกาทศรศทรงเป็นครูฝึกเอง เพื่อเตรียมพร้อมทำสงครามกับพม่า"
      ครูมาโนทย์เล่าต่อว่า"คนที่จะเป็นทหารของสมเด็จพระนเรศวรฯได้ต้องเป็นคนที่มีฝีมือ ครูสุริยายังเล่าว่า กองทหารที่ใช้วิชาดาบอาทมาฏ ก็คือกองอาทมาฏ ทหารของกองนี้ยังเป็นคนรักษาเท้าช้างในยามสงคราม ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญมาก เพราะถ้าช้างทรงเจ็บ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่อยู่ข้างบนจะตกที่นั่งลำบาก ดูตอนที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า มีแต่คนคุมเท้าช้างเท่านั้นที่ตามทัน ที่ครูเล่ามีเท่านี้"    
เรื่องเล่าของครูสุริยาจากความทรงจำของครูมาโนทย์นี่เอง เป็นที่มาของความเชื่อและคำกล่าวที่ว่า ดาบอาทมาฏเป็นวิชาของสมเด็จพระนเรศวรฯ
      ครูมาโนทย์เล่าว่า เขาเรียนดาบอาทมาฏอยู่ ๓ ปีจึงสำเร็จวิชา ประจวบกับจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายในปี ๒๕๒๑ จึงลาครูสุริยาเข้ามาศึกษาต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านอีกครั้ง ก็ไม่พบครูสุริยาแล้ว
      "ครูสุริยาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ตั้งแต่นั้นมาผมไม่ได้พบท่านอีกเลย"
      ขณะเรียนอยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ครูมาโนทย์ได้เข้าชมรมกีฬาต่อสู้ป้องกันตัว สำนักดาบเจ้ารามฯ หนึ่งปีต่อมาก็ได้เป็นครูฝึกของสำนัก
      "ผมเป็นครูฝึกสำนักดาบเจ้ารามฯ ถึงปี ๒๕๓๘ แต่ไม่เคยนำวิชาดาบอาทมาฏออกมาเผยแพร่เลย เพราะสำนักดาบเจ้ารามฯ มีวิชาดาบของตนเองอยู่แล้ว การนำวิชาอื่นมาสอนเป็นการไม่บังควร และที่สำคัญ วิชาดาบอาทมาฏเป็นวิชาที่อันตรายมาก ถ้าคนสำมะเลเทเมา หรือคนเกกมะเหรกเกเรเอาวิชานี้ไปใช้ คนอื่นจะเดือดร้อน คนฝึกต้องมีคุณธรรมสูง ผมจึงเก็บวิชานี้ไว้กว่า ๒๐ ปี โดยไม่ได้เผยแพร่ กระทั่งปลายปี ๒๕๓๘ อาจารย์ชาติชาย อัชนันท์ ได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขอศึกษาวิชานี้ อาจารย์ชาติชายเป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ปรมาจารย์มวยไชยา ส่วนผมเคยศึกษามวยไชยาจากครูทองหล่อ ยาและ ซึ่งเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เขตร จึงถือว่า อาจารย์ชาติชายเป็นรุ่นพี่ทางสายมวย อีกทั้งผมลองสืบประวัติดู พบว่าเป็นคนดี ผมใช้เวลาตรึกตรองอยู่เป็นเดือน จึงตกลงใจถ่ายทอดวิชาดาบอาทมาฏให้อาจารย์ชาติชาย"
      คนที่ไม่รู้จักอาจคิดว่าอาจารย์ชาติชาย อัชนันท์ เป็นนายตำรวจหรือทหาร มากกว่าสถานภาพที่แท้จริง คือเป็นนักธุรกิจด้านโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ เพราะชายวัย ๔๕ ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฏหมายการคลังและภาษีจากประเทศฝรั่งเศสผู้นี้ เป็นคนร่างใหญ่แข็งแรง ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย บุคลลิคลักษณะเช่นนี้ หล่อหลอมมาจากเป็นผู้เคยผ่านการศึกษาศิลปะการต่อสู้นานาชนิด ได้ฝึกซ้อมออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ อาจารย์ชาติชายเริ่มเรียนยูโดตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ขณะเป็นนักเรียนโรงเรียนอัญสัมชัญ บางรัก ต่อมาได้เรียนวิชามวยไทยสายปรมาจารย์กิมเส็ง ทวีสิทธิ์ แล้วไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนมวยไชยากับปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ศึกษาวิชาดาบและกระบี่กระบองจากอาจารย์สมัย เมศะมาน แห่งสำนักดาบพุทธไธสวรรค์, อาจารย์จำนงค์ บำเพ็ญทรัพย์(ปู่เส็ง) แห่งสำนักดาบบ้านช่างหล่อ เรียนดาบศรีอยุธฯ จากอาจารย์วัลลภิศ สดประเสริฐ เรียนดาบศรีไตรรัตน์ที่เปิดสอนภายในโรงเรียน ทั้งยังศึกษาวิชาการต่อสู้ต่างประเทศอีกหลายแขนง เช่นเรียนเทควันโด้จนได้สายดำ จากอาจารย์คิม เมียง ซู ชาวเกาหลี เรียนมวยจีนของสำนักมวยจีนเสียวลิ้มยี่ และเรียนวิชามวยจีนตระกูลหยางกับอาจารย์คันศร งามพึงพิศ
      "ปี ๒๕๒๖ ผมกลับจากฝรั่งเศสมาเยี่ยมบ้าน ได้มีโอกาศเรียนมวยไชยาเพิ่มเติมกับครูทองหล่อ ยาและ หรือครูทอง เชื้อไชยา ศิษย์เอกคนหนึ่งของท่านปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ครูทองมีลูกศิษย์คนหนึ่ง คือครูแปลงซึ่งสนิทกับผม ช่วงปี ๒๕๓๘ มีอยู่วันหนึ่งครูแปลงก็รำดาบท่าคลุมไตรภพให้ดู ตอนนั้นผมก็ เอ๊ะ! ดาบอะไร ไม่เคยเห็น ครูแปลงเล่าให้ฟังว่า เขาเรียนวิชาดาบนี้มาจากครูคนหนึ่ง ซึ่งเก่งมาก ก็คือครูมาโนทย์ ผมก็เลยให้ครูแปลงไปตาม"อาจารย์ชาติชายเล่า
      "พบกันครั้งแรกเป็นการพูดคุยแนะนำตัว อีกวันหนึ่งครูแปลงไม่มาด้วย พอครูมาโนทย์มาถึงบ้านผม ผมถือดาบหวาย พี่โนทย์ถือดาบหวาย ผมก็ตีแกเลย หวดเลย พอหวดปุ๊บเขาก็หวดแขนผม เจ็บ หวดอีกทีเขาก็หวดโดนผมอีก ผมบอกหวดหลายทีแล้วนะ ชักโมโห ก็ไล่ตี เขาก็ยิ้มหัวเราะแบบสบายๆ พอผมหวดไปแรงๆ เขาก็ใช้ลูกไม้สะท้อนบ้าง คลื่นกระทบฝั่งบ้าง เล่นผมซะน่วมเลย วันนั้นเขาทำให้ผมเจ็บตัว แต่ยังไม่ยอมสอนวิชา แล้วเขาก็หายไปตั้งนาน จริงๆ เขาไปสืบประวัติว่าผมเป็นคนยังไง ผมต้องไปตามหาเขา ขอให้สอนวิชาให้"
      "ผมเรียนวิชาดาบมาหลายสำนัก พอมาเห็นวิชาดาบอาทมาฏ ผมรู้เลยว่าเป็นวิชาดาบที่ดี เพราะมีทั้งแม่ไม้และลูกไม้ที่แตกออกได้เป็นร้อยๆ พันๆ ท่า แต่ละท่าก็มีชื่อแบบโบราณ แล้วผมเคยเรียนมาว่า โดยทั่วๆ ไปของที่ดีจะมีคำสรุป หรือแก่นของมัน อย่างมวยผมก็เข้าใจถึงแก่น เช่น ป้องปัดปิดเปิด ทุ่มทับจับหัก อย่างดาบอาทมาฏก็มีแก่นวิชาของมัน เช่น ท่าฟันคือท่ารับ ท่ารับคือท่าฟัน แล้วการการ์ดดาบ การรับใน วางขา การลดดาบปัดป้องวนเป็นวง พร้อมรุกรับในเวลาเดียวกัน มันคือเหลี่ยมเดียวกับมวยไชยาที่ผมเรียนมา"
      อาจารย์ชาติชายฝึกวิชาดาบอาทมาฏกับครูมาโนทย์ทั้งกลางวันกลางคืนเป็นแรมปี ยิ่งเรียนก็ยิ่งประจักษ์ถึงอานุภาพของวิชานี้ จึงตัดสินใจก่อตั้งสำนักดาบขึ้น เพื่อหวังเผยแพร่และอนุรักษ์วิชาดาบอาทมาฏไม่ให้สูญหาย
      จนถึงปัจจุบันอาจารย์ชาติชายและครูมาโนทย์เปิดสำนักสอนดาบได้ปีกว่าแล้ว และหากมองย้อนกลับไป กล่าวได้ว่า เพราะ"ท่าคลุมไตรภพ" ซึ่งเป็นหนึ่งในสามท่าแม่ไม้หลักของวิชาดาบอาทมาฏ ที่ดึงดูดใจอาจารย์ชาติชายตั้งแต่แรกเห็น คือจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งสำนักดาบอาทมาฏนเรศวร

หัวใจของวิชา การฝึกฝน  และ เคล็ดวิชา

หัวใจของวิชาก็คือ  ท่าฟันคือท่ารับ ท่ารับคือท่าฟัน ท่ารุกคือท่ารับ ท่ารับก็คือท่ารุก เขาฟันเราไม่รับ เขารับเราไม่ฟัน จะฟันต่อเมื่อเขาไม่รับ จะรับต่อเมื่อหลบหลีกไม่พ้น

การฝึกฝนขั้นต้นคือการฝึกตีเป้าและก็ต้องฝึกควงพลอง ๔ ท่าหลัก คือท่าแข่งแสงสูรย์ พิรุณร้องไห้ นารายณ์ทรงจักร และไอยราฟาดงวง เพื่อฝึกกำลังข้อ แขน และเพื่อให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวอย่างกลมกลืน ไม่สะดุด เพราะระหว่างการควงพลองจะต้องมีการหมุนตัว เอี้ยวตัว เอี้ยวไหล

ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการใช้ท่าการ์ด และท่าเท้า ๔ ทิศ ฉาก ๘ แฉกต่อไป เมื่อผู้ฝึกมีพื้นฐานแน่นแล้ว ก็เริ่มฝึกท่าการ์ด แม่ไม้สามท่า ฝึกท่าเท้า เมื่อชำนาญก็ฝึกท่ารำ และกลยุทธกลศึกในที่สุด

แม่ไม้สามท่า คือท่าที่ทุกคนเห็นว่าวาดดาบเป็นรูปเลขแปดนั่นเอง

"ท่าคลุมไตรภพ" วาดดาบประสานเป็นวงรูปเลขแปดอาระบิคแนวตั้ง อย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า
"ตลบสิงขร" ดาบซ้ายขวาวาดวนในระดับเอวเป็นวงรูปเลขแปดอาระบิคในแนวนอน
"ย้อนฟองสมุทร" ดาบทั้งสองข้างวาดเป็นรูปเลขแปดอาระบิคแนวตั้ง ทว่าต่างจากท่า"คลุมไตรภพ"ตรงที่ ในท่านี้ดาบทั้งสองมือวาดเป็นเลขแปดสองตัวต่อกันจากล่างขึ้นบน ขณะวาดดาบก็มีการโล้ตัวไปข้างหน้าและหลังด้วย

ไม้รำสิบสองท่า เป็นท่าที่ต่อเนื่องจากแม่ไม้ทั้งสาม วนเวียนออกจากศูนย์กลางต่อเนื่องไม่สิ้นสุด

ได้แก่ ท่าไม้รำเสือลากหาง ฟันเงื้อสีดา หงษ์ปีกหัก ท่ายักษ์พระรามแผลงศร เชิญเทียนตัดเทียน มอญส่องกล้อง ลับหอกลับดาบ ช้างประสานงา กาล้วงไส้ พญาครุฑยุดนาค เรียงหมอน และท่าสอดสร้อยมาลา
(ไม่บอกรายละเอียดแล้วกันนะครับ)

ไม้ตาย เป็นวิชาลับที่โหดเหี้ยมสอนให้กับเฉพาะศิษย์ที่เชื่อใจได้เท่านั้น
คือวิชาตัดข้อตัดเอ็น ๒๗ ท่า กับวิชาหนุมานเชิญธง ๔๘ ท่า วิชานี้จะใช้ในเวลาถูกรุม คือต้องต่อสู้กับคนจำนวนมาก ตั้งแต่ ๓ คน ๕ คน กระทั่ง ๑๐ หรือ ๒๐ คนก็สู้ได้"

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร สารคดีครับ

13
หลายๆคนอาจจะไม่รู้จักหรือคุ้นหูนักสำหรับคำว่าลูกเป้ง
แต่ถ้าเป็นคนเหนือรุ่นเก่าๆแล้วแทบทุกคนไม่มีใครไม่รู้จักครับ
เป้ง หรือ ลูกเป้ง หมายถึง ตัวถ่วงน้ำหนักที่ใช้กับเครื่องชั่งโบราณหรือตราชู คนล้านนาเรียกชั่งชนิดนี้ว่า ยอย ด้านหนึ่งมีจานใส่ของเรียกผางยอย

         ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นที่ใส่ตัวถ่วงน้ำหนัก คือ เป้ง ลูกเป้งทำจากโลหะส่วนมากเป็นสำริดที่เป็นทองเหลืองก็มี มีหลายขนาด ทำเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เช่น นก เป็ด หงส์และสัตว์ตามปีนักษัตรหรือทำเป็นลูกกลมๆ ไม่ตกแต่งลวดลาย เป้งบางตัวมีเนื้อตะกั่วเติมเข้าไปเพื่อให้ได้น้ำหนักครบตามจำนวน
ความสำคัญของลูกเป้งนั้น นอกจากจะเป็นเครื่องถ่วงน้ำหนักดังกล่าวแล้ว คนล้านนายังใช้ลูกเป้งแทนค่าอีกได้หลายนัย
นัยแรก แทนค่าเป็นทรัพย์สินเช่นเดียวกับเงินตรา เช่นในขันตั้งอย่างล้านนาที่ใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ จะใส่ลูกเป้งในขันนั้นด้วย ถือเป็นของมีค่ามีราคาแทนทรัพย์สิน
  นัยต่อมาลูกเป้งรูปนักษัตร หรือ เป้งสิบสองราศี ใช้ใส่ขันตั้งนั้นเกิดสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น เพราะฤทธิ์ของลูกเป้ง สามารถปราบแพ้ขึดหรือเสนียดจัญไรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะขันตั้งในพิธีกรรมสำคัญๆ เช่น การสืบชาตาบ้านเมือง เป็นต้น อีกนัยหนึ่งนั้น ลูกเป้งหมายถึงตัวนำโชค ทำนองเดียวกับโชครางแต่เป็นเครื่องรางที่ใช้งานได้ นอกจากนี้ยังเรียกถุงผ้าขนาดเล็กมีหูรูดที่ใช้ใส่พกติดเอวโดยเหน็บกับเข็มขัด เรียกว่า ถงเป้ง หรือ ถุงเป้ง ส่วนถุงที่ใส่ลูกเป้งโดยตรงนั้นเท่าที่เคยเห็นจะใช้ผ้าเย็บทำเป็นถุงลักษณะคล้ายร่มชูชีพ ใส่ลูกเป้งหลายๆ ตัว ส่วนยอยเครื่องชั่งตราชูจะใส่ในตลับไม้ ซึ่งต้งออกแบบให้ใส่เครื่องชั่งได้พอดี

         ลูกเป้งพบทั่วไปในล้านนา แต่เนื่องจากมีเครื่องชั่งอื่นๆ ที่เหมาะสมและใช้ได้สะดวกกว่าจึงเลิกนิยมกัน ปัจจุบันลูกเป้งมีผู้เก็บสะสมเป็นชุดๆ เรียงตามลำดับน้ำหนักหรือเก็บตามรูปแบบอื่นๆ เช่น เป็นสัตว์นักษัตร เป็นต้น ลูกเป้งจึงกลายเป็นของสะสมที่มีราคาในที่สุด ในอดีตนั้นลูกเป้งและถุงเป้ง มีความสัมพันธ์กับความเชื่อของคนล้านนาที่สอดคล้องกับคำทำนายหรือที่เรียกว่าหนังสือพรหมชาติล้านนาหลายฉบับที่กล่าวถึงคำทำนายโชคชะตาในด้านต่างๆ จะมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเป้งและถุงเป้งอยู่หลายตอน เช่น คนใดเกิดปีใดควรพกลูกเป้งกับถุงเป้งใดเพื่อให้เป็นมงคลกับตัว ดังนี้
คนเกิดปีใจ้(ชวด) ให้ใช้เป้งรูปหนู ใช้ถุงเป้งลายเหลือง
คนเกิดปีเปล้า(ฉลู) ให้ใช้เป้งรูปวัว ถุงเป้งสองชั้น นอกขาวในเหลือง
คนเกิดปียี(ขาล) ให้ใช้เป้งรูปเสือ ถุงเป้งสามชั้น ในเหลือง กลางขาว นอกดำ
คนเกิดปีเหม้า(เถาะ) ให้ใช้เป้งรูปกระต่าย ถุงเป้งสองชั้น นอกขาว ในเหลืองสายแดง
คนเกิดปีสี(มะโรง) ให้ใช้เป้งรูปพญานาค ถุงเป้งสองชั้น ในแดง นอกดำ
คนเกิดปีใส้(มะเส็ง) ให้ใช้เป้งรูปงู ถุงเป้งสองชั้น นอกเขียว ในขาว
คนเกิดปีสะง้า(มะเมีย) ให้ใช้เป้งรูปม้า ถุงเป้งสามชั้น ในแดง กลางเหลือง นอกขาว
คนเกิดปีเม็ด(มะแม) ให้ใช้เป้งรูปแพะ ถุงเป้งสองชั้น ในหม่น นอกขาว
คนเกิดปีสัน(วอก) ให้ใช้เป้งวอก ถุงเป้งสามชั้น นอกแดง กลางขาว ในเหลือง
คนเกิดปีเร้า(ระกา) ให้ใช้เป้งรูปไก่ ถุงเป้งสองชั้น นอกหม่น ในขาว สายเหลือง
คนเกิดปีเส็ด(จอ) ให้ใช้เป้งรูปหมา ถุงเป้งสองชั้น นอกเหลือง ในขาว
คนเกิดปีไก๊(กุน) ให้ใช้เป้งช้าง ถุงเป้งสองชั้น ในขาว นอกเหลือง สายเขียวหรือแดง

ขอบคุณข้อมูลจากเวปไซต์อุณมิลิตครับ

สองอันนี้เป็นของพ่อผมเองครับ เห็นอยู่ในห้องพระนานแล้ว วันนี้เลยขอนำเสนอให้พี่ๆน้องๆได้รับชมบ้างครับ

น้ำหนักพอสมควรเลยครับ :002:

14
"เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ ต่อโลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่เลว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี เพียงด้านเดียว อย่ามัวเที่ยว มองหาเลย สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง"

คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ
ที่มา ได้รับจากฟอเวิดเมล์ครับ

15
พอดีไปเจอมาครับในเวปสักยันต์ดอทคอม ของคุณสเปนเซอร์
ชาวต่างชาติผู้นิยมและชื่นชอบในศาสตร์ด้านนี้


สายหลวงปู่หน่าย วัดบ้านแจ้งครับ ฝีเข็ม อ.กบ


ฝีเข็มอ.กบ เช่นกันครับ



สายพ่อแก่ครับ ฝีเข็มอ.โกมินทร์ เปลี่ยนเข็ม

ขอบคุณรูปภาพและเครดิตจากเวปไซต์ สักยันต์ดอทคอมด้วยนะครับ



16
ขออณุญาตินะครับ
หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่า
รูปแบบของวัดบางพระเรานั้นการวางยันต์จะออกมาเป็นรูปแบบใด
ตามที่เคยกล่าวไว้ว่า การวางยันต์ของทางวัดบางพระกรณีที่
พระอาจารย์ท่านสักให้เอง(โดยมิได้ขอ) จะออกมาในรูปลักษณ์แบบนี้ครับ(เป็นรูปหน้าเสือ)



ขออณุญาติหลวงพี่ท่านเจ้าของแผ่นหลังนะครับ
ฝีเข็มของหลวงพี่พันครับ
เครดิตรูปภาพจากเวปไซต์สักยันต์ดอทคอมครับ

17
บทความ บทกวี / การเอาชนะใจตนเอง
« เมื่อ: 05 ต.ค. 2552, 01:34:32 »
การชนะใจตนเอง  เรา อาจกล่าวได้ว่า สาเหตุที่คนเราจะประสบความสำเร็จในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระดับที่แตกต่างกัน
สืบเนื่องมาจาก ความสามารถในการเอาชนะใจตนเอง
 
การชนะใจตนเองนับเป็น ศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้เราสามารถสร้างอุปนิสัยที่ดีลงสู่ตัวเราได้ เราไม่อาจขยันและมีความเพียรพยายามได้เลย รวมทั้งเราอาจทำการสิ่งใดๆ ไม่สำเร็จได้เลย หากเราไม่สามารถเอาชนะความเกียจคร้าน ที่เป็นเสมือน พื้นฐานทางนิสัยของเราให้ได้เสียก่อน
 
ตามหลักทางศาสนาสอนหรือเปรียบจิตใจของคนเรา ดังสายน้ำธรรมชาติที่จะไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำเสมอ
ฉันใดก็ฉันนั้น กับจิตใจของมนุษย์ ที่เรามักจะมีแนวโน้มจะกระทำการใดๆตามอำนาจแห่งจิตใจฝ่ายต่ำกว่า หรือ สิ่งที่อำนวยความสบาย ความขี้เกียจ ความไม่ลำบาก ณ ชั่วขณะนั้นให้แก่ตนเอง
เราต้องหาอะไร มาขวางกั้นไว้ มิฉะนั้นมันจะเลวลงเรื่อยๆ “การชนะใจตนเอง” จึงกลายเป็นจุดสำคัญเริ่มต้น สำหรับ คนทุกคนที่มีความตั้งใจจะกระทำสิ่งใดๆ ตามทีต้องการ หรือ ปรารถนา
เพราะการดำเนินชีวิต คนเราชอบความสะดวกสบาย ดังนั้น การทำสิ่งที่ยาก เพื่อให้แตกต่างจากคนอื่นๆ จำเป็นต้องมีความสามารถ หรือ กำลังใจที่เข้มแข็งในการเอาชนะใจตนเองให้จงได้
 
การชนะใจตนเองเป็นช่วงระยะเวลา ที่สั้นมาก ถ้าคนเรามีสติเมื่อจะทำอะไรไปในทางที่ไม่ดี จะมีตอนหนึ่งที่ใจใฝ่ดีรู้สึกและเตื่อนไม่ให้ทำ เราสังเกตได้ง่ายๆ เช่น คนสูบบุหรี่ รู้ทั้งรู้ว่า การสูบบุหรี่ทำโทษ ทั้งต่อตนเอง และ คนรอบข้าง ทั้งๆที่รู้ ชั่ววูบหนึ่ง เชื่อได้ว่า จิตใจของเขาตระหนักถึงผลเสีย และ อยากจะหยุด แต่ อำนาจแห่งจิตใจฝ่ายไม่ดี ก็จะสร้างข้อแม้น เช่นว่า คนเราเดี๋ยวก็ตาย สูบๆไปเถอะ หรือ พรุ่งนี้ค่อยไม่สูบ กลายเป็นว่า เขาก็ยังคงสูบบุหรี่ต่อไป
 
ในทางกลับกัน ถ้าช่วงแห่งเวลาที่เรามีสติ ที่จิตใฝ่ดีรู้ตัว ถ้าเราจะฝืนตัวเอง ให้หยุด เดินไปทิ้งบุหรี่ซะ เข้าห้องน้ำล้างหน้า ซื้อไปหมากฝรั่งมาเคี้ยวแทน เราก็คงไม่ต้องสูบบุหรี่
 หรือ การที่เราตามใจตนเองในการนอนตื่นสาย เพราะว่า ขี้เกียจ ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่ดี ถ้าเรายอมตามอารมณ์ฝ่ายต่ำ เราก็คงนอนตื่นสายไป และ เราก็ต้องเสียเวลาเปล่าประโยชน์ไปกับการนอนมากเกินควรการชนะใจตนเอง เป็นการทำได้ยาก แต่ถ้าลองทำได้ครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งที่สอง และ ที่สาม ก็จะสามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น
 
การเริ่มชนะใจตนเอง สามารถกล่าวได้ว่า เป็นสิ่งสำคัญ  โดยเราจะต้อง กำจัดความความเกียจคร้านเสียแต่วันนี้ และ เริ่มต้นเป็นคนขยัน มานะ พากเพียร แล้ววันต่อๆไปเราก็ต้องเตือนตัวเองให้ตั้งมั่นใอยู่ในความหมั่นขยัน และ กระตือรือร้นอยู่เสมอ ไม่นานนิสัยความเพียรพยายาก็จะฝังติดตัวเราได้ความจริงวิธีแก้ความเกียจคร้านของคนเรา สรุปได้ก็คือ ต้องรู้จักเอาชนะใจตนเอง วิธีเอาชนะใจตนเองทำอย่างไรก็ต้องแล้วแต่ละคนที่จะต้องเรียนรู้ตนเอง และ นำไปปรับใช้ แก้ไข เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
 
อย่างไรก็ตาม การกระทำต้องอยู่ในทางสบายกลาง อย่า เข้มงวดมากเกินไป เพราะถ้าไม่ได้ อาจจะหมดกำลังใจ ไม่ทำเอาเสียเลย เหมือน คนลดน้ำหนัก ถ้าค่อยๆเริ่มลด จะถาวร เพราะ สร้างนิสัย ให้ยอมรับพฤติกรรมการกินแบบใหม่ แบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ใช่ จะลดความอ้วน ก็หยุดทานขนม อะไรที่เคยชอบ เพราะอยากลดให้ได้เร็ว
อาจจะได้ผล แต่ไม่ช้า ความต้องการของจิตใจ ก็จะทำให้กลับไปหาได้โดยง่าย และ กลายเป็นว่า น้ำหนักกลับมามากกว่าเก่า เสียเอง
 
ดังนั้น ควรเลือกกระทำในสายกลาง เรียนรู้ เพื่อที่จะปรับให้กลายเป็นนิสัยที่ถาวร มิใช่ เพียงชั่วคราว  แม้นแต่ผมเอง ก็ยังมีช่วงเวลา ที่ผมเผลอทำตัว ตามใจตนเอง แต่เมื่อรู้ตัวก็จะพยายามแก้ไข ไม่ให้เกิดขึ้น ดังนั้น การสำรวจตัวเอง ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
 
การสำรวจตัวเอง หือ การใช้บันทึกประจำวัน ว่าเราเองใช้เวลา ทำกิจกรรมอะไรบ้าง มีสาระหรือไม่มีสาระอย่างไร เมื่อเรารู้ เราจะได้พยายามแก้ไข
การเตือนตนและการหักใจ หรือฝืนใจก็เป็นวิธีหนึ่งของการเอาชนะใจตนเอง บางครั้งเราต้องยอมผ่อนผันอามรณ์ฝ่ายไม่ดีของเราบ้าง แล้วๆ ค่อยประเล้าประโลมเตือนตนเองว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรทำ แล้วพยายามหักใจในที่สุด การฝืนใจการพยายามทำงานที่ตนไม่รักแต่ให้ทำด้วยความเต็มใจ พยายามทำให้ดีที่สุด ทำให้ได้มากที่สุด
 
สำหรับ การชนะใจตนเอง สิ่งที่เป็นตัวหลักสำคัญคือ ความพยายาม เรานับเป็นคุณสมบัติอันแรกที่ต้องปลูกฝังให้มีในตนเอง
เราควรมีสติระลึกและ เตือนตนให้มีความเพียรทำกิจอย่างสม่ำเสมอ อย่าเพียงแต่ทำ แล้ว เลิก แต่ควรฝึกตนเองให้ทำสิ่งที่ดี พฤติกรรมที่ถูกต้อง เป็นประจำ เพื่อให้เกิดเป็นนิสัย และ เราจะทำได้เอง โดยอัตโนมัติ

การเอาชนะใจตนเองนั้น เป็นเรื่องสอนกันยาก เราต้องรู้จักบังคับใจตนเอง ถ้าบังคับไม่ได้ก็ไม่มีใครช่วยเราได้เลย แม้จะมีคำสอนถึงอุบายวิธีแนะแก้ความเกียจคร้าน แนะวิธีปลูกสร้างความขยันต่างๆ นานาๆ หรือ หนังสือ ที่ใครต่อใครบอกว่า เป็นเคล็ดลับที่คนหลายคนประสบความสำเร็จ แต่เมื่อท่านอ่านแล้วลืม หรือไม่ปฏิบัติ ก็มีค่าเท่ากับผ่านขุมทรัพย์แล้วไม่รู้จักเก็บทรัพย์ฉะนั้นคำสอนต่างๆ นั้นเป็นเพียงการแนะตนว่า ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน หรือ เป็นการระลึก บอกตนเองว่า คำสอนต่างๆ ไม่สามารถเกิดประโยชน์แก่เราได้ ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะใจตนเองได้
การนำคำสอน หรือ คำแนะนำ ทีดีๆ มาปรับปรุงหรือประยุกต์ให้เข้ากับนิสัยของเรา และ เราต้องมีความตั้งใจจริง ต้องรู้จักบังคับใจตนเอง แล้วเราก็จะเป็นคนที่มีความเพียรพยายามได้
สรุป แล้ว เราต้องเริ่มต้นก้าวแรกเสียแต่วันนี้ เริ่มต้นเป็นคนขยันหมั่นเพียงลองบังคับใจตนเองให้นอนและตื่นเป็นเวลา มีความพยายามที่จะปฏิบัติกิจวัตรให้สำเร็จไปด้วยดี ไม่ใจร้อน ไม่ใจเร็วด่วนได้ เราต้องเริ่มเอาชนะใจตนเองเสียแต่บัดนี้
 


ข้อมูลอ้างอิงจากwww.missconsult ดอทคอม

18


โบราณจารย์ ส่วนอารมณ์ของฌาณ จะเป็นไปในขั้นตอนของ อานาปานสติ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ให้มีความรู้ใกล้เคียงกับการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ดังนี้
@ เมื่อหายใจ เข้า ให้กำหนดคำภาวนาในกองกสิณ นั้นๆ เช่น....... “เตโช“
@ เมื่อหายใจ ออก ให้กำหนดคำภาวนาในกองกสิณ นั้นๆ เช่น...... “กสิณัง“
....... การกำหนดภาพนิมิตของกสิณเบื้องต้น
............โบราณจารย์ ให้ดู เปลวไฟ ที่จุดไฟจากตะเกียง หรือเทียนไข ท่านหมายเอาส่วนกลางของเปลวไฟนั้น.... หากเป็นกองไฟควรที่จะคัดกระดาษให้เป็นช่องกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๓ นิ้ว วางไว้ระหว่าง ตากับ องค์กสิณไฟนั้น เป็นการกำหนดรูปทรงที่เหมาะกับ เพื่อง่ายกับความจำหรือสีที่มีความคล้ายคลึงกัน ตามแต่สถานกาล ที่ธุดงค์ไป เช่นดวงพระอาทิตย์ยามเช้า และพลบค่ำ ที่มีสีแดงเพลิง หรือดอกไม้ ใบไม้ หิน ที่มีสีแดงก็อนุโลมใช้แทนกันได้
............ให้ลืมตามองแล้วกำหนดจำภาพ กสิณไฟนั้น เมื่อมีความมั่นใจได้ก็ให้หลับตา กำหนดภาพให้ติดตาติดใจนั้นต่อไป ในระยะแรกๆภาพจะไม่ทรงตัว ภาพกสิณในใจนั้นหายไปให้ท่านลืมตามองในองค์กสิณนั้นใหม่ อีกครั้ง
............ปฏิภาคนิมิต ( หมายถึง กลับกัน ไป/มา ) ในระยะแรกๆนิมิตของกสิณไฟจะกลับกันไป/มา คือปรากฏแล้วหายไป แล้วปรากฏขึ้นมาใหม่
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ขณิกสมาธิ
............อุคคหนิมิต (หมายถึง ขั้นอุกฤต หรือมั่นคงแน่นอนนั้นเอง ) นิมิตของกสิณไฟจะมั่นคง
ระหว่างทรงอารมณ์
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ อุปจารสมาธิ
............ภาพกสิณของกสิณไฟในนิมิต จะเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับของฌาณไป
๑.เมื่อกำลังในทรงตัวในฌาณที่๑ ภาพกสิณไฟ ทรงตัวดีแล้วภาพสินนั้นจะเปลี่ยนไป
............ฌาณที่ ๑ หยาบ ภาพกสิณไฟจากอาการเลื่อนไหว จนเห็นเป็น ไฟหนาทึบเป็นลูกกลมขนาดที่ เจาะรู
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๑ หยาบ
............ฌาณที่ ๑ กลาง ภาพกสิณไฟ จะเป็น จนเห็นเป็น ลูกกลมขนาดที่ เจาะรูสีขาวผิวนอกเงาวาวเริ่มโปร่งใสบ้าง
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๑ กลาง
............ฌาณที่ ๑ ละเอียด ภาพกสิณไฟ จะเป็น จนเห็นเป็น ลูกกลมขนาดที่ เจาะรู โปร่งใสคล้ายแก้วทึบ
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๑ ละเอียด
๒.เมื่อกำลังในทรงตัวในฌาณที่๒ภาพกสิณไฟ ทรงตัวดีแล้วภาพกสิณนั้นจะเปลี่ยนไป
............ฌาณที่ ๒ หยาบ ภาพกสิณไฟ จะเป็น แก้วทึบ เทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๒ ส่วนใน ๔ ส่วนผิวนอกเงาวาวเล็กน้อย
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๒ หยาบ
............ฌาณที่ ๒ กลาง ภาพกสิณไฟ จะเป็น แก้วทึบเทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๒ ส่วนใน ๔ ส่วนผิวนอกเงาวาวมากขึ้น
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๒ กลาง
............ฌาณที่ ๒ ละเอียด ภาพกสิณไฟ จะเป็น แก้วทึบเทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน ผิวนอกเงาวาวมากสุด
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๒ ละเอียด
๓.เมื่อกำลังในทรงตัวใน ฌาณที่ ๓ ภาพกสิณไฟ ทรงตัวดีแล้ว ภาพสินนั้นจะเปลี่ยนไป
............ฌาณที่ ๓ หยาบ ภาพกสิณไฟ จะเป็น แก้วโปร่งใสมาก เทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๓ ส่วนใน ๔ ส่วน ภายในองค์กสิณไฟ ก็จะมีความเป็นประกายพรึกเล็กน้อย หรือ ๑ ส่วนใน ๓ ส่วน ผิวนอกเงาวาวเล็กน้อย
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๓ หยาบ
............ฌาณที่ ๓ กลาง ภาพกสิณไฟ จะเป็นแก้วโปร่งใสมาก เทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๓ ส่วนใน ๔ ส่วน ภายในองค์กสิณไฟ ก็จะมีความเป็นประกายพรึกปานกลางหรือ ๒ ส่วนใน ๓ ส่วน ผิวนอกเงาวาวมากขึ้น
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๓ กลาง
............ฌาณที่ ๓ ละเอียด ภาพกสิณไฟ จะเป็นแก้วโปร่งใสมาก เทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๓ ส่วนใน ๔ ส่วน ภายในองค์กสิณไฟ ก็จะมีความเป็นประกายพรึกมากสุด หรือ ๓ ส่วนใน ๓ ส่วน ผิวนอกเงาวาวมากสุด
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๓ ละเอียด

๔.เมื่อกำลังในทรงตัวใน ฌาณที่ ๔ ภาพกสิณไฟทรงตัวดีแล้ว ภาพสินนั้นจะเปลี่ยนไป
............ฌาณที่ ๔ หยาบ ภาพกสิณไฟ จะเป็น แก้วโปร่งใสมาก เทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๔ ส่วนใน ๔ ส่วน ภายในองค์กสิณไฟ ก็จะมีความเป็นประกายพรึกทั้งองค์กสิณ มีการส่องสว่างจากจาภายในออกมาภายนอก ๑ ใน ๓ ส่วน ผิวนอกเงาวาวเล็กน้อย
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๔หยาบ
............ฌาณที่ ๔ กลาง ภาพกสิณไฟ จะเป็นแก้วโปร่งใสมาก เทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๔ ส่วนใน ๔ ส่วน ภายในองค์กสิณไฟ ก็จะมีความเป็นประกายพรึกทั้งองค์กสิณ มีการส่องสว่างจากจาภายในออกมาภายนอก ๒ ใน ๓ ส่วน ผิวนอกเงาวาวมากขึ้น
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๔ กลาง
............ฌาณที่ ๔ ละเอียด ภาพกสิณไฟ จะเป็นแก้วโปร่งใสมาก เทียบกับการมองด้วยสายตาสามารถมองผ่านมีความใส ๔ ส่วนใน ๔ ส่วนภายในองค์กสิณไฟ ก็จะมีความเป็นประกายพรึกทั้งองค์กสิณ มีการส่องสว่างจากจาภายในออกมาภายนอก ๓ ใน ๓ ส่วนผิวนอกเงาวาวมาก
............ประดุจโหลแก้วผิวบางทรงกลม ใส่เพชรเจียรนัยแล้วเม็ดเล็ก เท่าเม็ดทราย ที่สามารถเรืองแสงสว่างใสได้ ใส่ไว้จนเต็มองค์กสิณนั้นเอง
- อารมณ์ฌานในอานาปานสติ มักอยู่ที่ ฌาณที่ ๔ ละเอียด
............เมื่อท่านสามารถที่จะทรงอารมณ์ฌาณในอานาปานสติ + กสิณ ...จนมมีความคล่องตัวตามลำดับฌาณ ลำดับกสิณแล้ว ควรที่จะเข้าสลับฌาณ สลับกสิณ จนคล่องตัว
............จากนั้นก็นำผลของฌาณในอนาปานสติ+กสิน มาเป็นกำลังในวิปัสสนาญาณ จนเกิดปัญญาว่า กสิณถึงจะเป็นสิ่งดีในฝ่ายกุศล แต่ก็หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ มีความเกิดในเบื้องต้น เปลี่ยนแปรงในทามกลาง ในที่สุดก็เสื่อมสลายไป เป็นธรรมดา
............กายสังขารของเราก็เช่นกันหาความเที่ยงแท้แน่นอนมิได้ ดังความเปลี่ยนแปรงของกสิน ก็ความทุกข์ทั้งหลายที่เป็นส่วนหนึ่งให้เราต้องเกิดทุกข์ได้แก่
๑) รูปราคา....เห็นรูป แล้วตั้งอุปทานว่า รูปนั้นเป็นของเรา มีในเรา จึงเป็นทุกข์
๒) อรูปราคา...ไม่มีของจริงให้เห็นรูป แต่ยึดติดในการปรุงแต่งว่าเป็นรูปในใจ หรือนิมิต แล้วตั้งอุปทานว่า อรูปนั้นเป็นของเรา มีในเรา จึงเป็นทุกข์
............ดังนี้หารเรายังคงยึดติดทั้ง รูป ทั้งอรูป ย่อมก่อให้เกิดภพชาติ ด้วยหวังต้องการใน ความเป็น รูป และ อรูปว่าเป็นของเรา
............เราย่อมเวียนตายเวียนเกินในภพภูมิทั้งสี่ ได้แก่ อบายภูมิ มนุษยโลก เทวะโลก พรหมโลก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะขอเพียงเพื่อ อยู่เพื่อ อาศัยทั้งรูปทั้งอรูป ชั่วคราว เมื่อหมดหน้าที่ของการเป็นมนุษย์ในชาตินี้ เมื่อใดขอไป “ พระนิพพาน “ เมื่อนั้น 
“””””””””””””””””””””””””””””””””””
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก เวปไซต์แพนทาวน์ดอทคอมนะครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจได้ไม่มากก็น้อยครับ

