แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - OT^TO

หน้า: [1]
1


หุ่นจำลองใบหน้าของมนุษย์ โฮโม อีเรกตัส ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดี ในประเทศเยอรมนี (ภาพประกอบจาก wikipedia/Lillyundfreya)

สุวรรณภูมิเป็นดินแดนเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของโลกที่มีการค้นพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตในยุคดึกดำบรรพ์จำนวนมาก รวมทั้งฟอสซิลของ "มนุษย์โบราณ" อายุนับแสนปี

ฟอสซิลมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ที่พบในประเทศไทย และเก่าแก่ที่สุดคือ "มนุษย์ลำปาง" (Lampang Man) มีอายุประมาณ 5 แสนปี ซึ่งจัดอยู่ในสปีชีส์ โฮโม อีเรกตัส (Homo erectus) สำรวจพบโดยทีมนักวิจัยไทยเมื่อปี 2542 ที่บริเวณปากถ้ำหินปูนแห่งหนึ่ง ที่มีการระเบิดเหมืองหิน ในอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นฟอสซิลของมนุษย์ยุคเดียวกับที่พบก่อนหน้านั้นบนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย (Java Man) และในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน (Peking Man)

ซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของวิวัฒนาการมนุษย์บนแผ่นดินไทยอีกชิ้นหนึ่ง คือ ฟันกรามของมนุษย์ ที่พบโดยทีมนักวิจัยไทยและฝรั่งเศส ที่ถ้ำวิมานนาคินทร์ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ วัดอายุได้ราว 1.8 แสนปี อยู่ในช่วงปลายของยุคไพลสโตซีนตอนกลาง โดยพบปะปนอยู่กับฟันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ

อีกทั้งก่อนหน้านั้นยังมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ยุคปัจจุบันในสมัยไพลสโตซีนตอนปลาย อายุประมาณ 2.5 หมื่นปี ที่แหล่งโบราณคดีบ้านหมอเขียว อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เมื่อช่วงปี 2534-2538 โดยคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร (รัศมี ชูทรงเดช, 2544)

นอกจากฟอสซิลมนุษย์ยุคหินเก่าแล้ว ในประเทศไทยยังมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณและแหล่งโบราณคดีในยุคหินใหม่และยุคโลหะอีกหลายแห่งทั่วประเทศ โดยแห่งที่รู้จักมากที่สุดคือ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ซึ่งพบทั้งโครงกระดูกมนุษย์ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องมือที่ทำจากหินและโลหะสำริดที่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ 1,800-5,000 ปี จึงสะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางอารยธรรมของมนุษย์ในดินแดนสุวรรณภูมิได้เป็นอย่างดี

 

ขอบคุณที่มา...Science - Manager Online

2
แม้คนขี้เมาก็อาจเป็นพระโสดาบันได้

ปัญหา
 เมื่อเจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ท่านเป็นพระโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิอย่างเด็ดขาด มีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เจ้าศากยะเป็นจำนวนมากประชุมกันแล้วพูดตำหนิว่า เจ้าสรกานิศากยะประพฤติย่อหย่อนในศีลธรรมและชอบดื่มน้ำเมา ถ้าท่านเป็นพระโสดาบันได้ ใคร ๆ ก็เป็นโสดาบันกันทั้งบ้านทั้งเมือง ในเรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงชี้แจงอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ
“ ดูก่อนมหาบพิตร อุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะตลอดกาลนานจะไปสู่วินิบาตได้อย่างไร ? เมื่อจะพูดให้ถูก ควรพูดถึงเจ้าสรกานิศากยะว่า เจ้าสรกานิศากยะเป็นอุบาสกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะมาเป็นเวลานานแล้ว จะพึงไปสู่วินิบาตได้อย่างไร ?
“ ดูก่อนมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ แม้ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใส อันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.... ในพระธรรม...ในพระสงฆ์ ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลมและไม่บรรลุถึงวิมุต แต่ว่าเขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ และเขามีศรัทธา มีความรักในพระตถาคตพอประมาณ แม้บุคคลผู้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก....ทุคติวินิบาต
“ ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าต้นสาละใหญ่เหล่านี้พึงรู้ สุภาษิต และทุพภาสิต
อาตมภาพก็พึงพยากรณ์ต้นสาละใหญ่เหล่านี้ได้ว่า เป็นโสดาบัน จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า จะช่วยกล่าวไปไยถึงเข้าสรกานิศากยะ
“ดูก่อนท้าวมหานาม เจ้าสารกานิศากยะสมาทานสิกขาได้ในเวลาสิ้นพระชนม์แล”

