แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ทรงกลด

หน้า: [1] 2 3
1
สำหรับมโนมยิทธิ ใช้กำลังของจิตเคลื่อนออกจากกายไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ซึ่งมีกำลังสูงกว่า ทั้งนี้เพราะว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ
            สำหรับประโยชน์ที่จะฝึกพระกรรมฐาน นอกจากที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเข้าใจว่าการเจริญกรรมฐานนี้ต้องการสวรรค์ ต้องการพรหมโลก ต้องการนิพพานอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม
            ถ้าทุกท่านได้มโนมยิทธิแล้วก็ไปฝึกฝนให้คล่อง เมื่อฝึกฝนคล่องแล้ว นอกจากจะยกจิตขึ้นไปสู่ภพต่าง ๆ ก็ยังมีคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ
            ทิพจักขุญาณ สามารถจะเห็นสิ่งของที่อยู่ในที่ลี้ลับได้ เห็นผีได้ เห็นเทวดาได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ของที่เราเก็บไว้ในที่ลี้ลับหาไม่พบเราก็สามารถเอาจิตเข้าไปกำหนดรู้ได้ หรือว่าใครจะแอบแฝงอยู่ที่ไหนเราก็ทราบได้ ถ้าเราต้องการจะรู้ รวมความว่าไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับพวกที่มีทิพจักขุญาณ
            และถ้าหากว่าจะใช้ทิพจักขุญาณนี้ประกอบอาชีพ ถ้าทิพจักขุญาณมีความเข้มข้นขึ้น เข้าถึงฌาน ๔ และก็ได้ อดีตังสญาณ อนาคตังสญาณ มันจะได้ไปเอง ถ้าเราจะประกอบอาชีพเราก็สามารถจะรู้ได ้ว่า อาชีพที่เราประกอบข้างหน้ามันขาดทุนหรือกำไรจะทำอะไรก็ได้
            ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา ถ้ามีกำลังจิตเข้มข้นจริง ๆ สามารถจะเดาข้อสอบ (ไม่ต้องเดาละดูเลย ดูข้อสอบเลย ก่อนที่ครูจะเขียนน่ะ) อนาคตังสญาณ จะสามารถรู้ข้อสอบที่ครูจะออกมาได้ ถ้าหากว่าจิตยังคล่องไม่ถึง มีความเข้มข้นไม่ถึงเวลาจะสอบถ้าตอบไม่ได้ตัดสินใจใช้กำลังสมาธิช่วยสัก ๒ นาที คิดว่าถ้าจะตอบยังไงถึงจะถูก ขอให้ตัดสินใจไปตามนั้น มันตัดสินใจเองแล้วก็ถูกต้อง
            อย่างนี้นักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใช้มาหลายพันคนแล้ว เวลาเข้ามาหาวิทยาลัยเธอตอบไม่ได้เธอก็เดาอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เดานะ เดาเฉย ๆ ไม่ได้นะ ต้องใช้กำลังใจที่เขาเรียกว่าทำจิตเข้าไปถึงนิพพานก่อนและก็นั่งอยู่ที่นั่น ขอพระพุทธเจ้าว่าจะตอบอย่างไร ตัดสินใจไปตามนั้น อย่าถามท่านไม่ได้นะ ถามท่านไม่บอกแต่ว่าจะรู็ด้วยกำลังของจิตที่เป็นทิพย์
            แบบนี้เขาใช้กันเยอะแล้ว ถ้าจะถามว่าได้หรือ นี่มันสายไปแล้ว เขาทำได้มากแล้ว อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลก ใช้ได้มากกว่านี้
            เมื่อกี้พูดถึงทิพจักขุญาณ และก็ญาณที่ ๒ ที่จะได้จากมโนมยิทธิก็คือ จุตูปปาตญาณ
            จุตูปปาตญาณ ที่เขาบอกว่าจะรู้เห็นคนหรือสัตว์ หรือ ว่าได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้ารู้็ว่าใครเขาตายเขาแจ้งว่าคนนั้นตาย สัตว์ตัวนี้ตายเราก็จะทราบได้ว่าผู้ตายผู้นี้เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ
            แล้วก็ต่อมาเป็น ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ การระลึกชาติ สามารถจะทบทวนชาติต่าง ๆ ที่เราเกิดมาได้ทั้งหมดว่า เราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่กี่ชาตินี่นับไม่ไหวนะ ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่แสนชาติดีกว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เราสามารถจะรู้
            แล้วก็ต่อไป เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ เขาแปลว่าสามารถรู้อารมณ์จิตของบุคคลอื่น หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้ายังไม่มาก็ดี เราจะรู้ว่าเขาคิดอะไร เราสามารถจะรู้ได้ทันที
            และต่อไป อตีตังสญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์และสถานที่ได้ ว่าก่อนนั้นเขาทำอะไรมาหรือมีสภาพเป็นอย่างไร
            อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต

ที่มา
http://www.jidsai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539146167

2
การฝึกวิชามโนมยิทธิ
คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ

โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

            ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ
            หมวดที่ ๑ สุขวิปัสสโก
            หมวดที่ ๒ เตวิชโช
            หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ
            หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
            หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ
            สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็
            ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
            ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
            หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่
            ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศํยของบรรดาท่านพุทธบริษัท
            สำหรับ สุขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก
            สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น
            สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้
            สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
            ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
            สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
            มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อนเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า
            สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว

ที่มา
http://www.jidsai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539146167

3
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / ตอบ: จิตดื้อ
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2556, 12:49:51 »
ขอบคุณครับ
อ่านเพิ่มเติม
http://www.dhammada.net/niranam/dule.html

5

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร
ทุกคนผู้เข้ามานับถือพระพุทธศาสนา จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม จะถือบวชก็ตาม ต้องทำกิจเบื้องต้น คือ ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยนี้เป็นสรณะ คือ ที่พึ่ง หรือดังที่เรียกว่านับถือเป็นพระของตน เทียบกับทางสกุล คือ นับถือพระพุทธเจ้าเป็นพระบิดา ผู้ให้กำเนิดชีวิตในทางจิตใจของตน สัจธรรมที่เป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔


คิริมานนทสูตร
ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตะวันมหาวิหาร ครั้งนั้น ท่านคิริมานนท์อาพาธ(เจ็บป่วย) หนัก กระสับกระส่ายเพราะพิษไข้ ท่านพระอานนท์จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลให้เสด็จไปเยี่ยม พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าอานนท์จะไปเยี่ยมพระคิริมานนท์จงแสดงสัญญา ๑๐ อย่าง ให้พระคิริมานนท์ฟังด้วย เพราะเมื่อฟังจบแล้วจะหายจากโรคาพาธนั้นโดยเร็วพลัน จากนั้นทรงแสดงสัญญา ๑๐ ให้ท่านพระอานนท์ได้เรียนและจดจำเพื่อนำไปแสดงแก่พระคิริมานนท์ต่อไป
สัญญา ๑๐
๑. อนิจจสัญญา
๒. อนัตตสัญญา
๓. อสุภสัญญา
๔. อาทีนวสัญญา
๕. ปหานสัญญา
๖. วิราคสัญญา
๗. นิโรธสัญญา
๘. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
๙. สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา
๑๐. อานาปานสติ
สัญญา หมายถึง ความจำได้, ความหมายรู้ได้, หรือความกำหนดหมาย เป็นสัญญาชั้นสูงที่จะนำไปสู่ปัญญา มี ๑๐ ประการ คือ
๑. อนิจจสัญญา กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร หมายถึง การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดมาแล้วดับไป ผันแปรเปลี่ยนสภาพตลอดเวลา หรือเป็นสิ่งชั่วคราวตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ
๒. อนัตตสัญญา กำหนดหมายความเป็นอนัตตาแห่งธรรม หมายถึง การพิจารณาเห็นความเป็นของมิใช่ตัวตนของอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์) ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสภาพว่างเปล่าหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง หรือไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใคร
๓. อสุภสัญญา กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย หมายถึง การพิจารณาร่างกายนี้ทั้งหมด ตั้งแต่พื้นฝ่าเท้าขึ้นไปจนถึงปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีอยู่ในกายนี้ ๓๑ อย่าง เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน เป็นต้น พิจารณาจนเกิดเห็นความไม่งามของกายขึ้นในจิต
๔. อาทีนวสัญญา กำหนดหมายโทษแห่งกาย คือ มีอาพาธต่างๆ หมายถึง การพิจารณาเห็นว่า กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก ความเจ็บไข้ต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ในกายนี้ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนฤดูกาล, วิบากกรรม, หรือการรักษาสุขภาพร่างกายไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น
๕. ปหานสัญญา กำหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตก และบาปธรรม หมายถึง การไม่รับเอาอกุศลวิตก ๓ (กามวิตก, พยาบาทวิตก, วิหิงสาวิตก) ที่เกิดขึ้น แต่กลับพยายามละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด และทำให้อกุศลทั้งหลายทั้งปวงไม่ให้เกิดขึ้นได้อีกต่อไป
๖. วิราคสัญญา กำหนดหมายวิราคะ คือ อริยมรรคว่า เป็นธรรมอันละเอียด หมายถึง การพิจารณาเห็นว่า ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความคลายกำหนัด และพระนิพพานเป็นภาวะที่สำรอกกิเลสได้จริง
๗. นิโรธสัญญา กำหนดหมายนิโรธความดับตัณหา คือ อริยผล ว่าเป็นธรรมอันละเอียด หมายถึง การพิจารณาเห็นว่าภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความดับ และพระนิพพาน เป็นภาวะที่ดับตัณหาได้จริง
๘. สัพพโลเก อนภิรตสัญญา กำหนดหมายความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง หมายถึง การละอุปาทานในโลกที่เป็นเหตุตั้งมั่น ยึดมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต งดเว้นไม่ถือมั่น รู้จักยับยั่งใจไม่ให้ไหลไปตามอำนาจตัณหา
๙. สัพพสังขาเรสุ อนิฏฐสัญญา กำหนดหมายความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง หมายถึง การพิจารณาความไม่ปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ จนเกิดความอึดอัด ระอาเบื่อหน่าย รังเกียจในสังขารทั้งปวง
๑๐. อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก หมายถึง การตั้งสติกำหนดอารมณ์กัมมัฏฐาน มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปในที่อื่น กำหนดจิตเฉพาะที่ลมหายใจเข้าออก
พระอานนท์ เมื่อได้เรียนทรงจำสัญญา ๑๐ ประการนี้ได้แล้วจึงได้ไปเยี่ยมไข้พระคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ นั้นแก่ท่าน เมื่อฟังจบแล้วท่านพระคิริมานนท์ได้หายขาดจากอาพาธนั้น
การที่ทุกขสัญญาไม่ปรากฏอยู่ในสัญญา ๑๐ ประการ ในคิริมานนท์สูตรนั้น มิใช่หมายความว่าไม่มีเรื่องทุกข์ร่วมอยู่ในที่นั้นด้วย เพราะทุกข์ได้ทรงแสดงไว้ในอาทีนวสัญญา การที่ทรงแสดงทุกข์ด้วยอาทีนวสัญญานั้น ก็โดยมีพระพุทธประสงค์ที่จะให้เหมาะแก่บุคคลผู้รับพระธรรมเทศนา คือ พระคิริมานนท์ผู้กำลังต้องอาพาธอยู่ จึงได้ทรงยกโรคาพาธต่างๆ อันเป็นอาการของทุกข์ขึ้นแสดง โดยความเป็นโทษของร่างกายเสียทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นอันยุติว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทุกข์ไว้ในที่นั้นโดยชื่อว่า อาทีนวสัญญา ฯ
(หนังสือบูรณาการแผนใหม่ นักธรรมชั้นเอก รวมทุกวิชา.กรุงเทพฯ:เลี่ยงเชียง,๒๕๔๗.)อริยสัจ ๔

เขียนโดย จิตติเทพ นาอุดม ที่ 02:13

ขอบคุณที่มา
http://buddhahastaught.blogspot.com/2010/11/blog-post.html

6
ดีครับ
ชอบครับ
แล้วมาแบ่งป้นเล่าสู่กันฟ้ง(อ่าน)อีกนะครับ

7
ขอบคุณที่นำภาพมาชมกันครับ

สวัสดีปีใหม่ สุขศรีทุกท่านครับ

8
ยามว่างหรือมีโอกาส ก็จะฟังเรื่อยๆครับ ของดีมีประโยชน์มาก :054:

9
กรรมที่ทำกับยุงตัวเล็กๆด้วยการทรมาณมันช่างมีผลรุนแรงไม่ใช่น้อย :075:

10
ขอบคุณครับ เรื่องนี้มีประโยชน์มากเลยครับ

11
ตอนที่ ๑๓
ทดสอบจิตใจตนเอง


คณะสหธรรมิกได้จาริกไปถึงเทือกเขาในอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่บริเวณเทือกเขาแห่งนี้เป็นบริเวณที่สัปปายะพื้นที่ลาดลงไปทุ่งนา มีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ขณะที่บำเพ็ญจิตภาวนาอยู่ที่นี่

สหธรรมิก ๑ องค์เป็นไข้มาลาเรียอาการหนักไม่สามารถรักษาได้เพราะอยู่ห่างไกล แม้จะใช้ยาพื้นบ้านก็ไม่สามารถรักษาให้อาการทุเลาได้เป็นเหตุให้เสียชีวิต

ส่วนอีก ๑ องค์เกิดได้มีศรรักปักอกเพราะได้พบรัก จึงลาสิกขาไปแต่งงาน

จึงเหลือเพียง ๒ องค์ มุ่งทำความเพียรที่นั่นต่อไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาทางพ้นทุกข์ การบำเพ็ญพากเพียรไม่เกิดผล เพราะเหตุสหธรรมิก ๒ องค์ต้องลาจากไปด้วยเหตุดังกล่าว ทำให้จิตใจสับสนกระวนกระวายภาวนาหลายคืนจิตไม่สงบ มีแต่ร้อนรนรุ่มร้อน

พระจามได้นึกถึงวิธีการสั่งสอนฝึกจิตที่พระพุทธเจ้าตอบสารถีผู้ฝึกม้า ควรจะทำอย่างไรกับม้าที่ฝึกยาก ม้าที่ฝึกยากเปรียบเสมือนจิตของคนเราที่จะต้องฝึกฝนทรมานอย่างเหมาะสมกับจริตนิสัยของตน ท่านจึงหาวิธีทดสอบจิตที่ดื้อมากขณะนั้นทั้งๆ ที่เคยทำได้และสูญหายไป ฝึกใหม่ก็ไม่ยอมลง แสดงถึงจิตตนเองมีความดื้อมากขณะนั้น ช่วงนั้นระหว่างเดือน ๙ เดือน ๑๐ ฝนกำลังตกหนักน้ำไหลจากภูเขา ไหลตามลำห้วยลงมาในทุ่งนาท่วมเอ่อเป็นบริเวณกว้างต้นข้าวกำลังงอกงามดี เกิดความคิดขึ้นมาว่า เอาละคราวนี้จะลองภาวนาในน้ำเพื่อแก้ความร้อนรนในจิตใจ เอาความเย็นเข้าแก้ไข และแก้สติที่ชอบเผลอหลับขณะภาวนาเสมอ

เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงตั้งจิตอธิษฐานไม่นอน จะภาวนาในอิริยาบถนั่ง จึงลงไปภาวนาในทุ่งนา โดยแช่ตัวในน้ำ บางคืนตั้งแต่ ๓ ทุ่มบ้าง ๔ ทุ่มบ้าง จนถึงตี ๔ หรือตี ๕ แล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละคืน พระจาม กับสหธรรมิกอีก ๑ องค์ จำพรรษาอยู่ที่นั้นตลอดไตรมาสโดยชาวบ้านได้สร้างเสนาสนะให้ชั่วคราว

ท่านได้บำเพ็ญความเพียรอย่างเอาจริงเอาจัง บางครั้งก็หลับขณะนั่ง หลับขณะยืน หลับขณะเดินจึงแก้ไขการหลับในน้ำกลางทุ่งนา นั่งในน้ำอยู่ระดับคอหอยพอดี ถ้าหลับสัปหงกหัวทิ่มลงมาน้ำจะเข้าจมูก หน้าแช่น้ำพอรู้สึกว่าจะสำลักน้ำตาย ก็โผล่ขึ้นมาหายใจ ปฏิบัติอยู่อย่างนี้อยู่หลายคืนเว้นบ้าง ถ้าขณะภาวนาตัวลอยขึ้นก็จะใช้มือจับต้นข้าวไว้ เพื่อให้ตัวจมไว้ในระดับที่ต้องการ ทำให้การบำเพ็ญจิตภาวนาได้ผลดีขึ้นพอสมควร

เมื่อจิตสงบก็พิจารณาไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาธาตุสี่ ดินน้ำลมไฟ พิจารณากายานุสติ พิจารณาอสุภะอสุภังว่าร่างกายนี้ไม่สวยไม่งาม ปัญญาทางธรรมยังไม่เฉียบคมพอที่จะตัดกิเลสออกได้แม้แต่กิเลสหยาบหรือกลาง แล้วกิเลสขั้นละเอียดจะหลุดออกจากจิตใจได้อย่างไรเกิดความสงสัยตัวเองอย่างบอกไม่ถูก เมื่อจิตออกจากสมาธิก็เร่าร้อน จึงต้องหาสาเหตุว่าทำไมจิตจึงร้อน ถามใจตนเอง ต้องค้นหาความจริงให้ได้

ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ที่ตั้งไว้แน่วแน่ที่จะต้องให้หลุดพ้นในชาตินี้ให้ได้ จึงทรมานจิตอย่างหนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง ผลการปฏิบัติแม้ว่าจะไม่ได้ผลเท่าที่ตั้งใจไว้ก็ตาม แต่ก็ยังเกิดความรู้ขึ้นเกือบทุกครั้งที่เกือบตาย เกือบขาดใจ ทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงหน้าที่ของกายกับจิตนั้นแยกกัน จิตไม่อาจบังคับกายได้ทุกอย่าง จิตจะบงการการให้ทำงานตามที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้ กิเลสจะคอยปิดบังให้จิตหลงว่าเป็นเจ้าของกาย จึงหวงกายเป็นที่สุด แท้จริง กายไม่ใช่ของใจ ใจเพียงอาศัยกายอยู่ กายตายได้แต่ใจไม่ตายแต่กิเลสบังไว้ พระพุทธเจ้าจึงให้พิจารณาไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

บางคืนจิตสงบเป็นสมาธิก็เกิดนิมิตภาพเดิมๆ อีก เห็นพระพุทธรูปมากมาย วัดร้างต่างๆ ที่ชำรุดผุพัง ต้นโพธิ์ เกิดความรู้สึกขึ้นว่าได้เกิดหลายชาติ มีส่วนในการสร้างสิ่งที่ปรากฏในนิมิตนั้น บางคืนเกิดญาณทัศนะรู้อดีตชาติแบบลางๆ แต่ย้อนไปหลายชาติ แม้กระทั่งบางชาติเคยตกนรก บางชาติเคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

เมื่อออกพรรษาได้ระยะหนึ่งท่านจึงจาริกต่อไป ด้วยการเดินทางตามป่าเขาลัดเลาะไป ณ สถานที่ต่างๆ ค่ำที่ไหนก็หาที่พักปักกลดภาวนา ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง เรื่อยๆ ไปมุ่งไปเหนือ


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

12
ตอนที่ ๑๒
อัศจรรย์เด็กผู้หญิง


เมื่อออกพรรษาญาติโยมได้รับหลวงพ่อกากลับไปห้วยทราย พระจามและสหธรรมิกรวม ๔ องค์ ได้เดินธุดงค์ไปตามป่าเขา ช่วงระหว่างเลยกับเพชรบูรณ์ เพื่อแสวงหาสถานที่วิเวก บนเชิงเขาหินผาได้พบพระธุดงค์ ๒ องค์ จะเดินข้ามดงใหญ่ องค์หนึ่งพึ่งหายป่วยตั้งใจจะข้ามไปอีกฟากเขา พอเดินไปกลางดงก็หมดแรง ขอให้เพื่อนกางกลดให้เพื่อพักอยู่ก่อนโดยขอให้เพื่อนเดินไปให้พ้นดงก่อนมืด แล้วชวนให้ชาวบ้านกลับมาช่วยในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าในคืนนั้นพระองค์นั้นถูกเสือคาบไปกินเหลือแต่ร่องรอย เป็นอัฐบริขารในกลด สันนิษฐานว่าคงออกไปปัสสาวะข้างนอกจึงถูกเสือคาบเอาไปกิน ส่วนท่านและสหธรรมิกเดินข้ามฟากไปโดยปลอดภัย

ต่อมาได้ไปพักปักกลดอยู่บนเชิงเขาแห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้านเลยวังใส ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ริมแม่น้ำเลย เช้าวันหนึ่งคณะสงฆ์ได้เดินทางออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน มีศรัทธาญาติโยมใส่บาตรให้พอสมควรแล้วก็เดินทางกลับไปที่พักปักกลด ได้มีศรัทธาญาติโยมบางท่านติดตามเอาอาหารมาถวายเพิ่มเติม มีเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไปด้วยโดยไม่มีพ่อแม่นำไป เด็กหญิงคนนั้นได้นำข้าวและสัปปะรดครึ่งลูกไปถวาย

ขณะนั้นก็มีการเตรียมอาหารแยกอาหารและกับข้าวเพื่อจัดถวายพระสงฆ์เพื่อเฉลี่ยกันฉันให้ทั่วถึง เด็กหญิงคนนั้นกุลีกุจอจัดอาหารคาวหวานตลอดจนการประเคนอาหารมีความแคล่วคล่องกว่าผู้ใหญ่ การพูดการจาฉะฉานรู้จักวิธีการปฏิบัติต่อพระกรรมฐานอย่างดีกว่าผู้ใหญ่ที่มาถวายด้วย เพราะยังรู้สึกเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ค่อยจะถูก เด็กหญิงคนนั้นพูดขึ้นว่า “ขออภัยด้วยบ้านนี้เป็นบ้านป่าดง ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระสงฆ์ ทำอะไรไม่ค่อยจะถูก” ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ สะดุดใจ ทำไมเด็กหญิงตัวน้อยๆ พูดจาฉะฉานดีกว่าผู้ใหญ่ รู้ข้อวัตรปฏิบัติของพระกรรมฐานดีขนาดนี้ พระจามและสหธรรมิกรู้สึกแปลกใจ ทั้งๆ ที่ผู้ใหญ่ได้ผ่านโลกมาก็มากผ่านการทำบุญมาก็มาก ทำไมจึงแตกต่างกันถึงปานนั้น ท่านได้นำคำพูดนั้นมาสนทนาพิจารณาทบทวนความสงสัย ในที่สุดก็ลงความเห็นเป็นคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ว่า “ถ้าเป็นมนุษย์ก็เป็นโสดาบันมาเกิดใช้ชาติ แต่ถ้าไม่ใช่มนุษย์ก็เป็นเทวดา”

คณะจึงเดินทางไปบำเพ็ญจิตภาวนาที่ ถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย ระยะหนึ่ง การภาวนายังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร จึงเดินธุดงค์ต่อไปยังเพชรบูรณ์


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

13

หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ขณะออกรับบิณฑบาต
ตอนที่ ๑๑
วิกฤติสร้างวีรบุรุษ


เมื่อการบวชได้ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย คณะจึงได้เดินทางไปนมัสการปูชนียสถานสำคัญ เพื่ออธิษฐานฝากฝังพระจาม ตลอดจนพระจามก็อธิษฐานตนฝากไว้ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ให้ตลอดรอดฝั่ง จึงพากันไปนมัสการพระธาตุหลวง ที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยผ่านไปนมัสการพระธาตุบัวบกที่บ้านผือ พระธาตุโคกซวก ที่ศรีเชียงใหม่ ข้ามไปยังฝั่งประเทศลาว ความมั่นใจจึงเกิดขึ้นอย่างเต็มหัวใจ คณะจึงมุ่งกลับสู่คำชะอี ด้วยการเดินทางด้วยเท้าไม่มียานพาหนะและคณะมีหลายคนบางคนก็อายุมาก ย่อมทำให้การเดินทางได้ไม่รวดเร็วเท่าที่ควรประกอบด้วยลักษณะนิสัยประจำตัวของพระจามที่มีอยู่เดิมนั้น ค่อนข้างใจร้อนทำอะไรรวดเร็ว เด็ดเดี่ยวอยู่แล้วจึงได้ขอร้องกับคณะที่ไปส่งโดยขอแยกตัวไปเพื่อแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อภาวนาสักระยะหนึ่งจึงจะตามไป

เมื่อข้ามจากฝั่งประเทศลาวมาไทยแล้ว พระจามจึงขอแยกออกจากคณะเพื่อมุ่งไปบำเพ็ญจิตภาวนาเพียงองค์เดียว เพราะมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างเต็มหัวใจ ที่ตนเองได้เคยศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่หลวงปู่มั่นขณะเป็นเณรมาในขั้นอุฤษฏ์แล้ว ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้จากครูบาอาจารย์ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่มั่นหลายองค์ เช่น หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม หลวงปู่ดี ฉนฺโน มาแล้วโดยเฉพาะหลวงปู่ดี ฉนฺโนเก่งทางกสิณพระจามเชื่อมั่นตนเองว่า มีฤทธิ์อำนาจพอที่จะรักษาตนเองได้ตลอดจนเรียนรู้ธรรมเนียมพระธุดงค์กรรมฐานอย่างดีมาแล้ว

พระจามได้มุ่งสู่ถ้ำพระ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ปักกลดบำเพ็ญจิตภาวนาระยะหนึ่งแล้วเดินธุดงค์ต่อไปยังถ้ำเกิ้ง ใกล้ภูย่าอู่ อำเภอบ้านผือ เขตจังหวัดอุดรธานี อยู่บนเทือกเขาภูพาน ที่บริเวณนั้นมีเสือชุกชุม เสือแถบนี้เคยกินคนมาแล้ว เมื่อชาวบ้านทราบจึงมีความเป็นห่วงว่าจะถูกเสือตะครุบเอาไปกิน

ชาวบ้านบอกเล่าว่า มีเสือโคร่งสามารถกินควายวัวคนได้ เสือดาวมักจะกินลูกควายลูกวัวและคนได้ เสือดำมักกินหมาที่ติดตามคนไป แต่ถ้าเข้าใจผิดว่าคนเป็นหมาก็สามารถกินคนได้เช่นกัน ที่เสือแถวนี้ชอบกินคนเพราะได้เคยกินศพคนเดินทาง มีคณะที่แบกหามสัมภาระไปขายโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเวียดนาม เมื่อใครตายก็ทิ้งศพไว้ในป่าโดยไม่เผาหรือฝัง เสือจะกินซากศพที่ตายใหม่ๆ รสชาติเนื้อคนคงจะอร่อยทำให้เสือติดใจในรสชาติจึงเป็นสาเหตุที่เสือชอบกินคน ชาวบ้านแนะนำว่า กลางคืนต้องอยู่ในกลดอย่าออกมาข้างนอกจนกว่าจะรุ่งเช้า ต้องหากระบอกไว้ปัสสาวะในกลด เสือดำ เสือดาว อาจเข้าใจเป็นหมาก็จะตะครุบเอาไปกิน ถ้าออกมานอกกลด แม้แต่ระหว่างการเดินทางก็ต้องระมัดระวัง

คืนวันแรกที่ถ้ำเกิ้ง พระจามสวดมนต์ก่อนพลบค่ำจากนั้นก็เข้าภาวนาในกลด โดยไม่ออกมาจนกระทั่งรุ่งเช้าออกไปบิณฑบาตปรากฏว่าคืนนั้น เสือไม่มาหากินบริเวณนั้น เป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เมื่อชาวบ้านทราบตอนไปบิณฑบาต ถามเรื่องราวแล้วชาวบ้านตกใจถามว่า “เสือไม่มาหรือ” ท่านตอบว่า “ไม่มี” แต่ชาวบ้านเข้าใจเหตุการณ์ดีจึงพากันไปตัดไม้ไผ่มาปักตามซอกหินที่เงื้อมผาถ้ำเกิ้งนั้นทำคอก ๒ ชั้น และทำไม้ค้ำยันเพื่อป้องกันเสือทุกชนิด ทำให้พระจามได้ใจชื้นขึ้นจากความรู้สึกที่ชาวบ้านเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

คืนวันที่สองท่านได้เข้าคอกเข้ากลดสวดมนต์ทำวัดเสร็จเรียบร้อยก่อนมืด พอเริ่มพลบค่ำได้ยินเสียงเสือร้องรับกันเป็นทอดๆ แต่ไกลและเสียงร้องใกล้เข้ามาๆ เป็นระยะหลายตัวเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จิตเริ่มปรุงแต่งจึงเกิดความกลัวมากขึ้นตามลำดับ รู้สึกกลัวมากขึ้นจนตัวสั่น แม้ยังไม่เห็นตัวก็เพราะเป็นเวลาค่ำมืด ในช่วงวิกฤติตรงที่เสือมาร้องอยู่ที่หน้าถ้ำห่างนิดเดียวที่พึ่งสุดท้ายคือการสวดมนต์ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ท่านบอกว่าเริ่มแรกนั้นตั้งนะโม สวดก็ไม่จบ สวดอิติปิโสก็ไม่ถูก เสือเดินวนไปเวียนมา ได้แต่นะโมเฉยๆ อิติปิโสเฉยๆ เกิดกลัวจนขนพองสยองเกล้า แต่เมื่อเสือไม่เข้ามาตะกุยคอกที่ชาวบ้านสร้างให้ไว้ ก็มีสติขึ้นมา ตั้งสติได้ก็สวดมนต์ได้จนจบ สวดอย่างถี่ยิบเพื่อให้จิตสงบโดยเร็ว เพราะไม่แน่ใจว่าเสืออาจหวนกลับมาเล่นงานก็ได้

จากนั้นไม่นานจิตก็สงบเป็นสมาธิ ความกลัวหายไปหมด เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างปราศจากข้อสงสัย ต่อจากนั้นก็ปรากฏหัวหน้าเทวดาแต่งตัวสวยงามมาบอกว่า ถ้าต้องการให้ช่วยเหลือก็ให้นึกถึงจะมาช่วยเหลือทันที และบอกบริวารที่เป็นเพศหญิงให้ออกไปจากบริเวณถ้ำเสียก่อนและให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง และบอกอีกว่าใกล้ๆ มีบ่อน้ำทิพย์ให้ใช้ดื่มกินได้

วิกฤติชีวิตได้ผ่านไปจากการเสี่ยงภัยจากเสือร้าย ท่านจึงเกิดความมั่นใจ ตอนรุ่งเช้าออกไปบิณฑบาต ก็ได้เดินสำรวจดูรอยตีนเสือมากมายตามทางเดิน แต่จิตใจไม่สะทกสะท้าน จิตใจมั่นคงอยู่กับ “พุทโธ” ตลอดเวลาท่านได้พักภาวนาอยู่ที่ถ้ำนี้ระยะหนึ่งพอสมควรแล้วและเห็นว่าใกล้จะเข้าพรรษา จึงเดินทางกลับไปจำพรรษาที่ห้วยทราย ที่โปรดโยมแม่ชี

เมื่อพรรษาผ่านไปรู้สึกเป็นห่วงโยมแม่ จะลาสิกขาถ้าตัวเองไม่อยู่ห้วยทราย จึงไปเรียนปรึกษาว่าจะออกธุดงค์ไปหาวิเวกที่ต่างๆ เป็นระยะเวลายาวนาน แม่ชีมะแง้จึงกล่าวให้เกิดความสบายใจว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงใยแม่ เพราะแม่มีหลักใจแล้วขอให้ออกไปแสวงหาธรรมขั้นสูง ณ สถานที่สัปปายะตามรอยพระกรรมฐานเถิด” ต่อจากนั้นพระจามจึงตัดสินใจ ออกหาวิเวก โดยเดินทางไปลาพ่อซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่ภูเก้า เพื่อไปหาพระอาจารย์คูณ อธิมุตโต ที่มหาสารคาม หลวงพ่อกาจึงเดินทางไปจำพรรษาที่มหาสารคามเพราะด้วยความห่วงใย


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

14
ตอนที่ ๑๐
แม่วางเส้นทางชีวิต

แม่ชีมะแง้ ผิวขำ ได้รับคำแนะนำจาก แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ผู้เป็นญาติสนิท และพระอาจารย์พัน ได้พร้อมใจกันวางเส้นทางชีวิตให้สามเณรจามโดยจะต้องรีบบวชเป็นพระโดยเร็วและเลือกวัดที่มีรากฐานทางด้านพระกรรมฐานตามที่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นได้วางแนวทางไว้ตามที่ตั้งใจไว้แต่เดิมนั้น ถูกต้องเหมาะสมแล้วคือ วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อดำเนินตามรอยทางพระกรรมฐานที่มีแหล่งกำเนิดที่ดีและเชื่อมั่นในแนวทางที่จะบำเพ็ญพากเพียรเพื่อที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ และมีทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติควบคู่กันไป

ในที่สุดคณะก็ได้ไปถึงวัดโพธิสมภรณ์ การอุปสมบทจึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ตรงกับเดือนเกิด อายุเกือบ ๒๙ ปีเต็ม โดยมี พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพกวี (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ พระอุโบสถวัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี เป็นอันว่าแม่ชีมะแง้ ผิวขำ ได้วางเส้นทางชีวิตให้ลูกชายได้สมความปรารถนาแล้ว

แม่ชีมะแง้และแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เป็นเพศหญิงย่อมเข้าใจในจริตนิสัยใจคอของผู้หญิงสาวอยู่แล้วอย่างดี จึงใช้สติปัญญาปฏิภาณไหวพริบที่ทั้งสองได้เคยผ่านชีวิตทางโลกมาแล้วสามารถปกป้องคุ้มครองลูกชายให้ผ่านพ้นสงครามหัวใจที่เป็นเหตุการณ์สำคัญถึง ๒ ครั้ง ท่านเข้าใจดีว่า “เสือป่านั้นไม่น่ากลัวเท่าเสือบ้าน” เสือบ้านคือผู้หญิงจะตะครุบเอาไปกินน่ากลัวกว่าเสือในป่าเพราะเชื่อมั่นว่าบุญบารมีของพระจามนั้นได้สะสมมาแต่อดีตชาติแล้วได้แววมาตั้งแต่เด็กแล้ว ใครเล่าจะรู้จักลูกของตนดีไปกว่าแม่บังเกิดเกล้าคงไม่มีอีกแล้ว

แม่ชีมะแง้เป็นผู้มีสติปัญญาดี มีไหวพริบปฏิภาณดีมีอุปนิสัยเป็นคนละเอียดช่างสังเกต การปฏิบัติที่แสดงถึงคุณสมบัติดังกล่าว เมื่อคราวหลวงปู่มั่นพาโยมแม่กลับไปจังหวัดอุบลราชธานี ได้แวะพักที่ห้วยทราย เห็นหลวงปู่มั่นเดินหลังจากบิณฑบาตได้แวะไปแบ่งอาหารให้โยมมารดาถึง ๒ ครั้งในวันเดียวกัน แม่ชีมะแง้เห็นอย่างนั้นจึงจัดแจงทำอาหารคาวหวานไปให้โยมแม่หลวงปู่มั่นเสียเอง เป็นที่ประจักษ์ใจท่าน เมื่อหลวงปู่มั่นจะนำอาหารในบาตรออกมาให้โยมแม่ของท่าน โยมแม่ของหลวงปู่มั่นจึงห้ามว่า “แม่แดงจัดมาให้ฉันทานแล้ว” (ที่เรียกว่าแม่แดง เรียกตามชื่อลูกชายคนโต แม่ชีมะแง้มีลูกชายคนโตชื่อแดง) และพฤติกรรมของหลวงปู่มั่นที่ปฏิบัติต่อโยมแม่อย่างนี้เป็นที่ประทับใจและเป็นตัวอย่างอันดี เป็นเหตุสำคัญประการหนึ่งนอกเหนือปฏิปทาอื่นๆ ของท่านแล้วนั้น ทำให้ชาวบ้านแถบนี้ได้เคารพนับถือด้วยคำเรียกว่า “ญาท่านเสาร์” และ “ญาท่านมั่น” ด้วย

มีข้อสังเกตกันว่า แม่ชีมะแง้ ผิวขำ คงจะเข้าใจรู้จักลึกซึ้งในคุณธรรมบุญวาสนาบารมีของพระจาม มหาปุญโญ ผู้เป็นพระลูกชาย ที่อดีตชาติคงได้สั่งสมบำเพ็ญบารมีมามาก จะเห็นจากคุณลักษณะประจำตัวที่เด็ดเดี่ยวทำอะไรทำจริง ประสบความสำเร็จเป็นขั้นเป็นตอน ชะรอยจะต้องบวชอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ตลอดชีวิตอย่างแน่นอน เล่ากันว่า แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ คงจะมีส่วนสำคัญในการให้คำปรึกษาเพราะการปฏิบัติเจริญจิตภาวนาของแม่ชีแก้วนั้นเจริญก้าวหน้ารวดเร็ว รู้จักนรกสวรรค์ได้อย่างดี ญาณทัศนะที่ล้ำลึกเป็นสิ่งที่เชื่อมั่นได้ และสิ่งที่ปรากฏประจักษ์ในคุณธรรมของแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ ที่ได้ละสังขารไปแล้ว กระดูกอังคารของท่านกลายสภาพเป็นสิ่งสดใสเสมือนแก้วไปแล้ว ท่านผู้รู้ได้โปรดพิจารณา



แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ (องค์หลัง) ถ่ายกับเพื่อนแม่ชี
ณ สำนักชีบ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

15

ตอนที่ ๙
สงครามหัวใจ


พระอาจารย์พัน โยมบิดาของ พระอาจารย์สวัสดิ์ โกวิทโท ซึ่งเคยบวชเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ขณะเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พร้อมด้วย แม่ชีมะแง้ ผิวขำ, แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ และญาติได้พานายจาม เดินทางจากบ้านห้วยทรายเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๐ เดินเท้ากันไปไหว้พระธาตุพนมที่จังหวัดนครพนม เพื่ออธิฐานขอบวชแล้วเดินทางเรียบแม่น้ำโขง ผ่านจังหวัดสกลนคร เพื่อมุ่งหน้าไปจังหวัดอุดรธานี เมื่อถึงบ้านผือได้พบหญิงชื่อบาง เธอได้ชักชวนให้นอนด้วย จะปล้ำเอาเป็นผัว “พี่นาคเข้าห้องด้วยกันเถอะ” หญิงสาวคนนี้ตามตื้ออยู่หลายวัน แม้จะเดินทางต่อไปผ่านบ้านอื่นก็พบหญิงสาวผู้นี้ตามไม่ลดละ

แม่ชีมะแง้ได้ปรึกษากับแม่ชีแก้วและญาติแล้วเห็นว่าอาจเสียทีเขา “กลัวผู้หญิงตะครุบเอาไปเป็นผัวจะต้องบวชให้โดยเร็ว” จึงรีบพานายจามไปบรรพชาเป็นสามเณรไว้ก่อนที่วัดป่าบ้านโคกคอน อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ เพื่อแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเพราะหญิงสาวผู้นี้ในขั้นต้นเสียก่อน

การเดินทางสมัยนั้น ค่อนข้างยากลำบาก เดินไปกันทางเท้าค่ำไหนนอนนั้น ต้องใช้เวลารอนแรมไปหลายเดือน จะต้องพบปะกับผู้คน เดินทางไปแต่ละแห่งก็ได้พบหญิงสาวหลายแห่งหลายคน ที่บึงกาฬก็พบหญิงสาวขอแต่งงานแต่ไม่หนักหนาเท่าหญิงสาวที่บ้านผือ ได้สอบถามหลวงปู่ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวท่านบอกว่า “อดีตชาติเคยเป็นสามีภรรยากันมา” และ “เป็นธรรมดาที่เกิดมาหลายชาติ” และเหตุการณ์นั้นได้ผ่านพ้นได้อย่างหวุดหวิด อาจเป็นด้วยแรงอธิฐานที่ปรารถนาไว้จึงมีทางออกให้สามารถแก้ปัญหาวิกฤติชีวิตนั้นผ่านไปได้ ท่านยิ่งเชื่อมั่นในไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างถึงหัวใจเอาชนะสงครามหัวใจของอำนาจกิเลสได้


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

16
ตอนที่ ๘
ชีวิตวัยหนุ่มเรียนรู้ชีวิตทางโลก


สามเณรจาม อายุได้ ๑๙ ปี ใกล้จะอุปสมบทแต่ความป่วยไข้เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น มีอาการหนักขึ้นตามลำดับ จนไม่สามารถออกไปบิณฑบาตได้ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ได้เขียนจดหมายแจ้งนายกา ผู้เป็นบิดา ได้ทราบอาการป่วยและนายกาจึงขับเกวียนไปรับเพื่อนำมารักษาตัวที่บ้านห้วยทราย

การรักษาโรคเหน็บชา จะต้องให้กินอาหาร ๓ มื้อหรือมากกว่าเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ด้วยเหตุของการอดอาหารเป็นระยะเวลานานและให้การรักษาด้วยยาพื้นบ้านที่ต้องใช้สุราเป็นกระสายยา จึงต้องให้ลาสิกขาจากสามเณร ทั้งๆ ที่ปรารถนาจะอุปสมบทเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ในอีกไม่นานนัก การรักษาใช้เวลาประมาณ ๓ ปี โรคเหน็บชาจึงหายขาด

ช่วงนี้เป็นระยะแห่งการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว นายแดงผู้เป็นพี่ชายคนโตได้แต่งงาน จึงแยกครอบครัวไปตั้งรกรากที่บ้านแวง ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมาก น้องชายก็ได้ออกบวชทำให้ขาดกำลังที่จะช่วยทำมาหากินและทำงานต่างๆ ให้ครอบครัว ตลอดจนดูแลน้องๆ อีกหลายคน ภาระอันหนักจึงตกอยู่แก่นายจามที่เป็นหลักให้แก่ครอบครัว จนกระทั่งอายุได้ ๒๗ ปี นายกาผู้เป็นพ่อได้มีศรัทธาออกบวชเป็นพระสงฆ์ นางมะแง้ผู้เป็นแม่ก็ได้ออกบวชเป็นแม่ชี เนื่องด้วยเสียใจมากที่ลูกชายคนสุดท้องได้เสียชีวิตอีก ทั้งอายุมากแล้วควรหาที่พึ่งและสมบัติทิพย์ในบั้นปลายของชีวิต ดั้งนั้น นายจามจึงรับภาระหนักขึ้นในการดูแลเลี้ยงดูน้องๆ ด้วย

ด้วยเหตุนี้เองญาติพี่น้องจึงหมายมั่นจะให้นายจามแต่งงานมีครอบครัวเป็นหลักฐาน มีแม่บ้านมาช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง จึงได้มีการทาบทามหญิงสาวสวยชาวภูไท ญาติผู้ใหญ่ได้ไปขอหมั้นเป็นเงิน ๑๒ บาทตามประเพณีและผู้ชายจะต้องปลูกเรือนหอ ทำไพลหญ้ามุงหลังคาด้วยตนเอง

นายจามคิดคำนึงถึงภาระอันหนักหน่วง และห่วงที่จะเกิดขึ้นมาผูกคอผูกเท้าผูกมือ แต่ในจิตใจส่วนลึกหวังจะออกบวชเพื่อหาทางพ้นทุกข์ เพราะได้รู้ได้เห็นทุกข์ของการมีครอบครัวและความยากลำบากในการเลี้ยงดู เอาอกเอาใจผู้อื่นอีกหลายคนจะไหวหรือ ในที่สุดจึงไปปรึกษาแม่ชีมะแง้ที่อยู่ภูเก้า (วัดภูเก้า) อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งบำเพ็ญสมณธรรมร่วมอยู่กับคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ

แม่ชีมะแง้ได้ให้ข้อคิดเป็นแนวทางตัดสินใจด้วยตัวเองว่า “ถ้าลูกจะแต่งงานนั้นแม่ดีใจ แต่ถ้าลูกบวชแม่จะดีใจยิ่งกว่า” แสดงถึงความมีสัมมาทิฏฐิอย่างแท้จริง นายจามจึงได้นำข้อคิดของแม่มาพิจารณาทบทวน เนื่องจากตามประเพณีเมื่อหมั้นผู้หญิงแล้วถ้าหากไม่แต่งงานจะต้องถูกปรับสินไหม

นายจามจึงกลับไปปรึกษากับแม่ชีมะแง้อีกครั้งหนึ่งว่า “แม่อยากจะให้บวชจริงๆ หรือ เขาจะต้องปรับถ้าไม่แต่งงานกับเขา” แม่ชีมะแง้ตอบอย่างหนักแน่นว่า

“ปรับก็ไม่เป็นอะไรหรอกลูก แม่ยินดีมากๆ เลยที่จะเห็นลูกบวช”

เหตุการณ์เกิดเกื้อหนุนพอดี นายจูมผู้เป็นน้องชายได้ลาสิกขา มาเป็นกำลังให้ครอบครัวจึงเป็นโอกาสมาแก้ไขวิกฤต ประกอบกับแม่ชีมะแง้ได้เจรจาต่อรองกับฝ่ายหญิงว่าจะบวช โดยไม่มีเจตนาจะหนีหมั้นแต่อย่างใด จึงได้ลดค่าปรับลงเหลือเพียง ๖ บาท (สมัยนั้นควายราคาตัวละ ๒ บาท ๕๐ สตางค์) นายจามจึงตัดสินใจบวชโดยเร็ว
 


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

17


ตอนที่ ๗
นิมิตสิ่งโบราณ


ขณะที่บำเพ็ญธรรมพากเพียรมุ่งมั่นขั้นอุกฤษฏ์อยู่กับหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองขอน จังหวัดอุบลราชธานี สมเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เป็นลูกธรรมแท้ในพระพุทธศาสนา แม้ว่าสุขภาพร่างกายจะไม่เอื้ออำนวยนักก็ตามแต่ก็คุ้มค่าของความพากเพียร

ผลที่ได้รับทำให้จิตสงบดีขึ้นโดยลำดับ เกิดนิมิตแปลกใหม่ที่ไม่เคยปรากฏและแตกต่างกับผู้อื่นจึงพอใจในผลงานของตน คุ้มค่าที่อดนอนและอดอาหาร

นิมิตเป็นภาพเจดีย์ปรักหักพังหลายแห่ง พระพุทธรูปเก่าแก่หลายปางมากมาย เนื้อเป็นทองคำบ้าง ทองสัมฤทธิ์บ้าง หินบ้าง ไม้บ้าง ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดปีติในสมาธิจนน้ำตาไหล เห็นภาพต้นโพธิ์ ต้นไม้อื่นที่พระพุทธเจ้าบางองค์ที่ได้ตรัสรู้

ความสงสัยในจิตใจเกิดขึ้นพร้อมๆ กับปลื้มปีติในผลงานของการบำเพ็ญสมาธิภาวนา การปฏิบัติแต่ละวันแต่ละคืน เกิดภาพในสมาธิบ้าง เกิดภาพในฝันยามหลับนอนบ้าง แม้ว่าจะเปลี่ยนแนวทางมาพิจารณาปัญญาแต่ปัญญาไม่เกิด จะมีแต่ภาพนิมิตเกิดขึ้นมาแทน จึงเกิดความสงสัยในวิธีการปฏิบัติของตน แต่ความเป็นสามเณรน้อยเป็นเด็กๆ อยู่ไม่กล้าที่จะสอบถามหลวงปู่มั่น เพราะเกรงบุญญาบารมีของท่าน ได้แอบถามเพื่อนสหธรรมิกแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเกรงจะเป็นการอวดอุตริหรืออวดความสามารถจึงเจียมตัวไว้

ระยะหลังๆ ที่ได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์แล้ว ได้ธุดงค์ไปแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อภาวนา ก็ได้ปรากฏภาพทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่เดิมก็คิดว่าเป็นภาพสัญญาที่เกิดขึ้นมาหลอกด้วยอำนาจของกิเลสจึงพยายามแก้ข้อสงสัยนั้นเรื่อยไป แต่เมื่อธุดงค์ไปกลับพบสิ่งปรักหักพังที่วัดเก่าแก่ต่างๆ จึงได้แน่ใจขึ้นอีกว่า คงจะเป็นบุญญาบารมีที่ตนเองได้เคยสร้างสมไว้แต่อดีตชาติ

คำถามที่ถามในใจตนเองว่า เหตุในอดีตคืออะไร เราสร้างบารมีเพื่อจุดมุ่งหมายอันใดแน่ ทั้งๆ ที่เราพากเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ในชาตินี้

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

18
ตอนที่ ๖
สามเณรจาม เจอผีจริงเข้าแล้ว

ชาวบ้านแถวจังหวัดยโสธรสมัยนั้นนิยมเลี้ยงผีเพื่อใช้ประโยชน์ตามที่ตนเชื่อถือ จะนับถือผีมากกว่านับถือพระ ชาวบ้านได้สร้างศาลผีปู่ผีย่าไว้ในหมู่บ้านพื้นที่บริเวณใดชาวบ้านพบว่าผีดุก็จะไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพียงแต่ให้เครื่องเช่นไหว้บวงสรวงขอให้ช่วยเหลือ

คราวหนึ่ง หลวงปู่อ่อนเป็นหัวหน้าพร้อมด้วยหลวงปู่กงมา (ขณะนั้นยังเป็นพระหนุ่มๆ) พระอื่นๆ อีก และสามเณรจามได้ติดตามไปเที่ยววิเวกในป่ารกชัฏตามแนวทางพระกรรมฐานที่หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นได้สั่งสอนและได้ปฏิบัติมา สถานที่ใดที่มีผีดุ ชาวบ้านกลัว ท่านจะไปภาวนาทำความเพียรเพื่อทดสอบฝึกฝนตนเอง หาประสบการณ์ ตลอดจนวิจัยธรรมที่จะเหมาะสมในการละกิเลสอุปาทานทั้งหลาย ในทำนองที่ว่า “สถานที่น่ากลัวที่สุดย่อมมีสิ่งที่ดีที่สุด” ท่านไม่เคยปฏิเสธว่าไม่มีผีไม่มีเทวดา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ปฏิเสธ

คณะจาริกของหลวงปู่อ่อนพร้อมสามเณรจาม ได้เลือกพักปักกลดบริเวณป่ารกแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าผีดุมาก เคยแสดงให้ปรากฏมาแล้วบริเวณใกล้ๆ ที่เนินที่มีกอไผ่งามลำใหญ่ ไม่มีร่องรอยใครมาตัดฟันเลยแม้แต่บริเวณใกล้เคียงกันนั้นก็ตาม คณะจาริกแสวงธรรมได้ปักกลดอยู่ห่างกันพอประมาณ สามเณรจามอายุประมาณ ๑๖-๑๗ ปี กำลังแข็งแรงล่ำสัน อาสาที่จะไปหาฟืนแห้ง ไม้ไผ่แห้งมารมบาตรหรือระบมบาตร เพื่อไม่ให้เป็นสนิม ทำถวายหลวงปู่อ่อนและหลวงปู่กงมา

เหตุสำคัญอยู่ที่กอไผ่มีศาลพระภูมิ มีไม้แห้งจำนวนมากจากที่ได้ค้นหาที่อื่นมาแล้ว ก่อไผ่ยืนตายอยู่เพราะเกิดขลุยไผ่หรือไผ่ออกดอกแล้วก็แสดงว่าหมดอายุ แต่ไม่มีรอยใครตัดเลย สามเณรจามจึงไปเรียนถามหลวงปู่ทั้งสองซึ่งยังเป็นครูบาในขณะนั้น ท่านวางเฉย แสดงว่าท่านคงรู้ว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ก็ได้ หรือไม่กล้าบอกเพราะความจำเป็นก็สุดจะคาดเดาได้ สามเณรจามก็จัดแจงตัดมาจำนวนเพียงพอที่จะใช้เผา (ระบม) บาตร ขณะที่จะตัดไม้สามเณรจามตะโกนร้องบอกว่า “ผีตาปู่เอ๋ย ถ้าอยู่ที่นี่ก็หนีไปก่อนนะข้าต้องการไม้ไผ่ เอาไปเผาบาตร ข้ากำลังต้องการไม้ไผ่อยู่ สูออกไปจากที่นี่ก่อนนะ”

เย็นวันนั้นเอง สามเณรจามได้ยินเสียงเหมือนเสียงผู้หญิงสาวร้องโอยๆ โหยหวนเข้าไปในหมู่บ้านแล้วก็กลับไปที่ศาลในป่า จากนั้นก็ได้ยินเสียงอื้ออึงในบ้าน หมาเห่าหอนกันทั้งคืน วันนั้นชาวบ้านก็ไม่เป็นอันนอน เสียงถ้วยโถโอชามกระทบกันก๊องแก๊งๆ ชาวบ้านในหมู่บ้านรู้ดีว่าต้องมีใครไปรบกวนผีที่ศาลแน่ๆ

พอรุ่งเช้าก็เกิดเรื่องใหญ่ ชาวบ้านแห่กันมากล่าวโทษเผดียงว่า เพราะเหตุที่พระเณรมาอยู่ที่นี่ ทำให้ผีปู่ย่าเดือดร้อนไปรบกวนที่ศาลพระภูมิเจ้าที่ ผีจึงมากวนชาวบ้าน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน ขอร้องให้ท่านย้ายไปอยู่ที่อื่นเถิด

ด้วยเหตุที่ต้องการสถานที่สัปปายะ และอาศัยชาวบ้านบิณฑบาตเลี้ยงชีวิต หลวงปู่อ่อนและหลวงปู่กงมา ขณะเป็นพระหนุ่มๆ ได้เดินทางไปหาสถานที่ใหม่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน สามเณรจามทำหน้าที่เฝ้าอัฐบริขารอยู่องค์เดียว จนมืดค่ำก็ยังไม่กลับก็ได้แต่เฝ้ารอ หลังจากสรงน้ำเสร็จก็นั่งผ่ามะขามป้อมจิ้มเกลือฉันไปรอไปในความมืด

ช่วงระหว่างโพล้เพล้พลบค่ำนั้น สามเณรจามยังไม่ได้เข้ากลด เอาเสื่อปูนั่งฉันมะขามป้อมไปพลาง เริ่มมืดสนิทได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญวนเวียนอยู่แถวศาล ได้ยินเสียงใบไม้ กร๊อบแกร๊บ ต่อมาก็ได้ยินเสียงเหมือนสัตว์หรือหนูวิ่งเข้ามาหา เมื่อใกล้ก็กระโจนเข้ามาใต้เสื่อที่นั่งอยู่ สามเณรจามจึงเอามือตบตรงเสียงนั้น ตะโกนว่า “มึงเข้ามาทำไม” จึงจุดเทียนขึ้นส่องดูก็ไม่เห็นมีอะไร รอจนดึกหลวงปู่ทั้งสองก็ยังไม่กลับมา จึงดับเทียนไหว้พระนั่งภาวนา

ครั้นหลวงปู่ทั้งสองกลับมาแล้ว หลวงปู่อ่อนส่งเสียงเรียก “เณร...เณร” มาแต่ไกลแต่ท่านไม่ตอบ จนกระทั่งใกล้จึงตอบรับว่า “ครับผม มีอะไรหรือครับ” หลวงปู่อ่อนว่า “คิดว่าเธอนอนหลับแล้ว ยังไม่นอนหรือ” พอรุ่งเช้าจึงได้เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ให้หลวงปู่ทั้งสองฟัง ท่านก็พอใจในความกล้าของเณร

พ่อแม่ครูอาจารย์เสาร์ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น และศิษย์พระกรรมฐานทั้งหลายที่จาริกไปแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อทำความเพียร เจริญจิตภาวนานั้นก็เพื่อให้เกิดปัญญาในธรรมขั้นสูงๆ ขึ้นไป ในขณะเดียวกันนั้นก็เพื่ออบรม สั่งสอนประชาชนชาวบ้านที่ไปโปรดทั้งบิณฑบาต และแสดงธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ละทิฏฐิเก่าที่เชื่อนับถือผี ให้หันมายึดในไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นสัมมาทิฏฐิและเป็นหนทางที่จะดับทุกข์ได้ ภูต ผี เทวดาต่างๆ ยังมีกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ พอใจก็ให้คุณได้ ถ้าไม่พอใจก็ให้โทษ แต่ไตรสรณคมน์นั้นมีแต่คุณ พระพุทธเจ้าสอนให้ละ โลภะ โทสะ โมหะ และชักจูงให้ชาวบ้านญาติโยมประพฤติปฏิบัติตามจะได้มีสุขและหาทางพ้นทุกข์ในที่สุด

ชาวบ้านที่มาฟังธรรม รักษาศีล ตามวัดต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกกลัวผี โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก เรียกว่า “ขวัญอ่อน” เคยมีเหตุการณ์ยามดึกสงัด โยมได้ยินเสียงเสมือนสัตว์วิ่งเหยียบใบไม้บนพื้นดังชอบๆ สักพักก็หยุดแล้วก็ดังใหม่ขึ้นอีกมาเป็นระยะๆ เสียงตะโกนมาว่า “ช่วยด้วยผีมา” ได้ยินเหมือนขึ้นต้นไม้เมื่อฉายไฟไปยังเสียงก็ปรากฏว่าเป็นตัวบ่างวิ่งหากินในยามค่ำคืน นี่แหละจิตที่กิเลสครอบงำอยู่ปรุงแต่ง ปัญญาธรรมเข้ามาไม่ทันก็กลัว เมื่อรู้อย่างนี้แล้วความกลัวคงน้อยลง ความกล้าคงมากขึ้นจนไม่กลัวเลย

พระอาจารย์อินทร์ถวาย เคยถามหลวงปู่ว่า “หลวงอา กลัวไหมครับ” หลวงปู่ตอบว่า “ไม่กลัวมันหรอก เพราะเขากลัวเราจนร้องห่มร้องไห้แล้ว เราจะไปกลัวเขาทำไม”

เมื่อน้อมมาพิจารณาเป็นธรรมะจะเห็นได้ว่า ผีในจิตใจของเราร้ายยิ่งกว่าผีภายนอก กิเลสในจิตใจเป็นผีร้ายคอยสิงอยู่ให้จิตใจคิดทำความชั่ว บาปอกุศล แต่ถ้าธรรมะเข้ามาอยู่ในจิตใจเมื่อใดย่อมจะคิดทำความดีทำบุญกุศล หลวงปู่จามจึงพยายามสั่งสอนให้ทำความดีย่อมได้ผลดีตลอดไป