19



ประวัติ คาถา และความเป็นมาของ พระคาถา
เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจาก การสังคายนาพระพุทธศาสนาครั้งที่ 3
(ตติยสังคายนา) แล้ว พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียเริ่มร่วงโรยลง และต่อมาได้ย้ายไปประดิษฐานในลังกา ศาสนาพุทธกับพราหมณ์ในอินเดียสมัยนั้น ได้ผสมผสาน กันมา จนเกิดมีลัทธิ พุทธตันตระ (ลัทธิพุทธศาสนาอันเกี่ยวกับการใช้

คาถา-อาคม พระคาถา) เกิดขึ้น อีกลัทธิหนึ่ง
ศาสนาพราหมณ์ในขณะนั้น มีความมั่นคงเลื่อมใส ในลัทธิไสยศาสตร์มาก มีการใช้เวทมนตร์"คาถา"เป่าพ่นปลุกเสกและลงเลขยันต์ ประกอบ อาถรรพณ์ต่างๆแม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว เพราะ พระพุทธศาสนาเองก็ยังมีคุณอัศจรรย์ ที่จัดเป็น ปาฏิหาริย์ไว้ 2 อย่าง คือ
1. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนที่เป็นอัศจรรย์
2. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ที่เป็นอัศจรรย์ถึงกับ พระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่อง พระโมคคัลลานะ เถระไว้เป็น ยอดของพระภิกษุที่ทรงอิทธิฤทธิ์ หากแต่ พระองค์ไม่ทรงยกย่อง อิทธิปาฏิหาริย์เท่ากับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์
การใช้เวทมนตร์คาถานั้น ผลสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ดวงจิตสำรวมเป็นสมาธิ และสมาธินี้ท่านจัดบนฐาน แห่ง วิปัสสนาญาณถึงแม้หาก ว่าปุถุชนเราจะบรรลุได้อย่างสูงไม่เกินฌานสมาบัติก็ตามกระนั้นก็สามารถที่จะแสดง อิทธิฤทธิ์ ได้ตามภูมิของตน เช่น พระเทวทัตต์หนแรกที่เธอได้รูปฌาน เธอก็ยังสามารถบิดเบือน แปลงกายกระทำอวด ให้อชาตศัตรูกุมารหลงใหลเลื่อมใสได้
ส่วนอารมณ์ของรูปฌานนั้น ท่านใช้กสิณบ้างใช้คาถาบริกรรมบ้าง สุดแต่นิสัยของผู้บำเพ็ญปฏิบัติ โดยเฉพาะ ที่ใช้คาถาบริกรรมนั้น ผู้บริกรรม จะรู้ถึงเนื้อความของคาถาที่บริกรรมนั้น หรือไม่ก็ตามนั่นมิใช่สิ่ง ที่เป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะความมุ่งหมายต้องการแต่จะให้สมาธิเท่านั้น
เพื่อผลในทางอิทธิปาฏิหาริย์ที่ตนมุ่งหวังปรารถนา พระคาถาและการทำสมาธิแบบนี้ ได้เจริญ แพร่หลาย มากขึ้น ได้เกิดมีคณาจารย์มุ่งสั่งสอนเวทมนตร์กัน และได้ดัดแปลงแก้ไขวิธีการทางไสยศาสตร์ ของพราหมณ์มาใช้ โดยคัดตัดตอนเอาเนื้อมนต์ของพราหมณ์นั้นออกเสีย บรรจุพระพุทธมนต์ แทรกเข้าไปแทน เพราะมาคิดเห็นกันว่ามนต์พราหมณ์ยังเรืองอานุภาพถึงอย่างนี้ ถ้าหากว่า เป็นพุทธมนต์ คงจะยิ่งกว่าเป็นแน่
      
 ฉะนั้นในการใช้เวทมนตร์คาถาที่พวกเราพุทธศาสนิกชนปฏิบัติกันทุกวันนี้ จึงล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธมนต์ที่ท่าน โบราณาจารย์ดัดแปลง แก้ไขเลียนแบบอย่างวิธีทางลัทธิไสยศาสตร์เดิมมาเท่านั้นหาใช่เป็นลัทธิไสยศาสตร์ ของพราหมณ์ดังที่บางท่านเข้าใจกันไม่
การรวบรวมคัมภีร์พระเวทพระคาถา อย่างจริงจังเกิดขึ้นในสมัย เจ้าพระคุณพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ฯ แต่เมื่อครั้ง ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสัจจญาณมุนีอยู่นั้นพระคุณท่านเป็น ผู้สนใจในศาสตร์ ประเภทนี้อยู่มาก จึงได้พยายามรวบรวมขึ้นไว้จากสรรพตำราต่างๆ ส่วนมากเป็นของ สมเด็จ พระสังฆราช (แพ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาจารย์ของท่าน อันได้รับสืบต่อมาจาก สมเด็จพระวันรัต (แดง) ท่านได้ตั้ง ปณิธานที่จะให้วิชาเหล่านี้ได้เผยแพร่ต่อไปเพราะเกรงว่าจะสาบสูญเสียหมด
ในการรวบรวมคัมภีร์พระเวท พระคาถาเหล่านี้ข้อความบางแห่งพอ ที่จะมี ต้นฉบับสอบทาน ก็ได้จัดการ สอบทานแก้ไข ให้ถูกต้อง ตามต้นฉบับเดิม ซึ่งได้คัดลอกสืบต่อกันมา แต่ก็ยังมีอักขระพระคาถา เนื้อมนต์นั้นบางทีก็มีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง สำหรับบทที่หาต้นฉบับ สอบทานไม่ได้ ก็คงไว้ ตามรูปเดิม ซึ่งถ้าหากได้ผ่านสายตาท่าน ผู้รู้ทั้งหลายก็ได้โปรด กรุณา แก้ไขต่อเติมเสีย ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้เป็นตำราที่ถูกต้องบริบูรณ์ ดุจต้นฉบับ ของเดิมเพื่อเป็นการเทิดทูน วิทยาการอันประเสริฐ รวมทั้งได้ดำรงคงอยู่เป็นแนวศึกษาของชั้นหลังสืบต่อไป
  
 คาถา  รวมพระคาถา ความหมายของคำว่า “คาถา” พระคาถา และวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบันการใช้ "คาถา" ให้มีความศักดิ์สิทธิ์  คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต  ในนี้จะมีบท คาถาต่างๆ ทั้ง คาถาชินบัญชร  คาถาทางเมตตามหานิยม คาถาทางคงกระพันชาตรี คาถาแคล้วคลาด คาถาแผ่ส่วนกุศล คาถาแผ่เมตตา คาถากันของไม่ดี หัวใจพระคาถาต่างๆ คาถาบูชาเทพเจ้า คาถาบูชาพระพุทธรูปต่างๆ ซึ่งคาถาต่างๆเป็นที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ สมัยก่อนคนจะใช้คาถาต่างๆได้สัมฤทธิผลกันมากเน ื่องจากมีความเชื่อความศรัทธาและสัจจะเป็นสำคัญส่วนการท่องหรือตัวอักษรอักขระการออกเสียงต่างๆ อาจจะมีแตกต่างกันไปบ้าง ส่วนสำคัญอยู่ที่ความมั่นใจและตั้งมั่นมากกว่า ยกตัวอย่างง่ายๆแค่ บทสวดมนต์ต่างๆการออกเสียงในส่วนของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน ก็ต่างกันแล้ว แต่ทำไมถึงมีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันละ ก็เพราะความตั้งมั่น ไม่สงสัยในครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนมา
คาถาใด ๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเราจะต้องท่องให้จำได้ ก็จะต้องทำใจให้บริสุทธิ์ อาบน้ำชำระล้างสิ่งโสโครกให้สะอาดเสียก่อน แล้วก็นำดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ แล้วก็ระลึกเป็นการขอพรบารมี ให้ท่องได้ง่ายจำได้แม่น แล้วก็กราบตำรานั้น 3 ครั้ง ต่อจากนั้นก็เปิดขึ้นมาท่องจำ หนังสือนั้นอย่าเหยียบอย่าข้าม อย่านั่งทับหรือนอนทับ ขณะท่องอย่านอนหลับให้หนังสือทับคาอก จะทำให้ปัญญาเสื่อม
เมื่อจะท่องหรือจะใช้พระคาถาใด ๆ ทุก ๆ พระคาถา จะต้องตั้ง นะโม 3 จบก่อน
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ความหมายของคำว่า “คาถา”
แต่คาถาและวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบัน ยังมีนัยอีกหลายประการนัยแรกตรงกับความหมายของพระเวท ใช้อ้อนวอนเซ่นสรวงบูชาและขอพรอำนาจแม้แต่การเชื่อว่าเป็นรหัสที่ได้รับจาก เทพเจ้าเป็นพิชอักขระมีความหมายในตัวเองต้องท่องบ่นให้ถูกต้องทุกคำ ห้ามแก้ไขการเรียนควรเรียนจากปากเพื่อรักษาสำเนียงโบราณไว้ ซึ่งทำให้คาถาเพี้ยนอยู่ทุกวันนี้นัยที่สองเป็นสิ่งลึกลับ มีอำนาจและมีตัวตน ใช้ได้เหมือนเครื่องมือสำเร็จรูปคาถาเมตตาบริกรรมภาวนาแล้วเมตตา คาถาทรหดบริกรรมภาวนาแล้วอยู่คงคาถาทั้งปวงมีอาถรรพณ์ เรียนแล้วไม่เจริญ มีพลังสร้างโทษแก่ผู้ใช้ได้สามารถสูบตัวตนของอาคมได้ คล้ายกับตำนานอสูรสูบพระเวทของพระพรหมตอนหลับแผลงฤทธิ์วุ่นวายจนพระนารายณ์ ต้องอวตารไปปราบ เกิดเป็นคำว่าอาคมเข้าตัว (เข้าหัวใจเข้าสมอง) เป็นที่เกรงกลัวกันมากสำหรับคนเรียนคาถายุคใหม่ สับสนกับคำว่าของถ้าเข้าตัวแล้วจะทำให้อายุสั้น บ้าใบ้วิกลจริต ตาบอดฉิบหายตายโหง คล้ายกับผิดครู ซึ่งโบราณนั้นต้องการให้อาคมเข้าตัวอย่างที่สุดก่อนทำการใดๆ ท่านให้เรียกอาคม เรียกอักขระเข้าตัวก่อนเรียนวิชาต้องเรียนจนกว่าอาคมเข้าหนัง เนื้อ และกระดูกไม่มีใครเลยที่กลัวอาคมเข้าตัว แต่กลัวผิดครูถ้าใช้คาถาแล้วฉิบหายตายโหงทันตาแสดงว่าผู้เรียนนั้นใช้คาถา ไปในทางเลวอย่างแน่นอนเพราะกรรมไม่ใช่เพราะตัวอาคม การเรียกอาคมเข้าตัวนี้สนับสนุนว่า อาคม หมายถึงวิชาความรู้ แต่การสูบอาคมหรือคัดทิ้งแท้จริงเป็นการสูบปราณหรือลดพลังปราณคุ้มครองตัว ของฝ่ายตรงข้ามการจะทำได้ต้องมีปราณที่แข็งแกร่งทัดเทียมกันเป็นอย่างน้อย (ให้ศึกษาบทความเรื่องจิตและกายทิพย์) การให้โทษต่อสุขภาพร่างกายของปราณอย่างที่เรียกว่าอาคมเข้าตัวนั้นเกิดจาก การที่ปราณแตกกระจายหรือถูกกระแทกโดยปราณของผู้อื่นอย่างรุนแรงการกระทำ ย่ำยี การคัดของก็ใช้หลักการเดียวกันนี้
แรกเริ่มของการเรียนไสยศาสตร์ทั่วไปจะได้รับคาถาไหว้ครูบทไม่ยาวนักเพื่อ ฝึกความจำ จากนั้นจะได้รับคาถายาวขึ้น จนกระทั่งถึงโองการและแม่บทคัมภีร์ต่างๆ เมื่อเข้าใจเรื่องการใช้ภูต ปราณ และจิต อย่างคล่องแคล่วแล้วคาถาไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่อาจจะมีความเคยชินว่าในการใช้พลังจิตต้องมีคาถาบูรพาจารย์มักยกคาถา สั้นๆมาใช้ ดังคำว่าสูงสุดคืนสู่สามัญจากกระบวนท่าเป็นไร้กระบวนท่า คาถาที่ได้รับตอนแรกเรียนเช่น พุทโธ นะมะพะทะนะโมพุทธายะ ฯลฯจึงเป็นคาถาที่บูรพาจารย์นำกลับมาใช้แสดงฤทธิ์จนเลื่องลือถึงทุกวันนี้ เคยพบหลายท่านที่คล่องแคล่วในการวางอารมณ์และถ่ายปราณไม่ได้ใช้คาถาใดในการ แสดงวิชาเลย
เมื่อเข้าใจว่าการใช้คาถาเป็นองค์ภาวนาเพื่อสร้างกระแสจิต ในตนสร้างความเชื่อมั่น และโน้มน้าวจิตตามวัตถุประสงค์ เราจะพบเห็นการแปลงคาถา เช่นสวาหะ แปลงเป็นสวาหาย สวาหับ สวาโหม ฯลฯ การนำคำพ้องเสียงมาใช้โดยไม่สนใจความหมายเช่น อุทธังอัทโธ แปลว่า เบื้องล่างเบื้องบน นำมาใช้ในวิชามหาอุด เป็นต้นดังนั้นหลักใหญ่ของการใช้คาถาคือความสม่ำเสมอของอารมณ์ในขณะนั้น( ไม่ใช่ความนิ่งไร้อารมณ์)ความเชื่อมั่นไร้ความลังเลสงสัยในกระแสทั้งสามและ อำนาจของกระแสจิตในตนคาถาทั้งปวงจะขลังหรือไม่ขึ้นอยู่กับอุปาทานข้อนี้ และ ๑.อำนาจสัจจะ๒.อำนาจคุณพระและ ๓.อำนาจเคราะห์กรรม (พึงศึกษาบทความเรื่องคุณพระต่อไป) การใช้คาถาทั้งปวงเมื่อเข้าถึงคุณพระได้ ย่อมเกิดอานุภาพความยาวและความยากของภาษาที่ใช้มีผลต่อการเข้าถึงคุณพระพอ สมควรดังนั้นควรเลือกบทที่ชอบ จิตเกาะได้ดี อารมณ์สม่ำเสมอ หรือเกิดปีติ



ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก เวปไซต์แพนทาวน์ดอทคอมครับ

20
อีกไม่กี่ชม.ผมก็จะออกเดินทางไปวัดบางพระเพื่อไปร่วมงานครบรอบวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณ
หลวงปู่เปิ่น บูรพาจารย์ผู้เป็นที่เคารพบูชาของศิษย์อยู่เสมอ (คงได้เจอกับพี่ๆน้องๆสมาชิกเวปบอร์ดหลายๆท่าน) :001:
เลยนำภาพวัตถุมงคลของหลวงปู่บางส่วนที่ผมเก็บสะสมไว้ มาให้ชมกันบ้างครับ
ขออารธนาบารมีของหลวงปู่หิ่มและหลวงปู่เปิ่นคุ้มครองศิษย์วัดบางพระทุกท่านครับผม :054:



ภาพวัตถุมงคลบางส่วนครับ เดี๋ยวที่เหลือคงต้องทยอยๆลง :001:

21
ขออณุญาตนำมาให้พี่ๆน้องๆชาวเวปบอร์ดวัดบางพระได้ชมกันนะครับ
ลายยันต์หนุมานแบบที่ไม่ค่อยได้พบเห็นกันบ่อยเท่าไหร่นัก


ขออณุญาตนำมาเผยแพร่นะครับลายสักยันต์หนุมาน สายพ่อบุญรอด สุขแสงจันทร์ครับ
ปกติแค่แปดกรแผลงฤทธิ์ก็งามและดูน่าเกรงขามแล้ว นี่กี่กรนับกันเอาเองครับ :095:
ที่มาจาก เวปไซต์กลุ่มลูกศิษย์พ่อรอดครับ


ผ้ายันต์หนุมานสายเหนือกันบ้างครับ


แผลงฤทธิ์เต็มที่ น้าวศรครับ นานๆจะพบเห็นซักที :050:

ขอบคุณที่มาจาก เวปไซต์พลังจิตดอทคอมนะครับผม

22
ภาคต่อครับ หุๆ ไปกราบนมัสการหลวงปู่ทวด องค์ใหญ่ที่สุดในโลก
ที่วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ครับ เป็นวัดที่ใหญ่มากๆแต่ก็เข้าไปลึกพอสมควรเลยครับ



ผู้คนมากมาย แม้แต่ฝรั่งมังค่า ยังอึ้ง!!! กับความใหญ่โตขององค์หลวงปู่ครับ  :095:


ปิดทองและกราบขอพรรูปหล่อองค์เล็กของหลวงปู่ที่อยู่ด้านข้างขององค์ใหญ่ครับ :054:




บรรยากาศของวัดครับ


กราบนมัสการหลวงปู่บนหลังช้างมงคลทั้งสองเชือกครับ ชื่อพลายมงคล กับพลายเจริญ
มีการลอดท้องช้างเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วยครับ  :016: :054:


ช้างสองเชือกแกะจากไม้มงคลหลายชนิดแล้วนำมาประกบติดกันเป็นตัวช้างครับ สวยงามมากๆ งาทองเสียด้วย :053: :009:


กราบหลวงปู่เพื่อความเป็นสิริมงคล :027:


ร่วมทำบุญกับพลายเจริญครับ


ความหมายของคำว่า "วัตถุมงคล" ครับ ลองอ่านกันดู อิอิ :002:


แวะเติมน้ำมันเลยเอาซะหน่อย  :003:


ออกจากหัวหิน มาเพชรบุรีครับ วัดใหญ่สุวรรณาราม


วัดใหญ่สุวรรณารามเป็นวัดที่มีอายุเก่าแก่มากครับ คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
แล้วได้ทำการบูรณะมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันครับ


ธรรมมาสน์เก่าแก่สมัยอยุธยาครับ


สํญลักษณ์นี้คืออะไรใครทราบบ้างครับ  :095:


กราบพระก่อนเข้าโบสถ์ครับ :001:


 :054:


พระรัตนตรัยคือที่พึ่งสูงสุดของเรา :050:


กราบหลวงพ่อพระประธานในพระอุโบสถครับ :054:


สมเด็จพระสังฆราชแตงโม (ทอง) ผู้บูรณะวัดนี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาครับ
และสันนิษฐานว่าเป็นที่มาของชื่อวัดด้วยครับ เพราะสุวรรณตรงกับชื่อของท่านคือ "ทอง" ครับ
เหตุที่ได้ชื่อว่าสมเด็จเจ้าแตงโม เพราะตอนเด็กๆท่านเป็นเด็กวัดลงไปเล่นน้ำกับเพื่อนๆ ได้เห็นเปลือก
แตงโมลอยน้ำมา เลยคว้ามาแล้วดำลงไปกัดกินด้วยความหิวโหยครับ เพื่อนๆเลยพากันเรียกล้อท่านว่า
"แตงโม" ตั้งแต่บัดนั้น......


ทวารบาลครับ


จุดเด่นของวัดนี้ครับ ภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ ฝีมือช่างสมัยอยุธยาแท้ๆครับ
ลงสีด้วยสีฝุ่นแบบโบราณ มีความอ่อนช้อยสวยงามมากๆครับ


ขอแบบ ขลังๆ ซักนิดนะ^ ^


ภาพนายทวารบาลบนบานประตูพระอุโบสถครับ สวยงามมากๆเป็นอีกจุดเด่นของที่นี่ครับ


ดูแล้วดูมีมนต์ขลังมากๆครับ

ก็จบลงแล้วครับ สำหรับlong weekend ของผมกับครอบครัว ขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกๆท่าน
ที่ติดตามชมมาตั้งแต่ภาคแรกนะครับ ขอบคุณมากครับ
               ด้วยความเคารพ            
            ศิษย์วัดบางพระชั้นปลายแถว นายหลังแดง ก๊อตคุง

23
พอดีเป็นช่วง long weekend ผมและคุณปู่คุณย่า(พ่อใหญ่ แม่ใหญ่)
เลยได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนกันครับ สามจังหวัด
กาญจนบุรี เพชรบุรี และหัวหิน เลยนำรูปบรรยากาศระหว่างทริป
มาแบ่งให้พี่ๆน้องๆได้รับชมกันครับผม  :009:


รูปเจ้าช้างพัง ก่อนถึงทางเข้าบ้านคุณปู่่คุณย่าที่เมืองกาญจน์ครับ
ขับรถผ่านเห็นมันกำลังกินอาหารอยู่พอดี  :005:


บรรยากาศที่หัวหินครับ  :002:


ท้องฟ้าสีสวยมากๆ ครับไม่มีเมฆบังเลย






ภาพนี้ลองถ่ายเป็นแบบ ซีลูเอต หรือภาพเงาย้อนแสงดูน่ะครับ  :095:


แม่ใหญ่ กับปูเสฉวนตัวน้อยๆ


ไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดเขาตะเกียบครับ


ทางขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ คนอ้วนๆขึ้นบ่อยๆผอมแน่นอนครับ


พ่อปู่ชีวก กับบรรดาเจ้าลิงจ๋อครับ ที่วัดเขาตะเกียบนี่ มีลิงอยู่ประมาน 600 กว่าตัว เยอะมากๆครับ




เห็นภาพนนี้แล้วอดนึกถึง รูปจิตกรรมฝาผนังที่เป็นลิงดูดสมุนไพรไม่ได้ครับ ฮ่าๆๆหน้ามันได้อารมณ์เหมือนกันเลยเนอะ :007:


เจ้าจ๋อตัวน้อย หน้าตาบ้องแบ๊ว อิอิ


เจ้าตัวนี้แสนรู้มากครับ เชื่องมากด้วย สามารถขออาหารกินเองได้ ฉลาดไม่เบาเลย


แม่ลิงและลูกน้อย


เจ้าลิงน้อยครับ น่าจะอายุไม่ถึงสองสัปดาห์ยังติดนมแม่อยู่เลย  :095:


หลับตาพริ้มกำลังปีนป่ายอย่างมีความสุข ตามประสาลูกหลานหนุมาน หุๆ :095:


ความสัมพันธ์ระหว่างลิงกับคนที่วัดเขาตะเกียบครับ ลิงที่นี่เชื่องน่ารักมากๆ ไม่ค่อยดุเหมือนที่อื่น


ลงจากเขาแวะซื้อของฝากครับ


ปลาอินทรีหอม สองตัวนี้ แม่ผมเหมาหมดครับ :005:


ยาบำรุงกำลังของชาวเลเขาหละ อิอิอิ :006: :003:


กุ้งตัวใหญ่ๆถาดนี้ อร่อยมากครับมีบริการต้มให้ฟรี พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด อร่อยมากๆครับ


หมาน้อยเฝ้าโป๊ะ กันคนขโมยกุ้งหอยปูปลา ฮ่าๆๆๆ


วิถีชีวิตชาวประมงครับ


หลวงปู่คำ วัดหนองแก พระผู้เป็นที่พึ่งของชาวหัวหินตลอดกาลครับ :054:


หมู่บ้านชาวประมงครับ บริเวณเชิงเขาตะเกียบ


ก่อนถึงหัวหินแวะวัดพระทรง กราบนมัสการหลวงปู่แล
เลยได้วัตถุมงคลกลับบ้านนิดหน่อยครับ ^ ^ :011:


รวมๆครับ ถ่ายตอนมืดแล้วที่บ้านพัก แสงน้อยด้วยถ้าไม่ชัดขออภัยนะครับ
จบภาคแรกครับ เดี๋ยวมีต่อภาคสองจร้า

24
มาต่อกันเลยครับ พอดีเมื่อวานโพสแล้วง่วงมากเลยต้องขอตัวไปนอนก่อนหุๆ  :003:

ภาพบรรยากาศยามเช้าตรู่ของวัดบางพระเราครับ หลวงพี่รูปต่างๆท่านก็กำลังออกบิณฑบาตกันอยู่เลยครับ :054:



ฟ้ายังไม่สว่างเท่าไหร่เลย :010:


ถ่ายรูปอยู่ เจอพี่โด่ง ศิษย์หลวงพี่ญา เดินมาถามผม
"น้องๆเอาเต่าไหม ผมจับได้สามตัว" ก็เลยทำบุญซื้อเขามาหมดเลยครับ  :079: :075:


พระอาทิตย์กำลังขึ้นที่ริมแม่น้ำครับ


กำลังจะปล่อยเต่า เจอเจ้าตัวนี้พอดี เลยพึ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้เขานิยมปล่อยกบ สะเดาะเคราะห์กันด้วย :095:


เอาใจแก๊งวานรครับ




กราบนมัสการรูปหล่อ หลวงปู่เปิ่นครับ :054:




วันนี้พ่อปู่ท่านมีคนนำบุหรี่มาถวายแล้วนะครับ ^  ^


เจ้าหมาน้อยแสนรู้ เห็นผมเดินอยู่รีบวิ่งเข้ามาคลอเคลียเลยครับ น่ารักมากๆ


คุณลุงท่านนี้ตื่นมากวาดวัดแต่เช้าเลยครับ อนุโมทนาสาธุด้วยนะครับผม :054: :016:

ก็คงหมดแล้วครับสำหรับรูปบรรยากาศควันหลง วันงานอุปสมบทพี่เก่ง สิบทัศน์หรือหลวงพี่เก่งของเรา
เดี๋ยวกระทู้หน้าจะนำรูปที่ไปเที่ยวที่เพชรบุรี มาฝากกันนะครับพี่ๆน้องๆทุกท่าน  :002:

25
ผมหายไปหนึ่งอาทิตย์ เลยไม่ได้นำรูปลงโพสตั้งแต่ช่วง
งานบวชในช่วงแรกๆ ขออภัย ด้วยนะครับ หวังว่ายังคงไม่สายไป
แหะๆ พอดีออนทัวร์เที่ยวยาวกับที่บ้านน่ะครับ :095: เลยหายหน้าไปนานเลย

มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ รูปบรรยากาศ งานวันอุปสมบทพี่เก่ง ซึ่งตอนนี้
ท่านเป็นหลวงพี่เก่งของพวกเราไปแล้ว กราบนมัสการหลวงพี่ครับผม :054:


เริ่มกันตั้งแต่หน้าประตูพระอุโบสถเลยนะครับ  :095:








ถ่ายรูปรวมสมาชิกที่ไปช่วยวันงาน เป็นที่ระลึกครับผม


กราบนมัสการครับหลวงพี่ :005: :054:


ตากล้องแวะกินข้าวก่อนนะครับ หุๆ ก๋วยเตี๋ยวเป็ดริมท่าน้ำ :095:


หลังจากงานบวชก็ชวนเพื่อนเอ็ม (เอ็มไร่ขิง) ไปกราบนมัสการหลวงพี่ญาครับ


พี่ท่านนี้ สักที่วัดบางพระทั้งตัวครับ น่านับถือมากๆในความอดทนครับ :016:


สักสาริกาที่ท้องแขนครับ ฝีเข็มหลวงพี่ญา


ศรัทธาของพี่เค้าที่มีต่อหลวงปู่เปิ่นไม่เคยเสื่อมคลายครับ  :001: :016: :015:


ทายซิว่าใครเอ่ย?????? :095:


ระหว่างรอครับ


ลวดลายแห่งศรัทธา...........


และแล้วก็ถึงคิวผม หลวพี่ญาเมตตาให้มาครับ :095:


หลังจากนั้นก็กราบลาหลวงพี่ญา ไปสักกับท่านอาจารย์หนวดต่อครับผม :005:


เพื่อนเอ็ม เปิดก่อนครับ ผมกลัวเจ็บ แหะๆ :075:


ขาของเพื่อนเอ็มครับ ปลัดจิ้งจกได้รับความเมตตาจากหลวงพี่ญา ส่วนอีกยันต์เป็นของท่านอาจารย์หนวดครับปั๊มแบบก่อนสัก :095:


ที่กุติหลวงพี่ต้อย ได้พบกับหลวงพี่เก่ง และพี่เจมส์ คนรักษ์พระด้วยครับ


และแล้วก็ถึงคิวของท่านต้นน้ำ เพื่อนผู้เซอร์มากๆของผม :005:


ลวดลายแห่งความศรัทธา.......... :053: :016:


หนุมานสี่กร บนแขน ท่านต้นน้ำ สวยงามมากๆครับ

ชักง่วงครับพี่น้อง เดี๋ยวมาต่อกันภาค 2 ดีกว่า ตอนนี้ขอเวลาไปอาบน้ำ พักผ่อนก่อนนะครับ :061:............

26


"หลวงพ่อขัน อินทปัญโญ" วัดนกกระจาบ ต.วัดนก อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ถือเป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าแห่งอำเภอบางบาล มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเรื่องวิทยาคม วัตถุมงคลของท่านที่ได้รับความนิยมมีหลายชนิด อาทิ เชือกคาดเอว เสื้อยันต์ ผ้ายันต์ ส่วนของพระเครื่องที่นิยม ได้แก่ เหรียญเสมาหูเชื่อม ปี 2480 มีเนื้อเงิน และทองแดง เหรียญหล่อก้นแมลงสาบ เนื้อสัมฤทธิ์ เป็นต้น

อัตโนประวัติ หลวงพ่อขัน อินทปัญโญ เกิดในสกุล คงสุขี เมื่อปี พ.ศ.2415 ตรงกับขึ้น 8 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ที่ ต.วัดยม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายชื่น และนางส่วน คงสุขี เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คน ในปีที่ ด.ช.ขัน ถือกำเนิด ครอบครัวมีฐานะดีขึ้น ทำกิจการงานประสบผลสำเร็จ ทำให้โยมบิดา-มารดา รักใคร่เอ็นดูบุตรชายคนโตยิ่ง

เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดวังตะโก จ.พระนครศรีอยุธยา ตรงกับ พ.ศ.2435 โดยมีพระพุทธวิหารโสภณ (อ่ำ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ส่วนนามพระอุปัชฌาย์ ไม่ทราบชัด ได้รับฉายาว่า "อินทปัญโญ"
 
ภายหลังอุปสมบทได้อยู่จำพรรษา 3 พรรษา ท่านออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมะ ศึกษาเพิ่มเติมจากพระธุดงค์ที่อยู่ในป่าลึก เมื่อท่านเดินทางกลับ ปรากฏว่า วัดญาณเสนว่างสมภาร ชาวบ้านพร้อมใจกันนิมนต์ท่านไปเป็นสมภารได้ 3 พรรษา และย้ายมาอยู่จำพรรษาวัดนกกระจาบ และที่วัดนกกระจาบนี้เอง ชื่อเสียงของท่านโด่งดังขจรขจายไปทั่ว การปฏิบัติและปฏิปทาของท่าน น่าเลื่อมใสเคร่งในธรรมวินัย ไม่สะสมทรัพย์สมบัติ ยึดสันโดษ หลวงพ่อขัน ได้มีโอกาสไปกราบและขอฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่ออ่ำ วัดวงฆ้อง และยังเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จนมีโอกาสได้รู้จักและคุ้นเคยกับกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นอย่างดี ในฐานะศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน

หลวงพ่อขัน เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ชาวอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือมาก ใครได้สักยันต์กับท่านและทำตามข้อกำหนดของท่าน จะมีแต่ปลอดภัยแคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพัน จนได้รับการกล่าวขวัญจากชาวกรุงศรีอยุธยาว่า "ใครที่สักยันต์และบูชาเหรียญของหลวงพ่อขัน จะถูกฟันถูกตีก็ไม่ต้องกลัว"

ครั้นหนึ่ง ลูกศิษย์ของหลวงพ่อขัน ถูกนักเลงถิ่นอื่นดักทำร้ายทุบตี แต่ปรากฏว่า ตีเท่าไรก็ไม่แตก ไม่เจ็บ ไม่บอบช้ำ สร้างความประหลาดใจให้กับนักเลงถิ่นอื่นเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อขัน นิยมให้หลวงพ่อสักยันต์บ้าง ลงกระหม่อมบ้าง ปรากฏในทางคงกระพันชาตรีเป็นเยี่ยม

หลวงพ่อขัน เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยชอบเดินธุดงค์ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามป่าดงยึดสันโดษ ไม่สะสมทรัพย์ ทำให้มีสาธุชนให้ความเลื่อมใสศรัทธามาก
สำหรับวัตถุนิยมของหลวงพ่อขันที่ได้รับความนิยมสูง คือ เหรียญรูปตัวท่าน เป็นเหรียญเสมานั่งเต็มองค์ ด้านล่างมีข้อความว่า "พระอาจารย์ขัน" หูเชื่อม เป็นเหรียญที่สวยงามและมีราคาเช่าบูชากันแพงมาก

ด้านวัตถุมงคลเนื้อดินเผาที่รู้จักกันแพร่หลายเป็นที่โด่งดังทั่วไป คือ พระเนื้อดินเผาพิมพ์แซยิดและพิมพ์นางพญาฐานผ้าทิพย์ โดยไม่ทราบปีที่สร้างแน่นอนเช่นเดียวกับวัตถุมงคลอื่นๆ ยกเว้นเหรียญรุ่นแรกรุ่นเดียวที่ทราบ เพราะบนเหรียญรุ่นแรกนี้ จะมีระบุปีที่สร้างแน่นอน คือ พ.ศ.2407 แต่มีหลักฐานที่บันทึกไว้ว่าสร้างในช่วงเดียวกันกับเหรียญรุ่นแรก พระดินเผานี้ เป็นพระที่มีพุทธศิลป์สวยงามมาก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

หลวงพ่อขัน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกับพุทธศาสนิกชนทั่วไป กระทั่งถึงปี พ.ศ.2486 ท่านได้มรณภาพลงอย่างสงบด้วยสติสัมปชัญญะที่ครบบริบูรณ์ สิริอายุได้ 72 ปี พรรษาที่ 52


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก เวปไซต์มติชน ดอทคอมครับ
 
ปล หายไปนานเลยผม ช่วงนี้ติดเรียนน่ะครับ วันนี้ว่างๆเลยนำเรื่องราวดีๆมาโพสให้พี่ๆน้องๆ
ได้อ่านกัน หวังว่าคงยังไม่เบื่อกันนะครับ
 :001: :095:

27
ก่อนเปิดเรียน เลยหาวันว่างๆไปอยุธยาเสียหน่อยครับ
ไปวัดหน้าต่างนอกกราบครูบาอาจารย์ที่เคารพรัก คือหลวงปู่จง พุทธสโร
อดีตเทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย และหลวงปู่แม้น อาจารสัมปันโน
อีกหนึ่งครูบาอาจารย์ที่ผมรักและเคารพยิ่งครับ  :001:

มาชมภาพบรรยากาศในวัดกันเลยครับ   :002:


ก่อนเข้าไปข้างใน


กราบนมัสการพ่อปู่นารอท ครับ


เศียรครู




พ่อปู่นารอท องค์ประธานครับ






เศียรนี้เป็นเศียรครูที่ใช้ครอบให้กับศิษย์ครับ :054:


เศียรครูเก่าครับปั้นด้วยมือเดิมๆ :001: :054:


กราบนมัสการรูปหล่อหลวงปู่จง ครับ :054:


 :054:


สถูปที่เก็บรักษานิ้วของหลวงปู่ที่ไม่เน่าเปื่อยครับ (ตอนท่านมรณะใหม่ๆมีคนถึงขนาดตัดเก็บเอาไปเลี่ยมห้อยคอ :075:) :054:


รูปหล่อหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค


รูปหล่อหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด


อัตชีวประวัติของหลวงปู่จง








ประมวลภาพวัตถุมงคล สมัยที่หลวงปู่จงท่านยังทรงสังขารอยู่ครับ


คาถาบูชาหลวงปู่จงครับ :054:




ตัวเลขแห่งโชคลาง


ใครรู้บ้างว่านี่คืออะไรครับ  :095:


ปลาตะเพียนเงิน ตะเพียนทอง




กราบนมัสการหลวงปู่ที่เมตตาศิษย์คนนี้มาเสมอ ก่อนกลับเลยขอท่านถ่ายรูปซักหน่อย
หลวงปู่ท่านยิ้มครับ ท่านถามว่า "เอางั้นเลยเรอะลูก" หุๆๆๆ :095:


จำนวนพานที่มีคนมาทำพิธีสะเดาะเคราะห์กับท่านเสมอๆครับ  :001:


กุติเก่าที่หลวงปู่จงท่านใช้จำวัดครับ


ทำบุญซื้อปูนซีเมนต์ถวายวัดครับ :002:(ปูนเล็กๆไซส์มินิ)  :009:




แม่ชีท่านนี้ผมเรียกท่านว่าคุณยายครับ (อายุแปดสิบกว่าแล้ว แต่ท่านยังแข็งแรงยิ้มเก่งอารมณ์ดีเสมอๆ)
เวลาผมกับครอบครัวไปทำบุญที่วัดทีไร คุณยายท่านจะให้ศีลให้พร ให้ข้อคิดดีๆกลับมาเสมอๆครับ  :054: :001:


Come back Home!!!!!!!