สรกานิสูตร ที่ ๑ มหา. สํ. (๑๕๒๘-๑๕๓๖ )
ตบ. ๑๙ : ๔๗๐-๔๗๔ ตท. ๑๙ : ๔๒๖-๔๒๘
ตอ. K.S. ๕ : ๓๒๔-๓๒๖


3
ธรรมะ / รู้รสเหล้า : สมเด็จโต
« เมื่อ: 29 เม.ย. 2553, 07:07:55 »
ท่านเจ้าประคุณสมเด็จมีคติประจำใจว่า เรื่องการสอนคนนั้นต้องเอาความจริงมาพูด สิ่งใดที่ทำไม่ได้สิ่งนั้นจะไม่พูด และสิ่งใดที่ยังไม่มีประสบการณ์ สิ่งนั้นก็จะไม่พูดเช่นกัน ภาวะไม่เหมือนกับอาจารย์สอนธรรมคนอื่น ๆ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตถึงกับลงทุนสร้างพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนองค์หนึ่ง หน้าตักกว้างสองศอก หันพระพักตร์เข้าข้างฝาผนัง ด้านตะวันออกองค์พระห่างจากฝาผนังราวหนึ่งศอก ซึ่งอยู่ในวิหารละแวกบ้านสาว ตรอกวัดใหม่อมตรส บางขุนพรหม (ต่อมาทางราชการตัดถนนสามเสนทับวิหารนี้แล้ว) ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ สร้างเพราะมีเหตุผลทิ้งเป็นปริศนาธรรมให้แก่อรรถกถาจารย์ทั้งหลาย ที่ดีเพียงสอนคนอื่น แต่ตัวเองไม่เคยมอง พระสงฆ์ส่วนใหญ่ล้วนไม่บำเพ็ญในทางธรรมแต่กลับชอบพูดธรรมและอวดธรรม

เล่ากันว่า ครั้งหนึ่ง จมื่นพิทักษ์ฯ มานิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จเข้าไปเทศน์ในวังหลวง แสดงธรรมกถาเรื่อง ความไม่ดีของสุรา เมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จรับนิมนต์ให้เทศน์เรื่องสุรายาเมาไม่ดี ท่านก็คิดว่า “ขรัวโตนี้บวชเป็นเณรตั้งแต่ ๗ ขวบ จนอายุ ๗๖ เข้ามานี้ไม่เคยรู้รสเหล้าเป็นอย่างไร เมาแล้วเป็นอย่างไร พรุ่งนี้ได้รับนิมนต์ให้ไปแสดงหน้าที่นั่งว่า สุราเป็นยาไม่ดีนั้น เราในฐานะลูกตถาคตต้องศึกษาให้ถ่องแท้ก่อน ไม่เช่นนั้นไปเทศน์สั่งสอนคนอื่นจะเป็นเรื่องมุสาไป” ท่านเจ้าประคุณสมเด็จจึงเรียกเด็กรับใช้ในกุฏิไปซื้อเหล้าที่ชาวบ้านทำมาหนึ่งขวด แล้วตีระฆังประกาศฉุกเฉินประชุมพระเณรฆราวาสมาพร้อมหน้าในโบสถ์วัดระฆังฯ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จชูเหล้าขึ้น พร้อมกับกล่าวว่า วันนี้ สมเด็จโตจะกินเหล้า ขอให้ท่านรับทราบไว้ด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าเมาเป็นอย่างไร วันนี้สมเด็จของงดรับแขก แล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จก็เข้ากุฏิปิดประตู ดื่มเหล้าจนหมดขวด สติสัมปชัญญะต่าง ๆ ถูกฤทธิ์เหล้าบั่นทอนจนหลับไป