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

19
ตอนที่ ๕
ชีวิตสามเณรน้อยที่เด็ดเดี่ยว

“กลัวจนขี้ขึ้นสมอง” เป็นคำกล่าวเปรียบเปรยคนขี้กลัวผีทั้งหลายที่มักจะมีอาการสั่นเทาทำอะไรไม่ถูก หรืออีกคำพูดหนึ่งว่า “สติแตก” ผู้อ่านคงจะได้ยินมาแล้ว เหตุการณ์ที่จะเล่าถึงสามเณรจามต่อไปนี้ คงจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่ใครเล่าอยากจะเอาตัวไปเสี่ยงกับเหตุการณ์นั้น

คราที่หลวงปู่มั่นเดินทางจาริกจากไป ท่านได้ฝากสามเณรจามอยู่ในความดูแลของหลวงปู่กงมา จิรปุญโญ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่มหาปิ่น ปัญญาพโล เผอิญโยมได้นิมนต์พระเณรไปยโสธร ระหว่างทางต้องแวะพักแรมเป็นเหตุให้เหลือแต่สามเณรสิมกับสามเณรจาม พักปักกลดอยู่ที่ป่าช้า วันนั้นมีการเผาศพคนตาย ๒ ศพ สมัยนั้นต้องใช้สิ่งของอยู่ในป่าต้มน้ำดื่ม ก็ได้อาศัยไม้ไผ่หามศพ มาตัดเป็นกระบอกต้มน้ำดื่มพอพลบค่ำต่างก็เข้ากลด ซึ่งอยู่ห่างกันพอประมาณในป่าช้านั้น

ความมืดเริ่มเข้ามาเยือน พร้อมกับความเงียบวังเวง อากาศเย็นก็โชยมาตามกระแสลมไม่ได้ยินเสียงผู้คนเพราะหมู่บ้านอยู่ห่างไกลได้ยินแต่เสียงสัตว์บางครั้งก็เสียงแมลงบางชนิดฟังดูมีอาการเย็นที่เท้าที่มือ หลังจากได้สวดมนต์แล้วต่างก็เข้าที่หวังจะภาวนาเอาธรรมะเป็นเพื่อน ความที่จิตยังตื่นกวัดแกว่งประกอบกับสัญญาที่มองเห็นศพที่ถูกเผา สังขารเกิดปรุงขึ้นผสมสัญญาเก่าในเรื่องผี จะภาวนาอย่างไรจิตก็ไม่สงบฟุ้งซ่านพิกล อากาศก็เย็นลงอีกเกิดปวดปัสสาวะขึ้นมาอีก ความรู้สึกก็ทวีมากขึ้นจนท้องแข็ง โผล่จะออกจากกลดเพื่อไปปัสสาวะ จิตก็ปรุงต่อไปอีกว่า “ผีมันคงมานั่งเฝ้ากองไฟ ดูการไหม้ของร่างกายของมันแน่ๆ” ขยับแล้วขยับอีกก็ปวดหนักขึ้นมาอีก พยายามนิ่งไว้ให้ความปวดทุเลา เปิดมุ้งกลดเอาหัวโผล่ ๓-๔ ครั้งไม่กล้าออกจากกลด ครั้นจะเรียกสามเณรสิมออกมาเป็นเพื่อนก็เกรงเพื่อนจะว่าขี้ขลาดตาขาว

สามเณรจามตัดสินใจพุ่งตัวออกจากกลดเพราะฉี่จะราดแล้ว น้ำปัสสาวะซึมออกมาแล้ว รีบวิ่งไปที่โล่งแล้วก็ปล่อยออกทันที ด้วยอาการเหลียวหน้าเหลียวหลังเพราะความกลัวจนสุดขีด ปัสสาวะไม่สุดสักที ใช้เวลานานเพราะกลั้นไว้นาน

ขณะที่น้ำปัสสาวะกำลังออกมา ได้สติดีขึ้นโดยลำดับเกิดปัญญาออกมาว่า “เอ ก็ไม่เห็นมีอะไร ผีมาหลอกก็ไม่ทำร้ายให้ถึงตายได้” ถามตัวเองว่า “เรากลัวอะไร” และจะหาคำตอบของความกลัวนั้น “ใครทำให้เรากลัว” ตาก็มองไปดูที่กองไฟกำลังครุกรุ่นไหม้ศพอยู่ใกล้จะหมดแล้ว เมื่อปัสสาวะสุดดีแล้ว ขณะนั้นความกลัวลดลง แต่ยังหวาดผวาอยู่ จึงตัดสินใจเดินไปดูที่กองฟอน เพื่อให้แน่ใจและจะหาคำตอบของความกลัวนั้น จากนั้นเขี่ยดุ้นฟืนเข้าไปในเตาเผา ซึ่งเป็นเตาเผาศพบ้านนอกก่อแบบชาวบ้านง่ายๆ เมื่อเขี่ยฟืนเข้าไปทั้งสองเตาไฟก็ลุกโพลงขึ้น

ท่านพิจารณาทบทวนเหตุการณ์ตั้งแต่เกิดความรู้สึกกลัว จนถึงขณะนั้นจึงได้คำตอบว่า “ที่กลัวเพราะกลัวจิตตนเองที่กิเลสบังคับให้ปรุงแต่งให้จิตฟุ้งซ่านไป เพราะขาดสติปัญญา กิเลสเข้าครอบงำปัญญา ธรรมะจึงไม่เกิด เมื่อธรรมะเกิดเพราะมีสติปัญญามาทันก็ไม่กลัว” ท่านว่า “ธรรมะย่อมชนะกิเลส ถ้ามีสติปัญญาพร้อม” “กิเลสทำให้เรากลัว เราไม่ได้กลัวผีกลัวจิตของเราที่ปรุงแต่งไปต่างหาก” แต่ส่วนลึกของจิตใจยังมีข้อสงสัยว่า “ผีมีจริงหรือ” จะต้องพิสูจน์แต่ที่แน่ๆ คือ “เราไม่กลัวผี” แล้ว

ขณะที่สามเณรจามอยู่กับหลวงปู่มั่น สามเณรจามได้มีสหธรรมิกที่เป็นเพื่อนสามเณรด้วยกัน คือ สามเณรสิม (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร) และมีศิษย์หลวงปู่มั่นที่จำพรรษาอยู่เท่าที่จำได้คือ หลวงปู่สิงห์ ขนฺยาคโม, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ, พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นต้น ต่อมาหลวงปู่มั่นจะปลีกตัวออกไปวิเวกที่อื่น จึงฝากสามเณรจามไว้ให้อยู่ในความดูแลของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม

หลวงปู่สิงห์ได้เดินทางไปสร้างวัดป่าบ้านเหล่างา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และนำกองทัพเผยแผ่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สามเณรจามได้ติดตามไปช่วยงานสร้างวัดและได้รับฟังการอบรมธรรมะตามโอกาสขณะที่ไปเผยแผ่ธรรมะจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม เป็นต้น

ขบวนกองทัพธรรมนำโดยหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม นั้นมีครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถปัญญาบารมีเฉพาะตัวหลายอย่างแตกต่างกัน หลวงปู่สิงห์จะเน้นด้านปัญญา ด้านหลักธรรมไตรสรณาคมน์ เป็นหลัก หลวงปู่ดี ฉันโน จะเน้นด้านกสิณมีฤทธิ์ สามารถปราบความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี ได้รื้อศาลต่างๆ ที่นับถือผีอยู่เดิม ถ้ามีข่าวว่ามีผีเฮี้ยนที่ไหนท่านจะเดินทางไปปราบแล้วสั่งสอนชาวบ้านให้ยึดมั่นไตรสรณาคมน์ ทำให้สามเณรจามได้สนใจศึกษาทางสมถะภาวนาเพื่อให้มีพลังกสิณ และฝึกฝนจนประสบผลสำเร็จตามที่มุ่งหวัง

ด้วยความมุ่งมั่นพากเพียรปฏิบัติตามแนวทางพระกรรมฐานอย่างเด็ดเดี่ยว เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สามเณรจามเป็นโรคเหน็บชาถึงขั้นวิกฤติเพราะได้บำเพ็ญในระดับขั้นอุกฤษฏ์ เพื่อมุ่งสู่ความพ้นทุกข์ในชาตินี้ ทั้งอดอาหาร ทั้งอดนอน อธิษฐานอดอาหาร ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน บางช่วงจะออกบิณฑบาตเพื่อฉันเฉพาะวันพระ และอดนอนเพื่อทำความเพียรภาวนาหลายวันติดต่อกันเป็นระยะๆ ตลอดไตรมาส จึงเป็นเหตุให้ร่างกายขาดอาหารและพักผ่อนน้อยเกินไป จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียอ่อนกำลัง คำนึงในใจว่าชีวิตนี้เราคงสิ้นหวังกระมัง


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

20
ตอนที่ ๔
เรียนรู้ชีวิตปฐมวัย พ่อมอบสมบัติทิพย์ให้


เด็กชายจามมีอุปนิสัยใจร้อน ใจเร็ว ตัดสินใจเด็ดขาดอดทนมุ่งมั่น มุ่งสู่อนาคต ทำอะไรทำจริง ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนเมื่ออายุ ๙ ปี ที่โรงเรียนบ้านคำชะอี ห่างจากบ้านห้วยทรายประมาณ ๓ กิโลเมตร ได้ขี่ม้าไปโรงเรียนกับเด็กชายเจ๊กผู้พี่ชาย บางวันได้แกล้งพี่ชายให้เดินไปเองเสี่ยงภัยจากเสือ ตนเองได้ควบม้าหนีกลับบ้าน แต่พี่น้องก็รักกัน โดยเฉพาะนายเจ๊กรักเด็กชายจามมากทั้งสองพี่น้องมีสติปัญญาดี แต่เรียนได้แค่ ป. ๒ เนื่องจากทางราชการแจ้งระงับการเรียนของเด็กที่บ้านอยู่ห่างโรงเรียนเกิน ๒ กิโลเมตร เพราะเสือชุกชุมได้กัดคนตายอยู่บ่อย ทั้งๆ ที่เด็กทั้งสองรักการเรียน ก็ได้แต่ร้องไห้

เมื่อเด็กชายจามอายุย่างเข้า ๑๔ ปี ได้มีโอกาสขับเกวียนร่วมขบวน ๕ เล่ม บรรทุกอัฐบริขารและอาหารซึ่งมีนายกา ผิวขำ ผู้บิดาไปกับขบวนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พาโยมแม่ของท่านและคณะพระสงฆ์-สามเณรเดินทางไปโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ขบวนทั้งหมดต้องบุกป่าฝ่าดงไปด้วยความยากลำบาก แม้กระทั่งหมาที่เดินตามไปถึงกับหมดแรงต้องอุ้มหมาคู่ใจขึ้นเกวียนไปด้วย

ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของเด็กชายจาม ทำให้พ่อกาเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึงให้ขับเกวียนบรรทุกสินค้าต่างๆ เช่น ไหม ฝ้าย และของป่าไปขายที่จังหวัดยโสธร เพื่อแลกเกลือ ปลาร้า และของกินนำไปขายที่คำชะอีเพื่อเลี้ยงชีพ

ต่อมานายจามอายุย่างเข้า ๑๖ ปี นายกาจึงนำไปฝากกับ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ก่อนที่หลวงปู่มั่นจะรับฝากได้ถามนายกาว่า “โยมรักลูกไหม” ท่านตอบว่า “ยังรักอยู่” หลวงปู่มั่นตอบว่า “ถ้ายังรักอยู่ก็ไม่รับ”

จากคำตอบเด็ดขาดของหลวงปู่มั่นทำให้นายกาต้องคิดหนัก เพราะผิดหวังแต่ก็ยังไม่ย่อท้อ ได้ปรึกษากับหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมและศิษย์หลวงปู่มั่นท่านอื่น จึงได้รับคำแนะนำว่า “ถ้ามอบให้ท่านก็ให้เป็นลูกท่านเลย ไม่ต้องห่วงใย จะสมประสงค์” จึงเข้าไปกราบหลวงปู่มั่นอีกครั้งหนึ่งแล้วกราบเรียนว่า ขอมอบนายจามให้เป็นลูกโดยเด็ดขาดจะทำอย่างไรก็แล้วแต่หลวงปู่มั่นจะเห็นสมควร ท่านจึงยินยอมรับฝากตั้งแต่นั้นมาและหลวงปู่มั่นกล่าวยกย่องนายกาว่า “มีสติปัญญาดี ตัดสินใจถูกต้อง ไม่เสียแรงที่ได้อบรมธรรมะให้ตลอดที่อยู่ห้วยทราย” จึงถือว่าเป็นจุดแปรผันของชีวิตที่สำคัญยิ่งที่พ่อได้มอบสมบัติทิพย์ให้ด้วยมองเห็นอนาคตอันสดใส นายจามได้เป็นศิษย์นุ่งขาวห่มขาวอยู่ประมาณ ๙ เดือน ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น ที่บ้านหนองขอน อำเภอบุ่ง (อำเภอหัวตะพาน) จังหวัดอุบลราชธานี


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

21
ตอนที่ ๓
กำเนิดเด็กชายจามในตระกูลสัมมาทิฎฐิ


บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร เป็นที่กำเนิดของเด็กชายจาม ผิวขำ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ

นายกา และนางมะแง้ ผิวขำ (ขณะเด็กชายจาม ก่อกำเนิดนั้นยังไม่มีนามสกุล เพิ่งได้รับการตั้งนามสกุลในรัชกาลที่ ๖) เป็นผู้ให้กำเนิดที่มีศรัทธาแรงกล้าต่อหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๙ หลวงปู่มั่น ได้มาจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่เสาร์ที่ภูผากูด อำเภอคำชะอี พ่อแม่ได้พาเด็กชายจาม อายุประมาณ ๖ ปี ไปกราบหลวงปู่ทั้งสอง พ่อแม่ให้กราบเด็กชายจามก็กราบทุกแห่งและพระกรรมฐานทุกองค์ตามที่แม่บอกด้วยความตั้งใจนับว่าแม่ได้สั่งสอนปลูกฝังนิสัยให้เป็นคนดีตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ จึงกล่าวได้ว่าเป็นตระกูลสัมมาทิฎฐิยึดมั่นในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

ต่อมาช่วงปี พ.ศ. ๒๔๖๔ บรรดาศิษย์ของหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น จำนวนประมาณ ๗๐ รูป ได้มารวมกันเป็นกองทัพธรรมสายพระกรรมฐานมากเป็นประวัติการณ์ ขณะเด็กชายจาม อายุได้ประมาณ ๑๑ ปี ได้ติดตามพ่อแม่ไปอุปัฏฐากดูแลรับใช้พระกรรมฐานอย่างใกล้ชิด แม่มะแง้ได้แกงขนุนอ่อนถวายพระสงฆ์-สามเณร แห่งกองทัพธรรมทั้งหมด เท่าที่ตรวจดูสอบถามได้มี หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม, หลวงปู่ดุลย์ อตุโล, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่กงแก้ว ขนฺติโก, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร, หลวงปู่แว่น ธนปาโล, หลวงปู่กว่า สุมโน, หลวงปู่มหาปิ่น ปญฺญาพโล, หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่กู่ ธมฺมทินโน, หลวงปู่ดี ฉนฺโน, หลวงปู่ซามา อจุตโต, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่เทสก์ เทสฺรังสี, หลวงปู่สาม อกิญจโน, หลวงปู่เกิ่ง อธิมุตโต, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และหลวงปู่คำ คมฺภีรญาโณ เป็นต้น

การบำเพ็ญสมณธรรมของกองทัพธรรมดังกล่าวได้ใช้ภูผากูดเป็นศูนย์กลาง เนื่องจากหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นพักประจำอยู่ที่ถ้ำจำปา ต่อมาจึงตั้งสำนักสงฆ์หนองน่องทางทิศใต้ของบ้านห้วยทราย ให้เป็นที่รวมประชุมพระกรรมฐานแห่งกองทัพธรรม และบรรดาศิษย์ได้กระจายกันอยู่หาสถานที่วิเวกบำเพ็ญจิตภาวนา ซึ่งมีภูต่างๆ บริเวณนั้นมากมาย เช่น ภูผาแดง, ภูเก้า, ภูจ้อก้อ, ภูค้อ, ภูถ้ำพระ, ภูกระโล้น, ภูผากวาง, ภูสร้างแก้ว, ภูบันได, ภูผาบิ้ง, ภูกอง, ภูผากูด, ภูผาชาน, ภูเขียว เป็นต้น

นายกา และแม่มะแง้ ผิวขำ ได้ให้กำเนิดบุตรร่วมอุทรเดียวกันจำนวน ๙ คน ได้แก่ นายแดง นายเจ๊ก นายจาม นายเจียง นายจูม นางจ๋า นายถนอม นายคำตา และนางเตื่อย

นายแดง ผิวขำ คือโยมบิดาของพระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก นางเจียงได้บวชเป็นแม่ชีตลอดชีวิต นอกจากนั้นก็ได้ให้กำเนิดลูกหลานปลูกฝังอุปนิสัยจนได้บวชใต้ร่มกาสาวพัสตร์อีกหลายคน


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

22
ตอนที่ ๒
วิถีชีวิตชาวภูไทในไทย


ตระกูลภูไทของหลวงปู่จาม มีคุณสมบัติที่สำคัญ คือ เป็นผู้มีปัญญานักปกครอง มีความเด็ดเดี่ยว รักสงบ ไม่รุกราน มีความยุติธรรม

โดยทั่วไป ประเพณีหลักจะยกย่องลูกผู้ชายคนแรก (ลูกกก) ให้ดูแลพ่อแม่ แต่ถ้าลูกชายคนแรกไม่มีความเหมาะสม พ่อแม่ก็จะเลือกลูกชายคนสุดท้อง (ลูกหล้า) ให้เป็นหลักของครอบครัว ดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าลักษณะฝากผีฝากไข้ ชาวภูไท ชอบอาศัยอยู่ในภูมิประเทศที่มีลักษณะภูเขาผสมที่ราบ มีป่าไม้ รักธรรมชาติ เพราะมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ เหมาะที่จะทำมาหากิน ใช้ชีวิตเรียบง่าย รักสงบ แต่มีความกล้าหาญสมเป็นนักรบในจิตวิญญาณของชาวภูไท ประเพณีดั้งเดิม นับถือผี นับถือไสยศาสตร์ ถือว่าผีเหล่านั้นเป็นผีปู่ผีย่ามีการบ่วงสรวง เซ่นไหว้ ยึดถือผีปู่ผีย่าเป็นสรณะที่พึ่งโดยไม่ลึกซึ้งคำสอนในพระพุทธศาสนา

ต่อมาเมื่อ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้จาริกมาบำเพ็ญสมณธรรมแถวภูผากูด จังหวัดมุกดาหาร และที่อื่นๆ ในแถบนี้ จึงมีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้ธรรมะจากหลวงปู่ทั้งสองในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๙ เป็นต้นมา ท่านสั่งสอนให้ยึดมั่นในไตรสรณคมน์เป็นหลักใจ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึก เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ย่อมจะเจริญรุ่งเรือง ทำให้วิถีชีวิตของชาวภูไทเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ความสันติสุขเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความศรัทธาในพระกรรมฐานจึงมีมากขึ้น ทำให้เกิดสำนักสงฆ์มากขึ้น และเป็นวัดในเวลาต่อมา พระกรรมฐานจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก วิถีชีวิตของภูไทจึงยึดมั่นในแนวทางสัมมาทิฎฐิไว้เป็นหลักใจของชุมชน

ชาวภูไทที่ได้บวชเป็นพระกรรมฐานที่มีชื่อเสียง มีปฏิปทาน่าเคารพเลื่อมใส กราบไหว้บูชาเป็นสิริมงคลแก่คน และฟังคำสั่งสอนอบรมย่อมได้ปัญญานำทางดำเนินชีวิตไปสู่ความสุขในปัจจุบัน และถ้าหากปฏิบัติตามอย่างจริงจังก็อาจพ้นทุกข์ได้ เท่าที่สามารถทราบได้ขณะเขียนก็ได้แก่ หลวงปู่คำ คมฺภีรญาโณ, หลวงปู่กงแก้ว ขนฺติโก ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร, หลวงปู่กว่า สุมโน, หลวงปู่แว่น ธนปาโล เป็นต้น ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นอกจากนั้นก็มี หลวงปู่คูณ อธิมุตโม ที่จังหวัดมหาสารคาม ล้วนเป็นเชื้อสายภูไท และพระป่ากรรมฐานรุ่นกลางรุ่นถัดๆ ไปก็มีอีกมาก ผู้เขียนยังหาหลักฐานไม่ทัน ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

23
ขอขอบคุณ
:: ลานธรรมจักร ::
www.dhammajak.net
ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

ตอนที่ ๑ ต้นตระกูลภูไท บรรพบุรุษของหลวงปู่จาม
ตอนที่ ๒ วิถีชีวิตชาวภูไทในไทย
ตอนที่ ๓ กำเนิดเด็กชายจามในตระกูลสัมมาทิฎฐิ
ตอนที่ ๔ เรียนรู้ชีวิตปฐมวัย พ่อมอบสมบัติทิพย์ให้
ตอนที่ ๕ ชีวิตสามเณรน้อยที่เด็ดเดี่ยว
ตอนที่ ๖ สามเณรจาม เจอผีจริงเข้าแล้ว
ตอนที่ ๗ นิมิตสิ่งโบราณ
ตอนที่ ๘ ชีวิตวัยหนุ่มเรียนรู้ชีวิตทางโลก
ตอนที่ ๙ สงครามหัวใจ
ตอนที่ ๑๐ แม่วางเส้นทางชีวิต
ตอนที่ ๑๑ วิกฤติสร้างวีรบุรุษ
ตอนที่ ๑๒ อัศจรรย์เด็กผู้หญิง
ตอนที่ ๑๓ ทดสอบจิตใจตนเอง
ตอนที่ ๑๔ แสวงหามัชฌิมาเพื่ออริยมรรค
ตอนที่ ๑๕ เหตุการณ์ประหลาด
ตอนที่ ๑๖ ผีสางเทวดา
ตอนที่ ๑๗ เทพเป่าและนำทางไป
ตอนที่ ๑๘ ผจญผีที่ซากเจดีย์เก่า
ตอนที่ ๑๙ รู้แจ้งประจักษ์อนาคตอันไกลโพ้น
ตอนที่ ๒๐ ทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินเพื่อพระพุทธศาสนา
ตอนที่ ๒๑ ชีวิตในบั้นปลาย
ตอนที่ ๒๒ (จบ) ส่งท้ายไว้ให้คิด


ตอนที่ ๑
ต้นตระกูลภูไท บรรพบุรุษของหลวงปู่จาม

“หลวงปู่จาม มหาปุญโญ” นามสกุล ผิวขำ มีต้นตระกูลเป็นชนเผ่าภูไท กลุ่มเจ้าครองนครหรือกลุ่มผู้ปกครองถิ่นฐานเดิมของภูไท อยู่ที่สิบสองปันนา สิบสองจุไท อาณาจักรน่านเจ้า มีสภาพภูมิอากาศหนาวจัด ต่อมาเมื่อมีประชากรมากขึ้น การทำมาหากินเริ่มอัตคัดขัดสนและขาดแคลน ส่วนหนึ่งได้อพยพมาหาแหล่งทำมาหากินโดยมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองแถง เขตประเทศเวียดนาม ซึ่งอยู่ห่างจากป้อมเดียนเบียนฟูประมาณ ๒๓ กิโลเมตร และที่เมืองอังคำ เขตประเทศลาว

ต่อมา ภูไทส่วนหนึ่งก็ได้อพยพต่อมาหาแหล่งที่ทำมาหากินที่เมืองพิน เมืองพะลาน เขตประเทศลาว ผู้ปกครองลาวสมัยนั้นคือเจ้าอนุวงศ์ ได้เกณฑ์ชาวภูไทไปเป็นทหารเพื่อขยายอาณาจักรและจัดกองทัพเพื่อมารบพุ่งกับชาวไทย (ชาวสยามประเทศ) แต่เนื่องจากชาวภูไทรักสงบ ไม่ต้องการรบพุ่งทำสงคราม จึงอพยพหนีมาอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง โดยข้ามมาทางเรณูนคร มาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณดงบังอี่ (คำชะอี หนองสูงในปัจจุบัน)

ส่วนกลุ่มที่ข้ามมาทางท่าแขก จังหวัดนครพนมนั้น มาตั้งถิ่นฐานอยู่พรรณานิคม ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ชาวภูไทได้เข้ามาในประเทศไทย (สยาม) หลายระลอกในหลายรัชสมัยได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่แถวอำเภอกุสุมาลย์ อำเภอพรรณานิคม อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และบางส่วนก็เลยไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคกลางอีกหลายแห่ง ชาวภูไท เรียกตัวเองว่า ภูไท หรือผู้ไท สำเนียงอาจเพี้ยนกันบ้าง จึงอนุโลมเรียกภูไทหรือผู้ไทก็ได้ เพราะเข้าใจความหมายว่า เป็นกลุ่มเผ่าเดียวกันโดยความหมายที่แท้จริง คือ เป็นคนไทย เพราะชาวภูไทเองนั้น ภาคภูมิในความเป็นคนไทย หรือเป็นไท แปลว่า อิสระ รักสงบ

ภูไทมีภาษาของตนเอง พูดภาษามีสำเนียงหางเสียงท่วงทำนอง ไพเราะน่าฟัง เป็นภาษาไทยแบบภูไท มีขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเอง แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าหากพิจารณาเห็นว่าดีกว่า เหมาะสมกว่า เมื่อมาอยู่ในประเทศไทย (สยาม) ชาวภูไทมีความรักสามัคคีกัน สำหรับชาวภูไทตระกูลของหลวงปู่จาม ทางบ้านห้วยทรายเป็นเชื้อเจ้า ทางผู้หญิงอพยพมาจากเมืองวัง เรียนหนังสือเก่ง มีความคิดเฉียบคม ปัญญาเฉียบแหลม มีขุนบรมเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูล เมื่อถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาเรื่อยๆ ตามลำดับจากเมืองแถงสู่เมืองวัง เข้าสู่ประเทศไทย (สยาม) ตามลำดับ

24
หากไปไม่ได้ มีช่องทางให้โอนเงินไหมครับ

25

7

ขอบคุณภาพจาก
http://www.oknation.net/blog/nidnhoi/2011/07/26/entry-3

จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้นรับการปรบมืออันกึกก้องสนามม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์ สู่ลู่ด้านล่างซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้องและเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย

คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ ยื่นส่งไปที่ปากม้า เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกินแล้วก็กลืนลงไป

ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้าบัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนี    เพราะเกรงกลัวในความดุร้ายของมัน พระปิยะมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น  หญ้าเสกสำริดผลตามประสงค์

อาชาที่ดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่งแล้วหยัดพระวรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างามไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยดุร้ายเสียงคนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "บราโวส บราโวส" อันหมายถึงว่า "วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด" ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม  ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม  เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติบางคนก็โยนหมวก โดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ จึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม

บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้านั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่สองและคาถาที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สำริดผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่า เป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา  และทั้งหมดนี้คือจุดเล็ก ๆ    ในเกร็ดพระราชประวัติ เป็นปฐมเหตุแห่งพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน และยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไป ชั่วกาลปาวสาน


 :054: :054: :054: :054: :054:
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm

26

6

ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) นั้น สยามประเทศของเรายังคงมีกรณีพิพาทต่อกันในเรื่อง "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" กล่าวคือเราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลของตนในดินแดนไทย สำหรับตัดสินคดีความต่าง ๆ เมื่อคนของเขา หรือคนใดก็ตามแม้แต่คนไทยหัวใสบางคนที่ยอมตนจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ  (คล้าย ๆ กับการโอนสัญชาติ แต่ไม่ใช่ เพราะยังไม่มีสิทธิที่จะพำนักในประเทศของเขา ) ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะเวลาทำผิดแล้วไม่ต้องขึ้นศาลไทย ไม่ใช้กฎหมายไทยตัดสิน คนไทยเองก็เถอะ หากทำความผิดต่อคนของเขาแล้ว ต้องขึ้นศาลเขาและต้องยอมเขาทุกอย่าง แม้ศาลไทยจะตัดสินว่า "ถูก" หากเขาเห็นว่า "ผิด"  คนผู้นั้นก็ต้องถูกลงอาญา ซึ่งเป็นหนามยอกอกของคนไทยในสมัยนั้นมาก ต้องยอมให้คนต่างชาติต่างแดนมากดหัวเรา มาเอาเปรียบเรา เป็นการยั่วยุให้เราหมดความอดทน หากก่อสงคราม ก็มีหวังสูญเสียเอกราชของชาติแน่นอน

กรณี "พระยอดเมืองขวาง"  แขวงเมืองคำเกิดคำมวน วีรบุรุษไทยที่รักผืนแผ่นดินไทย รักในองค์พระมหากษัตริย์ไทย ได้ดับความอหังการ์ของทหารฝรั่งเศส ที่บุกรุกอธิปไตยของไทยที่เมืองขวาง จนต้องถูกจำคุกเสียหลายปี แม้ศาลไทยจะให้ปล่อยตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสในไทยตัดสินให้จำคุก ท่านก็ต้องติดคุกเพื่อชาติ เรื่องนี้คนไทยทั้งแผ่นดินในขณะนั้น แค้นแทบจะกระอักเลือดเลยครับ เกือบจะทำสงครามกันรอมร่ออยู่แล้ว  ดีแต่องค์พระปิยมหาราชเจ้า ท่านทรงดำเนินวิเทโศบายด้านต่างประเทศด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเสียก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จเสียด้วย ผู้ที่แค้นแทบจะกระอักเลือดแทน ก็คงจะเป็น "เจ้าเศษฝรั่ง" น่ะเองซึ่งมันก็รอจังหวะและโอกาสที่จะล้างแค้นเหมือนกัน มันคิดว่า

"หากไม่มีล้นเกล้า ฯ ร.๕ เสียพระองค์หนึ่ง สยามประเทศเราก็เปรียบเสมือนมังกรที่ไร้หัว" ที่นี้คงมีโอกาสมากขึ้นหากจะฮุบประเทศชาติของเราไว้ในกำมือ และแล้วแผนการอันแยบยลก็อุบัติขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศส แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ?   ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้านัดสำคัญนัดหนึ่งซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกมันได้นำเอาม้าดุร้ายและพยศอย่างร้ายกาจมาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นดุร้าย พระปิยมหราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยะมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ "อุบัติเหตุ" ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้

 ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า     เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้    เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง     เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยกราบบังคมทูลว่า

 "ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า"

"แน่นอน  ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก"

"โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"

ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจ

"แน่นอน  ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นกลัวแม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ "


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm

27
5
ส่วนผู้ติดตามเสด็จนั้นอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จนทรงพับผ้ายันต์เก็บแล้วนั่นแหละ จึงค่อย ๆร้องว่า สาธุ สาธุ คำพยากรณ์ข้อแรกเป็นที่ประจักษ์แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า "แม่นยำยิ่งนัก"   คงเหลือแต่คำพยากรณ์ข้อที่สองซึ่งยังมาไม่ถึง แต่ก็ทรงเตรียมพระองค์รับสถานการณ์หากจะเกิดขึ้น

เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินนั้น   มีช่วงที่รอนแรมในมหาสมุทรอินเดียยาวนานถึง ๑๕ วัน ๑๕คืน  คือเส้นทางระหว่างเมืองกอล (Galle) ประเทศศรีลังกา ไปยังเมืองเอเดน (Aden) เมืองท่าปากทางเข้าสู่ทะเลแดงของประเทศเยเมน ช่วงนี้แหละที่น่าจะเป็นช่วงอันตรายที่สุดและลำบากที่สุด เหตุการณ์ตามคำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ข้างต้น    คงเกิดในช่วงเส้นทางนี้  คือระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน  ถึง ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ (ขอย้ำอีกครั้ง เป็นเรื่องเล่า ไม่ได้มีบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขา - เล็ก พลูโต)

ขอรวบรัดตัดตอนเส้นทางเสด็จ ไม่ขอนำความมากล่าวโดยละเอียด ณ ที่นี้ เมื่อพระองค์เสด็จถึงประเทศฝรั่งเศส  ประธานาธิบดี เฟลิกซ์ ฟอร์ ได้ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่แรกไม่คิดจะต้อนรับขับสู้อย่างดีหรอกครับ     แต่สืบข่าวดูแล้ว ทุกประเทศที่พระองค์เสด็จผ่านมาก่อนหน้าที่จะเข้าฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี ออสเตรีย ฮังการี รัสเซีย เดนมาร์ก อังกฤษเบลเยี่ยม เยอรมัน ต่างก็ถวายการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ โดยเฉพาะรัสเซีย พระเจ้าซาร์ นิโคลัสทรงยกย่องนับถือเสมือนหนึ่งพระอนุชาร่วมอุทรของพระองค์เอง มีการฉายภาพพระบรมฉายาลักษณ์คู่กัน เผยแพร่ไปทั่วยุโรป แล้วอย่างนี้ "เจ้าเศษฝรั่ง" จะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อย่างไร

ในช่วงที่ทรงพำนักในกรุงปารีส ฝรั่งเศส  ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ถึง ๑๗ กันยายน ๒๔๔๐นี่เอง ที่พระองค์ได้ประสบกับความแม่นยำในอนาคตังสญาณของพระปลัดเอี่ยม ข้อที่ ๒ หากไม่ได้เตรียมการ หรือเตรียมพระองค์ล่วงหน้าแล้ว มีหวังที่จะต้องเอาพระชนม์ชีพไปทิ้งเสียที่นี่กระมัง

 --------------------------------------------------------------------------------

               โบราณว่าไว้ "หากไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสืออย่างไร ? " เป็นบทท้าทายคำพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดตอนที่ล้นเกล้า ร.๕ พระปิยมหาราชเสด็จพระราชดำเนินเหยียบดินแดนของผู้ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นศัตรู ที่ร้ายกาจ หวังจะครอบครองแผ่นดินไทยให้ได้ทั้งหมด แม้จะได้เป็นบางส่วนแล้วก็ตามก็หาเป็นที่พอใจไม่

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm

28
4
 การเสด็จประพาสยุโรปในครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ (ร.ศ. ๑๑๖) ได้ทรงเตรียมการทุกอย่างไว้เป็นอย่างดียิ่ง ในส่วนที่เป็นกิจการภายในประเทศ ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อหน้ามหาสมาคม จากนั้นได้ทรงถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้ามหาสมาคมซึ่งประกอบไปด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าเสนามหาอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระราชาคณะอันมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร บางลำภู กทม. มีใจความสำคัญ ดังนี้

๑. จักไม่เปลี่ยนแปลงจากพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาอื่น   

๒. จักเสวยน้ำจัณฑ์ (เหล้า) ต่อเมื่อไม่เป็นการผิดพระราชประเพณีต่อฝ่ายที่จะกระชับสัมพันธไมตรี และจะเสวยเพียงเพื่อไมตรีไม่ให้เสียพระเกียรติยศ

๓. จะไม่ล่วงประเวณีต่อสตรีไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด ตลอดเวลาที่พ้นออกไปจากพระราชอาณาเขตสยาม

ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความสำราญส่วนพระองค์ แต่ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประเทศชาติโดยแท้ จากจดหมายเหตุและพระราชหัตถเลขา ที่ทรงมีมายังพระพันปีหลวงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทรงบอกชัดเจนว่า

ทรงต้องผจญภัยในท้องทะเล กับคลื่นลมที่แปรปรวน ทรงพบกับความลำบากนานาประการอาทิ ต้องทรงงดเสวยพระโอสถหมากและพระโอสถมวน (หมาก พลู บุหรี่) และต้องให้ช่างมาขูดคราบพระทนต์ (ฟัน) ที่เกิดจากคราบหมากคราบปูนออกเพื่อให้พระทนต์ขาว ห้องพระบรรทมในเรือพระที่นั่งก็ไม่สะดวกสบาย อากาศร้อนเป็นที่สุด การเสวยก็ไม่เป็นไปตามที่ทรงพระประสงค์ ฯลฯ ซึ่งความยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาแรมเดือน ในช่วงที่ต้องใช้ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางเสด็จและในช่วงที่เสด็จรอนแรมในท้องทะเลนั่นเอง คำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ของหลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอนก็เป็นจริง

เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นอยู่ในบริเวณใกล้กับ สะดือทะเล หรือ "ซากัสโซ ซี" อันบริเวณนั้นมักจะเกิดน้ำวนเป็นประจำ และเรือลำใดบังเอิญหลงเข้าไปในวังน้ำวนนั้น ก็มีหวังจมลงอับปางเป็นแน่แท้ และแล้วเรือพระที่นั่งมหาจักรี ก็พลัดเข้าไปในวังวนนั้นจนได้   

กัปต้นคัมมิง (Commander Cumming) แห่งราชนาวีอังกฤษซึ่งไทยได้ขอยืมตัวมาเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งเป็นการชั่วคราว ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ บังคับเรือให้สู้กับแรงหมุนและดูดอย่างเต็มที่ ด้วยหากเรือพระที่นั่งเข้าปากวังวนแล้ว การรอดออกมานั้นหมดหนทาง

ในขณะที่วิกฤตินั้น ได้มีผู้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อระลึกถึงคำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมข้อแรกขึ้นมาได้ ก็ทรงจัดฉลองพระองค์ให้รัดกุม อาราธนาผ้ายันต์ของพระปลัดเอี่ยมติดมาด้วย    เมื่อเสด็จมาถึงตอนหัวเรือ กัปตันกำลังแก้ไขสถานการณ์สุดกำลัง ทรงไม่รบกวนสมาธิของกัปตัน แต่เสด็จไปยืนอธิษฐานจิตถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช และบารมีทศพิธราชธรรม และการเลิกทาสที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะในการช่วยเหลือพสกนิกรให้พ้นจากการเป็นทาส จบลงด้วยพระปลัดเอี่ยมและผ้ายันต์ ทรงโบกผ้ายันต์นั้นไปมาด้วยความมั่นพระราชหฤทัย แล้วปาฎิหาริย์ก็ปรากฎ เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยน   จู่ ๆ ก็เกิดลมมหาวาตะพัดมาในทิศทางที่อยู่ในแนวเดียวกับวังวน แรงลมทำให้เกิดกระแสคลื่นสะกัดกระแสวนของวังน้ำ ดันเรือพระที่นั่งให้พ้นจากแรงดูดสามารถตั้งเข็มเข้าสู่เส้นทางได้ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนว่า "ฮูเรย์" ของกัปตันและลูกเรือ


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm

29
3

ขอบคุณภาพจาก
http://www.watnang.com/luangphu/luangphu_04.html

พระปลัดเอี่ยมลุกจากที่นั่งไปคุกเข่าลงหน้าพระประธาน ก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ระลึกถึงองค์พระรัตนตรัย และหลวงปู่รอดผู้มรณภาพไปแล้ว ขอบารมีในการจะเข้า "ฌาน" เพื่อดูอนาคตด้วย "อนาคตังสญาณ"   จากนั้นก็กลับเข้ามาสู่ท่านั่งสมาธิตัวตรง เจริญอานาปานสติ แล้วเข้าสู่ฌานที่ ๔ ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่อนาคตังสญาณ โดยกำหนดจิตไว้มั่นเพื่อให้นิมิตเกิด

ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลมตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้น ซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้น ๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า  และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก

ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดีลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม ก่อนจะกราบทูลความถวายว่า

"มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้  จะต้องประสบภัยสองครั้ง ครั้งแรกในทะเลที่วังวน   อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะพัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้

ภัยครั้งที่สองเกิดจากสัตว์จตุบท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติอันดุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดลองพระองค์อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนาเวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศและสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้เหมือนม้าเชื่อง" ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ปู่ย่าตายายได้เล่าสืบทอดกันมาอันมีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับพระบรมรูปทรงม้าที่ลานพระราชวังดุสิต

คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" หรือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า"  มีตัวคาถาว่า "อิติปิโส  วิเสเสอิ   อิเสเส พุทธะนาเมอิ    อิเมนา พุทธะตังโสอิ  อิโสตังพุทธะปิติอิ "

หลังจากได้ทรงมีพระราชดำรัสกับพระปลัดเอี่ยมพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระปลัดเอี่ยม จากนั้นได้เสด็จทอดพระเนตรโดยรอบวัดโคนอน ซึ่งตอนนี้มีผู้จดจำพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้แม่นยำ ได้บอกกันออกไป ทำให้มีผู้มาหมอบเฝ้ารับเสด็จกันเป็นจำนวนพอสมควร ครั้นทรงสำราญพระอิริยาบถพอสมควรแล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อเตรียมพระองค์ไปทวีปยุโรปต่อไป


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm

30
2
เมื่อล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕    ได้รับคำแนะนำจากพระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์"ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" วัดโคนอน เพื่อขอรับคำพยากรณ์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น ภายหลังที่กำหนดการเสด็จวัดโคนอนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว   ก็ได้ส่งหมายกำหนดการไปถวายแด่หลวงปู่เอี่ยม เป็นการภายใน เพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับเสด็จ

ขบวนเสด็จประกอบด้วย เรือพายสี่แจวที่ทรงประทับ   และขบวนเรือคุ้มกัน ควบคุมโดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงนเรศวรฤทธิ์    ได้เคลื่อนที่เข้าคลองลัดสู่วัดโคนอน ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ได้ไหวตัวหรือเอะใจแต่อย่างใด เพราะเห็นเป็นขบวนเรือธรรมดา มิได้ประดับประดาธงทิวให้แปลกไปกว่าเรือลำอื่นดูเหมือนกับเรือที่ขุนนางหรือเศรษฐีผู้มีทรัพย์ใช้กันทั่วไป และผู้ที่ขึ้นมาจากเรือสี่แจวต่างก็แต่งกายแบบธรรมดา  มีหมวกสวมไว้บนศีรษะ ใบหน้าบ่งบอกถึงเป็นผู้มีบุญ หนวดบอกถึงผู้มีอำนาจดวงตาฉายแววแห่งความเมตตาปราณีตลอดเวลา เวลาเดินมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า "บุรุษผู้ขึ้นมาจากเรือสี่แจวนั้น คือ เจ้าชีวิตแห่งกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ผู้ทรงประกาศเลิกทาสโดยสิ้นเชิง"

 พระปลัดเอี่ยมนั่งรออยู่บนอาสนะอันสมควรแก่ฐานานุรูป    ภายในพระอุโบสถอันแคบ แบบวัดราษฏร์ในเขตอันไกลจากพระบรมมหาราชวัง กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ก้าวนำเสด็จเข้ามาภายในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงจุดธูปเทียนบูชาสักการะพระประธาน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงเสด็จกลับมาถวายนมัสการพระปลัดเอี่ยม ซึ่งกราบทูลให้ทรงประทับนั่งธรรมดาตามสบายพระองค์

"ที่รูปมาในวันนี้ ("รูป" เป็นคำที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนใช้แทนพระนามเมื่อมีพระราชดำรัสกับพระสงฆ์) เพื่อขอให้ท่านปลัดได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่รูปจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตรายมีอยู่รอบด้าน"

"มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง"


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm

31
ขอขอบคุณ

หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง
ผู้ถวายคำพยากรณ์ แด่ ร.๕
 
คัดลอกจาก http://www.lekpluto.com/index01/special03.html
และ
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm
====================================
(ขออนุญาตตัดตอนมาบางส่วน)

ในการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น  ไม่ได้เป็นการเสด็จเพื่อแสวงหาความสำราญแต่อย่างใด   แต่เป็นการเสด็จเพื่อดำเนินพระราชวิเทโศบายด้านการต่างประเทศอย่างชาญฉลาด  เป็นการเสด็จเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับราชวงศ์ต่าง ๆ  ของยุโรป    โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและเยอรมัน ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของอังกฤษ และฝรั่งเศส ด้วยหลักการที่ว่า "ศัตรูของเพื่อนก็คือศัตรูของเรา"  เมื่อผูกสัมพันธ์กับรัสเซีย เยอรมัน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ได้แล้ว อังกฤษ และฝรั่งเศสก็จะไม่กล้ารุกราน หรือยึดเอาประเทศไทยเป็น "อาณานิคม" อีกต่อไป ซึ่งส่งผลทำให้ไทยเราดำรงความเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้

การเสด็จประพาสยุโรปในสมัยนั้น  ทำได้ทางเดียว คือ "ทางเรือ" ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางแรมเดือน การออกทะเลหรือมหาสมุทรนั้น แม้ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาการเดินเรือ มีเรือที่มั่นคงแข็งแรง ประสิทธิภาพสูง  มีการติดต่อสื่อสารที่ทันท่วงที ก็ยังไม่วายจะ "อับปาง" เลยครับ หากออกเดินทางในช่วงมรสุม หรือ "สุ่มสี่สุ่มห้า"  ล่ะก็  เป็นเสร็จทุกราย       คนโบราณจึงสอนเอาไว้ว่า "อย่าไว้ใจทะเลคืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล มีภยันตรายรอบด้าน ทุกเวลานาที"  ท่านผู้อ่านลองหลับตาวาดภาพการเดินเรือในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วซิครับ ว่ายากลำบาก และมีอันตรายเพียงใด แต่ล้นเกล้า ฯ     รัชกาลที่ ๕ท่านก็ทรงเสด็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย เป็นการเสียสละพระองค์อย่างสูงสุด ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะทำได้  ตอนหน้าจะได้กล่าวถึงคำพยากรณ์และการแก้ไขเหตุร้ายแรงที่ประสบตามคำพยากรณ์    เป็นเรื่องของความเชื่อถือในคุณพระ และคาถาอาคม หากท่านเห็นว่า "ไม่ไร้สาระ" จนเกินไป


32
ธรรมะ / ตอบ: กระรอกโพธิสัตว์ ^^
« เมื่อ: 17 ต.ค. 2555, 11:38:44 »
ขอบคุณครับ

33
เพิ่งได้เห็นรูปท่านตี๋ รู้สึกว่าร่างท่านช่างสมส่วมดีมากเลยครับ ลดจากปีก่อนไปเยอะมาก
ผมเพิ่งลดได้ 8 กก. เองครับ

34
บทความ บทกวี / ตอบ: ตำนานน้ำมนต์
« เมื่อ: 04 ส.ค. 2555, 10:30:19 »
ขอบคุณครับ
ขอนำไปอ่านต่อใน fb นะครับ

35
ขอบพระคุณครับท่าน จะบอกเพื่อนให้ครับ เค้ากำลังอยากได้อยู่

36
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้อย่างไร ?
 
เนสํ หิ น ภิกฺขเว ปณฺฑโก ปพฺพาเชตพฺโพ โย ปพฺพาเชยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ อาทินา ปพฺพชฺชา อุปสมฺปทา จ ปฏิกฺขิตฺตาฯ
 
แปลใจความว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสห้ามการบรรพชาและอุปสมบท แก่บุคคลเหล่านั้น  ด้วยคำเป็นต้นว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย กะเทยอันภิกษุไม่พึงให้บวช  ภิกษุใดให้บวช ภิกษุนั้นพึงทำไม่ดี   ฯลฯ 
 
ตสฺมา เตปิ ปาราชิกาฯ  ความว่า เพราะกะเทยแม้เหล่านั้น เป็นผู้พ่ายแพ้แล้ว คือเปรียบเหมือนเป็นปาราชิกตั้งแต่เขาเป็นคฤหัสถ์ (คือบวชไม่ได้ตลอดชีวิต)
 
ปพฺพชฺชาปิ เนสํ ปฏิกฺขิตฺตา ฯ  แม้การบรรพชาของคนพวกนั้นก็ทรงห้ามแล้ว
 
ปณฺฑโก ภิกฺขเว อนุปสมฺปนฺโน น อุปสมฺปาเทตพฺโพ อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพ ฯ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันที่เป็นกะเทย  ภิกษุไม่พึงให้บวช  ที่บวชแล้วพึงให้สึกเสีย ฯ

ที่มา
http://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk

37
บุคคลผู้ห้ามให้บวชตามหลักฐานอรรถกถาจารย์
 
๑. ปณฺฑกาติ อุสฺสนฺสกิเลสา อวูปสนฺตปริฬาหา นปุสกา  บุคคลที่ไม่ใช่ชายหรือหญิง  มีกิเลสแน่นหนา  มีความเร่าร้อนกลัดกลุ้มอยู่เสมอ เรียกว่า “บัณเฑาะก์” หรือกะเทย
 
๒. เต ปริฬาหาภิภูตา เยน เกนจิ สทฺธึ มิตฺตภาวํ ปตฺเถนฺติ  กะเทยเหล่านั้น (ที่มีนิสัยชอบพวกเพศเดียวกัน)  เมื่อถูกราคะครอบงำแล้วปรารถนาเป็นมิตรกับพวกผู้ชายบางคน

อรรถกถาจารย์แบ่งกะเทยไว้  ๕ ประเภท คือ

๑. อาสิตตบัณเฑาะก์  (ยสฺส ปเรสํ องฺคชาตํ มุเขน คเหตฺวา อสุจินา อาสิตฺตสฺส ปริฬาโห วูปสมติ อยํ อาสิตฺตปณฺฑโก)  หมายความว่า กะเทยพวกที่ชอบใช้ปากอมองคชาตของผู้อื่น  ความเร่าร้อนสงบไปเมื่อถูกน้ำอสุจิรั่วรดแล้ว  พวกนี้เรียกว่า อาสิตตบัณเฑาะก์
 
๒. อุสสุยบัณเฑาะก์  (ยสฺส ปน ปเรสํ อชฺฌาจารํ ปสฺสโต อุสฺสุยยาย ปริฬาโห วูปสมติ อยํ อุสฺสุยฺยปณฺฑโก)  หมายความว่า กะเทยพวกที่เห็นคนอื่นเขาประพฤติล่วงประเวณี หรือเห็นคนอื่นเขาเสพสังวาสกันความเร่าร้อนด้วยราคะที่ฟุ้งขึ้นของเขาก็สงบไป พวกนี้เรียกว่า อุสสุยยบัณเฑาะก์ (พวกชอบแอบดู)
 
๓. โอปักกมิยบัณเฑาะก์  (ยสฺส อุปกฺกเมน พีชานํ อปนีตานิ อยํ โอปกฺกมิย ปณฺฑโก)  หมายความว่า กะเทยพวกที่ถูกตอนแล้ว  ถ้าเป็นประเพณีเก่าของจีนคือพวกขันที  คือคนพวกที่ถูกเขาควักเอาอัณฑะออกแล้ว (น่าจะตัดออก)  พวกนี้เรียกว่า โอปักกมิยบัณเฑาะก์
 
๔. ปักขบัณเฑาะก์  (เอกจฺโจ ปน อกุสลวิปาเกน กาฬปกฺเข ปณฺฑโก โหติ ชุณฺหปกฺเข ปนสฺส ปริฬาโห วูปสมติ อยํ ปกฺขปณฺฑโก)  หมายความว่า กะเทยพวกนี้เป็นกะเทยมีราคะกล้าเฉพาะวันข้างแรมไปจนถึงเดือนดับเพราะอกุศลวิบาก แต่พอข้างขึ้นก็สงบไป พวกนี้เรียกว่า ปักขบัณเฑาะก์
 
๕. นปุงสกบัณเฑาะก์  (อิตฺถีอุภโตพยญฺชนกสฺส อิตฺถีสุ ปุริสตฺตํ กโรนฺตสฺส อิตฺถี นิมิตฺตํ ปฏิจฺฉนฺนํ ปุริสนิมิตฺตํ ปากฏํฯ ปุริสอุภโตพยญฺชนกสฺส ปุริสานํ อิตฺถีภาวํ อุปคจฺฉนฺตสฺส ปุริสนิมิตฺตํ ปฏิจฺฉนฺนํ โหติ อิตฺถีนิมิตฺตํ ปากฏํ โหติฯ   อิตฺถีอุภโตพยญฺชนโก สยญฺจ คพฺภํ คณฺหาตีติ ปรญฺจ คณฺหาเปติฯ  ปุริสอุภโตพยญฺชนโก ปน สยํ น คณฺหาติ ปรํ คณฺหาเปติฯ)   
     หมายความว่า กะเทยพวกนี้มี ๒ เพศในร่างเดียวกัน คือ พวกอุภโตพยัญชนกเมื่อทำหน้าที่ของผู้ชายให้หญิง ก็ซ่อนรูปเพศหญิงไว้แต่เพศชายปรากฏ,  เมื่อทำหน้าที่เป็นหญิง เพศชายหายไปแต่เพศหญิงปรากฏ,  เรียกพวกนี้ว่า ปุริสอุภโตพยัญชนกฯ    ส่วนอิตถีอุภโตพยัญชนก ท้องเองก็ได้ และทำผู้อื่นท้องก็ได้  ส่วนปุริสอุภโตพยัญชนกไม่ได้ตั้งท้องเอง แต่ทำให้หญิงท้องก็ได้ (ผู้เขียนฯ เคยเห็นภาพในหนังสือคู่มือแพทย์)


ที่มา
http://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk

38
ยังมีคนผู้ต้องห้ามอยู่อีก

จำพวกคนถูกห้ามไม่ให้รับบรรพชา (บวชเณร)  จัดเป็น ๘  พวก  ดังนี้ :-
 
๑. คนมีโรคอันจะติดต่อกัน  โรคไม่รู้จักหาย  โรคเรื้อรัง  ได้แก่โรคเรื้อน   มาว่าโรคฝี เช่นฝีดาษและสุกใส  หัด  โรคกลาก  โรคพยาธิ  โรคหืด  โรคลมบ้าหมู   โรคเป็นผลแห่งบาป  โรคเรื้อรังเช่นริดสีดวงและกามโรค  โรคอัมพาต  โรคเอดส์  คนเป็นโรคเหล่านี้ที่รักษาหายเป็นปกติแล้ว  รับให้บรรพชาได้.
 
๒. คนมีอวัยวะบกพร่อง คือ  มือขาด  เท้าขาด  ทั้งมือและเท้าขาด  หูขาด  จมูกขาด  ที่ทั้งหูทั้งจมูกขาด  นิ้วมือนิ้วเท้าขาด.
 
๓. คนมีอวัยวะไม่สมประกอบ  คนมีมือเป็นแผ่น คือนิ้วมือไม่ได้เป็นง่าม  มีหนังติดกันในระหว่าง  คนค่อมคือมีหลังโกง  คนเตี้ยคือเตี้ยกว่าคนปกติ  คนคอพอก  คนตีนปุก  คนแปลกประหลาดเพื่อน (ในทางเสีย) คือ สูงเกินบ้าง  ต่ำเกินบ้าง  ดำเกินบ้าง  ขาวเกินบ้าง  ผอมเกินบ้าง  อ้วนเกินบ้าง  มีศีรษะใหญ่เกินบ้าง  มีศีรษะหลิมเกิน  คนที่แก้หายเช่นคนมีมือเป็นแผ่น  เมื่อตัดหนังตกแต่งให้เป็นปกติ  ไม่ห้ามบรรพชา.
 
๔. คนพิการ  คนตาบอดตาใส  คนง่อย  คือมีมือหงิกบ้าง  มีเท้าหงิกบ้าง  มีนิ้วหงิกบ้าง  คือมีเท้าหรือขาพิการ  เดินไม่ปกติ  คนตาบอดมืด  คนใบ้  คนหูหนวก  คนทั้งบอดทั้งใบ้  คนทั้งบอดทั้งหนวก   คนทั้งใบ้ทั้งหนวก  คนทั้งบอดทั้งใบ้ทั้งหนวก.
 
๕. คนทุรพล  คือคนแก่ง่อนแง่น (ทำงานไม่ไหว)  คนเปลี้ย  คนมีอิริยาบถขาด หรือที่เรียกว่าเส้นประสาทพิการ.             
 
๖. คนมีเกี่ยวข้อง  คือคนที่พ่อแม่ไม่ได้อนุญาต  เป็นราชภัฏ  คือข้าราชการอันพระราชาเลี้ยง  ตรงกับข้าราชการอยู่ในตำแหน่งได้รับพระราชทานเงินเดือนหรือเบี้ยเลี้ยง  คนมีหนี้สิน  คนเป็นทาส   คนจำพวกนี้ทำหากภาระให้สิ้นสุดหรือสะสางแล้วก็สามารถบวชได้   เช่นบุตรได้รับอนุญาตจากมารดาบิดา  ราชภัฏได้รับอนุญาตจากพระราชาหรือเจ้าหน้าที่เหนือตน  คนมีหนี้สินใช้หนี้เสร็จแล้ว  คนเป็นทาสได้รับปลดเป็นไทแล้ว  รับบวชได้.           
 
๗. คนเคยถูกอาชญาหลวง  มีหมายปรากฏอยู่ คือคนถูกเฆี่ยนหลังลาย คือมีรอยแผลเป็นที่หลัง  คนถูกสักหมายโทษ.
 
๘. คนประทุษร้ายความสงบ  คือโจรผู้ร้ายที่ขึ้นชื่อโด่งดัง  คนโทษหนีเรือนจำ  คนทำผิดมีหมายไว้  คนเหล่านี้ถูกห้ามบรรพชาแล้ว  ก็เป็นอันถูกห้ามอุปสมบทด้วย.


ที่มา
http://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk

39
บุคคลที่พระพุทธเจ้าห้ามบวชโดยเด็ดขาด
 
อภัพบุคคลเหล่านี้  ต้องห้ามบวชเพราะเพศบกพร่องก็มี  เพราะประพฤติผิดพระธรรมวินัยก็มี เพราะประพฤติผิดต่อ (ผู้ให้) กำเนิดของเขาเองก็มี.
 