28
ท่านเป็นพระที่คนพื้นที่เคารพนับถือมากๆครับ สำหรับพระอาจารย์ทองดีท่านนี้
ท่านเป็นพระอุปฌาช์และเป็นอาจารย์ของคุณปู่ของผมครับ


เหรียญนี้เป็นเหรียญยอดนิยมของท่านครับ (เครดิตรูปและข้อมูลจากเวปไซต์ siam amulet ครับ)

เหรียญหลวงปู่บุตร วัดใหม่บางปลากด ออกในพิธีเดียวกันครับ



ด้านหลังครับ (เหรียญหลวงปู่บุตรจะออกสองวัดครับ วัดแรกคือวัดบางปลากด
นิยมมากราคาค่อนข้างแพงครับ ส่วนอีกวัดคือออกวัดบางด้วน ราคาเบากว่า
ที่ออกที่วัดบางปลากดมาก แต่หลวงปู่บุตรท่านเสกเหมือนกันครับ)

นอกจากพระเหรียญ ยังมีพระกริ่ง และพระเนื้อผงด้วยครับ
พระเนื้อผงนั้นมีหลายพิมพ์หลายแบบมากๆ เนื้อหาและมวลสาร
เท่าที่ฟังจากปากของคุณปู่ผม(ท่านเป็นคนตำมวลสารและช่วยกดพิมพ์พระ) ท่านยืนยันว่ามีส่วนผสมของ
สมเด็จวัดระฆังนำมาตำป่นอยู่ด้วย
ครับ และผสมด้วยผงเกษรดอกไม้108 และ
ผงวิเศษต่างๆของท่านอาจารย์ทองดีที่ท่านเก็บรวบรวมไว้ครับ พระชุดนี้
ปู่บอกว่า "ซื้อไม่ขาย ขอไม่ให้" ครับ ถึงเวลาพระอาจารย์ทองดี
ท่านจะแจกเองครับ ไม่มีการคิดมูลค่าแต่อย่างใด ตอนปลุกเสกพระชุดนี้เสร็จใหม่ๆ มีคนนำไปลองยิง
จ่อระยะเผาขนแต่ยิงไม่ออกครับ พระจึงหมดจากวัดไปอย่างรวดเร็ว


พระผงสมเด็จอรหัง วัดบางด้วน (เป็นพิมพ์ที่หายากและได้รับความนิยมสูงสุด มีการปลอมแปลงครับ)


ด้านหลังครับ พระสมเด็จอรหังองค์นี้ เป็นองค์ที่ผมติดตัวบ่อยที่สุดครับ เป็นองค์ประธานของสายสร้อย
ที่คล้องคออยู่ ประสบการณ์ด้านแคล้วคลาดสูงมากครับ

รายละเอียดของพระชุดนี้ครับ
!!!!! เหรียญพระสมุห์ทองดี สุวรรณโชติ !!!!!
เนื้อทองแดง กะไหล่ วัดบางด้วนนอก พศ.2493
สุดยอดเหรียญที่คนท้องที่หวงและหายากสุดดดดๆ
ประสบการณ์สูง...แคล้วคลาด....คงกระพันชาตรี....
พุทธาภิเษกพิธีใหญ่มาก เกจิที่มาร่วมพิธี
- หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว,
- หลวงปู่บุตร วัดใหญ่บางปลากด,
- หลวงพ่ออยู่ วัดบางหัวเสือ,
- หลวงพ่อยุ้ย วัดเปร็ง,
หลวงพ่อทองดี วัดบางด้วนนอก
ฯลฯ
หลวงพ่อทองดี สุวรรณโชติ ท่านเป็นลูกศิษย์
"หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา "(ประวัติจากหนังสือ วัดบางด้วนนอก )
เรื่องเขี้ยวเรื่องงาหายห่วงร่วมด้วย ครับเรื่องสุนัขกัดไม่เข้านี่
เป็นที่แน่นอนและชัดเจนสำหรับคนในพื้นที่มากๆครับ

ปล พบเจอที่ไหนอย่าพลาดกันนะครับ ราคาไม่ถือว่าสูงมากเท่าไหร่ แต่พุทธคุณนั้นเชื่อถือได้แน่นอนครับผม :001:

29
หลวงพ่อรวยวัดตะโก



หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก วัดตะโก ต.ดอนหญ้านาง อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา
 
หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก เป็นหนึ่งพระเกจิอาจารย์แห่งกรุงเก่าเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ เมืองร่องรอยประวัติศาสตร์การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ อุดมไปด้วยพระเกจิอาจารย์นับตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่กล่าวขานศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป
หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก หรือในสมณศักดิ์พระราชทินนามที่ พระครูสุนทรธรรมนิวิฐ เจ้าอาวาสวัดตะโก ต.ดอนหญ้านาง อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระเกจิอาจารย์แนวหน้าในยุคนี้ที่งดงามด้วยปฏิปทาศีลวัตรสัจคุณ ดำรงสมณเพศอย่างสมถะ เป็นพระนักปฏิบัติมากว่าที่จะเป็นพระธรรมกถึกทั้งเป็นพระนักพัฒนาทำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วัดตะโก ท่านได้สืบทอดพุทธาคมมาจาก หลวงพ่อชื่น วัดภาชี ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งสืบทอดวิชาพุทธาคมมาจากหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ผู้เป็นพระบุรพาจารย์ที่โด่งดังเลื่องลือกิติศัพท์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งสืบสายพุทธาคมโดยตรงจากหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ ที่เชี่ยวชาญวิชาอาคมโดดเด่นในด้านเมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรีเป็นหนึ่งอีกด้วย

กิติคุณชีวประวัติ ชาติภูมิ   
 หลวงพ่อรวย ถือกำเนิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๔ (ปัจจุบัน ๒๕๕๐ หลวงพ่อรวย เจริญสิริอายุครบ ๘๖ ปี ๗๐ พรรษาร่มกาสาวพัสตร์) เป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำนวนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๘ คน (ชาย ๓ หญิง ๕) ของคุณโยมบิดา มี โยมมารดา สินลา ศรฤทธิ์ (บรรพบุรุษของสกุลศรฤทธิ์นี้ เป็นเชื้อสายชาวกรุงศรีสัตนาคนหุต) ณ บ้านตะโก หมู่ที่ ๒ ต.ดอนหญ้านาง อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา   

ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น 
ชีวิตในปฐมวัยมีความเป็นอยู่เหมือนๆ กับเด็กในชนบททั่วไป คือได้ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบอาชีพทางด้านเกษตรอันถือได้ว่าเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำมาแต่บรรพชน ทั้งช่วยเหลือเลี้ยงดูเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย มาโดยตลอด
ส่วนการศึกษาเมื่ออายุได้ ๑๒ ปี ได้เข้ารับการศึกษาเบื้องต้นในโรงเรียนวัดตะโก เพราะเด็กๆ ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนประถมศึกษาของทางราชการในละแวกตำบลดอนหญ้านาง ต้องอาศัยพระสงฆ์เป็นครูสอนบนศาลาการเปรียญของวัด จนมีความรู้อ่านออกเขียนได้ มีความรู้เทียบได้ชั้นประถมปีที่ ๔ ก็ออกจากโรงเรียน   

 สู่เพศพรหมจรรย์
เมื่ออายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดตะโกโดยมีพระสมุห์บุญช่วย เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ ในที่ครองเพศพรหมจรรย์ ท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยในด้านพระคันถธุระ (พระปริยัติธรรม) สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี
อายุครบบวช ราว พ.ศ.๒๔๘๔ ก็อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดตะโก โดยมีพระครูสุนทรธรรมนิวิฐ (หลวงพ่อชื่น) เจ้าอาวาสวัดภาชี เจ้าคณะอำเภอภาชีเป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดจ้อย เจ้าอาวาสวัดวิมลสุนทร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์บุญช่วย เจ้าอาวาสวัดตะโก(ในสมัยนั้น) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมณฉายาว่า ?ปาสาทิโก"?ครั้นอุปสมบทแล้ว อยู่จำพรรษาที่วัดตะโกเรื่อยมาได้ศึกษาด้านคันถธุระพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม จนสอบได้นักธรรมชั้นโท ใน พ.ศ.๒๔๘๕ และสอบได้นักธรรมชั้นเอกใน พ.ศ.๒๔๘๗
สืบทอดพุทธาคม   

 หลังจากจบนักธรรมเอกแล้ว ท่านคิดว่าเพียงพอสำหรับด้านคันถธุระแล้ว เพราะพระที่อยู่ตามชนบทบ้านนอกพอที่จะรักษาพระธรรมวินัยเพศพรหมจรรย์ให้รุ่งเรืองและเป็นนำสอนชาวบ้านบ้านได้แล้ว ท่านก็หันมาสนใจทางด้านวิปัสสนาธุระโดยมองเห็นประโยชน์ในด้านการปฏิบัติ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ออกเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาเรียนพระกรรมฐานกับครูบาอาจารย์เก่งๆ ในยุคนั้น อาทิเช่น   

 ๒.หลวงพ่อแจ่ม วัดแดงเหนือ เชี่ยวชาญเวทมนต์คาถาอาคม ได้ถ่ายทอดสรรพวิชาให้หลวงพ่อรวยทุกอย่าง อาศัยความขยันหมั่นเพียรและความตั้งใจมุ่งมั่นจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนวิชาที่เล่าเรียนปฏิบัติเข้มขลังในพลังแห่งวิทยาคมสูงส่ง

กิตติคุณ
เป็นพระเกจิที่เปี่ยมเมตตาธรรมสูง มีความเป็นอยู่อย่างสมถะ เชี่ยวชาญสรรพเวทวิยาคม วัตถุมงคลเข้มขลังเปี่ยมพลังพุทธคุณมากประสบการณ์ แคล้วคลาดนิรันตราย และเมตตา มหานิยม โชคลาภ เป็นหนึ่ง
คาถามหาลาภ   

๑.หลวงพ่อชื่น วัดภาชี อยุธยา เชี่ยวชาญด้านวิปัสนากรรมฐานที่สืบทอดพุทธาคมมาจากหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ เป็นที่รู้จักกันดีในยุคนั้นซึ่งมีศิษย์ที่ศึกษาวิชาจากหลวงพ่อกลั่นมากมายอาทิเช่น หลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่ออั้น หลวงพ่อเภา หลวงพ่อศรี หลวงปู่ดู่ และหลวงพ่อชื่น ศิษย์หลวงพ่อกลั่นที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ปัจจุบันได้มรณะภาพไปหมดแล้วซึ่งแต่ละองค์ล้วนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างดี

คาถามหาลาถ
สัมพุทธชิตา จะ สัจจานิ เกรัตสะ พระพุทธชิตา สัพพโส คุณะวิภา สัมปัตโต นะรุตตะโม มหาลาภัง ภวันตุ เม


ขอบคุณข้อมูลจาก เวปไซต์พลังจิต นะครับผม

ใครผ่านไปจังหวัดอยุธยา ถ้ามีเวลาก็แวะไปกราบนมัสการหลวงพ่อรวยท่านด้วยก็ดีนะครับ
ท่านถือว่าเป็นพระจริง พระแท้ที่กราบได้สนิทใจอีกรูปหนึ่งของอยุธยาครับผม :001:

30
ไม่ได้ไปกราบหลวงปู่แย้มท่านนานพอสมควร เลยขอนำรูปเหรียญของท่าน
มาลงให้หายคิดถึงไปพลางๆก่อนนะครับ  :009:


ด้านหน้าครับ เป็นรูปหลวงปู่แย้ม

ด้านหลังเป็นรูปหลวงปู่เต๋ พระเถระผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งดอนตูม :054:

เหรียญนี้เป็นเหรียญของวัดสามง่ามเหรียญแรกที่ผมมีครับ ตอนไปกราบหลวงปู่แย้มท่านครั้งแรก
ก็ได้เช่าเหรียญนี้มา เป็นเนื้ออัลปาก้า หลวงปู่แย้มท่านก็เมตตาจารอักขระให้ทั่วเหรียญเลย
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงปู่มา ณ ที่นี้ด้วยครับ :054:

31

กราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพยิ่งครับ

   ?หลวงปู่หนู ฉินนกาโม? ชื่อเดิมว่า ?หนู เจริญวิทยา? เกิดเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ ที่หมู่ ๕ ต.หนองโพ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โยมบิดาชื่อ ?นายฮง? มารดาชื่อ ?นางบาง? จบชั้น ป.๔ โรงเรียนวัดหนองโพ แล้วช่วยบิดา-มารดาทำงานทางบ้าน จากนั้นได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดหนองโพ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้ นักธรรมโท แล้วหันมาสนใจวิชาทางไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถา พุทธาคม จึงไปเรียนวิชาการต่าง ๆ กับ หลวงพ่อหลาบ วัดเนินตอ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี จนเชี่ยวชาญจึงไปเรียนกับ หลวงพ่อหลุง วัดทุ่งสมอ อีก ๓ ปี กระทั่งอายุครบบวชในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงทำการอุปสมบทที่ วัดใหม่เจริญผลโดยมี หลวงพ่อปลิว เป็นพระอุปัช ฌาย์แล้วไปจำพรรษาที่ สำนักสงฆ์วัดเขาคร้อ หนึ่งพรรษาจึงไปเรียนวิชา พุทธาคมและวิปัสสนากับ ?หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน? จ.สุพรรณ บุรี จากนั้นก็ไปเรียนวิชากับ ?หลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยาง, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นคร ปฐม? ซึ่งระหว่างเรียนวิชากับ ?หลวงพ่อแช่ม? ได้พบกับศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงพ่อแช่มที่มาเรียนด้วยคือ ?หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม? จ.นคร ปฐม จากนั้นจึงไปจำพรรษาที่ สำนักสงฆ์เขาคร้อ จนคณะสงฆ์เห็นในศีลาจารวัตรของท่านเหมาะสม จึงนิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาส วัดกระต่ายเต้น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี อยู่ได้ไม่นานมีความเบื่อหน่ายกับการบริหารจัดการวัดร่วมกับกรรมการจึง ลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตฆราวาสอยู่ที่ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ระหว่างเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๐๒ จึงได้ตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง ณ วัดกุฎบางเค็ม อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี โดยมี พระครูเกษมสุตคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเปรย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ?ฉินนกาโม? ละไปจำพรรษาปฏิบัติธรรม ณ วัดไทยธรรมาราม อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ๕ พรรษาจึงกลับมา วัดกุฎบางเค็ม ชาวบ้านทุ่งแหลมเลื่อมใสในศีลาจารวัตร จึงนิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่ วัดทุ่งแหลม อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี โดยได้ทำการพัฒนาวัดทุ่งแหลมจนเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับมา ระหว่างอยู่วัดทุ่งแหลมนี้เองมีประชาชนเลื่อมใสศรัทธามาก จึงได้สร้างมงคลวัตถุออกแจกจ่ายมากมายหลายรุ่นและมีประสบการณ์มากมาย

จวบจนถึง วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ จึงมรณภาพอย่างสงบ คงทิ้งไว้แต่อนุสรณ์แห่งความดีงามและมงคลวัตถุตลอดจนสังขารที่ไม่ เน่าเปื่อย ทางวัดได้ใส่หีบแก้วไว้ให้เป็นที่พึ่งทางใจแก่ผู้เลื่อม ใสศรัทธาต่อไป
(ขอขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารลานโพธิ์).
-----------------------------------------------


เหรียญรุ่นแรกของท่านครับ มีประสบการณ์เป็นที่นิยมกันมากครับ เช่าหากันในราคาสูงพอสมควร

เล่าประสบการณ์
?ระเบิด? นับเป็นอาวุธร้ายแรงในการ ?ทำลายล้าง? ที่กฎหมายในประเทศไทยระบุให้ใช้ได้เฉพาะ ?หน่วยงานราชการ? ที่มีภารกิจทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายหรือในยาม ?เกิดสงคราม? เท่านั้น เพราะฤทธิ์เดชของมันสามารถสร้าง ความ เสียหาย ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งข้าวของในวงกว้าง หรือสรรพชีวิตของผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงให้ราบเรียบได้ ด้วยฝีมือแห่งประดิษฐกรรมทางวิทยาศาสตร์ แต่ในทางตรงกันข้ามฤทธิ์เดชของระเบิดที่แม้จะร้ายแรงปานใด ก็ไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่อผู้ที่มี ?พุทธบารมี? ได้อย่าง ?เหลือเชื่อ? ก็มีให้เห็นอยู่เสมอจึงนับเป็นเรื่อง ?เหนือลิขิต? ประกาศิตฟ้าดิน?? ดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังรายละเอียดที่จะนำเสนอต่อไปนี้


เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ มีครอบครัวของ ?อาสาสมัคร? รายหนึ่งคือ นายกู้เกียรติ บัวบาน ครอบครัวนี้มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชีวิตประกอบด้วย นายกู้เกียรติ ผู้เป็นสามีพร้อมทั้ง ภรรยา และ บุตรชายอีก ๒ คน ชื่อ ด.ช.สมเกียรติ และ ด.ช.เกียรติยศ มีบ้านพักอาศัยอยู่ที่ หมู่บ้านมะขามเอน ต.ป่าหวาย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ส่วน นายกู้เกียรติ ปกติมีอาชีพทำไร่และเป็น อาสาสมัครของรัฐบาล มีหน้าที่คอยคุ้มครองหมู่บ้านจึงได้รับแจก อาวุธ ที่ใช้ในราชการสงคราม ซึ่งมีทั้ง ปืน และ ระเบิดสังหาร ไว้ใช้สำหรับการปฏิบัติงานตามหน้าที่ เนื่องจากที่ อ.สวนผึ้ง นั้น มี ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ชุกชุม ซึ่งอาวุธเหล่านี้ยามเมื่อไม่ได้ใช้งานก็จะเก็บไว้ที่บ้านตลอดเวลา


ใน วันเกิดเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องนี้ตรงกับวันพระ ๑๕ ค่ำ นายกู้เกียรติ และภรรยาได้ไปทำบุญที่ วัดทุ่งแหลม ตั้งแต่เช้าโดยปล่อยให้ ?บุตรชายทั้งสอง? ทำหน้าที่เฝ้าบ้านกระทั่งเวลาประมาณ ๐๘.๓๐ น. ผู้คนที่มาทำบุญในวัดต่างได้ยินเสียงคล้าย ?เสียงระเบิด? ดัง สนั่นขึ้นเพราะ วัดทุ่งแหลม อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านและชั่วครู่ต่อมาก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มาด้วยสีหน้า ตื่น ๆ พร้อมร้องบอก นายกู้เกียรติ ว่าที่บ้านเกิดระเบิดขึ้นและเห็นลูกชายของนายกู้เกียรติ นอนจมกองเลือดทั้งสองคน

ได้ยินเช่นนั้น นายกู้เกียรติ และภรรยารีบซ้อนรถมอ เตอร์ไซค์ของผู้ที่มาบอกข่าวตะบึงกลับบ้านทันที เมื่อถึงบ้านจึงได้เห็นสภาพของลูกชายทั้งสองที่ทำให้ทั้งนาย กู้เกียรติและภรรยา แทบจะเป็นลม เพราะเด็กชายทั้งสองสลบไม่ได้สติจากแรงระเบิด นายกู้เกียรติ รีบนำบุตรชายขึ้นรถไป โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งพอหมอและพยาบาลของโรงพยาบาลเห็นสภาพลูกชายทั้งสองของ นายกู้เกียรติ แล้ว กลับไม่ยอมรับตัวไว้รักษาเพราะเกรงจะช่วยเด็กไม่ได้ เนื่องจากมีเครื่องไม้เครื่องมือไม่พร้อมที่จะรักษานั่นเองโดยแนะนำให้ส่งไป ที่ โรงพยาบาล ในตัวเมือง จังหวัดราชบุรี

นายกู้เกียรติ ไม่รอช้ารีบบึ่งไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดราชบุรี ซึ่งพอไปถึงหมอรีบนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินเป็นขณะที่ เด็กทั้งสอง เริ่มรู้สึกตัวแล้วแต่ยังคงร้องโอดโอยอย่างคนที่อยู่ในอาการเจ็บปวดเพราะพิษ สะเก็ดระเบิด ที่ฝังอยู่ตามร่างกายเพราะหลายคนที่เห็นสภาพของเด็กแล้วต่างระบุว่า อาการของเด็กคงหนักมากและอาจไม่รอดชีวิตด้วยซ้ำ แต่หลังจากหมอได้ทำการ ชำระล้างบาดแผล เพื่อหา สะเก็ดระเบิด ปรากฏว่ามีสะเก็ดระเบิดตามร่างกายน้อยมาก สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก และหลังจากนำสะเก็ดระเบิดออกพร้อมใส่ยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กทั้งคู่ก็แทบจะไม่มีอาการอย่างใดเลย มีอาการเจ็บปวดก็เพราะบาดแผลระบมเท่านั้นเอง หมอจึงอนุญาตให้นำเด็กกลับบ้านได้

หลังจากกลับถึงบ้านและได้นอนพัก เป็นเวลาเกือบค่อนวัน เด็กทั้งคู่จึงบอกเล่าเหตุการณ์ให้ นาย กู้เกียรติ ผู้พ่อฟังว่า ?นำลูกระเบิดมาแกะเล่น? จึงทำให้เกิดระเบิดขึ้นและแรงระเบิดก็ทำความเสียหายให้ตัวบ้านไม่น้อย แต่เด็กทั้งคู่กลับมีบาดแผลจากสะเก็ดระเบิด เพียง ?เล็กน้อย? เท่านั้น เมื่อเหตุกลับเป็นเช่นนี้ นาย กู้เกียรติ จึงเชื่อว่าเป็นเพราะ ?พุทธบารมี? ของ ?เหรียญหลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม รุ่น ๗? แน่นอน เนื่องจากเด็กทั้งคู่ต่างแขวนไว้ในคอคนละเหรียญ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เวปไซต์สยามอมูเลทดอทคอมครับผม


เหรียญนี้ของผมเองครับ คุณยายให้มาตอนก่อนจะจบม.6 เลยอารธนาท่านไปเขาชนไก่มาด้วย  :095:
เป็นรุ่นฉลองอายุตอนท่านมีอายุ 89 ปีครับ ตอกโค้ดเอาไว้ด้วย


ด้านหลังครับ เป็นหนุมานเชิญธง หนุมานแบบนี้มีใช้กันแทบทุกสำนักครับ เพราะเป็นหนุมานในตำราพิชัยสงคราม(เป็นหนุมานที่หลวงปู่หนูท่านสักให้ศิษย์ที่สีข้างครับ)
มีชื่อเรียกต่างกันออกไปบางที่ก็เรียกเป็นหนุมานตัวห้า ก็มีครับ แต่ของหลวงปู่หนูท่านเรียกว่าเป็นหนุมานเชิญธงเฉยๆครับ :001:

เหรียญของหลวงปู่ท่านมีที่เล่นหากันในราคาสูงไม่กี่รุ่นครับ ส่วนมากจะเป็นรุ่นแรกๆ
แต่รุ่นหลังๆจะไม่ค่อยแพงครับ ถือว่าเป็นของดีราคาถูกเพราะส่วนมากจะทันท่านเสกหมดครับ
เจอที่ไหนก็อย่าพลาดกันนะครับ :095:

32

กราบนมัสการหลวงปู่ มา ณ ที่นี้ด้วยความเคารพยิ่งครับ

   หลวงปู่ยิ้มสิริโชติ เป็นคนดี ศรีอยุธยา เลือดคุ้งน้ำเจ้าเจ็ด?นามเดิม ยิ้ม กระจ่าง เป็นบุตรนายอ่วม นางสุด กระจ่าง ท่านเกิดที่ตำบลเจ้าเจ็ดอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกิดที่บ้านสาลี หมู่ที่ ๑ ตำบลบ้านแถว อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๑๘
 (จันทรคติ วันเสาร์ -- ค่ำ เดือน ? ปีกุน จ.ศ. ๑๒๓๗ ) มีพี่น้องร่วมบิดา มารดารวม ๓ คน คือ
 ๑. นายจ่าง กระจ่าง
 ๒. พระครูพรหมวิหารคุณ (ยิ้ม สิริโชติ)
 ๓. นายโชติ กระจ่าง
 โยมที่บ้านมีอาชีพทางกสิกรรม ทำไร่ ทำนาบรรพชาเป็นสามเณรมาตั้งแต่อายุได้ ๑๒ ขวบ พ.ศ. ๒๔๓๐ อุปสมบท เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ณ พัทธสีมา วัดเจ้าเจ็ดนอก มีพระอาจารย์สิน วัดโพธิ์ เป็นอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จาดเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สุ่มเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชแล้วได้ศึกษาพระธรรมวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา ศึกษาพระคัมภีร์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน เขียนอักขระเลขยันต์ ลบผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จากพระอุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ ผู้สืบสานวิชาอาคมมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า?คือพระอาจารย์จาด และพระอาจารย์จีน สำนักวัดเจ้าเจ็ดใน ( พระอาจารย์จีน เป็นพระอาจารย์สอนอักขร สมัยให้กับ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ในครั้งนั้นด้วย ) พออายุ ๑๘ ปี ก็ย้ายไปศึกษาที่วัดกระโดงทอง ภายใต้การปกครองของหลวงพ่อบุญมี สำเร็จยันต์นะ ปัดตลอด และสามารถเขียนยันต์ผงทะลุแผ่นกระดานชนวนได้อย่างอัศจรรย์ ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเจ้าเจ็ดใน ต่อจากพระอุปฌาย์ ปั้น ในสมัยนั้นวัดเจ้าเจ็ดใน ได้แบ่งออกเป็น ๓ คณะ โดยมีหลวงปู่ยิ้ม เป็นเจ้าคณะเหนือ หลวงปู่โฉม เป็นเจ้าคณะใต้ และหลวงปู่คำ เป็นเจ้าคณะตะวันออก และหลวงปู่ยิ้มยังเป็นเจ้าคณะตำบลเจ้าเจ็ด เป็นพระครูกรรมการศึกษาและเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็น พระครูพรหมวิหารคุณ พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นเจ้าคณะอำเภอบางซ้าย มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๙ รวมอายุได้ ๘๒ ปี ครั้งเมือหลวงปู่ยิ้ม ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นพระที่อุดมด้วย ศีลลาจารวัตร ตลอดชีวิตของหลวงปู่ เป็นพระที่อารมณ์เย็น เคร่งครัด แต่มีเมตตาธรรมสูง พูดน้อย และมีผู้คนไปกราบนมัสการหาสู่ท่านมิได้ขาด พระเกจิอาจารย์ดังแห่งกรุงศรีอยุธยา, ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามอินโดจีน หลวงปู่ยิ้ม มีพระสหธรรมมิกที่ร่วม ครู-อุปัชฌาย์ อาจารย์องค์เดียวกันในยุคนั้นคือ หลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก ซึ่งมีอายุมากกว่าหลวงปู่ยิ้ม ๓ ปี อีกรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเกิดปีเดียวกับหลวงปู่ยิ้ม
 มีญาติโยมที่เป็นนักเลงสมัยนั้นได้ตั้งสมญานามให้ดูน่ากลัวว่า   
? สามเสือแห่งกรุงเก่า ?



หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน จ. พระนครศรีอยุธยา เป็นอาจารย์ร่วมสมัยเดียวกับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านจึงเป็นพระอาจารย์อาวุโส มรณภาพเมื่อปี ๒๔๙๙ (อายุ ๘๑ ปี) หลังหลวงพ่อปาน ๑๘ ปี ( ๒๔๙๙ - ๒๔๘๑ ) แต่ก่อนหลวงพ่อจงราว ๘ ปี ( ๒๔๙๙ ? ๒๕๐๗ ) วัดของท่านเหล่านี้อยู่ไม่ไกลกันนัก ท่านเป็นสหธรรมมิก และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จนชาวอยุธยาเรียกกันติดปากว่า
 
 ? พระหมอหลวงพ่อปาน เกจิอาจารย์หลวงพ่อจง เมตตาไหลหลง หลวงพ่อยิ้ม?
 หลวงพ่อทั้ง ๓ มีความสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งนัก ต่างคนต่างผลัดไปมาหาสู่ต่อวิชา ซึ่งกันและกันที่วัดของแต่ละองค์ ครั้งละหลายๆ วันชาวกรุงเก่าที่รู้ซึ้ง จึงกระซิบต่อๆ กันว่า พระเครื่องของทั้ง ๓ องค์นี้พุทธคุณขลังเหมือนกัน ทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาดและคงกระพันชาตรี เมื่อต่างองค์ต่างสร้างพระเครื่องฯ เพื่อสืบทอดพระศาสนาต่างก็มานั่งปรกพุทธาภิเษก แทบทุกๆครั้งไป?.. เหตุการณ์สำคัญ อธิเช่นการปลุกเสกทราย และขึ้นเครื่องบินโปรยลงสถานที่สำคัญๆ ในประเทศไทย เมื่อครั้งสมัยสงครามอินโดจีนฯ ช่วง พ.ศ. ๒๔๘๕ ฝรั่งเศสที่ต้องการจะยึดดินแดนของไทยเป็นประเทศใน อานานิคม มีผลร้ายแรง พอๆ กับ สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นเรื่องของความสามัคคี เพื่อให้สถาบันชาติอยู่ได้ สถาบันศาสนาอยู่ได้ และสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ได้ และสืบต่อพระศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบไป.
 
 หลวงปู่ยิ้มวาจาสิทธิ์
 จากการที่หมั่นสวดมนต์ภาวนา ให้ทาน รักษาศีล และเจริญพระกรรมฐานภาวนา ตลอดจนสั่งสอนให้คนทำความดีเป็นนิตย์ หล่อหลอมให้ภิกษุชราพุทธบุตรรูปหนึ่ง มีวาจาสิทธิ์ดุจเทพเจ้าฯ ทั้งให้พร? เสกน้ำพระพุทธมนต์ รักษาโรค เป็นที่ประจักษ์ตาแก่ชาวบ้านใกล้ และไกล หลวงปู่ไม่ชอบคนมุสา... คนดื่มน้ำเมา... คนกาเม? คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต? คนลักขโมย? (คนที่ชอบละเมิดศีลห้า) และคนที่ งอมืองอเท้า ขี้เกียจทำกิน? หลวงปู่ยิ้มท่านมีวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนเป็นคำนั้นไม่พูดมาก พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ เมื่อสั่งสอนครั้ง สองครั้งยังไม่เลิกละ หลวงปู่ก็จะเปรยๆ พอให้ศิษย์ใกล้ชิดได้ยินว่า
 
 ? พวกนี้มันบัวใต้น้ำ? ชี้ทางสวรรค์ให้เดินไม่ยอมเดิน ?
( เป็นการชี้ให้เห็นว่าประตูสู่สวรรค์ก็คือศีลห้านั่นเอง ) และในไม่ช้าบุคคลดังกล่าวข้างต้นนี้ก็มีอันเป็นไปในที่สุด ?? ย่างเข้าสู่วัยชรา ทุกสรรพสิ่งที่เกิดมานานแล้วก็ร่วงโรยไปในที่สุด หลวงปู่ยิ้มละสังขารไปด้วยอาการอันงบ เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๙ (วันจันทร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีวอก จ.ศ. ๑๓๑๘ ) รวมสิริอายุได้ ๘๑ ปี ๖๑ พรรษา


? เหลือไว้แต่คุณความดี? รูปปั้น? ภาพถ่าย ?วัตถุมงคล?ให้ได้ระลึกถึง?.. ล่วงมา-กว่า ๕๐ ปี ? 

   ทั้งศิษย์ใกล้ และไกล? ในประเทศ และต่างประเทศ ชาวอำเภอเสนา อำเภอบางซ้าย ลูกหลานเจ้าเจ็ดฯ จ.พระนครศรีอยุธยา ตลอดจนชนรุ่นหลังที่ให้การเคารพนับถือ ขอรำลึกในคุณงามความดีของหลวงปู่ ท่านฯ ตราบนานเท่านาน?.. หลวงปู่ยิ้มท่านได้สร้างพระเครื่องวัตถุมงคล ตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ มีชื่อทางด้านพระงบน้ำอ้อยเนื้อดินเผา และพระพิมพ์เนื้อดินเผาพิมพ์ต่างๆ ซึ่งให้ผลทางด้านเมตตา แคล้วคลาด คงกระพันฯโดยวัตถุมงคลต่างๆ สร้างไว้เพื่อเป็นที่ระลึก แก่ผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ในการปฏิบัติบูชา อามิสบูชา บูรณปฏิสังขรณ์วัด ทำนุบำรุงศาสนา และสานต่อ หรือสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้แก่ชนรุ่นหลังหรือเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็น พุทธานุสติ ธรรมมานุสติ และสังฆานุสติ มิได้สร้างไว้เพื่อหลงงมงายในอิทธิปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากจิตศรัทธา เกิดจากสัจจะธรรม, กรรม คือการกระทำ ของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ??
 หลวงปู่ยิ้มท่านได้สร้างวัตถุมงคล ตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ มีชื่อทางด้านพระงบน้ำอ้อยเนื้อดินเผา และพระพิมพ์เนื้อดินเผาพิมพ์ต่างๆ ซึ่งให้ผลทางด้านโชคลาภ เมตตา แคล้วคลาด และคงกระพันฯโดยวัตถุมงคลต่างๆ สร้างไว้เพื่อเป็นที่ระลึก แก่ผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ในการปฏิบัติบูชา อามิสบูชา บูรณปฏิสังขรณ์วัด ทำนุบำรุงศาสนา และสานต่อ หรือสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้แก่ชนรุ่นหลังหรือเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็น พุทธานุสติ ธรรมมานุสติ และสังฆานุสติ มิได้สร้างไว้เพื่อหลงงมงายในอิทธิปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากจิตศรัทธา เกิดจากสัจจะธรรม, กรรม คือการกระทำ ของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ??
 พระเครื่องของหลวงปู่ยิ้มที่รู้จักกันดีก็คือ พระงบน้ำอ้อย ทั้งพิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก เนื้อพระเป็นดินเผาสีหม้อใหม่ เนื้อดินแบบเดียวกับของหลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค ส่วนพระเครื่องที่ท่านสร้างนอกจากพระงบน้ำอ้อย แล้วยังมีพระสมเด็จฯ พิมพ์ปรกโพธิ์ พระสมเด็จฯ พิมพ์รัศมี พระร่วงทรงยืนประทานพร พระพุทธทรงเดินลีลา พระพุทธชินราช พระพิมพ์ขุนแผน พระโคนสมอ พระกลีบบัว พระนางพญาพิมพ์ฐานบัว พิมพ์แขนอ่อน พิมพ์หยดน้ำพระหลวงพ่อโต พระพุทธทรงหนุมาน (หันซ้าย-ขวา และเศียรโต) พระปิตตา และนางกวัก ซึ่งเป็นพระเนื้อดินเผาสีหม้อสีหม้อใหม่สีน้ำตาลอิฐ, สีขาวนวล, เนื้อสีเทาอมน้ำตาล, สีเทาอมเขียว, เนื้อเขียวมอยแบบเนื้อผ่านไฟ ซึ่งเป็นพระยุคแรกๆ บางองค์จะทาทับด้วยสีบรอนซ์ทอง หรือสีบรอนซ์เงิน (ให้ดูสวยงาม ) ด้านหลังองค์พระจะมีรอยเสี้ยนไม้กระดาน เนื้อพระจะมีดินทรายละเอียดปนอยู่ มีอายุการสร้างไม่ต่ำกว่า ๕๐ปี ซึ่งพระเครื่องส่วนใหญ่จะสร้างเป็นแบบลักษณะพระกรุเก่าสมัยสุโขทัย กำแพงเพชร หรือพระกรุสมัยต่างๆ ที่มีอายุมากกว่า ๒๐๐ปี หรือว่ามีลักษณะแบบพระโบราณจารย์ เช่นงบน้ำอ้อยของหลวงพ่อเนียม วัดน้อย พระชินราช และพระพิมพ์ขุนแผนหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน พระสมเด็จพิมพ์รัศมีของหลวงปู่จีน พระสมเด็จพิมพ์รัศมีของหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า หรือ พระสมเด็จวัดเกศไชโยของสมเด็จพระพุทธาจารย์โตฯ ที่มีอายุการสร้างประมาณไม่ต่ำกว่า ๑๕๐ปี เมื่อเอ่ยถามถึงหลวงปู่ยิ้ม สมภารวัดเจ้าเจ็ด ด้วยศรัทธาที่เปี่ยมล้นในจริยาวัตรของหลวงปู่ยิ้ม แห่งวัดเจ้าเจ็ด ท่านสร้างพระพิมพ์เนื้อดินเผา ด้วยความตั้งใจที่จะสืบอายุพระศาสนา ความตั้งใจของท่านนั้นจะสร้างให้ครบพระธรรมขันธ์ คือ ๘๔,๐๐๐ องค์ การแกะแม่พิมพ์ แกะจากหินลับมีด ( ลักษณะหินลับมีดโกนของพระ ) โดยมีลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดเป็นผู้แกะให้ และให้พระ, เณร, ลูกศิษย์ใกล้ชิด และเด็กวัดฯ ช่วยกันผสม กดพิมพ์- แกะพิมพ์ และเผาตามพิธีการของท่าน ซึ่งกล่าวกันว่าท่าน ได้แรงบัลดาลใจมาจาก การสร้างพระเครื่องเนื้อดินเผา พระกรุสมัยต่างๆ และจากพระโบราณจารย์ต่างๆ และพระเครื่องของท่านบางพิมพ์สร้างล้อพิมพ์ของวัดบางนมโค, มีบางท่านเล่าว่าพระพิมพ์ทรงสัตว์ของหลวงปู่ยิ้มนั้นช่างที่แกะแม่พิมพ์ของวัดเจ้าเจ็ดได้ขอต่อวิชา จากช่างที่แกะแม่พิมพ์ของวัดบางนมโค โดยค่าครูสำหรับการต่อวิชาแกะแม่พิมพ์เป็นเงิน ๑บาทในสมัยนั้นฯ