รุ่งเช้าเห็นจีวรอยู่ที่หนึ่ง ขรัวโตนุ่งชุดวันเกิดอยู่อีกที่หนึ่ง ก็เข้าใจว่า ความเป็นมาของสุราเมระยะมันเริ่มมาเป็นอย่างไรและแล้ววันรุ่งขึ้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จไปแสดงธรรมหน้าที่นั่ง ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ทรงเป็นประธาน เสนาบดีอำมาตย์น้อยใหญ่ห้อมล้อมอยู่มาก บอกว่าวันนี้ก่อนที่อาตมภาพจะมาแสดงธรรมข้อสุราเมระยะนี้ เมื่อคืนนี้สมเด็จโตได้กินเหล้าเข้าไปแล้วหนึ่งขวด เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะมาโกหกขรัวโตไม่ได้ว่า กินเหล้าแล้วเมาอย่างไร ท่านเจ้าประคุณสมเด็จก็ได้แสดงให้ฟังอย่างถ่องแท้ถึงข้อเสียหายและโทษประการใดบ้าง

ทีนี้เถรสมาคมประชุมกันใหญ่ พระกินเหล้าอาบัติละ เพราะฉะนั้นให้ไปนิมนต์สมเด็จโตมาแถลงในเถรสมาคม ท่านเจ้าประคุณสมเด็จก็บอกว่า เจริญพรท่านผู้เจริญทั้งหลายที่เป็นทั้งสมเด็จราชาคณะ ที่เป็นทั้งสังฆมนตรีแห่งการปกครอง อาตมภาพนี้ไม่ผิดศีลเด็ดขาด เพระอาตมภาพถือหลักสัจธรรม เขานิมนต์อาตมภาพไปแสดงธรรมเรื่องสุรานี้เมาอย่างไร อาตมภาพยังไม่เคยกินสุรา ไม่รู้ว่ารสเมาเป็นอย่างไร แล้วจะไปสอนให้เขารู้ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เราจะสอนธรรมะ เราอย่ามุสา เพราะฉะนั้นอาตมภาพไม่กินสุรา อาตมภาพแสดงธรรมเรื่องสุรา อาตมภาพก็จะไม่พ้นศีลข้อมุสา สังฆมนตรีนั่งสั่นหัว นิมนต์สมเด็จโตกลับวัดได้



ขอบคุณ:เว็บพลังจิต.คอม

4

เมื่อถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกๆ ปี จะมีหนุ่มสาวหรือคนบางกลุ่มนิยมส่งดอกกุหลาบสีแดง หรือบัตรรูปหัวใจให้แก่กันและกันซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงเจตนารมณ ์ของความรักความเข้าใจต่อกัน วันวาเลนไทน์ ธรรมเนียมฝรั่งเขาส่งบัตรหรือของขวัญเล็กๆน้อยๆ ไปให้แก่คนที่เขารักโดยไม่บอกชื่อผู้ส่ง ซึ่งจะมาจากใครก็ได้
                    ตามประวัติกล่าวว่า วันนี้เป็นวันมรณภาพของนักบุญในศาสนาคริสต์ท่านหนึ่งชื่อว่า เซนต์วาเลนไทน์ ท่านผู้นี้ถูกพวกโรมันจับลงโทษถึงแก่ความตาย ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช 269 ปี เนื่องจากท่านเป็นชาวโรมัน แต่ไปนับถือศาสนาคริสต์ และได้เข้าบวชอยู่ในศาสนานั้น ชื่อว่า วาเลนตินุส (VALENTINUS) ในสมัยนั้น ประชาชนชาวโรมันนับถือศาสนาของชาวโรมันอีกศาสนาหนึ่ง ซึ่งมีพระผู้เป็นเจ้าและเทวดาหลายองค์