จำพวกมีเพศบกพร่องนั้น คือ บัณเฑาะก์ ที่แปลว่ากะเทย,  อุภโตพยัญชนก ที่แปลว่าคนมีทั้ง ๒ เพศ 
 
กะเทย นั้นได้ความตามบาลีและอรรถกถาว่า  ได้แก่ชายมีราคะกล้า  ประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น   
 
ชายผู้ถูกตอน (ขันที) ก็ห้ามอุปสมบทเหมือนกัน  คนชนิดนี้เป็นที่รังเกียจของคนอื่นในทางกามารมณ์
 
อุภโตพยัญชนก คือคนมี ๒ เพศ เป็นหญิงก็มี เป็นชายก็มี 
 
จำพวกคนทำผิดต่อพระศาสนา นั้นแสดงไว้ ๗ ประเภท คือ คนฆ่าพระอรหันต์,  คนผู้ข่มขืนภิกษุณี,  คนลักเพศ,  ภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์ (ทั้งที่ยังเป็นภิกษุอยู่ สึกแล้วมาบวชใหม่ก็ห้าม),   ภิกษุต้องปาราชิกละเพศไปแล้ว, ภิกษุผู้ทำสังฆเภท, คนทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต   
 
คนลักเพศ นั้นคือถือเพศภิกษุเอาเองด้วยตั้งใจจะปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ  เช่นปลอมตัวว่าบวช ปลอมเข้าอยู่ในหมู่ภิกษุ 
 
ภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์ นั้นเพ่งเอาผู้ไปเข้ารีตทั้งที่กำลังเป็นภิกษุ  คฤหัสถ์เข้ารีตหรือภิกษุสึกแล้วจึงเข้ารีต  ไม่จัดเข้าในข้อนี้
 
คนผู้ทำสังฆเภท หมายเอาภิกษุผู้มีสังวาสเสมอกัน  ภายหลังแตกจากสงฆ์ไปตั้งคณะหนึ่งต่างหาก มีพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง  การจัดภิกษุผู้ทำสังฆเภทเป็นอภัพบุคคลนั้น ความว่า แม้ภิกษุนั้นกลับใจมาขอบวชเข้าหมู่อีก ก็ห้ามมิให้รับเข้าบวชเป็นเด็ดขาด 
       
คนทำผิดต่อกำเนิดของตน นั้น  คือ  คนฆ่าพ่อฆ่าแม่
 
อภัพบุคคลเหล่านี้ ถ้ารู้มาก่อนก็ไม่พึงให้อุปสมบท(บวช)  แต่ถ้าให้บวชแล้วเพราะไม่รู้  เมื่อภายหลังรู้  พึงให้สึกเสีย 
 
มีปัญหาถามว่า ในบาลีห้ามไม่ให้อุปสมบท แต่จะให้เพียงบรรพชา (บวชเณร) จะได้ไหม?  มีคำเฉลยว่า การบรรพชาทรงอนุญาตสำหรับคนมีอายุหย่อน ๒๐ ปี  คือผู้ยังเป็นเด็กเท่านั้น  เป็นเบื้องต้นแห่งการบวช   ผู้ที่ถูกห้ามอุปสมบทจึงถูกห้ามไปถึงการบรรพชาด้วย
 
คนเคยต้องปาราชิก เมื่ออุปัชฌาย์ไม่รู้และให้บวชไปแล้ว ต่อมารู้ในภายหลังพึงให้สึกเสียจากเพศพระ.


ที่มา
http://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk

40
บุคคลที่ถูกห้ามบวชเป็นพระภิกษุ
 
 
คำชี้แจง

 
อาตมาได้รับคำถามจากหลายท่านอยู่บ่อยๆ  ในทำนองว่าคนที่เป็นชายไม่สมบูรณ์หรือผู้ที่มีใจสับสน  เช่นกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง  หรือพวกคนสองเพศ  หรือบางทีก็เรียกว่าเกย์  ภาษาไทยเราเรียกว่า  “กะเทย”  คนพวกนี้บวชได้ไหม?
 
อาตมาได้ชี้แจงว่า ตามพระวินัยกล่าวไว้ว่าบวชไม่ได้  แม้บวชแล้วก็ไม่เป็นพระหรือเณร  รู้เมื่อไรก็ให้เขาสึกเสีย  ถ้าเขามีศรัทธาก็ให้เขานุ่งขาวห่มขาวรักษาสิกขาบท ๕ - ๘  หรือรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ ก็จะเกิดกุศลมหาศาล  เป็นเหตุเป็นปัจจัยในภายภาคหน้าต่อไป
 
เขาก็เล่าให้ฟังว่า  เห็นมีบวชกันอยู่ทั่วไปในที่ต่างๆ  บางแห่งอยู่กันเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็มี  อาตมาก็บอกว่า นั่นเพราะว่าอุปัชฌาย์ไม่ทราบ หรือผู้ที่บวชไม่ทราบประเพณีของวินัยของพระพุทธเจ้าก็ได้  แต่เมื่อทราบก็ต้องชี้แจงให้เขาได้รับรู้  ให้เขาสึกเสียหรือสร้างกุศลกรรมอย่างอื่นยังมีทางที่ก่อให้เกิดบุญกุศลมากมาย  แต่ถ้าเขายังฝืนอยู่ในธรรมวินัยนี้มีแต่เสื่อม  และเป็นบาปมากๆ  เมื่อพระภิกษุผู้มีศีลต้องกราบไหว้หรือทำสามีจิกรรมเขาในเวลาเมื่อเข้าร่วมทำสังฆกรรมกับหมู่พระภิกษุ นอกจากจะทำสังฆกรรมให้วิบัติ  บวชพระไม่เป็นพระ  ทำสังฆกรรมเป็นคณะปูรกะ  ทำให้กรรมกำเริบคือเสียใช้ไม่ได้อีกด้วย   
 
ดังนั้นผู้ที่ทราบจงช่วยกันชี้แจงและบอกกล่าวให้รู้กัน เพื่อช่วยกันดูแลป้องกันพระศาสนา เพื่อสังฆมณฑลจะได้บริสุทธิ์ต่อไป.
“โพธิสัตตะ”
เรียบเรียงข้อความใหม่บางส่วนโดย พระวัชพล ปภาโต

.............................................................................................
ที่มา
http://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk

41
ขอบคุณครับ เรื่องนี้น่าจะอยู่ในหมวดธรรมะ

42
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์บวช
« เมื่อ: 04 พ.ค. 2555, 09:22:11 »
ขอถามว่า....ถ้าคนปรารภว่าจะบวชแล้วไม่ได้บวชตามปรารภ จะเกิดอะไรขึ้น :062:

43
วิญญาณที่ถูกลืม 2/2

เพราะปรากฏว่าวิญญาณของเบ็ตตี้ไม่ได้ไปผุดไปเกิดอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่วิญญาณของเธอกำลังล่องลอยตามสามีและลูกมาต่างหาก โดยในคืนวันหนึ่ง ขณะที่โรเบิร์ตกำลังพาลูกชายของเขาเข้านอน จู่ๆก็มีลมพัดมาวูบใหญ่จนทำให้หน้าต่างบนห้องเปิดกว้างออก และสิ่งที่โรเบิร์ตกับลูกชายมองเห็นในขณะนั้นก็คือ ร่างของเบ็ตตี้กำลังลอยวนไปมาอยู่เหนือระเบียงห้องซึ่งอยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน  สภาพของเบ็ตตี้ในตอนนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเมื่อตอนที่โรเบิร์ตเห็นในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพาเขาไปดูศพของเธอ  แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ ใบหน้าของเธอเริ่มเน่าเฟะและส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วห้อง  และเมื่อลูกชายของเขามองเห็นหนอนที่ไต่ยั้วเยี้ยไปทั่วร่างกายของมารดา เด็กน้อยก็หันมากอดโรเบิร์ตไว้ซะแน่นด้วยความกลัว  ในขณะที่โรเบิร์ตเองก็เริ่มตื่นตระหนกยิ่งขึ้น  แม้สิ่งที่เขามองเห็นอยู่ตรงหน้าในขณะนั้นจะเป็นร่างภรรยาของเขาก็ตาม  แต่เธอก็ดูน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะทนมองต่อไปได้


ในตอนแรกนั้นโรเบิร์ตเข้าใจว่า วิญญาณของเบ็ตตี้คงยังรักและห่วงใยลูกน้อยวัย 5 ขวบของเธออยู่ จึงยังไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ แต่โรเบิร์ตอาจจะ ยังไม่ทราบว่า  ในเวลานั้น วิญญาณของเบ็ตตี้ไม่ใช่ภรรยาผู้อ่อนโยนและใจดีคนเก่าของเขาอีกต่อไปแล้ว  เธอได้ผ่านความรู้สึกที่ถูกทำร้ายอย่างทารุณ  ความรู้สึกที่ต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดาย  จนมันสั่งสมและได้กลายเป็นรอยแค้นที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเธอเสียแล้ว


ดังนั้น เมื่อเบ็ตตี้เห็นลูกน้อยแสดงท่าทีหวาดกลัวต่อวิญญาณของเธอผู้เป็นแม่  มันจึงได้สร้างความโกรธให้เธอเป็นอย่างมาก  พร้อมกับลั่นปากออกมาว่า  เธอจะฆ่าทุกคนที่ทอดทิ้งและทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เพียงเดียวดาย  และในวินาทีนั้น   เบ็ตตี้ก็ได้ยื่นมือของเธอมาจับร่างของโรเบิร์ตเหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับฝาผนังห้อง  และหันมามองลูกชายของเธอที่ตัวสั่นงันงกอยู่บนเตียง พร้อมกับร้องเรียกให้เข้ามาหาเธอ แต่เมื่อเด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธ  วิญญาณของเบ็ตตี้ก็ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธ  เธอขว้างปาและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าจนย่อยยับด้วยอารมณ์แค้น  แต่มันก็เป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง  เพราะเมื่อเธอมองเห็นลูกน้อยร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจกลัว  ความโกรธของเธอก็เริ่มอ่อนลง  และในไม่ช้าร่างของเธอก็ค่อยๆเลือนหายไป


ในเช้าวันต่อมา  โรเบิร์ตรีบพาลูกชายของเขากลับไปยังสุสานของเบ็ตตี้  เขาจัดการขุดเอาศพของเธอขึ้นมาเพื่อนำไปฝังใกล้ๆกับบ้านพักที่เขาและลูกอาศัยอยู่ในปัจจุบัน  ถึงแม้โรเบิร์ตและลูกจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าเมื่อไรที่วิญญาณของเบ็ตตี้จะยอมไปเกิดและพวกเขาจะต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่อย่างน้อยมันก็คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว ที่จะช่วยยับยั้งไม่ให้วิญญาณของเบ็ตตี้ออกอาละวาดสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนอีกต่อไป


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4075

44
วิญญาณที่ถูกลืม 1/2


 ว่ากันว่า  เมื่อร่างกายของคนเราสูญสลายไปแล้วนั้น  สิ่งที่จะยังคงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงวิญญาณที่ล่องลอยรอเวลาไปเกิดใหม่ แต่ในบางครั้งอาจจะยังมีวิญญาณจำพวกหนึ่งซึ่งยังคงวนเวียนอยู่บนโลกนี้ โดยไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอกับความสุขครั้งใหม่ในชีวิตเลย  อะไรที่ทำให้วิญญาณเหล่านั้นต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นนี้  มันคือความผูกพันธ์ของวิญญาณเหล่านั้นที่มีต่อคนบนโลกมนุษย์ซึ่งไม่สามารถลบเลือนไปได้ หรือว่ามันจะหมายถึงความน่าสะพรึงกลัวบทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้ากันแน่


 เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นกับครอบครัวของอัลเลน   โดยมีโรเบิร์ต เป็นหัวหน้าครอบครัว   ซึ่งอาศัยอยู่กับเบ็ตตี้  ภรรยาสาวและลูกชายวัย 5  ขวบ  ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชานเมืองแมนเชสเตอร์  ประเทศอังกฤษอย่างสงบมานาน จนกระทั่งในปี 1996 ที่ผ่านมา  ครอบครัวอัลเลนก็ต้องเจอะเจอกับเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดขึ้น  เมื่อเบ็ตตี้ ภรรยาสาวสวย ถูกฆาตกรใจอำมหิตฆ่าข่มขืนและนำศพไปหมกทิ้งในกอหญ้า  ห่างจากบ้านของเธอเพียงไม่กี่ร้อยเมตร  ซึ่งแม้ว่าในภายหลังฆาตกรจะถูกจับตัวมาลงโทษได้  แต่สิ่งที่ครอบครัวอัลเลนต้องสูญเสียไปนั้น มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้


 และนอกเหนือไปจากความเศร้าโศกเสียใจแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องประสบในเวลาต่อมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ความน่าสะพรึงกลัวอันเกิดจากวิญญาณของเบ็ตตี้ซึ่งตามมาหลอกหลอน และสร้างความเขย่าขวัญให้กับครอบครัวอัลเลนโดยที่พวกเขาไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น ทั้งที่หลังจากเบ็ตตี้เสียชีวิตไปได้ 2 ปี เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นยังคงดูเงียบสงบปราศจากเหตุการณ์ร้ายแต่อย่างใด ทุกวันโรเบิร์ตจะพาลูกชายของเขาไปเคารพสุสานของเบ็ตตี้ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปไม่กี่ร้อยเมตร และทำเช่นนี้เป็นประจำจนกระทั่งไม่นานโรเบิร์ตได้แต่งงานใหม่กับหญิงสาวชาวอังกฤษคนหนึ่ง และได้อพยพครอบครัวไปอยู่ทางตอนใต้ ซึ่งนับจากนั้นมาโรเบิร์ตก็ปล่อยให้สุสานของเบ็ตตี้ตั้งอยู่อย่างอ้างว้างโดดเดี่ยวปราศจากการเหลียวแล แม้กระทั่งลูกชายของเขาเองก็ไม่เคยถามถึงมารดาอีกเลย ซึ่งดูเหมือนว่าการที่วิญญาณของเบ็ตตี้ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายเช่นนั้น มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันน่าสยดสยองที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้เลย


เหตุการณ์สยองขวัญดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้เคียงที่โรเบิร์ตกับลูกชายพร้อมด้วยภรรยาใหม่ไปพักอาศัยอยู่  เรื่องราวมันเริ่มขึ้นมาจาก  ในตอนตีสองของทุกคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่เบ็ตตี้ถูกฆาตกรรม มักจะมีคนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินร้องห่มร้องไห้ไปตามทางเดินของหมู่บ้าน ปากของเธอก็พร่ำร้องหาสามีและลูกชายตลอดระยะทางที่เธอเดินผ่านไป  และไม่ว่าเธอจะเดินผ่านไปทางไหน ทุกคนจะได้กลิ่นเหม็นสาปสางโชยมาตลอดเวลา  และเมื่อเป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า  ชาวบ้านก็เริ่มตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไม่เป็นอันทำอะไร  พอตกดึกทุกคนก็จะปิดประตูบ้านไม่มีใครกล้าออกไปไหน  เป็นอย่างนี้อยู่นาน จนชาวบ้านละแวกนั้นเริ่มทนไม่ได้  จึงได้จ้างวานหมอผีชื่อดังคนหนึ่งมาปัดเป่าวิญญาณของเบ็ตตี้ให้พ้นออกไปจากหมู่บ้าน  ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวมาคอยสร้างความหวาดผวาให้กับพวกเขาอีก  แต่มันก็เป็นเช่นนั้นอยู่ได้ไม่นาน

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4075

45
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ผีตุ๊กตา (ตปท.)
« เมื่อ: 02 เม.ย. 2555, 10:08:29 »
ผีตุ๊กตา (2/2)

ขณะเดียวกัน หลายครั้งที่ชาร์ลีน  มีความรู้สึกว่า  กำลังมีใครคอยเดินตามเธอไปทั่วบ้าน  และก็ยิ่งชัดเจนขึ้น  เมื่อเธอรู้สึกว่า  คนๆนั้นอยู่ใกล้เธอ  จนเธอได้ยินเสียงลมหายใจของเขา  แต่เมื่อหันไปมอง  ก็กลับไม่พบเห็นใครเลย
และทุกๆคืน  ชาร์ลีนก็จะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่ง   เดินโขยกเขยกขึ้นบันไดมา  และมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนของเธอ     ชาร์ลีนพยายามข่มความกลัว   เพื่อที่จะเดินไปเปิดประตูห้อง  แต่เธอก็ไม่พบเห็นใครที่หน้าห้องเช่นเคย


ต่อมาเพื่อนของชาร์ลีน    ได้จัดพิธีเข้าทรงขึ้นที่บ้าน   เพื่อค้นหาความจริงของเรื่องราวลี้ลับที่เกิดขึ้น  ทำให้ชาร์ลีนทราบว่า  เมื่อประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา    บ้านหลังนี้เคยเป็นของครอบครัวแม็คคูเอน  ซึ่งมีลูกสาวคนเดียว แต่เธอป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม  พ่อกับแม่ของเธอจึงต้องขังเธอไว้ในห้อง  ซึ่งคาดว่าจะเป็นห้องเดียวกับ  ห้องนอนของชาร์ลีนในปัจจุบัน  จนกระทั่งเด็กหญิงคนนั้นตายไป  เธอก็ไม่เคยได้ออกมาจากห้องของเธอเลย


หลายคนเชื่อว่า  วิญญาณของเด็กผู้หญิงคนนั้น คงอาศัยอยู่ในร่างของตุ๊กตา  เนื่องจากเส้นผม ขนตา  และคิ้วของเธอไม่ได้ถูกเผาทำลายไป  จึงทำให้เธอไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที  และการที่เธอถูกกักขังมาตลอดชีวิต  จึงทำให้วิญญาณของเธออาละวาด  เมื่อชาร์ลีนนำตุ๊กตาตัวแทนของเธอไปใส่กรอบกระจก


และการที่ชาร์ลีนมีความรู้สึกเหมือน      มีใครเดินตามเธอไปทั่วบ้านนั้น    คงเป็นเพราะ  เมื่อยังมีชีวิต   เด็กหญิงคนนั้น  ไม่มีโอกาสได้เดินไปไหนมาไหนภายในบ้านเลย    ชีวิตของเธอต้องจมปลักอยู่แต่ภายในห้องนอน  และแม้กระทั่งตาย  พ่อกับแม่ของเธอก็ยัง   กักขังวิญญาณของเธอไว้ในร่างของตุ๊กตาอีก  จนกระทั่งมันกลายมาเป็นตุ๊กตาผีสิงในที่สุด!!!


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4007

46
กฎแห่งกรรม / ผีตุ๊กตา (ตปท.)
« เมื่อ: 02 เม.ย. 2555, 10:06:36 »

ผีตุ๊กตา(1/2)

เชื่อว่าเมื่อเล็กๆ     เด็กผู้หญิงทุกคนต้องเคยเล่นตุ๊กตากันมาบ้างแล้ว     แต่ถ้าสักวันหนึ่ง  ของเล่นชิ้นนี้ของคุณ ได้กลายสภาพเป็นตุ๊กตาผีสิง  คุณจะรู้สึกเช่นไร  เราไปฟังเรื่องราวอันน่าสยองขวัญ  ที่เกี่ยวกับตุ๊กตาผีกันดีกว่า
 ในปี ค.ศ. 1880 ที่หมู่บ้านโบเดก้า  ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของซานฟรานซิสโก  มีเด็กหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตลง ในขณะที่มีอายุได้เพียง 8 ขวบ  สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่อย่างมาก   และก่อนที่ศพของเธอจะถูกนำไปทำพิธีทางศาสนา   พ่อกับแม่ของเด็กหญิงคนนี้  ได้ตัดสินใจพิมพ์รูปแบบใบหน้าของเธอ  แล้วนำมาทำตุ๊กตา เพื่อไว้เป็นที่ระลึก  เนื่องจากยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 นอกจากนี้เส้นผมยาวสีบรอนซ์ของเด็กหญิงคนนี้  รวมทั้ง ขนตา  และคิ้ว  ก็ถูกถอนออกมา 
เพื่อใส่ให้กับหุ่นตุ๊กตา ที่เป็นตัวแทนของเธอนั่นเอง ก่อนที่ตุ๊กตาตัวนี้จะถูกตั้งไว้ภายในบ้าน อยู่เป็นเวลาหลายปี  แต่เมื่อพ่อกับแม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้เสียชีวิตลง 

 ตุ๊กตาตัวแทนของเธอ ก็มีคนมานำเอาไปเก็บรักษาไว้  จนสุดท้าย จึงได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของ   พิพิธภัณฑ์เตุ๊กตาและของเล่น  โดยมีชาร์ลีน เวเบอร์  เป็นผู้ดูแลพิพิธภํณฑ์แห่งนี้
 พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาและของเล่น แต่เดิมเป็นเพียงโรงนาเก่าๆหลังหนึ่ง  ก่อนที่ชาร์ลีนจะดัดแปลงให้มาเป็นพิพิธภัณฑ์  เพื่อเก็บตุ๊กตาและของเล่น  และเปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้าชมได้  ภายในจะมีตุ๊กตาขนาดต่างๆ   ตั้งแต่สูงครึ่งนิ้ว    ไปจนถึงสูงเท่าคนจริง     และมีตั้งแต่ตุ๊กตาที่สร้างขึ้นในปี  ค.ศ. 1930  ไปจนถึงตุ๊กตาสมัยศตวรรษที่ 19  ทั้งที่ทำจากกระดาษอัด กระเบื้องเคลือบ  ไม้ เศษผ้า  ขี้ผึ้ง  และ ตุ๊กตาที่สร้างด้วยเส้นผม ขนตา  และคิ้วของเด็กหญิงคนนี้ด้วย


 เรื่องราวของอาถรรพ์ลี้ลับ  จึงได้เกิดขึ้นตั้งแต่ชาร์ลีนได้ตุ๊กตาตัวนี้มา  ในคืนวันหนึ่ง  ขณะที่ชาร์ลีนกำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่ในบ้านหลังใหญ่     ก็มีเสียงคล้ายเสียงกระจกแตก  ดังขึ้นในห้องเก็บตุ๊กตา ภายในพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ ไปอีกประมาณ 100 ฟุต


เสียงของมันดังมาก  จนทำให้ชาร์ลีนสะดุ้งตื่น  จากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปที่ห้องเก็บตุ๊กตาทันที  ที่นั่นเธอเห็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิง  นอนหงายอยู่กับพื้น  รอบบริเวณมีเศษกระจกแตกหล่นอยู่ทั่ว  ชาร์ลีนไม่แน่ใจว่า  ตุ๊กตาตัวนั้นหล่นลงมาจากบนชั้นวางได้อย่างไร  ในเมื่อหน้าต่างทุกบานในห้องนี้ถูกปิดสนิท  จึงไม่น่าจะมีลมเล็ดลอดเข้ามาได้  และจะว่ามีใครเข้ามาขโมยตุ๊กตา แต่เผลอปัดตกลงมา  ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้  เพราะก่อนที่ชาร์ลีนจะเข้ามาในห้อง  ประตูและหน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิท  ไม่มีร่องรอยการงัดแงะแต่อย่างใด


แต่สิ่งที่ทำให้ชาร์ลีน รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ก็คือ  ในขณะที่เธอกำลังจะนำตุ๊กตาขึ้นวางบนชั้นตามเดิมนั้น    เธอก็มีความรู้สึกว่า  ตุ๊กตาตัวนั้นกำลังจ้องมองเธออยู่  คล้ายกับถูกสายตาของคน  จ้องมองยังงัยยังงั้น  แต่ชาร์ลีนก็ไม่ได้เก็บเอามาวิตกอะไรมากมาย   เธอดิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง
แต่เหตุการณ์ประหลาด  ก็ยังคงเกิดขึ้นตามมาไม่มีหยุดหย่อน   ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น  มันยังตามมาหลอกลอนเธอถึงที่บ้านอีกด้วย   เมื่ออยู่ดีๆ แมวที่ชาร์ลีนเลี้ยงไว้ก็ตายลงโดยไม่รู้สาเหตุ  แต่ก่อนที่มันจะตาย  เธอเห็นมันวิ่งพล่านไปมาทั่วบ้าน  คล้ายกับหนีอะไรบางอย่าง


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4007

47

เวรกรรมตามลมปาก 2/2

แพง : ยาย ยายทำบ้าอะไรเนี่ย .. ยายรีดเสื้อประสาอะไร ทำไมมันไหม้อย่างนี้ล่ะ ...เสื้อตัวนี้ แพงซื้อมาตั้งเท่าไร รู้มั๊ย ...  โง่จริงๆ เลย แก่แล้วยังไม่เจียมอีก รีดไม่เป็นวันหลังก็ไม่ต้องมาทำสิ ...
แม่ : แพง โวยวายอะไรกับคุณยายน่ะลูก
แพง : ก็คุณยายน่ะสิคะ ทำเสื้อแพงไหม้เป็นรู อย่างงี้จะไม่ให้ด่าได้ยังไงล่ะ แพงจะใส่วันนี้ด้วย
แม่ : แพง คุณยายเขาอุตส่าห์รีดให้นะลูก ขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
แพง : แม่พูดอย่างงี้ได้ยังไง คุณยายเป็นคนผิดนะ จะให้แพงขอโทษน่ะเหรอ ไม่มีวันซะหรอก
แม่ : แม่บอกให้แพงขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
แพง : แม่ฝันไปเถอะว่าแพงจะขอโทษคุณยาย...งี่เง่า!!
(SFX: ฉาด)
แพง : แม่
แม่ : แม่ไม่เคยสอนให้หนูเป็นคนอย่างนี้เลย แต่ทำไมหนูถึงกลายเป็นคนก้าวร้าวเห็นแก่ตัวอย่างนี้ แม่ทนมานานแล้วนะแพง ทำไมหนูทำแบบนี้
แพง : แม่ แม่จำไว้เลยนะ แม่ตบแพง ... แม่ตบตีลูกตัวเอง แม่จะต้องได้รับกรรม
(SFX: เสียงวิ่งออกไป)

 และนั่น ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินจากลูก แพงหายออกจากบ้านไปเป็นเวลาหลายอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันเองรู้สึกเสียใจ ที่ได้ทำกับลูกอย่างนั้น ... แต่ก็ยังดี ที่สามีของฉันไม่ถือโทษโกรธ และยังให้กำลังใจว่า สักวันลูกก็ต้องกลับมา ... และในที่สุด ในคืนหนึ่ง ฉันกับสามี ก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ ที่โทรมาบอกว่า ลูกของฉันกำลังถูกนำตัวส่งห้องไอซียู ... ฉันกับสามีรีบรุดไปดูลูกที่โรงพยาบาล และได้รับการบอกเล่ากับเพื่อนของลูกที่อยู่ในเหตุการณ์ว่า แพงกับเพื่อนได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่โชคไม่ดี

ที่กลุ่มของแพงได้ไปเจอเด็กวัยรุ่นเมายาเข้า จึงเกิดมีปากเสียงและได้ลงไม้ลงมือกัน ขณะที่แพงกับเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนกำลังพยายามวิ่งหลบแก้วและขวดที่ถูกขว้างปากันอยู่นั้น ก็บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งมาขัดขาแพงเข้า ทำให้แพงเซถลาไปข้างหน้าและปะทะกับเหล็กด้ามใหญ่ที่คู่อริกำลังเงื้อตีเข้ามา ... เหล็กท่อนนั้น ฟาดลงที่ช่วงคอของแพงพอดี (SFX: เสียงดังโพล๊ะ) และหลังจากนั้น แพงก็หมดสติล้มลงไป

 ฉันได้ฟังเพื่อนของลูกเล่าเหตุการณ์อย่างนั้นก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ... เพราะลำพังเวลาที่คอโดนกดหรือโดนใครเอามือบีบ ก็รู้สึกแย่พอแล้ว แต่นี่ลูกของฉันถูกเหล็กท่อนใหญ่ฟาดเข้าไปที่ลำคอ ... ฉันไม่อยากจะนึกภาพเลย ... ฉันกับสามีและแม่นั่งรอดูอาการของลูกอยู่อย่างนั้น จนในที่สุด คุณหมอก็ออกมาจากห้องไอซียู

แม่ : คุณหมอคะ ลูกสาวดิฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ
หมอ : คุณต้องทำใจดีๆ นะครับ เพราะผมมีทั้งข่าวร้ายและข่าวดีมาบอก ... ข่าวดีของลูกคุณก็คือว่า แกปลอดภัยแล้ว แต่ข่าวร้ายก็คือ แกอาจจะพูดไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต เพราะกล่องเสียงของแกแตก ด้วยถูกเหล็กกระแทกอย่างรุนแรง

 กล่องเสียงแตก พูดไม่ได้ ... เป็นคำพูดที่สะท้อนอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ฉันพยายามคิดหาเหตุผลมากมายว่าทำไมเหตุการณ์นี้ ต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน ... หรือว่าสาเหตุมันจะมาจากตัวฉัน ... ฉันวนเวียนคิดไปมาทั้งคืน จนในที่สุด คำตอบที่ได้ก็มาจากปากของแม่ฉันเอง ...
ยาย : มันเป็นกรรมยังไงล่ะนังหนู ... ลูกสาวเอ็งมันทำกรรมด้วยการด่าทอ ให้ร้ายบุพการีและผู้มีพระคุณ กรรมจึงตามลงโทษมัน ทำให้มันต้องเป็นแบบนี้  ... บาปกรรมน่ะ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า เพราะแค่ชาตินี้  มันก็ตามเราทันแล้ว ... ทำใจซะเถอะลูก

 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คงจะทำให้ลูกสาวของฉันคิดได้ ... เพราะแม้แกเองจะพูดอะไรไม่ได้ แต่น้ำตาที่ไหลออกมา ก็ทำให้ฉันรู้ว่า แกคงเสียใจกับการกระทำในอดีตไม่น้อย  ... ฉันเองก็ได้ปลอบใจลูก และได้แต่หวังว่า วันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า บาปกรรมที่แกเคยได้ก่อไว้ อาจจะเบาบางและจางหายไป และวันนั้น อาการของลูกสาวฉันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้   

อาหุเนยยา จะ ปุตตานัง   บิดามารดา เป็นที่นับถือของบุตร

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3985

48
กฎแห่งกรรม เรื่อง เวรกรรมตามลมปาก

เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน  ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่งและเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
แพง : แม่ แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!! โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะเหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ...


 นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ... สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง


แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม
แม่ : เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น
แพง : โอ๊ย 500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว  ... แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนู
ไม่อยากจะทะเลาะด้วย ... อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่า
ลืมทำกับข้าวเผื่อนะคะ  แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู เพราะยายกินข้าวหก
เลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา ..


 นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน  ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ...  แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ
แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก
 วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า


ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู  ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูกคนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน


 ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด
 วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3985

49
ขอบคุณทุกความเห็นดีดีครับ 25;........คนเราบางครั้งรู้สึกแย่....มองทุกสิ่งรอบตัวแย่ไปไปหมด
ลองปรับความคิดนิดเดียว....เปลี่ยนมุมมอง แก้ที่ตัวเราเองก่อน ปัญหามีไว้แก้....ใช้ปัญญาแก้ไข
หวังว่าวันดีดี ต้องกลับมาหาคุณและทุกๆท่าน
ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยคนนึง :090:

สาธุ

50
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ....

ปล. แต่หัวข้อผิดนะครับ...ต้องแรม 15 ค่ำ เดือน 4
ขอบคุณครับ ผมดูผิดจริงๆด้วย

51
ถ้าอย่างนั้นใจมันกลัว มันก็ตั้งใจดี ที่นี่มีหมู่บ้านพอบิณฑบาตได้ห่างๆ เอาปักหลักที่นั่นละ อยู่ที่นั่นถ้าหากยังไม่บรรลุคุณธรรมเมื่อใด เราจักไม่กลับบ้าน เราจักไม่ย้อนมาตุภูมิเป็นอันขาด เด็ดเดี่ยวลงไป ทำความเพียรที่นั่นหลายปีดีดัก พอทำความเพียรไปใจสงบ จะถึงที่ได้อัปปนาสมาธิ เท่านั้นแหละเสียงแว่วเข้ามาที่หู บวชได้แล้ว ได้บุญแล้ว ก็จงสึกนะลูก ขึ้นมาที่หุ ใจมันก็สะดุ้งออกมา เสียงแม่เราชัดๆ

ออกมาทำความเพียรไป ทำความเพียรไปวันหนึ่งๆ ก็ตั้งหลายครั้งจะให้มันสงบถึงจุดให้มันวิมุติหลุดพ้นจากอาสวะให้ได้ พอถึงจุดสงบลงไปถึงอัปปนาเข้าไปลึกๆ แว่วขึ้นมาเสียงน่ะ ทำให้ใจถอนทุกครั้ง ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำความเพียรอะไร ทำข้อวัตรอย่างอื่นน่ะไม่เป็นไร ไม่มีนิวรณธรรมมาแว่วที่หูเลยก็อยู่ที่นั่น นั่นล่ะ อยู่กับหมู่พวกที่ป่านั่นเอง ไม่ได้ย้อนกลับบ้านมั่นใจว่าจะทำให้ได้มันได้ ให้ได้บรรลุ

แต่มาย้อนถึงมาตุภูมิของท่าน ตระกูลของท่าน พอดีลูกไปบวชแล้ว ต่อมาฝนแล้ง มันเกิดแห้งแล้ง แล้ง ๗ ปี ปลาย ๗ เดือนอะไรนี้แหละทั่วๆ ไป ในประเทศอินเดียไม่ได้ทำนาอะไรเลย มีนาตั้งหลายทุ่ง แต่ไม่ได้ทำนาเพราะฝนไม่ตก การทำนาทำไม่ได้ การค้าขาย เอาเกวียนมาตั้งหลายร้อยเล่มออกค้าขาย ขายก็ขายไม่ได้อีก เศรษฐกิจตกต่ำ ผลิตผลที่ทำไว้แล้วมันก็หมดไป หมดเนื้อหมดตัวลง หลายปีมา ผลิตผลใหม่ก็ไม่ได้ ข้าวยากหมากแพงขึ้นมา บริวารที่เคยรับใช้อยู่แต่ก่อนเป็นพ่อค้าเกวียนให้ตั้งหลายคนทำนาให้ตั้งหลายคน เขาก็ไม่อยู่แล้ว ลาไปทำมาหากินทางอื่นเขา ยังเหลืออยู่นิดหน่อยเพราะว่าเงินทองร่อยหรอลง สองตายายทำยังไง ยายเอ้ยปรึกษากันมันหลายปีแล้วนี่นะ ไม่ได้ทำไร่ทำนาเลย ผลิตผลก็หมดไปหมดไปอย่างนี้ เราจะได้อะไรมาเลี้ยงตัวล่ะ

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาคฤหาสน์หลังใหญ่นี้ล่ะไปจำนองไว้กับสหายผู้มีอันจะอยู่จะกินคนหนึ่งก็แล้วแต่จะเป็นแล้วแต่พ่อเป็นล่ะ ก็ไปพูดตกลงกันขอจำนองคฤหาสน์ ขอขายฝากกับสหายล่ะ ขอซื้อให้หน่อยเถอะ ข้าพเจ้าหมดเนื้อหมดตัวจริงๆ บริวารก็ตีตัวออกห่าง ถ้าได้ทำไร่ทำนาไม่เกินปีสองปี ก็ได้ถ่ายคืนหรอก บ้านน่ะ ตกลงราคาเท่าไหร่ ก็หลายพันกษาปณ์ เป็นหลายพันกษาปณ์ ตกลงแล้วก็เอาเงินให้กัน ทำสัญญา ๑๐ ปี นะสหาย สัญญากัน ๑๐ ปี ถ้าเกิน ๑๐ ปีไปคฤหาสน์ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ใช่ไหม เอาเลยเอาเข้าใจว่า ๑๐ ปีก็จะมีโอกาสทำไร่ทำนา ขายของ ขายข้าว ขายปลา จะมาไถ่คืน ได้เงินได้ทองแล้วก็กลับบ้านไป สัญญากันไว้แล้วกลับบ้านไป คนสนิทบริวารเห็นนายมีเงินมีทองก็ตรูกันเข้ามาขออาศัยอยู่อีก ข้าเก่าเต่าเลี้ยงปฏิเสธกันไม่ได้ หลายปีเข้า หลายปีเข้าไม่มีทีท่าว่าจะทำไร่ ทำนาอะไรเลย ชาวบ้าน ชาวเมืองก็เดือดร้อนทั่วๆ ไป

ท่านคหบดีคิยะเศรษฐีเราเอาเงินเขามาจำนองบ้าน บ้านเขามา ไม่มีทีท่าจะได้ไถ่คืนเลย มันจวนจะเข้า ๑๐ ปีแล้ว คิดหนักนอนไม่หลับ นอนไปก็ผวาอยู่เรื่อยๆ กลัวคฤหาสน์นี้จะเป็นของคนอื่นเขาไป เลยเกิดโรคหัวใจ พูดภาษาง่ายๆ เกิดโรคหัวใจ คิดหนักอย่างนั้น มันเป็นอารมณ์หนักเหมือนกันนะ การคิดหนักเป็นโรคหัวใจโตขึ้นมา ผวาอยู่เรื่อยๆ นอนไม่หลับ ยิ่งกว่ากินกาแฟ ยิ่งกว่ากินลิโพ นอนไม่หลับเอาเสียเลย มันคิดหนัก หนักๆ เข้าหัวใจวายเรียกว่า หัวใจล้มเหลว หัวใจมันเป็นโรคมากขึ้นก็เกิดไม่ทำงานเต็มที่ ก็ล้มเหลว เรียกว่าหัวใจวายตาย ภรรยาท่านคหปตานีนั้นยังแข็งแรงดี ช่วยทำศพให้ ขอร้องให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาให้มาช่วย เขาก็ไม่ขัดอะไร เพราะท่านเศรษฐีท่านคหบดีนี่ใจดีมาก เลี้ยงพี่เลี้ยงน้องดี เอาใจใส่พี่ป้าน้าอาดี เขาก็ไม่ขัด ก็พากันมาทำศพนั้น เอาไปเผาธรรมดา ธรรมเนียมอินเดียเขาล่ะ ในเมืองสาวัตถีเผาแล้ว

บัดนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำไร่ทำนาอีกต่อมาเหลือแต่ยายๆ ได้แต่อยู่ที่บ้าน คิดหนักเหมือนกัน ทำไงน้อ สามีก็ตายแล้ว บ้านจะเป็นของเขา แน่นอนหนอต่อไปก็ได้ยินข่าวโคมลอยมา เขามาแจ้งว่าลูกชายที่ไปในป่านั้นน่ะ เกิดโรคไข้ป่าไข้มาลาเรียหนักเข้าสมองหรือลงกระเพาะอะไรทำนองนี้ล่ะ ไม่มีเยียวยารักษา แล้วมรณภาพในป่าแล้ว

ยายสามีก็ตายไปแล้ว ลูกชายก็ยังไปตายอีก บอกว่าให้สึกมาเลี้ยงแม่ มาดูแลทรัพย์สมบัติ ตายจนได้หรือนี่ โอ้ยสองกระทงแล้วเข้ามาทับท่วมหัวใจของยาย ใจยายก็ป้ำๆ เป๋อๆ ไปเลย ลืมหน้าลืมหลังบ้าง เรียกว่าอารมณ์มากระทบจิตใจสองอย่างแล้ว ต่อมา นี่มันเลยหลายสิบปีเข้ามาแล้ว สัญญามันเลยสัญญาไปแล้ว เขาก็เลยยื่นคำขาดขึ้นมาว่า ยายเอ้ย บ้านหรือคฤหาสน์นั่นน่ะหมดสัญญาแล้วยาย ถ้ายายจะอยู่บ้านนี้ก็จงอยู่อย่างคนใช้ จะมาอยู่อย่างเจ้าของบ้านก็อยู่ไม่ได้ ต้องอยู่อย่างคนใช้ของบ้านต่อไป จะมาเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านไม่ได้แล้ว เพราะบ้านเป็นของคนอื่นไปแล้ว โหสามกระทงเข้ามาแล้ว เขายืนเข้ามานี่ สามกระทงเข้ามาว่าหมดอายุแล้ว ขออยู่ไปก่อนได้ไหมพ่อคุณ อยู่ได้แต่ต้องอยู่อย่างคนใช้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็จงหนีจากที่นี่ได้แล้วยาย ตามคำสัญญากัน

เอ๋คิดอะไรไม่ออกแล้ว ไปก็ไป คิดอะไรไม่ออกแล้ว ไปก็ไป ข้าพเจ้าก็จะไปขออาศัยสหายอยู่เหมือนกันแหละ มีสหายอยู่ปลายเมืองโน้น ด้วยอาติมานะพอสมควรนะ คนเคยรวยเคยมั่งมีมหาศาล เคยเป็นมหารานีมาแล้ว กลับมาจนลงอย่างนี้ล้มละลายลงอย่างนี้ ก็มีอติมานะอยู่บ้าง ไปก็ไป ขอเกวียน ขอล้อม้ามาขนของไปแล้ว ไปขออาศัยสหายทางโน้น พอไปถึงแล้วก็ไปเล่าเรื่องให้สหายทางโน้นฟัง


พระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก-หลวงปู่บุญเพ็ง กปฺปโก-หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

52
ข้าวสาลีในไร่ ๑๖ จีบ ข้าพเจ้าขอบูชาภาษิตของอาจารย์นะ ๑๖ จีบ จงพาหมู่มากินจากนี้ไปนี่จากนี่ไปนี่ บริเวณนี้ๆ ลงมากินได้ ข้าพเจ้าไม่เอาโทษเลย อย่างสบาย นอกนั้นเอาไว้ให้ข้าพเจ้าเก็บเกี่ยวเอาไปขาย เอาไปเลี้ยงครอบครัว ตอนนี้ขอบูชาภาษิตนี้ มาตาปิตุอุปัฏฐานัง เป็นมงคลชีวิตแล้วทำให้ผู้อื่นเกิดศรัทธาเลื่อมใส ยกข้าวสาลีในไร่ให้กินสบายอย่างนี้ เป็นต้น นั่นแหละเป็นธรรมอันหนึ่งมาตาปิตุอุปฐานธรรม เป็นธรรมาภิสมัยเกิดในจิตในใจของมนุษย์เราแล้ว ก็ระลึกถึงบุญคุณผู้มีพระคุณได้ เป็นธรรมาภิสมัยเป็นธรรมน่าดู น่าชม ทุกยุคทุกสมัยมา ถ้าหามีคุณธรรมเลี้ยงดูบิดามารดาแล้ว

นักปราชญ์ทั้งหลาย สรรเสริญ เห็นแล้วชื่นอกชื่นใจ แต่ว่าเห็นตั้งแต่แม่นกคาบอาหารมาป้อนปากลูกนกแย่งกันกิน แต่ว่าลูกนกโตแล้วที่จะไปหาคาบอาหารมาป้อนปากแม่ให้แม่กินนี่ ยากนักที่จะได้ฟังได้เห็นได้ดูได้ชม ก็มีนกตัวเดียวนั่นล่ะ นกสุวรรณโพระดกนกแขกเต้า เพราะเป็นมหาสัตว์ มหาสัตว์ผู้ประเสริฐ ทำได้ทีเดียว ทำอย่างนั้นทำได้ ดีใจเสียด้วยได้ทำอย่างนั้น

ทีนี้เราเคยเห็น สัตว์ทั้งหลาย เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าด้วยความเอาใจใส่เป็นพิเศษ ไม่ว่าสัตว์น้ำไม่ว่าสัตว์บก พวกนกก็ดี พวกหนู พวกกระรอก กระแต ทุกอย่างวิ่งขวักไขว่แสวงหาอาหารมาเลี้ยงลูกที่ยังลืมตาอ้าปากไม่เป็น อาศัยแต่แม่เท่านั้นแม่มาหยิบยื่นให้ทุกสัตว์ทุกจำพวกเป็นเสียอย่างนี้ สัตว์ใหญ่ขึ้นไปเป็นช้าง เป็นเสือ หมีดีแต่แม่หาให้ลูก แม่มือยาวกว่ารูดเอาใบไม้ ยอดไม้สูงๆ ส่งให้ลูกเห็นแล้วก็ชื่นใจ เห็นแล้วก็ดีอกดีใจแม่มีเมตตาต่อลูก สัตว์ทุกจำพวกอย่างนี้เอง สาวกของพระบรมศาสดาองค์หนึ่ง ท่านได้ฟังมาตาปิตุอุปฐานธรรมบ่อยๆ แต่ก่อนยังไม่มีคุณธรรมอะไรหรอก มีแต่อยากบวชอย่างเดียวสาวก องค์นั้นเป็นตระกูลเศรษฐี

จำได้เป็นชื่อเราจำผิดหรือจำถูกก็ไม่รู้ แต่ว่าเอาเนื้อหาสาระแล้วฟังแล้วซึ้งใจดี สาวกองค์นั้นเกิดในตระกูลมีอันจะอยู่จะกิน เป็นเศรษฐีย่อมๆ เรียกว่าคหบดี คหปตานี เป็นผู้มั่งมีศรีสุข คฤหาสน์ใหญ่โต มีบริวารเป็นจำนวนมาก มีนาตั้งหลายทุ่งมีเกวียนตั้งหลายร้อยเล่ม มีสวนมีไร่หลายอย่าง ให้บริวารเป็นผู้ทำอยู่แต่ไม่มีบุตร เบื้องต้นไม่มีบุตรเลยอยู่แต่งงานกันมาหลายปีดีดัก ตั้ง ๔๐ ปี อายุย่างเข้า ๔๐ ปีแล้ว ยังไม่มีบุตร มีพิธีไหว้อ้อนวอน ขอวอนเทวดาอารักษ์ที่ไหนก็ไม่รู้ ธรรมเนียมเป็นอย่างนั้น คนไม่มีบุตรอยากได้บุตรจะต้องมีการไหว้การวอน ทำพิธีไหว้วอน แต่ก็ได้สมใจจริงๆ อายุ ๔๐ ปีแล้วจึงค่อยมีบุตรตั้งครรภ์ขึ้นมา เวลาถ้วนกำหนดทศมาส ก็คลอดออกมาเป็นชาย แหมสาใจของพ่อแม่เหลือเกิน ดีอกดีใจ ฟูมฟักรักษา ไกวเปลเห่กล่อม ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยความอุตส่าห์พยายามเพื่อหวังอยากจะให้ลูกนี่สืบตระกูล สืบสมบัตินั้นเอง

พอลูกชายเกิดขึ้นมาแล้วมีนิสัยไปทางอื่นไม่ใฝ่ใจในสมบัติเท่าไร ไม่ยินดีในสมมติ ที่มั่งมีเลยแต่มองเห็นว่ามันเป็นโทษ ถ้าผูกพันในสมบัติแล้วเราก็จะไปไหนไม่ได้ล่ะห่วงแค่สมบัตินี้ล่ะ มีความยินดีอยากจะบวชอยู่พอโตขึ้น ๒๐ ปี ล่ะมั้ง มารดาก็เลยขอร้องลูกเอ๋ยจงไปหาผู้หญิงที่ชอบใจ มาแต่งงานเสียเถอะ ถ้าแต่งงานแล้วพ่อแม่จะยกสมบัติให้ เรียกว่าทำพินัยกรรมยกให้เจ้าเป็นผู้ครองต่อไป ก็ตอบแม่ว่าอย่างไร แม่ลูกยังไม่พร้อม เรื่องเงินทองสมบัติ ลูกอยากบวช วันไหนๆ มานั่งดูชมพระผู้มีพระภาคหรือพระบรมศาสดาเดินบิณฑบาต ห้อมล้อมด้วยสาวกบริวาร งามเหลือเกิน ทำไมถึงงามอย่างนี้น้อ เหมือนดังพญาราชหงส์อันห้อมล้อมด้วยฝูงหงส์ฉะนั้น งามจริงๆ ไปสำรวมระวัง งามน่าชม

ในพระสูตรท่านว่า การได้ดูสมณะสารูปผู้สังวรระวังดีเป็นมงคลชีวิต นั่งมีความสุข บางวันแม่ขอร้อง ให้ช่วยจัดสิ่งของไปใส่บาตรแม่จะใส่ พ่อจะใส่ นี่ก็ยินดีทีเดียวล่ะ ได้ใกล้พระบรมศาสดาได้ใส่บาตรเสียเองก็มีบางครั้ง ดีใจภูมิใจวันนั้น หนักๆ เข้า พ่อแม่ไม่ใช้บวช บวชแล้วใครจะครองสมบัติ อย่าบวชเลยนะลูกถ้าลูกบวชแล้วสมบัติไหนก็ระเทระทายไปเท่านั้นเอง แม่ก็แก่แล้วพ่อก็แก่แล้ว แม่ก็ ๔๐ กว่าแล้ว พ่อจะย่างเข้า ๖๐ แล้วล่ะมั่ง แหม ทำอย่างไรหนอ ไม่ให้บวช ทำเป็นไม่กินข้าวกินน้ำไปเรียกประชด แล้วจะอยู่ไปทำไมจะไม่ได้บวชทำไมตายเสียดีกว่าจะทำประชดแม่ทำยังกับว่าไม่กินข้าวกินน้อเลย แม่ก็กลัวลูกเอาจริงเอาจังเพราะเป็นคนนิสัยจริงจัง แล้วขอร้องว่าถ้าจะบวชจริงๆ ก็ต้องกินข้าวกินน้ำเสียก่อนสิ ถ้าไม่กินข้าวกินน้ำมีกำลังวังชาเสียก่อนไปบวช แล้วมันจะทำข้อวัตรปฏิบัติอะไรได้ละลูก จริงหรือแม่ให้บวชจริงๆ หรือ ก็จริงนะสิ ถ้าอยากจะบวชก็จงกินข้าวกินปลาเสียเถอะ บำรุงกำลังร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อน แม่จะไปมอบให้พระเถระท่าน ดีอกดีใจกินข้าวกินปลาอาหารมีกำลังวังชาดีพอสมควร

แม่ก็พาไปมอบเข้านาค ฝึกนาค ฝึกภาคปฏิบัติต่างๆ รู้ธรรมวินัย รู้จักอาหาร รู้จักอะไรประเคนได้ประเคนไม่ได้เสียก่อน รู้จักดีเสียก่อน พอมอบแล้วฝึกปรือเป็นนาคอยู่นั่น พอสมควรก็ได้บวช พอบวชไปแล้ว ก็ฟังเทศน์พระบรมศาสดาทุกวันล่ะ ตอนเย็นก็ไปฟังเทศน์พระบรมศาสดาทุกวันๆ พระบรมศาสดาอาจจะรู้นิสัย สาวกองค์นั้นเป็นอย่างนั้น องค์นี้เป็นอย่างนี้ ควรจะเน้นหนักให้วิเวกสถา เน้นหนักในวิเวกสถาแนะนำให้ออกวิเวกสงบสงัด ประพฤติปฏิบัติภาวนาถ้าอยู่ด้วยความคลุกคลีจิตใจจะไม่เป็นไป ไม่หลุดพ้นจากอาสวะ อาจจะคลุกคลีกันอยู่สนุกสนานในการคุย ในการเจรจา ในการดู การชมอย่างอื่นไป ไม่เป็นธรรม เป็นวินัย เอาเสียเลยต้องออกวิเวก ท่านว่าอย่างนั้นต้องหาสถานที่สงบสงัดเรียกว่าเสนาสนะสัปปายะ

หาสถานที่สัปปายะเสียก่อน จิตใจจึงจะสงบ หาสถานที่เหมาะๆ เสนาสนะสัปปายะแล้วยังไม่พอ ต้องให้อากาศสัปปายะ ไม่เป็นพิษเป็นภัยเสียก่อน ไปอยู่ที่เช่นนั้น อาหารสัปปายะ เสนาสนะสัปปายะ อาหารสัปปายะ แล้วะก็อากาศสัปปายะ บุคคลที่จะไปมาหาสู่นั้นก็สัปปายะอีกด้วย จนจะเกิดธรรมะเป็นที่สบาย ธรรมะก็เป็นสัปปายะ มีสัปปายะทั้ง ๕ แล้ว จึงจะดำเนินประพฤติก็ปฏิบัติได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็ว ถ้ายังคลุกคลีตีโมงกันอยู่ ยังสนุกสนานในการอยู่ร่วมกันอยู่ ไม่มีวันบรรลุมรรคผลนิพพานได้เร็ว ถ้ายังคลุกคลีตีโมงกันอยู่ ยังสนุกสนานในการอยู่ร่วมกันอยู่ไม่มีวันบรรลุข้ออรรถ ข้อธรรมอันใดแล้ว มีแต่จะหนาแน่นขึ้นด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ราคะ โทสะ โมหะ จะแก่กล้าขึ้น ท่านก็แนะนำสั่งสอนหนักไปทางวิเวกสถา วันไหนก็แนะนำอย่างนี้

เอาวิเวกสถานเป็นใหญ่ เหตุที่จะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมโพธิญาณ นี่ก็เพราะอยู่สถานที่สงบสงัด ถ้าอยู่กับหมู่คณะ กับหมู่กับพวกคนหมู่มาก คงไม่ได้ตรัสรู้หรอกนะ เราตถาคตนี่เหตุที่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ได้ที่วิเวกไกลจากชุน เข้าใจหรือเปล่า พระภิกษุทั้งหลายก็เข้าอกเข้าใจ ออกพรรษาแล้วก็ขอลาแยกย้ายกันไปภาวนา แห่งละองค์ สององค์ ที่วิเวกไกลๆ โน้น ส่วนพระโสณะนี่ ขอติดตามพระเถระเข้าไปในป่าเหมือนกัน หลังประเทศเนปาล ขึ้นไปหิมวันต์ หิมาลัยใกล้ภูเขาหิมาลัย ที่นั่นน้ำดีเหลือเกิน อากาศดีเหลือเกิน แต่ดึกๆ มาได้ยินเสียง สัตว์ร้อง พิลึกกึกกือ สัตว์ร้อง สัตว์ป่า สัตว์ร้องพวกเสือ พวกช้าง พวกหมี ชะนี สิงโต มันร้องในป่า น่ากลัวดี ใจมันสงบ

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

53

สมัยครั้งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมหาสัตว์ เกิดเป็นสุวรรณโพระดกนกแขกเต้า เลี้ยงมารดาตาบอด นั่นเราฟังแล้วเราซึ้งใจอยู่เล่นเอาสะอึกเหมือนกัน ท่านเล่ามาในสมัยครั้งก่อนเกิดเป็นสุวรรณโพระดกนกแขกเต้า มารดาหาเลี้ยงตั้งแต่ลืมตาอ้าปากดูโลกมาบินไปหาอาหาร ได้อาหารแล้วก็รีบมาส่งลูก อย่างนี้ทุกวันจนลูกปีกกล้าขาแข็งแล้ว ต่อมาแม่ก็ชราภาพลง ตาก็ฝ้าฟางไม่เห็นหนทาง ไปโดนพิษต้นไม้หรือไปโดนพิษอะไรก็ไม่รู้ ฝ้าฟางลงผิดปกติมองไม่เห็นเครือเถาวัลย์เท่าไร บินไปก็มักชน ชนเครือเขาเถาวัลย์ ตกลงพื้นดินอย่างทุลักทุเล ลูกผู้เป็นมหาสัตว์ก็สังเกต เอ้ มารดาเราไม่เห็นเหมือนเก่า เวลาไปไหนมาไหนมักชนต้นไม้ กิ่งไม้เครือเขาเถาวัลย์อยู่เรื่อยๆ

ได้โอกาสดีจึงถามว่าแม่ทำไมจึงชนต้นไม้ เห็นแม่ชนหลายทีแล้วนะไม่ใช่ครั้งเดียว นี่แม่ผิดปกติ แต่ก่อนแม่ไม่เป็นอย่างนี้ ก็บอกลูก ตาแม่ไม่ค่อยเห็น มันฝ้าฟาง สังเกตว่าไปตรงนี้จะไม่มีอะไรก็ชนเข้ามันไม่เห็นถนัด มองไม่เห็นอะไร มันฝ้าฟาง เห็นลางๆ ไปอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นขอโทษขอโอกาสเถอะแม่ให้แม่อยู่กับรวงกับรัง ลูกจะหามาเลี้ยงเองได้ไหมแม่ โอ้ยเกรงใจลูก แม่พูดด้วยความเกรงใจลูก ลูกไหนจะหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง จะหาเลี้ยงภรรยาของตัว แม่ก็เกรงใจก็ไปอย่างนี้แหละ ไม่ได้หรอกแม่ ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกเถอะ อันนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกเถอะ ไม่ต้องเกรงใจแม่เลี้ยงเรามา เรารู้ ตั้งแต่ลืมตาอ้าปากมาแม่ไม่ค่อยได้พักผ่อนอะไรเลย จนขนาดนี้และลูกก็ปีกกล้าขาแข็ง ขอให้เป็นหน้าที่ของลูกได้ไหมแม่ ขอร้องอย่าเกรงใจเลย ลูกว่าอย่างนั้นก็ไม่เอา

ในที่สุดก็ตกลงอยู่รวงอยู่รังคอยกินอาหารกับลูก ลูกทีแรกก็ลำบากเหมือนกันไปหาที่อื่นก็ไม่มี หาได้ยาก ต่อมาพอเขาปลูกข้าวสาลีมันแก่มันสุกมาแล้วก็เลยไปกินข้าวสาลี เจ้าของข้าวสาลีเขาก็ไม่ว่าอะไร ใจดีเห็นนกมากินก็ดีใจ เอ้อมันมากิน ให้มันกินซะ

หลายวันเข้าๆ ก็มาสังเกต เจ้าของไร่ข้าวสาลี มาสังเกตเห็นนกตัวหนึ่งมันผิดเขาพอกินอาหารเสร็จแล้ว กินข้าว กินอะไรอิ่มกันแล้ว เวลาบินไปกลับบ้าน กลับรวงกลับรัง เขาไม่บินไปเฉยๆ เขาคาบเอาข้าวสาลีในไร่บินกลับไปวันละรวง สองรวง เจ้าของไร่ข้าวสาลีแกเกิดความโลภ มัจฉิริยะขึ้นมาในใจ มัจเฉรธรรมความหวง ความตระหนี่ขึ้นมาในใจว่ามันจะหมด ถ้ามันเอาไป วันละรวง สองรวง สิบวันจะหมดกี่รวง ๒๐ วัน ๓๐ วันมันจะหมดไป ข้าวในไร่ของเรามันจะไม่พอมั้ง ไม่อยู่คงที่ เรียกว่ามันหมดเปลืองไป เพราะเขาคาบไปนี้เอง ก็เลยเกิดความโลภขึ้นจัด คิดอยากจะเอามาลงโทษหาตาข่ายมาดัก มันเคยออกตรงไหน ออกตรงรูนั่นนะ มันเคยกินที่นี่มันออกที่ต้นไม้ห่างๆ ต้นนั้นน่ะ ออกตรงนั้นทุกวัน ถ้ามาไล่ออกตรงนั้นทุกวันก็เลยเอาตาข่ายมาดักผูกเชือกขึงตาข่ายธรรมดา

วิธีการอย่างนั้น มาแอบอยู่ไม่ให้นกเห็น พอนกลงกินข้าว มันลงมาทุกตัวแล้วนี่นะไม่มีแล้ว ทุกตัวก็ตะเพิด เอ้ย ๆ เคาะไม้ ตบมือขึ้น ตีสัญญาณดังๆ ขึ้น ปัง ปัง นกก็ตกใจ ไม่คิดหาทางอะไรหรอกออกไปทะลุของเก่านั้นล่ะ เราเคยมาทางนี้ก็ไปทางนี้ล่ะ ปรู๊ดไปเลย สุวรรณโพระดกนกแขกเต้ามันเร็วปรู๊ดออกไป ก็ไปชนเอาตาข่ายพร้อมๆ กันเลย แล้วก็รูดเอาพอดีตาข่ายพอมันชนก็รูดลงมันเป็นถุงน่ะ รูดเข้ามาลูกเดียว ก็ตกลงที่พื้น เอ้าได้ตัวมันคราวนี้ล่ะ เจ้าของไร่ข้าวสาลีก็รีบมาตะครุบไว้ กลัวมันจะออกได้ ก็จะได้ตัวมันคราวนี้ ตัวที่ขี้โลภ ตัวที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ปากแก่ท้อง กินอิ่มแล้วยังไม่พอ ยังคาบของเราไป จะได้ตัวมาลงโทษวันนี้แหละนะ