    ยังมีพิมพ์พระสมเด็จฯ ของหลวงปู่ยิ้ม ซึ่งพระพิมพ์ของท่านจะมีเอกลักษณ์ เพราะมีการแกะแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดและด้านหลังพระพิมพ์จะมีรอยปาดลักษณะเสี้ยนไม้โดยมีดินขุยปู ข้าวก้นบาตร และเถ้าขี้ธูปที่บูชาพระประธานในโบสถ์ ผงวิเศษที่ท่านลบ และสรรพสิ่งอันเป็นมงคลที่ท่านรวบรวมมา ท่านได้ใช้มูลดินของกรุงศรีอยุธยา ท่านสร้างพระพิมพ์เนื้อดินซึ่งเกิดจากแม่ธาตุทั้งสี่มาประชุมหรือผสมรวมกัน คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ซึ่งใช้องค์ประกอบของดินขุยปูหรือดินปากรูปูเป็นหลักมาผสม และทำการปลุกเสกตามวิธีของท่าน? โดยมีความเชื่อกันตั้งแต่โบราณแล้วว่าดินขุยปู มีสรรพคุณทางด้านเมตตามหานิยมเป็นอย่างสูง จากการสังเกตของคนโบราณที่ปูตัวผู้ จะขุดดินในรูแล้วอมเอาออกมาพ่นคายไว้ที่ปากรูปู พอปูตัวเมียเดินผ่านมาก็จะเดินเข้าไปในรูของปูตัวผู้เพื่อวางไข่ ความเป็นคนช่างสังเกตของคนโบราณ ที่บางครั้งรูปูรูเดียวมีปูสาวๆลงไปกันมาก การเก็บดินขุยปูนั้นมิใช่ว่า จะเก็บเอามาหมดทุกรู แต่จะต้องดูรูที่มีลักษณะขุยเป็นพู ซึ่งเป็นรูของปูตัวผู้ และก็มีทั้งปูหนุ่มเสน่ห์แรง หรือว่าปูขี้โรค ในความหมายทางชีววิทยานั้น การสืบสานเผ่าพันธุ์ ของปูนา ธรรมชาติได้สรรสร้างให้ ปูตัวผู้ เป็นผู้เตรียมรูรังสำหรับวางไข่ และการอมดินในรูออกมาคายไว้ที่ปากรูนั้น ปูตัวผู้ก็จะคายเอาฮอร์โมนเพศ ซึ่งมีผลทางชีวเคมี ที่สามารถ ส่งกลิ่นไปในน้ำให้ปูตัวเมียที่มีไข่แก่พร้อมในการเจริญพันธ์ ตามกลิ่นเข้ามาในรูของปูหนุ่มเพื่อวางไข่ ธรรมชาติจะคัดเลือกและออกแบบเอาไว้อย่างลงตัว ให้ปูหนุ่มที่แข็งแรงจะมีฮอร์โมน ที่มีกลิ่นแรงและสามารถกระจายออกไปได้ไกล เพื่อให้ปูตัวที่แข็งแรงและสมบูรณ์ เป็นผู้ทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ ในทำนองเดียวกัน พวกปูขี้โรค ปูก้ามลีบ หรือปูหน้าปลาจวดก็จะมีกลิ่นที่แผ่ว ปูตัวเมียเดินผ่านเลยไปหมด เราเองยังนึกทึ่งในความแยบคายของธรรมชาติ และความช่างสังเกตของคนโบราณ คนสมัยใหม่อาจจะหาว่าคนสมัยก่อนว่างมากจึงมีเวลาสังเกตพฤติกรรมของปู แต่ถ้ามามองกันลึกๆแล้ว คนสมัยก่อนท่านละเมียดละมัยในการดำเนินชีวิตที่ทำงานก็คือท้องไร่ท้องนา และท่านก็รอบรู้แบบสุดๆ ในงานที่ท่านทำละเอียด ละออไปทุกส่วน คนสมัยนี้ประมาทไม่ได้ทีเดียว ท้องนาเป็นสิบๆไร่ ท่านก็รู้หมดว่าตรงไหนมีอะไร คนสมัยนี้กะอีแค่ออฟฟิตแคบๆ ก็ยังไม่สามารถควบคุมจัดการได้ ยังมีตำนานเล่าอีกว่าผู้ที่นำดินขุยปูขนาด ๑ ปี๊บมาถวาย หลวงปู่ฯ ท่านจะให้เงินเป็นค่าตอบแทน ๑ สลึงในสมัยนั้นเอาหละครับมาว่ากันถึงพระพิมพ์เนื้อดินที่หลวงปู่สร้างเอาไว้ ในสมัยนั้นก่อนปี ๒๕๐๐ คนไทยเรานิยมพระกรุ พระเก่า โดยเฉพาะพระเนื้อชิน หรือพระปิดตามหาอุตม์ พระเครื่องที่สร้างโดยพระสงฆ์จึงไม่ค่อยได้รับความนิยม เท่าที่ควร ส่วนมากถ้าองค์ไหนมีวิชาอาคม ก็นิยมจะสักยันต์ หรือเป็นประเภทเครื่องรางของขลังกันเลย หลวงปู่ยิ้มท่านสร้างพระเครื่องมากมาย เพื่อแจกลูกศิษย์ลูกหา ทั้งญาติ-โยม หญิง-ชาย รวมถึงเด็ก และเพื่อบรรจุลงกรุในพระเจดีย์ บรรจุใต้พระประธาน และตามเพดานโบสถ์ หรือสถานที่ๆ ที่คนมากราบไหว้แม้แต่หิ้งบูชาของท่านเอง ท่านจะคัดพระพิมพ์ที่สวยๆ พิมพ์ต่างๆ โดยเฉพาะพิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ ติดไว้กับแผงไม้ ( ๑.๒ เมตร x ๒.๔ เมตร ) ไว้ที่หิ้งบูชาในกุฏิของท่าน ( ชาวบ้านจึงเรียกพระพิมพ์ว่า พระสมเด็จพิมพ์ปรกโพธิ์ติดแผง ) ท่านกราบไหว้ทุกๆ วัน-คืน เป็นพุทธานุสติฯ กรรมฐานของท่าน (เป็นธุดงค์กรรมฐานนุสติที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บำเพ็ญเพียรใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ฯ, สมเด็จฯปรกโพธิ์ฯ ) และการสร้างพระพิมพ์ของท่านนั้นก็ใช้แม่พิมพ์แกะขึ้นเอง จากนั้นก็กดพิมพ์และก็เผาให้สุกโดยนำพระเครื่องใส่ลงในบาตรพระ และสุมไฟไปเรื่อยๆ จนดินสุกได้ที่ ทำให้เกิดมีการสร้างพระเครื่องได้จำนวนมาก ในตอนนั้นยังขาดผู้คนสนใจ และมีผู้สงสัยในการสร้างพระเครื่องของท่านว่าจะมีพุทธคุณหรือไม่ เพราะเห็นว่าพระเครื่องมีจำนวนมากมายก่ายกอง คาดว่าท่านคงนึกรำคาญ จึงเอาผ้าเช็ดหน้า มาขอดเป็นปม แล้วโยนลงไว้ที่พื้น ให้ผู้ที่สงสัยใช้ปืนยิง ปรากฏว่ายิงไม่ออก จากนั้นจึงไม่มีใครกล้าถามท่านอีก
 หลังจากที่หลวงปู่ท่านละสังขารไปแล้ว พระเครื่องที่ได้บรรจุเอาไว้ในกรุได้ครบตามประสงค์ของท่าน และก็ยังมีส่วนที่เกิน เหลือจากการบรรจุกรุก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ลูกหลานบ้านเจ้าเจ็ด เมื่อจะไปทำงานต่างถิ่นก็จะมาขอ และนำไปบูชาติดตัว บางคนก็ไปเป็นทหาร ออกรบในแนวหน้าหรือเขตพื้นที่สีแดงเกิดมีประสบการณ์ในด้านคุ้มครองป้องกัน ก็ถือว่าเป็นของดีของคนแถวนั้น และเมื่อท่านละสังขารไปนานแล้ว ทางวัดก็ยังมีภาระในเรื่องของค่าไม้ และวัสดุก่อสร้างในการบูรณะถาวรวัตถุ ภายในวัด บรรดาศิษย์และชาวบ้านจึงนำเอาพระเครื่องบางส่วนที่เหลือของท่านนำมาแจกให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญช่วยบริจาคสร้างวัด และคนในยุคนั้นไม่รู้เป็นยังไง ชอบลองพระกันเหลือเกิน แบบที่ว่าถ้าไม่แน่จริงก็จะไม่แขวนให้หนักคอเปล่าๆ พอได้รับพระพิมพ์งบน้ำอ้อยมาแล้ว เดินหายไปหลังวัด ในสวนกล้วยเอาไม้กลัดเสียบต้นกล้วยไว้สองอัน แล้วเอาพระพิมพ์งบน้ำอ้อยวางที่ระหว่างไม้กลัด ขอขมาลาโทษต่อท่าน แล้วใช้ปืนคาร์บิน (ปืนยาวของตำรวจสมัยก่อน) ยิงไม่ออกสามนัดเป็นที่อัศจรรย์ พวกไทยมุงและกองเชียร์ ต่างก็ประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านสร้าง ต่างก็เฮโลกัน เช่าทำบุญเก็บกันเอาไว้กันคนละมากๆ  และก็ขอให้ทุกท่านอย่าได้คิดลองจะเป็นบาปติดตัวไปในภายภาคหน้า เพราะเป็นการลบหลู่ต่อพระพุทธคุณ จะไม่เป็นมงคลแก่ตนเอง เวลาลูกหลานจะไปไกลบ้านก็จะมอบให้ไปบูชาติดตัว มิตร สหายต่างถิ่นแวะเวียนมาเยี่ยมถามถึงของดี ก็จะแจกให้ไปบูชาแบบไม่กลัวเสียเชิงคนเจ้าเจ็ด เพราะเชื่อมั่นในพุทธคุณ และเรื่องราวความศักดิ์สิทธ์ของท่านที่ได้ เล่าขานสืบต่อ กันมา
 พระเครื่องเนื้อดินเผาของท่านจึงกระจายออกไปสู่ส่วนกลาง เป็นจำนวนมากโดยเฉพาะพิมพ์งบน้ำอ้อย ซึ่งมีจำนวนการสร้างมากที่สุด และมีอยู่หลายแม่พิมพ์ ขนาดใกล้เคียงกัน เป็นรูปของพระนั่งหันพระเกศเข้าสู่ศูนย์กลาง ห้าองค์บ้าง หรือ สิบองค์บ้าง บางองค์ที่ผ่านการสัมผัสบูชา ถูกไออุ่น หรือไอเหงื่อก็จะมีสีเข้มขึ้น อายุการสร้างก็ประมาณมากกว่า๕๐ กว่าปีล่วงมาแล้ว คาดว่าอายุไม่หย่อนกว่าพระเครื่องหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และ เป็นพระเครื่องที่มีวัตถุประสงค์การสร้างที่บริสุทธิ์ และพระเถระผู้สร้างก็บริสุทธิ์ ท่านก็แก่กล้าในวิชาอาคม ทั้งยังมีประสบการณ์เป็นที่เล่าขานกันมาตลอดห้าสิบกว่าปี แนวคิดของหลวงปู่ยิ้มก็คือ ท่านจะสร้างพระเครื่องแบบมากมาย และก็แจกแบบให้ฟรีๆ ท่านแจกให้กับคนทุกเพศ ทุกวัย และยังมีชาวบ้านในสมัยที่โตทันหลวงปู่ยิ้มเล่าให้ฟังว่า ใครที่ถวายขนมครกแก่ท่าน ๓ ฝา คนผู้นั้นก็จะได้รับพระจากท่าน ๑ องค์ ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นกุศโลบายของท่านฯ ท่านต้องการให้มีรูปของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระจายไปทั่วดินแดน สุวรรณภูมิ เพราะความเชื่อที่กล่าวกันว่าเมื่อครบปี พ.ศ. ๕๐๐๐ พระศาสนาจะสูญสิ้นไป ผู้ที่สร้างพระเครื่องถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อให้เป็นหลักฐานให้คนในยุคปัจจุบัน และอนาคตได้เห็นรูปของพระพุทธองค์ และเกิดการสืบสาวพระศาสนา จนพระศาสนาจะกลับคืนมาอีกครั้งในยุคของพระศรีอาริยะเมตไตร
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก เวปไซต์เจ็ดวัดดอทคอมครับผม :054:


รูปพระงบน้ำอ้อยของท่านครับ เจอที่ไหนไม่ควรพลาดครับ จัดเป็นของดีราคาเบาครับ

พระของหลวงปู่ยิ้มนั้น เล่นหากันที่หลักร้อยแก่ๆ เท่านั้นเอง พุทธคุณนั้นดีครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ครับ เคยได้ยิน
คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า ถ้าโดนงูกัด เอาพระงบน้ำอ้อยของท่านแปะไว้ที่แผล พระจะดูดพิษงูให้จนทุเลาครับ
สังเกตุได้ง่าย เพราะถ้าทุเลาเมื่อไหร่พระจะหลุดออกมาจากปากแผลเองครับ (คล้ายกับพระหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
มากๆ เพราะพระหลวงปู่ปานท่านก็ใช้ดูดพิษงูได้เช่นกันครับ)  :001:
เรื่องแคล้วคลาดคงกระพัน พระงบน้ำอ้อยของหลวงปู่ยิ้มท่านก็มีประสบการณ์มากพอสมควรเช่นกันครับ

33
เมื่อวานนี้ด้วยความคิดถึงวัดบางพระมากๆ(เว่อร์ไปไหม)  :095:
ก็เลยขับรถบึ่งไปวัดคนเดียวตามประสาชายโสด เหอๆ O0 11; 14;
ถึงวัดก็เกือบ บ่ายสองโมงแล้วครับ ก็ซื้อพานครู เข้าไปกราบนมัสการหลวงพี่ญา
รอจนถึงคิว "ท่านก็ถามว่าจะเอาอะไรวันนี้ เอาตรงไหนดี" ด้วยความห่างเข็มหลวงพี่มานาน
ก็เลยขอท่านสักตรงหน้าอกเสียเลยแต่เป็นน้ำมันน่ะครับ ท่านก็เมตตาสักอักขระที่อกมาให้ครับ สักตรงหัวไหล่สองข้าง
(ผมเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นอักขระพ่อ-แม่) สักเสร็จท่านก็เมตตาเป่ากระหม่อมให้ครับ กราบขอบพระคุณหลวงพี่มากๆครับ :054:
หลังจากนั้นก็ออกมาเก็บภาพบรรยากาศต่างๆภายในวัดครับ อิอิ :002: มาชมกันเลยครับ


รูปปั้นปู่ฤาษี ที่ควบคุมการปั้นโดยหลวงพี่นันครับ


ปู่องค์ที่เป็นประธานครับ เมื่อก่อนเห็นท่านยืนเด่นเป็นสง่าอยู่องค์เดียว :001:




พ่อปู่กาลสิทธิ์ครับ ดูสง่างามน่าเกรงขามมากๆ


โอมศรีคะเณศายะ นะมาฮา


กราบหลวงพ่อพระพุทธอุดมมงคล ครับ :054:


สายใยแห่งศรัทธา...........


ไม่ว่าจะวันไหนคนเยอะหรือน้อย ไม่เคยมีซักวันที่กระถางธูปบูชาหลวงปู่จะว่างเปล่า :054:


กราบนมัสการ หลวงปู่เปิ่น เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี พระผู้มีแต่ให้ครับ


หลวงพ่อพระสังกจายน์


 :001:




เด็กสองคนนี้ เห็นผมถ่ายรุปอยู่ ไม่พูดพร่ำทำเพลงเดินมาถึง "น้าขอตังหน่อย" กรำ- -lll ตอนแรกก็กะจะให้ไปซื้อขนมกันอยู่หรอก
แต่เล่นเรียกน้า งานนี้ก็เลยอดนะคับน้องๆ เหอๆ (หน้าผมแก่ขนาดรุ่นน้าแล้วหรอเนี่ยะ) 01; 05;


ถ่ายภาพนี้เสร้จฝนเริ่มลงเม็ด เลยต้องวิ่งเข้าที่ร่มก่อนครับ  :075:


ใครอยากได้คาถากวางเหลียวหลัง แนะนำว่าให้ดูตรงนี้ครับ  :005:


ฝนตกหลบเข้าที่กำบังก่อนจร้า :002:ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่า ผมมาหลบฝนที่ไหน อิอิ


คนไทยโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงห่วงใยประชาชน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยนะครับ  :054:


แวะอ่านกันซักนิด ก่อนเข้าไปสัก นะครับผม :006:


หน้าต่างบานนี้อยู่ทีไหน ใครรู้บ้าง หุๆ :002: :095:


 :093:


ออกจากวัดบางพระ กะจะถ่ายรูปหล่อหลวงปู่เสียหน่อย ฝนกระหน่ำเสียเต็มที่เลย ทำได้เท่าที่เห็นครับ แหะๆ
(รถผมพึ่งล้างมาแท้ๆ ดันตกซะหนักเลย) 12; 41;


ระหว่างทางไปวัดท้องไทรครับ ฝนตกหนักมาก ลมแรงเหมือนจะมีพายุเลย


แวะมาวัดท้องไทร ฝนตกหนักมากครับ เข้าไปก็เห็นหลวงปู่อั๊บท่านนั่งสนธนากับพระลูกวัดอยู่
หลวงปู่เลยเรียกผมไปเป่ากระหม่อมเสียสองทีครับ อิอิอิ :005:

หลังจากนั้นก็ยิงยาวตรงกลับบ้านด้วยความอิ่มบุญครับบ ^  ^






34


เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมตราแผ่นดินของเรา ถึงได้เป็นรูปพญาครุฑ???
ปักษาเทพองค์นี้มีตำนานความเป็นมา และเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร
ทำไมครูบาอาจารย์ตั้งแต่โบราณกาลถึงได้นำเอาพญาครุฑ มาสร้างเป็นเครื่องรางของขลัง
หรือแม้กระทั่งสักเป็นยันต์ติดตัวลงบนผิวหนังของศิษย์!!!!!!!!!!!
มาติดตามชมกันครับ ว่าพญาครุฑนั้น"มีดี และน่านับถือเช่นไร".............. :001:

ตำนานพญาครุฑ

ในตำนานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้นมีเรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิดเช่น ราชสีห์ คชสีห์ อันมีลำตัวเป็นสิงห์แต่มีศีรษะเป็นช้าง กินรี กินนรและสัตว์แปลก ๆ อีกมากมาย ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้นมีสองอย่างที่นับว่าเป็นเทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากคือ หนึ่งเป็นพญานาคราชจ้าวแห่งบาดาล และอีกหนึ่งคือพญาครุฑจ้าวแห่งเวหา

นาคและครุฑต่างเป็นสัตว์ที่คู่กันตามตำนาน มีเรื่องราวเล่ากันว่าสัตว์กายสิทธิ์ทั้งสองนี้มีบิดาเดี่ยวกันคือมหาฤาษีกัสยปะเทพบิดรแต่คนละแม่โดยพญาครุฑนั้นมีมารดาเป็นภรรยาหลวง ส่วนนาคนั้นมีแม่เป็นภรรยาคนรอง นางทั้งสองนี้ไม่ถูกกันมีเรื่องกันตลอดจนในที่สุดความผิดใจกันนี้ลามไปถึงลูกของตน
ด้วย จึงเป็นเหตุให้นาคและครุฑม่ถูกกันในเวลาต่อมา

พญานาคนั้นมีวิมานอันเป็นทิพย์อยู่ในบาดาล ส่วนครุฑก็มีวิมานทิพย์อยู่ที่เชิงเขาไกรลาส กล่าวว่าองค์พญาครุฑนั้นมีนามว่าท้าวเวนไตย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวสุบรรณ มีกายเป็นรัศมีสีทองมีเดชอำนาจมากที่สุดในหมู่ครุฑทั้งหลายอาศัยเกาะอยู่ตามต้นงิ้ว อาศัยผลงิ้วและน้ำดอกไม้จากต้นงิ้วเป็นอาหารทิพย์ ลูกพญาครุฑจะโตขึ้นนับเวลาอายุเป็นข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ เติบโตด้วยบุญกุศลที่เคยทำมา หากลูกครุฑตนใดที่มีบุญญาธิการมามาก อำนาจบุญจะบันดาลให้เกิดผลงิ้วทิพย์และน้ำหวานจากดอกไม้มาบำเรอลูกครุฑตนนั้น ๆ และลูกครุฑตนดังกล่าวจะจำเริญวัยได้อย่างรวดเร็ว

ครุฑเป็นสัตว์กึ่งโอปปาติกะ หรือกึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแลและพวกพญานาคอยู่อีกมิติหนึ่งจากโลกของเรา ผู้ที่จะสามารถพบเห็นครุฑได้ต้องเคยมีบุญร่วมกับพวกเขามาจึงสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้ เหมือนกับผู้ที่สามารถติดต่อกับพญานาคได้ก็เช่นกันล้วนต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาตั้งแต่อดีตทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องสาธารณะที่จะรู้กันได้ทั่วไปเช่นเรื่องสามัญ

เรื่องของครุฑเป็นเรื่องราวที่มีความอัศจรรย์โลดโผนยิ่งกว่าเรื่องราวของพญานาคเสียด้วยซ้ำไป แต่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้กันเพราะไม่ได้ศึกษาและอาจไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ความเป็นจริงแล้วเรื่องครุฑเป็นเรื่องที่น่าศึกษามาก เพราะทางฮินดูเขานับถือครุฑว่าเป็นเทพเจ้าสำคัญพระองค์หนึ่ง แม้ในทางไทยเราเอง ทางไสยศาสตร์ก็ให้ความนับถือเกี่ยวกับครุฑนี้มาก ดูอย่างตราแผ่นดินเองก็มีรูปลักษณะเป็นครุฑ จึงน่าสนใจว่า ?ครุฑ? นั้นคงมีอานุภาพบางอย่างและน่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในอีกมิติหนึ่งเช่นเดียวกันกับพญานาค ถ้าท่านเชื่อว่าพญานาคมีจริง พญาครุฑก็ย่อมมีจริงเช่นกัน

พลังอำนาจที่เทียบเท่า พระผู้เป็นเจ้า

อำนาจของพญาครุฑนั้นท่านว่าลึกลับมากนัก ในตำนานของฮินดูกล่าวว่าตั้งแต่แรกเกิดมานั้นพญาครุฑก็มีรัศมีกายที่สว่างไสวเป็นที่
อัศจรรย์ ส่อให้รู้ว่าเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มีอานุภาพเป็นอเนกอนันต์ มีฤทธิ์วิชาผาดโผนพิสดารทั้งนี้มีเรื่องกล่าวไว้อีกว่าครั้งหนึ่งพญาครุฑเคยลองฤทธิ์
กับองค์พระนารายณ์มหาเทพหนึ่งในสามของทางศาสนาพราหมณ์ การรบกันนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั้งสามโลกธาตุ พญาครุฑสามารถต่อสู้ด้วยความสามารถ รบกันไปเท่าใดก็หาแพ้ชนะกันไม่ จนในที่สุดพระนารายณ์และพญาครุฑจึงตกลงกันว่าขอให้เสมอกันในการรบระหว่างเราและท่าน พระนารายณ์อนุญาตให้พญาครุฑสามารถอยู่เหนือเศียรตนได้ และพญาครุฑก็นอบน้อมโดยการยินยอมให้พระนารายณ์สามารถนำตนเป็นพาหนะไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้เช่นกัน

จึงถือกันในหมู่ครูบาอาจารย์กันต่โบราณว่า ?พญาครุฑ? เป็นเทพเดรัจฉานที่มีอานุภาพอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าอย่างพระนารายณ์ อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่ารพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาดพญาครุฑ แต่องค์พญาครุฑเป็นกายสิทธิ์หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใดไม่ พระอินทร์พยายามอยู่หลายทางก็ไม่สามารถทำอันตรายแก่องค์ครุฑได้ จนพระอินทร์มีความเคารพในอานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์เดชเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าจริงในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกมาหนึ่งเส้นให้แก่พระอินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าตามตำนานที่กล่าวมา ?พญาครุฑ? เป็นเทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์ที่ไม่ธรรมดา ๆ เลยมีอานภาพมาก ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์ที่รู้จักศาสตร์ของครุฑเป็นอย่างดีจึงนำเอาสัญลักษณ์เกี่ยวกับครุฑ รูปครุฑต่าง ๆ มาทำสมาธิบูชาเพื่อให้เกิดอิทธิพลังงานอันลี้ลับ ทั้งนี้เพื่อการปกป้องคุ้มครองบ้าง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองบ้าง ดังที่เราจะได้เล่าให้ท่านทราบต่อไป

สัญลักษณ์ครุฑ สัญลักษณ์แห่งแผ่นดิน

โดยสรุปจากตำนานแล้วครุฑคือสัตว์หิมพานต์อย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่สัตว์สามัญธรรมดา เพราะพยาครุฑเป็นสัตว์กึ่งเทพ เรียกว่า ?เทพเดรัจฉาน? ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพาหนะของพระนารายณ์อย่างหนึ่งในเมืองไทยเรานับถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทพ เป็นองค์นารายณ์อวตารจึงมีการใช้ธงรูปครุฑ และมีครุฑเป็นสัญลักษณ์ประจำแผ่นดิน สามารถพบเห็นรูปครุฑได้จากเอกสารต่าง ๆ ของทางราชการ และนับว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นเอกสารศักดิ์สิทธิ์ หากราชการผู้ที่ทำหน้าที่ผู้ใดมีความสุจริตจงรักภักดีต่อแผ่นดิน องค์พระมหากษัตริย์ และหน้าที่ของตน องค์พญาครุฑก็จะส่งพลังปกป้องให้มีความสุข ความเจริญในหน้าที่

นอกจากนี้ยังมีเกร็ดความเชื่อว่าหากที่ใดมีอาถรรพ์แรงท่านให้นำเอาตราครุฑไปติดจะทำให้อาถรรพ์นั้นเสื่อมสลายไปในที่สุด ตราครุฑล้างอาถรรพ์ได้จึงเป็นที่เชื่อถือกันมาตลอดและได้รับความเคารพบูชาว่าเป็นของสูง เสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งองค์พระประมุข ผู้ใดมีสัญลักษณ์ครุฑ รูปครุฑบูชาไว้ย่อมได้อานิสงส์มาก อาทิ มีความเจริญแก่ตัวเองและครอบครัวเป็นต้น ดังนี้แล้วครุฑจึงเป็นของสูงที่เราควรรู้ควรบูชาอย่างหนึ่ง

คนโบราณมีความเชื่อสืบกันมาว่า ?ครุฑ? นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรือง มหาอำนาจ อย่างเด็กผู้ใดที่เกิดมาแล้วมีลักษณะปากคล้ายพญาครุฑท่านว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีบุญ
ญาธิการมาเกิด ภายภาคหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นโต สมเด็จเจ้าแตงโม พระสังฆราชพระองค์หนึ่งท่านก็มีลักษณะปากดังครุฑปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญาดี และได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด เรื่องครุฑนี้คนโบราณจึงเชื่อถือกันมาก แม้เครื่องรางที่เกี่ยวกับครุฑก็เป็นเครื่องรางที่มีความหมายมีอานุภาพโดดเด่นหลายประการดังจะได้กล่าวต่อไป

พญาครุฑเครื่องหมายแห่งสิทธิอำนาจและความเป็นมงคล

ครุฑนั้นเป็นเครื่องหมายของทางราชการอยู่แล้ว เอกสารทางราชการฉบับใด ๆ ก็ล้วนต้องมีเครื่องหมายพญาครุฑประทับอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องสำคัญเป็นตราแผ่นดิน เป็นตราของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ เชื่อว่าหากข้าราชการผู้ใดให้ความเคารพนับถือในองค์พญาครุฑ และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเอง ข้าราชการผู้นั้นจะมีความสุขความเจริญทั้งชีวิตและหน้าที่การงานสืบไป คุณไสย์อันตรายใด ๆ ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้เพราะเครื่องหมายของพญาครุฑนี่สำคัญมากผู้ที่รู้เขาจะไม่ข้ามไม่เหยียบย่ำ ไม่นำไว้ที่ปลายเท้าเลยเพราะเป็นของสูง ของศักดิ์สิทธิ์ หากเคารพนับถือให้ดีอำนาจพญาครุฑที่มีอยู่ในเอกสารราชการจะคุ้มครองผู้นั้นไม่ให้มีวันอับจน แต่คนสมัยนี้ไม่ใคร่เชื่อถือกันเท่าใดนัก เรื่องพญาครุฑจึงดูล้าสมัยไปเสีย ไม่เหมือนในสมัยก่อนที่ไหนว่ากันว่าผีแรง ผีเฮี้ยน เอาตราพญาครุฑไปติดไว้ความอาถรรพ์ของสถานที่นั้น ๆ ก็จะหายไปในทันที



อำนาจพญาครุฑ

สิทธิอำนาจพญาครุฑสัตว์กายสิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าให้ตายได้มีอายุยืนเสมือนว่า
เป็นอมตะนั้น นับเป็นเรื่องลี้ลับที่ผู้รู้พยายามค้นคว้า และเสาะหาที่มาแห่งพลังอำนาจดังกล่าว จนเกิดการสร้างเครื่องรางต่าง ๆ ขึ้น อำนาจพญาครุฑสามารถจำแนกได้ถึง ๘ ประการ โดยนับเอาอำนาจหลัก ๆ ได้ดังนี้คือ

๑. เป็นมหาอำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นสิทธิอำนาจอันเฉียบขาด

๒. สามารถลบล้างอาถรรพ์และคุณไสย์ทั้งปวง ภูติผีปิศาจกลัวไม่กล้าเข้าใกล้

๓. เป็นสื่อนำความเจริญรุ่งเรือง ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตหน้าที่การงาน

๔. ปกป้องคุ้มครอง ป้องกันภัยเป็นคงกระพัน

๕. เป็นเมตตามหานิยม

๖. นำความร่มเย็นเป็นสุขมาให้

๗. ทำมาค้าขายดีเป็นสื่อนำโชคลาภนานาประการ

๘. สัตว์ร้าย เขี้ยวงาสารพัด งูเงี้ยวเขี้ยวขอ อสรพิษไม่กล้ากล้ำกรายเข้าใกล้ เพราะเกรงตบะบารมีขององค์พญาครุฑเป็นที่สุด

อำนาจพญาครุฑยังมีมากกว่านี้อีกมาก แล้วแต่ท่านใดจะรู้จักใช้ ในตำราทางไสยเวทพุทธาคมมีทั้งการใช้ยันต์ครุฑให้ผลดีในทางคงกระพันชาตรี มีนะพญาครุฑใช้ลงตบเข้าหน้าผากเป็นคงกระพันชาตรีกันเขี้ยวงาอสรพิษได้ ทั้งนะพญาครุฑนี้เมื่อประสิทธิ์ลงไปยังตัวคนผู้ใดแล้วยังสามารถทรหดอดทน เดินไกลไม่เหนื่อย เป็นวิชาตัวเบาชั้นยอด และเป็นเมตตามหานิยมชั้นสูงอีกด้วย ยังมีคาถาพญาครุฑซึ่งเมื่อกล่าวพระคาถานี้งูพิษรวมไปจนถึงตะขาบแมงป่องและสัตว์ร้ายต่าง ๆ ทั้งหลายจะหลบหนีไปสิ้นโดยพระคาถาพญาครุฑท่านว่าดังนี้

?โอมพญาครุฑจะเห็นผล หลีกไปให้พ้น พญาหนจะเดินทาง เคาะงอ เคาะงอ?

ก่อนว่าพระคาถานี้ให้นมัสการพระรัตนตรัยเสียก่อนด้วยนะโม ๓ จบและท่องพระคาถานี้ก่อนออกเดินทางตั้งสติส่งจิตไปถึงพญาครุฑจะปลอดภัยทุกประการ

สักการะให้ถูกวิธี
การบูชาพญาครุฑประกอบกับพยาปักษาชาติอันมีฤทธิ์ทั้งหลายนั้น ท่านให้สักการะคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จากนั้นให้ตั้งจิตระลึกถึงพญาครุฑท่าน ด้วยการทำสมาธิภาวนาเป็นสื่อถึงองค์พญาครุฑว่า ?ครุฑโธ? จนจิตสงบหรือระลึกชื่อ พญาวายุภักษ์ หรือ ท่องคำว่า ?การะวิโก? อันเป็นคาถาหัวใจพญาการเวกก็ว่าได้ จากนั้นเมื่อเห็นว่าจิตสงบลงบังเกิดเสียงนกร้องระงม จากบริเวณที่มีนกอยู่ใกล้ ๆ จนบางครั้งอาจมีนกมาบินเวียนวนอยู่เป็นทักษิณาวัตรอย่างน่าอัศจรรย์ หรือมีฝูงนกมาทานอาหารที่เราเซ่นไหว้ อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเป็นศุภมงคลอย่างประเสริฐแล้ว สื่อให้เห็นว่าจิตเราพิธีกรรมเราที่ตั้งถึงองค์พญาครุฑและเหล่าพญาปักษาชาติทั้งหลาย
อันมีฤทธิ์นั้นท่านรับรู้แล้ว และท่านทั้งหลายจะช่วยเหลือเราอย่างสุดวามสามารถโดยตลอด

พญานกกับสมถกรรมฐาน
พญานกอย่างพญาครุฑ พญาวายุภักษ์ พญาครุฑ หรือเอกสารที่มีสัญลักษณ์ของพญาครุฑอยู่เพียงเท่านี้ก็เท่ากับว่าท่านมีความเคารพเป็
นการบูชาพญาครุฑอย่างหนึ่งไปในตัวและที่สำคัญคือการเคารพต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นการปฏิบัติบูชาต่อพญาครุฑโดยตรงเชื่อแน่ว่าองค์พญาครุฑที่อยู่ในเครื่องหมายราชการ ย่อมปกปักรักษาท่านอย่างแน่นอน และหากท่านหวังผลอย่างยิ่งในการบูชาก็ลองทำกรรมฐานในข้ออาณาปานสติดูเถิดเชื่อแน่ว่า
ท่านย่อมสามารถส่งจิตถึงองค์พญาครุฑและเหล่าบรรดาเหล่าปักษาชาติทั้งปวงได้แน่นอน

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก http://www.bkkonline.com/scripts/mouth/question.asp?Q=36186 ครับ
พญาครุทในรูปแบบของวัตถุมงคล

ผ้ายันต์พญาครุท ปักดิ้นทองของหลวงหลวงพ่อโอภาสี (รุ่นหลังจากท่านมรณะไปแล้วครับ)
เป็นอีกผืนหนึ่งที่ผมชอบมากๆ หลวงพ่อโอภาสีท่านนี้เป็นหนึ่งในครูบาอาจารย์ของหลวงปู่เปิ่นท่านด้วยครับผม


รูปหล่อพญาครุฑ รุ่นแรกของหลวงปู่ผาด วัดไร่ อ่างทองคับ ช่างแกะแกะพิมพ์ได้สวยด้วยพุทธศิลป์จริงๆครับ  :001:


35


ขออณุญาตเผยแพร่ประวัติของพระเดชพระคุณหลวงปู่มี วัดมารวิชัยครับ
ท่านพระครูเกษมคณาภิบาล หรือหลวงพ่อมี เขมธัมโม มีชื่อเดิมเต็ม ๆ ว่า ?บุญมี? ถือกำเนิดในตระกูล ?ธนสนธิ์? ชื่อของท่านโยมบิดามารดาสมมตินามขึ้นเพื่อเรียกขาน อันมีความหมายถึง ?การมีกุศลแห่งความสุข ที่ร่ำรวยมีอันจะกินมิได้ขาด? มาปัจจุบัน ลูกศิษย์ลูกหาต่างเรียกนามองค์ท่านแบบสั้น ๆ ว่า ?หลวงพ่อมี? จนติดปากกันมาจวบปัจจุบัน ถือเป็นมงคลนามอย่างใหญ่หลวง เมื่อองค์ท่านเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บำเพ็ญบารมีธรรมตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนนามกระเดื่องประกาศกิตติคุณให้สานุศิษย์และชนชาวไทยทั่วแคว้นได้ประจักษ์โดยถ้วนทั่วกัน

โยมบิดานาม นายโหมด

โยมมารดานาม นางพุฒ

หลวงพ่อมีถือกำเนิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2454 ตรงกับวันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน ณ หมู่บ้านขนมจีน ข้างวัดมารวิชัยตอนใต้ หลวงพ่อมีเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้องท้องเดียวกัน 5 คนดังนี้

1. หมอแบน

2. นายจุ่น

3. นางสำลี

4. หลวงพ่อมี เขมธัมโม

5. นายสำแล

เมื่อปฐมวัย

ในวัยเด็ก หลวงพ่อมีเป็นเด็กที่อ่อนแอและขี้โรคมาก ท่านมีโรคประจำตัวเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ อยู่เสมอ เรียกว่า สามวันดีสี่วันไข้ไม่ว่าอากาศจะร้อนนิดหนาวหน่อยก็ป่วย ถ้าอากาศร้อนขึ้นก็จะเกิดอาการชักขนาดถูกแมวหรือสุนัขชนถูกตัวเท่านั้นก็ชักแล้ว

ดังนั้น หลวงพ่อมีจึงเป็นเด็กที่มีรูปร่างผอมโซ แบบเด็กพุงโรก้นปอด เหมือนเป็นตาลขโมยไม่มีผิด ลักษณะเซื่อง ๆ ซึม ๆ ขี้อาย ไม่ช่างพูดและไม่เล่นหัวเหมือนกับเด็กชาวบ้านโดยทั่วไป คล้าย ๆ กับเป็นเสมือนปัญญาอ่อน เหล่านี้คือบุคลิกของหลวงพ่อมีในวัยเด็ก ซึ่งปราศจากวี่แววแห่งความรุ่งโรจน์ของชีวิตในอนาคต ไม่ว่าจะมองไปในแง่ใด ตามสายตาที่แสดงความเป็นห่วงของญาติผู้ใหญ่และชาวบ้านข้างเคียงทั้งปวง

คุณสมบัติพิเศษ

ธรรมชาติสร้างสรรค์มนุษย์ให้เกิดมา ถ้าจะว่ากันแล้วก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม มีดีก็มีชั่ว มีขาดต้องมีเกิน เหมือนดังตัวอย่างในวัยเด็กของหลวงพ่อมี ที่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดการณ์อนาคตของท่านว่าจะเป็นพระอาจารย์เรืองวิชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้กล่าวคือ

หลวงพ่อมี มีคุณสมบัติพิเศษที่ผิดแปลกไปจากเด็กชาวบ้านธรรมดา ๆ ตรงที่ท่านเป็นเด็กที่มีใจบุญสุนทาน ชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัด ถ้าถูกห้ามปรามไม่ให้ตามไปด้วยจะต้องร้องไห้คร่ำครวญจนถึงกับชักตาตั้ง ซึ่งก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่ไม่น้อยที่เด็กเซื่องซึมคล้ายปัญญาอ่อนจะมีความกระตือรือร้นในการไปวัด อันเป็นการส่อแววการเป็นเกจิอาจารย์ของหลวงพ่อมีมาแล้วตั้งแต่ยังเล็ก ๆ

ดังนั้น เมื่อพี่ชายคนโต คือ หมอแบนมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดมารวิชัย หลวงพ่อมี ขณะนั้นมีอายุเพียง 12 ปี จึงขอบิดามารดาติดตามพระพี่ชายมาอยู่ด้วยทันที (ภายหลัง พระพี่ชายลาสิกขาแล้ว ได้เป็นแพทย์ประจำตำบล ชาวบ้านเรียกท่านว่า ?หมอแบน?) ในตอนแรกบรรดาญาติผู้ใหญ่ไม่มีผู้ใดยอมให้หลวงพ่อมีที่มีลักษณะปัญญาอ่อนไปอยู่ด้วย เพราะเกรงจะเป็นภาระให้กับพระพี่ชายที่เพิ่งอุปสมบทใหม่ ๆ

หลวงพ่อมีจึงร้องไห้และเกิดชักขึ้น จนทุกคนต้องตามใจให้ไปอยู่กับพระแบนที่วัดมารวิชัย ตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี บัดนั้นเป็นต้นมา

สติปัญญากลับปราดเปรื่อง

เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากจริง ๆ ตั้งแต่หลวงพ่อมีมาอยู่วัดมารวิชัยแล้ว ลักษณะอาการที่โง่งมประดุจเด็กปัญญาอ่อนและขี้โรค กลับกลายเป็นตรงกันข้าม อาการขี้โรคต่าง ๆ หายดังปลิดทิ้งไม่เคยมีอาการชักอีกเลย สติปัญญาที่ใคร ๆ มองกันว่าทึบ ก็กลับปราดเปรื่องสามารถศึกษาอักขระสมัย ทั้งภาษาไทยและภาษาขอมกับหลวงพี่แบนและได้รับการแนะนำสั่งสอนจากครูเยื้อน ซึ่งเป็นบุตรของอา จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน จนหลวงพ่อมีสามารถอ่านออกเขียนได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นที่แปลกใจของญาติสนิททั้งปวง และเริ่มมองเห็นแววแห่งอัจฉริยะฉายขึ้นในตัวเด็กชายบุญมีคนนี้

วัยหนุ่มอันบริสุทธิ์

ชีวิตในวัยเด็กจนถึงรุ่นหนุ่มก่อนอุปสมบทของหลวงพ่อมี ก็เป็นไปเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา เพราะครอบครัวยากจนและมีอาชีพเป็นชาวนา ต้องคอยช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาตามประสาไปวัน ๆ โดยไม่มีการผาดโผนอันน่าตื่นเต้นใด ๆ

เนื่องจากท่านเป็นคนใจบุญชอบทำทานเข้าวัดวาฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว เหล้ายาปาปิ้ง การพนันขันต่อ หรือการเที่ยวเตร่ต่าง ๆ เยี่ยงหนุ่มลูกทุ่งทั้งหลายนั้นท่านไม่เคยผ่านมาก่อนเลยทั้งสิ้น จากการที่หลวงพ่อมี มีความขยันขันแข็งในการทำงาน จึงมีหญิงมาชอบพอกับท่านคนหนึ่ง แต่ติดที่ท่านเป็นคนขี้อาย ไม่ช่างพูดประกอบกับหญิงนั้นเป็นคนที่งามจึงไม่เคยชวนกันไปเที่ยวไหน 2 ต่อ 2 เหมือนหนุ่มสาวคู่อื่น ๆ เลย

ภายหลังเมื่อท่านมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ผัดผ่อนการหมั้นหมายเรื่อยมา สตรีนั้นเห็นว่า ท่านไม่ถึงแน่แล้วก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ปัจจุบันก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังครองตัวเป็นโสดมาถึงบัดนี้ นับว่า สตรีท่านนี้เป็นหญิงที่มีความมั่นคงในความรักอันน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งทีเดียว

เริ่มเล่นแร่

ในวัยเด็กนี่เองที่องค์ท่านหลวงพ่อมี เขมธัมโม ได้ไปเยี่ยมหลวงน้าที่วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานี โดยติดตามโยมคุณแม่ไป

หลวงน้าคือ ?หลวงพ่อเขียน โชติสโร? ในเวลานั้นกำลังเล่นแร่แปรธาตุ (เหมือนกับหลวงปู่จัน วัดโมลี จังหวัดนนทบุรี) ถือเป็น

โอกาสของเด็กชายบุญมี ที่ได้สัมผัสกับสายวิชาเร้นลับนี้ เป็นการหล่อหลอมธาตุต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด โดยมีหน้าที่เติมฟืนช่วยสูบลมให้ไฟร้อนจัดตลอดเวลา

ถือว่าเป็นการเริ่มการศึกษาด้วยตนเองในสายวิชา ?เล่นแร่แปรธาตุ? มาตั้งแต่บัดนั้น หลวงพ่อมีเคยเล่าว่า ?เหนื่อยมากเพราะกว่าจะหลอมธาตุแปรธาตุได้ หลวงพ่อเขียนท่านต้องเหงื่อไหลไคลย้อย ร่างกายสกปรกไปหมด ถูกรมด้วยควันไฟและเถ้าถ่านอยู่เป็นเวลานานกว่าจะเสร็จ?