 มีโบสถ์วิหารสำหรับพิธีบูชามีสมณะและนางชีเช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ในสมัยนี้ ในระยะเริ่มแรกที่ศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ในกรุงโรม ทางรัฐบาลกรุงโรมเห็นว่าเป็นลัทธิที่อันตราย ต่อสังคมชาวโรมันเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดนับถือศาสนาคริสต์ก็จะถูกจับตัวไปลงโทษอย่างรุนแรงต่อสาธารณชน เช่น ให้สัตว์ป่ากัดตาย ตรึงไม้กางเขนให้ตายบ้าง หรือเผาทั้งเป็น เป็นต้น พวกที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องคอยหลบซ่อนตัวไม่บอกให้ใครรู้ว่าตนเป็นคริสต์ศาสนิกชน และเมื่อถึงเวลาทำพิธีกรรมทางศาสนาของตน จะต้องแอบหนีลงไปทำพิธีในอุโมงค์ที่ใช้บรรจุศพ นอกกรุงโรม นักบุญวาเลนไทน์เป็นผู้กล้าหาญและคอยช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่เสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถูกทางราชการของกรุงโรมจับไปขังคุกหรือเอาไปทรมาน ในที่สุดท่านเองก็ถูกทางราชการของกรุงโรมจับตัวได้และเอาไปขังคุกไว้

                       เมื่อนักบุญวาเลนไทน์อยู่ในคุก มีผู้คุมชื่อ อัสเตริอุส (ASTERIUS) เป็นผู้มีจิตใจเมตตาและคอยให้ความช่วยเหลือมิให้เดือดร้อน ผู้คุมมีลูกสาวอยู่คนหนึ่งตาบอดทั้ง 2 ข้าง ระหว่างที่นักบุญวาเลนไทน์ติดคุกอยู่นั้น ลูกสาวผู้คุมก็นำอาหารให้และช่วยติดต่อกับคนนอกคุก ที่นับถือศาสนาศริสต์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์ ขณะที่อยู่ในคุก นักบุญวาเลนไทน์ได้แสดงอภินิหาร ด้วยการทำให้ตาทั้งสองข้างของลูกสาวผู้คุมหายบอด กลับมาเป็นคนตาดี และได้อบรมเกลี้ยกล่อมผู้คุมทั้งลูกสาวให้นับถือศาสนาคริสต์ด้วย หลังจากนักบุญวาเลนไทน์ติดคุกมาเป็นเวลา 1 ปีพระเจ้าจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ก็มีคำสั่งให้นักบุญเข้าเฝ้า

 เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นนักบุญก็รู้สึกต้องพระทัยในกริยามารยาท ความสำรวมและความมีสง่าราศีของนักบุญ จึงตรัสเกลี้ยกล่อมให้นักบุญเลิกนับถือศาสนาคริตส์เสีย แล้วกลับมานับถือศาสนาของชาวโรมันต่อไปตามเดิม พระองค์จะพระราชทานอภัยโทษให้ แต่นักบุญวาเลนไทน์ก็ปฏิเสธ ไม่ยอมเลิกนับถือศาสนาคริสต์ มิหนำซ้ำกับเริ่มสั่งสอนอบรมพระเจ้าจักรพรรดิให้ทรงเห็นดีเห็นชอบ และทรงนับถือศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิกริ้วมาก จึงมีรับสั่งให้นำตัวนักบุญวาเลนไทน์ไปตีด้วยไม้กระบอง แล้วเอาก้อนหินทุ่มจนถึงแก่ความตาย