เลือกพอเลือกไปตัวนี้ไม่ใช่ จำได้ปล่อยไป ตัวนี้ไม่ใช่ปล่อยไปอ้ายตัวนี้ ไม่ใช่ เลือกไปเลือกไปอยู่ จวนๆ จะสุดท้ายล่ะ อ๋าตัวนี้แน่นอนเราสังเกตเห็น จำได้ ปีกมันไม่เหมือนเขา เราจำได้ จำได้ ปีกมันไม่เหมือนเขา เราจำได้ที่ปีกมันไม่เหมือนเขานี่เอง ปีกทองๆ มีขาวปนๆ อยู่บ้าง ปลายปีกมันขาวตรงตัวกลางมันทองง หลังก็ทอง เราจำได้ตัวนี้แน่นอน จับไว้แกขี้โลภ ไม่เหมือนคนอื่น ตัวอื่นเขากินอิ่มแล้วก็ไปเฉยๆ แกมันขี้โลภ คนขี้โลภ ไม่ควรจะอยู่ ไม่ควรมีชีวิตอยู่ควรจะฆ่าทิ้งขู่ไว้ต่างๆ นานา

สัญชาติญาณของนกรู้หมดทุกอย่างคำพูดคำจาของเจ้าของไร่ข้าวสาลีนะก็เลยตอบเป็นภาษาออกไปว่า ข้าพเจ้าไม่โลภ ข้าพเจ้าไม่โลภ หือไม่โลภได้อย่างไง พูดได้ชัดดีเหลือเกิน ว่าไม่โลภ จริงๆ ข้าพเจ้าไม่โลภ ข้าพเจ้าเอาข้าวของท่านไปทำประโยชน์ เอาข้าวของท่านไปทำประโยชน์ แน้ยังพูดว่าไปทำประโยชน์ เอาไปแล้วมันก็หมดสิ จะเอาไปทำประโยชน์อะไร คุยกันไปคุยกันมารู้เรื่องดีทุกอย่าง ที่ว่าเอาไปทำประโยชน์ คืออย่างไร

อ๋อท่านผู้เจริญ ยังมีนางนกอันธะ ตัวหนึ่งบินไปหากินไม่ได้ เพราะตาบอด นกอันธะแปลว่านกตาบอด ตาฝ้าฟางบินไปก็ชนต้นไม้ เครือเขาเถาวัลย์ ข้าพเจ้าเลยรับอาสา ไม่ให้มา ขอให้จับอยู่ที่รวงที่รังนี่แหละ ข้าพเจ้ามาหาอาหารกินแล้วสำหรับตัวกินอิ่มแล้ว บางวันก็ไปหากินที่อื่นก็ได้อาหารให้พอเสียก่อน ข้าพเจ้ายังไม่กินก่อน ข้าพเจ้าได้อาหารแล้ว ผลหมากรากไม้ คาบแล้วรีบไปให้นางนกกินเสียก่อน เสียด้วยซ้ำไป แล้วก็ข้าวที่เอาไป เอาของท่านไปให้นางนกกินนั้น นางนกก็กินอิ่มแล้ว พอแล้ว เหลือจากนั้น ข้าพเจ้าก็ไปแจกลูกนก ทั้งหลายที่ยังไม่มีปีก หรือปีกยังไม่กล้าไม่แข็ง บินยังไม่ได้อยู่กับรวงกับรัง ข้าพเจ้าไปแจกจนหมดนี้ล่ะ เรียกว่าไปทำประโยชน์ ให้ผู้อื่นมีความสุขด้วย

เอ๋แล้วนางนกตาบอดที่ว่านี่น่ะเป็นอะไรกับเจ้าล่ะ เจ้าถึงอาสานักหนา โอ๋ยท่านผู้เจริญเอ๊ย นางนกตาบอด นางนกอัธะที่ว่านี้น่ะ ใช่อื่นไกลเลย เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของข้าพเจ้าเอง พอพูดแค่นี้เจ้าของไร่ข้าวสาลีสะอึกเลยเพราะคิดถึงแม่ตัวเอง ตัวเองก็มีแม่เหมือนกันให้น้องชายเลี้ยงอยู่ทางบ้านอื่น เมืองอื่นโน้น เรามีครอบครัวอยู่ทางนี้ เราก็เลี้ยงบุตรภรรายาอยู่ทางนี้ หลายปีแล้วก็ไม่ได้ไปดูแม่เราเลย คิดในใจอย่างนั้นแต่นกตัวทำไมหนอจึงมีมาตาปิตุอุปถัมภ์อุปฐานธรรมขนาดนี้น้อ ไม่ใช่ความผิดของนกนะ ยกนกตัวนั้นขึ้นใส่หัว สาธุ สาธุ ตัวของเจ้าเป็นอาจารย์เป็นครูของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะถือเป็นอาจารย์เพราะ ภาษิตของเจ้าที่พูดออกมานั้น เตือนให้ข้าพเจ้าระลึกถึงแม่ได้เต็มเปาเลย ระลึกถึงแม่มากเลยจนทนไม่ไหว น้ำตาพังออกนี่เพราะคำพูดของเจ้าเป็นภาษิตที่ฟังแล้ว ชื่นใจระลึกถึงแม่ได้เต็มเปา มีความสุขด้วยเพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าขอบูชาๆ ภาษิตของอาจารย์ บูชาภาษิตของเจ้า ท่านผู้เป็นอาจารย์นี้แหละนะ

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

54



๏ พระธรรมเทศนาเรื่อง ธรรมาภิสมัย
วันที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๓

จะเอาพระบ้านนอกมาบรรยายธรรม อบรมจิตใจของชาวกรุง ปรากฏว่ามันก็ไม่เข้าท่าเท่าไหร่นะ พระบ้านนอกมาอบรมชาวกรุงมันไม่สมกันเลย ต้องพระในกรุงมาอบรมชาวกรุง มันจึงจะถูกต้อง ก็เหมือนอาหารนะ อาหารบ้านนอกอาหาร ภาคอีสาน จะเอามาแจกชาวกรุงก็คงไม่หมดแหละ ถ้าแจกชาวอีสานด้วยกัน อาจจะหมด

ธรรมะก็เหมือนกัน ธรรมที่ชาวอีสาน หรือพระบ้านนอกได้ศึกษามา ได้อบรมมาได้ฟังมาก็เป็นธรรมะป่าๆ ทั้งนั้นล่ะนะ มันจะถูกสเป็คกับชาวกรุงหรือเปล่าเน้อนะโยม ที่เคยมาเทศน์ ที่วัดเสนา วัดใหม่เสนานิคม หรือวัดอะไรนั่น หลวงปู่หลอด นั่นคราวหนึ่งและก็ไปเทศน์ที่วัดพระรามเก้านั่นครั้งหนึ่ง เทศน์อยู่แถวๆ บริเวณนอกๆ นี่แหละ แถวนี้เขาเห็นว่าจะได้ประโยชน์ในการบรรยายธรรม นั่นมันเกี่ยวกับงานวันเกิดของท่าน เลยพูดเรื่องวันเกิดกันไปพอสมควรแล้วก็เล่านิทานมาประกอบ มีคนออกปากว่าชอบอกชอบใจว่าอย่างนั้นอยากฟังเรื่อยๆ เพราะที่บรรยายไปนั้นมันเป็นธรรมาภิสมัยในหัวใจ ทำให้สังคมมนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ถ้ามีธรรมาภิสมัย หรือว่าธรรมอำไพก็เรียกกัน ธรรมอันนั้นธรรมสำหรับชาวโลกที่อยู่รวมกัน เห็นว่าเป็นประโยชน์ เพราะว่าคนเราต้องเกิดมาก็ต้องมีพ่อมีแม่มีผู้ปกครอง ถ้าลูกไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณแล้ว ก็ขาดธรรมอำไพหรือขาดธรรมาภิสมัย ไม่น่าอยู่เลย ไม่น่าดูเลย พ่อแม่หวังพึ่ง ฝากผีฝากไข้กับลูก ถ้าลูกไม่มีธรรมาพิสมัยไม่ตอบแทนบุญคุณของพ่อของแม่ พ่อแม่ก็หมดหวังในชีวิต ไม่น่าอยู่ในโลกเลย เลี้ยงลูกยากเฉยๆ หวังพึ่ง ฝากผีฝากไข้ก็ไม่ได้ เขาไม่ดู ไม่แลอย่างนี้ เป็นเรื่องที่เศร้าใจมาก

มันก็ไม่ผิดอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน เราเห็นสัตว์เดรัจฉานน่ะ สังเกตมาตั้งแต่น้อย ตั้งแต่ลืมตาอ้าปากดูโลกมาเห็นแม่ไปเที่ยวหาอาหารมาป้อน มาหย่อนใส่ปากลูกนกทั้งหลายก็ดี แต่ว่าลูกๆ ถ้าแม่เฒ่าชราลงไปแล้ว พวกนกทั้งหลายนี่จะไปหาอาหาร มาปล่อยใส่ปากแม่ เคยมีบ้างไหมน้อ ไม่เคยมีแล้ว สัตว์เดรัจฉาน เฉยไปเลย แต่ว่ามหาสัตว์มีนะ มหาสัตว์มี จะขอเล่าเรื่องมหาสัตว์ให้ฟังสักหน่อย พระพุทธเจ้านำมาแสดง เพื่อให้เกิดธรรมาภิสมัยแต่จิตใจของพุทธบริษัทของพระองค์นั่นเอง


ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

55
การทำบุญ วันตรุษไทย

          ในการทำบุญประเพณี วันตรุษไทย ช่วงกลางวัน ก็จะมีการทำบุญตักบาตร และจัดทำข้าวเหนียวแดง และกาละแม ซึ่งเป็นขนมประจำเทศกาล วันตรุษไทย เพื่อทำบุญอุทิศให้กับญาติผู้อุทิศล่วงลับไปแล้วได้เก็บไว้กิน เพราะเก็บไว้ได้นาน มีการไหว้พระเจดีย์ตามวัดต่าง ๆ มีการละเล่นสนุกสนานต่าง ๆ เช่น ร้องเพลงอธิษฐาน เพลงมาลัย เพลงชาวงชัย และเล่นมอญซ่อนผ้า

          ยกตัวอย่างเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยที่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเล่นรำวงกันเป็นที่ครึกครื้นของหนุ่มสาว ทำให้เกิดความ สามัคคีกันเป็นอย่างดี เมื่อมีกิจการใด ๆ ก็จะร่วมมือช่วยเหลือกันด้วยน้ำใจ ที่เรียกว่า "ลงแขก"  ซึ่งการละเล่นในยามตรุษ มีเนื้อเพลงที่ชาวบ้านแต่งร้องรำกันสนุนสนานรื่นเริงตอนหนึ่งว่า...

          ".....ตอนเช้า ทำบุญตักบาตร ทำบุญร่วมญาติ ตักบาตรร่วมญาติ กันเอย ตอนบ่ายเราเริงกีฬา เล่นมอญซ่อนผ้า เล่นสะบ้าเอย....."  และยังมีเพลงพื้นเมืองที่ควรจะบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ เพราะสมัยนั้นเป็น เวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีเพลงที่เกี่ยวกับเสียงปืนที่หนุ่มสาวนำมาคิด ประดิษฐ์ร้องกันขึ้นว่า...

          "ครืน ครืน ครืน ได้ยินเสียงปืนกระทุกใจหวัง คิดไปหัวใจ เรายัง คิดถึงความหลังก็ยังเศร้าใจเขต แคว้นในแดนไทยเรา ถูกเขามายื้อแย่ง ไป คิดขึ้นมาน้ำตาหลั่งไหล คิดขึ้นมา น้ำตาหลั่งไหล ขึ้นชื่อว่าไทยไม่วายเขาลือ"

          ส่วนในช่วงกลางคืน วันตรุษไทย จะเป็นการเล่นเข้าทรงลงผีต่าง ๆ ตามทางสามแพร่ง สี่แพร่ง ก็มีการแขวนข้าวผอกกระบอกน้ำ ด้วยเพราะมีความเชื่อว่า การที่พระสงฆ์สวดบทอาฏานาฏิยสูตร หรือบทสวดภาณยักษ์ ป็นการสวดเพื่อให้ผีตกใจกลัว และผู้ที่มีปืนก็จะยิงปืนสนั่นหวั่นไหวเพื่อเป็นการไล่ผี (คล้ายพิธีหลวง) โดยผู้เฒ่าผู้แก่จะหยิบเอาปูนและขมิ้นวางไว้ข้างที่นอน เพื่อเอาไว้ให้พวกผีญาติผีเรือน ที่ตกใจกลัววิ่งกันชุลมุนล้มลุกคลุกคลาน จะได้หยิบเอาขมิ้นกับปูนนั้นมาทา และยังเชื่ออีกว่า ถ้าผู้ใดไม่สวดมงคลสูตร ผีอาจวิ่งมาชนล้ม หรือมาหลอกหลอน ทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดการเพ้อคลั่งมีกิริยาต่าง ๆ ซึ่งก็ถือกันมาจนปัจจุบัน

          และทั้งหมดนี้คือ ประวัติ ความเป็นมา วันตรุษไทย วันที่คนไทยควรรู้และสืบสาน เพื่อให้ประเพณีดี ๆ วันตรุษไทย ดำรงอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน

ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/45859

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
panyathai.or.th, watyaichaimongkol.net, meeboard.com, kroobannok.com

56
  ประวัติ วันตรุษไทย

          ว่ากันว่า ประเพณี วันตรุษ แต่เดิมเป็นของพวกอินเดียฝ่ายใต้ เมื่อพวกทมิฬได้มาครองเมืองลังกา ก็ได้นำพิธีตรุษอันป็นวิถีปฏิบัติของลัทธิตนเข้ามาด้วย ทำให้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา จนกระทั่งกลายเป็นงานนักขัตฤกษ์ใหญ่ มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ในวันแรม 14 - 15 ค่ำ เดือน 4 และขึ้น 1 ค่ำ เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองของตน

          ส่วนในประเทศไทย มีปรากฎในตำนานนางนพมาศ หรือตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ว่า วันตรุษไทย มีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยพระมหากษัตริย์ผู้ครองประเทศในครั้งนั้นทรงรับเอาประเพณี วันตรุษ มาเป็นพระราชพิธี และทรงทำบุญบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการประจำ เรียกว่า "พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์" คือ ทำบุญวันสิ้นปีหรือทำบุญส่งปีเก่า โดยกษัตริย์จะนิมนต์พระสงฆ์เข้ามาในพระราชวัง 3 วัน เพื่อทำการเจริญพระพุทธมนต์ และเมื่อสวดเจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว จะมีการยิงปืนไปทั่วพระนคร เหมือนกับไล่ผีไล่ปีศาจ ไล่สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้หมดไปกับปีเก่า

          หลังจากนั้น ประเพณี วันตรุษไทย หรือ พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ ก็กระทำสืบต่อกันมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทางราชการก็ได้มีการสั่งให้ยกเลิกประเพณี พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ หรือ พิธีวันตรุษไทยของหลวง โดยให้ยกเอาไปรวมกับพิธีสงกรานต์ เรียกรวมกันว่า พระราชพิธีตรุษสงกรานต์ แต่ในส่วนของชาวบ้านก็ยังมีการประกอบพิธี วันตรุษไทย กันอยู่อย่างเดิม และยังทำอยู่ทั่วไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ

          อย่างไรก็ดี สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยถึงการเข้ามาของ ประเพณี วันตรุษ ว่า...

          1. อาจได้หนังสือที่เป็นตำรามา ซึ่งเป็นภาษาสิงหฬ และจารึกลงในใบลานด้วยอักษรสิงหฬ แล้วมาแปลออกเป็นภาษาไทยเรา

          2. อาจมีพระเถระชาวลังกา ซึ่งเป็นที่มีความชำนาญในการพิธีตรุษ ได้เข้ามาในเมืองไทย แล้วมาบอกเล่า และสอนให้ทำพิธีตรุษกันขึ้น

          3. อาจมีพระสงฆ์ของไทย ได้ไปเห็นชาวลังกาทำพิธีตรุษ และได้มีโอกาสได้ศึกษาทำพิธีตรุษนั้น จนมีความสามารถทำได้ แล้วก็ได้นำเอาตำรานั้นเข้ามาสู่ประเทศไทย



ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/45859

57
วันตรุษไทย ประเพณีทำบุญวันสิ้นปี สมัยโบราณ



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก watyaichaimongkol.net, meeboard.com

          หากเอ่ยถึง วันตรุษไทย หลายคนคงไม่คุ้นเคยเท่ากับ วันตรุษจีน ทั้งที่ วันตรุษไทย ก็เป็นวันสำคัญของไทยที่มีประเพณีสืบต่อกันมา ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ว่าแล้ววันนี้ กระปุกดอทคอม จึงขอนำเรื่องราว วันตรุษไทย มาบอกกันต่อกันค่ะ

          วันตรุษไทย ตรงกับวันแรม 14 - 15 ค่ำ เดือน 4 และวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 รวม 3 วัน โดยถือเอาวันแรก คือ วันแรม 14 ค่ำ เป็นวันจ่าย เพื่อตระเตรียมสิ่งของไว้ทำบุญ และวันที่ 2 คือ วันแรม 15 ค่ำ เป็นวันทำบุญตักบาตร  มีการละเล่นสนุกสนานตามประเพณีท้องถิ่น ซึ่งจะเล่นกันจนถึงวันที่ 3 คือวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4

          ทั้งนี้ คำว่า ตรุษ เป็นคำไทยที่แผลงมาจากภาษาสันสกฤต มี 2 ความหมาย โดยความหมายแรก แปลว่า ตัด หรือ ขาด หมายความถึง วันตรุษไทย ที่มีนัยว่า ตัดปีเก่าที่ล่วงมาแล้วให้ขาดไป ส่วนอีกความหมายหนึ่ง ตรุษ แปลว่า ความยินดี ความรื่นเริงใจ ความบันเทิงใจ ซึ่งหมายถึง วันตรุษสงกรานต์ หรือ วันสงกรานต์ ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ทำให้ วันตรุษไทย เปรียบเสมือนวันสิ้นปี หรือเป็นประเพณีทำบุญส่งท้ายปีเก่านั่นเอง

          แต่ด้วยความที่ วันตรุษไทย มักจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งใกล้กับ วันสงกรานต์ ทำให้ปัจจุบันการจัดงาน วันตรุษไทย ถูกรวบยอดไปจัดในวันสงกรานต์ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนไทยจึงไม่ค่อยรู้จัก วันตรุษไทย


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/45859

58
จากท่านพระอาจารย์ รวี สัจจะ

...ตอบคำถาม "ความว่างเป็นอย่างไร "...
..." ความว่างทางจิตนั้น คือความว่างจากอารมณ์ยินดี ยินร้าย
แต่ไม่ว่างจากตัวรู้ ยังตามดูตามเห็น แต่จิตไม่ไปคิดปรุงแต่ง "...
...ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต...
...รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร...
โดย: Ravee Sajja

ที่มา
http://www.facebook.com/profile.php?id=1059132528

59


หลวงปู่ท่อน ญาณธโร-หลวงปู่จันทร์โสม กิตฺติกาโร-หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


๏ ร่มโพธิ์ร่มไทรของคณะศิษยานุศิษย์

นับแต่ปี พ.ศ.2528 เป็นต้นมา หลวงปู่ท่อน เริ่มมีกิจนิมนต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพฯ ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ รวมถึงต่างประเทศ แทบจะหาเวลาว่างไม่ได้เลย แต่หลวงปู่ก็มิเคยขัดศรัทธาญาติโยมแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ.2536 หลวงปู่ได้อาพาธด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้หลวงปู่เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดเป็นประจำ

ล่วงมาถึงปี พ.ศ.2537 หลวงปู่อาพาธอีก ด้วยโรคเส้นเลือดในช่องท้องโป่งพอง ต้องเข้ารับการผ่าตัดจากคณะแพทย์โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แม้การผ่าตัดจะประสบผลสำเร็จ แต่ส่งผลให้หลวงปู่ท่อนไม่สามารถเทศนาบรรยายธรรมได้นานดังแต่ก่อน เพราะสุขภาพไม่อำนวย ทุกวันนี้หลวงปู่ยังคงเดินทางเข้าไปตรวจเช็กสุขภาพที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ อย่างสม่ำเสมอ

หลวงปู่ท่อน มีความรู้ความสามารถในด้านวิทยาคม วิปัสสนากัมมัฏฐาน มีฌานสมาบัติแก่กล้า มีวิชาทำวัตถุมงคลตามตำรับโบราณคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคอดีต เป็นเหตุปัจจัยเสริมให้วัตถุมงคลทั้งหมดของท่านมีพุทธคุณศักดิ์สิทธิ์เข้มขลัง ท่านได้มีการสร้างวัตถุมงคลมากมาย อาทิ พระผงหลังโต๊ะหมู่บูชารุ่นแรก, พระผงหลังโต๊ะหมู่บูชารุ่นแรก (รุ่นสรงน้ำ) และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นต้น

ด้วยกุศลผลบุญทั้งมวลอันเกิดจากความอุตสาหะแห่งการบำเพ็ญเพียร ส่งผลให้หลวงปู่ท่อน มีอายุยืนยาว เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคณะศิษยานุศิษย์ เป็นกำลังอันสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รวมทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนไปตราบนาน


หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

60


หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต

หลังจากช่วยงานการครูบาอาจารย์เสร็จสิ้น หลวงปู่คำดีได้นำหมู่คณะออกวิเวกไปทาง จ.เลย ตอนนั้นหลวงปู่ท่อนบวชได้ 7 พรรษาแล้ว

พ.ศ.2497 หลวงปู่คำดี นำคณะเข้าป่าและถ้ำต่างๆ ได้ภาวนาทำความเพียร ตลอดจนให้ศรัทธาญาติโยมมาฟังธรรมะ และในพรรษานี้หลวงปู่ท่อนได้อยู่จำพรรษา ณ วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย กับหลวงปู่คำดีด้วย

หลวงปู่ท่อนอยู่ที่วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ได้ 2 พรรษา ก็มีศรัทธาญาติโยมมาขอให้ไปโปรดที่วัดถ้ำตีนผา อ.เชียงคาน จ.เลย 1 พรรษา ต่อมาหลวงปู่คำดีเกิดอาพาธเจ็บป่วยด้วยโรคชรา ท่านจึงกลับมาเยี่ยมและช่วยสร้างวัดถ้ำผาปู่นิมิตรไปด้วย จวบกระทั่งหลวงปู่คำดีได้มรณภาพลงอย่างสงบ


๏ สร้างวัดศรีอภัยวัน

พ.ศ.2500 ศรัทธาญาติโยมได้นิมนต์ให้หลวงปู่ท่อนไปอยู่ที่ป่าช้านาโป่ง และได้สร้างเป็นวัดศรีอภัยวัน บนเนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ รวมทั้งรักษาความเป็นป่าอย่างสมบูรณ์ไว้

จากนั้นมา หลวงปู่ท่อนได้จำพรรษาที่วัดศรีอภัยวัน จ.เลย ตราบจนถึงปัจจุบัน

เนื่องจากหลวงปู่ท่อนเป็นพระป่า ที่วัดจึงไม่มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โต กุฏิเป็นเพียงกุฏิเล็กๆ ปัจจัยที่ได้รับจากญาติโยม ล้วนแบ่งเอาไว้ใช้เท่าที่จำเป็น ส่วนใหญ่จะแบ่งปันให้แก่สำนักสงฆ์ วัด ที่ขาดแคลนหรือทุรกันดาร


พระประธาน ณ วัดศรีอภัยวัน


๏ ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์

พ.ศ.2503 เป็นเจ้าอาวาสวัดวัดศรีอภัยวัน

พ.ศ.2510 เป็นเจ้าคณะตำบลเมือง เขต 2 (ธรรมยุต)

พ.ศ.2526 เป็นเจ้าคณะอำเภอเชียงคาน-ภูเรือ (ธรรมยุต)

พ.ศ.2532 เป็นเจ้าคณะอำเภอเชียงคาน-ปากชม (ธรรมยุต)

วันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2550 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต) ตามกฎของมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 23/2541 ว่าด้วยระเบียบการปกครองคณะสงฆ์


๏ ลำดับสมณศักดิ์

พ.ศ.2514 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ “พระครูญาณธราภิรัติ”

พ.ศ.2527 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2531 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ ในราชทินนามเดิม

พ.ศ.2535 เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ครบ 5 รอบ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระญาณทีปาจารย์” เป็นกรณีพิเศษ

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2550 เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ “พระราชญาณวิสุทธิโสภณ”

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

61


หลวงปู่คำดี ปภาโส

๏ การอุปสมบท

ช่วงวัยหนุ่มฉกรรจ์ เป็นคนติดเพื่อนฝูง กินเหล้าเมายา จีบสาวตามบ้านต่างๆ ในละแวกนั้น ทำให้โยมบิดา-โยมมารดา เป็นกังวลใจมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บุตรชายคงจะเสียคนเป็นแน่ จึงได้ปรึกษากันขอให้บุตรชายบวชเรียน โยมบิดาจึงนำตัวบุตรชายไปฝากกับหลวงปู่คำดี ปภาโส พระเกจิชื่อดังแห่งวัดป่าชัยวัน ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่หลวงปู่คำดีมีข้อแม้ว่า ก่อนบวชจะต้องรักษาศีล นุ่งห่มขาว เจริญภาวนา กินข้าวมื้อเดียวก่อน

ครั้นอยู่ทดสอบจิตใจได้ 5 เดือน หลวงปู่คำดีได้อนุญาตให้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ขณะมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2491 ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ (พระอารามหลวง) ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีพระเทพบัณฑิต (มหาอินทร์ ถิรเสวี สินโพธิ์ ป.ธ.5) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระพิศาลสารคุณ วัดศรีจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคัมภีรนิเทศ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาสุพจน์ อุตฺตโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ภายหลังอุปสมบทแล้ว ท่านได้เดินทางไปพำนักจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่คำดี ณ วัดป่าชัยวัน โดยหลวงปู่คำดีเป็นอาจารย์กัมมัฏฐาน คอยสอนให้ทำภาวนา นั่งสมาธิกัมมัฏฐาน เน้นเรื่องสติ สมาธิ และปัญญา ระยะเวลาผ่านไปนานพอสมควร ท่านได้ช่วยครูบาอาจารย์แบ่งเบาภาระในการสอนคนที่จะมาบวช ด้วยการสอนขานนาค เป็นต้น ครั้นถึงช่วงออกพรรษา ได้เป็นหัวหน้าออกเดินธุดงค์เข้าป่าเป็นกิจวัตร


๏ ได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ครั้งหนึ่งท่านได้มีโอกาสพบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์สายพระป่า และได้รับโอวาทอันทรงคุณค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้จากหลวงปู่มั่น “ให้เร่งทำความเพียร มิให้ประมาท ชีวิตนี้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องตาย”

หลวงปู่ท่อน ยังได้มีโอกาสไปกราบเยี่ยมครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่หลุย จันทสาโร, หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เป็นต้น


ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

62
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


วัดศรีอภัยวัน
ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย



๏ อัตโนประวัติ

“อย่ามีอคติ...อย่าลำเอียงกับใครเลย และอย่าขึ้นๆ ลงๆ อย่าเอารัดเอาเปรียบกันอีกเลย”

ความตอนหนึ่งจากธรรมโอวาทของ “พระราชญาณวิสุทธิโสภณ” หรือ “หลวงปู่ท่อน ญาณธโร” ที่คอยอบรมสอนสั่งสาธุชนให้ปฏิบัติตาม ด้วยกุศโลบายอันแยบคายในการแสดงพระธรรมเทศนา ให้ผู้ฟังนำไปขบคิดพินิจพิจารณาด้วยปัญญา

ท่านเป็นพระเถราจารย์ผู้ใหญ่สายวิปัสสนาธุดงค์กัมมัฏฐาน เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตตภาวนา การเทศนาธรรม และวิทยาคมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร มีนามเดิมว่า ท่อน ประเสริฐพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พุทธศักราช 2471 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง ณ บ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายแจ่ม และนางทา ประเสริฐพงศ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 19 คน ท่านบุตรคนที่ 6 ปัจจุบัน สิริอายุได้ 79 พรรษา 59 (เมื่อปี พ.ศ.2550) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีอภัยวัน บ้านหนองมะผาง ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย และเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต)


๏ การศึกษาเบื้องต้น

ในวัยเยาว์ สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนบ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่ด้วยฐานะทางบ้านยากจน ท่านจึงได้ลาออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ต่อมาได้เรียนต่อที่โรงเรียนผู้ใหญ่ที่บ้านหินขาว สอบเทียบได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้ว ท่านไม่ได้เข้าศึกษาต่อ เพราะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว จึงเป็นเหตุให้ต้องออกจากโรงเรียนอีกครั้ง เพื่อมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

63
ธรรมะ / ...นิทานคนบ้าหาบหิน
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2555, 10:31:12 »
...นิทานคนบ้าหาบหิน

นั้นมีอยู่ว่า บ้านั้นท่านว่าบ้า ๑๐๘ บ้า ๓๒ บ้า นับไม่ได้ มีบ้าชนิดหนึ่ง ไม่โหดร้ายประการใด ได้บุง ได้ตาด ได้อะไรมาก็หาบไป เมื่อเห็นไม้ เห็นก้อนหิน เม็ดกรวดอะไรก็ตาม เก็บใส่ข้างหน้าข้างหลัง แล้วก็หาบเรื่อยไป ไม่ว่าเห็นอะไรอยู่ข้างถนนหนทางก็เก็บมาใส่ทั้งนั้น เรียกว่าเก็บก้อนหิน ของหนักมาใส่ หาบไป จนกระทั่งหาบไปไม่ได้ ก็เก็บออก เก็บออกพอเบาไปได้ก็หาบไปอย่างนั้นแหละ..เขาให้ชื่อว่าคนบ้า

คนบ้าชนิดนั้นไม่มีเรื่องราวกับใคร แต่มีเรื่องราวกับหิน เห็นของหนักแล้วก็เอามาใส่ เจ้าของก็หาบไป เมื่อหาบไป มันก็เบา ก็เก็บมาใส่ใหม่ เห็นของใหม่ก็เก็บใส่ใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน แก ทำมาอย่างนั้น นี้เรียกว่าเป็นนิทานอันหนึ่ง..

นิทานคนบ้าหาบหินนี้ เปรียบอุปมาเหมือนจิตใจของคนเรา

ไม่ภาวนา ไม่สงบ ก็ไม่สละออกไปจากอารมณ์ต่าง ๆ ที่เก็บเข้ามา ตาเห็นรูป ก็เก็บเอามาไว้ มาคิด มานึก มาปรุงแต่งในทางที่จะยึดเอาถือเอาเหมือนคนบ้าหาบหิน รูปดีก็อยากได้ ดิ้นรนวุ่นวาย รูปสวย รูปงาม ไม่ว่ารูปวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ไม้สอยก็ตาม รูปคน... เมื่อเห็นว่ารูปดี ก็อยากได้ ปรารถนา ดิ้นรนไปตามกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันเก็บเข้ามา ยึดเข้ามา..

ที่นี้ ในขณะที่รูปไม่ดี รูปน่าเกลียดน่ากลัว รูปน่าชัง ก็เก็บเข้ามาอีก ไปเกลียด ไปกลัว ไปชัง พาให้จิตใจไม่เป็นสมาธิภาวนา คือเป็นธรรมดาของจิตไม่สงบ ไม่มีภาวนาพุทโธอยู่ในดวงใจ เมื่อตาเห็นรูปในส่วนที่ดีก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง ในส่วนที่ไม่ดี ก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง วุ่นวายอย่างนั้นแหละ เหมือนกับว่า "คนบ้าหาบหิน"..

นอกจากตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียง ก็คอยเก็บเข้ามา นอกจากเก็บเข้ามาแล้ว ตัวเองก็ชอบพูดชอบกล่าวแต่ในสิ่งที่ไม่นั้นแหละ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ธรรมะคำสั่งสอนมีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ไม่ท่องบ่นสาธยาย เอามาจดมาจำ แต่คำดุคำด่า ว่าร้ายป้ายสีให้แก่กัน วันนี้ชอบเอามาคิด เอามานึก แม้สิ่งนั้นจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม จำไว้ ไม่ให้ลืม เขียนไว้ไม่ให้ลืม เป็นอย่างนี้มาตลอดกัป ตลอดกัลป์ ตลอดภพ ตลอดชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย...มันเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักปล่อยวาง..


หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

โดย: ธรรมโอสถ

64
กราบนมัสการหลวงพี่ต้อย...เปี่ยมเมตตา

65
ขอบคุณท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
ที่นำภาพมาให้ชมกันครับ
แล้วจะติดตามตอนต่อไปครับ

66
ขอบพระคุณท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) เป็นอย่างยิ่งที่กรุณานำภาพและเรื่องราวดีดีมาฝากกันครับ :054:
สักวันหนึ่ง...ผมจะตามไปเที่ยวชมบ้างครับ :015:

67
ศักดิ์สิทธิ์อะไรเช่นนั้น

สิ่งที่พระท่านว่าวาสนานี้ เป็นความเคยชินชนิดที่แกะไม่ออก เป็นเรื่องไม่ดี แต่ภาษาไทยเอาคำว่าวาสนา มาใช้ในแง่ดี เช่น วาสนาบารมี มีวาสนาดี เป็นต้น ทางพระท่านกล่าวว่า พระอรหันต์นั้นละกิเลสได้ แต่ละวาสนาไม่ได้ เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ทรงละได้ทั้งกิเลสและวาสนา

เพราะเหตุนี้ จึงมีเรื่องเล่าว่าพระสารีบุตร หลังบรรลุธรรมและได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาแล้ว ท่านก็ละวาสนาของท่านไม่ได้ เวลาท่านไปที่ไหน ที่บรรยากาศสวยงามท่านก็จะ "อิน" ในบรรยากาศนั้นมากขึ้นถึงกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี พระเล็กเณรน้อยก็นินทาว่า "อะไรกัน พระผู้ใหญ่ไม่สำรวมเลย กระโดดโลดเต้นยังกะเด็ก"

พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง จึงตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า "อย่าตำหนิสารีบุตรเลย นี้เป็นวาสนาของเธอ เพราะเธอเคยเกิดเป็นลิงหลายร้อยชาติติดต่อกัน"

ครับ ในกรณีพระปิลินทวัจฉะ ก็เช่นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระปิลินทวัจฉะเคยเกิดเป็นพราหมณ์ติดต่อกันห้าร้อยชาติ มีความถือตัวในความเป็นพราหมณ์ วาจาเช่นนี้จนชิน มาชาตินี้คำพูดอย่างนี้จึงเป็นวาสนาของปิลินทวัจฉะแก้ไม่หาย แต่เธอไม่มีเจตนาพูดคำหยาบ



เขียนมาถึงตรงนี้ นึกถึงหลวงพ่อคูณท่านชอบใช้คำพ่อขุน คือ กูมึงจนติดปาก ไม่มีใครถือท่าน เพราะรู้ว่าท่านมิได้มีเจตนาจะให้เป็นคำหยาบ นี้แหละเป็นวาสนาของหลวงพ่อคูณ ใครอย่าไปเกณฑ์ให้ท่านพูดเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวเกิดเรื่อง อย่างที่เคยเล่าต่อๆ กันมา (เล่าอย่างไร ลองกระซิบถามคนในวงการดูก็แล้วกัน ผมเคยเขียนถึงมาหลายครั้งแล้ว ไม่อยากจะฉายซ้ำอีก)

หลวงพ่อปิลินทวัจฉะ ถึงจะพูดไม่ค่อยไพเราะหู แต่ท่านมีเมตตากรุณาสูงยิ่ง ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก ดังวันหนึ่งได้ใช้อิทธิฤทธิ์เหาะไปนำเด็กสองคนที่โจรลักพาตัวไปมาคืนพ่อแม่ เป็นที่ชื่นชมโสมนัสของพ่อแม่เด็กและญาติวงศ์ในตระกูล

แต่ก็ไม่วายถูกพระเล็กพระน้อยค่อนแคะเอา หาว่าท่านปิลินทวัจฉะไปแย่งเอาทรัพย์สมบัติของพวกโจรต้องอาบัติ แน่ะ กล่าวหาอะไรเชยๆ อย่างนั้น จนพระพุทธองค์ตรัสว่า การที่ปิลินทวัจฉะจะไปนำเด็กคืนมามิใช่การลักขโมยของ เป็นการกระทำที่เกิดจากความกรุณา ต้องการช่วยเหลือคนที่ตกอยู่ในอันตรายหรือได้รับทุกข์ เป็นเรื่องที่พึงสรรเสริญมากกว่าตำหนิ นั้นแหละครับ เสียงซุบซิบ (หาเรื่อง) จึงสงบลง

ท่านปิลินทวัจฉะได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่าเป็นผู้เลิศกว่าผู้อื่น ในทางเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย

พระที่คนรักนั้นหาได้ง่าย แต่ที่ทั้งคนและเทวดารักนี้ หามิได้ง่ายๆ นะครับ

ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327052647&grpid=no&catid&subcatid

68
วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 19:08:53 น.

บทความพิเศษ
 
เสฐียรพงษ์ วรรณปก


ท่านรูปนี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์วัจฉโคตร นามเดิมว่า ปิลินทะ เรียกรวมกันว่า ปิลินทวัจฉะ เป็นชาวเมืองสาวัตถี

ท่านสนใจในเรื่องจิตเป็นพิเศษถึงกับออกบวชเป็นปริพาชกสำเร็จวิทยาการอันเรียกว่า "จูฬคันธาระ" นัยว่าทำให้มีฤทธิ์ และสามารถทายใจคนอื่นได้

ต่อมา วิชาจูฬคันธาระเสื่อม จึงคิดหาทางเรียนวิชามหาคันธาระ ตามที่ผู้รู้เล่าว่าผู้ที่เรียนสำเร็จแล้วจะไม่เสื่อม มีคนบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงวิชาชั้นสูงนี้ จึงไปขอบวชเป็นศิษย์พระองค์

พระพุทธเจ้าตรัสบอกกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตของท่านให้ไปบำเพ็ญ ท่านได้กรรมฐานจากพระพุทธเจ้า คิดว่าเป็นวิชามหาคันธาระ จึงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตาม ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมปฏิสัมภิทา (ความแตกฉานในด้านต่างๆ)

คือแตกฉานในอรรถ แตกฉานในธรรม แตกฉานในนิรุตติ และแตกฉานในปฏิภาณ แตกฉานใน (อ่านในคำอธิบายใน พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกเอาก็แล้วกัน ถ้าอยากได้รายละเอียด)



ท่านมีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แถมมีวาจาสิทธิ์อีกต่างหาก แต่ท่านมักมีคำพูดติดปาก ฟังไม่ค่อยไพเราะ คือคำว่า "ไอ้ถ่อย" (วสลิ) ไม่มีเจตนาพูดคำหยาบ แต่มันติดปากแก้ไม่หาย ภาษาพระเรียกว่า "เป็นวาสนา" ที่สั่งสมมายาวนานหลายภพหลายชาติ (คนละความหมายกับภาษาไทยที่ใช้กันอยู่นะครับ)

วันหนึ่ง มีพ่อค้าดีปลี ขนดีปลีผ่านหน้าท่านไป เพื่อเอาไปขายที่ตลาด ท่านปิลินทวัจฉะ จะถามว่า "บรรทุกอะไรมา ไอ้ถ่อย"

บุรุษเจ้าของดีปลีฉุนกึกเลย "พระอะไรวะ พูดจาไม่เข้ารูหูคน ไม่น่าเป็นพระเลย" จึงร้องตอบไปว่า "บรรทุกขี้หนูเว้ย ไอ้ถ่อย"

โต้ตอบสะใจแล้วก็ขับยานบรรทุกดีปลีต่อไป หารู้ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตัวเอง พอไปถึงตลาดก็จอดยาน เตรียมขนดีปลีออกมาวางขาย ก็ตกตะลึงดุจถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ

ดีปลีได้กลายเป็นขี้หนูไปหมดทั้งเล่มเกวียน

บุรุษหนุ่มร้องเสียงหลง จนผู้คนพากันมารุมล้อม ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเล่าเรื่องราวให้ฟัง บุรุษคนหนึ่งในกลุ่มชนนั้นกล่าวว่า

"พระที่ท่านว่านั้น คงจะเป็นพระคุณเจ้าปิลินทวัจฉะ เป็นแน่นอน ท่านผู้มีอิทธิฤทธิ์ วาจาสิทธิ์ เพราะคุณล่วงเกินพระอรหันต์เข้า คุณจึงประสบชะตากรรมเช่นนี้ ทางที่ดีไปขอขมาท่านเสีย"

บุรุษหนุ่มเจ้าของดีปลี กลับไปตามหาพระปิลินทวัจฉะ พบท่านแล้วก็กราบขอขมาที่ได้ล่วงเกินท่านโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ทันทีที่ท่านกล่าวว่า "ข้ายกโทษให้ ไอ้ถ่อย ขอให้ขี้หนูกลายเป็นดีปลีเหมือนเดิม เท่านั้น ขี้หนูทั้งเล่มเกวียนก็กลับกลายเป็นดีปลีตามคำพูดของท่านจริงๆ

ี่
ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327052647&grpid=no&catid&subcatid

69
เห็นภาพแล้วชื่นใจครับ :090: :054:

72
ข้อมูลสนับสนุน

   การเจริญเมตตาในขณะที่จิตเปี่ยมด้วยสมาธินี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เคยกล่าวเอาไว้ว่า เพียงทำแค่อึดใจเดียว ก็มีอานิสงส์มากกว่าการสร้างโบสถ์(วิหารทาน) เสียอีก หลายท่านอาจจะแย้งในใจว่า การเจริญเมตตาเกี่ยวอะไรกับอภัยทาน มันคนละส่วนกัน

เรื่องนี้ขออธิบายดังนี้ครับ หลักการแผ่เมตตาที่ผมเคยไปปฏิบัติธรรมมาที่วัดป่าม่วงไข่ อ.ภูเรือ จ.เลย (ลูกศิษย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม) คือ อันดับแรกให้เราคิดถึงคนที่เรารักที่สุด แล้วตั้งจิตแผ่เมตตาให้เขามีความสุข ต่อมาคิดถึงคนที่รักน้อยลงมาแล้วแผ่เมตตาให้เขามีความสุข อันดับต่อมาให้คิดถึงคนที่เราไม่รักไม่ชังแล้วแผ่เมตตาให้เขามีความสุข อันดับต่อมาให้คิดถึงคนที่เราเกลียดหรือไม่ชอบหน้าแล้วแผ่เมตตาให้เขามีความสุข อันดับต่อมาคือให้คิดถึงคนที่เราเกลียดที่สุดแล้วตั้งใจแผ่เมตตาให้เขามีความสุข สุดท้ายให้ตั้งใจแผ่เมตตาไปทั่วจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุด ท่านสอนว่าแรกๆ อาจจะฝืนใจหน่อย แต่หากทำได้ดังนี้อยู่เรื่อยๆ เราก็จะไม่มีคนที่เราเกลียดเลย ซึ่งจะสังเกตว่า การให้อภัยทานก็เป็น subset ของการเจริญเมตตานั่นเอง…
ผมเคยไปอ่านเจอในกระทู้หนึ่ง มีบางท่านแย้งว่า การให้ทานต้องมีผู้ให้และผู้รับ การให้ธรรมะเป็นทานยังมีผู้รับ ส่วนการให้อภัยไม่มีผู้รับ ดังนั้น การให้ธรรมะเป็นทานจึงน่าจะมีอานิสงส์มากกว่า ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะการทำบุญที่มีอานิสงส์มากที่สุด ตามคำสอนของพระศาสดาคือ การเจริญภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ วิปัสสนาภาวนา ซึ่งจะสังเกตว่า บุญสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือบุญที่ทำกับจิตเราเอง ไม่มีผู้รับแต่อย่างใด และการให้อภัยทาน จัดเป็นสมถกรรมฐาน เพราะเป็นการเจริญพรหมวิหารธรรม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่อภัยทานจะมีอานิสงส์มากกว่าการให้ธรรมะเป็นทาน

นอกจากนี้ ยังมีบางท่านแย้งว่า การให้ธรรมะเป็นทานมีอานิสงส์มากกว่าอภัยทาน เนื่องด้วย การให้ธรรมะเป็นทาน จัดเป็นภาวนามัย เพราะเป็นการให้ปัญญา ซึ่งเป็นการกล่าวผิดหลักที่พระพุทธองค์ทรงสอน เพราะพระพุทธองค์ก็ได้จัดให้ธรรมะเป็นทานเอาไว้ในหมวดทานเท่านั้น ส่วนภาวนามัยคือ การเจริญสมถกรรมฐาน และการเจริญวิปัสสนา….
ทั้งหมดนี่เป็นบทสรุปที่่ผมค้นคว้ามาได้ ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกผมก็ไม่รู้ ท่านผู้อ่านคงต้องพิจารณาเองครับว่าจะเห็นด้วยหรือไม่
 
ขอให้เจริญในธรรมครับ


ที่มา
http://www.dhammatan.net/2011/08/ อภัยทานกับธรรมทาน/

73
อภัยทาน ครอบคลุมถึงศีลและภาวนา

ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 3 การทำบุญประกอบด้วย 3 หมวดคือ ทาน ศีล และภาวนา โดยสามารถแยกย่อยออกได้เป็น 10 อย่าง (บุญกิริยาวัตถุ 10) ตามมุมมองของผม คำว่าอภัยทานนี้ กินความหมายกว้าง สามารถจัดเข้าได้กับการทำบุญครบทั้งสามหมวด คือหมวดทาน ศีล และภาวนา ดังนี้

-  จัดว่าเป็นการทำทาน : เข้าได้กับธรรมทาน ดังเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นตามที่อรรถกถาจารย์ท่านกล่าวไว้
- จัดเข้าได้กับการทำบุญในหมวดศีล : เพราะคำว่าอภัยทาน แปลว่า การให้ความไม่มีภัย ใครเคยไปวัดป่า คงเคยสังเกตเห็นแผ่นป้ายที่ติดในเขตวัดว่า “เขตอภัยทาน” หมายถึง เป็นเขตรักษาศีล ไม่ให้ฆ่าสัตว์ เป็นต้น
- จัดเข้าได้กับหมวดภาวนา : เพราะการให้อภัย คือ การละโทสะในใจตน และเป็นการเจริญเมตตา อุเบกขา ซึ่งเป็นการเจริญพรหมวิหารธรรม อันเป็นหนึ่งใน กรรมฐาน 40 กอง (อันประกอบไปด้วย หมวดกสิน ๑๐ หมวดอสุภกรรมฐาน ๑๐ อนุสสติกรรมฐาน ๑๐ หมวดพรหมวิหาร ๔ หมวดอรูปฌาณ ๔ หมวดอาหาเรปฏิกูลสัญญา และ หมวดจตุธาตุววัฏฐาน)

ดังนั้นอภัยทานจึงมีอานิสงส์มากมาย มากเกินกว่าการให้ทานทั่วไป เพราะเป็นการทำให้จิตมีเมตตา คือขณะที่เราตั้งจิตคิดให้อภัยทานใครนั้น หากลองสังเกตจิตดูก็จะรู้ได้ว่าตอนนั้น จิตเรามีศีลคลุม จิตเราเปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม จึงจะสามารถให้อภัยได้ ท่านผู้อ่านลองคิดเปรียบเทียบดูง่ายๆ ก็ได้ครับ สมมุติว่าเราเกลียดคนคนหนึ่งมาก ถ้าเจอหน้าแทบจะอยากฆ่าให้ตายเลย ถามว่า เราจะอยากให้ทานเขาหรือไม่ สมมุติเป็นให้ธรรมะเป็นทานก็ได้ ผมว่าคงไม่มีใครอยากจะให้ เพราะหน้ายังไม่อยากจะมองเลย เรื่องอะไรจะเอาของดีคือ ธรรมะไปให้มัน จริงมั้ยครับ ตราบใดที่เรายังให้อภัยเขาไม่ได้ เราก็คงให้ทานอย่างอื่นเขาไม่ได้ ถึงให้ก็ด้วยความฝืนใจ ซึ่งอานิสงส์คงน้อย ดังนั้นผมจึงเห็นด้วยกับที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาทุกประการว่า “ใครเป็นผู้มีอภัยทานประจำใจ คนนั้นก็เป็นผู้เข้าถึงปรมัตถบารมีแล้ว“


ที่มา
http://www.dhammatan.net/2011/08/ อภัยทานกับธรรมทาน/

74
อภัยทาน คือ อะไร

อภัยทาน เป็นคำที่ใช้กันแพร่หลายในยุคปัจจุบัน แต่ในพระไตรปิฎกกล่าวถึง อภัยทานไว้น้อยมาก เหมือนกับคำว่า เจ้ากรรมนายเวร ซึ่งชาวพุทธเรานำมาใช้กันภายหลัง หากลองค้นในพระไตรปิฎก จะเจอผลการค้นหาในพระไตรปิฎกเล่มที่ 15 ดังนี้
>ผลการค้นหาในพระไตรปิฎก คำว่า อภัยทาน
>>ส่วนที่กล่าวถึงอภัยทานในพระไตรปิฎก
ตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

อภัยทาน หมายถึง ให้ความไม่มีภัย, ให้ความปลอดภัย

ที่มาของพุทธพจน์บทพระบาลี ที่ว่า สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ : การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง มีกล่าวใน ทานสูตร


ซึ่งกล่าวแต่เพียงว่า การให้ทานมี 2 แบบ คือ อามิสทาน กับ ธรรมทาน และธรรมทานเป็นเลิศกว่าทานอื่น ไม่ได้กล่าวถึง อภัยทานแต่อย่างใด
แต่ในส่วนของอรรถกถา ได้กล่าวไว้ว่า “ในอธิการนี้ อภัยทานพึงทราบว่า ทรงสงเคราะห์เข้ากันด้วยธรรมทานนั่นเอง”

>>อ่านบทอรรถกถาเรื่องทานสูตร
หากเรายึดหลักฐานในพระไตรปิฎกตามนี้ ก็จะเห็นด้วยที่ว่า พระพุทธองค์ทรงจัดให้ อภัยทาน อยู่ในหมวด ธรรมทานนั่นเอง ดังนั้นผมจึงเห็นด้วยกับคำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯ ที่ยก link มาให้อ่านในตอนต้น ที่หลวงพ่อท่านสอนว่า อภัยทาน เป็น ทานอันสูงสุดในหมวดธรรมทาน โดยสรุปหลวงพ่อสอนว่า

ธรรมทาน = การให้ธรรม, คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นทาน และ การให้อภัยทาน

ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่เป็นบทสรุปของผม โดยยึดหลักที่ว่า ผมเชื่อว่า อรรถกถาจารย์กล่าวถูกต้อง แต่หลายท่านอาจไม่เห็นด้วยกับผม เพราะมีหลายท่านที่ไม่เชื่ออรรถกถาจารย์ ดังนั้นจึงแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านครับ ที่จะเชื่ออย่างไร


ที่มา
http://www.dhammatan.net/2011/08/ อภัยทานกับธรรมทาน/

75
อภัยทานกับธรรมทานอย่างไหนอานิสงส์มากกว่ากัน

สวัสดีครับ กัลยาณธรรมทุกๆ ท่าน วันนี้ผมมีประเด็นที่ยังเป็นที่ถกเถียงและยังเป็นเรื่องที่หลายคนยังสงสัยคือ ระหว่างอภัยทานกับธรรมทานอย่างไหนได้บุญมากกว่ากัน เรื่องนี้ผมก็เคยสงสัยมานาน เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนว่า สัพพะ ทานัง ธัมมะ ทานัง ชินาติ การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธองค์จะสอนผิด แต่ก็มีอีกหลายท่านที่กล่าวว่า “อภัยทาน คือ ทานอันสูงสุด เป็นปรมัตถบารมี”
เรื่องนี้มีการถกเถียงกันมากในหมู่ชาวพุทธเรา หลายท่านมักหาทางออกง่ายๆ คือ สรุปว่าก็ดีทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ ทำทั้งสองไปเลย…อันนี้ก็เห็นด้วยครับ แต่ไม่ใช่คำตอบของคำถามนี้ ผมว่าเรามาหาคำตอบกันดีกว่าครับ
เรื่องอภัยทานกับธรรมทานนี้ แม้แต่อาจารย์ทางธรรมที่ผมนับถือ ก็ยังสอนไม่เหมือนกัน ท่านหนึ่งเป็นพระโสดาบัน ท่านสอนว่า ธรรมทานได้บุญมากกว่าอภัยทาน ส่วนอีกท่านหนึ่งเป็นพระอรหันต์ ท่านสอนว่า อภัยทาน ก็จัดเป็นธรรมทานประเภทหนึ่ง และเป็นทานสูงสุดในหมวดธรรมทาน ขออนุญาตนำ link มาให้ทุกท่านได้ลองพิจารณาก่อนครับ ว่าจะเชื่อหรือไม่อย่างไร…

อภัยทานคือทานอันสูงสุด-หลวงพ่อฤาษีฯ

ผมเคยไปอ่านบทความเรื่องนี้ในกระทู้ธรรมะตามเวบต่างๆ ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นไปต่างๆ นานา หลายท่านสรุปว่า ธรรมทานได้บุญมากกว่า อภัยทาน เพราะยึดตามพุทธพจน์ที่ว่า “สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ “ คนที่กล่าวว่าอภัยทาน ได้บุญมากกว่าธรรมทาน ถือว่า ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งตัวผมเองไม่เห็นด้วยกับบทสรุปนี้ จึงตัดสินใจเขียนบทความนี้ขึ้น ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่อยากจะเขียนเรื่องที่เสี่ยงจะเป็นการโต้เถียงกับผู้ที่ไม่เห็นด้วย หรือดีไม่ดี เวบนี้อาจจะโดนด่า หาว่าสอนสิ่งที่ผิดๆ เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เป็นได้ แต่ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะแสดงบทสรุปที่ผมได้ศึกษามา เอาเป็นว่า ท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูเอาละกันนะครับ….