?ส่วนวิชาทำตะกั่วให้เป็นเงิน ทำเงินให้เป็นทองคำนั้น หลวงพ่อเขียนท่านหวงมาก ไม่ยอมถ่ายทอดให้ใครง่าย ๆ ในสมัยนั้น เป็นที่เล่าลือกันแพร่หลาย? หลวงพ่อมีท่านเคยถามถึงการที่อยากจะศึกษาสายวิชานี้ แต่หลวงน้าหลวงพ่อเขียน กล่าวว่า ?จะสอนให้เมื่อบวชเป็นพระ? ตั้งแต่วันนั้นเด็กชายมีก็เฝ้ารอเพื่อถึงอายุเวลาอุปสมบท

บรรพชาอุปสมบท

หลวงพ่อมี เขมธัมโม มีใจฝักใฝ่ใคร่จะบรรพชาเป็นสามเณรมานานแล้ว แต่ติดขัดที่มีภาระช่วยโยมบิดา มารดา ทำไร่ไถนา จึงต้องคอยให้มีอายุครบบวชเสียก่อนจึงจะได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุตามประเพณีนิยม ซึ่งบรรดาชายทั้งหลายกระทำกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล

ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อมีอายุ 21 ปี อายุครบเกณฑ์ทหารต้องถูกคัดเลือกเข้าประจำการเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่ถูกทหารจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่ทันที แล้วหลวงพ่อมีก็สมความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ เมื่อท่านจับได้สลากใบดำไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร จึงได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสมดังใจ ณ พัทธสีมา วัดมารวิชัย ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับ วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 โดยมีพระครูอดุลวุฒิกร หลวงพ่อพิน จันทโชโต วัดช่างเหล็ก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์

หลวงพ่อเขียน โชติสโร วัดบ้านพร้าวนอก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลวงน้า คือเป็นน้องโยม มารดาของหลวงพ่อมี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเกลี้ยง อินทโชติ วัดมารวิชัย ซึ่งภายหลังไปเป็นเจ้าอาวาส วัดสามตุ่ม ในเขตอำเภอเสนา เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทน หลวงพ่อคล้าย เจ้าอาวาสวัดมารวิชัยขณะนั้น ซึ่งเกิดอาพาธพอดี

หลวงพ่อมี ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลี จากหลวงพ่อพินผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ว่า ?เขมธัมโม? แปลว่า ?ผู้มีธัมมะอันเกษม?

การศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นขององค์ท่านหลวงพ่อมี ท่านได้เรียนรู้จาก หลวงพี่แบน ซึ่งเป็นพระพี่ชาย ต่อมาได้เข้าศึกษาทั้งภาษาไทยและ ภาษาขอมกับครูเยื้อน บุตรของอา จนพอจะมีพื้นฐานอ่านออกเขียนได้ หลังจากนั้นท่านจึงศึกษาด้วยตนเอง และเมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ จึงไปศึกษาพระธรรมวินัยกับหลวงปู่คล้าย พลายแก้ว ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ในขณะนั้นถือเป็นรากฐานอันมั่นคงในการสืบสานพุทธศาสนาต่อไป ?ในช่วงที่อาตมาบวชอยู่ที่วัดมารวิชัยนั้น เป็นจังหวะที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติธรรมด้วย เพราะขณะนั้นกำลังเจริญอย่างเต็มที่?

ศึกษาพระธรรมวินัย

เวลาส่วนใหญ่หลวงพ่อมีท่านจะศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ได้ไปศึกษาเล่าเรียนจากสำนักใด ๆ แต่ท่านสอบได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ไล่มาเป็นลำดับ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา ผสานความมีมานะพากเพียรที่มีอยู่ในองค์ท่าน

ในภายหลังเมื่อท่านอายุมากขึ้นแล้ว ได้เข้าศึกษาหาความรู้ในโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนภูมิภาค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนสำเร็จการศึกษารุ่นที่ 1 ปี พ.ศ. 2513 หลวงพ่อมี นำความรู้ทางด้านพระปริยัติธรรมที่ท่านร่ำเรียนมาสอนพระภิกษุสามเณรภายในวัดมารวิชัยตั้งแต่ท่านยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส และเมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ทำการสอนนักธรรมด้วยตัวของท่านเอง ในระหว่างเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน จนพระภิกษุสามเณรทั้งหลายมีความรู้ความสามารถสอบเปรียญธรรมขั้นสูงได้ปีละหลายสิบรูป จวบจนปัจจุบันนี้ หลวงพ่อมียังคงทำการสอนนักธรรมด้วยตนเองทุกปี โดยไม่ได้นิมนต์พระภิกษุจากสำนักอื่น ๆ มาทำการสอนเลย

ผลงานการก่อสร้าง

จากการที่หลวงพ่อมี ได้รับการอบรมบ่มจิตจากหลวงพ่อปานในการปฏิบัติอสุภกรรมฐาน ยกเอานิมิตมาพิจารณาจนกลายมาเป็นวิปัสสนาญาณ บังเกิดมี ศีล สมาธิ ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกข์ขัง ความเป็นทุกข์และอนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน มีอารมณ์จิตเบื่อหน่ายสภาพความเป็นอยู่ของร่างกายตนเองและผู้อื่น จิตใจจึงระลึกนึกถึง พระนิพพานเป็นปกติ จนสามารถบรรเทาอารมณ์รัก โลภ โกรธ และหลง หรือความพอใจใด ๆ ทั้งสิ้นนั้น แทบจะถูกขจัดออกไปจากจิตใจของหลวงพ่อมี อย่างสิ้นเชิง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เวปไซต์พลังจิต ครับผม :001:


วัตถุมงคลของหลวงปู่ที่ผมมีอยู่บ้างครับ
หมู - สิงห์ของหลวงปู่ (หมูทองแดง สิงห์ทองเหลือง) ^ ^
วิชาการปลุกเสกสิงห์ของหลวงปู่มีท่านได้รับสืบทอดมาจาก หลวงปู่จง พุทธสโร เจ้าตำรับ
ผ้ายันต์สิงห์ แห่งยุคสงครามอินโดจีนครับ :001:

36
ประวัติ พระเดชพระคุณพระครูสุภัทรธรรมโสภณ (หลวงพ่อทรง ฉนฺทโสภี ) วัดศาลาดิน ( มอญ )


( โดยพระครู อุปถัมท์ธรรมรังสี วัดไผ่แหลม )



ประวัติ
เดิมชื่อ ทรง วารีรักษ์ เกิดวันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 บิดาของท่านนามว่า จัน มารดานามว่า กอง วารีรักษ์ เกิดที่บ้านม่วงเตี้ย ตำบลม่วงเตี้ย อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง


หลวงพ่อเรียนจบชั้นประถมปีที่ 6 ที่โรงเรียนวัดยางมณี เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้อุปสมบทที่วัดยางมณี เลขที่ ต.ม่วงเตี้ย อ.วิแศษชัยชาย จ.อ่างทองเมื่อวันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2486 เดือน 5 ปีมะแม


พระอธิการชวน (พระครูสุกิจวิชาญ) เป็นพระอุปัชฌาย์


พระอธิการสุวรรณ วัดไร่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์


พระอธิการชั้ว วัดตูม เป็นพระอนุสาวนาจารย์


ตำแหน่งต่าง ๆ ในทางคณะสงฆ์
พ.ศ. 2513 ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดศาลาดิน
พ.ศ. 2525 เป็นเจ้าคณะตำบลม่วงเตี้ย
พ.ศ. 2535 ได้รับพระราชทางเป็นพระครูสัญญบัตรชั้นโท ในราชทินนามที่ พระครูสุภัทรธรรมโสภณ
พ.ศ. 2547 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลม่วงเตี้ย


ชีวะประวัติ ในวัยเยาว์หลวงพ่อเป็นคนใฝ่รู้ในด้านต่าง ๆ เสมอมา ช่วยบิดาทำมาหากินมาตลอด และมีจิตใจฝักใฝ่ในทางศาสนา ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนจบ ป.6 ในสมัยนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะจบแค่ ป. 4 จึงเป็นการเรียนจบที่สูงสามารถ เป็นครูสอนตามโรงเรียนได้ จนมาถึงวัยครบ 20 ปี หลวงพ่อก็ตั้งใจบวชทดแทนคุณมารดาบิดา แต่ในใจลึกของหลวงพ่อนั้น ตั้งใจศึกษาในด้านพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ทั้งในด้านธรรมะ ด้านการสวดมนต์ ด้านพุทธาคมพระเวทย์ หลวงพ่อได้ศึกษาพิธีกรรมการปลุกเสกวัตถุมงคลที่จะทำให้เกิดความเข้มขลังแก่ผู้ที่ได้นำไปใช้ในทางสุจริต หลวงพ่อสวดพระปาฎิโมกข์ได้ ซึ่งเป็นบทที่สวดได้ยาก ผู้ที่สวดได้จะต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการเพราะต้องนั่งสวดให้พระฟัง จะเป็นพระผู้ใหญ่ระดับใดก็ต้องนั่งต่ำกว่า ถ้าไม่มีบุญกุศลแล้วจะทำให้ผู้สวดต้องมีอันเป็นไปต่าง ๆ เช่น สึกหาลาเพศ สติวิปลาสได้


หลวงพ่อได้ศึกษาวิทยาคมกับหลวงพ่อดัง ๆ ในยุคนั้น หลายรูปด้วยกัน เช่น การทำเบี้ยแก้ หลวงพ่อได้ศึกษาจากตำราที่สืบทอดของหลวงพ่อพัก วัดโบสถ์ จอมขมังเวทย์ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการทำเบี้ยแก้เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นที่ต้องการหาเช่ากันในปัจจุบันหลวงพ่อได้ศึกษาและเรียนเคล็ดวิชามาเป็นอย่างดีทำให้หลวงพ่อทรงมีความเชี่ยวชาญในการทำเบี้ยแก้ เพราะการทำเบี้ยนั้นไม่ใช่ทำกันง่ายต้องมีกรรมวีธีหลายอย่าง และต้องไปตามหลักวิชาที่ถูกต้องตามโบราณ ส่วนราคาก็สูง ถึงแม้จะเป็นของใหม่ก็ตาม ทำให้คิดได้ว่าราคาจะสูงขึ้นไปอีกอย่างไม่ต้องสงสัย


หลวงพ่อยังได้ศึกษาจากพระอุปัชฌาย์คือ พระครูสุกิจวิชาญ(หลวงพ่อชวน) ที่มีความเชี่ยวชาญการทำเชือกกล้วยคาดเอว ซึ่งเป็นที่เรื่องลือในแถวบ้านย่านนั้น เรื่องไฟไม่ไหม้


ศึกษาจากพระอธิการชั้ว วัดตูม ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์ของหลวงพ่อ เพราะพระอธิการชั้วก็จัดว่ามีความรู้ในวิชาอาคมองค์หนึ่งในพื้นที่ หลวงพ่อก็ได้รับประสิทธิ์ประสาทสรรพวิชาต่าง ๆ


ศึกษาหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน ( ศิษย์หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ) และหลวงปู่คำ วัดโพธิ์ปล้ำ ที่เป็นเกจิอาจารย์ในอดีตที่ได้สร้างวัตถุมงคลเป็นที่ยอมรับกันในวงการพระเครื่องทั่วไป ซึ่งหลวงพ่อทั้งสององค์คือหลวงพ่อนุ่มและหลวงปู่คำ จะเชี่ยวชาญเรื่องการทำวัตถุมงคลเป็นอย่างมาก เช่น เบี้ยแก้ เหรียญ และอื่น ๆ ผู้ที่ได้รับวัตถุมงคลของท่านแล้วจะเป็นผู้ที่แคล้วคลาดในภยันอันตรายต่าง ๆ หลวงพ่อก็ได้มีโอกาสศึกษาและได้รับคำแนะนำ


และหลวงพ่อยังได้ศึกษาจากฆราวาสที่เก่งในด้านอาคม เวทมนต์ คาถา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแถวย่านบ้านนั้น คือ หมอฟู และหมอเปรี้ยว ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นที่พึ่งของคนชาวบ้านที่ได้รับความเดือนร้อนโดยประการต่าง ๆ เช่น เรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ยินมาว่าฆราวาสที่มีอาคมขนาดนอนกลางวันยังต้องลงมุ้งเพราะกลัวโดนของที่มีผู้ที่มีเวทมนต์ทำแล้วปล่อยมา เมื่อมาโดนเข้าแล้วอาจได้รับอันตรายได้ ซึ่งหลวงพ่อก็ได้รับความรู้ที่แตกฉานในวิชาอาคมต่าง ๆ เป็นอย่างดี


และในภายหลังหลวงพ่อก็ได้นำสรรพวิชาความรู้ที่ได้ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ เพื่อสร้างวัตถุมงคลในการที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ที่บูชา ฉะนั้นวัตถุมงคลของหลวงพ่อจึงมากด้วยพลานุภาพและมีผู้เสาะแสวงหากันเป็นอย่างมากและที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ความที่หลวงพ่อเป็นพระที่สมถะ ความเป็นอยู่ของหลวงพ่อจัดว่าอยู่แบบเรียบง่าย มีจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผู้ที่ได้เข้าใกล้หลวงพ่อจะรับรู้ได้ แม้กระทั่งตอนอาพาธหลวงพ่อก็ยังเมตตาให้ลูกสิษย์ลูกหาได้พบตลอด ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ว่าจะ เป็นคนที่ร่ำรวยหรือคนยากจนก็ตามในการที่หลวงพ่อเป็นอุปัชฌาย์ที่มีหน้าที่ต้องบวชของกุลบุตรที่มีวัยครบ 20 ขึ้นปี หลวงพ่อทรงจัดว่ามีผู้ที่ต้องการให้ไปเป็นอุปัชฌาย์มากที่สุด บวชกุลบุตรในจังหวัดอ่างทองและจังหวัดใกล้เคียง จนแทบไม่มีวันหยุดพัก จึงถือได้ว่าหลวงพ่อเกิดมาเพื่ออนุเคราะห์ให้กับคนทั้งหลายอย่างแท้จริง


เปรียบเสมือนเทพเจ้าที่มีแต่คำว่าให้เสมอมา ความเป็นจริงหลวงพ่อนั้นเป็นที่เลื่องลือมานานมาก แต่หลวงพ่อก็ยังถือวัตรปฏิบัติในสมณสารูปอย่างเคร่งครัดไม่เคยเปลี่ยนแปลง ก็ยังเป็นที่พึ่งของคนทั่วไปได้เสมอ จะเห็นได้จากองค์ฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ ได้เสด็จมาหาหลวงพ่อที่วัด และยังคนที่มีชื่อเสียงมากมายที่เข้ามาสักการะองค์หลวงพ่อ ให้หลวงพ่อได้ช่วยเพื่อช่วยให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ เพื่อปรึกษาสนทนาธรรมและเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตและด้วยที่หลวงพ่อได้เป็นผู้ให้กับคนมากมาย


บางครั้งแทบจะไม่ค่อยได้พักผ่อนอย่างพอเพียงกับผู้ที่มีอายุมากขึ้น ความตรากตรำนั้นทำให้สุขภาพทรุดโทรมและในท้ายที่สุดหลวงพ่อก็ได้มรณภาพด้วยอาการอันสงบ ก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ ( พระครูอุปฯ )ได้เคยไปเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงพ่อหลวงพ่อมีสีหน้าที่สดใส ไม่มีอาการหวั่นไหวในมรณะภัย และยังสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาไม่ให้เสียใจในการที่ต้องจากไปให้มีความสมัครสมานและสามัคคีกัน จึงถือได้ว่าหลวงพ่อเป็นที่พึ่งของคนทั้งหลายอย่างแท้จริง หลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน(มอญ) เป็นเกจิอาจารย์เรืองเวทย์เพียงหนึ่งเดียวของจังหวัดอ่างทอง
วัตถุมงคลของท่านนั้นได้ทำหลายอย่าง แต่ละอย่างเป็นที่ศรัทธาเสาะหาของประชาชนทั่วไป แต่ที่มีความเข้มขลังที่สุด ได้แก่ เหรียญรุ่นแรกหรือที่เรียกกันว่า ?เหรียญบิน? เนื้ออัลปากร้า ในปี พ.ศ.2513 และ เบี้ยแก้ซึ่งเป็นเครื่องรางอันมหัศจรรย์ยิ่งที่บุคคลใดมีไว้แล้วจะมีความปลอดภัยแคล้วคลาดเมตตามหานิยม


หลวงพ่อได้มรณะภาพเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ.2550 ด้วยอาการอันสงบเวลา 22.50 น. สิริอายุ 83 ปี 8 เดือน 64 พรรษา


ผมยกมาไม่ได้ดัดแปลงข้อความอะไรเลย ขยายความนิดเดียว ท่านพระครูบอกว่าให้ผมดัดแปลงได้ แต่ดูๆแล้วภาษาไทยท่านดีกว่าผมเยอะ ผมอย่าไปยุ่งกับท่านจะดีกว่าจะเห็นว่าตามข้างบนนั่นท่านมีอาจารย์ตามลำดับเป็นอย่างนี้


๑) สายหลวงพ่อพัก วัดโบถส์ อันนี้ยืนยันอีกท่าน ว่าหลวงพ่อไม่ทัน หลวงพ่อพัก แต่ได้ตำรามา อันนี้ผมไปสืบอีกสายคือสาย เบ็นอยุธยา เบ็นแนะนำว่าท่านอาจจะศึกษามาจาก หลวงพ่อผ่อน วัดขุมทอง ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของหลวงพ่อพัก หลวงพ่อเคยบอกผมเองว่า รู้จักคนมีตำราหลวงพ่อพักอยู่ที่โพธิ์ทอง แต่ตายไปซ่ะก่อน เลยติดตามไม่ได้ไม่งั้นผมคงได้เห็นตำราหลวงพ่อพักได้ถ่ายรูปมาอวด


๒) หลวงพ่อ ชวน วัดยางมณึ วัดดั้งเดิมของท่านตอนบวช องค์นี้เก่งมากครับ เขาซื้อตะกรุดโทนเนื้อทองแดงของท่านกัน ถ้าไม่แน่ใจจะตกลงกันว่า เอาไปลองยิง ถ้ายิงไม่ออกก้เป็นตะกรุดหลวงพ่อชวนครับ เรียกว่ามั่นใจถึงขนาดนั้น


๓) หลวงพ่อ ชั้ว วัดตูม (องค์นี้ผมไม่มีข้อมูลท่านเลย จะพยายามหามาน่ะครับ ให้ บันทึกนี้สมบูรณ์ในอรรถรส ให้เห็นภาพของหลวงพ่อทรงที่เรามองไม่เห็น)


๔) หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน ถ้าหลวงพ่อทรงได้วิชาหลวงพ่อเดิมน่าจะมาจากท่านนี้ หลวงพ่อนุ่มเป็นพระอุปัฌาย์ และพระ อาจารย์ของหลวงพ่อ มี วัดม่วงคัน สหธรรมมิก สนิทมากของท่านอีกองค์ ยันต์หลังเหรียญบินของท่าน ก็ ก็อบมาจากยันต์หลังเหรียญของหลวงพ่อนุ่มครับ


๕) หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ องค์นี้เป็นปรมาจารย์ทางเบี้ยแก้ สายอ่างทอง ท่านหนึ่ง ไม่เป็นรองใคร เบี้ยมีเอกลักษณ์ เล่นหาได้ มีหลายขนาด มีประสบการณ์ ถ้าเล่ากัน บันทึกได้หลายเล่ม ผมพึ่งฟัง รุ่นน้องเล่าให้ฟังว่า ไปหาของตามบ้านในวิเศษฯ เจอบ้านหนึ่งมีเบี้ย คนสามีเล่าให้ฟังว่า เมียแกฆ่าตัวตาย โดยปืนลูกซอง (คงจะเอาปืนจอคางแล้วเอานิ้วกระดิกไก) ปรากฎว่าแชะๆครับ นึกขึ้นได้ แกมีเบี้ยหลวงพ่อคำอยู่ในตัว พอเอาเบี้ยออก เปรี้ยง ดับครับ เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครโกหกมาเล่าน่ะครับ พยานยังมีอยู่ เบี้ยหลวงพ่อคำค่อนข้างมีราคา และปริมาณเยอะพอหาได้ แต่หาแท้ๆยากน่ะครับ ที่เล่นกันน่ะ .....สะรู้ตู้ครับ


๖) อาจารย์ฆราวาส หมอฟู


๗) อาจารย์ฆราวาส หมอเปรี้ยว อาจารย์ฆราวาส หมอฟู กับหมอเปรี้ยวนี้ เป็นศิษย์ ของ หมอน้อย ฆราวาสผู้วิเศษ ( ท่านนี้เก่งจริงๆ ) ของวิเศษชัยชาญ มีท่านหนึ่ง เป็นเขยของ อาจารย์หมอน้อย แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าท่านไหน อันนี้เป็นข้อสรุปของหลวงพี่พระครู อุปถัมท์ธรรมรังสี ส่วนอาจารย์องค์อื่นท่านไม่ทราบ จากที่ผมศึกษามาน่าจะมี


๘) หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ องค์นี้สรรพคุณเกินกว่าคำที่จะหามาบรรยาย อันนี้ในมุมมองท่านพระครู หลวงพ่อมุ่ยน่าจะเป็นสหธรรมิกรุ่นพี่ ที่นับถือกันมากกว่า ผมเอาตามท่านว่าก็แล้วกัน เป็นเด็กอย่าไปอวดรู้ผู้ใหญ่ แต่หลวงพ่อทรงบอกผมเองว่า ไปหาบ่อยมาก เหมือนผมไปหาหลวงพ่อทรง เรียกว่า ว่างก็ไป การไปหาบ่อยๆ แล้วมานั่งมองหน้ากันคงไม่น่าใช่ หลวงพ่อมุ่ยท่านคงเอ็นดูพระหนุ่มใหญ่องค์นี้มากพอสมควร เพราะขนาดสร้างเหรียญบินรุ่นแรก ท่านก็มานั่งเป็นประธานให้ หลวงพ่อทรงก็ใฝ่รู้วิชา หลวงพ่อมุ่ยน่าจะแนะนำ"อะไร "มาให้บ้าง อันนี้ผมเคยกราบเรียนถามหลวงพ่อทรงตรงๆว่า หลวงพ่อเรียนอะไรมาจากหลวงพ่อมุ่ยบ้างครับ ท่านว่าแอบเรียนมาบ้าง


๙) หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว องค์นี้เป็นอาจารย์หลวงพ่อเกรียงวัดวังน้ำเย็น เพื่อนสนิทท่าน ทั้ง สามองค์ คือ หลวงพ่อ เกรียง หลวงพ่อทรง หลวงพ่อมี เคยถีบจักรยาน ไปเที่ยวกันไกลๆ ข้ามจังหวัดยังมี สมัยยังหนุ่มโดยนัดมาเจอกัน การถีบไปเที่ยวกันเฉยๆ คงไม่ใช่ แต่ไปเรียนวิชากันมากกว่า เพราะแต่ล่ะท่าน อาคมขลังทั้งนั้น อาจารย์องค์หนึ่งที่น่าจะไปหาคือหลวงพ่อ ซวง นี่เอง


๑๐) หลวงพ่อ ภู (หรือ พู ) วัดดอนรัก หลวงพ่อทรงมีรูปหลวงพ่อพู ใส่กรอบติดที่หัวนอนของท่าน ในที่พักส่วนตัวท่านที่บ้านหลาน คนไม่รัก ไม่นับถือกันคงเอารูปมาไว้หัวนอนน่ะครับ หลวงพ่อพู นี้ ท่านที่เล่นตะกรุดควรทราบว่า ตะกรุดของท่านคือสุดยอดตะกรุดของสยามประเทศดอกหนึ่ง ไม่เป็นรองใครในแผ่นดินไทยนี้เด็ดขาด พกใส่กระเป๋ากางเกงได้ คาดเอวได้ มีทั้งโทนและ คาดเอว เป็นสุดยอดของปรมาจารย์ของอ่างทองท่านหนึ่ง ในยุคหนึ่ง ทั้งตำรวจ ทั้งมือปืน ในอ่างทองต่างคาดตระกรุดของหลวงพ่อพู เพราะประสบการณ์ฉกาจฉกรรณ์มาก อันนี้เขาบอกผมมา หลวงพ่อทรงท่านก็ ดำเนินรอยตามมาในการทำตะกรุด โดย ตะกรุดเอกของท่านก็คือ ตะกรุดมหาจักร และ เทพรัญจวน


๑๑) หลวงพ่อวัดปากน้ำ อาจารย์อีกองค์ของหลวงพ่อเกรียง อันนี้หลวงพ่อเกรียงท่านบอกผมเอง ว่าไปเรียนกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ ตอนผมไปขอตะกรุดท่านกับเพื่อน (ตอนนั้นผมไปหาท่านที่วัด วังน้ำเย็น ประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๒/๓๔ เสียดายที่ไม่ได้คุยท่านละเอียด และถามท่านถึงหลวงพ่อทรง ไม่งั้นผมคงเจอหลวงพ่อทรงมาก่อนหน้านี้หลายปี ) หลวงพ่อวัดปากน้ำมีบารมีมากขนาดไหน หลวงพ่อเกรียงไปเจออะไรดีๆ คงมาบอกเพื่อนมั่ง นอกจากนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำยังเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อผาด วัดไร่ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่อทรง เมื่อออกจากวัดยางมณี ก็ไปจำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อผาด ถึงประมาณ ๖ ปี ซึ่งหลวงพ่อผาดก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำเหมือนกัน มีรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ตั้งบูชาตรงที่ๆท่านรับแขก หลวงพ่อทรงน่าจะศึกษามาด้านนี้บ้าง แต่ศึกษาแบบเสือ ซ่อนเล็บ ไม่คุย ไม่อวด ทำให้พลังจิตท่านสูงยิ่ง


ผมจบประวัติของหลวงพ่อทรงอย่างคร่าวๆ น่ะครับ ท่านอาจจะมองเห็นว่า หลวงพ่อไม่ได้ไปศึกษา วิทยาคมที่ไหนไกลๆ แบบธุดงค์ไป หรือ ไปหาอาจารย์ไกลๆแบบที่เขาเขียนกัน ( เช่นไปหาหลวงพ่อเดิมถึงวัดหนองโพ ) เพราะคณาจารย์แถวอ่างทองลุ่มแม่น้ำน้อย ยุคนั้น เก่งจริงๆ ไม่ว่าพระหรือ ฆราวาส สืบเชื้อสายวิชาของลูกวิเศษชัยชาญ มาตั้งแต่ยุครบกับพม่า เช่นหลวงพ่อพัก วัดโบถส์ หลวงพ่อ นุ่ม วัดนางใน หลวงพ่อ หรุ่ม วัดบางจักร หลวงพ่อพู วัดดอนรัก หลวงพ่อผ่อนวัดขุมทอง ( บุตรบุญธรรมหลวงพ่อพัก ) หลวงพ่อ ชวน วัดยางมณี หลวงพ่อชั้ว วัดตูม หลวงพ่อกลุ่ม วัดฝาง(องค์นี้ก็อิทธิฤทธิ์ สุดยอด มีคนจัดให้เป็นเบอร์หนึ่งด้านอิทธิฤทธิ์ ของวิเศษฯที่เดียว ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า และเรียนมาอีก ร้อยกว่าอาจารย์!!!! ) หลวงพ่อกร่าย วัดโพธิ์ศรี ฯลฯ ยังมีที่ดังเงียบๆอีกน่ะครับ นอกนั้นยังมีจังหวัดข้างเคียง เช่น สุพรรณบุรี ( หลวงพ่อมุ่ย ) และสิงห์บุรี ( หลวงพ่อซวง ) แสดงให้เห็นว่า หลวงพ่อไม่ต้องไปไหนไกล ถึง อิสาน หรือ เหนือ เพราะอาจารย์เก่งๆ รอบตัวเยอะ แค่ นั่งเรือ หรือ ถีบจักรยานไปก็เหลือเฟือแล้วที่จะศึกษาให้เก่งได้ครับ

ข้อมูลจาก เวปพลังจิต ครับผม

หลวงตาทรง ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกรูปหนึ่งที่ได้ละสังขารจากโลกนี้ไป และก็พึ่งทำพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่านไปเมื่อวันที่ 18 เมษายน ที่ผ่านมานี้เองครับ
ท่านเป็นพระที่เรียกได้ว่ามีเมตตาต่อศิษย์ทุกคน ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชังโดยแท้ ผมเองเคยไปกราบท่านมาหลายครั้ง
รักและเคารพท่านมากครับ ท่านเป็นครูบาอาจารย์คนแรกที่ผมก้มกราบฝากตัวเป็นศิษย์เลยก็ว่าได้  :054:
พระเครื่องของท่านท่านตั้งใจทำทุกขั้นตอนครับ ถ้าใครเคยไปกราบท่านคงต้องเคยเห็นท่านจารวัตถุมงคลครับ
เหรียญบางรุ่นเล็กนิดเดียว ท่านก็ยังจารครับ ทุกขั้นตอนทุกอักขระท่านตั้งใจทำเต็มที่
มีครั้งหนึ่งผมไปกราบท่าน ตอนนั้นใกล้เพลแล้ว ท่านนั่งรับแขกอยู่ซึ่งก็คือผมกับครอบครัว ศิษย์ท่านก็มาตามท่านไปฉันเพลครับ
แต่เรียกยังไงท่านก็ไม่ยอมฉัน ท่านพูดมาคำเดียวครับว่า "เขามาไกลทำให้เขาก่อน เรือ่งฉันเอาไว้ทีหลังซิ"
ผมฟังแล้วน้ำตาแทบร่วงครับ ยิ่งตอนนี้ไม่มีหลวงตาแล้ว ยิ่งทำให้คิดถึงท่านมากๆครับ
สุดท้ายขออนุโมทนา และขอให้ดวงวิญญานของหลวงตาไปสู่สุขคติภพอยู่เป็นมิ่งขวัญในใจของศิษย์ตลอดกาลครับผม :054: :054:

37

รูปหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ ปรมาจารย์ด้านมีดหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองไทย :002:

เทพศาสตราวุธ อาวุธแห่งเทพเจ้า

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธมายาวนานกว่าพันปีแล้ว มีพระสงฆ์ที่มีความรู้ความสามารถด้านวิปัสสนาสัมมาปฎิบัติและเคร่งครัดในธรรมวินัยทั้งมีความเชี่ยวชาญในด้านอาคมที่สืบทอดกันมายาวนานสามารถคิดค้นพัฒนาวัตถุมงคล และเครื่องรางต่างๆ ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง

เครื่องรางต่างๆ ที่พระคณาจารย์เจ้าคิดค้นตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันมีมากมายหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีอานุภาพต่างๆ กันไป การสร้างก็จะนำวัสดุอาถรรพ์ต่างๆ และวัสดุที่มีชื่อเป็นสิริมงคลมาประกอบแล้วผูกด้วยพระพุทธมนต์บทต่างๆ นำมาร้อยเรียง ดัดแปลง แล้วถอดเป็นพระคาถาในการปลุกเสกโดยใช้กระแสจิตที่ฝึกมาดีแล้วมาบรรจุลงในเครื่องรางต่างๆ ซึ่งเป็นสูตรหรือวิธีการตายตัวในการสร้างเครื่องรางชนิดนั้นตกทอดมาถึงปัจจุบัน เครื่องรางที่ดีมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้

๑.      ของจริง หมายถึง เป็นตำราเก่าที่สืบทอดกันมาจากบูรพาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถจริง

๒.      รู้จริง หมายถึง ผู้สร้างที่สืบทอดมาต้องรู้จริงในกระบวนการขั้นตอนการสร้างอย่างถูกต้อง แม่นยำ และเชี่ยวชาญ

๓.    เห็นผลจริง หมายถึง เมื่อครบองค์ประกอบตามข้อ ๑ และข้อ ๒ แล้วเครื่องรางนั้นก็จะสมบูรณ์และศักดิ์สิทธิ์จริงตามสรรพคุณของเครื่องรางนั้นๆ 

จะเห็นได้ว่า กว่าจะเป็นเครื่องรางที่ดีนั้นต้องมีที่มาที่ไปชัดเจนผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย เครื่องรางแต่ละอย่างมีวิธีอาราธนาแตกต่างกันไป มีวิธีใช้แตกต่างกันไป ผู้ที่ได้รับเครื่องรางต่างๆ ควรจะสอบถามพระอาจารย์ผู้สร้างว่ามีพระคาถากำกับอะไรบ้าง มีข้อห้ามประการใดบ้าง และปฏิบัติตามข้อกำหนดนั้นๆ หมั่นนำเครื่องรางมาบริกรรมพระคาถาที่พระอาจารย์ให้มาเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธ์อยู่เสมอ เครื่องรางชนิดหนึ่งที่อยากแนะนำให้ผู้อ่านที่สนใจ คือ ?มีดเทพศาสตรา? ซึ่งจากการค้นคว้าข้อมูลมีความน่าสนใจมากไม่แพ้เครื่องรางชนิดอื่นๆ เลย คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนส่วนใหญ่ กลัวผี แม้จะเป็นคนโหดเหี้ยมดุดันเพียงไร ถ้าเจอผีแล้วหมดสภาพเป็นคนโหดและดุดันไปเลยทันที มีดเทพศาสตรานี้แหละที่เป็นเครื่องรางกำราบผีได้ดีที่สุดซึ่งอานุภาพสามารถป้องกันลมเพลมพัด ทำลายอาถรรพ์ต่างๆ อันเกิดจากอาคมจากภูตผีปีศาจ เวลาจำเป็นต้องเดินป่าและค้างอ้างแรมในป่า นอนต่างถิ่นแปลกที่นี้จำเป็นจะต้องมีเพราะอาถรรพ์ป่ามีมากมายนัก สถานที่แปลกถิ่นแปลกที่ที่เราก็ไม่ทราบว่าจะมีอาถรรพ์อะไรบ้างมีดเทพศาสตรานี้สามารถสะกดสัตว์ร้ายและอสรพิษ นักเลงที่ว่าอยู่คงกระพัน ยิงฟันไม่เข้า ถ้าเจอมีดเทพศาสตราแล้ว ผิวหนังยุ่ยทุกคนเลยทีเดียวนักเลงอาคมหรือพวกเล่นของจะกลัวกันมาก สามารถอาราธนาทำน้ำมนต์ดื่มกินรักษาโรคอันเกิดจากอาคม เกิดจากอาถรรพ์ต่างๆ แม้แต่คนถูกผีเข้า อานุภาพของมีดเทพศาสตราเมื่อพกติดตัวยังเป็นมหาอุด และแคล้วคลาดจากภัยจากอาวุธทั้งปวง มีประสบการณ์มากมายสำหรับคนที่พกมีดเทพศาสตรา โดยเฉพาะของหลวงพ่อเดิม พุทธสโรที่ท่านได้สร้างไว้ ข้าพเจ้าจะพาท่านไปทำความรู้จักขั้นตอนของการทำมีดเทพศาตราว่ามีขั้นตอนอย่างไร

   แต่โบราณจะสร้างเป็นมีดดาบสำหรับพระมหากษัตริย์และแม่ทัพเพื่อออกรบทำลายอาถรรพ์ของศัตรูตำราการสร้างน่าจะถือกำเนิดในสมัยอยุธยาตอนปลาย กรรมวิธีการสร้างตามแบบโบราณนั้น สร้างยากมาก ตั้งแต่ใบดาบต้องหาวัสดุอาถรรพ์ต่างๆ นำมาหลอมและตีเป็นใบดาบ วัสดุต่างๆ ที่นำมาหล่อหลอมมีดังนี้ ตะปูโรงผีตายโหง, ตะปูสังขวานร, เหล็กยอดเจดีย์, เหล็กทิ่มผี (เหล็กที่ใช้เขี่ยศพให้ไฟได้เผาโดยทั่ว สำหรับการเผาศพกลางแจ้งในสมัยโบราณ) บาตรแตก, เหล็กน้ำพี้ ทุกอย่างเมื่อหาได้ครบแล้วต้องตั้งศาลเพียงตา บวงสรวง ต้องหาฤกษ์ยามในการตีใบมีด ต้องหาฟืนที่เป็นไม้มงคลมาสุมไฟ เบ้าหลอมก็ต้องลงยันต์และอักขระต่างๆ มีราชวัติฉัตรธง เพดานต้องดาดด้วยผ้าลงยันต์ ช่างตีต้องนุ่งขาวห่มขาว บางอาจารย์จะทำการหลอมแล้วลงถม คือหลอมแล้วตีเป็นแผ่น พระอาจารย์จะนำมาจารอักขระบนแผ่นโลหะจนทั่วแล้วนำไปหลอม ทำแบบนี้จนครบ ๙ ครั้ง หรือ ๑๐๘ ครั้ง แล้วแต่พระอาจารย์ผู้สร้าง