          ผู้ที่ตายเพื่อศาสนาและได้เกลี้ยกล่อมให้คนอื่นหันมายอมรับนับถือศาสนา เป็นผ้ที่ควรได้รับการยกย่อง และยังสามารถทำปาฏิหารย์รักษาให้คนตาบอดเป็นคนตาดีได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญหรือเซนต์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ศริสต์ศาสนิกชนถือว่า เป็นวันของเซนต์วาเลนไทน์ เพราะว่าเป็นวันที่ท่านถึงแก่มรณภาพ ในสมัยโรมันเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันตรุษที่เรียกว่า ลูเปอร์คาเลีย(lupercalia) มีความสำคัญมากในทางเพศ ผู้ชายจะวิ่งแก้ผ้าหาคู่เพื่อฉลองตรุษโดยจับฉลากชื่อหญิงสาวแล้วเกี้ยวพาราสีจนได้เป็นภรรยา

                    ส่วนประเทศอังกฤษไม่ได้มาจากนักบุญ แต่บังเอิญมาตรงกันพอดี คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันเริ่มต้นปักษ์ที่ 2 แห่งเดือนที่สองของปี คนยุโรปจึงจับคู่กัน เอาเป็นวันส่งบัตรหรือของขวัญให้คนรักให้คนรัก นิยมในกลุ่มหนุ่มสาว
           


( จาก ข้าวไกลนา ของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช  ภาพจาก www.epilepsyfoundation.org )

5

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลย

ผู้ถูกนินทาพึงมีเหตุผล

คำนินทาใดๆ ไม่อาจทำคนดีให้เป็นคนไม่ดีไปได้ คนจะดีก็เพราะกรรม คนจะเลวก็เพราะกรรม หาใช่จะดีเพราะสรรเสริญ หรือจะเลวเพราะนินทาก็หาไม่

ควรถือความจริงนี้เป็นสำคัญ และอย่าทำหรือไม่ทำอะไรเพราะกลัวนินทาหรือเพราะปรารถนาสรรเสริญ อย่าทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่แม้เพียงสงสัยว่าเป็นกรรมไม่ดี แต่จงทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่พิจารณาแล้วตระหนักแน่ชัดว่าเป็นกรรมดีเท่ากัน แม้ว่าการทำกรรมดีจะมีผู้นินทา

นินทานั้นไม่มีโทษแก่ผู้ถูกนินทาเลย ถ้าผู้ถูกนินทาไม่รับ คือไม่ตอบ เช่นเดียวกับผู้ถูกด่าไม่ด่าตอบ ผู้ถูกขู่ไม่ขู่ตอบ ผู้ถูกชวนวิวาทไม่วิวาทตอบ แต่คำนินทาว่าร้ายทั้งจะตกเป็นของผู้นินทาทั้งหมด ผู้นินทาคือผู้ทำกรรม ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ไม่ว่าผู้ถูกนินทาจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผู้นินทาย่อมได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมไม่ดีของเขาอย่างแน่นอน

ดังนั้นแม้เมื่อถูกนินทาแล้ว ก็ให้คิดว่าผู้นินทาเราได้รับการตอบแทนแล้ว คือได้รับผลของกรรมไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้ปรากฏช้าหรือเร็วเท่านั้น ผลของกรรมไม่ดีนั้นแหละได้ตอบแทนเขาผู้นินทาแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใด

ความเชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรมมีคุณอย่างที่สุด ผู้ใดทำกรรมไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ความเชื่อเช่นนี้จักทำให้ไม่คิดร้ายตอบผู้คิดร้าย เป็นการระงับเวรภัยไม่ให้เกิดแก่ตน เป็นการป้องกันตนมิให้ทำกรรมไม่ดี ทั้งทางกายวาจาและใจ โดยมุ่งให้เป็นการแก้แค้นตอบแทน ผลจักเป็นความสงบสุขแก่ตนและแก่ผู้อื่นด้วย


ขอบคุณที่มา : การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

หน้า: [1]