ที่มา
http://www.dhammatan.net/2011/08/ อภัยทานกับธรรมทาน/

76
มิวออนอายุยืนยาวขึ้น

ในการคำนวณครั้งแรกนี้ สมมุติว่า  ผมกับผู้อ่านอยู่บนโลก  สังเกตการณ์ชีวิตของคุณมิวออน  พอเกิดมาปุ๊บ แกก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางมาโลก

มิวออนเดินทางได้เร็วมาก เกือบเท่าแสงเลยทีเดียว คือ ด้วยความเร็ว 0.998 เท่าของความเร็วแสง  สรุป ว่าช้ากว่าแสงนิดเดียว

จากความรู้ของทฤษฎีสัมพัทธภาพ เรารู้ว่า  ใครก็ตามถ้าเดินทางด้วยความเร็วใกล้ๆ แสง เช่น คุณมิวออนนี่แหละ  เวลาของเขาจะช้าลง  คือ แก่ช้า

การแก่ช้าก็คือ มีชีวิตยืนยาวไปด้วย  ด้วยความเร็วของมิวออน จึงทำให้ชีวิตของเขายืนยาวไป เท่ากับ 15.8 X 2 ไมโครวินาที ก็คือ 31.6 ไมโครวินาที

เมื่อมีอายุยืนยาวขึ้นตั้งหลายเท่าตัว จาก 2 ไมโครวินาที เป็น 31.6 ไมโครวินาที เพราะ คุณมิวออนเดินทางได้เร็วใกล้ๆ กับแสง ดังนั้น  มิวออนก็สามารถเดินทางได้ประมาณ 9.5 กิโลเมตร

จากที่กล่าวมาข้างต้น ก็พอสรุปสั้นๆ  ในช่วงนี้ได้ว่า  คุณมิวออน ถ้าแกเกิดมาปุ๊ป ขี้เกียจไปไหน  อยู่นิ่งๆ  มิวออนก็จะมีอายุได้ 2 ไมโครวินาที คือ เกิดมาปุ๊บก็ตายปั๊บเลย

ถ้ามิวออนขยัน อยากมาเที่ยวโลก  ด้วยความเร็วของเขา  ทำให้อายุยืนยาวมากขึ้น และสามารถเดินทางได้ถึง 9.5 กิโลเมตร

ดังนั้น การที่มิวออนเกิดบนฟ้าตั้งแต่ระยะ 6 กิโลเมตรขึ้นไป  มาปรากฏตัวอยู่ที่ระดับน้ำทะเลในโลกจึงเป็นไปได้ด้วยการคำนวณตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ

มิวออนย่นระยะทาง

ในการคำนวณครั้งที่สองนี้ สมมุติว่า  ผมกับผู้อ่านอยู่ในจรวดที่มีความเร็วเกือบเท่าแสงเหมือนกันกับคุณมิวออน  แตกต่างกันที่ เราต้องไปด้วยจรวด แต่คุณมิวออนไปด้วยตัวของแกเอง และไปอยู่บนฟ้า ใกล้ๆ กับคุณมิวออนโน่น

ที่นี้การคำนวณของทฤษฎีสัมพัทธภาพต้องแตกต่างออกไป กล่าวคือ เราจะไปคิดว่า คุณมิวออนมีอายุยืนไม่ได้  คุณมิวออนจะต้องมีอายุแค่ 2 ไมโครวินาทีเท่านั้น  เพราะ เราอยู่คนละกรอบอ้างอิงของคนในโลก

ที่นี้จะใช้สูตรไหนคำนวณล่ะ

ก็ใช้สูตรเดียวกันกับสูตรที่ผ่านมา แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิด กล่าวคือ เราสามารถคิดได้ว่า เรากับมิวออนอยู่นิ่งๆ  แต่โลกเคลื่อนที่เข้าไปหาเรา [อย่าเพิ่งงง ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพคิดได้อย่างนี้จริงๆ]

ด้วยหลักการที่ว่า  การที่คุณมิวออนมีอายุแค่ 2 ไมโครวินาที  และสามารถเดินทางได้เพียง 600 เมตร  แต่มาปรากฏตัวบนโลกที่ระดับน้ำทะเลได้ ก็แสดงว่า คุณมิวออนย่นระยะทางได้นั่นเอง [สูตรการคำนวณในส่วนนี้ ขอให้อ่านรายละเอียดในหนังสือแฟนพันธุ์แท้ไอน์สไตน์ ของบัญชา  ธนบุญสมบัติ หน้า 36-38]

 สรุป

โดยสรุป จะเห็นได้ว่า  การย่นระยะทางสามารถทำได้จริงๆ และมีคุณมิวออนทำอยู่เป็นประจำ  ถ้าอยากจะรู้ก็ไปสังเกตไปพิสูจน์เอาเอง

ดังนั้น การที่พระอรหันต์ หรือเกจิอาจารย์ หรือผู้ทรงวิทยาคุณต่างๆ สามารถฝึกจิตของท่าน จนสามารถทำให้ท่านย่นระยะทางได้ ก็ควรจะเป็นความจริงที่ยอมรับได้

วิธีการย่นระยะทางจะทำกันอย่างไรนั้น ก็ไปศึกษากันเองครับ  ผมเองก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน  ถ้าทำได้แล้วละก้อ น้ำมันลิตรละ 100  บาท ผมก็ไม่เดือดร้อน

ขอขอบคุณ :054:

ดร. มนัส โกมลฑา  (Ph.D. Integrated Sciences)

สาขาวิชามนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน

E-mail: komoltha4299@gmail.com;komoltha4299@yahoo.com

Web: https://sites.google.com/site/manaskomoltha

Blog: http://manaskomoltha.blogspot.com/


77
(ฤทธิ์ต่างๆข้างต้น น่าจะนำมาขยายความต่อนะครับ)

การย่นระยะทางเรียกว่า สันติเดภาพฤทธิ์ซึ่งอยู่ในข้อที่ 1 อธิษฐานฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ที่ต้องอธิษฐานจิตเสียก่อน  พูดให้ง่ายๆ ก็คงต้องว่า ใครที่มีฤทธิ์นี้อยู่ ต้องอธิษฐานจิตเสียก่อน แล้วจึงจะเดินทางได้เร็วขึ้น ถึงจะใช้ความเร็วเท่าเดิม

เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนเราไปเดินบนทางเลื่อนแถวๆ มาบุญครอง  ถึงแม้เราจะเดินด้วยความเร็วธรรมดา เราก็เดินทางได้เร็วกว่าเดิม และเร็วกว่าคนที่เดินอยู่ข้างๆ ทางเลื่อน ทำนองนั้น

มิวออน: ผู้ย่นระยะทางได้

มิวออน (muon) เป็นชื่อเล่นหรือ nickname ของอนุภาคมิว-เมซอน (mu-meson) มิวออนนี่  นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบได้ที่ระดับน้ำทะเล

สิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่า มิวออนสามารถย่นระยะทางได้ก็คือ มิวออนนี่มันไม่ได้เกิดที่ระดับน้ำทะเล แต่มันเกิดที่ความสูงจากโลกอย่างต่ำต้อง 6 กิโลเมตรเป็นต้น  พูดง่ายว่า มิวออนมันเกิดบนฟ้า แล้วลงมาเที่ยวที่ระดับน้ำทะเล

บางคนอ่านแล้ว ไม่เห็นจะแปลกประหลาดอะไรเลย

สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ คุณมิวอออนนี่แกอายุสั้นครับ  มีอายุเฉลี่ยประมาณ 2 ไมโครวินาที (micro second) ดังนั้น  ถ้าคุณมิวออนแกสามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงคือ 186,000 ไมล์ต่อวินาที หรือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที  คุณมิวออนแกก็จะเดินทางได้เพียงประมาณ 600 เมตรเท่านั้น

ดังนั้น เมื่อดูอายุของคุณมิวออน และระยะทางที่คุณมิวออนสามารถทำได้แล้ว  คุณมิวออนแกมาเที่ยวเตร่อยู่แถวระดับน้ำทะเลให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบได้อย่าง ไร

การคำนวณด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ

ทฤษฎีสัมพัทธภาพนี่  หลักพื้นฐานขัดกับหลักของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนอย่างฟ้ากับ ดินเลยทีเดียว  คือ วิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเห็นว่า "ความจริง" นั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวมนุษย์  ความจริงหนึ่งๆ นั้น ใครก็สามารถเข้าไปค้นหาได้  และผลที่ออกมาก็ต้องตรงกัน

อิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนทำให้เกิดคำว่า  [objective/วัตถุวิสัย/ปรนัย] กับ [subjective/จิตวิสัย/อัตนัย]

การศึกษาแบบวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนต้องเป็นแบบ [objective/วัตถุวิสัย/ปรนัย]  การศึกษาแบบไหนที่เป็น [subjective/จิตวิสัย/อัตนัย]  มักจะได้รับการดูถูกว่า เป็นการศึกษาที่ไม่สามารถจะให้ความจริงแท้ได้ เพราะติดกับความลำเอียงของแต่ละบุคคล

แต่หลักพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพหรือของฟิสิกส์ใหม่นี่ ยืนยันชัดๆ ว่า ความจริงต้องขึ้นกับตัวบุคคล ไม่อย่างนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่า จรวดลำไหนเร็ว ลำไหนช้า  และปรากฏการณ์เดียวกัน  สามารถมีความจริงได้หลายแบบหลายอย่างได้  ขึ้นอยู่กับตัวผู้สังเกตการณ์

ดูเหมือนกับว่า หลักพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพหรือของฟิสิกส์ใหม่จะมั่ว  แต่ไม่มั่วครับ  เพราะ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยสูตรของทฤษฎีสัมพัทธภาพ

ในการศึกษาปัจจุบันก็พบเห็น เหตุการณ์ที่ยืนยันว่า หลักพื้นฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพหรือของฟิสิกส์ใหม่ดังกล่าวเป็นความจริงที่ ยอมรับได้โดยทั่วไป

muon ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก...http://en.wikipedia.org/wiki/Muon

ที่มา
https://sites.google.com/site/manaskomoltha/withyasastr-kab-sasna/yn-raya-thang-thadi-cring

78
ตัวอย่างที่ 2  การย่นระยะทางของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท

เรื่องนี้ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อกลั่น ซึ่งเรื่องนี้ต้องเรียกหลวงปู่กลั่น กล่าวคือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และหลวงปู่กลั่น วัดพระญาติการาม จังหวัดอยุธยา ทั้ง 3 รูปท่านเป็นเพื่อนกัน ไปมาหาสู่กันเสมอๆ

เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ มีตัวละครแค่หลวงปู่ศุขกับหลวงปู่สี กล่าวคือ ครั้งหนึ่งหลวงปู่สีไปเยี่ยมหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และอยู่สนทนาธรรมกัน  เมื่อเยี่ยมเยียนกันพอสมควรแล้ว หลวงปู่สีก็ดำริว่าจะออกเดินธุดงค์ต่อไป แต่หลวงปู่ศุขก็ขอร้องให้หลวงปู่สีรออยู่ที่วัดก่อน

เช้าวันนั้นหลวงปู่ศุขออกไปบิณฑบาตตามปกติ  ฝ่ายหลวงปู่สี พอเห็นหลวงปู่ศุขไปแล้วท่านก็เก็บของของท่านที่จำเป็น แล้วออกเดินทางไป

เมื่อหลวงปู่ศุขกลับจากบิณฑบาต ทราบจากพระในวัดว่าหลวงปู่สีท่านไปแล้ว หลวงปู่ศุขจึงให้พระเณรฉันข้าวก่อน เดี๋ยวจะกลับมาฉันด้วย

ต่อจากนั้นท่านก็เข้ากุฏิ นำพระคัมภีร์ 3 เล่ม ตามไปให้หลวงปู่สี  ปรากฏว่าพระอาจารย์ทั้งสองรูปมาพบกันที่ตาคลี จากนั้นหลวงปู่ศุขท่านก็เดินทางกลับวัดที่ชัยนาท ไปฉันอาหารร่วมรับพระเณรจนเสร็จ

ระยะทางจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าถึงตาคลีนี่ประมาณ 40-50 กิโลเมตร ถ้าหลวงปู่ทั้ง 2 รูปย่นระยะทางไม่ได้  ท่านก็ไม่สามารถทำเวลาได้ขนาดนั้น  และหลวงปู่ศุขก็คงไม่ได้ฉันเพลทั้ง 2 วันเลยก็อาจเป็นได้

โดยสรุป หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ จังหวัดอยุธยา หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท และหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ สามารถย่นระยะทางได้ทั้ง 3 รูป

การย่นระยะทางของพระพุทธเจ้า

จากหัวข้อที่ผ่านมา ขนาดพระภิกษุในสมัยต้นๆ กรุงรัตนโกสินทร์ยังสามารถย่นระยะทางได้  ดังนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องย่นระยะทางได้เช่นเดียวกัน  แต่ไม่มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนเท่านั้น

มีผู้คนผู้ช่างสังเกตจะเห็นว่า ในการเผยแพร่ศาสนาของพระพุทธเจ้านั้น น่าจะมีการบันทึกผิด เพราะ แต่ละแคว้นที่พระพุทธเจ้าไปเทศนานั้น มันห่างกันมาก ไม่มีทางที่จะเดินทางได้ภายในวันเดียว

แคว้นที่พระพุทธเจ้าเผยแพร่ศาสนาอยู่ก็มีดังนี้ แคว้นโกลิยะ แคว้นสักกะ แคว้นมัลละ แคว้นวัชชี แคว้นมคธ แคว้นกาสี แคว้นวังสะ แคว้นโกศล เป็นต้น

เมื่ออ่านบทความชิ้นนี้จบแล้ว ผู้อ่านก็คงจะมีแนวคิดใหม่ขึ้นว่า คนที่ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าย่นระยะทางได้ อาจจะเข้าใจผิดก็ได้ เพราะ การย่นระยะทางมันทำกันได้จริงๆ และสามารถพิสูจน์ได้ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เสียด้วย

การย่นระยะทางทำกันอย่างไร

เท่าที่ศึกษามา กลุ่มบุคคลที่เห็นการย่นระยะทางของเกจิอาจารย์ต่างๆ ต่างก็บอกว่า เกจิอาจารย์เหล่านั้นก็เดินด้วยความเร็วปกติของท่าน  แต่คนอื่นๆ ตามท่านไม่ทันเอง

ก็น่าจะเป็นกรณีที่คล้ายกับตอนที่องคุลีมาลย์ไล่ตามพระพุทธเจ้าเพื่อจะตัด เอานิ้วมาร้อยมาลัยคล้องคอ พระพุทธเจ้าก็ทรงเดินธรรมดา แต่องคุลีมาลย์ก็ตามไม่ทัน

ที่ทำได้เช่นนั้น เพราะ พระภิกษุเหล่านั้น ซึ่งรวมถึงพระพุทธเจ้าด้วยมีฤทธิ์ ซึ่งหนังสือทิพยอำนาจ ของอดีต พระอริยคุณาธาร (เส็งปุสโส) อธิบายว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงฤทธิ์ว่ามี 10 ฤทธิ์ด้วยกัน คือ

1) อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่ต้องอธิษฐานจิตเสียก่อน

2) วิกุพพนาฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ที่แสดงอย่างโลดโผนผาดแผลง

3) มโนมัยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วย

4) ญานวิปผาราฤทธิ์ ฤทธิ์ที่แสดงด้วยติลังญาณ หรือวิปัสสนาญาณ

5) สมาธิผาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยอำนาจสมาธิ

6) อริยฤทธิ์ ฤทธิ์ที่สำเร็จด้วยอริยธรรม

7) กัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดแต่ผลกรรม

8) ปุญญฤทธิ์ ฤทธิ์ของผู้มีบุญ

9) วิชชามัยฤทธิ์ สำเร็จด้วยวิทยา

10) สัมปโยคปัจจัยยิชฌนฤทธิ์ หมายถึงการรวบรวมกำลังใจเอาความดีชนะความชั่วได้

ที่มา
https://sites.google.com/site/manaskomoltha/withyasastr-kab-sasna/yn-raya-thang-thadi-cring

79
การย่นระยะทางของเกจิอาจารย์

เท่าที่ได้รับฟังในปัจจุบันนี้ จะได้รับฟังแต่เพียงว่า มีเกจิอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ สามารถย่นระยะทางได้ คือ เราไม่รู้ว่า มีพระอรหันต์อยู่หรือไม่ หมายความถึง ในป่าในเขาลึกๆ ดังนั้น ก็จะยกตัวอย่างสัก 2-3 ตัวอย่างจากการย่นระยะทางของเกจิอาจารย์  ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1 การย่นระยะทางของหลวงพ่อกลั่น

หลวงพ่อกลั่นท่านสังกัดวัดพระญาติการาม จังหวัดอยุธยา ครั้งหนึ่งเจ้าภาพที่อยู่บ้านม้านิมนต์ท่านไปเป็นพระคู่สวด โดยนิมนต์พระญาณไตรโลก (ฉาย คงฺคสุวณฺโณ) เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง และเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นพระอุปัชฌาย์

การเดินทางสมัยนั้นต้องใช้รถไฟเป็นหลัก สถานีบ้านม้านี่ห่างจากสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยาไปเพียงสถานีเดียว  สถานีบ้านม้านี่แหละทำให้เกิดสำนวนที่ว่า “บ้านม้ากับภาชีก็คือกัน”

ที่อยุธยา มีทั้งสถานีบ้านม้าที่จะเล่าในเรื่องนี้ กับสถานีชุมทางบ้านภาชี ซึ่งห่างกันพอสมควร  สถานีชุมทางบ้านภาชีนี่ รถไฟที่จะไปสายอีสานจะมาแยกตรงนี้

มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนอีสานจะไปสถานีบ้านภาชี  คนนี้แกเก่งภาษาพอตัวเหมือนกัน  แต่ไม่ได้เก่งเรื่องอื่นๆ ด้วย  พอรถไฟวิ่งมาถึงสถานีบ้านม้า ก็หลุดปากออกมาว่า “บ้านม้ากับภาชีก็คือกัน” แล้วก็ชวนเพื่อนๆ ลงที่สถานีบ้านม้ากันหมด

แต่ถึงแม้ว่า "ภาชี" จะแปลว่า "ม้า"  แต่มันก็เป็นคนละสถานีกัน  สรุป ทั้งผู้ที่เก่งภาษากับเพื่อนๆ ก็ต้องเดินจนเหงื่อตก พร้อมถูกพรรคพวกด่าไปอีกนานกว่าจะถึงสถานีบ้านภาชี

กลับมาเข้าเรื่อง

คณะของพระญาณไตรโลกรอหลวงพ่อกลั่นที่สถานีพระนครศรี อยุธยาจนรถไฟออกก็ยังไม่เห็นหลวงพ่อกลั่น  เมื่อรถไฟแล่นออกจากสถานีแล้ว จึงเห็นหลวงพ่อกลั่นเดินดุ่มๆ อยู่ไกลๆ

ในเรื่องเล่าไม่ได้บอกว่า เดินอยู่เหนือสถานีรถไฟหรือใต้สถานีรถไฟ คือ ยังเดินมาไม่ถึง หรือไม่สนรถไฟคือ ท่านจะเดินไปทำนองนั้น  เมื่อเห็นดังนั้น พระญาณไตรโลก (ฉาย) ก็กล่าวขึ้นว่า "เออ...อาจารย์กลั่น มั่วงกๆ เงิ่นๆ อยู่นั่นแหละ วันนี้ไม่ต้องฉันเพลกันล่ะ"

แต่เมื่อพระญาณไตรโลก (ฉาย) มาถึงวัดที่จัดงานบวช ก็เห็นหลวงพ่อกลั่นนั่งเอกเขนกเหงื่อชุ่มกายอยู่บนบ้านเรียบร้อยแล้ว  คือ คนเดินมาน่าจะถึงช้ากว่าคนที่มารถไฟ แต่ปรากฏว่า คนเดินมา มาถึงก่อน

สอบถามได้ความว่า หลวงพ่อกลั่นเดินทางมาถึงได้สักครู่หนึ่งแล้ว พระญาณไตรโลก (ฉาย) เห็นดังนั้น  จึงรู้ว่า หลวงพ่อกลั่นสามารถย่นระยะทางได้ มีบุญบารมีมากว่าตัวเอง  จึงได้อาราธนาให้หลวงพ่อกลั่นนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์แทนท่าน   ส่วนท่านก็ลดตำแหน่งมานั่งเป็นพระคู่สวด

เรื่องนี้ถ้าให้พุทธวิชาการลงความเห็น  ท่านก็คงว่า มีคนรับหลวงพ่อกลั่นมา อาจจะเป็นขี่ม้า ขี่ช้าง ฯลฯ  ท่านก็จะเดามั่วตามหลักของท่านไป 

แต่ท่านมีการศึกษาสูง  การเดามั่วของท่านจึงได้รับการยอมรับอยู่ในยุคของท่าน  แต่สมัยนี้ คนไม่เชื่อท่านแล้ว ดังที่จะพิสูจน์ต่อไปข้างหน้า


ที่มา
https://sites.google.com/site/manaskomoltha/withyasastr-kab-sasna/yn-raya-thang-thadi-cring

80
มีเรื่องที่เคยกล่าวก่อนนี้คือ เรื่อง....

วิชาย่นระยะทางของท่านพระป่าอาจารย์ในดง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23341.0



ย่นระยะทางทำได้จริง

โดย  ดร. มนัส โกมลฑา  (Ph.D. Integrated Sciences)
สาขาวิชามนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน

เรื่อง การย่นระยะทางนี้  พุทธศาสนิกชนในเมืองไทยคงได้รับรู้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย

ในกรณีที่ว่านี้ ถ้าเป็นพุทธทั่วไปกับพุทธปฏิบัติธรรมก็จะมีความเชื่อว่า การย่นระยะทางพระอรหันต์  พระเกจิอาจารย์  หรือผู้ทรงวิทยาคุณสามารถทำได้จริงๆ   แต่กลุ่มที่เป็นพุทธวิชาการซึ่งเรียนมาก  เลยหลงเชื่อวิทยาการสมัยใหม่มากตามไปด้วย  ซึ่งส่งผลให้เลือกเชื่อพระไตรปิฎกในบางส่วนเท่านั้น

พุทธวิชาการหรือพวกที่บ้าปริยัติ จะเลือกเชื่อเฉพาะส่วนที่ยอมรับได้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน

หลายๆ ส่วนในพระไตรปิฎก พูดได้ว่า ส่วนใหญ่ของพระไตรปิฎกเลย พุทธวิชาการเหล่านี้ไม่เชื่อว่าเป็นความจริง  ยกตัวอย่างที่จะเขียนต่อไปก็คือ เรื่องย่นระยะทางนี้  พุทธวิชาการไม่เชื่อว่าจะมีคนทำได้จริงๆ

แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้ ความรู้ที่ว่าฟิสิกส์ใหม่ โค่นทฤษฎี (theory) หรือกฎ (law) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไปหมดแล้ว  เริ่มส่งผลในวงวิชาการของไทย

ในต่างประเทศเขารู้กันมานานแล้ว ว่า ทฤษฎี (theory) หรือกฎ (law) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเป็นความรู้แคบๆ  ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เคยหลงเชื่อกัน  แต่ความรู้ที่ว่านี้ เริ่มมาส่งผลในเมืองไทย  คือ มาช้าหน่อย ก็ดีกว่าไม่มา

องค์ความรู้ของฟิสิกส์ใหม่ที่ยอมรับกันในปัจจุบัน มีลักษณะที่เหมือนกันกับองค์ความรู้ในศาสนาพุทธหลายอย่างหลายประการ  ที่สอดคล้องกับมากที่สุดก็คือ  ความจริงของฟิสิกส์ใหม่กับศาสนาพุทธขัดกับสามัญสำนึก (common sense) ของมนุษย์

เรื่องของการย่นระยะทางนี่ก็เช่นเดียวกัน  นักฟิสิกส์รุ่นใหม่เชื่อว่าทำได้จริง และสามารถพิสูจน์ได้ให้เห็นแบบจะจะ โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพ (relative theory) ของไอน์สไตน์

ก่อนที่จะอธิบายถึงการย่นระยะทางแบบฟิสิกส์ใหม่ ต้องขออธิบายเรื่องความหมายของคำว่า “ย่นระยะทาง” เสียก่อน เพราะ คนจำนวนมากที่คิดว่า การย่นระยะทางเป็นไปไม่ได้เนื่องจากว่า เข้าใจความหมายของคำศัพท์แตกต่างกัน

คำว่าย่นระยะทางนี่ไม่ได้หมายถึง การทำให้หนทางหดสั้นลง หรือย่อโลกให้หดสั้นลง แต่หมายถึงว่า ใช้เวลาในการเดินทางน้อยลงกว่าเดิมที่เคยทำกันมา

คือ ย่นเวลา ไม่ใช่ย่นทาง

ตัวอย่างที่ 1

ในสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ การจะเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดชัยนาทบ้านเกิดของผม จะต้องใช้ถนนพหลโยธิน ออกจากกรุงเทพฯ ก็ไปสระบุรี ลพบุรี โคกสำโรง ตากฟ้า ตาคลี ถึงจะไปชัยนาทได้  แต่เมื่อมีการตัดถนนสายเอเชียขึ้น ทำให้เป็นการย่นระยะทางได้มาก

จากกรุงเทพฯไปชัยนาทปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 2 -3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องใช้เวลาเป็นวันๆ  นี่ก็หมายถึงว่า การย่นระยะทางไม่ได้เป็นการทำให้ถนนพหลโยธินมันหดสั้นลง แบบย่นย่นโลกแบบนั้น  แต่มีการทำทางใหม่

การเดินทางด้วยถนนเส้นใหม่นั้น ใช้เวลาน้อยลงจากเดิม จึงเรียกว่าการย่นระยะทาง

ตัวอย่างที่ 2

เอาตัวอย่างทางน้ำบ้าง  ผมนี่เรียนปริญญาโทกับปริญญาเอกอยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงคุ้นกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี

แม่น้ำเจ้าพระยาจากปากคลองบางกอกน้อยตรงข้างสถานีรถไฟบางกอกน้อย  ซึ่งตรงข้ามกับธรรมศาสตร์ ไปจนถึงปากคลองบางกอกใหญ่ข้างๆ วัดอรุณฯ นี่เมื่อก่อนเป็นพื้นดินนะครับ  ไม่ได้เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนปัจจุบัน

แม่น้ำเจ้าพระยาตัวจริงเสียงจริง เลี้ยวเข้าคลองบางกอกน้อยโค้งเป็นรูปเกือกม้าแล้วมาวกมาออกที่ปากคลอง บางกอกใหญ่ แถวๆ กรมอู่ทหารเรือ

ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2077-2089) มีการขุดคลองลัดตรงนี้

พอมีการขุดคลองลัดให้น้ำไหลตรงๆ  จากคลองที่เล็กๆ แคบๆ จึงถูกน้ำกัดเซาะใหญ่ขึ้นมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาตัวจริงเสียงจริงในปัจจุบัน  ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็กลายเป็นคลองบางกอกน้อยกับคลองบางกอกใหญ่ไป

การขุดคลองลัดนี่ก็ทำให้ย่นระยะทางได้มากอีกเช่นเดียวกัน

จะเห็นได้ว่า การย่นระยะทางที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นการใช้เวลาเดินทางในเวลาที่น้อยลงกว่าเดิม ไม่ได้หมายถึงว่า จะทำให้ผิวโลกย่นสั้นลง

ถ้าทำแบบนั้น บ้านช่องของคน ฯลฯ ตรงส่วนรอยย่นจะไปอยู่ที่ไหน คงจะถูกบีบอัดตายไปกันหมด


ที่มา
https://sites.google.com/site/manaskomoltha/withyasastr-kab-sasna/yn-raya-thang-thadi-cring

83
ขอบคุณท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) อีกครั้งสำหรับแนวคิดดีๆ ที่เราลืมกันไป

ถ้ายาวไปให้อ่านช่วงสองวรรคสุดท้ายก็พอ :001:

ปีใหม่ ลดได้ มีสุข
วันอังคารที่ 3 มกราคม 2555 เวลา 00:00 น.
   

เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นเทศกาลของการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ของผู้คนในสังคมเพื่อเป็นการให้กำไรและความสุขแก่ชีวิตหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจ
เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นเทศกาลของการท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ของผู้คนในสังคมเพื่อเป็นการให้กำไรและความสุขแก่ชีวิตหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจและหน้าที่การงานมาตลอดปี แต่ละคนอาจจะมีทางเลือกที่แตกต่างกันออกไปตามเหตุและปัจจัยที่เกิดขึ้นกับตัวเอง บางท่านพักผ่อนอยู่กับครอบครัวอย่างเงียบ ๆ บางท่านวุ่นวายอยู่กับการเก็บกวาดขยะมูลฝอยที่มากับภัยน้ำท่วม บางท่านออกไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจตามที่สามารถไปได้เพราะถือว่าปีใหม่มีเพียงครั้งเดียวในรอบปี แต่ดูแล้วเทศกาลปีใหม่ในครั้งนี้ดูเหมือนจะเงียบเหงาไปอย่างถนัดตาเพราะผู้คนส่วนมากต่างได้รับผลกระทบจาก “ภัยน้ำท่วม”  มีทั้งได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจนกลายเป็นความเดือดร้อนและความทุกข์เป็นลูกโซ่ บางคนสุขภาพไม่อำนวยจึงอยู่กับที่ บางคนค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวและฉลองปีใหม่หมดและไม่มีจึงต้องอยู่กับที่ บางคนพอจะมีกำลังเพื่อการท่องเที่ยวอยู่บ้างแต่ไม่ทำเพราะในใจลึก ๆ แล้วความสุขและความสดใสยังไม่เกิดขึ้นมาเลย ปีใหม่จึงน่าจะสดใสสำหรับบางคนแต่น่าจะหงอยเหงาสำหรับบางคน

คนเราเกิดขึ้นมาในโลกนี้ต่างได้พบกับสิ่งที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่พึงพอใจนับตั้งแต่ได้ลาภ ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ได้รับการสรรเสริญเยินยอ ได้รับความสุข สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับบุคคลใดแล้วบุคคลนั้นย่อมมีความสุข มีกำลังใจและเกิดพลังที่จะผลักดันให้เกิดการต่อสู้ดิ้นรนให้เจริญก้าวหน้าต่อไป แต่สิ่งที่ไม่พึงพอใจนับตั้งแต่เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกติฉินนินทา ได้รับความทุกข์ สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นกับบุคคลใดแล้วบุคคลนั้นย่อมได้รับทุกข์ ขาดกำลังใจและไม่มีพลังที่จะเดินหน้าต่อไป มีความคิดที่ท้อถอย ไม่อยากทำ ไม่อยากช่วย ไม่อยากเกี่ยวข้อง ไม่อยากสนับสนุนใด ๆ ทั้งสิ้น จนกลายเป็นชีวิตที่ไร้ความหวังไร้ความสุขโดยสิ้นเชิง

แต่เมื่อมองในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นทั้งแปดประการคือได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้รับการสรรเสริญ ถูกติฉินนินทา ได้รับความสุข ได้รับความทุกข์ รวมเรียกว่า “โลกธรรม” คือธรรมะที่อยู่คู่กับโลกตลอดไป ทุกคนจะต้องได้พบและได้สัมผัสโดยไม่มีการยกเว้น จะมีเพียงว่าใครได้รับข้อใดหรือส่วนใดมากน้อยแตกต่างกันเท่านั้น ดังนั้นเมื่อได้รับสิ่งที่พึงพอใจก็ขอให้มีความสุขอย่างมีสติและมีปัญญาคอยควบคุมและพิจารณาไตร่ตรองอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันเมื่อได้รับสิ่งที่ไม่พึงพอใจก็ขอให้ทำใจและเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต ใช้สติและปัญญาของตนเองบริหารและควบคุมให้ได้ ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าเมื่อทุกข์มาให้เราอดทนอีกหน่อยอีกไม่นานสิ่งร้ายก็จะผ่านไป อย่าได้ตกเป็นทาสของสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นจนเอาชีวิตไม่รอด ชีวิตคนเราเมื่อมีมืดก็ย่อมมีสว่าง มีตกต่ำก็ย่อมมีรุ่งโรจน์ มีจนก็ย่อมจะมีรวย มีทุกข์ก็ย่อมจะมีสุขคละเคล้ากันไป จึงขอให้ใช้ชีวิตของเรานี้อย่างมีสติคอยควบคุมและใช้ปัญญาแก้ไข จากร้ายก็จะกลายเป็นดี จากที่ดีอยู่แล้วก็จะดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าทำได้เช่นนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า “เรามีธรรมะครองใจ” โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปปฏิบัติธรรมที่วัดวาอารามเสียอีก

ปีใหม่ทุกคนต่างหวังความสุขสิ่งที่ดีและเป็นมงคลแก่ชีวิตด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่ดีและสิ่งที่ใหม่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็ควรจะเกิดขึ้นจากผลของการกระทำของเรา คิดดี พูดดี ทำดี สิ่งที่ดีก็จะติดตามมา แต่ถ้าคิดก็ชั่ว พูดก็ชั่ว ทำก็ชั่ว ความลำบาก และความเดือดร้อนก็จะติดตามมา ทำอะไรก็ตามที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น แต่เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น นั่นเป็นการกระทำที่ดี แต่ในทางตรงกันข้ามทำอะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นแล้ว นั่นเป็นการกระทำที่ไม่ดี บางคนรู้ว่าทำลงไปแล้วมันไม่ดีแต่ยังกลับทำลงไปก็เพราะเขาถูกกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลงเข้าครอบงำจิตใจ คนเช่นนั้นอาจจะมีนิสัยหรือสันดานที่ต่ำทรามจึงมีแต่กระทำกรรมที่ชั่วช้า ส่วนคนที่ชนะความโลภได้ ชนะความโกรธได้ ชนะความหลงได้ คนเช่นนั้นได้ชื่อว่าชนะตนเองซึ่งถือว่าเป็นการชนะสิ่งทั้งปวง ถือว่าเป็นยอดของมนุษย์ สมควรยกให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้คนในสังคม การไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นและกับตนเอง การใช้สติและปัญญาสร้างสิ่งที่ดีให้กับตนเองและผู้คนในสังคม การชนะใจตนเอง ควบคุมจิตใจมิให้ตกต่ำ มิให้ตกอยู่ในอำนาจของความโลภ ความโกรธและความหลงได้ นับว่าเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ดังนั้นปีใหม่จะพบแต่ความสุขและความเจริญจึงอยู่ที่การกระทำของเรา จงสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม อย่าตกอยู่ภายใต้อำนาจที่ตกต่ำยกจิตใจของตนเองให้ประเสริฐ ให้เลิศให้งามแล้วความสุขปีใหม่ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา กับครอบครัวของเรา กับสังคมของเรา และกับประเทศชาติของเรา ปีใหม่นี้จะมีสุขหรือมีทุกข์ก็อยู่ที่การกระทำของตัวเรานี่เอง

การเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ขาดสติ การดื่มของมึนเมาจนขาดสติ นับว่าเป็นมหันตภัยของชีวิต การเดินทางหรือการท่องเที่ยวที่ผสมผสานไปกับความคึกคะนอง เป็นการดำเนินชีวิตที่ประมาท อาจจะกลายเป็นหนทางแห่งความตายหรือเป็นหนทางที่นำไปสู่ความหายนะของชีวิต ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าทุกชีวิตล้วนต้องการความสุขด้วยกันทั้งนั้น จะทำอะไรขอให้ระลึกและเห็นใจเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน เรามีความสุขแล้วแต่อย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือผู้คนที่อยู่ใกล้เคียง ขอให้แบ่งปันความสุขที่เรามีนี้ให้เกิดกับเพื่อนบ้านหรือผู้คนที่อยู่รอบข้าง ความสุขของเราก็จะกลายเป็นความสุขที่ยั่งยืนและมีความสุขจริง ๆ การดื่มของมึนเมาชนิดต่าง ๆล้วนเป็นการประพฤติผิดศีลข้อที่ห้าซึ่งถือว่าเป็นศีลของพุทธศาสนิกชนผู้ครองเรือน การจะมีความสุขสนุกสนานรื่นเริงในเทศกาลอันสำคัญเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ของมึนเมามาเป็นองค์ประกอบของการสร้างความสุขสนุกสนานก็ได้ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะอันเกิดขึ้นจากการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับครอบครัวกับเพื่อนบ้านกับผู้คนในชุมชนหรือในหมู่บ้าน  มันเป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่จีรังยั่งยืน ดังนั้นการเที่ยวเตร็ดเตร่และการตกเป็นทาสของสิ่งมึนเมาจึงเป็นสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้คนในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เช่นนี้

ปีเก่ากำลังจะผ่านไปและปีใหม่กำลังจะเข้ามานี้ ขอให้ท่านจงมีชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท มีความสุขอย่างมีสติ เดินทางอย่างมีสติ เมื่อมีความสุขก็ขอให้สุขพอประมาณ คิดถึงวันที่จะทุกข์บ้าง มีใช้จ่ายวันนี้ขอให้คิดถึงวันพรุ่งนี้ด้วย  อย่าได้มีความสุขเพียงตัวเราคนเดียว ขอให้คิดถึงสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนบ้านกันบ้าง ขอจงร่วมกันสร้างความสุขอันแท้จริงบนพื้นฐานแห่งความรักและความอบอุ่นในครอบครัว ในชุมชน ในหมู่บ้าน ในสังคมไทยเราเถิด

ปีใหม่ไม่ได้ทำอะไรมากก็ขอให้คิดถึงและห่วงใยผู้ด้อยโอกาสในสังคมกันบ้าง คนชรา คนพิการ เด็กด้อยโอกาสที่มีอยู่ในสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ ยังมีอยู่จำนวนมากและต้องการการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เครื่องอุปโภคเครื่องบริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตหรือแม้แต่ทรัพย์สินเงินทองถ้าพอจะแบ่งปันเพื่อผู้ด้อยโอกาสก็คงจะเป็นการทำบุญทำทานให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตในเทศกาลขึ้นปีใหม่ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ปีใหม่ขอให้ลดความเห็นแก่ตัว อย่าตกอยู่ภายใต้อำนาจของความโลภ ความโกรธและความหลง ขอให้ใช้สติควบคุมตนเอง ขอให้ใช้ปัญญาแก้ปัญหาชีวิต ขออย่าได้ตกเป็นทาสของสิ่งมึนเมา ขอให้รักษาศีลและประพฤติธรรมแล้วความสุขในเทศกาลปีใหม่ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราและครอบครัวของเราอย่างแท้จริง ขอจงเป็นคนรู้จักทำใจและเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต สิ่งที่ชั่วร้ายเมื่อเกิดขึ้นกับเราก็ขอจงมีความอดทน กล้าเผชิญ กล้าต่อสู้ อีกไม่นานสิ่งชั่วร้ายก็จะหายไป ความทุกข์ก็จะหายไปเพราะเรามีความอดทนและเข้าใจจนเราชนะมันได้ เมื่อทุกข์หายไปแล้วความสุขก็จะติดตามมาแล้วช่วยรักษาความสุขที่เกิดขึ้นกับเรานี้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ปีใหม่ขอให้ลดสิ่งที่ไม่ดี เพิ่มพูนสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวเรา ในครอบครัวของเรา ในที่ทำงานของเรา ในชุมชนหรือหมู่บ้านของเรา ความเป็นสิริมงคลก็จะเกิดขึ้น ความสดใสก็จะติดตามมา ความสุขทั้งวันปีใหม่ ตลอดทั้งปีใหม่ก็จะติดตามมาให้เกิดความสุขด้วยกันทั่วทุกคน...

ปีใหม่ ลดได้ มีความสุข แต่ถ้าปีใหม่ก็ยังไม่ลดการเห็นแก่ตัว ไม่ลดความโลภ ความโกรธ ความหลงเสียแล้ว จะมีปีใหม่สักกี่ครั้งตัวเราก็ยัง “ทุกข์เหมือนเดิม”.


พระมหาสมัย  จินฺตโฆสโก
มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่  ธนบุรี
ที่มา
http://dailynews.co.th/education/5770

84
ขอบคุณครับ :054:
เก็บไว้อ่านก่อนนอน

85
มีปรกติไม่แวะเกี่ยว

         อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่เป็นเวลานานสามสิบกว่าปี  จนถึงวาระสุดท้ายของท่านนั้น  เห็นว่าหลวงปู่มีปฏิปทา ตรงต่อพระธรรมวินัย ตรงต่อการปฏิบัติ เพื่อพ้นทุกข์อย่างเดียว  ไม่แวะเกี่ยวกับวิชาอาคม  ของศักสิทธิ์  หรือสิ่งชวนสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย  เช่น  มีคนขอให้เป่าหัวให้ ก็ถามว่า เป่าทำไม  มีคนขอให้เจิมรถ ก็ถามเขาว่า เจิมทำไม  มีคนขอให้บอกวันเดือนหรือฤกษ์ดี ก็บอกว่าวันไหนก็ดีทั้งนั้นฯ   หรือเมื่อท่านเคี้ยวหมาก  มีคนขอชานหมากฯ

         หลวงปู่ว่า

         "เอาไปทำไมของสกปรก."

[Webmaster-แสดงให้เห็นสีลัพพตปรามาสในการปฏิบัติหรือยึดถือ]


ทำโดยกริยา

         บางครั้งอาตมานึกไม่สบายใจ  เกรงว่าตัวเองจะมีบาป  ที่เป็นผู้มีส่วนทำให้หลวงปู่ต้องแวะเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ได้สนใจหรือไม่ถนัดใจครั้งแรก  คือ วันนั้นหลวงปู่ไปร่วมงานเปิดพิพิธภัณฑ์บริขารท่านอาจารย์มั่น ที่วัดป่าสุธาวาส สกลนคร  มีพระเถระวิปัสสนามากประชาชนก็มาก  เขาเหล่านั้นจึงถือโอกาสเข้าหาครูบาอาจารย์ทั้งหลายเพื่อกราบเพื่อขอ  จึงมีหลายคนที่มาขอให้หลวงปู่เป่าหัว  เมื่อเห็นท่านเฉยอยู่ จึงขอร้องท่านว่า  หลวงปู่เป่าให้เขาให้แล้วๆไป ท่านจึงเป่าให้  ต่อมาเมื่อเสียไม่ได้ก็เจิมรถให้เขา  ทนอ้อนวอนไม่ได้ก็ให้เขาทำเหรียญ และเข้าพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ฯ

         แต่ก็มีความสบายใจอย่างยิ่งเมื่อฟังคำหลวงปู่ว่าฯ

         "การกระทำของเราในสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกริยาภายนอกที่เป็นไปในสังคม  หาใช่เป็นกริยาที่นำไปสู่ภพ ภูมิ หรือมรรคผลนิพพานแต่ประการใดไม่."


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule2.htm

86
ผมฟังพระสวดทางหน้าเวป http://www.bp.or.th/webboard/index.php
 :054:

87
ทำจิตให้สงบได้ยาก

         การปฏิบัติภาวนาสมาธินั้น  จะให้ผลเร็วช้าเท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้  บางคนได้ผลเร็ว  บางคนก็ช้า  หรือยังไม่ได้ผลลิ้มรสแห่งความสงบเลยก็มี  แต่ก็ไม่ควรท้อถอย  ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบความเพียรทางใจ  ย่อมเป็นบุญกุศลขั้นสูงต่อจากการบริจาคทานรักษาศีล  เคยมีลูกศิษย์จำนวนมากเรียนถามหลวงปู่ว่า  อุตส่าห์พยายามภาวนาสมาธินานมาแล้ว  แต่จิตไม่เคยสงบเลย  แส่ออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย  มีวิธีอื่นใดบ้างที่พอจะปฏิบัติได้ ฯ

         หลวงปู่เคยแนะวิธีอีกอย่างหนึ่งว่า

        "ถึงจิตจะไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล  ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้  ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา  หาสาระแก่นสารไม่ได้  เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว  จิตก็จะเกิดความสลดสังเวช  เกิดนิพพิทา  ความหน่าย  คลายกำหนัด  ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน."


หลักธรรมแท้

         มีอยู่อย่างหนึ่งที่นักปฏิบัติชอบพูดถึง  คือ  ชอบโจษขานกันว่า นั่งภาวนาแล้วเห็นอะไรบ้าง[Webmaster-หมายถึงนิมิตที่ย่อมรวมโอภาสด้วย]  ปรากฎอะไรออกมาบ้าง  หรือไม่ก็ว่า ตนนั่งภาวนามานานแล้วไม่เคยเห็นปรากฎอะไรออกมาบ้างเลย  หรือบางคนก็ว่า ตนได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เสมอ  ทำให้บางคนเข้าใจผิดคิดว่า ภาวนาแล้วตนจะได้เห็นสิ่งที่ต้องการเป็นต้น ฯ

         หลวงปู่เคยเตือนว่า  การปรารถนาเช่นนั้นผิดทั้งหมด  เพราะการภาวนานั้นเพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมอย่างแท้จริง

         "หลักธรรมที่แท้จริงนั้น  คือ  จิต  ให้กำหนดดูจิต  ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง  เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว  นั่นแหละได้แล้วซึ่งหลักธรรม."


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule2.htm

88
ขอบคุณท่าน....ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

ผมก็คิดนะว่า...ในสมัยพุทธกาล...คงไม่มีการเฉลิมฉลองอะไรกันให้เอิกเกริก
และที่สำคัญตอนนั้น ยังไม่มี พ.ศ. ด้วยซ้ำไป

ขอบคุณท่านอีกครับสำหรับคำอวยพรและการเตือนสติ :015: :025:

90
นักปฏิบัติลังเล

         ปัจจุบันนี้  ศาสนิกชนผู้สนใจในการปฏิบัติฝ่ายวิปัสสนา  มีความงงงวยสงสัยอย่างยิ่งในแนวทางปฏิบัติ  โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นสนใจเนื่องจากคณาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาแนะแนวปฏิบัติไม่ตรงกัน  ยิ่งไปกว่านั้นแทนที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจโดยความเป็นธรรม  ก็กลับทำเหมือนไม่อยากจะยอมรับคณาจารย์อื่น  สำนักอื่น ว่าเป็นการถูกต้อง  หรือถึงขั้นดูหมิ่นสำนักอื่นไปแล้วก็เคยมีไม่น้อย ฯ

         ดังนั้น  เมื่อมีผู้สงสัยทำนองนี้มากแลัวเรียนถามหลวงปู่อยู่บ่อยๆ  จึงได้ยินหลวงปู่อธิบายให้ฟังอยู่เสมอๆว่า

        "การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น  จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้  เพราะผลมันก็เป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว   ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้นเพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน  จึงต้องมีวัตถุ  สี  แสง  และคำสำหรับบริกรรม เช่น พุทโธ  อรหัง  เป็นต้น  เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน  สงบ  แล้ว คำบริกรรมเหล่านั้นก็หลุดหายไปเอง   แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน  รสเดียวกัน  คือมีวิมุตติเป็นแก่น  มีปัญญาเป็นยิ่ง."

อยู่  ก็อยู่ให้เหนือ

         ผู้ที่เข้านมัสการหลวงปู่ทุกคนและทุกครั้ง  มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  แม้หลวงปู่จะมีอายุใกล้ร้อยปีแล้วก็จริง  แต่ดูผิวพรรณยังผ่องใส  และสุขภาพอนามัยแข็งแรงดี  แม้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดท่านตลอดมาก็ยากที่จะได้เห็นท่านแสดงอาการหมองคลํ้า  หรืออิดโรย  หรือหน้านิ่วคิ้วขมวดให้เห็น  ท่านมีปรกติสงบเย็น  เบิกบานอยู่เสมอ  มีอาพาธน้อย  มีอารมณ์ดี  ไม่ตื่นเต้นตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ไม่เผลอคล้อยตามไปตามคำสรรเสริญ  หรือคำตำหนิติเตียนฯ

         มีอยู่ครั้งหนึ่ง  ท่ามกลางพระเถระฝ่ายวิปัสสนา สนทนาธรรมเรื่องการปฏิบัติกับหลวงปู่ ถึงปรกติจิตที่อยู่เหนือความทุกข์ โดยลักษณาการอย่างไรฯ

        หลวงปู่ว่า

        "การไม่กังวล  การไม่ยึดถือ  นั่นแหละวิหารธรรมของนักปฏิบัติ."     

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule2.htm

91
อยากรู้ต้องศึกษาเยอะๆ

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23325.0

อ้างถึง
แต่จริงๆแล้ว พระอาฏานาฏิยปริตร นั้น เวลาเรานิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์เย็น พระท่านก็จะสวดอยู่แล้ว
เพราะพระปริตรดังกล่าวนั้นได้รวมอยู่ทั้งในจุลราชปริตร (สวด ๗ ตำนาน) และมหาราชปริตร (สวด ๑๒ ตำนาน) อยู่แล้ว

     การสวดภาณยักษ์นั้น ถือกันว่าเป็น “พุทธโอสถ” ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าอัปมงคลออกไปจากร่างกาย ทำนองเดียวกับการทำบุญสวดบ้านเมื่อมีเรื่องร้าย แต่ต่างกันที่สวดภาณยักษ์ เป็นการชักชวนคนจำนวนมากมาร่วมทำในพิธีคราวเดียวกัน

93
ธรรมะ / ตอบ: ธรรมะสร้างเสน่ห์
« เมื่อ: 30 ธ.ค. 2554, 05:55:53 »
ธรรมะสร้างเสน่ห์  2/2

ข้อต่อไป คือ สังคหวัตถุ ๔ หมายถึง ธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจคนและประสานให้คนเกิดความรักความสามัคคีต่อกัน ได้แก่ ทาน คือ การให้ปัน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่น ปิยวาจา คือ พูดจาสุภาพ ไพเราะน่าฟัง แนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ มีเหตุมีผล พูดจาให้กำลังใจแก่ผู้อื่น พูดให้เกิดความรักความสามัคคีต่อกัน พูดให้ถูกกาละเทศะ ฯลฯ อัตถจริยา คือทำประโยชน์แก่ผู้อื่น อาจจะเป็นการช่วยเหลือด้วยแรงกาย หรือช่วยบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่างๆ รวมถึงช่วยคนอื่นแก้ปัญหา สมานัตตตา คือ วางตัวเสมอต้นเสมอปลาย ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ธรรมข้อนี้แค่เรื่องพูดดี มีประโยชน์เรื่องเดียวก็ช่วยให้คนปฏิบัติเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นอยู่แล้ว เมื่อรวมกับการทำตัวให้มีค่า ไม่นิ่งดูดายต่อความทุกข์ยากหรือปัญหาของคนอื่น และยังทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย นั่นคือ ไม่ยกตนข่มท่าน รวมถึงการรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะเป็นเสน่ห์ให้คนรักเรามากยิ่งขึ้น

              ต่อไปคือ อิทธิบาท ๔ คือ หลักธรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จแห่งกิจการทั้งปวง ได้แก่ ฉันทะ คือ การมีใจรักและพอใจในการทำสิ่งนั้นๆ คือ ทำอะไรก็ให้ทำด้วยใจรัก วิริยะ คือ ความพากเพียร ที่จะหมั่นกระทำสิ่งนั้นๆด้วยความพยายาม อดทน เอาธุระ ไม่ทอดทิ้ง ไม่ท้อถอย แต่จะทำจนประสบความสำเร็จ จิตตะ คือ การเอาใจฝักใฝ่ รู้ในสิ่งที่กระทำ ทำด้วยความคิด ไม่ฟุ้งซ่านเลื่อนลอย ทำงานนั้นๆอย่างอุทิศให้ทั้งกายและใจ และ วิมังสา คือ การใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ หาเหตุผล และข้อบกพร่องต่างๆ เพื่อหาวิธีแก้ไขปรับปรุง ที่นำหลักธรรมข้อนี้มาเป็นการสร้างเสน่ห์อีกข้อก็เพราะว่า คนเราไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด หากแต่ละคนทำหน้าที่ของตนด้วยหลักอิทธิบาท ๔ ก็จะทำให้กิจการนั้นๆเกิดผลสำเร็จเป็นที่ภาคภูมิใจแก่ตนเองและผู้เกี่ยวข้อง เช่น เมื่อเป็นนักเรียน ก็ย่อมจะเป็นนักเรียนที่ขยันหมั่นเพียร และเรียนดี ทำให้พ่อแม่และครูชื่นชม เพื่อนฝูงก็พึ่งพาอาศัยได้ เช่นเดียวกับครู ถ้ามีอิทธิบาท ๔ ก็ย่อมจะทำการสอนได้ดี เป็นที่รักของนักเรียน หรือหากเป็นลูกน้องทำแล้ว ผู้บังคับบัญชา ก็ย่อมยินดีว่า มีลูกน้องที่ดี ขยันทำงาน ไปอยู่ไหนๆใครๆก็ชอบ เพราะทำงานไม่เหลาะแหละ หากเป็นนายงาน ลูกน้องก็ชื่นชม ว่าเก่ง ว่าดี เป็นตัวอย่างให้ทำตาม เป็นต้น ธรรมข้อนี้จึงเป็นธรรมที่ทั้งสร้างเสน่ห์และยังผลสำเร็จต่อการทำงานทุกเรื่องของผู้ปฏิบัติ

              ธรรมอีกข้อที่จะช่วยเสริมสร้างเสน่ห์คือ ธรรมที่เรียกว่า ฆราวาสธรรม ๔ อันเป็นหลักธรรมสำหรับการครองชีวิตของคนโดยทั่วไป ประกอบด้วย สัจจะ คือ การดำรงตนตั้งมั่นในความซื่อตรง จริงใจ พูดจริงทำจริง ทำอะไรก็ให้เป็นที่เชื่อถือได้ ทมะ คือ การฝึกตน หมายถึง รู้จักบังคับควบคุมตนเองได้ รู้จักปรับตัว แก้ไขตนให้ก้าวหน้าดีขึ้นอยู่เสมอ ขันติ คือ ความอดทน หมายถึง มุ่งทำหน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อถอยในจุดมุ่งหมาย และ จาคะ คือ การเสียสละ หมายถึง ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ ละโลภ และละทิฐิมานะ ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ไม่ใจแคบ เห็นแก่ตัว การที่ธรรมข้อนี้สร้างเสน่ห์ให้เรา ก็เพราะว่าใครๆก็ย่อมชอบและชื่นชมคนที่มีสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น ไม่โกหก หลอกลวง คนที่รู้จักควบคุมตนเองได้ ก็ย่อมจะไม่ปล่อยให้โทสะจริต หรือกิริยาวาจาที่ไม่ดีมาทำร้ายผู้อื่น และยิ่งรู้จักปรับตัวให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ ก็ย่อมทำให้คนอยากรู้จักมากขึ้น เพราะเป็นคนมีความรู้ความสามารถ และคนที่ไม่เห็นแก่ตัว อีกทั้งยังมีความอดทน ก็จะทำให้คนรอบข้างมีความสุข และมีกำลังใจเพราะเห็นคนนั้นๆเป็นแบบอย่างที่ดี

              นอกจากนี้ธรรมที่ชื่อว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ หรือ ประโยชน์ปัจจุบัน ๔ อย่าง ได้แก่ อุฏฐานสัมปทา คือ การถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียรในการเลี้ยงชีวิต และทำหน้าที่การงาน อารักขสัมปทา คือ ถึงพร้อมด้วยการรักษา คือ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความหมั่นมิให้เป็นอันตราย หรือรักษาการงานของตนมิให้เสื่อมเสีย กัลยาณมิตตตา คือ ความมีเพื่อนเป็นคนดี ไม่คบคนชั่ว สมชีวิตา คือ การลี้ยงชีวิตตามกำลังทรัพย์ ไม่ให้ฝืดเคืองหรือฟุ่มเฟือยเกินไป ธรรมข้อนี้อ่านแล้ว ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับการสร้างเสน่ห์ให้ตัวเราเอง แต่จริงๆเป็นธรรมที่มีผลให้ผู้อื่นอยากคบหาสมาคมกับเราหรือไม่ด้วย กล่าวคือ หากเราประกอบอาชีพหรือทำงานใดที่ดี รู้จักใช้เงินทองที่หามาได้ และคบเพื่อนฝูงดี ย่อมจะทำให้เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เกื้อกูลให้เราพบแต่สิ่งดีๆที่เป็นประโยชน์ต่อเรา เช่น ทำให้เรารู้จักมารยาทสังคม รู้อะไรควรปฏิบัติหรือละเว้น สิ่งนี้ก็จะเป็นการเพิ่มพูนเสน่ห์ให้เกิดขึ้นได้ด้วย แต่หากเราไม่รู้จักทำมาหากิน คบเพื่อนชั่ว ใช้เงินไม่เป็น ก็คงไม่มีใครอยากคบ อยากเข้าใกล้เรา เพราะกลัวเราจะไปขอกู้หนี้ยืมสิน หรือชักพาเขาไปในทางที่เสื่อมเสีย ดังนั้น ธรรมข้อนี้จึงเป็นธรรมที่สร้างเสน่ห์ให้เราอีกข้อหนึ่ง

              จะเห็นได้ว่าธรรมทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเป็นหลักธรรม ธรรมดาๆที่เป็นสิ่งที่ใกล้ตัว ทำได้ไม่ยาก หลายๆเรื่องก็เป็นสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าเราจะปฏิบัติให้เข้มข้นขึ้น และมีความตั้งใจมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็คือ วิธีการสร้าง “ เสน่ห์ ” ดึงดูดให้เพื่อนฝูง คนรู้จัก และคนรอบข้างนิยมชมชอบเราเพิ่มขึ้นนั่นเอง

อมรรัตน์ เทพกำปนาท
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

ที่มา
http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1642

94
ธรรมะ / ธรรมะสร้างเสน่ห์
« เมื่อ: 30 ธ.ค. 2554, 05:54:23 »
ธรรมะสร้างเสน่ห์


คนเราเกิดมาทุกคนก็อยากมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม หล่อเหลาเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ผู้พบเห็นทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ สถานเสริมความงาม และเครื่องสำอางค์ต่างๆจึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่การมีหน้าตาดีอย่างเดียว ก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้อื่นชื่นชอบเราได้ อีกทั้งรูปกายภายนอกก็เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ดังนั้น จึงมีผู้ค้นคิดวิธีการต่างๆนานาที่จะปรับปรุง แก้ไข และสร้างเสริมให้เราเป็นที่ชื่นชมและยอมรับของผู้อื่น ซึ่งสิ่งนี้จะเรียกว่า “ ความมีเสน่ห์ ” ก็ได้ “ เสน่ห์ ” ก็คือ ลักษณะที่ชวนให้รัก ให้ชอบ เชื่อว่าคนเราทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย หรือผู้อยู่ในวัยไหนๆ ต่างก็อยากให้ตนเป็นที่รักที่ชอบของคนอื่นทั้งนั้น

              “ การสร้างเสน่ห์ ” เป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติที่จะทำให้คนนิยมชมชอบเรา ซึ่งต่างจากการ “ ทำเสน่ห์ ” อันเป็นเรื่องของไสยาศาสตร์ ที่อิงอยู่กับความเชื่อและเครื่องลางของขลัง ดังนั้น คนเราแม้จะไม่สวยไม่หล่อ ก็สามารถเป็น “ คนมีเสน่ห์ ” ได้ ส่วนวิธีการจะสร้างเสน่ห์ให้กับตัวเอง จะทำได้อย่างไร กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำเสนอ หลักธรรม บางประการที่ทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้กลายเป็น “ คนมีเสน่ห์ น่ารัก ” เพิ่มขึ้นได้ ดังจะได้กล่าวต่อไป

              เมื่อพูดถึง “ หลักธรรม ” หรือ “ ธรรมะ ” คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะวัยรุ่นจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเชย ไกลตัว ใกล้วัด บางคนก็คิดว่าเป็นเรื่องของคนสูงอายุ ใกล้หมดไฟ ดูคร่ำครึ ไม่ทันโลก แต่โดยแท้จริง วิธีการสร้างเสน่ห์หรือผูกใจคนในหนังสือ How to หรือจิตวิทยาของต่างประเทศที่คนทั้งหลายคิดว่าเป็นเรื่องใหม่ ทันสมัย ถ้าอ่านจริงๆแล้ว ก็จะพบว่าไม่ได้ต่างจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อนเลย จะไม่เหมือนกันก็เพียงการสื่อสารและภาษาที่ใช้เท่านั้น อีกทั้งหลักธรรมที่ว่าก็ยังมีอย่างหลากหลาย สามารถเลือกใช้กับบุคคลตามระดับสติปัญญา และสถานการณ์ต่างๆได้ด้วย แต่ในที่นี้ เราจะเลือกมาแต่ในส่วนที่จะช่วยเสริมสร้าง “ เสน่ห์ ” ให้เกิดขึ้นกับตัวเราเท่านั้น คือ

              ข้อแรก คนที่จะมีเสน่ห์ได้นั้น ท่านว่าต้องมี พรหมวิหารสี่ อันเป็นธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐหรือผู้มีจิตใจดี ซึ่งประกอบด้วย เมตตา คือ ความรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น กรุณา คือ ความสงสาร อยากจะช่วยเหลือผู้อื่น เห็นใครเดือดร้อนก็อยากบำบัดทุกข์ยากให้แก่เขา มุทิตา คือความเบิกบานพลอยยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีสุข พร้อมที่จะสนับสนุนส่งเสริมเขา ไม่อิจฉาริษยาเขา อุเบกขา คือ ความมีใจเป็นกลาง มองโลกตามความเป็นจริง ว่าใครทำดี ทำชั่วก็ได้รับผลกรรมตามนั้น พร้อมวางตนและปฏิบัติตามหลักการ เหตุผลและความเที่ยงธรรม หลักธรรมเรื่องนี้จะทำให้เราเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคนอย่างจริงใจ และยังมีจิตใจดีพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงจัง ทำให้ใครก็อยากมาใกล้ มารู้จัก เพราะอยู่ใกล้แล้วรู้สึกร่มเย็น สบายใจ ดูอย่างท่านท้าวมหาพรหม ด้วยเมตตาของท่าน ใครขออะไรท่านก็ให้ ทำให้คนจากทั่วสารทิศไปกราบไปไหว้ท่านมิได้ขาด แต่คนอย่างเราๆคงไม่ต้องถึงกับใครมาขออะไรก็ให้ เพราะเช่นนั้นเราคงเดือดร้อนเอง เพียงแค่มีความรัก ความเมตตากับคนรอบข้าง แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์เหลือเฟือแล้ว


ที่มา
http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1642

95
อย่าตั้งใจไว้ผิด

         นอกจากหลวงปู่จะนำปรัชญาธรรมที่ออกจากจิตของท่านมาสอนแล้ว  โดยที่ท่านอ่านพระไตรปิฎกจบมาแล้ว  ตรงไหนที่ท่านเห็นว่าสำคัญและเป็นการเตือนใจในทางปฏิบัติให้ตรงและลัดที่สุด  ท่านก็จะยกมากล่าวเตือนอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่ยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเตือนว่า

         "ภิกษุทั้งหลาย  พรหมจรรย์นี้  เราประพฤติ  มิใช่เพื่อหลอกลวงคน  มิใช่เพื่อให้คนมานิยมนับถือ  มิใช่เพื่ออานิสงค์ลาภสักการะและสรรเสริญ  มิใช่อานิสงค์เป็นเจ้าลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ฯ  ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติ เพื่อสังวระ-ความสำรวม   เพื่อปหานะ-ความละ   เพื่อวิราคะ-ความหายกำหนัดยินดี   และเพื่อนิโรธะ-ความดับทุกข์   ผู้ปฏิบัติและนักบวชต้องมุ่งตามแนวทางนี้  นอกจากแนวทางนี้แล้วผิดทั้งหมด."