   เมื่อตีเป็นดาบแล้วจะนำมาบรรจุของมงคลต่างๆ ที่ด้าม เช่น บรรจุผงอิทธิเจ, ผงตรีนิสิงห์เห ผงปถมัง, ผงว่านยาต่างๆ บางอาจารย์ใส่ตะกรุดลงบรรจุไว้ด้วยแล้วผนึกด้วยครั่ง เสร็จแล้วนำมาปลุกเสกอีกทีนานแค่ไหนแล้วแต่พระอาจารย์จะพอใจ, ไม้ต่างๆ ที่นำมาทำด้ามและฝักก็จะใช้ไม้อันเป็นมงคล เช่น ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์, ไม้พยุง, ไม้ค้ำโบสถ์, งา, เขาสัตว์ เป็นต้น

   ในปัจจุบันการทำดาบดังกล่าวข้างต้นเห็นจะเลิกกันไปแล้ว เลิกไปนานเท่าใดไม่ทราบแน่น่าจะเลิกไปตั้งแต่ร้างลาการทำสงครามด้วยดาบตำราดังกล่าวก็ได้เปลี่ยนแปลงประยุกต์เป็นการทำมีดพกในขนาดต่างๆ ขนาดใหญ่ที่สุดก็คงประมาณไม่เกินศอก แต่ก็มีจำนวนน้อยไม่แพร่หลาย เนื่องจากทำไว้ใช้เฉพาะตัว พกพาลำบาก มีดเทพศาสตราได้แพร่หลายมากในยุคสมัยของ ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม พุทธสโร) ในยุคแรกๆ ท่านทำให้ลูกศิษย์ของท่านที่ต้องรอนแรมในป่าเพื่อชักลากไม้มาสร้างศาลา สร้างโบสถ์ มูลเหตุที่ต้องสร้างมีดเทพศาสตรา เนื่องจากศิษย์ของท่านยามเมื่อเข้าป่าตัดไม้มักเจ็บป่วย ถูกอาถรรพ์ป่าเล่นงาน ถูกผีป่าบ้าง นางไม้บ้าง ไข้ป่าบ้างเล่นงานมาบางครั้งช้างตกมันบังคับไม่อยู่ทำให้ควาญช้างได้รับอันตรายท่านเลยสร้างให้ลูกศิษย์ไว้พกติดตัวเพื่อป้องกันภัยแลอาถรรพ์ป่าเมื่อลูกศิษย์พกติดตัวปัญหาต่างๆ คลี่คลายลูกศิษย์ทุกคนต่างประจักษ์ในความศักดิ์สิทธิ์ของมีดเทพศาสตราที่ท่านทำร่ำลือกันปากต่อปากคนที่ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มาขอให้ท่านทำให้จนทำแทบไม่ทันเพราะในยุคก่อนชาวบ้านส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพหาของป่าและชักลากไม้มาทำประโยชน์และนำมาจำหน่ายเพื่อหาเลี้ยงชีพเมื่อมีคนต้องการมาก กรรมการวัดจึงดำหริสร้างเพื่อให้ผู้ศรัทธาได้เช่า บูชาซะเลย เพื่อนำปัจจัยต่างๆ มาสร้างสาธารณะประโยชน์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีดเทพศาสตราของท่าน แพร่หลายอยู่มากพอสมควร ทำให้คนรุ่นหลังได้รู้จัก และได้มีโอกาสศึกษาให้ความสนใจในมีดเทพศาสตรานี้

       กรรมวิธีที่ท่านสร้างได้สอบถาม คนเก่าหลายท่านที่ได้รู้ได้เห็นต่างบอกตรงกันว่า ได้ว่าจ้างช่างให้ตีมีดมาส่งให้ท่าน เหล็กใบมีดนั้นแล้วแต่ช่างจะหามาตี อักขระต่างๆ บนตัวมีด ช่างจะเป็นคนนำมาขอให้หลวงพ่อเดิม เห็นชอบแล้วค่อยตอกลงบนใบมีดอีกที เสร็จแล้วจะนำมาที่วัดให้พระเณรช่วยกัน บรรจุของมงคล, แผ่นยันต์ลงในด้ามแล้วนำมาให้ท่านปลุกเสก อธิษฐานจิตอีกที มีดในยุคแรกจะเป็นขนาดใหญ่ประมาณ ๑ ศอก ฝักไม้ ด้ามไม้ แหม(แหวนรัดฝัก) อาจจะเป็นหวายถัก ต่อมาได้มีการทำเป็นฝักไม้ ด้ามงา และฝักงา ด้ามงา ตั้งแต่ ๑ ศอก, ขนาด ๙ นิ้ว (ขนาดของใบมีด),  ขนาด ๖ นิ้ว, ขนาด ๕ นิ้ว และขนาดปากกา ๒.๕ นิ้ว, ๒ นิ้ว และนิ้วครึ่ง ขนาดปากกาจะทำด้วยงาทั้งหมด แหวนรัดด้ามรัดฝักนั้นทำด้วยเงิน ทำด้วย ๓ กษัตริย์ คือทองนาค เงิน ก็มี

       ยุคสมัยของหลวงพ่อเดิม พุทธสโรนั้นเป็นยุคทองของมีดเทพศาสตราก็ว่าได้ ทำให้คนรู้จักมีดเทพศาสตรานี้มากขึ้น ท่านมีศิษย์ถ่ายทอดการทำมีดเทพศาสตราหลายรูปด้วยกัน เช่น หลวงพ่อกัน วัดเข้าแก้ว, หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร, หลวงพ่อน้อย วัดหนองโพ,หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ, หลวงพ่อโอด วัดจันเสน หลวงพ่อโอน วัดโคกเดื่อฯลฯ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก กูเกิลและเวปไซต์ สุริยันจันทราครับ


รูปภาพประกอบครับ เล่มนี้ของผมเอง ด้ามไม้งิ้วดำ ฝักไม้งิ้วดำ
เป็นมีดหมอของหลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้วครับ


อีกภาพครับ ตอนชักออกจากฝักแล้ว

ปล อยากได้มีดหมอของหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์กับเขาซักเล่ม แต่บุญยังไม่ถึงครับ แหะๆ
แต่ที่อยากได้จริงๆ ก็คือมีดหมอด้ามหัวเสือของวัดบางพระเรานี่แหละ อิอิ :009:


38
เป็นพระเนื้อผงพุทธคุณของ ลป ประเทือง อติกกันโต
อดีตเจ้าอาวาสวัดด่านเจริญชัย เพชรบูรณ์ครับ มีเอกลักษณ์ที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนสร้างเพราะ
แปลกตรงที่ว่า ช่างแกะพิมพ์เล่นแกะให้ท่านถือปืน M16 เสียนี่ ทันสมัยจริงๆ แบบนี้คงเป็นที่ถูกอกถูกใจ
ของทหาร ตำรวจ และหน่วยคอมมานโด เป็นแน่แท้ อิอิอิ :095:


ด้านหน้าครับ เล่นถือปืน M16 กันเลย


ด้านหลังครับโรยผงทอง  :002:

องค์นี้เพื่อนผู้อารีย์ให้ผมมาหนึ่งองค์ นานแล้วครับตั้งแต่สมัยรู้จักกันใหม่ๆ หุๆๆ :002: :016:

39
ถามว่าทำไม ก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดาๆนี่??????????

ลองมองกันให้ดีๆครับ บางท่านอาจจะสังเกตุอะไรได้บางอย่าง
ว่าหินก้อนนี้ มีรูปร่าง หรือร่องรอยที่คล้ายหรือเหมือนกับอะไร  :095:
ที่สำคัญ หินก้อนนี้ มีขนาด และรูปร่างที่เหมือนกับพระเครือ่งอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ  :074:


ด้านหน้าครับ


ด้านหลังครับ


40
เมื่อวานนึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาอย่างประหลาด
หลังจากไม่ได้จับกล้องตัวเก่ง Nikon d70s มาเสียนานนม
คราวนี้เลยทดลองจัดไฟเอง ตั้งขาตั้งกล้องเสียหน่อยแล้วลองถ่ายภาพตะกรุดต่างๆที่ผมสะสมไว้
มาแบ่งให้พี่ๆน้องๆได้ชมกันครับ
ปล ตอนแรกๆผมห่างจากกล้องไปนานกว่าจะปรับ white balance ให้นุ่มนวลสมดุล
ก็เล่นใช้เวลาไปอักโข ภาพที่เหลืองๆหน่อยๆนั่นเป็นเพราะไฟบนเพดานมันเป็นไฟเหลืองนวลครับ
ถึงแม้จะใช้โคมไฟ ฟลูออเรสเซนต์ส่องเน้นๆแทนก็ตาม แต่ก็ยังออกมาแนวเหลืองอมส้มหน่อยๆจนตอนหลังๆ
ก็เริ่มปรับให้ดีขึ้นตามลำดับครับ  :002: :002:


เริ่มกันด้วยตะกรุดโทน หลวงปู่แช่ม วัดดอนยายหอม เป็นตะกรุดที่พ่อผมได้รับ
มาจากคุณตาของผม(พ่อตา) อีกทอดหนึ่งครับ และตะกรุดดอกนี้เป็นตะกรุดดอกแรกในชีวิต
ที่ผมใช้คาดติดเอวมาตั้งแต่อยู่มัธยมต้น  :001:


ตะกรุดชุดพระเจ้าห้าพระองค์ หลวงปู่แม้นวัดหน้าต่างนอก เส้นนี้ผมใช้สมบุกสมบันที่สุด
ชนิดที่ว่าไม่ยอมถอดกระทั่งอาบน้ำ ที่เป็นตะกั่วนั้นเป็นตะกรุดเทพรัญจวน ของวัดศาลาดินครับ
ใช้เสียจนบุบบี้ เนื้อตะกั่วกลายเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว เพราะใช้ไม่ถนอม แถมพ่วงด้วยปลัดขิก
หลวงพ่อโฉม วัดเขาปัฐวี อีกตัวครับ ว่ากันว่ากันเขี้ยวงาชงัดนัก :054:


ชุดนี้ใช้ติดตัวบ่อยที่สุดครับ เรียกว่าชุดบู๊ประจำตัวก็ว่าได้ แหะๆ
ลองเดากันดูครับว่ามีอะไรบ้าง :095:


ตะกรุดโทนพร้อมลูกสะกดทองเหลือง หลวงพ่อสุวรรณ วัดยางครับ ประสบการณ์ลงหนัง
สือพิมพ์มาแล้ว เพราะตำรวจคาดแล้วไปจับคนร้าย โดนยิงเต็มๆไม่เข้าครับ :002:


ตะกรุดชุดสามดอก หลวงพ่อสุวรรณ เช่นกันครับ


ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป หลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้วครับ หนาและหนักมากๆดอกนี้


อีกชุดครับ สีดำดอกยาวที่สุด คือตะกรุดโทนของหลวงปู่ผาด วัดไร่ อ่างทองหลวงปู่ผาดท่านนี้
เป็นอาจารย์ของหลวงตาทรง วัดศาลาดิน พระเกจิอาจารย์รูปแรกที่ผมฝากตัวเป็นศิษย์อย่างนับถือ
ที่สุดครับ ดอกสีเงินๆนั้นเป็นตะกรุดหนุมานของวัดบางพระเรานี่เอง ส่วนสีดำดอกเล็ก เป็นตะกรุดแม่ทัพ
ของหลวงพ่อเกาะ วัดท่าสมอ พ่วงด้วยเบี้ยแก้ตัวเล็กๆน่ารักของหลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระครับ :005:


ตะกรุดมหาระงับ หลวงปู่พูน วัดบ้านแพน ดอกนี้ยาวมากๆครับ
เวลาคาดต้องคาดไว้ข้างหลัง เป็นอีกดอกที่ผมคาดเวลารู้สึกไม่สบายใจและต้องการที่พึ่งในยามยากครับ :016:


ตะกรุดโทนแคล้วคลาด ของหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ษา วัดพระพุทธบาทห้วยต้มครับ ดอกนี้เป็นตะกรุดที่สำหรับสวมที่คอ


ชุดนี้รวมๆครับ ดอกบนสุดคือตะกรุดพญาไม้ทะลุโพรง ดีทางทำมาหากินโชคลาภ
ส่วนดอกอื่นๆส่วนมากจะเป็นของวัดชายนาครับ พี่ชายใจดีท่านหนึ่งเมตตาให้ผมมาหลายดอกเหมือนกัน
ขอขอบพระคุณพี่จากใจจริงครับ ส่วนดอกสีทองๆสองดอกล่างสุด เป็นตะกรุดนะนวลจันทร์ของ อ.ถึง คงทน
อาจารย์สักของผมอีกท่านหนึ่งครับ  :058:


ตะกรุดข้อมือรักชาติ หลวงปู่แย้ม วัดสามง่ามครับ เส้นนี้เช่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปกราบท่านเลย  :002:


ตะกรุดสามห่วงหรือตะกรุดสามหู ของหลวงปู่แย้ม วัดสามง่ามครับ ใช้ติดตัวบ่อยเหมือนกัน
เพราะน้ำหนักเบา เรื่องแคล้วคลาดก็มีให้เห็นบ่อยๆครับ  :075: :016:


ดอกนี้ไม่ทราบที่ครับ คุณพ่อให้ผมมาตั้งแต่อายุ 15 เป็นเนื้อตะกั่วชั้นเดียว น้ำหนักเบาครับปิดทองมาแต่เดิม


ตะกรุดโทนพร้อมสายคาดเอว วัดบึงกระจับ ที่เพชรบูรณ์ครับ คุณปู่ได้มาตอนไปเป็นเจ้าภาพตัดลูกนิมิต ตอนหลัง
ท่านเลยเมตตาให้ผมมา :002:


รวมชุดทางเมตตาครับ ดอกไม่ใหญ่เกินไปนัก แขวนคอกำลังเหมาะเลย :002:


รวมๆครับ รกเสียไม่มี :002: :095:


สุดท้ายแถมของแปลกๆที่หลายๆท่านอาจจะไม่ค่อยคุ้นกันครับ ปลัดหัวชะมด ของหลวงพ่อประเทือง
อติกกันโต อดีตเจ้าอาวาสวัดด่านเจริญชัย จ.เพชรบูรณ์ครับ ท่านเป็นหนึ่งในครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพมาก :001:
ตัวนี้ใช้มาค่อนข้างสมบุกสมบันครับ มีเรือ่งแปลกๆอยู่ครั้งหนึ่งผมห้อยปลัดตัวนี้ไว้ที่เอว พอไปกราบหลวงปู่พูน วัดบ้านแพน
ก้าวข้ามธรณีประตูกุติท่านไปแค่ก้าวเดียว เชือกที่ห้อยปลัดหัวชะมดขาดกระจุยครับ พ่อปลัดร่วงลงพื้นเต็มๆจมูกเลยบิ่นไปนิดหน่อย
แต่ยังหล่อเหมือนเดิม อิอิอิ  :074: :005:

ถ้าพี่ๆท่านใดมีเทคนิคการจัดไฟให้ถ่ายรูปออกมาสวยๆอย่างไร ก็แนะนำผมบ้างนะครับ ร้างไปนาน
ต้องฟื้นความจำกันนานเลยทีเดียวแหะๆ :075:

41
บทความ บทกวี / วิธีพิชิตความโกรธ
« เมื่อ: 25 เม.ย. 2552, 08:30:06 »
เรามาทำความรู้จักกับความโกรธ หรือ "ตัวโกรธ" กันก่อนดีกว่านะครับ หุๆ :095:

1. ลักษณะของความโกรธ
เมื่อมีอารมณ์โกรธ ทุกคนย่อมคิดว่าตนเองนั้นถูกต้องเสมอ ทุกๆ คนต่างหยิบยกเหตุผลต่างๆ นานา มาสนับสนุนในสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูก ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมแพ้แม้แต่ก้าวเดียว ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าสู่ความเป็น ?คนโง่? หรือที่พระพะยอมท่านว่า โกรธคือโง่ นั่นเอง
เมื่อมีความโกรธ จะทำให้ขาดสติและถูกหลอกได้ง่าย เพราะคนที่โกรธจะไม่ฟังใคร ยกเว้นคนที่คิดเหมือนกับตัวเอง ยิ่งมีกำลังเสริมยิ่งฮึกโหม คิดว่าตนเองนั้นถูกต้อง จึงถูกจูงจมูก และใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างง่ายดาย
เมื่อมีความโกรธ จะมองโลกในแง่ร้าย ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และคิดว่าปัญหาไม่สามารถแก้ไขหรือประนีประนอมได้ และมีแนวโน้มที่จะรุนแรง
เมื่อมีความโกรธ จะมีความคิดในแง่ลบผุดขึ้นมามากมาย ขุดทั้งเรื่องในปัจจุบันและเรื่องที่สะสมมาในอดีตมาป้ายสี ก่อให้เกิดอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง คำพูดจะบิดเบือน วาจาจะก้าวร้าวรุนแรง มองไม่เห็นหัวคนอื่น เพราะคิดว่าตัวเองเท่านั้นที่ถูกต้อง


2. โทษของความโกรธ
บุญบารมี โชคลาภ วาสนา ความรู้สึกที่ดีต่อกัน และภาพพจน์ดีๆ ที่เคยสั่งสมมาทั้งหมดจะสูญสลายไปในพริบตา บางครั้ง เสมือน ทำให้แก้วเจียรนัยราคาแพง แตกร้าว ที่ยากจะเชื่อมประสานให้ดีดังเดิม โดยไม่มีรอยแตก จึงต้องระวังให้มาก เพราะในขณะที่โกรธ ตัวเราจะขาดสติ คำพูดจะมีเสียงดัง จะเสียดแทงจิตใจ แววตาจะดุร้าย กิริยาจะรุนแรง สูญเสียบุคลิกภาพ และทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างศัตรู โดยที่เราไม่รู้ตัว และหากถึงขั้นรุนแรงเป็นขั้นโมโห ก็จะมีการทำร้ายร่างกาย จะยิ่งเป็นการสร้างกรรมเวรขึ้นอีกเป็นทวีคูณ และที่สำคัญเมื่อมีอารมณ์โกรธ
ร่างกายจะปล่อยสารทำลายเนื้อเยื่อและระบบภูมิคุ้มกันทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมได้ง่าย นอกจากนั้น การโมโหจนเป็นนิสัย จะเป็นการเติมเชื้อโทสะที่มีอยู่ในจิตใจให้มีกำลังรุนแรง ทำให้มองความโกรธว่าเป็นเรื่องธรรมดา กิริยาจะก้าวร้าวจนเป็นนิสัย มักชอบใช้ความรุนแรงเข้ายุติปัญหา ลูกหลานและคนรอบข้างก็จะติดนิสัยไปด้วย สังคมจะมีแต่ความแตกแยกหาความสุขไม่ได้

วิธีพิชิตความโกรธโดยวิธีแห่งมหายาน

3. วิธีรับมือกับความโกรธ
นิ่งสงบ หยุดพูด หยุดหาเหตุผลมาปกป้องตัวเอง และตั้งใจฟังอีกฝ่ายว่า อีกฝ่ายมีประเด็นอะไร สาเหตุที่อีกฝ่ายโกรธคืออะไร และตั้งใจมองอีกฝ่าย ด้วยความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจต่อความระทมทุกข์ของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง (Compassionate listening) ขณะที่ฟังห้ามพูดโดยเด็ดขาด ยิ้มได้อย่างเดียว
รู้จักข่มใจ เช่น หายใจลึกๆ หรือใช้ลิ้นดันเพดานในปากไว้เพื่อข่มความโกรธ เป็นต้น
เมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจบแล้ว ถ้าจำเป็นต้องพูดให้พูดเท่าที่จำเป็นด้วยวาจาที่สุภาพ ไพเราะ นุ่มนวลและพูดเปี่ยมด้วยความรัก (Loving speech) ผู้พูดควรได้ยินเสียงทุกเสียง ที่ตัวเองพูดโดยการพูดทีละคำฟังที่ละเสียง และพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่พูดเสียงดังแต่ถ้ายังไม่ถึงโอกาสที่ควรพูด เช่น อีกฝ่ายหรือแม้แต่ตัวเราเองขณะกำลังมีอารมณ์ขุ่นมัว ไม่สามารถพูดกันดีๆ ได้ก็ให้เงียบเสียดีกว่า ไม่จำเป็นต้องรีบพูดโดยทันที เพราะ พูดไปตอนนี้อีกฝ่ายก็คงไม่รับฟัง
อย่าหลงเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายที่พูดออกมาตอนที่โกรธ เพราะเมื่อจิตโกรธข้อมูลทั้งหลายจะบิดเบือนไปได้ทั้งสิ้น ให้ฟังหูไว้หู ฟังอย่างเดียวไม่ต้องโต้ เถียงหาข้อเท็จจริง
เมื่อรับฟังแล้ว พูดเท่าที่จำเป็นแล้ว ให้หลบเลี่ยงออกจากสถานที่และบุคคลนั้นๆ
มองปัญหาที่เกิดขึ้นในภาพรวม และแก้ไขปัญหาเป็นจุดๆ ไป ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ คันที่ไหนให้เกาที่นั่น
ฝึกนิสัยที่จะไม่โกรธ ใครมาพูดจายั่วยุให้โกรธ เราจะไม่สนใจและเลิกใส่ใจกับคนที่ชอบนินทา หรือชอบหาเรื่องทำให้เราโกรธ
มองความรู้สึกของตัวเองอยู่ตลอดเวลา พร้อมๆ กับการหายใจลึกๆ เพื่อให้รู้เท่าทันอารมณ์จะได้ระงับความโกรธได้อย่างทันท่วงที เมื่อโกรธ รู้ว่ากำลังโกรธ โกรธเพราะอะไร ความโกรธหายไปเมื่อไร และสิ่งใดทำให้เราหายโกรธได้ เป็นต้น
สร้างปัจจัยความสุขในจิตใจมากๆ ทำจิตใจให้สบายๆ เช่น ออกกำลังกายเป็นประจำ จิตใจจะได้ไม่เครียด เป็นต้น ความสุขเหล่านี้จะไปทดแทนโทสะที่มีอยู่ในจิตใจได้
อย่ายึดมั่นถือมั่นในความคิดทั้งหลายทั้งปวง เพราะสิ่งที่เราเห็นในขณะนี้ เป็นความจริงเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยใหม่ เข้ามา สิ่งที่เราคิดว่าใช่ มันก็เปลี่ยนแปลงไปได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้น อย่าเชื่อนักในสิ่งที่เห็น และอย่าเชื่อนักในสิ่งที่ได้ยิน
ความโกรธไม่สามารถเอาชนะความโกรธได้ แต่ความรัก ความเมตตา ความเข้าใจ และการให้อภัยจึงจะสลายความโกรธลงได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อ เมตตาแล้วต้องไม่เดือนร้อนต่อตัวเองและผู้อื่นด้วย จึงจะเรียกได้ว่ามีความเมตตาอย่างแท้จริง

ลองนำไปใช้กันดูนะครับ 21;
ข้อมูลจาก http://www.novabizz.com/NovaAce/Emotional/Anger.htm ครับ

42
ขออนุญาตพี่ๆทีมงานเวปบอดร์ด นำเอารอยสักสายวัดสาลีโขแท้ๆมาให้
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆในบอร์ด ได้รับชมกันนะครับ :001:

พอดีผมนั่งดูอินเตอร์เนต เสิดหาไปเรื่อยๆ จนมาเจอจนได้ครับ
รอยสักสำนักวัดสาลีโขภิตาราม !!!!!!!!!!
ที่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักสักที่ต้องดื่มน้ำสาบาน ว่าจะไม่ไปสักต่อที่อื่นเด็ดขาดหลังจากสักที่นี่ครับ!!!!!!!!!


อักขระจะน้อยครับส่วนมากเป็นตัวนะ เสียมาก  :095:


ดูเข้มขลังมากๆครับ ด้านล่างคือหนุมานหางยุ่ง หรือหนุมานวัดสาลีโข ตัวจริงเสียงจริงครับ

การสักของที่นี่ได้ยินว่าเลือกไม่ได้นะครับ ต้องสักตามเสต็ปที่ครูบาอาจารย์วางไว้อย่างเคร่งครัด (ไม่มีการขึ้นทางด่วน หุๆ :095:)
กว่าจะได้เต็มหลัง นี่ใช้เวลาหลายปี นานมากๆครับกว่าจะเต็มหลังหรือได้หนุมานซักตัวหนึ่ง  :054:
สังเกตุที่หางหนุมานครับมีเจ็ดขอด ได้ยินว่าแต่ละขอดจะลงคากระทู้เจ็ดแบกไว้ด้วย หนึ่งแบกต่อหนึ่งขอดครับ
ผิดพลาดประการใด ผมก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ข้อมูลอ้างอิงจาก XXXXXXลิงค์ดังกล่าวมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนวัตถุมงคลXXXXXX ครับ อาจะจะยาวไปนิด เพราะผมเสิดในกูเกิลแล้วเจอโดยบังเอิญครับ ขออภัยด้วย

43
อิ้นครับ เนื้อตะกั่วหรือสำริดผมก็ไม่แน่ใจ





ของเก่าของที่บ้าน คุณพ่อได้จากเพื่อนท่านมาอีกทีครับ
ไม่ทราบที่เลยครับ ใครมีข้อมูลช่วยผมได้บ้างครับ แหะๆ


44
ขอบพระคุณพี่ๆผู้ดูแลเวปบอร์ดวัดบางพระมากๆครับ
ที่ได้เมตตาส่งของรางวัลมาให้ (ตอนไปไหว้ครูผมก็ไม่ได้ไปรับด้วยตนเองแหะๆ) :075:


ด้านหน้าครับ หลวงปู่ยิ้มดูมีเมตตามากๆ สีอาจจะเพี้ยนนิดนะครับ ตอนถ่ายไม่ได้เช็ก white balance ของกล้อง  :075:


ด้านหลังครับ ลงคาถาทางเมตตามหานิยมโภคทรัพย์ทั้งนั้นเลย

ขอบพระคุณพี่ผู้ดูแลที่ได้เมตตาจัดส่งมาให้ผมนะครับ ขอบคุณจริงๆครับ :047:


45
วันนี้ได้มีโอกาสไปวัดห้วยขวางอีกครั้ง หลวงพี่หนึ่งท่านเลยเมตตา
สักให้มาครับ ยันต์ลิงนั่ง(บางคนอาจจะนึกว่าเป็นสิงห์)
แต่นี่คือลิงจริงๆครับ ลงหัวใจลิงและหัวใจทรหด นะหิโลกัง อิอิอิ
 :095: :005:


ตอนสักเสร็จใหม่ๆครับ ลิงอาบเลือด!!!!!!!!ไหลจ๊อกเลย หลวงพี่แทงเอาๆๆปึ้กๆๆ 01;


กลับมาบ้านเลือดหยุดไหลแล้วครับ ฮี่ๆ


เปรียบเทียบลิงนั่งกับลิงตัวครู  :095:



46

ขอน้อมนบเคารพครู บูชาพ่อปู่ไว้เหนือเศียรเกล้า...............

   ผมว่าพี่ๆน้องๆในบอดร์ดหลายๆคนอาจจะเคยผ่านการครอบครูหรือครอบเศียรกันมาบ้างแล้ว แต่บางท่าน
อาจจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่า ครอบทำไม และการครอบเศียรแท้จริงแล้วมาจากอะไร???

   ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าครับ ว่าเศียรครูต่างๆที่เรานับถือบูชาท่านอยู่นั้นส่วนมากแล้ว
ทำมากจากอะไร :005:   


แต่ก่อนจะไปอ่านวิธีการทำ เรามาศึกษาถึงเรื่องราวและพิธีการไหว้ครูครอบครูของช่างทำหัวโขนกันก่อนซักนิดนะครับ
   
   ประเพณีความเชื่อซึ่งประชาชนทั้งหลายนับถือเรื่องรามเกียรติ์ว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธเนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้า โดยเฉพาะพระนารายณ์ เมื่อมีการแสดงเรื่องรามเกียรติ์ จึงมีพิธีกรรมและความเชื่อเกี่ยวกับการแสดงโขนและหัวโขนที่สวมใส่ปรากฎสืบมาจนกลายเป็นระเบียบแบบแผนที่ลงตัวสืบมาจนถึงปัจจุบัน
พิธีไหว้ครูช่างหัวโขน
หัวโขน ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการแสดงโขน เพราะเป็นสิ่งบอกให้รู้ว่าผู้นั้นแสดงเป็นตัวอะไรในเรื่องรามเกียรติ์ ช่างแต่โบราณจึงได้คิดประดิษฐ์หัวโขนขึ้นเพื่อให้ผู้แสดงโขนสวมใส่และงานประดิษฐ์หัวโขนนับถือเป็นศิลปะแขนงหนึ่งในงานช่าง 10 หมู่ ผู้ที่เป็นช่างทำหัวโขนจึงจะต้องผ่านพิธีไหว้ครูและการครอบครูมาก่อน เมื่อประสงค์จะปั้นหน้าครูที่สำคัญ เช่น พระภรตฤาษี พระพิราพ พระคเณศ เป็นต้น แม้จะเป็นผู้ที่มีฝีมือและมีความชำนาญมากเพียงใดก็ตาม ก็จะต้องได้รับการมอบหมายจากครูที่เป็นช่างทำหัวโขน พร้อมทั้งพิธีไหว้ครูโขน-ละครประจำปีก็ได้ตามแต่จะสะดวกหรือโอกาสอำนวยในการไหว้ครูช่างทำหัวโขนจะทำในวันพฤหัสบดีซึ่งถือเป็นวันครู โดยในตอนเช้าจะมีพิธีสงฆ์หรือครูกับศิษฐ์ร่วมกันทำบุญตักบาตรเพื่อุทิศส่วนกุศลให้แก่ครูผู้ล่วงลับไปแล้ว
 
    ลักษณะการตั้งหัวโขนแบบต่าง ๆ ในพิธีไหว้ครู
1.แบบตั้งรวมกับพระพุทธรูป
1.1 แบบ 12 หน้า จะมีหัวโขนดังนี้ พระอิศวร พระนารายณ์
พระพรหม พระอินทร์ พระขันธกุมาร พระคเณศ พระปรโคธรรพ
พระปัญจสีขร พระภรตฤาษี พระพิราพ พระวิษณุกรรม เทริด
1.2 แบบ 10 หน้า จะมีหัวโขนดังนี้ พระอิศวร พระนารายณ์
พระขันธกุมาร พระคเณศ พระปรโคนธรรพ พระปัญจสิงขร พระภรตฤาษี พระพิราพ พระวิษณุกรรม เทริด
1.3 แบบ 8 หน้า จะมีหัวโขนดังนี้ พระอิศวร พระนารายณ์ พระขันธกุมาร พระคเณศ พระปรโคนธรรพ พระปัญจสีขร พระภรตฤาษี พระพิราพ
1.4 แบบ 6 หน้า จะมีหัวโขนดังนี้ พระอิศวร พระนารายณ์
พระปรโคนธรรพ พระภรตฤาษี พระพิราพ พระวิษณุกรรม
1.5 แบบ 4 หน้า จะมีหัวโขนดังนี้ พระอิศวร พระนารายณ์
พระภรตฤาษี พระพิราพ
1.6 แบบ 2 หน้า จะมีหัวโขนดังนี้ พระภรตฤาษี พระพิราพ
2.แบบพระพุทธรูปอยู่ต่างหาก
มักจะจัดเป็นชั้นลดหลั่นลงมา
ชั้นสูงสุด เป็นพระมหาเทพทั้งสาม มีพระอิศวรอยู่ตรงกลาง
พระนารายณ์อยู่ด้านขวา พระพรหมอยู่ด้านซ้าย
ชั้นที่สอง เป็นเทพสำคัญ มีพระภรตฤาษี พระฤาษีกไลยโกฎ
พระคเณศ พระปรโคนธรรพ พระปัญจสีขร พระวิษณุกรรม พระอินทร์ พระพิราพ เทพนมเคราะห์ต่าง ๆ
ชั้นที่สาม ด้านขวามี พระราม พระลักษณ์ พระพรต พระสัตรุด พญาวานร วานรสิบแปดมงกุฎ วานรบริวาร
ตรงกลางมี นรสิงห์ เงาะช้างเอราวัณ ชฎา มงกุฎ เครื่องประดับศีรษะต่าง ๆ อาวุธต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดงและสำหรับมอบ
ด้านซ้ายมี อสูรพรหมพงศ์ อสูรพงศ์ อสูรเทพบุตร สัมพันธมิตรกรุงลงกา อสูรบริวาร
หมายเหตุ ด้านซ้าย-ขวานี้ให้ถือเอาทิศด้านหน้าที่บูชาโดยหันหน้าออก



การครอบครู ตามลักษณะทางนาตศาสตร์อย่างแท้จริงครับ
ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีครอบ
ในการแสดงโขนละครผู้ฝึกหัดจนสามารถออกแสดงได้แล้วจะต้องผ่านพิธีครอบ โดยในพิธีไหว้ครูโขน-ละครประจำปี ครูจะต้องทำพิธีครอบให้กับศิษย์ หากยังไม่ผ่านพิธีครอบก็จะไม่ออกแสดงโดยเด็ดขาด เพราะหากเกิดเหตุอะไรขึ้นถือว่าผิดครูหรือเป็นเพราะแรงครูในพิธีครอบครูจะนำหัวโขนหน้าพระภรตฤาษี หน้าพระพิราพ และเทริดมโนห์รา ครอบให้ศิษย์ ครูที่จะทำพิธีครอบให้ศิษย์นั้นจะต้องได้รับมอบหมายจากครูเดิมเสียก่อน และจะทำพิธีเองได้ก็ต่อเมือครูเดิมเสียชีวิตไปแล้ว หรือได้รับมอบหมายจากครูเดิมให้ทำครอบแทนเป็นคราว ๆ ไป หากขาดตัวครูที่จะทำการครอบ หรือจะทำพิธีต่อหน้าพาทย์เพลงหน้าพาทย์ชั้นสูง คือเพลงองค์พระพิราพ จะต้องกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงเป็นประธานพระราชทานการครอบดังเช่นในรัชกาลปัจจุบัน
พิธีครอบครูนี้ถือเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ และสะอาด ในขณะที่ทำพิธีครอบผู้เป็นศิษย์จะต้องมีความสำรวม แสดงความเคารพ หากแสดงอาการลบหลู่ หรือไม่เชื่อถืออาจเป็นบ้าหรือเสียสติ ซึ่งโบราณเรียกว่า ต้องครู เพชรฉลูกัน (วิษณุกรรม) หรือผิดครู ต้องแรงครู
   


มาชมวิธีการสร้างหัวโขนกันบ้าง
   หัวโขนเป็นเครื่องสวมศีรษะประเภทหนึ่งสำหรับนักเล่นหรือผู้แสดงมหรสพอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "โขน" ใช้สวมใส่ในการแสดงแต่ละคราว หัวโขนนี้นอกจากจะใช้สวมศีรษะหรือปิดบังหน้าผู้แสดงโขนแล้ว หัวโขนยังเป็นศิลปวัตถุประเภทประณีตศิลป์ เป็นงานศิลปะที่ได้รับการสร้างขึ้นอย่างวิจิตรประณีต ด้วยกระบวนการช่างแบบไทยประเพณีที่แสดงออกให้ประจักษ์ในภูมิปัญญาและเอกลักษณ์ในงานศิลปะแบบไทยประเพณีประเภทหนึ่ง หัวโขนจึงเป็นศิลปวัตถุ ที่มีรูปลักษณะควรแก่การดูชม และเก็บรักษาไว้เพื่อการชื่นชมในรูปสมบัติและคุณสมบัติในฐานะศิลปกรรมไทยประเพณี
วิธีการและกระบวนการทำหัวโขน โดยวิธีกาอันเป็นไปตามระเบียบวิธีแห่งการช่างทำหัวโขนตามขนบนิยมอันมีมาแต่ก่อน และยังคงถือปฎิบัติการทำหัวโขนของช่างหัวโขนบางคนต่มาจนกระทั่งปัจจุบัน อาจลำดับระเบียบวิธีของวิธีการและกระบวนการทำหัวโขน ให้ทราบดังนี้  
  วัสดุ:
กระดาษสา กระดาษข่อย กระดาษฟาง โดยใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง
รักน้ำเกลี้ยง และรักตีลาย
สมุกใบตองแห้ง สมุกใบลาน สมุกถ่านกะลา สมุกใบจาก โดยใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง น้ำมันยาง ปูนแดง ชันผง ทองคำเปลว กระจกสี พลอยกระจก หนังวัวแห้ง สีฝุ่น กาว และแป้งเปียก ยางมะเดื่อ ลวดขนาดต่าง ๆ
เครื่องมือ
แม่พิมพ์หินสบู่ ไม้ตีกระยัง ไม้เสนียด ไม้คลึงรัก มีดตัดกระดาษ เพชรตัดกระจก ไม้ตับคีบกระจก กรรไกร เข็มเย็บผ้า และด้าย สิ่วหน้าต่าง ๆ และตุ๊ดตู่ เขียงไม้ แปรงทาสี พู่กันขนาดต่าง ๆ
  
 การเตรียมวัสด ุ: วัสดุที่จะต้องจัดเตรียมขึ้นโดยเฉพาะสำหรับทำเป็นลวดลายต่าง ๆ ประดับตกแต่งหัวโขนแต่ละแบบ ๆ คือ "รักตีลาย" ซึ่งต้องเตรียมทำขึ้นไว้ใช้ให้พอแก่งานเสียก่อน รักตีลาย ประกอบด้วย รักน้ำเกลี้ยง ชัน น้ำมันยาง ผสมเข้าด้วยกัน เอาขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ เคี่ยวไปจนงวดเหนียวพอเหมาะแก่การเอาลงกดในแม่พิมพ์หินทำเป็นลวดลาย เช่น กระจัง เป็นต้น ซึ่งแข็งตัวแล้วไม่เปลี่ยนแปลง รักตีลายนี้เมื่อเคี่ยวได้ที่แล้วเอามาปั้นเป็นแท่งกลมยาวประมาณคืบ 1 ใช้ปูนแดงผสมน้ำทาหุ้มให้ทั่ว ห่อด้วยใบตองให้มิดเก็บไว้ใช้สำรองต่อไป
การเตรียมหุ่น หุ่นในที่นี้คือ "หุ่นหัวโขน" แบบต่าง ๆ ซึ่งจะใช้เป็นต้นแบบสำหรับทำหัวโขน มีดังต่อไปนี้
หุ่นพระ-นาง อย่างปิดหน้า
หุ่นยักษ์โล้น
หุ่นยักษ์ยอด
หุ่นลิงโล้น
หุ่นลิงยอด
หุ่นชฏา-มงกุฎ
หุ่นเบ็ดเตล็ด เช่น หุ่นศีรษะฤาษี หุ่นศีรษะพระคเณศ เป็นต้น
หุ่นต้นแบบ ที่จะได้ใช้กระดาษปิดทับให้ทั่วแล้วถอดออกเป็น "หัวโขน" ซึ่งภายกลวง เพื่อที่จะใช้สวมศีรษะผู้แสดง หุ่นต้นแบบนี้แต่เดิมทำด้วยดินปั้นเผาไฟให้สุก
หุ่นหัวโขนชนิดสวมศีรษะและปิดหน้ามักทำเป็นหุ่นอย่าง "รูปโกลน" มีเค้ารอย ตา จมูก ขมวดผม เป็นต้น แต่พอเป็นเค้า ๆ ไม่ต้องชัดเจนมากนัก ส่วนในหูนั้นละเอาไว้ยังไม่ต้องทำ เอาไว้ต่อเติมภายหลัง
หุ่นหัวชฎา-มงกุฎ ทำเป็นรูปทรงกระบอก ส่วนบนกลึงรัดเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปเป็นจอมแล้วละไว้ตรงส่วนเหนือบัวแวง ซึ่งเป็นที่สวมยอดแบบต่าง ๆ เช่น ยอดชัย ยอดบัด ยอดทรงน้ำเต้า เป็นต้น
 