พระพุทธพจน์

         หลวงปูว่า  ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้นย่อมมีทิฎฐิ  และเมื่อมีทิฎฐิแล้วยากที่จะเห็นตรงกัน  เมื่อไม่เห็นตรงกัน ก็เป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกันอยู่รํ่าไป   สำหรับพระอริยเจ้าผู้เข้าถึงธรรมแล้วก็ไม่มีอะไรสำหรับมาโต้แย้งกับใคร  ใครมีทิฎฐิอย่างไร ก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไป  ดังพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

         ภิกษุทั้งหลาย  สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่ามีอยู่ แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่   สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่าไม่มี แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่โต้แย้งเถียงกับโลก  แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา (ปุปผสูตร)


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

96
ปรารภธรรมะให้ฟัง

         จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว  จำพระธรรมได้มากมาย  พูดเก่งอธิบายได้อย่างซาบซึ้ง  มีคนเคารพนับถือมาก  ทำการก่อสร้างวัตถุไว้ได้อย่างมากมาย  หรือสามารถอธิบายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม  "ถ้ายังประมาทอยู่  ก็นับว่ายังไม่ได้รสชาติของพระศาสนาแต่ประการใดเลย  เพราะสิ่งเหล่านี้ยังเป็นของภายนอกทั้งนั้น  เมื่อพูดถึงประโยชน์  ก็เป็นประโยชน์ภายนอกคือเป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม  เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น  เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง  หรือเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนวัตถุ  ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้น  คือ  ความพ้นทุกข์  "จะพ้นทุกข์ได้ต่อเมื่อรู้ จิตหนึ่ง."

คิดไม่ถึง

         สำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง  ซึ่งเป็นสาขาของหลวงปู่นี่นเอง  อยู่ด้วยกันเฉพาะพระประมาณห้าหกรูป  อยากจะเคร่งครัดเป็นพิเศษ  ถึงขั้นสมาทานไม่พูดจากันตลอดพรรษา  คือ  ไม่ให้มีเสียงเป็นคำพูดออกมาจากปากใคร  ยกเว้นการสวดมนต์ทำวัตร  หรือสวดปาติโมกข์เท่านั้น  ครั้นออกพรรษาแล้ว  พากันไปกราบหลวงปู่  เล่าถึงการปฏิบัติอย่างเคร่งของพวกตนว่า  นอกจากปฏิบัติข้อวัตรอย่างอื่นแล้วสามารถหยุดพูดได้ตลอดพรรษาด้วย ฯ

         หลวงปู่ฟังฟังแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง พูดว่า

         "ดีเหมือนกัน  เมื่อไม่พูดก็ไม่มีโทษทางวาจา  แต่ที่ว่าหยุดพูดได้นั้นเป็นไปไม่ได้หรอก  นอกจากพระอริยบุคคลผู้เข้านิโรธสมาบัติชั้นละเอียดดับสัญญาเวทนาเท่านั้นแหละที่ไม่พูดได้  นอกนั้นพูดทั้งวันทั้งคืน  ยิ่งพวกที่ตั้งปฏิญาณว่าจะไม่พูดนั่นแหละยิ่งพูดมากกว่าคนอื่น  เพียงแต่ไม่ออกเสียงให้คนอื่นได้ยินเท่านั้น."



ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

97
ปรารภธรรมะให้ฟัง

         คราวหนึ่ง  หลวงปู่กล่าวปรารภธรรมะให้ฟังว่า  เราเคยตั้งสัจจะจะอ่านพระไตรปิฎกจนจบ  ในพรรษาที่ ๒๔๙๕  เพื่อสำรวจดูว่าจุดจบของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงไหน  ที่สุดแห่งสัจจธรรม  หรือที่สุดของทุกข์นั้น  อยู่ตรงไหน   พระพุทธเจ้าทรงกล่าวสรุปไว้ว่าอย่างไร  ครั้นอ่านไป  ตริตรองไปกระทั่งถึงจบ  ก็ไม่เห็นตรงไหนที่มีสัมผัสอันลึกซึ้งถึงจิตของเราให้ตัดสินใจได้ว่า  นี่คือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์  ที่สุดแห่งมรรคผล  หรือที่เรียกว่านิพพาน ฯ

         มีอยู่ตอนหนึ่ง  คือ  ครั้งนั้นพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ  พระพุทธเจ้าตรัสเชิงสนทนาธรรมว่า  สารีบุตร  สีผิวของเธอผ่องใสยิ่งนัก  วรรณะของเธอหมดจดผุดผ่องยิ่งนัก  อะไรเป็นวิหารธรรมของเธอ  พระสารีบุตรกราบทูลว่า "ความว่างเปล่าเป็นวิหารธรรมของข้าพระองค์"  (สุญฺญตา)

         ก็เห็นมีเพียงแค่นี้แหละ  ที่มาสัมผัสจิตของเรา.


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

98
คนละเรื่อง

         มีชายหนุ่มจากต่างจังหวัดไกลสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่  ขณะที่ท่านพักผ่อนอยู่ที่มุขศาลาการเปรียญ  ดูอากัปกิริยาของเขาแล้วคงคุ้นเคยกับพระนักเลงองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อนแล้ว  สังเกตุจากการนั่งการพูด  เขานั่งตามสบาย  พูดตามถนัด  ยิ่งกว่านั้นเขาคงเข้าใจว่าหลวงปู่นี้คงสนใจกับเครื่องรางของขลังอย่างดี  เขาพูดถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่นๆ  ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง  ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่  คนหนึ่งมีหมูเขี้ยวตัน  คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ  อีกคนมีนอแรด  ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้  มีคนหนึ่งเอ่ยปากว่า  หลวงปู่ฮะ  อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันฮะ ฯ

        หลวงปู่ก็อารมณ์รื่นเริงเป็นพิเศษยิ้มๆ แล้วว่า

        "ไม่มีดี  ไม่มีวิเศษอะไรหรอก  เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน."


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

99
ก่อนนอนให้สวดบทนี้ครับ

[youtube=425,350]yXtIcAP63ao[/youtube]

อภยปริตร

ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
(นิมิตลางร้ายและอวมงคลอันใด)
โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
(เสียงนกหวีดที่น่าหวาดหวั่นใจอันใด)
ปาปัคคโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
(ทั้งเคราะห์ร้ายและฝันร้าย ซื่งไม่น่าปราถนาอันใด)
พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
(จงวินาศเสื่อมสูญไปด้ายพุทธานุภาพเถิด)
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
(นิมิตลางร้ายและอวมงคลอันใด)
โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
(เสียงนกหวีดที่น่าหวาดหวั่นใจอันใด)
ปาปัคคโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
(ทั้งเคราะห์ร้ายและฝันร้าย ซื่งไม่น่าปราถนาอันใด)
ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
(จงวินาศเสื่อมสูญไปด้ายธัมมานุภาพเถิด)
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
(นิมิตลางร้ายและอวมงคลอันใด)
โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
(เสียงนกหวีดที่น่าหวาดหวั่นใจอันใด)
ปาปัคคโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
(ทั้งเคราะห์ร้ายและฝันร้าย ซื่งไม่น่าปราถนาอันใด)
สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ
(จงวินาศเสื่อมสูญไปด้ายสังฆานุภาพเถิด).........
 
ที่มา

100
จริง ตามความเป็นจริง

         สุภาพสตรีชาวจีนผู้หนึ่ง  ถวายสักการะแด่หลวงปู่แล้ว  เขากราบเรียนถามว่า  ดิฉันจะต้องไปอยู่ที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรมย์เพื่อทำมาค้าขายอยู่ใกล้ญาติทางโน้น  ทีนี้ทางญาติๆก็เสนอแนะว่า  ควรจะขายของชนิดนั้นบ้าง  ชนิดนี้บ้าง  ตามแต่เขาจะเห็นดีว่าอะไรขายได้ดี   ดิฉันยังมีความกังวลใจตัดสินใจเอาเองไม่ได้ว่าจะเลือกขายของอะไร  จึงให้หลวงปู่ช่วยแนะนำด้วยว่า  จะให้ดิฉันขายอะไรจึงจะดีเจ้าคะ ฯ

        "ขายอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ  ถ้ามีคนซื้อ."


ไม่ได้ตั้งจุดหมาย

         เมื่อจันทร์ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒  คณะนายทหารประมาณ ๑๐ กว่านายเข้านมัสการหลวงปู่เมื่อเวลาคํ่าแล้ว  ก็จะเดินทางต่อเข้ากรุงเทพ ฯ  ในคณะนายทหารเหล่านั้น  มียศพลโทสองท่าน  หลังสนทนากับหลวงปู่เป็นเวลาพอสมควร  ก็ถอดเอาพระเครื่องจากคอของแต่ละท่านรวมใส่ในพานถวายให้หลวงปู่ช่วยอธิษฐานแผ่เมตตาพลังจิตให้  ท่านก็อนุโลมตามประสงค์  แล้วก็มอบคืนไป  นายพลท่านหนึ่งถามว่า  ทราบว่ามีเหรียญหลวงปู่ออกมาหลายรุ่นแล้ว  อยากถามหลวงปู่ว่ามีรุ่นไหนดังบ้าง ฯ

         หลวงปู่ตอบว่า

         "ไม่มีดัง"
36;

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

101
ทิ้งเสีย

         สุภาพสตรีท่านหนึ่ง เป็นชนชั้นครูบาอาจารย์  เมื่อฟังธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่จบแล้ว  ก็อยากทราบถึงวิธีไว้ทุกข์ที่ถูกต้องตามธรรมเนียม  เขาจึงพูดปรารภต่อไปอีกว่า  คนสมัยนี้ไว้ทุกข์กันไม่ค่อยจะถูกต้องและตรงกัน  ทั้งๆที่สมัย ร.๖ ท่านทำไว้เป็นแบบอย่างดีอยู่แล้ว เช่น เมื่อมีญาติพี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ถึงแก่กรรมลง ก็ให้ไว้ทุกข์ ๗ วันบ้าง ๕๐ วันบ้าง  ๑๐๐ วันบ้าง  แต่ปรากฎว่าคนทุกวันนี้ทำอะไรรู้สึกว่าลักลั่นกันไม่เป็นระเบียบ  ดิฉันจึงขอเรียนถามหลวงปู่ว่า  การไว้ทุกข์ที่ถูกต้อง  ควรไว้อย่างไรเจ้าคะ ฯ

         หลวงปู่บอกว่า

         "ทุกข์  ต้องกำหนดรู้   เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย   ไปไว้มันทำไม."

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

102
ง่าย  แต่ทำได้ยาก

         คณะของคุณดวงพร ธารีฉัตร จากสถานีวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อ นำโดยคุณอาคม ทันนิเทศ  เดินทางไปถวายผ้าป่า  และกราบนมัสการครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆทางอีสาน  ได้แวะกราบมนัสการหลวงปู่ หลังจากถวายผ้าป่า  ถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่หลวงปู่  และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากท่านแล้ว  ต่างคนต่างก็ออกไปตลาดบ้าง  พักผ่อนตามอัธยาศัยบ้าง

         มีอยุ่กลุ่มหนึ่งประมาณสีห้าคน  เข้าไปกราบหลวงปู่แนะนำวิธีปฏิบัติง่ายๆ  เพื่อแก้ไขความทุกข์ความกลุ้มใจ  ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ  ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงได้ผลเร็วที่สุด ฯ

         หลวงปู่บอกว่า

         "อย่าส่งจิตออกนอก."

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

103
รู้ให้พร้อม

         ระหว่างที่หลวงปู่พักรักษา  ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ  ในรอบดึกมีจำนวนหลายท่านด้วยกัน  เขาเหล่านั้นมีความสงสัยและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง  โดยที่สังเกตว่า  บางวันพอเวลาดึกสงัดตีหนึ่งผ่านไปแล้ว  ได้ยินหลวงปู่อธิบายธรรมะนานประมาณ ๑๐ กว่านาที  แล้วสวดยถาให้พร  ทำเหมือนหนึ่งมีผู้มารับฟังอยู่เฉพาะหน้าเป็นจำนวนมาก ครั้นจะถามพฤติการที่หลวงปู่ทำเช่นนั้นก็ไม่กล้าถาม  ต่อเมื่อหลวงปู่ทำเช่นนั้นหลายๆครั้ง  ก็ทนสงสัยต่อไปไม่ได้  จึงพากันถามหลวงปู่ตามลักษณาการนั้นฯ

        หลวงปู่จึงบอกว่า

        "ความสงสัยและคำถามเหล่านี้  มันไม่ใช่เป็นแนวทางปฏิบัติธรรม"


ประหยัดคำพูด

         คณะปฏิบัติธรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์หลายท่าน  มีร้อยตำรวจเอกบุญชัย สุคนธมัต อัยการจังหวัด เป็นหัวหน้า  มากราบหลวงปู่ เพื่อฟังข้อปฏิบัติธรรมแลเรียนถามถึงการปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไปอีก  ซึ่งส่วนมากก็เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แต่ละองค์มาแล้ว  และแสดงแนวทางปฏิบัติไม่ค่อยจะตรงกัน  เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น  จึงขอกราบเรียนหลวงปู่โปรดช่วยแนะแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง  และทำได้ง่ายที่สุด  เพราะหาเวลาปฏิบัติธรรมได้ยาก  หากได้วิธีที่ง่ายๆ แล้วก็จะเป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง ฯ

         หลวงปู่บอกว่า

         "ให้ดูจิต  ที่จิต"[/size]
ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

104
มี  แต่ไม่เอา

         ปี ๒๕๒๒ หลวงปู่ไปพักผ่อน และเยี่ยมอาจารย์สมชายที่วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี  ขณะเดียวกันก็มีพระเถระอาวุโสรูปหนึ่งจากกรุงเทพฯ  คือพระธรรมวราลังการ วัดบุปผารามเจ้าคณะภาคทางภาคใต้ไปอยู่ฝึกกัมมัฏฐานเมื่อวัยชราแล้ว  เพราะมีอายุอ่อนกว่าหลวงปู่เพียงปีเดียว ฯ

         เมื่อท่านทราบว่าหลวงปู่เป็นพระฝ่ายกัมมัฏฐานอยู่แล้ว  ท่านจึงสนใจและศึกษาถามถึงผลของการปฏิบัติ  ทำนองสนทนาธรรมกันเป็นเวลานาน  และกล่าวถึงภาระของท่านว่า มัวแต่ศึกษาและบริหารงานการคณะสงฆ์มาตลอดวัยชรา  แล้วก็สนทนาข้อกัมมัฏฐานกับหลวงปู่อยู่เป็นเวลานาน  ลงท้ายถามหลวงปู่สั้นๆว่า  ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม ฯ

หลวงปู่ตอบเร็วว่า

         "มี  แต่ไม่เอา"

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

105
อยากได้ของดี

         เมื่อต้นเดือนกันยายน ๒๕๒๖ คณะแม่บ้านมหาดไทย โดยมีคุณหญิงจวบ จิรโรจน์ เป็นหัวหน้าคณะ ได้นำคระแม่บ้านมหาดไทยไปบำเพ็ญสังคมสงเคราะห์ทางภาคอีสาน  ได้ถือโอกาสแวะมนัสการหลวงปู่ เมื่อเวลา ๑๘.๐๐ น.ฯ

         หลังจากกราบมนัสการและถามถึงอาการสุขสบายของหลวงปู่และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากหลวงปู่แล้ว  เห็นว่าหลวงปู่ไม่ค่อยสบาย  ก็รีบออกมา  แต่ยังมีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง  ถือโอกาสพิเศษกราบหลวงปู่ว่า  ดิฉันขอของดีจากหลวงปู่ด้วยเถอะเจ้าค่ะ ฯ

         หลวงปู่จึงเจริญพรว่า  ของดีก็ต้องภาวนาเอาจึงจะได้  เมื่อภาวนาแล้ว  ใจก็สงบ  กายวาจาก็สงบ  แล้วกายก็ดี  วาจาใจก็ดี  เราก็อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง

        ดิฉันมีภาระมาก  ไม่มีเวลาจะนั่งภาวนา  งานราชการเดี๋ยวนี้รัดตัวมากเหลือเกิน  มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้คะ ฯ


        หลวงปู่จึงต้องอธิบายให้ฟังว่า

         "ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ  ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา"


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

106
พุทโธเป็นอย่างไร

         หลวงปู่รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑  ในช่วงสนทนาธรรม  ญาติโยมสงสัยว่าพุทโธ เป็นอย่างไร  หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

         เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก  ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด  ความรู้ที่เราเรียนกับตำหรับตำรา   หรือจากครูบาอาจารย์  อย่าเอามายุ่งเลย  ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้  รู้จากจิตของเรานั่นแหละ  จิตของเราสงบเราจะรู้เอง  ต้องภาวนาให้มากๆเข้า  เวลามันจะเป็น  จะเป็นของมันเอง  ความรู้อะไรๆให้มันออกมาจากจิตของเรา

         ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกมาจากจิตนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

         ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว  อย่าส่งจิตออกนอก  ให้จิตอยู่ในจิต  แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง  ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ  พุทโธอยู่นั่นแหละ  แล้วพุทโธ  เราจะได้รู้จักว่า  พุทโธ  นั้นเป็นอย่างไร  แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละ  ไม่มีอะไรมากมาย.

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

107
อุทานธรรม

         หลวงปู่ยังกล่าวธรรมกถาต่อมาอีกว่า  สมบัติพัสถานทั้งหลายมันมีประจำอยู่ในโลกมาแล้วอย่างสมบูรณ์  ผู้ที่ขาดปัญญาและไร้ความสามารถ  ก็ไม่อาจจะแสวงหาเพื่อยึดครองสมบัติเหล่านั้นได้  ย่อมครองตนอยู่ด้วยความฝืดเคืองและลำบากขันธ์   ส่วนผู้ที่มีปัญญาความสามารถ ย่อมแสวงหายึดสมบัติของโลกไว้ได้อย่างมากมายอำนวยความสะดวกสบายแก่ตนได้ทุกกรณีฯ   ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านพยายามดำเนินตนเพื่อออกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  ไปสู่ภาวะแห่งความไม่มีอะไรเลย  เพราะว่า

         "ในทางโลก  มี สิ่งที่ มี   ส่วนในทางธรรม มี สิ่งที่ ไม่มี"

อุทานธรรมต่อมา

         เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงได้แล้ว  จิตก็จะหมดพันธะกับเรื่องโลก  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  จะดีหรือเลว  มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งนั้น  แล้วจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด  เมื่อเข้าใจผิดก็หลง ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ  อันโทษทัณฑ์ทางกายอาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง  ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง

         "พระอริยเจ้าทั้งหลาย  ท่านพ้นจากโทษทั้งสองทางความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"


อุทานธรรมข้อต่อมา

         เมื่อบุคคลปลงผม หนวด เคราออกหมดแล้ว  และได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว  ก็นับว่าเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้  แต่ยังเป็นได้แต่เพียงภายนอกเท่านั้น  ต่อเมื่อเขาสามารถปลงสิ่งที่รกรุงรังทางใจ  อันได้แก่อารมณ์ตกตํ่าทางใจได้แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุในภายในได้ฯ

         ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว  สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อยเช่นเหา  ย่อมอาศัยอยู่ไม่ได้ฉันใด   จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว  ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้ฉันนั้น  ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ควรเรียกได้ว่า "เป็นภิกษุแท้"

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

108
เมื่อถึงปรมัตถ์แล้วไม่ต้องการ

         ก่อนเข้าพรรษาปี ๒๔๘๖ หลวงพ่อเถาะ ซึ่งเป็นญาติของหลวงปู่ และบวชเมื่อวัยชราแล้ว  ได้ออกธุดงค์ติดตามท่านอาจารย์เทสก์  ท่านอาจารย์สาม ไปอยู่จังหวัดพังงาหลายปี  กลับมาเยี่ยมนมัสการหลวงปู่  เพื่อศึกษาข้อปฏิบัติทางกัมมัฎฐานต่อไปอีกจนเป็นที่พอใจแล้ว  หลวงพ่อเถาะพูดตามประสาความคุ้นเคยว่า  หลวงปู่สร้างโบสถ์  ศาลาได้ใหญ่โตสวยงามอย่างนี้  คงได้บุญได้กุศลอย่างใหญ่โตทีเดียว ฯ

         หลวงปู่กล่าวว่า

         "ที่เราสร้างนี่ก็สร้างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม  ประโยชน์สำหรับโลก  สำหรับวัดวาศาสนาเท่านั้นแหละ  ถ้าพูดถึงเอาบุญเราจะมาเอาบุญอะไรอย่างนี้."

ทุกข์เพราะอะไร

         สุภาพสตรีวัยเลยกลางคนผู้หนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ พรรณาถึงฐานะของตนว่าอยู่ในฐานะที่ดี  ไม่เคยขาดแคลนสิ่งใดเลย  มาเสียใจกับลูกชายที่สอนไม่ได้  ไม่อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดี  ตกอยู่ภายใต้อำนาจอบายมุขทุกอย่าง  ทำลายทรัพย์สมบัติและจิตใจของพ่อแม่จนเหลือที่จะทนได้  ขอความกรุณาหลวงปู่ให้ช่วยแนะอุบายบรรเทาทุกข์  และแก้ไขให้ลูกชายพ้นจากอบายมุขนั้นด้วย ฯ

        หลวงปู่ก็แนะนำสั่งสอนไปตามเรื่องนั้นๆ  ตลอดถึงแนะอุบายทำใจให้สงบ   รู้จักปล่อยวางให้เป็น ฯ

        เมื่อสุภาพสตรีนั้นกลับไปแล้ว  หลวงปู่ปรารภธรรมะให้ฟังว่า

        "คนเราสมัยนี้  เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด."

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

109
เป็นของภายนอก

         เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ หลวงปู่อยู่ในงานประจำปี วัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพฯ  มีแม่ชีพราหมณ์หลายคนจากวิทยาลัยครูพากันเข้าไปถาม  ทำนองรายงานผลของการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า  เขานั่งวิปัสสนาจิตสงบแล้ว  เห็นองค์พระพุทธรูปในหัวใจของเขา  บางคนว่า ได้เห็นสวรรค์เห็นวิมานของตนเองบ้าง  บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถานบ้าง  พร้อมทั้งภูมิใจว่าเขาวาสนาดี  ทำวิปัสสนาได้สำเร็จ

         หลวงปู่อธิบายว่า

         "สิ่งที่ปรากฎเห็นทั้งหมดนั้น  ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้นจะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก."

หยุดเพื่อรู้

         เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๗ มีพระสงฆ์หลายรูป ทั้งฝ่ายปริยัติและฝ่ายปฏิบัติได้เข้ากราบหลวงปู่เพื่อรับโอวาทและรับฟังการแนะแนวทางธรรมะที่จะพากันออกเผยแผ่ธรรมทูตครั้งแรก  หลวงปู่แนะวิธีอธิบายธรรมะขั้นปรมัตถ์  ทั้งสอนผู้อื่นและเพื่อปฏิบัติตนเอง ให้เข้าถึงสัจจธรรมนั้นด้วย  ลงท้ายหลวงปู่ได้กล่าวปรัชญาธรรมไว้ให้คิดด้วยว่า

         คิดเท่าไรก็ไม่รู้    ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้    แต่ต้องอาศัยความคิดนั้นแหละจึงรู้

ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย

         กาลครั้งนั้น  หลวงปู่ได้ให้โอวาทเตือนพระธรรมทูตครั้งแรกมีใจความตอนหนึ่งว่า ฯ

         "ท่านทั้งหลาย การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่ ประกาศพระศาสนานั้น เป็นได้ทั้งส่งเสริมศาสนาและทำลายพระศาสนา ที่ว่าเช่นนี้เพราะองค์ธรรมทูตนั่นแหละตัวสำคัญ คือ เมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม มีสมณสัญญาจริยาวัตร งดงามตามสมณวิสัยผู้ที่ได้พบเห็น หากยังไม่เลื่อมใส ก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น  ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว  ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสมากขึ้นเข้าไปอีกฯ  ส่วนองค์ที่มีความประพฤติและวางตัวตรงกันข้ามนี้  ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้ถอยศรัทธาลง สำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลย ก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีกฯ  จึงขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้และความประพฤติ  ไม่ประมาท  สอนเขาอย่างไร  ตนเองต้องทำอย่างนั้นให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย"

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

110
หลวงปู่เตือนพระผู้ประมาท

         ภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท  คอยนับจำนวนศีลของตนแต่ในตำรา  คือมีความพอใจภูมิใจกับจำนวนศีลที่มีอยู่ในพระคำภีร์  ว่า ตนนั้นมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ

         "ส่วนที่ตั้งใจปฏิบัติให้ได้นั้น  จะมีสักกี่ข้อ"

จริง  แต่ไม่จริง

         ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน  ทำสมาธิภาวนา  เมื่อปรากฎผลออกมาในแบบต่างๆ  ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น  เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง   ปรากฎในอวัยวะของตนเองบ้าง   ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข  หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก  มีจำนวนมากที่ถามว่า  ภาวนาแล้วก็เห็น นรก  สรรรค์  วิมาน เทวดา  หรือไม่ก็เป็นองค์พระพุทธรูปปรากฎอยู่ในตัวเรา  สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ ฯ

         หลวงปู่บอกว่า

         "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง"

แนะวิธีละนิมิต

         ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า  นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกยังเป็นของภายนอกทั้งหมด  จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้  ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น  ไม่ก้าวต่อไปอีก  จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร  จึงหลีกไม่พ้น  นั่งภาวนาทีไร  พอจิตจะรวมสงบก็เข้าถึงภาวะนั้นทันที  หลวงปู่โปรดได้แนะนำวิธีละนิมิตด้วยว่า  ทำอย่างไรจึงจะได้ผล

         หลวงปู่ตอบว่า

        เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี  น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก  แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า  วิธีละได้ง่ายๆก็คือ  อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น   "ให้ดูผู้เห็น  แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง"


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

111
ต่อจาก
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=19021.msg163400#msg163400
โดย นายธรรมะ เมื่อ ๑๘ ก.ย. ๕๓

มีไฟล์เสียงให้ฟัง

จาก http://www.fungdham.com/book/dule-gift.html

ข้อคิดข้อธรรมใน "หลวงปู่ฝากไว้"ของพระอริยเจ้า หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่บันทึกถ่ายทอดมาโดยพระโพธินันทะมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต)นั้นเป็นข้อคิดข้อธรรม ตลอดจนปริศนาธรรมที่สั้นกระชับแต่กินความหมายอันลึกซึ้ง ซึ่งถ้ากระทำการโยนิโสมนสิการด้วยความเพียรแล้ว จะทำให้เข้าใจในสภาวธรรม ตลอดจนแนวการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี

ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

        พระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙  หลังฟังโอวาทและข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่นๆ  แล้วหลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า

จิตที่ส่งออกนอก    เป็นสมุทัย

ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก   เป็นทุกข์

จิตเห็นจิต    เป็นมรรค

ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต   เป็นนิโรธ

สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

         อุบาสกผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง  สนทนากับหลวงปู่ว่า  "กระผมเชื่อว่า  แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย  เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฎ  เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้นแล้ว  เขาจะได้มีกำลังใจและความหวัง  เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางปฏิบัติให้เต็มที่" ฯ

         หลวงปู่กล่าวว่า

         "ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว  เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร  เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด"[/size]

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

112
แนวการพิจารณา และแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
โดยอาศัยการพิจารณาในธรรม "อเหตุกจิต" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล


การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจากกายทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่น เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็นไม่คิดปรุง, ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง   ดังนี้ เป็นต้น (ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว) [ถืออุเบกขาไม่คิดนึกปรุงแต่งเอนเอียงเข้าไปแทรกแซงนั่นเอง]

        ส่วนกิริยาจิตที่แฝงอยู่ที่มโนทวาร(ใจ) มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณีย่อมไม่ได้    เพราะความคิดชนิดไม่ปรุงแต่งนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตและการงาน  ดังนั้นเมื่อจิตคิดนึกสิ่งใดขึ้นมาย่อมเกิดกริยาจิต ตามที่กล่าวข้างต้นเป็นธรรมดา  แล้วอย่าคิดปรุง

        เมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์บุคคล เราเขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น    [ไม่คิดปรุง หรือ ถืออุเบกขานั่นเอง]  ทำความเห็นให้เป็นปกติไม่คิดปรุง, ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ[อุเบกขา]ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์
 
         การที่สติเห็นเวทนาเหล่านี้  ขณะเกิดขึ้นบ้าง หรือเห็นในขณะเสื่อมแปรปรวนบ้าง หรือเห็นในขณะดับไปบ้าง แล้วไม่คิดปรุง[อุเบกขา] ต่างล้วนเป็นการปฏิบัติเวทนานุปัสสนา(สติตามดูรู้ทันเวทนา)อันถูกต้องดีงาม
หรือ
        การที่สติเห็นสังขารหรือความคิด  ขณะเกิดขึ้นบ้าง หรือเห็นในขณะเสื่อมแปรปรวนบ้าง(ขณะกำลังคิดปรุง) หรือเห็นในขณะดับไปบ้าง แล้วไม่คิดปรุง[อุเบกขา] ต่างก็ล้วนเป็นการปฏิบัติจิตตานุปัสสนา(สติตามดูรู้ทันจิตสังขาร)อันถูกต้องดีงามเช่นกัน
       
        เหตุที่ต้องไม่คิดปรุง ก็เพราะว่าการคิดปรุงก็คือ การเกิดของขันธ์๕ขึ้นอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง จึงเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาขึ้นอีกครั้งเช่นกัน อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อันเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท อันยังให้เกิดทุกข์ขึ้นนั่นเอง
        หรืออาจพิจารณาจากข้อเขียนข้างบน ที่กล่าวว่า ใจ  ไปกระทบกับ  ความคิด เกิด มโนวิญญาณ คือการรับรู้ความคิดนั้น  จะห้ามไม่ให้ ใจรับรู้ความคิด ไม่ได้  จึงย่อมต้องเกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ ดังนั้นเมื่อเราคิดปรุงต่อเนื่องเข้าไปอีกก็ย่อมต้องรับผลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไปไม่จบสิ้น จึงเกิดเป็นวงจรที่เกิดๆดับๆอย่างต่อเนื่องอันเป็นทุกข์


ที่มา
http://nkgen.com/522.htm

113
ต่อจากข้อธรรมะ.....อเหตุกจิต ๓......หลวงปู่ดูลย์
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=25775

แนวทางพิจารณา และ แนวทางปฏิบัติ โดยอาศัยธรรม "อเหตุกจิต"

แนวการพิจารณา และแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
โดยอาศัยการพิจารณาในธรรม "อเหตุกจิต" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตาม อายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ และ มโนทวาร มีดังนี้

                 ตาไปกระทบกับรูป เกิด จักขุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ ตาเห็นรูป ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ(เช่นความคิด)   (ขอให้พิจารณาดูสภาวะธรรม หรือสภาวะแห่งธรรมชาตินี้ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นจริงดังนี้เป็นธรรมดาหรือไม่)  แล้วไม่คิดปรุง

                 หูไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้ หูได้ยินเสียง ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 จมูกไปกระทบกับกลิ่น  เกิด ฆานวิญญาณ คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้ จมูกรับกลิ่น ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 ลิ้นไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ ลิ้นรับรู้รส ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 กายไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กายรับสัมผัส ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 ใจไปกระทบกับความคิด เกิด มโนวิญญาณ คือการรับรู้ความคิดนั้น  จะห้ามไม่ให้ ใจรับรู้ความคิด ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง
 
วิญญาณทั้ง๖  นี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกาย และใจ ตามทวารนั้นๆ  ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นอยู่เช่นนั้น  ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๖ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอกและภายใน ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดมีเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้

ที่มา
http://nkgen.com/522.htm

114


๒. มโนทวาราวัชชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ที่มโนทวาร มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณีย่อมไม่ได้
        ก็แต่ว่าเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์บุคคล เราเขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น    [ถืออุเบกขาเสียนั่นเอง-webmaster]
         ทำความเห็นให้เป็นปกติ ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ[อุเบกขา - webmaster]ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์
         ๓. หสิตุปบาท คือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม หมายความว่าไม่อยากยิ้มมันก็ยิ้มของมันเอง กิริยาจิตอันนี้มีเฉพาะเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มี
         สำหรับ อเหตุกจิต ข้อ ๑ และ ๒ มีเท่ากันในพระอริยเจ้า และในสามัญชน นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อตั้งใจปฏิบัติตนออกจากกองทุกข์ควรพิจารณา อเหตุกจิต นี้ให้เข้าใจด้วย เพื่อความไม่ผิดพลาดในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม
         อเหตุกจิต นี้ นักปฏิบัติทั้งหลายควรทำความเข้าใจให้ได้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะพยายามบังคับสังขารไปหมด  ซึ่งเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติธรรมมาก เพราะความไม่เข้าใจใน อเหตุกจิต ข้อ ๑ และ ๒ นี้เอง
         อเหตุกจิต ข้อ ๓ เป็นกิริยาจิตที่ยิ้มเองโดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มี เพราะกิริยาจิตนี้เป็นผลของการเจริญจิตจนอยู่เหนือมายาสังขารได้แล้ว จิตไม่ต้องติดข้องในโลกมายา เพราะความรู้เท่าทันเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งได้แล้ว เป็นอิสระด้วยตัวมันเอง

ที่มา
http://nkgen.com/521.htm

115
อเหตุกจิต ๓


จากหนังสือ
"อตุโล ไม่มีใดเทียม"
บันทึกโดย พระโพธินันทะมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต)
รวบรวมและเรียบเรียงโดย รศ. ดร.ปฐม นิคมานนท์
                                     

         ๑. ปัญจทวาราวัชชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตาม อายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ มีดังนี้
                 ตา ไปกระทบกับรูป เกิด จักขุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูป ไม่ได้
                 หู ไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียง ไม่ได้
                 จมูก ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่น ไม่ได้
                 ลิ้น ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รส ไม่ได้
                 กาย ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กายรับสัมผัส ไม่ได้
        วิญญาณทั้ง ๕ อย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นอยู่เช่นนั้น  ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๕ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอก ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดมีเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้
        การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่น เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็นไม่คิดปรุง, ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง   ดังนี้ เป็นต้น (ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว) [ถืออุเบกขาไม่คิดนึกปรุงแต่งเอนเอียงเข้าไปแทรกแซงนั่นเอง - webmaster]


ที่มา
http://nkgen.com/521.htm

116
แท็กซี่ผีสิง (2/2)

แต่ยังงัยผมก็ยังไม่ละความพยายามหรอกนะ  นึกในใจว่าเราคงไม่โชคร้ายซะทีเดียวหรอก ว่าแล้วผมก็ลองขับไปแถวถนนพระราม 9 ดู เพราะแถวนั้นมีสถานบริการที่เปิดตอนกลางคืนอยู่มากมาย  เผื่อจะได้ผู้โดยสารบ้าง แล้วก็เป็นจริงดังคาด   มีผู้โดยสารวัยรุ่นชายหญิง 3 คน  เรียกให้ผมไปส่งแถวถนนสุขาภิบาล  ซึ่งในซอยนั้นมันก็ค่อนข้างเปลี่ยวแหละนะ  แต่คงเพราะผมเห็นแก่เงินมั๊ง ก็เลยยอม ส่วนอีกใจหนึ่ง ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก
หลังจากส่งผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว  ขณะที่ผมกำลังจะวนรถกลับ ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังขึ้นมาอีก  แต่คราวนี้มีนมีเสียงคนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังแทรกขึ้นมาด้วย

 เล่นเอาผมขวัญผวาไปเลย แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสืออยู่ ผมค่อยๆชำเลืองมองขึ้นไปทางกระจกส่องหลัง  คุณรู้มั๊ย ผมเห็นอะไร ผมเห็นผู้ชายสามคน นั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ  คนที่นั่งกลางนั่งแน่นิ่งไม่ไหวติง มีเลือดเปรอะเปื้อนเต็มตัวไปหมด  โดยมีผู้ชายอีกสองคนนั่งขนาบข้างและช่วยกันจับตัวเขาไว้   โดยคนทางขวา ในมือเขาถือมีดอยู่ด้วย  ก่อนที่เขาจะค่อยๆหันหน้ามายิ้มให้ผมอย่างช้าๆส่วนผมน่ะเหรอ นั่งตาค้าง ตัวสั่นด้วยความตกใจกลัว  แต่ผมก็ยังพอมีสติอยู่นิดหน่อย

 จึงก้มลงไปหยิบสร้อยพระของหลวงปู่ทวดที่ผมนับถืออยู่ขึ้นมาคล้องคอ  จากนั้นก็เริ่มต้นสวดมนต์ ท่องนะโมอยู่หลายจบ  ก็ยอมรับแหละครับว่า  ตอนนั้นท่องไม่ได้รู้เรื่องเลย  ปากคอสั่นไปหมด  แต่ก็ดูเหมือนจะได้ผลนะครับ เพราะพอผมเงยหน้าขึ้นมาอีกที ชายหนุ่มทั้งสามคน ก็หายไปแล้ว  แต่เพื่อความแน่ใจ ผมก็เลยหันไปดูอีกที และก็สำรวจอย่างถ้วนถี่ ทั้งบริเวณบนเบาะและใต้เบาะว่าไม่มีใครซ่อนตัวอยู่แน่ๆ  นึกแล้วก็ยังขำนะครับ  ทั้งที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่า  สิ่งที่ผมเห็นเมื่อสักครู่  มันไม่ใช่คนอย่างแน่นอน  แต่มันเป็นผี  แล้วผีที่ไหนจะไปซ่อนอยู่ใต้เบาะรถกันเล่า

พอเริ่มหายกลัวลงไปบ้าง  ผมก็รีบนำรถไปคืนที่อู่ทันทีทั้งที่ยังไม่หมดกะ เสี่ยโชคแกคง(งง)เลยถามว่า ทำไมผมถึงรีบเอารถมาส่ง  ผมก็เลยเล่าเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งเจอมาสดๆร้อนๆให้แกฟัง  แล้วก็อดถามแกต่อไม่ได้ว่า  รถคันนี้มีประวัติอะไรไม่ดีรึเปล่า  ก็ดูเหมือนเสี่ยโชคแกจะอ้ำอึ้งไม่ยอมบอกอะไร  แถมยังไล่ให้ผมรีบกลับบ้านอีกด้วย

พอเช้า ผมก็ไม่ได้ไปขับรถหรอก แต่รีบไปหาคนขับแท็กซี่ที่อยู่ข้างบ้าน และก็เล่าเรื่องสยองขวัญที่ผมเพิ่งเจอมาให้แกฟัง  แล้วก็ถามว่า  แกเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า   ตอนแรกแกก็บอกว่าไม่เคย แต่สักพัก แกคงนึกอะไรขึ้นมาได้  จึงเล่าให้ผมฟังว่า  ตอนที่แกยังขับแท็กซี่อยู่นั้น  ก็มีข่าวออกมาว่า เคยมีคนเช่ารถแท็กซี่ของอู่เสี่ยโชคไปขับ  โดยรับผู้โดยสารวัยรุ่นสามคน จากแถวถนนรัชดาไปส่งแถวถนนสุขาภิบาล บริเวณเดียวกับที่ผมเจอดีเข้านั่นแหละ

ตอนแรก คนขับก็ไม่คอยอยากไปหรอก เพราะรู้สึกกลัวๆขึ้นมายังงัยไม่รู้  ยิ่งผู้โดยสารมากันสามคน  หน้าตาก็ไม่น่าไว้ใจ  แต่เพราะแกวิ่งรถมานานยังไม่มีผู้โดยสารก็เลยยอม   พอเริ่มออกรถไปได้ไม่เท่าไหร่  วัยรุ่นทั้งสามคนก็เริ่มทะเลาะกันเสียงดัง คนขับแกได้ยินว่าเกี่ยวกับเงินๆทองๆนี่แหละ แต่แกทำเป็นไม่สนใจ  สักพัก ก็เริ่มมีเสียงทุบต่อยกัน  ไม่ทันไรแกก็ได้ยินเสียงร้องโอ๊ยดังขึ้นมา  ซึ่งแกก็ระวังตัวอยู่แล้ว  จึงเหยียบเบรกจอดรถทันที  แต่ยังไม่วายหันไปมอง  ก็เห็นชายหนุ่มคนที่นั่งกลาง  ถูกเพื่อนอีกสองคนใช้มีดแทงเข้าที่ลำตัว  เลือดสาดเต็มเบาะ

คราวนี้คนขับแกรีบเปิดประตูเผ่นแน่บออกจากรถทันที โชคดีที่มีรถสายตรวจผ่านมา แกก็เลยโบกมือเรียกและเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พร้อมพาไปดูที่เกิดเหตุ แต่ก็พบแค่ร่างไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย นอนตายจมกองเลือดอยู่  ส่วนเพื่อนอีกสองคนหลบหนีไปได้รถแท็กซี่คันนั้นก็เลยถูกยึดไปเป็นหลักฐานประกอบคดีอยู่นานเป็นเดือน  พอหมดคดี เสี่ยโชคแกก็เลยไปรับรถคืน  และเอามาทำความสะอาดซะหมดจด นำกลับมาให้เช่าตามเดิม

 แต่คนที่รู้ประวัติของรถคันนี้ดี  ก็ไม่มีใครยอมเช่าไปขับ  มีอยู่คนหนึ่งคงไม่รู้เรื่องอะไร มาขอเช่าไปขับแค่คืนเดียวก็เอามาคืน เขาบอกว่าขับไปขับมา  ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังแว่วมาจากเบาะหลัง  เขาก็เลยไปเช่ารถจากอู่อื่นแทน
รถแท็กซี่คันนั้นก็เลยจอดอยู่เฉยๆ  กลายเป็นแท็กซี่ผีสิงที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้  ซึ่งเพื่อนบ้านของผมก็ไม่แน่ใจว่า   จะใช่รถคันเดียวกับที่ผมเช่าไปขับหรือเปล่า   แต่ผมมั่นใจว่า ต้องใช่รถคันนั้นอย่างแน่นอน พอผมรู้อย่างนี้ ก็เลยไปขอเงินประกันจากเสี่ยโชคคืน  แล้วก็สัญญากับตัวเองว่า  จะบอกลาอาชีพคนขับแท็กซี่ไปจนวันตายเลย……

ใครที่คิดที่จาซื้อรถมือสองมาขับ เพราะว่าประหยัดเงิน ก็ต้องลองคิดดูให้ดีนะ ไม่แน่คุณอาจจะมีของแถมติดมาด้วย!!!!

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4105

117
ประสบการณ์วิญญาณ / แท็กซี่ผีสิง
« เมื่อ: 24 ธ.ค. 2554, 10:48:23 »
แท็กซี่ผีสิง (1/2)


จนบัดนี้  ผมยังไม่เคยลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในครั้งนั้นเลย แม้มันจะผ่านมานานหลายปี แต่เหตุการณ์เหล่านั้น  ก็ยังตามมาหลอกหลอนผมมาจนกระทั่งทุกวันนี้  ผมยังจำได้ในปีที่ถือว่า ชีวิตของผมตกต่ำสุดขีด  ในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจอย่างหนัก  ต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ  หลายบริษัทประสบภาวะขาดทุน จนต้องปิดกิจการลง  สถาบันการเงินที่ผมทำงานอยู่ ก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย  ผมและเพื่อนๆอีกหลายร้อยคน  ต้องกลายเป็นคนตกงาน โดยที่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย


 เพื่อนๆของผมบางคนทำใจไม่ได้กับชีวิตที่พลิกผันอย่างหนักขนาดนี้  และที่แย่ไปกว่านั้น  พวกเขายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล ส่งเสียเงินทอง  พอไม่มีรายได้ขึ้นมา  ก็เลยไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร   ซึ่งผมเองก็ยังต้องรับผิดชอบชีวิตเมียและลูกอีกสองคน  จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากมาย


ผมยังโชคดีที่มีเงินเก็บอยู่บ้าง  แต่มันคงช่วยประทังชีวิตครอบครัวของผมไปได้อีกไม่นาน  เพราะลูกสองคนของผมก็ยังต้องเรียนหนังสือ  ไหนจะค่าเทอม  ค่าหนังสือหนังหา  อุปกรณ์การเรียนอีกตั้งมากมาย  ยังไม่รวมค่าเช่าบ้าน  ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่ผมเป็นผู้รับภาระอยู่เพียงคนเดียว  เนื่องจากภรรยาของผมสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง  ผมจึงไม่อยากให้เธอออกไปทำงานหนัก   แค่คิดขึ้นมาผมก็เริ่มปวดหัวแล้วหล่ะ  เพราะไม่รู้ว่าถ้าเงินเก็บหมด  ผมจะหาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านต่อไป  แถมตอนนั้นผมก็ยังหางานทำไม่ได้  แม้จะออกเดินสมัครงานเกือบทุกวัน  แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนยอมรับผมเข้าทำงานเลย


จนวันหนึ่ง   ผมเดินผ่านหน้าอู่ซ่อมรถแท็กซี่ ก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า  ผมน่าจะลองมาขับรถแท็กซี่ดู  เผื่อจะหาเงินเข้าบ้านได้บ้าง  เพราะความรู้อย่างอื่นผมก็ไม่มี นอกจากวิชาการบัญชีที่ร่ำเรียนมา  นอกนั้นที่ผมพอจะทำได้ก็คือการขับรถนี่แหละ  เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็เลยไปปรึกษาภรรยา  ซึ่งผมรู้ว่าเธอจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน  เพราะเราคงไม่มีทางเลือกอย่างอื่น


หลังจากบอกกล่าวภรรยาเรียบร้อยแล้ว  ผมจึงออกไปหาเช่ารถแท็กซี่มาขับ  พอดีมีคนข้างบ้านเขาเคยขับแท็กซี่มาก่อน  เขาจึงแนะนำให้ผมไปเช่ารถที่อู่เสี่ยโชค  โดยให้บอกว่าเขาแนะนำมา  ผมจึงทำตามที่เขาบอก  ซึ่งพอเสี่ยโชค รู้ว่าใครแนะนำผมมา  แกก็เลยเริ่มไว้ใจผมมากขึ้นและตกลงให้ผมเช่ารถมาขับ  โดยผมต้องเสียเงินประกันให้แกจำนวนหนึ่ง


ช่วงแรกผมต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หลังพวงมาลัยทั้งวัน  กว่าจะได้เงินพอค่าเช่ารถและค่าน้ำมัน  ส่วนที่เหลือก็เป็นรายได้ ซึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่  พอส่งรถตามกะแล้ว ผมก็กลับบ้านนอน  เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน ต่อมาผมเห็นว่าขับรถเพียงกะเดียว  รายได้ยังไม่เพียงพอ  จึงเพิ่มเป็นสองกะ ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพียงแค่คืนแรก  ผมก็ถูกต้อนรับน้องใหม่ซะแล้ว  หรือเรียกง่ายๆ ก็เจอดีงัยล่ะ  ขณะที่ผมกำลังขับรถตระเวนหาผู้โดยสารอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันดังแว่วมาจากเบาะหลัง  ผมเลยหันไปมอง  ก็ไม่เห็นใคร เจอแต่เบาะว่างเปล่า  ถ้าเห็นก็คงจะแปลกหล่ะ  ก็ผมยังไม่ได้รับผู้โดยสารขึ้นมาบนรถเลยแม้แต่คนเดียว  แล้วจะไปเห็นใครได้ยังงัยล่ะ

สักพักรถก็มาติดไฟแดงตรงสี่แยกอสมท.  เสียงนั้นก็เงียบไป แต่ทันทีที่ผมเร่งเครื่องเตรียมออกรถ เมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว   เสียงทะเลาะกันก็ดังแข่งกับ   เสียงเครื่องยนต์ขึ้นมาอีก     คราวนี้ผมชักใจไม่ดีแล้วหล่ะ  จึงค่อยๆชำเลืองมองทางกระจกส่องหลัง  ก็ยังไม่เห็นใครอยู่ดี  จะว่าเป็นเสียงจากวิทยุ ผมก็ไม่ได้เปิดนี่นา  แล้วเสียงนั้นมันดังมาจากไหนกันล่ะ


ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เวลาผ่านมาจนจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว  ผมยังไม่ได้ผู้โดยสารเลยซักคน ผมก็พยายามสอดส่ายสายตามองตลอดสองข้างทางแล้วนะ พอมองเห็นคนทำท่าเหมือนจะยืนรอรถแท็กซี่อยู่  ผมก็รีบโฉบเข้าไปใกล้ทันที แต่พอไปถึง ผู้โดยสารก็ไม่ยอมโบกมือเรียก  ตอนแรกผมก็นึกว่า เอ!! สัญญาณไฟว่างหน้ารถเราเสียรึเปล่า  แต่ลงไปดูแล้ว  มันก็ยังทำงานได้ปกติดีนี่นา

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4105

118
ออกแนวโฆษณาไปหน่อย...อ่านเล่นๆ เพื่อ(ใช้ปัญญา)พิจารณากันนะครับ :027:

119
วิญญาณในทะเลสาบ (2/2)

แต่ในขณะที่หลายคนต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น  ก็มีชายคนหนึ่งในกลุ่มของเหล่าฝีพายโวยวายขึ้นมา  พร้อมกับชี้มือไปที่เรือลำใหญ่ซึ่งใช้ประกอบในพิธี  และเมื่อทุกคนหันไปมองตามมือของฝีพายคนนั้น   พวกเขาก็เห็นร่างดำทะมึนของชายคนหนึ่ง   ยืนอยู่บนหัวเรือและกำลังหัวเราะด้วยความสะใจแต่ในตอนแรกไม่ได้มีใครสนใจชายคนที่ยืนอยู่บนเรือเลยแม้แต่น้อย  ทุกคนต่างคิดว่าเขาก็คงเป็นผู้ที่มาร่วมในพิธีคนหนึ่งเท่านั้น

จนกระทั่งชายคนที่ร้องโวยวายขึ้นมา  ตะโกนบอกให้ทุกคนทราบว่า  ชายคนที่ยืนอยู่บนเรือคนนั้น  เป็นเพื่อนของเขาซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เท่านั้นเองชาวบ้านที่มาเข้าร่วมพิธีต่างก็ลุกฮือด้วยความหวาดกลัว  บางคนรีบถอยหนีออกมาให้ห่างจากเรือลำที่เกิดเหตุ บางคนก็เริ่มสวดมนต์ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ขณะที่บางคนรวมทั้งชายคนที่ร้องโวยวายขึ้นมา  ต่างอาศัยความกล้าเดินเข้าไปใกล้เรือลำนั้น  แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าไปถึงตัวชายลึกลับ จู่ๆท้องฟ้าก็กลายเป็นสีแดงเพลิง และทันใดนั้นเอง ร่างของชายลึกลับคนดังกล่าว  ก็ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับสายฝน ที่เริ่มกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

หลังจากเหตุการณ์ระทึกขวัญผ่านพ้นไปได้ไม่นาน ชาวบ้านก็ต่างเข้ามารุมซักถามชายคนที่อ้างว่า เป็นเพื่อนของบุรุษลึกลับคนนั้นด้วยความสนใจ   แล้วพวกเขาก็ได้ทราบความจริงว่า  บุรุษลึกลับคนดังกล่าว มีชื่อว่า นาซิม  เป็นหนึ่งในฝีพาย   ที่กำลังจะได้เข้าร่วมการแข่งเรือในพิธีครั้งนี้  แต่เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา  ก่อนจะถึงวันงาน  นาซิมซึ่งมุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้เป็นอย่างมาก  เพราะเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะนำพาโชคลาภมาให้  เขาจึงมักจะนำเรือลำเล็กออกไปฝึกพายตามลำพังเป็นประจำ

จนกระทั่งวันหนึ่ง นาซิม  เกิดพายเรือเข้าไปชนกับหินโสโครกกลางทะเลสาบ  จนเรือของเขาพลิกคว่ำ  และที่โชคร้ายไปกว่านั้น หัวของเขายังไปกระแทกเข้ากับขอบเรือจนสลบเหมือด  ทำให้เขาไม่สามารถพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาจากน้ำได้  ในที่สุดวิญญาณของนาซิม ก็หลุดลอยออกจากร่าง
 และยังคงวนเวียนอยู่ใน ณ ผืนน้ำอันกว้างใหญ่แห่งนี้   และเชื่อว่าการที่เขามาปรากฏร่างในพิธีครั้งนี้ คงจะเป็นเพราะความผิดหวังที่ตัวเองไม่ได้เข้าร่วมงานตามที่ตั้งใจไว้

และนับตั้งแต่นั้นมา ชาวเมืองเคราล่าในหมู่บ้านคอทตายัมก็มักจะเห็นวิญญาณของ นาซิม มาปรากฏตัวยังบริเวณชายฝั่งของทะเลสาบเวมนาบาดเป็นประจำ  แม้ว่าชาวบ้านจะช่วยกันทำพิธีสวดส่งวิญญาณของเขาให้ไปผุดไปเกิดแล้ว  แต่ดูเหมือนว่า  ความผูกพันธ์ที่นาซิมมีต่อหมู่บ้านแห่งนี้ดูจะยิ่งใหญ่มาก  และคงจะทำให้วิญญาณของเขายังล่องลอยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ไปจนชั่วนิรันดร์

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4084

120
วิญญาณในทะเลสาบ (1/2)



   ทุกๆกลางเดือนกรกฎาคม  ซึ่งเป็นเดือนที่มีฝนตกหนักมากที่สุดในประเทศอินเดีย  ณ เมือง  เคราล่า  รัฐหนึ่งทางตอนใต้สุดของอินเดียตะวันตก ชาวเมืองจะต่างพากันหยุดงาน เพื่อออกมาฉลองเทศกาลปุราม  หรือพิธีเฉลิมฉลองก่อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลินั่นเอง แต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชาวเมืองเคราล่าในหมู่บ้านคอทตายัม  กลับต้องประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา  ท่ามกลางเหตุการณ์สยองขวัญสั่นประสาท  ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอ

 โดยปกติแล้ว  ทุกๆเดือนกรกฎาคม  ชาวเมืองเคราล่าในแต่ละหมู่บ้าน  จะเตรียมเรือของพวกเขาเพื่อนำไปแข่งขันกันในพิธีฉลองเทศกาลปุราม  ซึ่งในวันเทศกาลนั้น   ชาวบ้านในหมู่บ้านคอทตายัมทั้งหญิงและชายต่างมุ่งหน้ามายังทะเลสาบเวมนาบาด  เพื่อเข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์  พร้อมกับนำหม้อดินเปล่าๆติดตัวมาด้วย
เนื่องจากพวกเขาหวังว่าสายฝนจะโปรยปรายลงมา สร้างความชุ่มฉ่ำและนำพาโชคลาภมาให้แก่พวกเขา ซึ่งก่อนที่จะมีการแข่งขันพายเรือ  จะต้องมีพิธีสังเวยเรือโดยใช้ไก่เป็นเครื่องบูชา  จากนั้นชาวบ้านที่เป็นฝีพายก็จะลงไปนั่งประจำที่  ทุกคนต่างนุ่งโจงกระเบนและโพกหัวกันด้วยผ้าสีขาว  โดยมีนายเรือกางร่มสีแดงยืนคอยสั่งการอยู่กลางลำ

ในขณะที่ชาวเมืองต่างพากันวุ่นวาย  กับพิธีกรรมที่จะเริ่มขึ้นตรงหน้าในไม่ช้า ดูเหมือนว่าไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น  บุรุษลึกลับคนหนึ่ง  ซึ่งเข้าไปร่วมอยู่ในขบวนฝีพายบนเรือลำหนึ่งด้วย  นั่นคงเป็นเพราะการแต่งกายของชายคนนั้น  ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเลยแม้แต่น้อย  จึงทำให้ไม่มีใครรู้สึกผิดปกติ

แต่ในขณะที่เรือลำนั้นกำลังจะแล่นออกจากฝั่ง จู่ๆ  ก็เกิดคลื่นขนาดยักษ์พัดเข้ามากระแทกเข้ากับเรืออย่างจัง ส่งผลให้เรือลำใหญ่ถึงกับเอียงวูบ และพาร่างของฝีพายหลายสิบนาย จมหายลงไปในทะเลสาบทันที  ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวบ้านที่ยืนมุงดูอยู่ริมฝั่ง

ไม่กี่นาทีต่อมา  ทั่วทั้งท้องทะเลสาบก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มกว่า 30 คน  โผล่พรวดขึ้นมาบนผิวน้ำ  พร้อมกับตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ  จากนั้นไม่นาน นักประดาน้ำกว่า 10 นายก็มาพร้อมกันที่ชายฝั่ง  และโดดลงไปช่วยเหลือพวกเขาทันที ในขณะที่ชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งก็ต่างหาอุปกรณ์เท่าที่พอจะหาได้  โยนลงไปให้พวกเขาเหล่านั้นเกาะพยุงตัวเองเอาไว้

ทันทีที่ฝีพายกลุ่มแรกขึ้นมาจากน้ำได้ พวกเขาก็ละล่ำละลักบอกกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนฝั่งว่า ในทะเลสาบนั้นจะต้องมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน เพราะขณะที่พวกเขาลอยคออยู่ในน้ำนั้น ต่างรู้สึกเหมือนกับว่า  มีมือของใครคนหนึ่งมาดึงขาของพวกเขาเอาไว้  ทั้งที่ทุกคนในนั้นต่างว่ายน้ำเป็น  แต่มือลึกลับดังกล่าวกลับมีแรงมาก  จนทำให้พวกเขาไม่สามารถพยุงตัวเองเอาไว้ได้   ยังดีที่ความช่วยเหลือมาทันท่วงทีไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะต้องจบชีวิตอยู่ใต้ท้องทะเลสาบแห่งนี้อย่างแน่นอน

หลังจากที่นักประดาน้ำช่วยเหลือเหล่าฝีพายขึ้นมาจากทะเลสาบได้หมด  โดยที่ไม่มีใครเป็นอะไร  เพียงแต่บางคนอาจจะได้รับบาดเจ็บ  ขณะที่แย่งกันว่ายเข้าฝั่งบ้างเล็กน้อย  แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต 
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนที่อยู่ในพิธีเป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติแล้ว ในระหว่างประกอบพิธีฉลองเทศกาลปุราม ที่จัดขึ้นเป็นประจำมานานหลายปี  น้ำในทะเลสาบจะสงบเงียบปราศจากคลื่นลม ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น  แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้   ทำให้พวกเขาต่างพากันสงสัยว่า  มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4084

121
กฎแห่งกรรม เรื่อง ตัดชีวิต (2/2)

แต่ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่เอาหรอก เรากินข้าวกันแล้ว  นายเอาไปทำกับข้าวเถอะ” จากนั้น แบงค์ก็ยืนนิ่งๆ สักพักแล้วก็ตอบกลับมาว่า  “งั้นก็ไม่เป็นไร  เราไปแล้วนะ แล้วต่อจากนี้ เราคงไม่ได้ตกปลาอีกแล้วล่ะ โชคดีนะเพื่อน” จากนั้นก็เดินออกไป โดยไม่รอฟังคำใดๆ จากฉันเลย ฉันเองมองตามแบงค์ที่เดินถือปลา เดินตรงไปทางลิฟท์อย่างงงๆ  ... ฉันมองตามไปสักพัก แล้วอยู่ๆ ก็ต้องขนลุกซู่ .... แทบไม่น่าเชื่อว่า สายตาของฉันจะมองเห็นแต่ร่างของคนที่ไม่มีหัว มีแต่ช่วงลำตัวมาถึงลำคอ ... ฉันคิดว่าฉันตาฝาดจึงขยี้ตาและมองอีกครั้ง ภาพทั้งหมดก็ยังเป็นเช่นเดิม ฉันจึงวิ่งตามไปดู แต่ก็ปรากฎว่า ไม่มีวี่แววของแบงค์เลย ทีแรกฉันคิดว่า แบงค์คงลงลิฟท์ไปแล้ว และได้แต่ภาวนาในใจ ว่าขออย่าให้เกิดอะไรขึ้นเลย ....

แล้วจากนั้น ฉันก็กลับเข้าห้อง ฉันเดินเข้าห้องได้เพียงครู่เดียว ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พอเปิดประตูออกมา ก็เจอสุกับพิมพ์ยืนหน้าตาตื่นแล้วบอกฉันว่า “แบ้งค์ถูกยิง” ฉันเองตกใจแทบช็อค รีบถามมันเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อ เมื่อกี้แบงค์ยังมาหาฉันอยู่เลย สุบอกฉันว่า แบงค์โดนนักเลงดักยิง ส่วนโจก็โดนเหมือนกัน แต่ยังไม่หนักเท่า และทั้งคู่ยังอยู่ในห้องไอซียู ... ฉันเองตกใจมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร และพวกเราก็รีบออกไปที่โรงพยาบาลกัน ...

กว่าที่พวกเราจะไปถึงที่นั่น ก็สายเสียแล้ว  เพราะแบ้งค์ เพื่อนของฉัน กลายเป็นเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ นอนอยู่บนเตียง  ร่างกายของแบงค์ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว ที่หัวมีผ้าพันแผลพันไว้ เพราะเลือดไหลออกมาก  ส่วนแขนซ้ายก็หัก ลำตัวถูกทุบจนเขียวช้ำ  เพื่อนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่า หลังจากที่โจกับแบ้งค์กลับจากตกปลา  ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปเส้นทางที่ค่อนข้างจะมืด และระหว่างทางก็ไปเจอกับพวกนักเลงขี้เมาเข้า ซึ่งคนพวกนั้น ก็ได้มากั้นทางเอาไว้ เพื่อจะปล้นเอาเงินทองไป โจกับแบงค์พยายามขัดขืนต่อสู้ แต่ก็โชคร้าย ที่ถูกพวกนั้นใช้ปืนยิงเข้าใส่   ซึ่งกว่าที่ชาวบ้าน จะผ่านมาช่วยได้ ก็สายเสียแล้ว

 ... ฉันฟังเรื่องนั้น แล้วก็น้ำตาไหล รู้สึกเสียใจ ที่วันนั้นแบงค์ไม่ฟังฉัน ... แต่อย่างไรก็ดี ฉันเองก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มันก็คงเป็นเรื่องของเวรกรรม สิ่งใดที่แบงค์กับโจได้เคยทำกับสัตว์ทั้งหลายไว้ มันก็คงย้อนกลับเข้ามาให้ผล ... และการที่แบงค์มาปรากฎให้ฉันเห็นนั้น ก็คงเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ไปสู่สุคติเถอะเพื่อน


*** กัมมุนา วัตตะตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3981

122
กฎแห่งกรรม เรื่อง ตัดชีวิต (1/2)

ฉันชื่อปอ เป็นนักศึกษาชั้นปีสี่ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ   ฉันไม่ขอบอกนะคะว่าเป็นมหาวิทยาลัยอะไร  เพราะอาจทำให้ใครบางคนไม่กล้าเอนทรานซ์เข้าไปเรียน ... ฉันเองเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเอง จะต้องเจอเรื่องลี้ลับเหล่านี้ แต่แล้ว ฉันก็ต้องมาเจอจนได้ ... บางคนบอกว่าฉันเป็นคนมีบุญ  ฉันเองพยายามคิดว่าก็อาจจะจริง เพราะคนทั่วไปคงจะไม่เจอกันง่ายๆ  และอีกอย่าง ใครคนนั้นที่มาบอกฉัน เขาก็มีเจตนาดี และต้องการให้ฉันนำเรื่องของเขาไปเล่าต่อ เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ไม่ให้คนที่รับฟังทำบาปทำกรรมกันอีก


เมื่อช่วงภาคเรียนซัมเมอร์ของปี 2545 ที่ผ่านมานี้ ฉันและเพื่อนอีกหลายคนได้ลงเรียนวิชาบังคับซึ่งวันๆ หนึ่ง ก็เรียนเพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น และเวลาที่เหลือ พวกเราก็จะได้ไปเที่ยวกัน “เฮ้ย ปอ  พิมพ์  สุ ไปเที่ยวกันไหม ?”  เสียงตะโกนดังมาจากข้างล่างหอพัก  ทำให้ฉันและเพื่อนอีกสองคนโผล่หน้าไปดูทางระเบียง“ไปไหนเหรอ ?” สุตะโกนถาม เมื่อเห็น โจ กับ แบ้งค์  เพื่อนร่วมรุ่น กำลังยืนข้างมอเตอร์ไซค์ ถือเบ็ดตกปลา และเงยหน้ามายังระเบียงห้องของพวกเรา “ไปตกปลาน่ะสิ ไม่เห็นเหรอ


ถือเบ็ดจะให้ไปซักผ้าหรือไง” แบ้งค์ตอบ “ไม่ไปหรอก ถ้าไปตกปลาน่ะ  พวกฉันไม่ชอบทำบาปย่ะ” ฉันตะโกนออกไป พร้อมกับเดินเข้าห้อง ฉันเองรู้สึกเคืองๆ พวกมันเล็กน้อย เพราะเคยเตือนไปหลายครั้งแล้ว ว่ามันเป็นบาปกรรม แต่พวกนั้นก็ไม่เคยเชื่อกันเลย ... ฉันเดินกลับเข้ามาได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์และบึ่งออกไป ซึ่งคาดว่า คงจะเป็นโจกับแบงค์ที่ออกไปตกปลากันนั่นเอง ... ซึ่งสถานที่ประจำ ก็คงจะเป็นอ่างเกษตรแน่ๆ เพราะเคยได้ยินโจบอกว่าถ้าไปทางด้านหลัง เป็นป่ารกๆหน่อย ก็จะไม่มีใครเห็นและไม่มีใครมาเอาผิดทั้งคู่ได้แล้ว ...


เย็นวันนั้น ระหว่างที่ฉันและเพื่อนกำลังจะออกไปกินข้าว ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า น่าจะชวนพวกโจกับแบงค์ไปด้วย .... ฉันและเพื่อนเลยเดินไปเคาะประตูห้องของ 2 คนนั้น  เพราะคิดว่าน่าจะกลับกันมาแล้ว แต่เคาะอยู่สักพัก ก็ไม่มีเสียงตอบอะไร พวกเราก็เลยคิดกันว่า ทั้งคู่คงจะออกไปหาอะไรกินกันแล้วแน่ๆ  จึงออกไปข้างนอก ... หลังจากนั้น เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ฉันก็กลับเข้ามาในห้อง ส่วนสุกับพิมพ์ขอแยกตัวเข้าไปในมหาวิทยาลัย ฉันเปิดทีวีและนั่งดูรายการไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู  (SFX: ก๊อกๆๆ) ฉันจึงรีบเดินไปเปิดประตู... แล้วก็พบว่า คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็คือ แบงค์นั่นเอง ...แบ้งค์มายืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย ตาเหม่อลอย  ที่มือมีปลาที่ถูกขอเกี่ยวไว้ 2-3 ตัว แล้วแบงค์ก็ถามฉันว่า  “อยากกินปลาไหม เราเอาปลามาฝากเยอะเลย” ฉันรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3981

123
ขออภัยหากเรื่องนี้ซ้ำ แต่ชื่อเรื่องไม่ซ้ำ
อ่านเองมาหลายครั้ง...เลยแบ่งปัน

124
เวรกรรมตามลมปาก (2/2)


และนั่น ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินจากลูก แพงหายออกจากบ้านไปเป็นเวลาหลายอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันเองรู้สึกเสียใจ ที่ได้ทำกับลูกอย่างนั้น ... แต่ก็ยังดี ที่สามีของฉันไม่ถือโทษโกรธ และยังให้กำลังใจว่า สักวันลูกก็ต้องกลับมา ... และในที่สุด ในคืนหนึ่ง ฉันกับสามี ก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ ที่โทรมาบอกว่า ลูกของฉันกำลังถูกนำตัวส่งห้องไอซียู ... ฉันกับสามีรีบรุดไปดูลูกที่โรงพยาบาล และได้รับการบอกเล่ากับเพื่อนของลูกที่อยู่ในเหตุการณ์ว่า แพงกับเพื่อนได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่โชคไม่ดี

ที่กลุ่มของแพงได้ไปเจอเด็กวัยรุ่นเมายาเข้า จึงเกิดมีปากเสียงและได้ลงไม้ลงมือกัน ขณะที่แพงกับเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนกำลังพยายามวิ่งหลบแก้วและขวดที่ถูกขว้างปากันอยู่นั้น ก็บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งมาขัดขาแพงเข้า ทำให้แพงเซถลาไปข้างหน้าและปะทะกับเหล็กด้ามใหญ่ที่คู่อริกำลังเงื้อตีเข้ามา ... เหล็กท่อนนั้น ฟาดลงที่ช่วงคอของแพงพอดี (SFX: เสียงดังโพล๊ะ) และหลังจากนั้น แพงก็หมดสติล้มลงไป


 ฉันได้ฟังเพื่อนของลูกเล่าเหตุการณ์อย่างนั้นก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ... เพราะลำพังเวลาที่คอโดนกดหรือโดนใครเอามือบีบ ก็รู้สึกแย่พอแล้ว แต่นี่ลูกของฉันถูกเหล็กท่อนใหญ่ฟาดเข้าไปที่ลำคอ ... ฉันไม่อยากจะนึกภาพเลย ... ฉันกับสามีและแม่นั่งรอดูอาการของลูกอยู่อย่างนั้น จนในที่สุด คุณหมอก็ออกมาจากห้องไอซียู


แม่ : คุณหมอคะ ลูกสาวดิฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ
หมอ : คุณต้องทำใจดีๆ นะครับ เพราะผมมีทั้งข่าวร้ายและข่าวดีมาบอก ... ข่าวดีของลูกคุณก็คือว่า แกปลอดภัยแล้ว แต่ข่าวร้ายก็คือ แกอาจจะพูดไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต เพราะกล่องเสียงของแกแตก ด้วยถูกเหล็กกระแทกอย่างรุนแรง


 กล่องเสียงแตก พูดไม่ได้ ... เป็นคำพูดที่สะท้อนอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ฉันพยายามคิดหาเหตุผลมากมายว่าทำไมเหตุการณ์นี้ ต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน ... หรือว่าสาเหตุมันจะมาจากตัวฉัน ... ฉันวนเวียนคิดไปมาทั้งคืน จนในที่สุด คำตอบที่ได้ก็มาจากปากของแม่ฉันเอง ...
ยาย : มันเป็นกรรมยังไงล่ะนังหนู ... ลูกสาวเอ็งมันทำกรรมด้วยการด่าทอ ให้ร้ายบุพการีและผู้มีพระคุณ กรรมจึงตามลงโทษมัน ทำให้มันต้องเป็นแบบนี้  ... บาปกรรมน่ะ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า เพราะแค่ชาตินี้  มันก็ตามเราทันแล้ว ... ทำใจซะเถอะลูก


 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คงจะทำให้ลูกสาวของฉันคิดได้ ... เพราะแม้แกเองจะพูดอะไรไม่ได้ แต่น้ำตาที่ไหลออกมา ก็ทำให้ฉันรู้ว่า แกคงเสียใจกับการกระทำในอดีตไม่น้อย  ... ฉันเองก็ได้ปลอบใจลูก และได้แต่หวังว่า วันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า บาปกรรมที่แกเคยได้ก่อไว้ อาจจะเบาบางและจางหายไป และวันนั้น อาการของลูกสาวฉันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้   


อาหุเนยยา จะ ปุตตานัง   บิดามารดา เป็นที่นับถือของบุตร


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jnId=3985

125
กฎแห่งกรรม / เวรกรรมตามลมปาก
« เมื่อ: 24 ธ.ค. 2554, 09:54:51 »
เวรกรรมตามลมปาก (1/2)


เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน  ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่งและเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
แพง : แม่ แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!! โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะเหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ...


 นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ... สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง


แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม
แม่ : เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น
แพง : โอ๊ย 500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว  ... แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนู
ไม่อยากจะทะเลาะด้วย ... อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่า
ลืมทำกับข้าวเผื่อนะคะ  แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู เพราะยายกินข้าวหก
เลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา ..


 นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน  ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ...  แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ
แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก
 วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า


ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู  ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูกคนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน


 ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด
 วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ


แพง : ยาย ยายทำบ้าอะไรเนี่ย .. ยายรีดเสื้อประสาอะไร ทำไมมันไหม้อย่างนี้ล่ะ ...เสื้อตัวนี้ แพงซื้อมาตั้งเท่าไร รู้มั๊ย ...  โง่จริงๆ เลย แก่แล้วยังไม่เจียมอีก รีดไม่เป็นวันหลังก็ไม่ต้องมาทำสิ ...
แม่ : แพง โวยวายอะไรกับคุณยายน่ะลูก
แพง : ก็คุณยายน่ะสิคะ ทำเสื้อแพงไหม้เป็นรู อย่างงี้จะไม่ให้ด่าได้ยังไงล่ะ แพงจะใส่วันนี้ด้วย
แม่ : แพง คุณยายเขาอุตส่าห์รีดให้นะลูก ขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
แพง : แม่พูดอย่างงี้ได้ยังไง คุณยายเป็นคนผิดนะ จะให้แพงขอโทษน่ะเหรอ ไม่มีวันซะหรอก
แม่ : แม่บอกให้แพงขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
แพง : แม่ฝันไปเถอะว่าแพงจะขอโทษคุณยาย...งี่เง่า!!
(SFX: ฉาด)
แพง : แม่
แม่ : แม่ไม่เคยสอนให้หนูเป็นคนอย่างนี้เลย แต่ทำไมหนูถึงกลายเป็นคนก้าวร้าวเห็นแก่ตัวอย่างนี้ แม่ทนมานานแล้วนะแพง ทำไมหนูทำแบบนี้
แพง : แม่ แม่จำไว้เลยนะ แม่ตบแพง ... แม่ตบตีลูกตัวเอง แม่จะต้องได้รับกรรม
(SFX: เสียงวิ่งออกไป)

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jnId=3985

126
สำรวจตัวเองหรือยัง

 สำรวจตัวท่านเองให้ดีว่าทำไมทุกวันนี้มีแต่จนลงมีแต่ความทุกข์มีแต่หนี้สินใช้หนี้ไม่มีวันหมด
    ครอบครัวไม่ทีความสุขพยายามหาทางแก้ไขก็ไม่มีใครช่วย พอมีคนจะช่วยก็เหมือนมีอะไรมา
    ปิดหูปิดตามบังไม่ให้เห็นทางแก้ปัญหา ไหวพระขอพรและบนบาลศาลกล่าวก็ไม่ประสบผล
    สำเร็จ

 ตราบใดที่เจ้ากรรมนายเวรยังไม่มีความสุขยังรับทุกข์ทรมานอยู่ ตราบนั้นตัวท่านจะไม่มี
    วันที่จะมีความสุขได้เลยปัญหาครอบครัว ปัญหาหนี้สิน ปัญหาการทำงาน ปัญหาค้าขาย
    มีแต่ขาดทุน จะยิ่งทวีความรุ่นแรงมากขึ้น จนท่านคิดที่จะฆ่าตัวตาย

 ผมไม่ใช่เทวดาจะแก้กรรมให้ใครได้ แต่ผมรู้วิธี "หยุดเวรต่อเวร หยุดกรรมต่อกรรม"

 

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
วิธีหยุดเวรต่อเวร หยุดกรรมต่อกรรม

 วิธีหยุดเวรต่อเวรหยุดกรรมต่อกรรม เริ่มจาก
 หมั่นใส่บาตรพระกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้มากขึ้น ,รักษาศีล ๕ ให้ได้
 ทำสังฆทานในโอกาสที่ทำได้
 ทำทานกับทุกคน ปล่อยนกปล่อยปลาและสัตว์ที่ทุกข์


ที่มา
http://www.thailawyer.net/jaekrrnayva/jaekrrnayva/jaekrr.php

127


ที่มา
http://www.thailawyer.net/jaekrrnayva/jaekrr.php

129
น่าปฏิบัติอย่างยิ่ง :015:

130
ตำนวนบ้านผีสิง


ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกกับการสังสรรค์หลากหลายวิธี บ้างก็จัดงานเลี้ยง บ้างก็ไปหาเพื่อน บ้างก็ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่เคยรู้กันมาก่อนเลยว่า

ประวัติของสถานที่นั้นๆเป็นมาอย่างไร วันหนึ่งกลุ่มเด็กวัยรุ่นได้ทำการเลี้ยงส่งเพื่อนๆด้วยการพาไปเที่ยวในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่สามารถออกนามได้

สถานที่แห่งนั้น มีอุปกรณ์สร้างความสนุกหลากหลายชนิด ซึ่งก็มีบ้านมีผีสิงตามเคยเหมือนสวนสนุกอื่นๆ บ้านผีสิงแห่งนี้ไม่เป็นที่นิยมนักเพราะตั้งอยู่

บนบริเวณมุมอับของสวนสนุกซึ่งยากนักจะมองเห็นถ้าไม่สังเกตุจริงๆ นานทีจะมีผู้เล่นมาใช้บริการบ้านผีสิงนี้ บ้านผีสิงแห่งนี้ไม่มีใครทราบว่าประวัติเป็นมา

เช่นไร บ้างก็ว่าสั่งทำหุ่นต่างๆจากต่างเมือง ต่างประเทศบ้าง บ้างก็ว่าเก็บศพจากต่างเมืองมาทำความสะอาดและนำมาดัดแปลงและนำมาโชว์

กลุ่มวัยรุ่นที่เดินผ่านมาไม่มีใครสนใจเลยซักนิด ยกเว้นเพื่อนคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคัก วิ่งหลบเข้าไปในบ้านผีสิง จึงสร้างความสงสัยมากให้

แก่เด็กหนุ่มวัยรุ่น เขาจึงชวนเพื่อนๆ พากันเดินไปออกันอยู่หน้าบ้านผีสิง ในขณะที่กลุ่มเด็กหนุ่มกำลังเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นผู้ที่เข้าไปก่อน มีมือซีดเซียว

เล็กเรียวโผล่ลอดออกมาจากประตูทางเข้าโทรมๆ และกระชากมือเพื่อนคนหนึ่งเข้าไปด้วยแรงมหาศาล

เด็กหนุ่มตัวปลิวกระเด็นเข้าไปในกระแทกประตูกำแพงเสียงดังโครมคราม และ กึกก้อง เพื่อนๆต่างตระหนกและทำอะไรไม่ถูกจึงพากันวิ่งตามเข้าไป

ทางเดินข้างในไฟสลัวมาก ! กลุ่มเด็กหนุ่มยังคงตระหนกกับเหตุการณ์นั้น เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าได้ยินเสียงเพื่อนของเขาร้องครวญครางอยู่ทางมุมห้องด้าน

ซ้าย เขาจึงไปเดินเข้าไป ! กลุ่มเด็กหนุ่มเดินต่อไปตามทางเดิน ในขณะนั้นเพื่อนคนที่สองก็บอกว่า เหมือนจะได้ยินเสียงเพื่อนของเขาร้องห่มร้องไห้

เหมือนเสียใจอะไรซักอย่างแบบหนักอึ้งในขณะที่เพื่อนๆไม่มีใครได้ยินเลย เขาจึงเดินเข้าไป ! เหลือเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร และไม่ได้

ยินเสียงอะไรเลย เขาเดิน เดิน และเดินต่อไปจนเห็นทางแยกซึ่งเป็นทางสามแยก คนหนึ่งไปทางซ้าย อีกคนหนึ่งไปข้างหน้า

ก่อนหน้านันเด็กหนุ่มที่ปลีกตัวไปทางด้านหน้าสะกิดใจว่า เพื่อนเค้าต้องอยู่ข้างมุมขวานั้นแน่ๆ เพราะเค้าเห็นคนวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินจะมองทัน แต่ในเ

เสี้ยววินาทีนั้นเขาสังเกตุเห็น เด็กผู้หญิงวิ่งตามเพื่อนเขาไปด้วย เขาจึงเกิดความกลัวและเห็นแก่ตัวตามสัณชาติญาณ

เป็นเวลานานมากกว่าเพื่อนๆจะมาพบกันในทางออกของบ้านผีสิง

เหลืออีกคนหนึ่ง...ซึ่งยังเดินวนเวียนไปวนเวียนมา จนมาเจอ

ผีตัวที่ 1 เป็นผีผูกคอ เมื่อเดินผ่านก็มีเสียงจากเครื่องขยายเสียงทำงาน

ผีตัวที่ 2 เป็นผีคนคุก ผีตัวที่ 3 เป็นผีผมยาวปิดหน้าปิดตา เขาเดินต่อไป ต่อไปเป็นเวลานานจนมาถึงผีตัวสุดท้าย

ผีตัวที่ 13 ลักษณะของผีตัวนี้แปลกๆ เป็นเด็กสาวผมยาวสลวย อยู่ในห้องคนคุกเดินวนไปวนมาอยู่ในคุก เขาสงสัยมากว่าทำไมกลไกของผีตัวนี้ดูน่าสนใจ

ยิ่งนัก เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ เธอหยุดนิ่ง และท่าทางดูสงบ เธอค่อยๆหันหน้าขึ้นมาและถามว่า "เธอต้องการอะไร" เด็กหนุ่มตอบไปอย่างทันควันว่า

"ผมอยากออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด" ผีเด็กสาว ยิ้ม เธอยิ้มและขำเสียงดังจนดูเหมือนเส้นเสียงในคอของเธอจะปิดปกติจนเธอสำรอกออกมาเป็น

เลือด !!

และทันใดนั้นเอง เด็กสาวเดินมาอย่างรวดเร็วและจับแขนเด็กหนุ่มพาวิ่งไปหาแสงจ้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางออกแต่ ไม่ใช่ !!~ มันไม่ใช่

...

เคยมีตำนานว่า บ้านผีสิงทุกแห่งจะมีผีตัวจริงซุกซ่อนอยู่ ซึ่งตามหลักของศาสนาคริสต์แล้ว เลข13 เป็นเลขอัปมงคล

นั่นก็คือ ทุกบ้านผีสิง..........ผีตัวที่ 13 คือ ตัวจริง !!!!!!   


ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=452365

131
หญิงชรากับบ้านปิดตาย ของจริง


ยามที่คุณเดินผ่านบ้านไม้เก่าๆที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในยามราตรีคุณรู้ศึกยังไง แต่สำหรับผมมีความรู้เหมือนมีคนจองมองผมอยู่ที่บ้านไม้หลังนั้น แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกลับหันไปมองบ้านไม้หลังนั้น เพราะความหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ และผมก็พญายามเดินหน้าต่อไป ด้วยอาการสั่นๆ และในที่สุดสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง เสียงนั้นมันดังมากๆ จงทำให้ผมสะดุ้งตกใจและวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว...............................

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว ตำบลxxxxx
มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของชาวบ้านมีประมาน100คนได้และผมก็ต้องมาด้วยเพราะพ่อผมเป็นเจ้าภาพ จัดงานอยู่ที่สวนไกลออกจากหมู่บ้านเล็กน้อยเวลาประมาน 4 ทุ้มทุกคนที่นั้นก็กินอิมหนำสำราญกันอยู่ตามปกติ แต่สำรับพวกผม7คนนั้นก็เป็นพวกสำรวจชอบไปป่าบ้างไปหนองน้ำบ้าง และในที่สุดเวลาก็ลวงเลยมานานมากกับการสำรวจ นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของผมบอกเวลาว่า ตีหนึ่ง ผมก็เลยบอกทุกคนว่า"พี่จะเล่นผีถวยแก้ววะ ใครจะเล่นด้วย" มีคนประติดเสด3คน คือ ฟลุ๊ก แนน และแพ(กระเทย ทอม ทั้งนั้น)ผมก็เลยไม่ห้ามแต่กฎมีอยู่ว่าถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเกมผีถ้วยแก้วนั้นห้ามมองดูหรืออยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขาให้กับไปที่งาน และพวกผมก็เริมเล่นกัน 4 คนมี พิษ นน ฟรีม และผม(คิม)วิธีการล่นต้องกระดานให้พร้อมและก็จุดธูปเชินวิญาณและก็เอาควันธูปไส้เข้าไปในแก้วแต่เล่นไปมากวิญาณก็ไม่เข้าแก้วสักที่ จงเราจะเลิกเล่นแต่อยู่ดีๆ ก็มีคนเดินมาทางที่พวกผมกำลังเล่นกันอยู่ และเดินเข้าพูดว่าอยากเล่นแบบเจอผีไหม พวกผมทุกคนก็พูดว่า"อยากๆครับ" สภาพของชายแก่คนนั้นเหมือนกับคนจรจัดไม่มีผิดอายุราว 80 แต่ผมก็ไม่ได้นึกอะไรเขาบอกว่าตามมา แต่ก็มีไอ้ นน บอกว่า"ไม่ไว้ใจเลยพี่กลัวมันจับไปฆ่า" ผมก็เลยบอกว่าไม่ไปครับ เขาก็อยากให้พวกเราไป เขาก็เลยให้เราค้นตัวว่ามีอาวุธไหม และ ให้ดูบัตรประชาชนแต่ผมเห็นบัตรนั้นมันนานมากและหมดอายุไปนานแล้ว ผมก็เลยถามว่า"ตาทำไหมไม่ไปต่ออายุ"ชายแกคนนั้นบอกว่า"ตาไม่มีเวลาไปสักที่" ผมก็เลยไม่สนใจอะไร ทุกคนตัดสินใจว่า:ไปก็ดีไหนไหนก็เคยไปบ้านร้างมาแล้วตาแกแก่มากทำอะไรเราไม่ได้หลอก" และทุกคนก็ไปกันประมานครึ่งกิโลเมตรได้ และมาถึงบ้านร้างเก่าๆ และเราก็เริ่มเล่นกัน แต่ตาไปไหนไม่รู้ และในที่สุด ฟรีมก็พูดขึ้นว่า"คนอยู่ตรงหน้าต่าง"ผมก็เลยไม่เชื้อคิดว่าคงเป็นสัตว์มากกว่าคน เพราะสภาพบ้านนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเป็นบ้านร้างไม้เก่าที่อยู่ในป่าทึม แต่มันหน้ากลัวเกินกลัวคนจะมาอยู่ได้ ผมก็เลยบอกว่า"หน้าจะเป็นแมวมากกว่าวะ"และฟริมพูดอีก"คนๆไม่ใช้แมว"ผมก็เลยมองเข้าไปที่หน้าต่างก็เห็นฆญิงชรากำลังมองดูพวกผมอยู่ในตัวบ้านผมก็เลยร้องกรีดและกระโดดไปมา และทุกคนในนั้นก็เห็นเหม์อนผม และก็บอกว่า"ห้ามวิ่ง เดินไปด้วยกันจับมือกันไว้และเดินไปข้างหน้าช้า"ความรู้สึกต้องนั้นกลัวมากคิดอยู่ในใจ "มาได้ยังไงวะ"แต่เสียงหญิงชราก็ร้องขึ้นว่า"พวกมึนจะไปไหน กูพูดได้ยินไหม กูบอกว่ามาหากู กูจะเอามพวกมึนมาตายแทนกู"พูดอยู่อย่านั้นไปเรื่อยๆ พวกผมก็ร้องไห้(เขียนไปหน้ากลัวมากครับ)แต่ว่าลุงที่พาพวกผมมานั้นก็บอกว่า"จะไปไหนไปตายแทนเมียกูเดียวนี้"และหญิงชราคนนั้นมาทางด้านผมหน้าตามีเลือดเต็มตัวตาแดงผิวขาวเสื้อลายดอก แต่พวกผมก็ไปต่อไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ จนมีร่างของคนแกคนหนึงไส้ชุดสีขาว เป้นผู้ชายพูดว่า"ปล่อยพวกเขาไปเถะฉันขอร้องเขายังเด็กอยู่นะฉันของ"ผมมีความรู้สึกเชื้อเรื่องผีขึ้นมาเลย และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปมีแต่ตาแกจรจังที่พาพวงเรามา ในต้องนั้นเหมือนมีพลังที่จะวิ่งออกไปจากที่นั้นได้ และพวกผมก็วิ่งไปสวนกับชายแกจรจัง และวิ่งต่อไปจงถึงงานเลียงเวลาประมานตี 4 ทุกคนในงานลวนกับกันเกือบหมดแล้ว ผมก็เลยเราเรื่องทั้งหมดให้ ตาจอม ฟัง ตายเขาบอก"สมัยก็บ้านหลังนั้นเป็นบ้านชาวสวนสองผัวเมียชราคู่หนึ่งอยู่อย่างมีความสุด แต่อยู่มาวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านและฆ่าหญิงชราทิ้งด้วยการเผาทั้งเป็น และสามีของหญิงชรากับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิเดียว และสุดท้ายเขาก็ตามหาคนที่จะไปตายแท้หญิงชรา เพื่อให้ได้ไปผุกไปเกิด" เรื่องนี้เป็นเรื่องผมไม่อยากจะเล่าเลยที่เพือนอยากให้เขียน ติดตามตอนต่อไปได้เลย เรื่อง คำสาปแห่งความรัก ลาก่อนนะครับของให้ไม่เจอผีหลอกเหมือนผม      

ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=453659

132
ประสบการณ์วิญญาณ / ผีในคุก
« เมื่อ: 21 ธ.ค. 2554, 09:14:12 »
ผีในคุก


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งที่อดีตเคยเป็นเรือนกักขังนัก โทษเก่ามาก่อน จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นดินแดนที่ใช้ประหารนักโทษมากมายหลายศพจนนับไม่ถ้วน!! นักเรียนชมรมสังคมต้องอยู่ศึกษาประวัติที่โรงเรียนจนดึก กว่าอาจารย์จะปล่อยกลับก็ล่วงเลยเวลามาเกือบสี่ทุ่ม ห้องสังคมนั้นตั้งอยู่ที่ตึก 5 ชั้น 3 บริเวณมุมด้านหลังสุด ดังนั้น เมื่อจะกลับก็ต้องเดินจากด้านหลังมาลงบันไดด้านหน้า ขณะที่ตามรายทางก็มีไฟเพียงไม่กี่ดวง

ระหว่างที่เหล่านักเรียนสังคมต่างรีบเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่า “ลิง” ดันลืมโทรศัพท์มือถือไว้จึงต้องเดินกลับไปเอา พร้อมบอกให้ “นัด” เพื่อนสนิทรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน จะรีบไปรีบกลับ ขณะที่ครู และเพื่อนคนอื่นๆ ต่างรีบกลับจึงขอตัวไปก่อน ขณะที่ “นัด” รอเพื่อนอยู่เพียงลำพังนั้น ก็เกิดได้ยินเสียงเพลงคล้ายๆ รำสวด แล้วก็เสียงคนตะโกนโวยวาย “อย่าๆๆๆ ผมไม่ไป ปล่อยผม !!!! อย่าทำผมเลย” วินาทีนั้น “นัด” เริ่มแปลกๆ ที่ดึกแล้วจะมีใครมาตะโกนร้องแบบนี้ได้

เวลาผ่านไปสักพัก เสียงทุกอย่างเงียบไปจนน่าวังเวง “นัด” เริ่มรู้สึกกลัว พยายามมองซ้ายมองขวา แต่เพื่อนที่ไปเอาของก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้เริ่มมีเสียงคล้ายๆ คนลากอะไรซักอย่างคล้ายโซ่แว่วมา มันเริ่มดังขึ้นๆ ๆ แล้วก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ๆ จังหวะนั้น “นัด” ทนไม่ไหวจึงคิดที่จะวิ่งหนีออกไป แต่พรึ่บบบ มีมือหนึ่งมาจับที่แขนของเธอไว้ แต่พอหันไปก็พบว่าคนที่มาจับมือคือ “ลิง” เพื่อนสนิทของเธอเอง.. “นัด” รีบถาม “ลิง” ว่าได้ยินเสียงคนลากอะไรหรือเปล่า ? ซึ่ง “ลิง” ก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “ได้ยิน เสียงคล้ายโซ่ใช่ไหม” เท่านั้นแหละทั้งสองคนต่างจับมือวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิต

ระหว่างที่วิ่งลงตึกอยู่ดีๆ “นัด” สะบัดมือ “ลิง” ออกอย่างกระทันหัน!! แล้วเดินกลับไปทางเดิมราวกับเหมือนโดนสะกด “ลิง” รู้แล้วว่าเพื่อนต้องโดนอะไรบางอย่างแน่ๆ จึงวิ่งไปหาพร้อมเขย่าตัว และตบหน้าเรียกสติเพื่อนอย่างนัด” กับ “ลิง” ไม่รีรออะไรแล้ว ทั้งคู่รู้แก่ใจแล้วว่าเป็นสิ่งลี้ลับแน่นอน จึงรีบวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิตจนกระทั่งไปชนกับใครคนหนึ่ง โครมมม !! พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าคนที่ชนนั้นคือ “คงพ่อของลิง” คนเก่าแก่ของโรงเรียน ทั้งสองจึงเล่าเรื่องที่เจอให้ลุงคงฟังทันที

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากนักเรียนทั้งสอง ลุงคงถึงกับตกใจ พร้อมเตือนว่า “ทำไมถึงไม่รีบลงมาพร้อมกันเยอะๆ ที่นี่เฮี้ยนมาก ลุงยังไม่กล้าขึ้นไปเลย หลายปีก่อนเคยมีเด็กหายไปไม่มีแม้กระทั่งศพ” สองสาวได้ฟังถึงกับสั่นผวา ด้าน “นัด” ก็เล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่สะบัดมือ “ลิง” เพราะระหว่างวิ่งได้หันกลับไป เห็น “ลิง” ยืนอยู่ จึงสะบัดมือออกเพราะคิดว่าเป็นมือผี แต่พอเดินไปหา “ลิง” ร่างของลิงก็กลับเปลี่ยนเป็นผู้ชายเหมือนนักโทษมีโซตรวนคล้องขาอยู่ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีถูกตบหน้า

นับแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครได้พบเห็นสองสาวนักเรียนสังคมนั้นอีกเลย เพราะอาจจะลาออกไปเรียนที่อื่น แต่เรื่องนี้ก็ยังคงถูกบอกเล่าจากปากต่อปากสู่รุ่นน้องที่เข้ามาเรียนโรงเรียนแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ..

ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=460486

133
ธรรมวิจยะ พระอาจารย์ชา สุภัทโท : ตอนที่ 3
วันที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15:51:25 น.


  เงาสะท้อน “วัตถุ” กับ “จิต” 
 
มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอนระหว่างไก่ป่า กับ แมงมุม
 
ไม่เพียงเพราะอย่างแรกอยู่บนพื้นดิน ไม่เพียงเพราะอย่างหลังอยู่บนต้นไม้ อยู่ตามอาคารบ้านเรือน
หากที่สำคัญ ๒ สัตว์นี้มีภาวะแห่งการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมือนกัน
 
อย่างหนึ่งจรไปในไพรกว้างและหาอาหาร อย่างหนึ่งสงบนิ่งอยู่ในที่ตั้ง รอคอยอย่างนิ่งเงียบ เยือกเย็น
จากไก่ป่า เมื่อสัมผัสเข้ากับแมงมุม ก็มองเห็นทวิลักษณะ
 
เพียงแต่เป็นทวิลักษณะแห่งการไหวเคลื่อน เสมือนกับว่าไก่ป่าเดินหน้าไปอย่างไม่พรั่นพรึง ขณะที่แมงมุมใช้ความสงบเข้าสยบการเคลื่อนไหว
 
กระนั้น ไม่ว่าจะเป็นไก่ป่าไม่ว่าจะเป็นแมงมุม ในที่สุดแล้วก็นำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุกับจิต
ดังพระอาจารย์ชา สุภัทโท เล่า ณ ที่ประชุมสงฆ์วัดหนองป่าพงระหว่างพรรษาปี ๒๕๑๙ ดังนี้
 
ได้เห็นแมงมุมเป็นตัวอย่าง แมงมุมทำรังของมันเหมือนข่ายมันสานข่ายไปขึงไว้ตามช่องต่างๆ
เราไปนั่งพิจารณาดู มันทำข่ายขึงไว้เหมือนจอหนัง เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวมันเองเงียบอยู่ตรงกลางข่าย
ไม่วิ่งไปไหน
 
พอมีแมลงวันหรือแมลงอื่นๆ บินผ่านข่ายของมัน พอถูกข่ายเท่านั้นข่ายก็จะสะเทือน พอข่ายสะเทือนปุ๊บ มันก็วิ่งออกจากรังทันทีไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหาร
 
เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวมันไว้ที่กลางข่ายตามเดิม
 
ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่ายของมัน พอข่ายสะเทือนมันก็วิ่งออกมาจับแมลงนั้นแล้วก็กลับไปเกาะนิ่งอยู่ที่ตรงกลางข่าย
 
ไม่ให้ใครเห็นทุกทีไป
 
อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ ใจอยู่ตรงกลาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แผ่พังพานออกไป
อารมณ์นั้นเหมือนแมลงต่างๆ
 
พอรูปมาก็มาถึงตาเสียงมาก็มาถึงหู กลิ่นมาก็มาถึงจมูก รสมาก็มาถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็มาถึงกาย
ใจเป็นผู้รู้จัก มันก็สะเทือนถึงใจ
 
เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้เหมือนแมงมุม ที่เก็บตัวไว้ในข่ายของมัน ไม่ต้องไปไหน พอแมลงต่างๆ มันผ่านข่ายก็ทำให้สะเทือนถึงตัว รู้สึกได้ก็ออกไปจับแมลงไว้ แล้วก็กลับไปอยู่ที่เดิม
 
ไม่แตกต่างอะไรกับใจของเราเลย
 
อยู่ตรงนี้ ให้อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ อยู่ด้วยความระมัดระวังอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยความคิดถูกต้อง
เราอยู่ตรงนี้ เมื่อไม่มีอะไรเราก็อยู่เฉยๆ แต่ไม่ใช่อยู่ด้วยความประมาท
 
ดูแมงมุม แล้วก็น้อมเข้ามาหาจิตของเรา มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าจิตเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็วาง
ไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์ อีกแล้ว
 
ระหว่างแมงมุมกับแมลง  จึงเห็นได้ว่ามีตาข่ายเป็นตัวกลาง
 
เหมือนกับตัวเรากับปัจจัยภายนอก เหมือนใจของเรากับธรรมารมณ์ อันก่อให้เกิดขึ้นหลังจากอายตนะทั้ง ๖ ได้ประสบ
 
อยู่ๆ จิตจะผุดพร่างเผยแสดงตัวตนได้ละหรือ
 
ที่สำคัญ ต้องมีปัจจัยจากภายนอกเข้ามาสัมผัส เข้ามาสัมพันธ์กับอายตนะ ๖ อย่างที่ปรากฏ นั่นก็คือ พอรูปมาก็มาถึงตา เสียงมาก็มาถึงหู กลิ่นมาก็มาถึงจมูก รสมาก็มาถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็มาถึงกาย
 
ขณะที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหมือนกับปัจจัยภายนอกอันมามีผัสสะกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตาข่ายแห่งแมงมุมจึงเท่ากับเป็นเงาสะท้อนระหว่างวัตถุกับจิตด้วยประการฉะนี้

ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1323421341&grpid=no&catid=&subcatid=

134
ขอบคุณครับ

135
4วิธีดึงสติสร้างสมาธิ
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม 2554 เวลา 00:00 น.



ปรารถนาจะเรียนหนังสือเก่ง ทำงานดี มีความจำเลิศ อย่าละเลยการสร้าง “สมาธิ” ตัวช่วยสำคัญหยุดจิตสับสน ว้าวุ่น ทำสมองปลอดโปร่ง ฝึกง่าย ๆ ด้วย 4 วิธี

สร้างสมาธิก่อนเรียน หรือ ทำงาน โดยนั่งบนเก้าอี้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหลับตา เพียงให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก กำหนดจุดเพ่งมอง ปฏิบัติประมาณ 5-10 นาที ช่วยขจัดความยุ่งเหยิงทางใจ สมองคลายเครียด พร้อมใช้ความคิด ทั้งยังรับรู้ และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น

ลดความเร็วในการเดิน ให้จิตใจจดจ่ออยู่กับการก้าว สลับกับพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัว ช่วยผ่อนคลายความเครียด และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต สามารถประยุกต์ใช้เมื่อเดินเล่น เดินไปเรียน และทำงานได้

รับประทานช้าลง โดยค่อย ๆ ตักอาหาร และเคี้ยวให้ละเอียด ไม่เพียงลดอาการท้องอืด และลดการทำงานหนักของกระเพาะอาหาร ยังเป็นการฝึกรวบรวมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำด้วย

เลี่ยงคาเฟอีนเข้มข้น แม้คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ลดความง่วง เหนื่อยล้า เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็ว และมีสมาธิขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับในปริมาณไม่มากเกินไป โดยเฉพาะวัยเรียน อาจลดความเข้มข้นจากการดื่มกาแฟเป็นชาแทน

หากต้องการกำจัดความฟุ้งซ่าน เข้าสู่โหมดสงบ มีสติ ลองสร้างสมาธิด้วยวิธีข้างต้น สามารถฝึกปฏิบัติได้ทุกที่ เมื่อสติมาปัญญาย่อมเกิดแน่นอน.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
http://www.dailynews.co.th/citizen/2804

136
ขออนุญาตนำบทความของท่านพระอาจารย์มาแจมด้วย จาก fb

อ้างถึง
Ravee Sajja
‎.......การคิดและพิจารณาธรรมนั้น จะรู้ว่าสิ่งที่เรารู้และเข้าใจนั้นถูกต้องหรือไม่
ก็ต้องใช้การสงเคราะห์เข้าหาหลักธรรมทุกหมวดหมู่ในธรรมที่คิดว่ารู้และเข้าใจ
เพราะธรรมทั้งหลายนั้นจะไม่มีการขัดแย้งกัน ธรรมจะสงเคราะห์และอนุเคราะห์
ซึ่งกันและกันในทุกหมวดหมู่ และเมื่อได้ลองเทียบดูแล้วเกิดความขัดแย้งกัน
ให้หันกลับมาพิจารณาที่ความคิดของเราว่ามีความคิดเห็นคลาดเคลื่อนจากความ
จริงในจุดไหน มีอะไรเป็นเหตุและปัจจัยที่ทำให้เรามีความคิดเห็นเป็นอย่างนั้น
อย่าไปวิจารณ์ธรรมตีความหมายขยายความในหัวข้อธรรมเพื่อให้รองรับความคิด
เห็นของเรา จงกลับมาดูที่ความคิดเห็นของเรา อย่าได้เข้าไปปรับเปลี่ยนหลักธรรม
หลักธรรมนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่คู่กับธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว แต่ความคิดเห็นของเรานั้น
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นความรู้และความเข้าใจที่เกิดจากทิฏฐิอัตตา
อย่าไปปรับหลักธรรมเข้าหาความคิดเห็นของเราเพื่อให้รองรับความคิดเห็นของเรา
จงปรับความคิดของเราเข้าหาหลักธรรม ความรู้ความเห็นทั้งหลายที่สงเคราะห์เข้า
ได้กับทุกหมวดหมู่ของหลักธรรมนั้น คือความคิดเห็นที่ถูกต้องตามหลักแห่งธรรม
ที่จะนำไปสู่ความรู้และเข้าใจในธรรมที่ยิ่งขึ้นไปในข้อธรรมทั้งหลาย....

137
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (ุ9/9)

เต่าให้การว่า “ครั้งหนึ่งที่เขามีชีวิตเป็นเต่า มีคนชอบดื่มสุราจับเอาไปหวังจะฆ่าเพื่อทำอาหารแกล้มสุรา คนๆ นี้ได้ช่วยให้เขารอดชีวิต คือขอซื้อจากนักเลงสุรานั้น แล้วเอาเขาไปปล่อยไว้ในสระวัดหนึ่ง เมื่ออยู่ในสระนั้น พระท่านเอาอาหารมาเลี้ยงอิ่มหนำสำราญ เขาอยู่มาจนสิ้นอายุขัย จึงตายตามสภาพของการสิ้นอายุ”

พยายมถามว่า “มีหลักฐานอะไรเป็นเครื่องยืนยัน”
 
เต่าบอกว่า “เขาเขียนชื่อติดไว้ที่อก” เขาจึงนอนหงายเพื่อแสดงหลักฐาน
 
เมื่อเจ้าหน้าที่ดู ปรากฎว่าเป็นชื่อพี่สาวท่าน แต่ทว่าพี่สาวเป็นคนออกเงิน ท่านเป็นคนซื้อและนำไปปล่อย นายบัญชีเปิดบัญชีพบตามนั้น เป็นอันว่าท่านได้อาศัยเต่าช่วยไว้ ไม่ต้องไปเกิดเป็นไก่และนกกระจาบให้เขาฆ่ากินชั่วคราว ใครจะว่าสงเคราะห์สัตว์ไม่ดีก็ตามใจเถิด ท่านว่าท่านเห็นคุณในการสงเคราะห์สัตว์แล้ว สมัยที่ท่านเล่าเรื่องนี้ ท่านว่าท่านปล่อยสัตว์ทุกปี ปีละหลาย ๆ คราว คราวละมาก ๆ ท่านว่าสัตว์เคยช่วยท่าน ท่านไม่ยอมฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเลย

ท่านพระยายมเมื่อเห็นหลักฐานอย่างนั้น ก็บอกท่านว่า “เธอกลับไปได้ เมื่อกลับแล้ว จงอย่าทำบาปกรรมทำชั่วอีกนะ ถ้าขืนทำไม่มีใครช่วยได้ จะต้องรับผลกรรมเป็นทุกข์ โดยเฉพาะสัตว์ที่มีอายุมาก เช่นจระเข้ เสือ ช้าง เต่า สัตว์พวกนี้มีอายุมาก จะต้องเกิดชดใช้ตามอายุสัตว์ มีเวลานานมากกว่าจะไปรับผลความดีเป็นเทวดา”

ท่านมีกำลังใจขึ้น ถามพระยายมว่า “ทำบุญอะไรไว้จึงได้มาเกิดในที่นี้ มีบ้านเรือนสวยงามมาก มีคนรับใช้ก็มากมาย”

พระยายมตอบว่า “ต้องสร้างสาธารณะสถาน เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เป็นต้น เมื่อใช้กรรมชั่วหมดแล้ว ก็จะต้องมีโอกาสมาอยู่ที่นี้”

ต่อจากนั้นก็สั่งให้คนนำไปชมสถานที่ต่างๆ ไปดูคนที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเดินตามเจ้าหน้าที่ไป ได้เห็นสวนต้นไม้สวยสดตระการตา มีสีสันคล้ายแก้ว ดูระยิบระยับแพรวพราว ไม่เหมือนต้นไม้บ้านเรา เห็นชายหญิงกลุ่มใหญ่ หาคนแก่ไม่ได้ แต่ละคนมีเครื่องแต่งกายสวยงามมากมีความสุขสันต์หรรษา


ถามเขาว่า “คนพวกนี้เป็นใคร”

คนนำเขาบอกว่า “พวกนี้กำลังรอเวลาจะไปเกิดเป็นมนุษย์ มีความสุขมาก ไม่ต้องบริโภคอาหาร มีความอิ่มหนำสำราญเป็นปกติ”

ท่านถามเขาว่า “พวกนี้เป็นเทวดาใช่ไหม”

เขาตอบว่า “ใช่”

ท่านถามเขาว่า “พระพุทธเจ้าที่ท่านเข้าสู่นิพพานนั้น ท่านอยู่ที่ไหน”

เจ้าหน้าที่ให้แหงนหน้าขึ้น มองเห็นฟ้าเตี้ยๆ สูงจากพื้นที่ยืนประมาณไม่ถึงกิโลเมตร เห็นดวงดาวใหญ่มีแสงสว่างมาก และมีดาวดวงเล็กๆ ล้อมรอบ เจ้าหน้าที่บอก

“ดาวดวงใหญ่คือพระพุทธเจ้า ดาวดวงเล็กคือพระสาวก ท่านไม่ต้องรับผลตามกฎของกรรมอีกแล้ว เพราะจิตท่านบริสุทธิ์”

ท่านถามเขาว่า “เขาว่าพระเข้านิพพานแล้วมีสภาพสูญ ไม่มีปรากฎการณ์ ทำไมพระที่เข้านิพพานท่านจึงว่ามีองค์ปรากฎ”

เจ้าหน้าที่ฟังแล้วยิ้ม ท่านบอกว่า “ที่เข้าใจอย่างนั้นเพราะยังไม่รู้จักนิพพานจริงๆ กระมัง”

ต่อจากนั้นเขาก็นำท่านมาส่ง ท่านสลบไปเมื่อเวลา ๑๙.๐๐ น. ท่านรู้สึกตัวขึ้นเมื่อเวลา ๒๐.๐๐ น. เมื่อรู้สึกตัวคราวนี้ อาการโรคหายหมด มีกำลังดีมาก คล้ายเด็กรุ่นหนุ่ม ท่านปฏิญาณตนว่า ไม่ยอมมอบใจให้เป็นทาสของกรรมชั่วตลอดชีวิต

วันนี้ ได้เล่าเรื่องของท่านศิริมาพอสมควร ขอยุติเรื่องของท่านไว้เพียงนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านพุทธบริษัททุกท่าน สวัสดี


ที่มา  http://www.prakammatanputtoe.com/board/board.php?id=000291
ที่มา http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

138
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (ุ8)

เจ้านกกระจาบนั้นท่านว่าในปีอายุ ๑๗ นั่นเอง ท่านไปยิงที่อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ท่านใช้ปืนลูกซองยิงนกกระจาบคราวละครึ่งปีบน้ำมันหลายคราว

ถามท่านว่า “คิดที่จะปฏิเสธบ้างหรือไม่”

ท่านบอกว่า “อารมณ์ที่จะปฏิเสธไม่มีเลย เมื่อเขากล่าวหาตรงตามความเป็นจริงมันก็หมดกำลังใจที่จะคิดต่อสู้แล้ว”

ท่านว่า ท่านมีโจทก์ฟ้องรายการเท่านั้น นอกนั้นไม่มีใครเป็นโจทก์อีก
 
เมื่อถามท่านว่า “หลังจากตายวาระแรก สมัยอายุ ๑๙ ปีแล้ว ท่านทำบาปกรรมอะไรบ้างหรือเปล่า”

ท่านบอกว่า “ไม่เคยทำบาปเลย เจ้ากรรมฆ่าสัตว์นี้มันเป็นกรรมสมัยก่อนตายวาระแรกทั้งนั้น”


เมื่อเจ้าไก่และนกกระจาบโจทก์ฟ้องแล้ว ท่านพระยายมท่านก็กล่าวว่า  “เจ้าทำกรรมชั่วไว้มาก ถึงเวลาแล้วที่จะต้องชดใช้กรรม”

ความจริงท่านไม่ดุ ไม่ตวาด ท่านพูดอย่างคนมีเมตตา คือน้ำเสียงนิ่มนวล พูดเพราะพริ้ง แสดงว่าท่านมีเมตตาปรานี แต่กรรมที่ท่านทำนี้มันเป็นกฎลงโทษ พระยายมช่วยไม่ได้ คล้ายผู้พิพากษาเมืองมนุษย์ แม้จะมีความเมตตาปรานีจำเลยเพียงใดก็ตาม ถ้าปรากฎว่ามีพยานหลักฐานยืนยัน ก็จำต้องพิพากษาตามกฎหมาย พระยายมก็เหมือนกัน ท่านได้บอกว่า

“เมื่อถึงวาระชดใช้กรรม ก็ต้องจำต้องชดใช้ตามกฎของกรรม เรื่องการที่จะมีโทษมีทุกข์ประการใดนั้น มิใช่ใครจะเป็นคนบัญญัติให้ลงโทษอย่างนั้นอย่างนี้ กรรมที่ทำมาเองนั่นแหละเป็นผู้บังคับให้เป็นไป เธอต้องไปเกิดเป็นไก่ เป็นนกกระจาบ แล้วถูกเขาฆ่าเท่าอายุสัตว์แต่ละตัวจนกว่าจะครบกำหนด หมายความว่าถ้าสัตว์มีอายุสองปีต่อหนึ่งตัว ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ตัวนั้นให้เขาฆ่าสองครั้ง จนกว่าจะครบอายุและจำนวนสัตว์ที่ถูกฆ่า”

เสียดายที่พระยายมไม่ได้บอกมาว่า คนที่ฆ่านั้นจะไม่ต้องมีโทษเนื่องในการฆ่าสัตว์ น่าแปลกที่สัตว์ต่างๆ เกิดมาเพื่อถูกฆ่า แต่คนฆ่ากลับมีโทษ ไม่รู้จะเอาอย่างไรดี เล่าต่อไปดีกว่า พระยายมยังบอกต่อไปว่า

“ความดีของเจ้าก็มีมาก หลังจากชดใช้กรรมชั่วแล้ว เจ้าจะได้เกิดเป็นเทวดา เพราะผลบุญที่เจ้าทำไว้ เมื่อหมดวาระจากเทวดา เจ้าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ใหม่”

มันยุ่งจริงนะ ให้เป็นเทวดาตลอดกาลก็ไม่ได้ จะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงเวรเสี่ยงกรรมอีก ดีไม่ดีเกิดมาใหม่ ถ้าดันไปชอบเนื้อสดนอกกฎหมายเข้า จะต้องไปไต่ต้นงิ้วเข้าอีกจะลำบากใหญ่ ท่านพูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ ต่อนั้นท่านพระยายมก็มีบัญชาให้เจ้าหน้าที่นำไปเพื่อเกิดเป็นไก่ เมื่อท่านกำลังเดินเพื่อออกนอกสถานที่นั้นเอง มีเสียงดังมาทางหลังว่า

“ช้าก่อน ๆ ๆ อย่าพึ่งลงโทษเขา ความดีของเขายังมีอยู่”

ท่านเหลียวหลังไปดู เห็นเต่าตัวหนึ่งคลานมา และร้องว่ามาตามที่กล่าวแล้ว ท่านพระยายมถามว่า “เขามีความดีอะไร”

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0
มีต่อ

139
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (ุ7)

ในระยะต่อมา ท่านไปพบต้นไม้มีหนาม ต้นไม้ต้นนี้ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้กระมัง ศัพท์ภาษาวัดท่านเรียก ฉิมพลีนรก แปลว่า นรกมีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าต้นงิ้ว ต้นไม้ต้นนี้ไม่ว่าใครทั้งนั้นที่มีอารมณ์ชอบเนื้อสดนอกกฎหมาย เป็นมีหวังได้ไปแสดงงิ้วบนต้นงิ้วนี้ทุกคน มันมีหนามแหลมคม ในภาพเหมือนสปริง มีคนไต่อยู่บนต้นงิ้วมากมาย ต้นไม้นี้เขาปลูกไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่หาใบสักใบไม่ได้เลย มีแต่หนาม คนที่จะขึ้นก็แสนสบาย เพราะถ้าไม่อยากขึ้นเอง เจ้าหน้าที่ก็ช่วยส่งขึ้นให้ วิธีส่งก็คือเอาหอกแทงเข้าที่ใดที่หนึ่ง แล้วก็ยกขึ้นไปบนต้นงิ้ว

เมื่อขณะที่คนพวกนั้นไต่อยู่บนต้นงิ้ว หนามทั้งแหลมคมก็ทิ่มแทงเอาจนเลือดไหลทั่วกาย เมื่อไต่ขึ้นไปถึงยอดแล้ว เจ้าหน้าที่ก็บังคับให้ไต่ลงมา เมื่อได้ระยะหอกแกก็เอาหอกแทงสอยขึ้นไป บังคับให้ไต่ขึ้นไปอีก ทำอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ถามคนมารับว่าเมื่อไรจะได้พักกันเสียที และก็ไม่ได้ถามเขาด้วยว่าทั้งสองรายนี้มีโทษเพราะบาปอะไร ด้วยรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า กระทะต้มนั้นตามความรู้บอกว่า เพราะชอบฆ่าสัตว์ที่มีชีวิตกินเป็นอาหาร รายที่สองนั้นเป็นนักนิยมเนื้อสดนอกกฎหมาย หรือนอกใจผัวนอกใจเมีย เป็นอันว่ารู้กันทั่วแล้วไม่ต้องอธิบาย ท่านพูดแล้วก็หัวเราะชอบใจ ท่านที่นิยมเหตุทั้งสองประการ โปรดรับทราบไว้ด้วยไหนๆ ก็จะถูกลงโทษ ถ้ายั้งได้ก็ยั้ง ถ้ายั้งไม่ได้จะขยุกใหญ่ก็ตามใจเถิด ผู้เล่าไม่ขอขัดคอใคร