ความเชื่อเกี่ยวกับการเก็บหรือการตั้งหัวโขน
ทั้งในเวลาแสดงและเวลาเก็บรักษาในคลังเก็บเครื่องโขน นิยมแบ่งเก็บเป็นพวกเป็นส่วนสัดไว้ในที่ที่สมควร ไม่ทิ้งเรี่ยราด "หัวโขนหน้ายักษ์ หน้าลิง จะต้องเก็บกันไว้คนละด้านไม่ให้ปะปนกัน"!!!!!
    มีหัวโขนหน้าฤาษีคั่นระหว่างกลาง เคยมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นที่วังจันทรเกษมอันเป็นที่ตั้เงกรมมหรสพเดิม ในรัชกาลที่ 6 และเป็นบริเวณกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันนี้ ในห้องคลังเครื่องโขนมีตู้กระจกเป็นที่เก็บหัวโขนแบ่งเป็นสองฝ่ายตามแบบอย่าง คราวหนึ่งมีผู้อุตริยกหัวโขนหน้าพระฤาษีซึ่งคั่นไว้ระหว่างหัวโขนฝ่ายยักษ์กับฝ่ายลิงไปไว้ที่อื่น จะด้วยความเจตนาหรือความหลงลืมก็ไม่อาจทราบ วันรุ่งขึ้นปรากฎว่าบานกระจกตู้เก็บหัวโขนแตกละเอียดเกือบหมด หัวโขนบางหัวตกลงมาฉีกขาด กระจัดกระจายบุบสลาย จอนหูหัก เขี้ยวยักษ์หลุด แต่โดยมากจะเป็นหน้าเสนายักษ์กับหน้าลิงสิบแปดมงกุฎ และส่วนมากหัวโขนหน้ายักษ์จะชำรุดมากกว่าหัวโขนหน้าลิง
นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามอีกข้อหนึ่ง คือ ห้ามไม่ให้นำหัวโขนตลอดจนเครื่องแต่งตัวโขนมาเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ต้องพาไปฝากไว้ที่วัด เพราะถือว่าเป็นของร้อน ห้ามแม้กระทั่งรูปวาดของตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์นำมาไว้ในบ้าน แต่ปัจจุบันข้อห้ามเหล่านี้แทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เพราะทั้งช่างผู้ประดิษฐ์หัวโขนก็สร้างหัวโขนเก็บไว้ที่บ้าน การทำจำหน่ายก็แพร่หลาย นักแสดงต่าง ๆก็นิยมเก็บเครื่องแต่งกายไว้ที่บ้านเพื่อความสะดวก ฉะนั้นการเก็บหัวโขนไว้ที่บ้านถ้าผู้เก็บรู้จักที่จะเก็บไว้ที่เหมาะสม และผู้ที่เป็นเจ้าของรู้จักปฎิบัติให้ดีก็ให้คุณมากกว่าโทษ

ข้อมูลอ้างอิงจาก  http://members.tripod.com/tyzo_ros/html/pagetakekhon.htm ครับ
เราเป็นคนไทย มีศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามและไม่เหมือนชาติใดในโลก หัวโขนและเศียรครูเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมรักและอยากจะเผยแพร่
ให้เป็นที่รู้จักแกสายตาชาวไทย และชาวโลกครับ  :095:
 
 

  

47
เทศกาลปีใหม่ไทย เวียนมาถึงซักทีผมก็ขอทำบุญสรงน้ำพระในบ้านที่ท่านประดิษฐานอยู่ ณ โต๊ะหมู่บูชา
ที่บ้านเสียหน่อย หวังอานิสงค์ให้บังเกิดความสงบร่มเย็นแก่คนในครอบครัวและตัวเอง
อะไรที่ร้อนก็จะได้เย็นลงมาบ้างครับ หุๆๆ :005:

ดูของพี่ๆท่านอื่นมาบ้างแล้ว ลองชมของผมบ้างนะครับ :095:

โต๊ะหมู่บูชาที่บ้านครับ


หิ้งครูครับ


โต๊ะหมู่ชุดทางขวาครับ


โต๊ะหมู่ทางซ้ายครับ (เน้นพระพุทธรูปแหะๆ)


ที่ประทับของเสด็จพ่อปิยะมหาราช และเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรครับ


ตู้นี้ก็รวมๆไว้หลายอย่างครับ  :095: :095:


รูปถ่ายบูชาของหลวงปู่เปิ่น ที่คุณพ่อได้มาจากเพื่อนท่านอีกทีนึง อยู่กับบ้านผมมาได้
เกือบ 20 ปีแล้วครับ เป็นรูปที่ทันหลวงปู่ปลุกเสกมาจากวัดครับ


อันนี้อยู่นอกห้องพระครับ หิ้งแม่นางพิม และแม่ตะเคียนทอง(ที่เป็นเรือนั่นแหละครับ) :001:
 



48
หลายๆคน ยิ่งคนที่สักใหม่ๆและยังไม่ได้ศึกษาอย่างเจาะลึก
และก็เป็นคำถามที่ยอดฮิตของแวดวงการสักยันต์ ว่าหนุมานแบบนั้นดีอย่างไร
แบบนี้ดีอย่างไร แบบไหนเจ๋งที่สุด แบบไหนดีทีสุด สักตัวไหนแรงที่สุด
ลองมาอ่านบทความนี้กันดูครับ

...เหตุใดทำไม "หนุมาน" จีงมีหลายตน........

อันหนุมานเป็นบุตรของ "พระพาย" กับ "นางสวาหะ" มีกำเนิดมาจากเทพอาวุธของพระอิศวร ได้แก่

จักร สังข์ คฑา ตรีศูล หนุมานนั้นมีกายสีเผือก เอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งคือ มีเขี้ยวแก้ว กุณฑล ขนเพชร (อย่าคิดทะลึ่งครับ)

สามารถแผลงฤทธิ์ ให้มี 4 หน้า 8 มือ หาวเป็นดาวและเดือน (พระจันทร์)ได้ อยู่ยงคงกระพันชาตรี ถ้าถูกอาวุธตาย พอโดนลมพัดมาถูกร่างกาย

ก็จะฟื้นทันที ทำให้รบกับใครก็ชนะ ทำอะไรก็สำเร็จ อีกทั้งมีเมตตามหาเสน่ห์ อยู่ในตน อาวุธประจำกสยของหนุมานคือ "ตรีเพชร" (สามง่าม)

ในวรรณคดีเรื่อง "รามเกียรติ์" หนุมาน ออกรบเคียงบ่า เคียงไหล่กับ "พระราม" และ "พระลักษณ์" หลายตอน ทั้งอาสาออกรบเข้าประจัญบาน

จนรบชนะ และครองเมือง

พระอาจารย์ในอดีต จึงเอาเหตุการณ์ในตอนต่างๆมาผูกอักขระ เขียนในตำราแบ่งได้เป็น 4 ตอน ตอนละ 3 ตน รวมทั้งหมด 12 ตน

...ตอนแรก..."เริ่มอาสา"

ผูกเป็นหนุมานรูปยืน เรียงกัน 3 ตน วางท่าลักษณะคล้ายๆกัน คือ ท้าวเอว ฟังคำบัญชา ทั้งมือเปล่า และมีอาวุธ

...ตอนสอง..."พร้อมรบ"

ผูกเป็น หนุมานพร้อมรบ ยืนเรียง 3 ตน ถืออาวุธพร้อม

...ตอนสาม..."กำลังรบ"

ถืออาวุธ แผงฤทธิ์ มี 4 กร ในท่าเหาะทยาน โดยเฉพาะ ตนที่ 9 กำลังตะลุมบอน ยกธง มีลูกศรไขว้ตามตัวเต็มไปหมด บู๊ เต็มที่

...ตอนสี่..."รบชนะ"

มีตนที่ขี่เมฆ และ ครองเมือง

หนุมานแต่ละตนนั้น มีคาถาปลุก และคาถาเรียก ต่างกันออกไป ซึ่งในการสักนั้น ถือว่าตนที่ 9 ***นและแรงที่สุด ซึ่งเชื่อกันมาแต่โบราณว่า

ห้ามศิษย์ที่สืบวิชาสักยันต์ ทำการสักยันต์ หนุมานตนที่ 9 ให้ใครผู้หนึ่งผู้ใดซ้ำอีก ส่วนตัวอื่นๆก็แบ่งสักกันไป

(ผู้ที่สนใจรูป หาดูบางส่วนได้ในผ้ายันต์หนุมานพัดโบกของ หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม จะมีลายหนุมานเชิญธง

หนุมานถวายแหวน หนุมานออกศึก และหนุมานเชิญธงในตำราพิชัยสงคราม (ตน 9) ครับ
ผมเคยเรียนถาม อาจารย์ผมว่าหนุมาน มีหลายๆตัวนั้นเป็นอย่างไร

ท่านตอบมาว่า "ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า หนุมาน นั้นมีตัวเดียว เหมือนนายคุงที่มีคนเดียว แต่อาจมีได้หลายสถานะ ถ้านายคุงไปเรียน ก็จะต้องใส่ชุดนักเรียน นายคุงไปทำงานก็ใส่ชุดทำงาน หรือว่านายคุงจะไปพิธีการใหญ่ๆ ก็ต้องแต่งเต็มยศ จึงแตกต่างกันออกไป แต่ถามว่านายคุงคนเดิมไหม ก็เป็นคนเดิมหนุมานไม่ต่างกัน แล้วแต่สถานการณ์เป็นอย่างไร หนุมานก็เป็นไปตามสถานะนั้น"

หนุมานนั้นก็มีหลายชนิดที่นำมาสัก อาทิ หนุมานคลุกฝ่น (เป็นหนังไปแล้วด้วย 55+) หนุมานชุมนุมมนต์ หนุมานแหวกบาดาล หนุมานเชิญธง หนุมานขอรัก(หนุมานทางเมตตาของสายหลวงพ่อประเทือง ) เป็นต้น ซึ่งบทปลุกก็แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม

หนุมานนั้นมีคติตามแต่ละสำนักไม่เหมือนกัน บางอาจารย์นั้นเรียงเป็นตัวไปแต่ละตัว บางอาจารย์ก็มิได้เรียงตัว ตามแต่ท่านศึกษามาแบบไหน

สำหรับการลงหนุมานนั้นก็จะมีสูตรลงแต่ละสำนักเช่นกัน อย่างสายท่านอาจารย์ธรรมนูญก็จะมีลงดวงชะตาหนุมาน และสังวาลย์เป็นสามสายเป็นต้น

ทางสายท่านพ่อเที่ยง น่วมมานานั้นท่านก็จะมีตัวลงที่ต่างกันไป เช่นหนุมานสามหน้าแปดกรนั้น แต่ละกรของหนุมานก็ถืออาวุธแต่ละอย่าง ซึ่งอาวุธแต่ละชนิดนั้นก็จะมีคาถากำกับลงคนละตัวกันครับ

วิชาหนุมานของหลวงปู่แล วัดพระทรง

   สำนักที่สักหนุมานได้ขึ้นชื่อและมีชื่อเสียงเรื่องหนุมานมากๆที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง คงไม่พ้นสำนักสักของหลวงปู่แล อดีตเจ้าอาวาสแห่งวัดพระทรง จ.เพชรบุรีครับ

ลำดับต่อไปนี้คือวิชาหนุมานของสำนักหลวงปู่แล ที่ท่านทำการสักให้ศิษย์ครับ

"หนุมาน" ของ หลวงปู่แล วัดพระทรง ในลายที่สัก ตัวที่1 ถึง ตัวที่ 7 จะเรียกว่า "ลิงลม"ครับ

ถ้าตนที่ 8 และตนที่ 9 จะ เป็น "หนุมาน" ครับการสัก"ลิงลม" ต้องเรียงลำดับ จาก ตัว 1ไป ถึงตัว 7 ข้ามไม่ได้ครับ แต่ถ้าจะเอา หนุมาน

ตน 8 หรือ 9 ได้เลยครับ โดยไม่ต้องสัก "ลิงลม" ตัว 1 ถึง 7 ก่อนก็ได้ครับ

.....จาการที่เคยอ่านบทสัมภาษณ์ใน

นสพ. คมชัดลึก หลวงปู่ บอกว่า หนุมานตน 8 ต้อง "สัก" เท่านั้นครับ

อีกอย่างครับ เท่าที่ได้ทราบมา หนุมานตน 9(หนุมานเชิญธง ขี่สิงห์ที่เป็นที่คุ้นตากันดีเป็นวิชาดั้งเดิมของหลวงพ่อทองสุข วัดตโนดหลวง )

ของหลวงปู่แล ท่านได้สักไปแล้ว ท่านไม่ได้สักซ้ำ ด้วยความเสียดายของลูกศิษย์และทนการรบเร้าของลูกศิษย์ไม่ไหว หลวงปู่เลยแปลง

หนุมานตน9 จากที่เหยียบสิงห์ เชิญธง เป็น หนุมาน "ดั้นเมฆ" ครับ แต่ไม่ทราบว่าขี่สิงห์หรือเปล่าครับ

ข้อมูลอ้างอิงจาก http://www.suankhlang.com/ipb//index.php?showtopic=139

รูปต่อไปนี้คือรอยสักหนุมาน ของหลวงปู่แล วัดพระทรงครับ


ขออนุญาต นำรูปหลวงปู่ขึ้นก่อนเป็นการบูชาครูครับ






สังเกตุว่า ยันต์หนุมานที่อยู่ตรงกลางจะเหมือนกันหมดครับ เพราะเป็นยันต์หนุมานตัว 8 ที่ศิษย์ของท่านนิยมสักกันมากครับ

ข้อมูลจาก www.http://watprasong.pantown.com/ ครับ



รูปยันต์หนุมานเชิญธง ครับ เป็นหนุมานตัวที่เรียกว่านิยมใช้กันที่สุดของพระเกจิอาจารย์ผู้ศึกษาไสยศาสตร์
เป็นหนุมานที่อยู่ในตำราพิชัยสงครามครับ แม้แต่หลวงปู่หนูวัดทุ่งแหลม ท่านก็สักหนุมานตัวนี้ให้ลูกศิษย์
และเป็นหนุมานตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของท่านด้วยครับ หรือแม้แต่สายวัดด่านเจริญชัย หลวงพ่อประเทือง ท่านก็สักหนุมานตัวนี้
ให้ศิษย์ไว้ป้องกันตัวด้วยเช่นกัน หลายๆท่านอาจจะคุ้นตากันดีครับ





49
บทความ บทกวี / The monkey King
« เมื่อ: 11 เม.ย. 2552, 03:03:45 »
คนไทยเรามีหนุมานถือเป็นลิงศักดิ์สิทธิ์ คนจีนก็มีของเขาเหมือนกันครับไม่ต้องบอกก็รู้ว่า
เป็นเห่งเจีย หรือ"ซุนหงอคง" ในเรื่องไซอิ๋วเป็นแน่แท้ :058:

 
    




ซุนหงอคงเป็น 1 ในตัวละครหลักในเรื่องไซอิ๋ว(西游记:xī yóu jì) และถูกมองว่าเป็นเหมือนกับตัวแทนที่บอกเล่าเรื่องราวความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ความถูกต้อง และจิตใจของคนจีนสมัยโบราณ

       ซุนหงอคงเป็นลิงที่มีวิชาแก่กล้าสามารถแปลงกายได้ 72 ร่าง บินขึ้นไปบนฟ้า มีเนตรไฟ 1คู่ทำให้สามารถมองเห็นกายแท้จากร่างเทียมของเหล่าปีศาจ ตีลังกาหนึ่งครั้งไปไกลถึง 108000 ลี้ มีอาวุธเป็นกระบองวิเศษสามารถยืดหดได้ดั่งใจนึก (หดได้เล็กเท่าเข็ม ยืดยาวได้สูงเทียมฟ้า) ซุนหงอคงเป็นอ๋องที่หุบเขาฮัวกั่วซาน ต่อมาได้ไปก่อกวนที่สวรรค์โดยการไปขโมยกินลูกท้อวิเศษของเจ้าแม่หวังหมู่และยาทิพย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน เง็กเซียนฮ่องเต้จึงส่งทหารสวรรค์สิบหมื่นไปกำราบ จนต้องเดือดร้อนไปถึงพระยูไลต้องลงมาปราบเอง หลังจากพ่ายแพ้ซุนหงอคงก็ถูกหินทับขังไว้ที่เขาห้านิ้วนาน 500 ปี ต่อมาพระโพธิสัตว์ให้ซุนหงอคงชดเชยความผิด โดยให้อารักขาพระถังซัมจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฏกมาจากชมพูทวีป ระหว่างทางจะต้องมีการต่อสู้กับปีศาจและผ่านพ้นเคราะห์กรรมทั้งสิ้น 81 ประการ

การกำเนิดของซุนหงอคง

      ซุนหงอคงเป็นลิงที่เกิดจากก้อนหินที่ได้รับไอฟ้าดินมาเป็นเวลาพันๆปี หลังจากซุนหงอคงเกิดก็กระโดดทะลุน้ำตกไปที่เขาฮัวกั่วซาน(花果山:huā guǒ shān) ซุนหงอคงได้ตั้งตัวเองเป็นราชาลิง โดยบรรดาลิงภายในฝูงให้ฉายากับซุนหงอคงว่า เหม่ยโหวหวัง ซึ่งแปลว่าอ๋องลิงรูปหล่อ หรือราชันย์ลิงรูปหล่อ (美猴王:měi hóu wáng)

      หลังจากซุนจากนั้นซุนหงอคงเห็นว่าตนเองยังเป็นลิงธรรมดาๆ ต้องมีการเกิดแก่เจ็บตายอยู่ จึงค้นหาวิถีทางเพื่อให้ได้ชีวิตอมตะ ไม่เจ็บไม่แก่  จึงออกเดินทางไปทั่วทุกแห่งจนท้ายที่สุดพบกับ สุภูติ (菩提祖师:pú tí zǔ shī) และกราบเป็นอาจารย์ สุภูติได้ให้ชื่อซุนอู่คง (孙悟空:sūn wǔ kōng) กับซุนหงอคง  ซุนหงอคงได้เรียนรู้วิชาเซียน วิชาแปลงร่าง72กระบวนท่า(七十二变:qī shí èr biàn) และวิชาลังกาเมฆ (筋斗云:Jīn
dǒu yún) จากสุภูติ หลังจากซุนหงอคงฝึกสำเร็จก็เที่ยวระรานท้าประลองกับศิษย์คนอื่น จนสุภูติรู้สึกไม่พอใจและจากไปในที่สุด โดยก่อนจากไปได้กำชับซุนหงอคงว่าห้ามบอกใครว่าเขาเป็นอาจรย์ของซุนหงอคง เนื่องจากสุภูติคาดเดาได้ว่าซุนหงอคงจะต้องไปก่อปัญหาในภายหลัง

      ต่อมาเพื่อที่จะหาอาวุธมาใช้ ก็ไปยังทะเลตงไห่เพื่อเอากระบองวิเศษ (如意金箍棒:rú yì jīn gū bàng) มาใช้ เดิมทีกระบองวิเศษนี้เอาไว้ใช้ควบคุมกระแสน้ำแต่ต่อมาภายหลัง เอามาใช้ค้ำจุนมหาสมุทร โดยกระบองวิเศษถูกตั้งตระง่านอยู่ที่มหาสมุทรตงไห่นี้ไม่มีใครสามารถเคลื่อนที่ได้ ซุนหงอคงจึงเดิมพันท้าประลองกับเจ้าสมุทรตงไห่(东海龙宫:dōng hǎi lóng gōng) โดยการใช้ตัวเองยกกระบองวิเศษนี้ขึ้น เจ้าสมุทรตงไห่ดูถูกซุนหงอคงว่าไม่สามารถยกขึ้นได้ แต่ซุนหงอคงกลับยกมันขึ้นมาได้ เจ้าสมุทรจึงพบกับความพ่ายแพ้และเสียกระบองวิเศษให้กับซุนหงอคงไป หลังจากได้รับกระบองวิเศษแล้วซุนหงอคงยังบังคับให้เจ้าสมุทรตงไห่มอบเกราะทองวิเศษ หมวกหงส์ และรองเท้าที่สามารถเดินบนเมฆให้กับตนอีกด้วย

ซุนหงอคงอาละวาดบนสวรรค์
       หลังจากซุนหงอคงฝึกวิชาต่างๆแล้วเกิดความลำพองใจ ก็ไปก่อกวนทั่วทั้ง 3ภพจนวุ่นวายไปหมด เง็กเซียนฮ่องเต้(玉皇大帝:yù huáng dà dì) เห็นดังนั้นเพื่อเป็นการควบคุมซุนหงอคงเง็กเซียนฮ่องเต้จึงแต่งตั้งให้ซุนหงอคงเป็นปี้หม่าเวิน (弼马温:bì mǎ wēn) ซึ่งก็คือคนเลี้ยงม้าบนสวรรค์ พอซุนหงอคงรู้เข้าก็รู้สึกโกรธมากเนื่องจากนี่เป็นตำแหน่งที่ต่ำสุดบนสวรรค์ ซุนหงอคงจึงอาละวาดไปทั่วและไปขอเปลี่ยนชื่อเป็น ฉีเทียนต้าเซิ่ง (齐天大圣:qí tiān dà shèng) แปลว่า เสมอฟ้า ใหญ่เทียมฟ้า กับเง็กเซียนฮ่องเต ซึ่งตอนแรกเง็กเซียนฮ่องเต้ไม่ยอม เนื่องจากเหมือนเป็นการลบหลู่ตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ฉายานี้กับซุนหงอคงเพื่อควบคุมซุนหงอคงไม่ให้ก่อเรื่องเดือดร้อนบนสวรรค์อีก

       ต่อมาซุนหงอคงก็ยังไปก่อเรื่องเดือดร้อนอีกเข้าจนได้ โดยไปขโมยกินท้อสวรรค์ของเจ้าแม่หวังหมู่ (王母:wáng mǔ) และยาทิพย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน (太上老君:tài shàng lǎo jūn) จนในที่สุดฮ่องเต้ก็ต้องเรียกกองทัพสวรรค์สิบหมื่นไปจับหงอคง แต่ก็ถูกซุนหงอคงแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อสู้จนต้องพ่ายแพ้ยับเยินกลับไป สุดท้ายเง็กเซียนฮ่องเต้ก็เรียกเทพพิทักษ์ทั้ง 4 (四天王:sì tiān wáng) เทพเอ้อหลาง (二郎神:èr láng shén) และนาจา (哪吒:nǎ zhà) ออกไปจับซุนหงอคง ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเหล่าเทพร่วมมือกันก็สามารถจับซุนหงอคงได้ หลังจากถูกจับซุนหงอคงถูกพิพากษาให้ถูกประหารชีวิต แต่ว่าซุนหงอคงมีร่างกายเป็นอมตะ ความพยายามที่จะประหารชีวิตแต่ละครั้งจึงล้มเหลว จนสุดท้ายซุนหงอคงถูกนำตัวไปขังไว้ในเตาหลอมยาของไท่ซ่างเหล่าจวินเพราะเชื่อว่าความร้อนจะทำให้ซุนหงอคงตายได้ แต่ไม่นึกว่าหลังจากซุนหงอคงถูกขังผ่านพ้นไป 49 วัน เตาหลอมก็ระเบิดออก แต่ซุนหงอคงกลับกระโดดออกมาแล้วแข็งแกร่งกว่าเดิม อีกทั้งยังได้เนตรไฟ (火眼金睛:huǒ yǎn jīn jīng) ที่สามารถมองเห็นร่างของปีศาจออกมาอีกด้วย

       หลังจากหมดสิ้นหนทางกำราบซุนหงอคงเง็กเซียนฮ่องเต้จึงไปเชิญพระยูไลเพื่อมากำราบซุนหงอคงด้วยตนเอง เมื่อทำการสู้กันพระยูไลท้าเดิมพันกับซุนหงอคงว่าซุนหงอคงไม่สามารถกระโดดหนีจากฝ่ามือของพระยูไลได้ ซุนหงอคงนึกลำพองใจว่าตนนั้นมีวิชาลังกาเมฆ สามารถตีลังกาทีเดียวไปได้ไกลถึง 108000 ลี๊ ซุนหงอคงจึงกระโดดตีลังกาไปหนึ่งรอบ ไปถึงที่ไกลแสนไกลแล้วก็มองไปรอบๆไม่พบอะไรนอกจากเสาหิน 5ต้น ซุนหงอคงคิดว่าเขาได้กระโดดมาถึงสุดปลายฟ้าแล้ว จากนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์ความเก่งกาจของตน ซุนหงอคงก็เขียนชื่อบนเสาหินว่าฉีเทียนต้าเซิ่งอยู่ที่นี่ แล้วก็ปัสสาวะรดไปอีกที หลังจากหนำใจแล้วซุนหงอคงก็กระโดดกลับมาหาพระยูไลอีกทีและหัวเราะเยาะเย้ย พระยูไลไม่ว่ากล่าวอะไรบอกให้ซุนหงอคงลองมองดูรอบๆตัวเอง ซุนหงอคงก็ลองมองดูแล้วพบว่า ตัวหนังสือที่ตนเขียนไว้บนเสาหินนั้นไปปรากฏอยู่บนฝ่ามือของพระยูไล และยังได้กลิ่นตุๆจากปัสสาวะของตนเอง จึงนึกได้ทันใดว่าที่ๆตนกระโดดไปนั้นก็ยังอยู่ในฝ่ามือของพระยูไล พอรู้ตัวว่าตนแพ้พนันด้วยไหวพริบอันว่องไว ซุนหงอคงก็กระโดดหนีทันที แต่พระยูไลเหมือนรู้ทันพลิกฝ่ามือกันซุนหงอคงไว้แล้วนำภูเขามาวางทับซุนหงอคงเพื่อขังไว้

       ซุนหงอคงถูกขังอยู่ที่เขา5นิ้ว(五指山:wǔ zhǐ shān) เป็นเวลา 500 ปี พระยูไลจึงมีข้อเสนอให้ซุนหงอคงชดเชยความผิดโดยการอารักขาพระถังซัมจั๋ง (唐僧:táng sēng) ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกมาจากชมพูทวีปกลับไปเมืองถัง อีกด้านหนึ่งพระโพธิสัตว์กวนอิมได้มอบรัดเกล้าทองคำให้กับพระถังซัมจั๋งและสอนบทสวดรัดเกล้าให้เพื่อเป็นการควบคุมซุนหงอคง พอซุนหงอคงได้พบพระถังซัมจั๋งแล้วเห็นรัดเกล้ากลับเห็นว่ามันสวยดีจึงถูกหลอกให้ใส่ หลังจากใส่แล้วจะไม่สามารถถอดออกได้ เพื่อควบคุมความประพฤติซุนหงอคงพระถังซัมจั๋งจะท่องบทสวดนี้แล้วรัดเกล้าจะบีบรัดจนซุนหงอคงรู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก หลังจากนั้นซุนหงอคงก็ออกเดินทางไปชมพูทวีปกับพระถังซัมจั๋งเพื่อเผชิญเคราะห์กรรมนานัปการต่อไป



ห่างหายกันไปซะนาน(พอดีแอบยุ่งเล็กน้อย) วันนี้เลยเอาเรื่องที่เขียนไว้ซักพักใหญ่แล้วมาเล่าสู่กันฟังครับ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับซุนหงอคง(孙悟空:sūn wǔ kōng) คนไทยเราเรียกเขาว่าซุนหงอคง ส่วนจีนกลางอ่านว่าซุนอู่คงครับ เนื้อหาในบทความชุดนี้ขอใช้คำเรียกตัวละครที่เราคุ้นเคยกันเช่นคำว่าซุนหงอคงแทนซุนอู่คง พระถังซัมจั๋ง เจ้าแม่กวนอิม โดยจะมีตัวอักษรจีนและคำอ่านพินอินอยู่ข้างๆแทนครับ เรามาทำความรู้จักกับเจ้าลิงแสนซนตนนี้กันดีกว่าเลยละกันครับ  

เนื้อเรื่องโดยย่อ

       ซุนหงอคงเป็น 1 ในตัวละครหลักในเรื่องไซอิ๋ว(西游记:xī yóu jì) และถูกมองว่าเป็นเหมือนกับตัวแทนที่บอกเล่าเรื่องราวความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม ความถูกต้อง และจิตใจของคนจีนสมัยโบราณ

       ซุนหงอคงเป็นลิงที่มีวิชาแก่กล้าสามารถแปลงกายได้ 72 ร่าง บินขึ้นไปบนฟ้า มีเนตรไฟ 1คู่ทำให้สามารถมองเห็นกายแท้จากร่างเทียมของเหล่าปีศาจ ตีลังกาหนึ่งครั้งไปไกลถึง 108000 ลี้ มีอาวุธเป็นกระบองวิเศษสามารถยืดหดได้ดั่งใจนึก (หดได้เล็กเท่าเข็ม ยืดยาวได้สูงเทียมฟ้า) ซุนหงอคงเป็นอ๋องที่หุบเขาฮัวกั่วซาน ต่อมาได้ไปก่อกวนที่สวรรค์โดยการไปขโมยกินลูกท้อวิเศษของเจ้าแม่หวังหมู่และยาทิพย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน เง็กเซียนฮ่องเต้จึงส่งทหารสวรรค์สิบหมื่นไปกำราบ จนต้องเดือดร้อนไปถึงพระยูไลต้องลงมาปราบเอง หลังจากพ่ายแพ้ซุนหงอคงก็ถูกหินทับขังไว้ที่เขาห้านิ้วนาน 500 ปี ต่อมาพระโพธิสัตว์ให้ซุนหงอคงชดเชยความผิด โดยให้อารักขาพระถังซัมจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฏกมาจากชมพูทวีป ระหว่างทางจะต้องมีการต่อสู้กับปีศาจและผ่านพ้นเคราะห์กรรมทั้งสิ้น 81 ประการ

การกำเนิดของซุนหงอคง

      ซุนหงอคงเป็นลิงที่เกิดจากก้อนหินที่ได้รับไอฟ้าดินมาเป็นเวลาพันๆปี หลังจากซุนหงอคงเกิดก็กระโดดทะลุน้ำตกไปที่เขาฮัวกั่วซาน(花果山:huā guǒ shān) ซุนหงอคงได้ตั้งตัวเองเป็นราชาลิง โดยบรรดาลิงภายในฝูงให้ฉายากับซุนหงอคงว่า เหม่ยโหวหวัง ซึ่งแปลว่าอ๋องลิงรูปหล่อ หรือราชันย์ลิงรูปหล่อ (美猴王:měi hóu wáng)

      หลังจากซุนจากนั้นซุนหงอคงเห็นว่าตนเองยังเป็นลิงธรรมดาๆ ต้องมีการเกิดแก่เจ็บตายอยู่ จึงค้นหาวิถีทางเพื่อให้ได้ชีวิตอมตะ ไม่เจ็บไม่แก่  จึงออกเดินทางไปทั่วทุกแห่งจนท้ายที่สุดพบกับ สุภูติ (菩提祖师:pú tí zǔ shī) และกราบเป็นอาจารย์ สุภูติได้ให้ชื่อซุนอู่คง (孙悟空:sūn wǔ kōng) กับซุนหงอคง  ซุนหงอคงได้เรียนรู้วิชาเซียน วิชาแปลงร่าง72กระบวนท่า(七十二变:qī shí èr biàn) และวิชาลังกาเมฆ (筋斗云:Jīn
dǒu yún) จากสุภูติ หลังจากซุนหงอคงฝึกสำเร็จก็เที่ยวระรานท้าประลองกับศิษย์คนอื่น จนสุภูติรู้สึกไม่พอใจและจากไปในที่สุด โดยก่อนจากไปได้กำชับซุนหงอคงว่าห้ามบอกใครว่าเขาเป็นอาจรย์ของซุนหงอคง เนื่องจากสุภูติคาดเดาได้ว่าซุนหงอคงจะต้องไปก่อปัญหาในภายหลัง

      ต่อมาเพื่อที่จะหาอาวุธมาใช้ ก็ไปยังทะเลตงไห่เพื่อเอากระบองวิเศษ (如意金箍棒:rú yì jīn gū bàng) มาใช้ เดิมทีกระบองวิเศษนี้เอาไว้ใช้ควบคุมกระแสน้ำแต่ต่อมาภายหลัง เอามาใช้ค้ำจุนมหาสมุทร โดยกระบองวิเศษถูกตั้งตระง่านอยู่ที่มหาสมุทรตงไห่นี้ไม่มีใครสามารถเคลื่อนที่ได้ ซุนหงอคงจึงเดิมพันท้าประลองกับเจ้าสมุทรตงไห่(东海龙宫:dōng hǎi lóng gōng) โดยการใช้ตัวเองยกกระบองวิเศษนี้ขึ้น เจ้าสมุทรตงไห่ดูถูกซุนหงอคงว่าไม่สามารถยกขึ้นได้ แต่ซุนหงอคงกลับยกมันขึ้นมาได้ เจ้าสมุทรจึงพบกับความพ่ายแพ้และเสียกระบองวิเศษให้กับซุนหงอคงไป หลังจากได้รับกระบองวิเศษแล้วซุนหงอคงยังบังคับให้เจ้าสมุทรตงไห่มอบเกราะทองวิเศษ หมวกหงส์ และรองเท้าที่สามารถเดินบนเมฆให้กับตนอีกด้วย

ซุนหงอคงอาละวาดบนสวรรค์
       หลังจากซุนหงอคงฝึกวิชาต่างๆแล้วเกิดความลำพองใจ ก็ไปก่อกวนทั่วทั้ง 3ภพจนวุ่นวายไปหมด เง็กเซียนฮ่องเต้(玉皇大帝:yù huáng dà dì) เห็นดังนั้นเพื่อเป็นการควบคุมซุนหงอคงเง็กเซียนฮ่องเต้จึงแต่งตั้งให้ซุนหงอคงเป็นปี้หม่าเวิน (弼马温:bì mǎ wēn) ซึ่งก็คือคนเลี้ยงม้าบนสวรรค์ พอซุนหงอคงรู้เข้าก็รู้สึกโกรธมากเนื่องจากนี่เป็นตำแหน่งที่ต่ำสุดบนสวรรค์ ซุนหงอคงจึงอาละวาดไปทั่วและไปขอเปลี่ยนชื่อเป็น ฉีเทียนต้าเซิ่ง (齐天大圣:qí tiān dà shèng) แปลว่า เสมอฟ้า ใหญ่เทียมฟ้า กับเง็กเซียนฮ่องเต ซึ่งตอนแรกเง็กเซียนฮ่องเต้ไม่ยอม เนื่องจากเหมือนเป็นการลบหลู่ตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้ฉายานี้กับซุนหงอคงเพื่อควบคุมซุนหงอคงไม่ให้ก่อเรื่องเดือดร้อนบนสวรรค์อีก

       ต่อมาซุนหงอคงก็ยังไปก่อเรื่องเดือดร้อนอีกเข้าจนได้ โดยไปขโมยกินท้อสวรรค์ของเจ้าแม่หวังหมู่ (王母:wáng mǔ) และยาทิพย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน (太上老君:tài shàng lǎo jūn) จนในที่สุดฮ่องเต้ก็ต้องเรียกกองทัพสวรรค์สิบหมื่นไปจับหงอคง แต่ก็ถูกซุนหงอคงแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อสู้จนต้องพ่ายแพ้ยับเยินกลับไป สุดท้ายเง็กเซียนฮ่องเต้ก็เรียกเทพพิทักษ์ทั้ง 4 (四天王:sì tiān wáng) เทพเอ้อหลาง (二郎神:èr láng shén) และนาจา (哪吒:nǎ zhà) ออกไปจับซุนหงอคง ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเหล่าเทพร่วมมือกันก็สามารถจับซุนหงอคงได้ หลังจากถูกจับซุนหงอคงถูกพิพากษาให้ถูกประหารชีวิต แต่ว่าซุนหงอคงมีร่างกายเป็นอมตะ ความพยายามที่จะประหารชีวิตแต่ละครั้งจึงล้มเหลว จนสุดท้ายซุนหงอคงถูกนำตัวไปขังไว้ในเตาหลอมยาของไท่ซ่างเหล่าจวินเพราะเชื่อว่าความร้อนจะทำให้ซุนหงอคงตายได้ แต่ไม่นึกว่าหลังจากซุนหงอคงถูกขังผ่านพ้นไป 49 วัน เตาหลอมก็ระเบิดออก แต่ซุนหงอคงกลับกระโดดออกมาแล้วแข็งแกร่งกว่าเดิม อีกทั้งยังได้เนตรไฟ (火眼金睛:huǒ yǎn jīn jīng) ที่สามารถมองเห็นร่างของปีศาจออกมาอีกด้วย

       หลังจากหมดสิ้นหนทางกำราบซุนหงอคงเง็กเซียนฮ่องเต้จึงไปเชิญพระยูไลเพื่อมากำราบซุนหงอคงด้วยตนเอง เมื่อทำการสู้กันพระยูไลท้าเดิมพันกับซุนหงอคงว่าซุนหงอคงไม่สามารถกระโดดหนีจากฝ่ามือของพระยูไลได้ ซุนหงอคงนึกลำพองใจว่าตนนั้นมีวิชาลังกาเมฆ สามารถตีลังกาทีเดียวไปได้ไกลถึง 108000 ลี๊ ซุนหงอคงจึงกระโดดตีลังกาไปหนึ่งรอบ ไปถึงที่ไกลแสนไกลแล้วก็มองไปรอบๆไม่พบอะไรนอกจากเสาหิน 5ต้น ซุนหงอคงคิดว่าเขาได้กระโดดมาถึงสุดปลายฟ้าแล้ว จากนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์ความเก่งกาจของตน ซุนหงอคงก็เขียนชื่อบนเสาหินว่าฉีเทียนต้าเซิ่งอยู่ที่นี่ แล้วก็ปัสสาวะรดไปอีกที หลังจากหนำใจแล้วซุนหงอคงก็กระโดดกลับมาหาพระยูไลอีกทีและหัวเราะเยาะเย้ย พระยูไลไม่ว่ากล่าวอะไรบอกให้ซุนหงอคงลองมองดูรอบๆตัวเอง ซุนหงอคงก็ลองมองดูแล้วพบว่า ตัวหนังสือที่ตนเขียนไว้บนเสาหินนั้นไปปรากฏอยู่บนฝ่ามือของพระยูไล และยังได้กลิ่นตุๆจากปัสสาวะของตนเอง จึงนึกได้ทันใดว่าที่ๆตนกระโดดไปนั้นก็ยังอยู่ในฝ่ามือของพระยูไล พอรู้ตัวว่าตนแพ้พนันด้วยไหวพริบอันว่องไว ซุนหงอคงก็กระโดดหนีทันที แต่พระยูไลเหมือนรู้ทันพลิกฝ่ามือกันซุนหงอคงไว้แล้วนำภูเขามาวางทับซุนหงอคงเพื่อขังไว้

       ซุนหงอคงถูกขังอยู่ที่เขา5นิ้ว(五指山:wǔ zhǐ shān) เป็นเวลา 500 ปี พระยูไลจึงมีข้อเสนอให้ซุนหงอคงชดเชยความผิดโดยการอารักขาพระถังซัมจั๋ง (唐僧:táng sēng) ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกมาจากชมพูทวีปกลับไปเมืองถัง อีกด้านหนึ่งพระโพธิสัตว์กวนอิมได้มอบรัดเกล้าทองคำให้กับพระถังซัมจั๋งและสอนบทสวดรัดเกล้าให้เพื่อเป็นการควบคุมซุนหงอคง พอซุนหงอคงได้พบพระถังซัมจั๋งแล้วเห็นรัดเกล้ากลับเห็นว่ามันสวยดีจึงถูกหลอกให้ใส่ หลังจากใส่แล้วจะไม่สามารถถอดออกได้ เพื่อควบคุมความประพฤติซุนหงอคงพระถังซัมจั๋งจะท่องบทสวดนี้แล้วรัดเกล้าจะบีบรัดจนซุนหงอคงรู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก หลังจากนั้นซุนหงอคงก็ออกเดินทางไปชมพูทวีปกับพระถังซัมจั๋งเพื่อเผชิญเคราะห์กรรมนานัปการต่อไป

ฉายาของซุนหงอคง
美猴王 (měi hóu wáng) ฉายาแรกที่ซุนหงอคงได้รับจากบรรดาลิงที่เขาฮัวกั่วซาน
孙悟空 (sūn wǔ kōng)  ได้รับจากสุภูติอาจารย์ที่สอนวิชาให้กับซุนหงอคง
弼马温 (bì mǎ wēn)    ฉายาแรกที่ได้รับบนสวรรค์
齐天大圣 (qí tiān dà shèng) ฉายาที่สองที่ได้รับบนสวรรค์
孙行者 (sūn xíng zhé) ชื่อที่พระถังซัมจั๋งเรียกซุนหงอคง

ข้อมูลจาก www.nihaohanyu.com

   คนไทยเราเองก็นับถือเห่งเจียอยู่ไม่น้อยครับ หลายๆวัดจีนในเมืองไทยก็มีการ
ตั้งศาลและบูชารูปเคารพของซุนหงอคง หรือ "เจ้าพ่อเห่งเจีย" อยู่เสมอครับ
ว่ากันว่าถ้ามีคนเดือดร้อน เจ้าพ่อเห่งเจียท่านก็จะช่วยเหลือตามสมควรครับ
นอกจากนี้ ยังมีการประทับทรงเจ้าพ่อเห่งเจียกันอีกด้วย!!!!
แถมยังเคยเห็นคนสิงคโปร์ สักรูปเห่งเจียอยู่บนหลังกันอีกด้วย เรียกว่าไม่น้อยหน้า
คนไทยเราที่นิยมสักหนุมานกันเลย  :095:
  

50


ลองเดากันดูครับ ว่ายันต์อะไร
เมื่อวานอยู่บ้านแล้วว่างจัดไม่รุ้จะทำอะไรเลยไปเจ็บตัวมันซะเลย
ที่วัดห้วยขวางครับ :074:
จากตำแหน่ง นี่คงเดากันได้ไม่ยากว่ามันคือขาอ่อนดีๆนี่เอง !!!!
เจ็บนี้อีกยาวววครับพี่น้อง :075: 01;


51
อยู่ว่างๆตอนไปถือศีลอยู่ที่วัดพระอาจารย์ที่เคารพรักมากๆ
อยู่ห้าวันเต็มๆ คิดไปคิดมาไม่รู้จะทำอะไร
เลยใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์เสียหน่อย
อิอิ :002:


พ่อครูหนุมานออกบวช ครับ เคยฝันเห็นท่านครั้งหนึ่งเลยเป็นแรงบันดาลใจให้วาดรูปท่านขึ้นมา แหะๆ :075:


พ่อหนุมาน


อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าเรียกว่าอะไร อยู่ดีๆหัวสมองมันก็สั่งการให้วาดออกมาอย่างนี้แหละครับ แหะๆ


รูปยักษ์ เกิดมาไม่เคยคิดจะวาดยักษ์จริงๆจังๆซักครั้งเดียว ไม่ทราบว่าไปทำอีท่าไหน ถึงได้ออกมาเป็นรูปทรงองค์เต็มๆแบบนี้ :075:

อาจจะไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ ก็ขอ อภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ พี่ๆน้องๆ ทุกท่าน อิอิอิ :005: :095:
ปล อาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เพราะผมก็ไม่ได้ร่างแบบก่อน ดันวาดกันสดๆลงเส้นจริงกันเลย :009:
รูปไม่ค่อยชัดเพราะใช้กล้องมือถือถ่ายนะครับ ขออภัยด้วย

52
เอาใจคนชอบของแปลกครับ :093:


ดูแล้วเป็นดินผสมว่านครับ พิมพ์ทรงมันไม่ใช่ลิงหรือหนุมานแบบไทยๆ
แต่มันเป็นคิงคอง คิงคองจริงๆครับพี่น้อง :074: :075:


ด้านหลังครับ
ใครมีข้อมูลเพิ่มเติม ก็ช่วยบอกกันด้วยน้าครับ :016:

53
เอาอีกแล้วครับพี่น้อง!!!!

วันนี้ขับกลับจากวัดโฆษิตาราม ที่ชัยนาท ออกจากวัดมาเลยแวะไปหาตาหล่อนขากลับ
มาถึง สามชุก สุพรรณบุรี

มอเตอร์ไซคันหนึ่งก็โผล่ออกมาปาดหน้ารถผม ซึ่งขับมาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 110 กม. ต่อ ชม.

ด้วยความซวยหรือยังไงไม่ทราบครับ มันปาดหน้ารถผม
แม่ผมร้องกรี๊ด ด้วยความตกใจหรือสติที่มีอยู่บ้าง ทำให้ต้องหักหลบทันที แล้วเบรกกระทันหัน
เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดด รถหมุนดริฟ 360 องศา แถมตูดปัดเหิรฟ้าขึ้นเกาะกลางถนน ข้ามไปอีกฝั่งถนนทันที !!!!!!
ค้างอยู่ตรงนั้นซักพัก สติถึงได้กลับมาเต็มที่ ถอยหลังลงจากเกาะกลางมาได้ โชคดีหรือโชคร้ายไม่ทราบ
ตำแหน่งที่ผมค้างอยู่ ตรงกับร้านเปลี่ยนยางและล้อแมกอย่างเหมาะเจาะ!!!

สุดท้าย สถาพความเสียหายเป็นดังนี้ครับ
- ยางล้อหน้าขวาระเบิด หลุดออกนอกล้อแมก ล้อแมกแตกเบี้ยวผิดรูป
- ยางล้อหลังข้างเดียวกัน บวม(ใกล้ระเบิด)ล้อแมกแตกต้องเปลี่ยนทันที
- ถังน้ำมันเกียร์ รั่วและมีน้ำมันไหลออกมา
- กันชนหลังถลอกเสียหาย และฉีกนิดหน่อย
- เปลี่ยนแมกใหม่หมด
- ยางหุ้มบังโคลนฉีกขาดหมด
- นาฬิกาข้อมือแตก ของเล่นรูบิกที่น้องนำไปด้วย แตกกระจายหมด(ไม่ทราบว่ามันแตกยังไงเหมือนกันครับ) แก้วโอเลี้ยงในรถแตกกระจาย หกเต็มไปหมด
- ดิน ทราย ที่อยู่บนเกาะกลาง(เค้าพึ่งลงดินปลูกต้นไม้ใหม่ๆ) เข้าไปตามซอกล้อและฟุ้งกระจายไปทั่ว รถผมกลายเป็นหนุมานคลุกฝุ่นไปเลยเห่อ :063:
ที่สำคัญ มอเตอร์ไซค์คู่กรณีมันเผ่นหนีหายไปแล้ว แย่จริงๆ

คำแรกที่บรรดาไทยมุงทั้งหลายถาม หลังจากผมลงมาจากรถคือ "น้องพกพระอะไร/ น้องมีของดีอะไร????"  :074:
ผมคิดว่าที่รอดมาได้ เพราะได้ทำบุญเอาไว้พอสมควร และบารมีของครูบาอาจารย์ตลอดจนเทวดาและแม่ย่านางรถท่านช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาด
ปลอดภัยมาได้ครับ รวมทั้งผู้โดยสารสองคน คือแม่ และน้องสาวคนเล็กของผมด้วย ทั้งสองคนไม่มีใครบาดเจ็บแม้แต่รอยขีดข่วนครับ!!!!!!

ด้วยความเคารพมิได้มีเจตนาอวดอ้างแต่อย่างใด ผมแค่อยากจจะแบ่งปันประสบการณ์และเผยแพร่เกียรติคุณของครูบาอาจารย์ที่ท่านช่วยชีวิตผมไว้ดังนี้ครับ
วัตถุมงคลที่ผมบูชาติดรถ มีดังนี้
-ผ้ายันต์พระเจ้าตนหลวง วัดศรีโคมคำ จ.เชียงราย
-รูปถ่ายหลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา
-รูปถ่ายหลวงปู่แม้น อาจารสัมปันโน วัดหน้าต่างนอก
-รูปถ่ายคุณปู่เที่ยง น่วมมานา ปรมาจารย์การสักยันต์อีกท่านหนึ่งของเมืองไทยครับ
-รูปถ่ายพ่อทอง ตลาดพลู ได้มาตอนวันไหว้ครูครับ
-สติ๊กเกอร์หลวงปู่เปิ่น อมตะเถระแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี
-สติ๊กเกอร์หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆษิตาราม

ส่วนที่พกติดตัวในเหตุการณ์วันนี้มีดังนี้ครับ
- รูปถ่ายหลวงพ่อกวย หลังจีวร(ของทำใหม่) เลี่ยมพลาสติกคล้องคออยู่
- พระสมเด็จอรหัง วัดบางด้วน สมุทรปราการ หลวงปู่เผือกวัดกิ่งแก้วปลุกเสก
- พระผงเนื้อชานหมาก หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา
- รูปเหมือนหลวงปู่ทอง อายนะ เนื้อผง วัดราชโยธา หลวงปู่หลุยสร้างและปลุกเสกครับ
- ที่คาดเอว มีตะกรุดสามห่วงหลวงปู่แย้ม 1 ดอก ตะกรุดแม่นางพิม 2 ดอก
- แม่นางพิมเนื้อดิน เหน็บอยู่ที่หูกางเกง 1องค์
- เสื้อยันต์รุ่นแรก หลวงปู่แม้น วัดหน้าต่างนอก (พึ่งเช่ามาวันนี้เองครับ) พับเก็บไว้หลังรถตรงลำโพง

และที่สำคัญ สดๆร้อนๆ วันนี้รอยสักอักขระเลขยันต์ตำรับหลวงพ่อกวยท่านครับ ฝีเข็มคุณตาหล่อน แย้มทับศิษย์เพียงหนึ่งเดียว
ที่ทำการสักยันต์สายหลวงพ่ออยู่!!!!!


หนุมานเชิญธง บล๊อกไม้เก่าของหลวงพ่อครับ


ยันต์นะโมพุทธายะ ยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อครับ


ยันต์ลิงนั่งครับ ยันต์เก่าของหลวงพ่อท่าน


รูปถ่ายหลังจีวร ของย้อนยุค มีอานุภาพศักดิ์สิทธิไม่แพ้รุ่นที่สร้างตั้งแต่สมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ครับ




54
หลายๆคนอาจจะไม่เคยเห็นครับ และหลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า
มีสักกันด้วย หุๆๆ สักหมึกทองว่าหายากแล้ว นี่ก็หายากเหมือนกันครับ
สักหมึกขาวครับ ฝีเข็มอาจจารย์ณัฐเดช ศิษย์หลวงปู่หลุย วัดราชโยธาครับ
สักด้วยเครือ่งไฟฟ้าครับ
วันก่อนผมไปงานไหว้ครูที่บ้านพ่อทอง เจอศิษย์พ่อชาวสิงคโปร์คนหนึ่ง
มองไกลๆตัวก็เกลี้ยงๆ นึกว่าเค้าสักน้ำมัน พอไปดูใกล้ๆทีไหนได้เต็มตัวครับ " หมึกขาว" ทั้งนั้น





เสือครับ


หนุมานครับ ลายเดียวกันกับศิษย์ที่สักที่วัดราชโยธา


เก้ายอดครับ ด้านล่างลงคาถาปืนแตก


หนุมานทรงสิงห์ และเสือครับ แบบเต็มหลัง


ธนูมือ ครับสักเป็นจักระพระนารายณ์


ต่างชาติเรียกarrow punch หรือธนูมือของคนไทยเราครับ



เส้นชัดๆคมๆของเสือแบบหมึกดำครับ งามไปอีกแบบ ลงให้เปรียบเทียบกับหมึกขาว  :095:

ปัจจุบันอาจารย์ไม่ได้สักทีวัดราชโยธาแล้วครับ ผมเข้าไปวัดก็ไม่ทันได้สักกับท่าน

ปล. รูปที่เห็นเป็นรอยสักของชาวต่างชาตินะครับ  เราคนไทยน่าจะภูมิใจที่การสักเป็นที่ยอมรับและเป็น
ที่ศรัทธาของต่างชาติ แต่คนไทยบางกลุ่มหรือหลายๆคน กลับมองว่าคนที่สักยันต์เป็นนักเลง หรือเป็นคนคุกไปเลยก็มี
เห่อ :063: รูปต่างๆผมเซฟเก็บไว้ในเครือ่งนานแล้วน่ะครับ เป็นหลังของคนต่างชาติครับ  :016:



55
พอดีไปไหว้ครูที่บ้านพ่อทองมาครับเมื่อวานนี้ 26 มีนาคม 2552

เลยขอนำรูปวัตถุมงคลที่ออกในงาน มาแบ่งปันพี่ๆน้องๆในบอรด์ให้ได้ชมกันครับ


รูปแรก เหรียญที่ออกงานไหว้ครูปีนี้ครับ เป็นเนื้อทองแดง  :001:

รูปที่สอง

ด้านหลังเหรียญครับ เป็ฯยันต์ครูของท่าน


รูปหล่อบูชาขนาดสองนิ้ว เนื้อโลหะรมดำ ศิษย์ชาวสิงคโปร์ สร้างเพื่อบูชาครูครับ
มีจำนวน(ถ้าจำไม่ผิด) 99 องค์ครับ


ผ้ายันต์ที่แถมมากับรูปหล่อครับ

ขอกราบคาราวะครูบาอาจารย์สายคุณปู่เที่ยง น่วมมานา มา ณ ที่นี้ด้วยครับ


56
เหรียญรูปเหมือนมิได้มีแต่พระสงฆ์อริยเจ้าเท่านั้น
ที่สร้างเพื่อให้เป็นเครือ่งเตือนสติ และเป็นขวัญกำลังใจแก่ลูกศิษย์ลูกหา
แต่ฆารวาสก็มีด้วยเช่นกันครับ !!!!!  :005:


เหรียญแรกครับ เหรียญคุณปู่เที่ยงน่วมมานา ท่านเป็นอ.สักยุคเก่าครับ
ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา และยังเป็นอาจารย์ของพ่อทองตลาดพลู อีกด้วยครับ :016:


ด้านหลังครับ
เหรียญนี้เป็นเหรียญที่สร้างแจกตอนงานศพของท่านครับ ไม่ทันท่านตอนมีชีวิต แต่ประสบการณ์
นี่เป็นที่ยอมรับว่าสุดยอดมากๆครับ คงกระพันอย่างที่สุด :053:


รูปของท่านครับ รูปนี้เป็นรูปที่มีการแพร่หลายมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นรูปถ่ายของท่านมาก็ว่าได้ครับ


เหรียญที่ 2 ครับ เหรียญของอ.ฟ้อน ดีสว่าง หรือคุณตาฟ้อนที่ผมเรียกท่านครับ


รูปนี้เป็นรูปเหมือนเนื้อผง ผสมอัถฐิของท่านครับ


รูปถ่ายของท่านครับ สังเกตุว่าจะมีมีดดาบอยู่ในปากของท่าน เป็นรูปที่ท่านใช้มีดดาบแทงเข้าเพดานปากตัวเอง
ขณะทำพิธีประสระเลือด ให้แก่ศิษย์ครับ


เหรียญเจ้าพ่อยี่กอฮง หรือพ่อปู่ยี่กอฮงครับ อากงของนักเสี่ยงโชค ท่านเป็นคนแรกในแผ่นดินสยาม
ที่เป็นผู้ริเริ่มธุรกิจหวย ในเมืองไทยครับ คนที่ชอบเล่นการพนันเสี่ยงโชค มักจะนับถือบูชาท่านแทบทุกคน :095:


ด้านหลังครับ เหรียญพ่อปู่ยี่กอฮงนี่มีการสร้างกันอย่างแพร่หลายครับ มีหลายรุ่นหลายสำนักที่สร้างครับ


สุดท้ายครับเหรียญอาจารย์ป่อง น่วมมานา ลูกชายแท้ๆของปู่เที่ยง ท่านเป็นอาจารย์สักเช่นกันครับ
เอกลักษณ์ของท่านคือ การสักยันต์ด้วยหมึกแดงครับ  :050:


ด้านหลังครับ เป็นเหรียญเนื้อทองแดงออกแบบได้สวยงามมาก


รูปลอยสักยันต์ของลูกศิษย์ อ.ป่องครับ สักหนุมานแปดกรแผลงฤทธิ์ เป็นยันต์เก่าสมัยคุณปู่เที่ยงท่านครับ
แต่ละกรจะถืออาวุธครบมือ เป็นยันต์โบราณที่หาคนสักได้ยากครับ :054:

ปล รูปทั้งหมดมิใช่สมบัติของผมนะครับ เพียงแต่ว่าเคยเซฟเก็บเอาไว้ในเครื่องคอมพ์เฉยๆ เลยอยากจะเผยแพร่
สิ่งดีๆให้พี่ๆน้องๆในเวปบอดร์ด ได้ชมกันครับ :095:
ผิดพลาดประการใด ผมขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยครับ





57
ลิงเฮฮา แค่ชื่อก็ฮาแร้ว :009:

เป็นเครือ่งรางของขลังที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนสร้างยกเว้น หลวงปู่ประเทือง อติกกันโต อดีตเจ้าอาวาส
วัดด่านเจริญชัยครับ ท่านเป็นพระที่เก่งมากๆ อีกรูปหนึ่ง เป็นหนึ่งในครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพยิ่งครับ



รูปนี้เครดิต ท่านโจรสลัดนะครับ ผมก็มีอยู่กับเค้าตัวนึง แต่ว่าไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย
อยากจะเผยแพร่ให้พี่ๆน้องๆในเวปบอร์ดได้รุ้จักเครืองรางแปลกๆกันครับ :054:



รูปนี้เป็นรอยสักยันต์ลิงเฮฮาครับ อยู่ที่ขาซ้ายของผมเอง อีกคนที่ได้ไปก็คือท่านโจรสลัด สหายรัก ฮ่าๆๆ :005:

ถามว่าดีทางไหน อาจารย์ผมท่านบอกว่า "คิดว่าทำไมมันถึงเฮฮาละ ที่มันเฮฮาเพราะมันมีความสุข
ทำไมมันถึงมีความสุข เพราะมันมีเงิน มีคนรัก ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง มันเลยมีความสุข พอมีความสุข มันก็เลยเฮฮา"
อิอิ :095:

58
สี่หูห้าตา ของผมเองครับ เป็นเครือ่งรางที่หาคนสร้างได้ไม่เยอะเท่าไหร่
ส่วนมากจะพบในรูปแบบวัตถุมงคลของทางเหนือครับ

ประวัติของสี่หูห้าตานะครับ
กาลครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีชายหน่มกำพร้าผู้หนึ่ง ฐานะยากจนขัดสนมากแต่ก็ยังมีทำดินทำกินเพียงน้อยนิดไว้สำหรับปลูกข้าว มีอยู่ปีหนึ่งเหมือนว่าฝนฟ้าจะไม่เป็นใจกับชาบหนุ่มมากนัก ต้นข้าวที่ปลูกไว้ แห้งตายมากพอสมควร แต่ก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง มีพระอินทร์บนสวรรค์อีกท่านหนึ่งซึ่งมองเห็นชีวิตความเป็นอยู่ ของชายหนุ่มผู้นี้ พระอิทร์ผู้มีศักดิ์คิดลงมาอยากจะช่วยเหลือชายหนุ่มกำพร้า ให้พ้นจากความทุกข์ยาก จึงแปลงร่างมาปรากฎเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ซึ่งมี หู 4 หู มีตาอีก 5 ดวง ซึ่งในโลกมนุษย์ไม่มีสัตว์ประเภทแบบนี้เลยก็ว่าได้ และวัตว์ประหลาดตัวนี้ได้มาทำลายต้นข้าวที่ยังเหลืออีกส่วน บังเอิญชายหนุ่มซึ่งได้มาพบเห็นต้นข้าวของตนที่ถูกทำลาย จึงเกิดความโมโหขึ้นมาทันที คิดจะฆ่าสัตว์ตัวนี้ แต่ก็ไม่มีอาวุธใดและพยายามหาวิธีจะกำจัดให้พ้นๆ ไป แต่ก็ไม่รู้จะทำวิธีการใดอีก ระยะเวลาผ่านไปจนกระทั่ง ชายหนุ่มจับสัตว์ประหลาดนั้นได้จึงพามายังที่พักเป็นกระท่อมหลังเล็กๆ และได้ผูกติดกับต้นเสา พอตกเย็นใกล้ถึงหัวค่ำ ชายหนุ่มก็ได้นำอาหารที่มีอยู่ตามประสาคนจน พอมีพอกินและให้สัตว์ประหลาดตัวนั้น มันไม่ยอมกินอาหารแต่อย่างใดแต่มันทำตัวดูเหมือนว่ากำลังหนาวจัดคงต้องการความอบอุ่นมาก ชายหนุ่มจึงหาฟืนมาก่อไฟให้มัน จนระยะเวลาผ่านไป ชายหนุ่มรู้สึกง่วงนอนมากจึงคิดจะกลับไปนอนพักผ่อน พอหันกลับมาอีกทีเห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นกำลังจับถ่านไฟแดงร้อดจัดกินเข้าไปอย่างไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด จนกระทั่งชายหนุ่มเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็สว่างพอดีและยังรู้สึก งง อยู่มากที่ได้พบสัตว์ประหลาดตัวนี้ แต่ยังพบความแปลกประหลาดมากไปกว่านั้นอีก ที่ชายหนุ่มนั้นต้องตกตลึงมาก คือสัตว์ตัวนั้นกินถ่านไฟซึ่งไม่เคยพบเจอมาก่อนและยังขับถ่ายออกมาเป็น ทองคำแท้ อีกด้วย ชายหนุ่มกำพร้ายจึงร่ำรวยมาเรื่อยๆ ชายหนุ่มจึงกลับมาทบทวนความคิดอีกครั้ง.....เออ!!!!....ดีนะที่เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนั้น มิเช่นนั้นเราคงไม่มีทรัพย์สมบัติมากมายอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มกำพร้าผู้นี้ยังมีความเมตตาอยู่บ้างถึงแม้ต้นข้าวที่ถูกทำร้ายจนเกิดความเสียหายจนโมโหมาก แต่ก็ยังคิดจะละเว้นชีวิตให้สัตว์ตัวนั้น

    นิทานเรื่องนี้ อ้างอิงมาจากเรื่องเล่าของ หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์) อยากให้ทุกคนมั่นรักษาศีล ภาวนาให้มากๆ และมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้าคนเรายึดถือสิ่งเหล่านี้ได้ชีวิตเราจะพบแต่ความสุขตลอดกาล

หลวงปู่ครูบาเจ้าชัยวงศาท่านเป็นพระที่เรียกว่าเป็นอริยะสงฆ์แห่งล้านนาอีกรูปหนึ่งครับ เป็นพระนักบุญของชาวเขาโดยแท้
ผมเคยไปกราบสังขารของท่านที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เลยเช่าพี่สี่หูห้าตาองค์นี้กลับมาบ้านด้วยครับ


เป็นสี่หูห้าตาแบบบูชาครับ น้ำหนักเยอะพอสมควรเลย  :001:



รูปวาดลายเส้นสีหูห้าตา ในจินตนาการของจิตกรครับ

59
ตำนานเล่าขานเจ้าพ่อบ่อเหล็กน้ำพี้
        กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ได้มีนายพรานล่าสัตว์คนหนึ่ง  ชื่อนายพรานแสง  อาศัยอยู่ในป่า(บริเวณใกล้ ๆ กับบ่อเหล็กน้ำพี้)  อยู่มาวันหนึ่ง  ได้มีพระราชามีพระราชวังอยู่ที่ทุ่งกะโล่(เขตอำเภอเมืองจังหวดอุตรดิตถ์  เนื่องจากมีชาวบ้านขุดค้นพบโบราณวัตถุได้หลายชิ้น) ได้เสด็จประพาสป่า  เกิดพลัดหลงกับพวกเสนาอำมาตย์อยู่หลายวัน  ได้มาพบกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งเป็นของนายพรานแสง  จึงได้ขอพักอาศัยค้างคืน  นายพรานแสงได้ต้อนรับเป็นอย่างดี  ตามอัธยาศัยของคนชนบท  ทำให้พระราชาพอพระทัยและคุยถูกคอเป็นยิ่งนัก  โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นพระราชา  ส่วนพระราชาก็ได้รับนายพรานแสงไว้ในฐานะเป็นพระสหาย

ครั้นพอรุ่งเช้า   เหล่าเสนาอำมาตย์ได้ตามหาพระราชาจนพบ  ก่อนที่พระราชาจะกลับได้รับสั่งกับนายพรานแสงว่า  ถ้ามีโอกาสให้ไปเยี่ยมเยือนบ้าง

ต่อมา  นายพรานแสงได้ออกไปล่าสัตว์  บริเวณใกล้  ๆ  กับบ่อเหล็กน้ำพี้  แต่พอเดินมาได้ไม่นานนัก  นายพรานแสงเกิดปวดท้องขึ้นมา  ได้มีวัวป่าตัวหนึ่งเดินผ่านมาใกล้  ๆ  กับบริเวณท่านายพรานแสงนั่งอุจจาระอยู่  ครั้นจะลุกขึ้นไปหยิบปืนก็ไม่ทันกลัววัวป่าจะตกใจหนีไปก่อน  จึงหยิบก้อนหินขว้างใส่วัวป่า  ซึ่งอยู่ห่างประมาณ  2  วาเศษ ๆ ถูกที่สีข้างของวัวตัวนั้น  ทะลุ  ทำให้วัวตัวนั้นล้มลงขาดใจในที่สุด  นายพรานแสงประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง  ที่วัวป่าล้มลงขาดใจตายต่อหน้าต่อตาจึงนำก้อนแร่นั้นใส่ถุงย่ามกลับบ้านไปด้วย

 อยู่ต่อมา  เพื่อนเก่าที่สนิท  ชื่อว่านายขัน  และนายสุข  นายแสงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนทั้งสองฟัง  ทั้งสองเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงคิดว่าหินก้อนนี้ไม่ใช่หินธรรมดาแน่แท้  มีแร่เหล็กผสมอยู่  จึงปรึกษากันแล้วหลอมให้เป็นมีด  ทั้งสามจึงได้ช่วยกันตีเหล็กจนเป็นมีดโต้

หลายปีผ่านไป  นายพรานแสงเกิดนึกถึงสหายของตนที่เป็นพระมหากษัตริย์จึงไปเยี่ยมเยือน  ได้นำมีดโต้ซึ่งตีจากเหล็กน้ำพี้ไปฝาก  เมื่อเข้าเฝ้าแล้ก็ได้สนทนาปราศรัยพอสมควร  นายพรานแสงได้เอ่ยขึ้นว่า  การมาเยี่ยมเยือนในครั้งนี้ไม่มีอะไรมาฝากมีแต่เพียงมีดโต้เล่มเดียว  ฝ่ายพระราชาจึงได้ตรัสว่า  เอามาทำไม  มีดในวังในคลังหลวงมีเยอะแยะมากมาย   ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มีด  ให้นำกลับไปใช้ที่บ้าน  จึงไม่รับไว้  นายพรานแสงได้ยิน  จึงเกิดความโกรธพระราชาผู้เป็นสหายอย่างมาก  ด้วยความเสียใจจึงทูลลากลับแล้วถือมีดโต้นั้นลากออกไปตามท้องพระโรง  ด้วยอานุภาพแห่งเหล็กน้ำพี้จึงทำให้ท้องพระโรงแยกออกเป็นสองส่วนตามรอยมีดนั้น

 ครั้นพระราชาทรงเห็นพื้นท้องพระโรงแยกเป็นสองส่วน  จึงทรงรับสั่งให้อำมาตย์ไปตามนายทั้งสามกลับมาเข้าเฝ้าและให้นำมีดโต้นั้นมาด้วยแต่ทว่าช้าไปเสียแล้วเพราะนายพรานแสงได้โยนมีดโต้นั้นทิ้งลงในบ่อน้ำ  ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจพระราชา  พระราชาจึงสั่งให้ทหารและมหาดเล็กลงไปงมหา  ด้วยความคมของมีดและเนื่องจากด้ามมีดปักลงไปกลางน้ำทำให้ด้านสันคมตั้งขึ้น  จึงไม่มีทหารคนใดรอดชีวิตขึ้นมาเลย

พระราชาจึงรับสั่งให้ไปตานายพรานแสง  กลับมาอามีดโต้นั้นขึ้นจากน้ำ  เนื่องจากมีทหารที่ตายด้วยคมมีดไป  3,000  คนจึงเรียกหนองน้ำนั้นว่า  วังสามพัน    เมื่อพระราชาได้มีดมาแล้วก็ทรงพอพระทัยเป็นยิ่งนักและได้นำมีดโต้นั้นไปให้ช่างตีทำเป็นพระแสงประจำกาย  และก็ทรงชักชวนให้นายพรานทั้งสามอยู่รับราชการด้วยกัน  แต่ทั้งสามคนปฏิเสธเพราะเห็นตนเป็นคนไม่มีความรู้อะไร  จึงขอกลับมาใช้ชีวิตตามอัตภาพจนสิ้นชีวิต  วิญญาณอันศักดิ์สิทธ์ของท่านมาสถิตย์อยู่ในบริเวณบ่อเหล็กน้ำพี้แห่งนี้  ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือ  เรียกขนานนามว่า  เจ้าพ่อบ่อเหล็กน้ำพี้  หรือ  เจ้าพ่อบ่อพระแสง

สรรพคุณของเหล็กน้ำพี้ครับ
เหล็กน้ำพี้มีแหล่งกำเนิดอยู่ที่ จังหวัดอุตรดิษฐ์ เป็นของกายสิทธิ์จัดอยู่ประเภทตระกูล

เหล็กไหลชนิดหนึ่ง มีอาถรรพ์ที่ลี้ลับ มีคุณสมบัติที่เหนียวแน่นเมื่อตีเป็นดาบจะมีความแข็งแกร่ง

คมมากขนาดฟันหัวตะปูขาดได้อย่างสบายๆ ปัจจุบันนิยมนำมาสร้างวัตถุมงคลในรูปแบบต่างๆ

              อานุภาพของเหล็กน้ำพี้ เป็นกายสิทธิ์ที่มีรัศมีร้อนแรง จึงเป็นที่ยำเกรงต่อเหล่าบรรดาภูตผี

ปีศาจ ล้างอาถรรพ์ คุณไสย อาคม มนต์ดำ ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อตีเป็นดาบใช้ต่อสู้กับผู้ที่มีอาคม

อยู่ยงคงกระพันซึ่งจะไม่สามารถต้านทานคมของเหล็กน้ำพี้ได้เลย จึงทำให้ปรากฏเกียรติคุณ

สร้างความครั่นคร้ามยำเกรงต่อข้าศึกศัตรูมาแต่โบราณกาล สร้างชื่อให้กับขุนศึกนักรบกล้าของไทย

เราจวบจนถึงปัจจุบันนี้แล..

          จิตวิญญาณที่ครอบครองรักษาเหล็กน้ำพี้จะเป็นพวกอสูร ยักษ์ฝ่ายสัมมาทิฐิที่มีจิตใจฝักใฝ่

ในพระพุทธศาสนา ฉะนั้นการทำพิธีบวงสรวงขอเหล็กน้ำพี้ จึงต้องมีวัตถุประสงค์ไปในทางเพื่อคุณ

ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง จึงจะสัมฤทธิ์ผลตามเจตนารมณ์

ปัจจุบันเหล็กน้ำพี้นอกจากนำมาตีเป็นของมีคมเหมือนอย่างโบราณแล้ว ยังนำมาทำเป็นสร้อยประคำ
หรือผสมลงในมวลสารต่างๆทำเป็นพระเครือ่ง หรือวัตถุมงคลต่างๆเพื่อส่งเสริมให้เป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้พกพาด้วยครับ


ก้อนเหล็กน้ำพี้ครับ


ใบดาบที่ตีจากเหล็กน้ำพี้ครับ สังเกตุดูว่าจะมีสีเลื่อมๆออกเขียวๆ


ประคำแร่เหล็กน้ำพี้ครับ ว่ากันว่าพิสูจน์ได้โดยการใช้แม่เหล็กดูดติดได้



60
ส่วนใหญ่ค่านิยมการสักขาลาย ของหนุ่มๆทางเหนือนี่ค่อนข้างเป็นแฟชั่นยอดฮิตในสมัยนั้น
เพราะถ้าใครไม่มีลายสักที่ขาแล้ว ผู้หญิงเค้าก็จะไม่แลครับ แหะๆๆ
(จะมีแฟนซักคนต้องแลกกับความเจ็บปวดด้วยนะนี่) ^ ^



รูปนี้คือการสักที่พุงครับ จะสักตั้งแตพุงลงไปจนถึงเข่าหรือขาอ่อนครับ (ในสมัยรัชกาลที่ห้า เรียกกลุ่มผู้ที่สักแบบนี้ว่าลาวพุงดำครับ)
ยอมรับในความอึดจริงๆครับ เพราะสักตรงนี้เจ็บมากกกกกกกก :074:


 อันนี้ด้านหลังคับ


อีกรูปครับเกือบถึงหัวเข่าเลย  :075:


รูปนี้ของคุณตาอีกท่านนึงครับ
 :074:

การสักขาลายของทางเหนือ จะแบ่งเป็นหลักๆดังนี้ครับผม สักข่ามคง คือสักให้คงกระพันหนังเหนียว
สักข่ามพิษ คือสักเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์มีพิษ หรือสัตว์กัดต่อย
สับขาลาย (สักขาลาย) สักเป็นคล้ายๆกับแฟชั่นสมัยนี้ครับ ไม่ได้ลงอักขระคาถาแต่อย่างใด
ไม่ได้มีแต่ผู้ชายที่สักนะครับ แม้แต่ผู้หญิงก็สักด้วย แต่จะสักเน้นไปทางข่ามพิษครับ ผู้หญิงสักไม่เยอะเท่าผู้ชาย  :095:
ทางเหนือนี่วัฒนธรรมการสัก ได้ยินว่าเริ่มจากพวกเงี้ยวครับ ต่อมาก็แพร่กระจายไป ถึงชาวไทยลื้อ ชาวไทยใหญ่(เรียกตัวเองว่าคนไต)
คนเมือง(คือชาวเชียงใหม่นี่แหละครับ) ^ ^
ผิดพลาดประการใด ขอภัยด้วยครับ
ข้อมูลจากหนังสือ ว่าด้วยรอยสักไทยใหญ่ ของผมเอง(เป็นหนังสือของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับ)  :006:

61
ไม่ค่อยเห็นใครสร้างกันเท่าไหร่
พอดีว่างๆตามประสาคนนอนดึกครับ แหะๆ
ชิ้นแรกครับ พญายมราช นัยว่าบูชาท่านแล้วจะช่วยให้
ปลอดภัยจากภูติผีปีศาจดีครับ


ด้านหน้า


ด้านหลังครับ
ออกแบบได้สวยงามมากๆ

ชิ้นที่สองครับ เพชรเจ้าสมุทร(ขอเบ็ด) สร้างโดยหลวงพ่อดำ วัดเขาพูลทองครับ


เห็นว่าดีทางขจัดอุปสรรค ดุจดั่งปลากินเหยื่อติดเบ็ดของเราครับ

หุๆๆ ที่เห็นๆนี่ไม่ใช่ของผมน้าครับ

62
เชื่อว่าน้อยคนที่จะเคยเห็นครับ ผมเองก็พึ่งเคยเห็น
ในภาพเป็นคนที่สักเสร็จมาดๆกับหลวงปู่แย้มครับ
วิชาสักของวัดสามง่ามนี่จะเน้นการสักน้ำมันเป็นหลักครับ
คนที่ได้สักกับท่านก็มีน้อยมากๆครับ เรียกว่าสุดยอดจริงๆครับ
ผมละอิจฉาพี่ท่านนี้จริงๆที่ได้สักกับหลวงปู่แย้มท่าน




ปล ดูที่แผ่นหลังครับอาบเลือดเลย เพราะหลวงปู่มือหนักมาก แค่จารกระหม่อมนี่ก็เจ็บเอาเรือ่งแร้ว :054: :054:

63
แปลกดีครับ ส่วนมากเราจะเห็นหนุมานขี่สิงห์ หรือแปลกอีกหน่อยก็คชสีห์
กันเป็นหลัก แต่นี่ครับ ขี่ไก่ อิอิ
ไม่เคยเห็นของที่ไหนสร้างครับ นอกจากของหลวงปู่บุญมาก วัดโพธิ์บางระมาด
ตลิ่งชัน ท่านเป็นศิษย์สายหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคครับ ท่านมรณะไปไม่นานนี้เองครับ



ผมเองเคยไปเดินเล่นแถวปากคลองตลาด ก็เจอร้านขายดอกไม้ร้านนึง ที่เค้าบูชาผ้ายันต์ผืนนี้อยู่ด้วยครับ
หุๆๆ คงจะขายดีเป็นแน่แท้ ^ ^ :005:

64
ขออนุญาติโพสครับ หลังผมเองครับ มีทั้งดำและแดงผสมกัน
นานๆจะได้ถ่ายหลังตัวเองแบบชัดๆเสียที
ยังเหลืออีกเยอะเลย แหะๆ :095: :095:

65
พอดีผมอยากทราบว่าถ้าจากบางพระ จะไปตลาดน้ำดอนหวาย
นี่ต้องนั่งรถสายอะไรเหรอครับ ไม่ทราบว่ามีรถเมล์ผ่านมั้ย
พอดีพรุ่งนี้ว่าจะไปบางพระกับเพื่อนๆน่ะครับ แล้วว่าจะเลยไป
ตลาดน้ำดอนหวายด้วย รบกวนพี่ๆหน่อยนะครับผม

หน้า: [1]