เมื่อผ่านสถานลงทัณฑ์ทั้งสองแห่งไปแล้ว ท่านว่า ท่านเดินขึ้นบันไดต่ำๆ ก็บันไดเดิมนั่นเอง ที่เคยขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เรื่องการผ่านไม่เล่ากันดีกว่า มันก็แบบเดิม ตอนที่เดินผ่านไปนั้น คราวนี้ไม่เหมือนคราวก่อนก็คือ เห็นไก่อูยืนอยู่ ๒-๓ ตัว กำลังหาอาหารกินเหมือนกัน มันอยู่กันที่สนามบัลลังก์พระยายมนั่นเอง คิดในใจว่าพระยายมนี่ก็ชอบเลี้ยงนกเลี้ยงไก่เหมือนกัน แต่พอเข้ามาถึงสำนักพระยายม ปรากฎว่าวันนี้ท่านมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อยืนหน้าบัลลังก์ เจ้าไก่อูฝูงนั้นที่คิดว่าเป็นไก่ที่พระยายมเลี้ยงไว้ และนกกระจาบก็เหมือนกัน มันกลายเป็นโจทก์ไป


ท่านเองตกเป็นจำเลยของไก่และนกกระจาบ เจ้าไก่อูตัวใหญ่เข้ามาก่อน มันพูดภาษาคนได้คล่องแคล่วและชัดเจน มันฟ้องว่า  “ท่านศิริฆ่ามันสองครั้งสองหน”

และเจ้าไก่ทุกตัวก็ฟ้องทำนองเดียวกัน มันรายงานว่า  “ท่านศิริใจคอโหดร้ายมาก เอามันเชือดเป็นอาหาร”

ฝ่ายเจ้านกกระจาบก็รายงานว่า “ท่านศิริเอาปืนยิงพวกมัน”

ท่านว่า ตายคราวนี้แย่กว่าคราวก่อน เพราะคราวก่อนไม่มีโจทก์ คราวนี้โจทก์มากมายเหลือเกิน ต่างก็ยืนยันว่าจำท่านได้

ถามท่านว่า เมื่อเจ้าพวกนั้นกล่าวโจทก์ท่าน ท่านมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านบอกว่า พอสัตว์พวกนั้นโจทก์ขึ้นมา ท่านเองก็นึกเหตุการณ์ต่างๆ ได้หมด คือเมื่อท่านอายุ ๑๗ ปี ก่อนที่ท่านตายครั้งแรก ๒ ปี ท่านฆ่าไก่อูตัวนั้นจริง ท่านเชือดหลอดลมขาดแล้วมันยังวิ่งไปได้ ท่านจึงไปจับมาเชือดใหม่จนมันตายจึงทำอาหารกิน ส่วนไก่อื่นๆ ท่านก็ฆ่าจริง


ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0
มีต่อ

140
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (ุ6)

เป็นอันว่า เรื่องการตายเป็นกฎธรรมดาที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ถ้ายอมรับว่าตัวจะต้องตาย และคิดไว้ว่าเมื่อเป็นคนก็อยากเป็นคนดี มีความสุข เป็นผีก็อยากเป็นผีดี เป็นผีที่มีความสุข คนที่เมื่ออยู่เป็นสุข ตายแล้วก็เป็นสุข จะทำอย่างไรจะไม่อธิบาย ท่านจะได้ทราบในเรื่องของท่านศิริ ตอนที่ท่านตายในวาระที่สอง ดังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

เมื่อถึงกำหนดที่ท่านพระยายมบอกมาว่า อายุ ๒๗ ปี เจ้าต้องตาย เมื่ออายุย่างเข้า ๒๗ ปี ๕ เดือน ก็เริ่มป่วยเจ็บออดๆ แอดๆ ตลอดมา เป็นอย่างนั้นประมาณปีเศษ โรคที่เป็นก็คือโรคกระเพาะอักเสบ แพทย์แนะนำให้ผ่าท้องเพื่อตัดกระเพาะส่วนที่เสียทิ้ง อาการได้ดีขึ้น และจะพ้นจากการทรมานจากโรคร้าย ท่านและญาติทุกคนก็เห็นชอบด้วย เมื่อถึงกำหนดเวลาที่หมอจะทำการผ่าตัดคือเวลา ๙.๓๐ น. หมอเอายาสลบวางเพื่อให้หมดความรู้สึก เป็นการสะดวกต่อการผ่าตัด

เมื่อหมอให้ยาสลบแล้ว ก็ปรากฎว่าพบสหายเก่าทั้งสอง คือชายร่างใหญ่ตัวดำสองนายนั้นมายืนคอยอยู่แล้ว ท่านว่าตอนนั้นท่านมีความรู้สึกว่า สัญญาใดที่พระยายมให้ไว้มาถึงท่านแล้ว เพราะจำเจ้านายตำรวจผีสองนายนั้นได้ดี เขาเริ่มชักชวนตามแบบเดิม ท่านก็ไม่ขัด เพราะยังจำคำของพระยายมได้ว่า อายุ ๒๗ ปี เธอจะต้องตาย

คำว่า ตาย แปลว่า วิญญาณออกจากร่างเดิม ไม่ใช่ตายแล้วไม่รู้เรื่อง คราวนี้ท่านบอกว่า ก็ไปตามแบบเดิม แต่ไม่ต้องไปยืนให้ทหารหน้ามุ่ยร่างกายกำยำขนาบข้าง เขาพาเข้าเฝ้าเลยทันที พอถึงพบพระยายมท่านนั่งคอยอยู่แล้ว แต่ทว่าระหว่างที่เดินไปก่อนจะถึง จะเป็นเพราะชินต่อทางเดินหรืออย่างไรไม่ทราบ รู้สึกปกติ ไม่หวั่นไหวเหมือนคราวก่อน

ก่อนจะถึงสำนักพระยายม ท่านได้เห็นการลงโทษสัตว์นรก คือคนที่ทำชั่วในเมืองมนุษย์แล้วตายไป สิ่งที่ท่านเดินผ่านและเห็นนั้นคือกระทะต้มน้ำร้อนใบใหญ่มาก มีน้ำร้อนเดือดพล่าน น้ำนั้นไม่ใส มีสภาพคล้ายน้ำหลอมทอง มีความร้อนสูงมาก มีเจ้าหน้าที่สองคนยืนอยู่ใกล้กระทะ มีคนที่ถูกลงโทษยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบหลายคนด้วยกัน ในกระทะมีคนที่ถูกต้มลอยอยู่ในนั้นหลายคน ในน้ำร้อนมีเปลวไฟแลบอยู่ตลอดเวลา

ข้างๆ กระทะมีคนที่ถูกต้มจวนจะสิ้นแรง ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่เอาขึ้นมา แล้วให้นั่งอยู่ใกล้ๆ กระทะนั่งร้องครวญครางอย่างน่าสงสารอยู่หลายคน คนที่กำลังลอยอยู่ในกระทะนั้น ดูเหมือนจะร้องครวญครางอย่างน่าสงสารอยู่หลายคน คนที่กำลังลอยอยู่ในกระทะนั้น ดูเหมือนจะร้องเหมือนกันแต่คงร้องไม่ทัน พอจะได้ยินเสียงร้องก็ต้องหมุนตัวกลับลงก้นกระทะเพราะความแรงของน้ำที่เดือดพล่าน ทำให้ทรงตัวอยู่ไม่ได้ มองดูตัวเห็นเนื้อหนังเปื่อยยุ่ยแต่ไม่มีใครตาย

สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมนั้นก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติคือ เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังถูกต้มสลบไสลคอพับคออ่อนหมดกำลังดิ้นแล้ว แกก็เอาสามง่ามเหล็กแทงคนที่มีสภาพอย่างนั้นขึ้นจากกระทะทีละคน ทำแบบสบายใจ ไม่รีบร้อน แล้วก็เอาสามง่ามเหล็กนั่นแหละแทงคนที่เอามาพักไว้ ให้ลงไปในกระทะทีละคน คล้ายกับคนทอดกล้วยทอด ดูแกไม่มีความรู้สึกสงสารเลย ทำเหมือนคนพวกนั้นไม่มีชีวิต คิดๆ ไปก็คล้ายกับคนต้มสัตว์ มีปลาเป็นต้น ปลาจะร้อนหรือไม่ ไม่มีความห่วงใย ค่อยๆ จับใส่หม้อทีละตัวสองตัว แทนที่จะสงสาร กลับมีปีติคือคิดว่า อีกประเดี๋ยวเถอะฉันจะกินแกให้อร่อย สมกับที่ตั้งใจไว้ แต่พวกพนักงานในเมืองนรกไม่ได้กินสัตว์นรกเหมือนคนกินปลา คงทำตามหน้าที่เท่านั้น ถ้าหากมีสิทธิกินได้ด้วย คงจะลดค่าครองชีพได้มากทีเดียว

เมืองนรกนี้แปลกไม่รู้จักหากิน เมืองเราคนเก่งกว่าผี คนที่มีฟันดีดีสามารถกินจอบกินเสียมกินหินกินทรายได้ทุกอย่างที่ต้องการ เรื่องของคนที่มีความสามารถไม่สิ้นสุด พูดไปก็เป็นภัยแก่ปาก ถ้าขืนพูดมากปากจะมีเลือด ไม่พูดดีกว่า ว่ากันถึงเรื่องของผีดีกว่า

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0
มีต่อ

141
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (5)

เรื่องของผีที่ตายจากความเป็นคน แล้วคิดถึงห่วยใยคนที่มีชีวิตอยู่นี้ ท่านคงจะทราบจิตใจของผีแล้วว่า ทุกคนที่ตายจากความเป็นคนแล้ว ไม่มีใครลืมสภาพเมื่อยังไม่ตาย และเรื่องการตายที่คิดว่าสิ้นทุกข์ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง ทุกเรื่องที่ท่านอ่านมาแล้ว ท่านเคยเห็นไหมว่ามีเรื่องใดบ้างที่คนตายไปแล้วมีสภาพสลายตัว ไม่มีความรู้สึกเย็นร้อนทุกข์สุข หาไม่ได้เลย ทุกท่านที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนมา หรือตายแล้วเกิดใหม่ ทุกท่านรายงานเหมือนกันหมดว่า ทุกอย่างมีสภาพตามเดิม หมายถึงความรู้สึกของจิตใจ มีสุขมีทุกข์เหมือนเดิม

ที่ว่าตาย ก็ปรากฎว่าตายแต่สังขารร่างกาย อีกส่วนหนึ่งกลับมีสังขารร่างกายใหม่เกิดขึ้นมาทดแทนร่างกายเดิม มีทุกอย่างเหมือนกัน ความรู้สึกก็เท่าเดิม มีทุกข์มีสุขเหมือนกัน ท่านอ่านแล้วท่านสงสัยหรือไม่ว่า เจ้าสังขารที่มีมาแทนสังขารที่สิ้นลมปราณแล้วนั้นมันมาจากไหน ถ้าสงสัยก็คิดเอาเพียงง่าย ๆ ว่า เมื่อเวลาที่ท่านนอนหลับ แล้วฝันว่าไปทางไหนทำอะไร มันมีร่างกายตามสภาพเดิม ทำอะไรได้ทุกอย่าง มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนสังขารที่นอนหลับปุ๋ยอยู่นั้นทุกอย่าง สังขารอันนั้นมันมาจากไหน ถ้ายังสงสัยก็ต้องขอผ่านไปก่อน


ตอนนี้พูดถึงเรื่องของท่านศิริต่อไป เพราะเรื่องของท่านยังไม่จบ ท่านยังจะตายให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบถึงการตายวาระที่สองต่อไป ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านขอร้องให้นายตำรวจผีมาส่งท่าน เขาก็ไม่ขัดใจ เขาพาเดินมาเพื่อส่งให้ถึงบ้าน เมื่อเดินได้เล็กน้อย เขาก็บอกว่า

“ต่อไปนี้เธอไปเองเถิด อีกไม่ไกลก็ถึงบ้าน”

ท่านบอกว่า ท่านพยายามขอร้องให้เขาเดินมาส่งอีก เขาไม่ยอม เขาบอกว่า

“เดินไปเถอะ ประเดี๋ยวก็ถึง”

ว่าแล้วเขาก็หันหลังกลับ ท่านไม่รู้จะขอร้องให้เขาพาไปส่งได้อย่างไร ก็ตั้งใจหันกลับเพื่อจะเดินทางต่อไป ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าทางที่จะไปบ้านนั้นไปทางไหน พอหันหลังหวังจะเดินต่อไป ก็ปรากฎว่าเท้าไปสะดุดรากไม้เข้า ท่านล้มลง ต่อนั้นก็มีอาการคล้ายหวิวเหมือนตกจากที่สูง แล้วก็รู้สึกตัวว่ามาปรากฎอยู่ในร่างเดิม มีอาการคล้ายหลับแล้วฝันไป และตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้น เห็นคนที่บ้านมีพี่สาวหลายคน ทุกคนมีอาการคล้ายร้องไห้ เมื่อเห็นท่านรู้สึกตัว ต่างก็พูดว่า

“ฟื้นแล้ว ๆๆ”

เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ท่านว่ารู้สึกกระหายน้ำมาก ขอน้ำเขาดื่ม และหิวข้าวเป็นกำลัง ได้ขออาหารมารับประทาน รู้สึกว่าอาหารมื้อนั้นอร่อยมาก อาการที่ปวดฟันก็หายไปสิ้น ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดเลย ต่อมาก็ได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ทุกคนฟัง ทุกคนต่างพากันแปลกใจและดีใจที่ท่านไม่ตาย ตอนนี้เป็นการตายครั้งแรก ยังมีการตายวาระที่สองต่อไป

เมื่อท่านอายุ ๒๗ ปี ๕ เดือน ท่านต้องตายตามคำที่ท่านพระยายมบอกว่า เรื่องตายตามกำหนดนี้ นี่น่าคิดมากเพราะตามเรื่องของบุญชู ก็มีคนตายตามกำหนดที่เขาบอกมา มารายนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าคนและสัตว์ที่เกิดมาแล้วนี้ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเลย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในอำนาจของกรรมหรือตามบัญชาของท่านที่มีอำนาจเหนือ ที่เราชอบเรียกว่าพญามัจจุราช หรือพระกาล เมื่อถึงวาระแล้วไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่ศาตราจารย์นักคิดทั้งหลายที่นิยมคิดฝืน คือคิดไม่อยากให้แก่ ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย ทุกท่านคิดได้อย่างอิสระเสรี แต่ว่าผลที่ท่านคิดนั่นสิ ไม่มีอะไรสมหวังเลย ท่านเองนั่นแหละในที่สุดก็หัวหงอก ฟันหัก สิ้นความผ่องใส แล้วก็ตายในที่สุด 

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0
มีต่อ

142

ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (4)

แปลกใจนิดหนึ่ง ที่แกเทศน์เอา ๆ แล้วแทนที่แกจะคิดว่าท่านศิริเป็นศัตรูที่ท่านคิดจะลงโทษ โดยที่จะผิดหรือไม่ผิดก็ลงโทษ เพราะไหน ๆ ก็ได้ลงทุนลงแรงจับมาแล้ว แกไม่เป็นเช่นนั้น พอค้านว่าไม่ใช่อย่างนั้น กรรมชั่วนอกจากขว้างไก่ตายไม่เคยทำอะไรเท่านั้น ใบหน้าที่เคยเห็นเข้มข้นน่ากลัว ก็กลายเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตาปรานี น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แสดงออกให้เห็นว่าเมตตาอย่างสุดซึ้ง ทำให้มีกำลังใจขึ้นอักโข เมื่อท่านหันมาแล้วถามถึงอายุปัจจุบัน ได้เรียนท่านว่า

“ขณะที่เขาไปเอานี้อายุ ๑๙ ปีเศษ แต่ชื่อไปตรงกับคนที่เขาให้ไปเอามา”

ตอนนี้ท่านพระยายมตกใจมาก ท่านรีบเรียกคนที่ไปรับมาว่า

“เจ้านี่ชุ่ยมาก ทำไมไม่ตรวจตราดูให้ดี ไปจับผิดจับถูกอย่างนี้มีความเสียหายมาก ต้องรีบเอาตัวเขาไปส่งโดยเร็ว ถ้าทางบ้านเขาจัดการเผาร่างกายหรือเอาไปฝังจะมีเรื่องใหญ่ ต่อไปต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง ถ้าขืนทำชุ่ย ๆ แบบนี้อีกจะถูกลงโทษอย่างหนัก”

เรื่องนี้เป็นบทเรียนอีกอย่างหนึ่งว่า เรื่องชุ่ย ๆ นี้ไม่ใช่จะมีแต่เมืองมนุษย์เท่านั้น เมืองผีก็ชุ่ยเหมือนกัน ต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่เมืองผียอมรับนับถือผลประโยชน์ของจำเลย เมื่อจับไปแล้วปรากฎว่าไม่มีความผิด เพราะจับตัวผิดก็ไม่ขังฟรีเพราะสอบสวนไม่สำเร็จ และไม่ลงโทษตามอารมณ์ เหมือนเมื่อสมัยอินโดจีนเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส สมัยนั้น ถ้าลงชาวเมืองขึ้นถูกจับแล้ว ถ้าสอบสวนจำเลยหรือผู้ต้องหาไม่รับ เขาจะสั่งขังคุกขี้ไก่หรือตอกเล็บ คือเอาเหล็กตอกสวนปลายเล็บเข้าไป แล้วมีวิธีการต่าง ๆ เป็นการทรมานให้ยอมรับ ผู้ต้องหาทนการทรมานไม่ไหวก็ต้องจำยอมรับผิดทั้ง ๆ ที่เขาผู้นั้นไม่มีความผิด

ที่พูดนี้ ไม่ใช่จะยุท่านให้เกลียดฝรั่งเศสหรือเกลียดใครในเมืองมนุษย์ เพียงแต่เอามาเปรียบเทียบกันว่า ใครจะมีความเที่ยงตรงมากกว่ากัน เรื่องของท่านศิรินี้แสดงให้เห็นว่า เมืองผีมีความยุติธรรมมากกว่าเมืองมนุษย์ ถ้าท่านสงสัยก็ไม่ต้องพยายามสอบสวน เพราะอีกไม่นานอย่างช้าไม่เกินร้อยปี ทุกท่านก็ต้องไปเมืองผีเหมือนผู้เล่า มาว่าเรื่องของท่านศิริต่อไป เมื่อท่านพระยายมผู้น่าเคารพที่เต็มไปด้วยความยุติธรรม และเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปรานี ได้สั่งให้คนนำกลับมาส่งตอนจะออกเดิน ท่านสั่งว่า

“นี่เจ้าโคล่ ก่อนที่จะนำเขาไปส่ง ไหน ๆ เขาก็ได้มีโอกาสมาในที่นี้แล้ว พาเขาชมการลงโทษคนที่สร้างความชั่วไว้สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้ทราบตามความเป็นจริงว่า คนที่เกิดมาแล้วมีความประมาท ไม่คิดว่าตัวจะตาย ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาตายให้เห็นเป็นปกติ แล้วประกอบกรรมทำความชั่ว ไม่เคารพในทาน ศีล ภาวนา ต้องมีโทษทัณฑ์อย่างไรบ้าง พาเขาไปชมให้ทั่ว แล้วจึงค่อยนำเขาไปส่ง”

เมื่อท่านมีบัญชาให้นายตำรวจผีนำท่านไปชมแล้ว ท่านศิริเล่าให้ฟังต่อว่า ท่านพระยายมท่านหันมาพูดด้วยอัธยาศัยไมตรีเป็นอย่างดี ท่านสั่งมาว่า

“คนทุกคนเมื่อสิ้นลมปราณตายจากมนุษย์แล้ว ต้องผ่านมาเพื่อให้สอบสวนก่อน ทั้งนี้เว้นไว้แต่ท่านที่อารมณ์เข้าถึงระดับฌานและตายในฌาน ท่านพวกนั้นไม่ต้องผ่านการสอบสวน เมื่อออกจากร่างมนุษย์แล้วก็ไปสู่สถานที่สมควรคือสวรรค์หรือพรหมทันที คนที่เกิดเป็นมนุษย์สร้างแต่ความดี คือทำบุญกุศลมากก็จะมีโอกาสได้รับความสุข และได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสั่งสมบารมีเร็วเข้า ถ้าสร้างแต่ความชั่วก็จะถูกทรมาน นานมากกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะชดใช้กรรมชั่วที่ตัวทำไว้กว่าจะสิ้นกฎของกรรม”


ท่านได้กรุณาสั่งว่า

“เธอ ต่อไปเมื่ออายุได้ ๒๗ ปี เธอจะต้องตายจากมนุษย์เพราะครบกำหนดตามเวลาที่เจ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าจงอย่าทำกรรมชั่วใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าขืนสร้างกรรมชั่ว จะต้องถูกลงโทษตามกฎของกรรม”

เมื่อท่านสั่งเสร็จ ก็มีบัญชาให้นายตำรวจผีนำไปชมการลงโทษชาวเมืองนรก ท่านนายตำรวจผีแสนจะชุ่ย เพราะจับท่านไปอย่างไร้การพิจารณา ก็พาท่านขึ้นไปบนตึกสามชั้น บนตึกนั้นมีห้องเป็นลูกกรงเหล็ก มีคนถูกขังอยู่มากมาย แต่เงียบสงัดหาเสียงพูดไม่ได้เลย ตอนนี้เป็นที่น่าเสียดายอยู่หน่อยหนึ่งที่ท่านศิริบอกให้ทราบขณะที่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นท่านไม่มีกำลังใจจะดูอะไรเลย มีความหวาดกลัวเป็นกำลัง มีความประสงค์อย่างเดียว คืออยากให้คนที่เขาพามาส่งนั้น ส่งให้ถึงที่อยู่อย่างเดียว เขาจะเตือนว่าท่านพระยายมกรุณาให้ชมก็ควรชมให้ตลอด เพราะยากนักที่จะได้มาเห็นตามความเป็นจริง แต่ท่านก็ไม่ยอมเพราะคิดถึงบ้านและญาติพี่น้องจนเหลือทน

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0
มีต่อ

144
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (3)



เมื่อท่านเห็นคณะทหารโบราณ หรือนัยหนึ่งที่ท่านเรียกว่าทหารพระยายม มายืนเข้าแถวเป็นกองเกียรติยศอย่างนั้น ท่านรู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ก็ไม่มีทางใดที่จะหนีได้ ก็จำต้องยืนให้หน่วยทหารตั้งแถวขนาบตามความพอใจ ครั้นมองไปข้างหน้า เห็นบริเวณนั้นที่มีรูปคล้ายเวทีละคร มีม่านสีดำกั้นอยู่ เหมือนกับฉากโรงมหรสพ เมื่อม่านถูกรูดออก แลเห็นเก้าอี้ตั้งอยู่สามตัว มีชายคนหนึ่งถือบัญชีมีรูปคล้ายสมุดข่อยเดินออกมา แล้วนั่งเก้าอี้ตัวที่หนึ่ง พอแกนั่งแล้วแกก็ไม่พูดกับใคร แกเปิดบัญชีตรวจอยู่คนเดียว ทุกคนในที่นั้นเงียบสงัด เขาตรวจสอบบัญชีอย่างพิถีพิถัน สักครู่หนึ่งชายอีกคนหนึ่งก็เดินออกมานั่งเก้าอี้ตรงกันข้าม คนนี้มือไม่ได้ถืออะไร มาเฉยๆ แล้วคนที่สามก็เดินออกมา คนนี้รูปร่างใหญ่กว่าทุกคน แต่งตัวภูมิฐานกว่าสองคนนั้น ดูท่าทางเป็นคนมีอำนาจ ออกมานั่งเก้าอี้ตัวกลางทำท่าทางเหมือนตุลาการ พอนั่งเรียบร้อย แกก็เริ่มเทศนาโปรดโดยไม่ต้องมีใครนิมนต์

พระเทศน์หรือคนแสดงปาฐกถายังต้องหาคนนิมนต์หรือได้รับเชิญ นี่ว่ากันตามระเบียบเมืองมนุษย์ แต่ที่เมืองผีนี่ไม่ต้องเชิญ แกออกมานั่งได้ก็เทศน์ทันที แต่ทว่าลีลาการเทศน์ของแกไม่เหมือนพระที่เคยได้ยิน พอเริ่มอารัมภบท แกก็เอาเรื่องของท่านศิริมาว่าเลย แกหันหน้ามาทางท่านศิริ แกก็เริ่มด้วยคำว่า

“เอ็งนี่ เป็นคนใจบาปหยาบช้ามาก เมื่อตอนเป็นเด็กเคยเอาก้อนดินขว้างลูกไก่ตาย”

พอท่านนักเทศน์สาธารณะท่านเริ่มแสดงออกมาอย่างนั้น ท่านเล่าว่าสมองของท่านมันมีความรู้สึกจดจำเหตุการณ์ตามที่ท่านนักเทศน์เมืองผีขึ้นมาได้ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสมัยเป็นเด็กยังอายุน้อยประมาณ ๙ หรือ ๑๐ ปี ตอนนั้นเล่นกับเพื่อน เห็นลูกไก่เดินมา ด้วยความคะนองเอาก้อนดินขว้างไป พอดีถูกลูกไก่ตาย ด้วยใจจริงแล้วไม่คิดจะฆ่า ทำเพื่อหวังการหยอกเย้าด้วยความคะนองเท่านั้น เมื่อความจำปรากฎก็อดสงสัยไม่ได้ คิดในใจว่า เราทำกรรมมาเกือบสิบปีแล้ว และเราก็ทำที่เมืองมนุษย์ ทำไมตาผีใหญ่คนนี้จึงรู้ได้

เมื่อเห็นเขาทราบตามความจริงโดยไม่ต้องบอก ก็ชักหวาดหวั่นใจ พอนึกเท่านั้น ท่านตุลาการใหญ่เมืองผีก็หันมายิ้มอย่างเมตตา แล้วพูดว่า
 
“เอ็งไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะทำดีหรือชั่วในที่ลับตาคนหรือทำที่ไหน ๆ ก็ตาม ทางเมืองผีนี้รู้ทุกอย่าง ไม่มีทางปกปิดได้”

เมื่อได้ยินเขาพูดและตรงตามที่ใจนึก ก็สงสัยใหญ่และหวาดหวั่นมากขึ้น คิดว่าเขารู้อาการความนึกคิดได้อย่างไร พอนึกเท่านี้แกก็หันมาพูดว่า
 
“รู้ใจคนและสัตว์ได้เสมอ เพราะพวกเราทำบุญมาพอ”

แล้วท่านเทศน์ต่อไปอีกมากมาย ตอนนี้ไม่ตรงตามความเป็นจริง เมื่อท่านนักเทศน์หรือพระยายมเทศน์จบ ท่านก็ค้านทันที โดยรายงานว่า

“ข้อแรกที่ท่านว่า ข้าทำไก่ตายเมื่อเป็นเด็กเล็ก ข้อนั้นเป็นความจริง ส่วนข้อกล่าวหานอกนั้นไม่มีความจริงเลย ข้าไม่เคยชั่วหยาบอย่างนั้น”

เมื่อท่านศิริท่านคัดค้านขึ้นมา คราวนี้ก็เกิดความวุ่นวาย แทนที่เขาจะหวนกลับมาดุหรือตวาดแหวๆ อย่างท่านนักสอบสวนขี้โมโหทั้งหลาย แกกลับหันหน้าไปหานายบัญชีคนที่ดูตำราตลอดเวลา แล้วถามว่า
 
“นี่เรื่องมันยังไงกัน คนที่ให้ไปเอามานั้นอายุเท่าไร”

นายบัญชีเรียนว่า “อายุ ๑๓ ปีเจ้าค่ะ”

ท่านตุลาการใหญ่ (ขอเรียกว่าพระยายม ตามศัพท์ทางศาสนา) หันมาถามท่านศิริว่า

“นี่พ่อหนู เวลานี้เธออายุเท่าไร”

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

145
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (2)


เมื่อเดินไกลมานิดหน่อยก็เหลียวหลังเพื่อดูต้นทางที่ผ่านมา เมื่อเหลียวมาข้างหน้าก็แลเห็นประตูใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่กำแพงใหญ่มหึมา เมื่อผ่านประตูเข้าไปเห็นศาลาคล้ายศาลาวัด มีพระกำลังเทศน์ มีคนฟังทั้งชายและหญิงไม่กี่คน ท่านก็นั่งลงยกมือพนม คิดถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อผ่านสถานที่นั้นไปแล้วก็เข้าไปประตูชั้นที่สอง เขาพาไปยืนอยู่ข้างบันไดตึกเตี้ยๆ เขาบอกว่า
 
“ไอ้หนู เอ็งยืนอยู่ตรงนี้ก่อนนะ คอยฉันอยู่ตรงนี้”


ขณะนั้นเขาคือคนที่มารับก็ยืนอยู่ด้วย คล้ายกับว่าจะคอยใครสักคนหนึ่ง สักครู่หนึ่งก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่แต่งเครื่องแบบคล้ายทหารโบราณ มีหลายคนด้วยกัน บางคนถือหอก บางคนถือขวาน เข้าแถวมายืนขนาบท่านอยู่ทั้งสองข้าง ปรากฎว่าทั้งหมดตามที่เขาจำได้มีจำนวน ๖ คน คือคนถือหอก ๓ คน ถือขวาน ๓ คน เขาเข้ามายืนขนาบสองข้างท่าน ตอนนี้ท่านเล่าว่ารู้สึกกลัวขึ้นมา เพราะอยู่ๆ ก็เกิดมาคุมตัวกันเฉยๆ ไม่ยอมแจ้งข้อหาเสียด้วย ไม่เหมือนตำรวจเมืองไทยหรือเมืองจีน เมืองแขกฝรั่งก็คงจะเหมือนๆ กัน คือเมื่อก่อนจะจับเขาต้องแจ้งข้อหาก่อน เป็นต้นว่า

“นี่ไอ้หนู เธอมีความผิด เพราะเมื่อสามสิบปีก่อนโน้นเธอด่าฉัน”


ถ้าเราบอกว่า “เมื่อสามสิบปีก่อนโน้น ผมยังไม่เกิดครับ ผมจะด่าท่านได้อย่างไร”

เขาก็อาจจะแจ้งข้อหาที่สมควรใหม่ในทำนองว่า “เธอยังไม่เกิด ด่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็พ่อเอ็งด่าข้านี่หว่า”

ถ้าจะแก้ตัวว่า “เรื่องของพ่อทำไมผมจึงจะต้องรับผิด”

เขาก็อาจจะตอบตามหลักการของนักกฎเกณฑ์ว่า “ ก็ทีสมบัติเอ็งทำไมยังมีสิทธิรับมรดก ทีเรื่องความผิดเอ็งจะไม่ยอมรับไม่ได้ ข้าต้องจับ”


นี่ว่ากันตามประเพณีเมืองมนุษย์ เมื่อจะจับกันเขาก็ต้องแจ้งข้อหาก่อน แต่เมืองผีนี่แปลก อยู่ ๆ ก็มาชวนไป เมื่อไปแล้วก็ไม่บอกว่าจะให้ไปทำไม ไปไหนก็ไม่บอก เมื่อถึงสถานที่แล้วก็ส่งตำรวจผีออกมายืนคุมเอาดื้อ ๆ แปลก ท่านที่ยังไม่เคยตายต้องระวังไว้ เรื่องตายนี้หนีไม่พ้นแน่ ไม่ต้องไปหาฤาษีหรือเทวดาองค์ใดช่วยหรอก เทวดาท่านก็ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา ฤาษีท่านก็กำลังรอความตายที่เข้ามาเล่นงานท่านอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก แล้วท่านยังคิดว่าท่านจะไม่ตายอย่างนั้นหรือ

เรื่องของความตาย ฟังท่านที่ตายเล่าให้ฟังรู้สึกไม่หนักใจ เพราะคนตายมีอาการคล้ายหลับแล้วฝัน แต่ไม่ดีอยู่หน่อย ตอนที่ตายแล้วมีการลงโทษ เมื่อรับโทษ ความรู้สึกเจ็บนี่สิไม่น่าตาย

คนที่ตายเพื่อหลบหนีเจ้าหนี้ต้องระวังไว้ หนีเจ้าหนี้เมืองมนุษย์นั้นหนีได้ อย่าคิดว่าจะหนีกฎของกรรมที่ตำรวจผีเป็นผู้มีอำนาจควบคุมได้  


ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

146
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (1)




คราวนี้ก็จะได้นำเรื่องตายแล้วไปไหนมาเล่าอีกตามเคย เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องของพระที่ป่วยแล้วตาย เมื่อตายแล้วได้มีโอกาสพบเห็นทางที่มีความสุขและความทุกข์ ที่เรียกว่านรก สวรรค์ และนิพพาน ท่านเจ้าของเรื่องท่านรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ


ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า สวรรค์ นรก นั้นเป็นเรื่องที่น่าจะมีได้ แต่คำว่า นิพพานนี้ ตามที่เข้าใจกันตามตำราว่ามีสภาพสูญ คือสลายตัว ไม่มีอะไรเหลือ ความคิดเห็นนี้เป็นความเข้าใจของนักศึกษาทางศาสนามานานแล้ว แต่เมื่อมาพบเรื่องมีผู้ไปนิพพานเข้า ท่านอาจจะสงสัยว่าเรื่องกุขึ้น หรือเป็นอารมณ์ฝัน ตามที่ทางวัดเรียกว่าอุปาทาน คือยึดถือเกินไป เรื่องนี้จะมีอะไรเป็นเหตุผล ควรเชื่อหรือไม่เพียงใด ก็ขอยกให้เป็นภาระของท่านผู้อ่าน สำหรับผู้เล่าเรื่องนี้ขอเล่าตามที่ได้รับฟังมา


เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ รับฟังมาจาก พระธนะศิริ กันตะศิริ พระวัดราชประดิษฐ์ จังหวัดพระนคร เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ เรื่องราวของท่านมีดังนี้

เมื่อปี ๒๔๘๘ ท่านมีอายุ ๑๙ ปี ท่านตายไปครั้งหนึ่ง และ พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านตายอีกครั้งหนึ่ง รวมการตายของท่านที่ตายแล้วฟื้นในชีวิตของท่านสองครั้งด้วยกัน เมื่อสมัยท่านอายุ ๑๙ ปี ท่านได้ติดตามญาติของท่านคนหนึ่งไปอยู่ทางภาคอีสานของประเทศไทย ท่านไม่ได้บอกไว้ว่าจังหวัดไหน เมื่อท่านเล่าให้ฟังก็มัวสนใจเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง ไม่ได้ถามว่าจังหวัดไหนแน่ เอากันว่าท่านอยู่ภาคอีสานชั่วคราวก็แล้วกัน

วันหนึ่งท่านมีอาการปวดฟัน เนื่องจากโรคฟันหรือเหงือกเป็นฝี ที่เรียกว่าโรครำมะนาด ท่านมีอาการปวดมากจนเหลือที่จะทน ท่านจึงไปหาหมอรักษาและทำฟันที่ตั้งร้านรับรักษาและทำฟันในตลาดใกล้ ๆ บ้าน เพื่อให้หมอถอนฟันซี่นั้นออก เมื่อหมอถอนฟันแล้วท่านก็กลับบ้าน หมอที่ถอนฟันเป็นหมอจีน พวกหมอจีนนี้รู้สึกว่ามีวิชารอบรู้มาก มาถึงเมืองไทยแล้วเป็นทุกอย่าง เป็นช่างตัดผมก็ได้ ช่างทองก็เป็น ช่างปรุงอาหารให้คนไทย ทั้ง ๆ ที่อาหารที่คนไทยชอบแกก็ไม่ชอบกิน แต่แกก็สามารถทำให้คนไทยกินพากันติดอกติดใจในฝีมือปรุงอาหารของแก เป็นหมอปลูกฟัน หมอถอนฟัน หมอเสริมทรงเสริมสวย

เรื่องความสามารถของชาวจีนนี้เราทราบกันดี ไม่ว่าที่ไหนที่คนไทยด้วยกันเข้าไม่ถึง พี่แกเข้าถึงทุกด้าน ปริญญาที่ชาวจีนเรียนมานี้ คือปริญญาสามารถโดยไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะขอเรียนต่อจากแกบ้าง จะเป็นประโยชน์มาก

เอาแล้ว ว่าจะเล่าเรื่องของท่านศิริ แอบมายุ่งเรื่องเจ๊กให้อีก ขออภัยท่านผู้อ่านด้วย มาว่ากันเรื่องของท่านศิริต่อไป เมื่อท่านมาถึงบ้านแล้ว ก็เข้ามาพักตามปกติ (ท่านว่าอย่างนั้น) ครั้นเมื่อถามว่า อาการปวดหายสนิทดีแล้วหรือ ท่านบอกว่าปวดบ้างแต่ไม่มาก รู้สึกปวดเล็กน้อย มันปวดตุบ ๆ นิดหน่อย มีอาการคล้ายจะง่วงนอน ก็เลยเอนกายลงนอน ปรากฎเหมือนมีอะไรวิ่งซู่ซ่าตามมือและเท้า จะว่าลมพัดก็ไม่ชัด ว่าพิษความปวดก็ไม่เชิง มีอาการคล้ายมีตัวอะไรสักอย่างหนึ่ง วิ่งจากปลายเท้าและปลายมือ เข้ามารวมจุดกันที่หัวใจ ก็มีอาการคล้ายเคลิ้มหลับ แต่ไม่ใช่หลับสนิท มีอาการเหมือนฝัน

ตามความรู้สึกในขณะนั้น รู้สึกว่าตนเองนอนอยู่ในสภาพเดิมที่นอนอยู่ แต่ทว่าถูกปลุกให้รู้สึกตัวขึ้นด้วยน้ำมือของชายสองคน ชายสองคนนี้มีรูปร่างใหญ่โต ผิวดำล่ำสัน คนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านศีรษะ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านปลายเท้า คนที่ยืนทางด้านศีรษะถือคบเพลิงทองเหลืองจุดแสงสว่างมาก ทั้งสองคนนั้นประมาณอายุก็เห็นจะราว ๆ ๓๐ ปี ทั้งคู่ เขาทั้งสองออกปากชวนว่า

 
“ไปกันเถอะ” ท่านถามว่า “จะไปไหน” เขาก็ชวนว่า “ไปเถอะน่า ไปด้วยกัน”


เมื่อเขาชวน ความจริงตามความรู้สึกแล้วก็ไม่อยากไปกับเขา แต่ดูเหมือนมีอำนาจอะไรในตัวเขาทำให้ท่านต้องลุกจากที่นอน แล้วก็เดินตามเขาไปอย่างคนว่าง่าย เมื่อท่านเดินตามเขาออกจากบ้าน คนที่ยืนทางด้านศีรษะเป็นคนถือคบเพลิงนั้น บอกกับเพื่อนเขาว่า

“นี่ไอ้เกลอ เอ็งนำไปคนเดียวก็แล้วกันนะ มันคนเดียวและยังเป็นเด็กคงไม่หนีหรอก ส่วนข้าจะไปธุระที่อื่นสักครู่”

เพื่อนเขารับคำแล้วเขาก็แยกทางไป ไม่ทราบว่าเขาไปไหน ท่านเล่าว่า เมื่อขณะที่ถูกคุมตัวมานั้น คนคุมเขาไม่ได้ดุด่าว่าหรือฉุดกระชากลากตัวแต่อย่างใด เขาให้เดินตามเขาไปตามปกติ พอถึงทางสามแพร่ง ตอนนี้ท่านชักไม่ไว้ใจตัวเอง เกรงว่าจะกลับบ้านไม่ถูก เมื่อเข้าถึงทางแยก ท่านพยายามสังเกตุทางที่เดินไว้ทุกระยะ ทั้งนี้เพื่อว่าเมื่อเวลากลับจะได้ไม่หลงทาง พยายามเหลียวซ้ายแลขวาไว้เสมอ


ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

147
ผีสาง ขมังเวทย์ ทำสวย รวยทางลัด ความเชื่อที่สังคมต้องทบทวน (2/2)


ทุกวันนี้ปัญหาอันเนื่องมาจากความรักมีให้เห็นมากมายในบ้านเมือง บางคนที่ไม่สมหวัง ในรักหากตัวเองจิตใจอ่อนแอไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็มักจะหาทางออกง่ายๆ ด้วยการทำร้ายตัวเอง หรือกับบางคนที่ไม่ได้ถูกขัดเกลานิสัยมาตั้งแต่เด็กเมื่อไม่สมหวังในความรัก ก็มักหาวิธีทำร้ายคนที่ตนรักให้ถึงกับชีวิตก็มีให้รับรู้มากมายในสังคม

แต่สำหรับใครบางคนที่ต้องการแย่งชิงรักหักสวาทผู้อื่นมาเป็นของตน ก็มักเชื่อว่า วิชาขมังเวทย์หรือไสยศาสตร์ จะเป็นทางออกที่ช่วยให้ตนเองสมหวังในความต้องการได้ ความเชื่อที่กล่าวมาคงเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนับสนุนให้ถือปฏิบัติกันในสังคม เพราะนอกจากจะเป็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดความเสียหายกับตนเองแล้วยังเป็นความเชื่อที่งมงายไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนสมัยนี้ด้วย

และเป็นที่ยอมรับกันว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจากสติปัญญาของคนได้ช่วยให้คนมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าสมัยก่อนๆที่ผ่านมามาก หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในยุคนี้หากย้อนกลับไปยังอดีตคงเป็นความมหัศจรรย์ใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คนเราสามารถเดินทางออกไปนอกโลกขึ้นไปยืนเหยียบบนพื้นผิวของดวงจันทร์ หรือกับรถไฟที่ใช้เป็นพาหนะเดินทางของผู้คนปัจจุบันก็วิ่งด้วยความเร็วสูงไม่ต่างอะไรกับเครื่องบินแม้แต่น้อยก็เป็นไปได้ในสมัยนี้

สำหรับ การทำสวย เสริมแต่งให้รูปลักษณ์ภายนอกของคนดูงดงาม ก็สามารถแต่งเติมเพิ่มความงามได้มากกว่าที่ธรรมชาติให้มาและยังสามารถทำตามใจที่คนปรารถนาจะเป็น เช่น การแปลงเพศ การเสริมเติมแต่งหน้าตา รวมถึงหน้าอกหน้าใจ ซึ่งคนส่วนมากที่ทำกันเพราะเชื่อว่าความสวย สามารถบันดาลสิ่งที่ตนปรารถนาได้ โดยลืมไปว่าที่จริงแล้วจิตใจที่งดงามต่างหากที่เป็นความจิรังยั่งยืนของคน

คนเราเกิดมาในโลกนี้มีทั้งยากดีมีจนคละเคล้ากันไป บางคนโชคดีมีฐานะร่ำรวยมีชีวิตที่สุขสบาย และกับบางคนที่เกิดมามีฐานะยากจนดำรงชีวิตด้วยความยากลำบากแสนเข็ญต้องต่อสู้ดิ้นรนชนิดปากกัดตีนถีบ แต่ทั้งคนที่ร่ำรวยและยากจนต่างก็มีโอกาสที่จะพบกับความสุขและความทุกข์ที่ตนเองเป็นผู้เลือก และหาทางออกให้กับชีวิตที่ไม่ต่างกัน

บ่อยครั้งจะพบว่าทั้งคนจนและคนรวยมีความโลภอยากรวยทางลัดจึงค้ายาเสพติด เลือกเดินในถนนสายเดียวกันทำให้ต้องได้รับโทษทัณฑ์ เข้าไปใช้ชีวิตในคุกก็มี หรือกับบางคนมีชีวิตที่ผูกพันกับการพนัน เล่นม้า แทงหวย และพนันบอล ก็มักจะเชื่อในโชคลางจนขาดความเป็นตัวของตัวเอง ท้ายที่สุดก็ต้องตกอยู่ในวงจรของความโลภ ความหลง จนทำลายความสุขในชีวิตต้องจมปลักอยู่ความมีชีวิตที่เสี่ยงต่อการสิ้นเนื้อประดาตัว

หลักธรรมของทุกศาสนาล้วนสอนให้ผู้คนยึดมั่นในการกระทำความดีไม่เบียดเบียนกันและกัน สอนให้เชื่ออย่างมีเหตุผลไม่งมงาย โดยมีหลักคิดว่าหากทำดีย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี ในทางกลับกันหากทำชั่วก็ได้รับในสิ่งที่กระทำเช่นกัน

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=1578.0

148
ผีสาง ขมังเวทย์ ทำสวย รวยทางลัด ความเชื่อที่สังคมต้องทบทวน


ห้ามขึ้นบ้านใหม่ในวันเสาร์ ห้ามเผาผีในวันศุกร์ ห้ามแต่งงานในวันพุธ ห้ามโกนจุกในวันอังคาร หรือที่ท่องบ่นกันจนติดปากว่า ?วันพุธห้ามตัดพฤหัสห้ามถอน?(ตัดผม ตัดเล็บ ตัดต้นไม้ ถอนเสาเรือน หรือทำการโยกย้ายสิ่งของใดๆที่สำคัญ ) ที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อของคนรุ่น ปู่ ย่า ตา ยายแต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าความเชื่อเช่นนี้จะยังอยู่คู่สังคมไทย ขนานกับ ความเชื่อใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกยุคไซเบอร์ดิจิตอลไร้พรมแดนสมัยนี้

เป็นที่รับรู้กันดีว่าเรื่องความเชื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ในครั้งที่คนเรายังไม่มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยผู้คนในยุคสมัยนั้นต่างมีความเชื่อที่ผูกติดอยู่กับธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสำคัญ บ้างก็เชื่อว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์คือผู้ให้ชีวิตที่ดีแก่ชาวโลก

และเพื่อให้การดำเนินชีวิตปลอดภัยจากภยันตรายทางธรรมชาติทั้งปวง รวมถึงการระลึกถึงบุญคุณที่ธรรมชาติบันดลบันดาลสิ่งดีๆให้กับชีวิตผู้คนในโลก ความเชื่อโดยผ่านพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจึงเกิดขึ้นโดยกระบวนการคิดของคนในสมัยนั้นๆ

ไม่ว่าจะเป็นการบูชาพระอาทิตย์ พระจันทร์ แม่น้ำ แผ่นดิน หรือแม้แต่ลม จนสมัยต่อมาผู้คนจึงได้มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นหลักในการดำเนินชีวิต สอนให้คนทำในสิ่งที่ดีงามจึงจะได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ

ปัจจุบันถึงแม้ว่าโลกจะแปรเปลี่ยนไปจากอดีตชนิดไม่เห็นหลังก็ตาม ด้วยกาลเวลาที่ได้ปรับเปลี่ยนพัฒนาผู้คนจากสังคมเกษตรแบบพึ่งพาตนเองและช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็กลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมจึงทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเริ่มมีการแข่งขันและเอารัดเอาเปรียบกันและกัน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการและอยู่เหนือผู้อื่น ความเชื่อเดิมๆจึงถูกปรับเปลี่ยนไปตามกระแสด้วยเช่นกัน จากที่เชื่อในวิถีแบบธรรมชาติที่สงบก็เปลี่ยนเป็นความเชื่อในวัตถุ แข่งขันกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และนับถือ?เงินคือพระเจ้า?

หลังจากนั้นการดำเนินชีวิตของผู้คนบนโลกใบนี้ก็ใช่ว่าจะหยุดนิ่งเพียงเท่านั้น แต่กลับพัฒนาไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น มีการประดิษฐ์คิดค้นให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ต่างๆที่จะสนับสนุนให้ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกและสบายกว่าที่เคยเป็นในโลกของข้อมูลข่าวสารไซเบอร์ดิจิตอลที่ไร้พรมแดน

ความเชื่อเรื่อง ผีสางนางไม้ เป็นหนึ่งในความเชื่อที่มีมานานแล้วในสังคมโลกถึงแม้ว่าโลกจะพัฒนาไปมากน้อยเพียงไรแต่ความเชื่อเรื่องผีก็ยังเป็นความเชื่อที่อมตะ นิรันดร์ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ในแต่ละรุ่นแต่ละสมัยจะยังคงกล่าวขานและเชื่อว่าผีมีจริง ผีหรอกคนได้ จนมักจะมีความเห็นและคำพูดที่ติดปากกันเสมอๆว่า ?ผีหลอก ผีดุ ผีสิง ผีเข้า?

ผีเป็นวิญญาณหลังความตายแล้ว ซึ่งมีทั้งผีดี และผีร้าย โดยในส่วนผีดีนั้นจะหมายถึงผีบ้านผีเรือนที่คอยปกปักษ์รักษาผู้คนในครอบครัวและชุมชนให้อยู่ดีมีสุข ส่วนผีร้ายก็มักจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงผีที่เป็นวิญญาณเร่ร่อนพเนจรไปตามที่ต่าง ๆ ตายแล้วไม่ได้ไปผุดเกิด ซึ่งอาจทำร้ายผู้คนให้เกิดความเจ็บป่วยได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไปล่วงเกินโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ได้

แต่ในสถานการณ์โลกปัจจุบันนอกจากผีดีและผีร้ายที่กล่าวมายังมี ?ผีพนัน?เกิดขึ้นในสมัยนี้ด้วย ซึ่งผีประเภทนี้จะเข้า สิงร่างของคนที่อ่อนแอไม่มีภูมิคุ้มกันและขาดรากฐานในการดำเนินชีวิต โดยท้ายที่สุดก็จะทำลายคนๆนั้นให้ได้รับซึ่งความทุกข์ที่แสนสาหัสจนถึงขั้นหายนะกับชีวิตกลายเป็นอาชญากรที่ต้องไปใช้ชีวิตในคุกตารางก็มีให้พบเห็นกันบ่อยๆ

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=1578.0

149
แทนที่จะโพสต์ถาม...คุณลองเสาะหาข้อมูลเก่าในเวปก่อนก็ดี

150
ขอบคุณครับที่นำมาให้ชม :001:

นามท่าน......โอภาสี 

151
ขอบคุณที่ถามครับ :002:

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน   
คำเผดียงสงฆ์
ความหมาย

น. ญัตติ, คำประกาศให้สงฆ์ทราบเพื่อทำกิจของสงฆ์ร่วมกัน.

http://guru.sanook.com/dictionary/dict_royals/ คำเผดียงสงฆ์/

   ๓. เผดียงสงฆ์ คือ แจ้งความประสงค์ที่จะถวายทานนั้น ๆ ให้สงฆ์ทราบ ถ้าเป็น ภัตตาหาร หรือ จีวร คิลานเภสัช ซึ่งมีจำนวนจำกัดไม่ทั่วไปแก่สงฆ์ ผู้รับให้ตามจำนวนต้องการ และนัดแนะสถานที่กับกำหนดเวลาให้เรียบร้อยด้วย

http://www.dhammathai.org/practice/practice3.php

เผดียง

(ขม.) ก. นิมนต์, เชื้อเชิญ, ใช้ว่า ประเดียง ก็มี.
source : อ.เปลื้อง ณ.นคร

เผดียง : [ผะเดียง] ก. บอกให้รู้, บอกนิมนต์, ใช้ว่า ประเดียง ก็มี.

http://www.online-english-thai-dictionary.com/definition.aspx?data=2&word= เผดียง

152
ขอเพิ่มเติมเรื่อง ทานจากพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก ดังนี้…
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
รายละเอียดอ่านได้ตาม link นี้นะครับ
 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=9161&Z=9310&pagebreak=1

เนื้อหาพอจะสรุปได้ดังนี้
ปาฏิปุคคลิกทาน หมายถึงทานที่ให้ต่อบุคคล มี ๑๔ อย่าง คือ
ให้ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ
ให้ทานในพระปัจเจกสัมพุทธ
ให้ทานในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง
ให้ทานแก่พระอนาคามี
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง
ให้ทานแก่พระสกทาคามี
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง
ให้ทานในพระโสดาบัน
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง
ให้ทานในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม
ให้ทานในบุคคลผู้มีศีล
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล
ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
อานิสงส์ของปาฏิบุคลิกทาน
“บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล พึงหวังผลทักษิณาได้พันเท่า ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า ให้ทานในบุคคล
ภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า ให้
ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้
จนประมาณไม่ได้ จะป่วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำ
สกทาคามิผลให้แจ้ง ในพระสกทาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง
ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็น
พระอรหันต์ ในพระปัจเจกสัมพุทธ และในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ ฯ”
ทานแด่สงฆ์ (สังฆทาน) มี 7 ประเภท
ดูกรอานนท์ ก็ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗ อย่าง คือ
ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
ให้ทานในภิกษุสงฆ์
ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์
เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้ ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน
เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน
เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า แล้วให้ทาน
ถวายสังฆทานแด่พระทุศีลก็ได้อานิสงส์มากเหมือนกัน
“ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล
มีธรรมลามก คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น
ดูกรอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้น เราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้
แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย ฯ”

ที่มา
http://www.dhammatan.net/2010/06/ การทำสังฆทาน/

153
ผู้ถาม   
แล้วอย่าง การใส่บาตรโดยเราลงมือใส่เองกับให้ลูกจ้าง คือเด็กของเราใส่แทน อย่างไหนจะได้บุญมากกว่าคะ..?

หลวงพ่อ
   เราไปไม่ได้แต่ให้คนอื่นไปได้ บุญเท่ากัน แต่เราใส่เองเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน

ผู้ ถาม   เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ..?

หลวงพ่อ
   บุญ มันเริ่มได้ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ พระจะฉันหรือไม่ฉันไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ และตัวให้นี่กันความจนในชาติหน้าอันดับรองลงมา”ทานัง สัคคโส ทานัง” “ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์”
ทีนี้พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ การตั้งใจน่ะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่น คิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ข้าวขันนี้เราไม่กินแน่นอนคิดว่าเราจะไม่กินเอง ตั้งแต่วันนี้ คิดว่าจะใส่บาตรนี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้ แต่พอถึง พรุ่งนี้ต้องใส่จริง ๆ นะ อย่านึกโกหกพระไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวัน ๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักที นี่ดีไม่ดีฉันพูดไปพูดมาเสียท่าเขานะ
แต่คิดว่าจะทำจริง ๆ นะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ ๆ แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ ๑๐๐ % เลย ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านบอกนั่นแหละ
“เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญ”
พระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีผลตั้งแต่การตั้งใจ เริ่มสละออก พอคิดว่าเริ่มจะทำ อารมณ์มันตัดตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น


ที่มา : หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมเล่ม8
http://www.dhammatan.net/2010/06/ การทำสังฆทาน/

154
ผู้ถาม
   เห็น พระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตรบ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้เราจะเป็นบาปไหมคะ……?

หลวงพ่อ
   “บาป เขาแปลว่าชั่ว บุญแปลว่าดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่ เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขาเขาแสดงอาการ ไม่เป็นที่เลื่อมใส เราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น”เนื้อนาบุญ” ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่มก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไปน้ำไม่ถึงก็ตายต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควรเราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร
แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผล ตัดโลภะอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จริง ๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุดคือตัดโลภะ ความโลก เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่มันตัดความสุขของเจ้าของ หากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะ ความโลกเป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำ มันเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน จาคานุสสติกรรมฐาน นี่ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวัน ๆ นี่นะ จิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตรมากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทาน ถ้าพระองค์ไหนมีจริยาไม่สมควร เราไม่ให้มันก็๋ไม่แปลกการถวายสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดีก็ลงอเวจีไปเอง”

ที่มา
http://www.dhammatan.net/2010/06/ การทำสังฆทาน/

155
อานิสงส์ถวายสังฆทานและ วิหารทาน


ผู้ถาม   
ถ้าเราตั้ง จิตจะถวายสังฆทาน แต่ว่าไม่ได้บอกเล่าคะ ?

หลวงพ่อ
   ถ้า ตั้งจิตแต่ไม่ได้บอกก็ไม่ได้ยิน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าพระนั่งฉันอยู่ตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปหนูเอาของไปถวายเอาน้ำไปถวายถ้วยเดียว ก็เป็นสังฆทานทันที ไม่ต้องบอก ถ้ามีพระตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปนะ ถ้าองค์เดียวต้องบอก แล้วเขาจะเก็บไว้เป็นสังฆทานเลย จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างอื่นคนรับก็ไปนรกซิ ผู้ให้ไปสวรรค์เพราะว่าถวายทานเป็นส่วนบุคคลกับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันหลายแสนเท่า แล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไร การถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก ความจริงถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริง ๆ ละก็ รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้านที่วัดตั้งเยอะแยะ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีกังวลการบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมากอานิสงส์มันก็น้อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศล มันห่วงงานอื่นมากกว่า ไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายสังฆทาน คำว่าสังฆทานก็หมายความว่า ถวายสงฆ์ในหมู่ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัยท่านเรียกกันว่าคณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้นเป็นคณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียวเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ทานโดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก

ผู้ถาม
   การที่เราทำบุญใส่บาตร ตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัด แล้วไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ…..?

หลวงพ่อ
   ถ้า ฉันตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ องค์ ถึง ๓ องค์ อย่างนี้เป็น”ปาฏิปุคคลิกทาน

ผู้ถาม
   มี อานิสงส์มากไหมคะ……?

หลวงพ่อ
   “มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าวัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับ คนไม่มีศีล จนถึง พระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่า
ให้ทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับ พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
และถ้า ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับ ถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
คือสร้างวิหาร มีการ ก่อสร้างเช่นสร้างส้วม ศาลา การเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และก็ถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความ ยากจน เข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้ว จะไม่เกิดในที่นั้นผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่า แม้ แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน
คำว่าไม่เห็นที่สุดของ การถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด คำว่าอานิสงส์ ยังไม่หมดก็เพราะว่าถ้าบุคคลใดบูชาบุคคลผู้ควรบูชา นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน
ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หมายความว่าถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการ อย่างนี้เราถวายกี่หมื่นกี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่าถวาย แก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้า ก็เข้าถึงผล สมาบัติ เป็นต้นอย่างนี้มีผลมาก”

ที่มา
http://www.dhammatan.net/2010/06/ การทำสังฆทาน/

156
ง่ายๆ...ก็ต้องพิสูจน์กันทุกฝ่าย
ทั้งเจ้าของทรัพย์ ผู้กล่าวหา พยาน หลักฐานและผู้ถูกกล่าวหา

หากสองคนแรกพิสูจน์ไม่ได้ กล่าวหาลอยๆ ต้องรับผิดไปนะครับ

158
ขอบคุณครับ...ชอบมาก :015:

159
มีบทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้....ลองใช้การค้นหาแล้วจะเจอบทความของท่านพระอาจารย์
เช่น
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14047.msg127959#msg127959

160

ภาพล่างซ้าย

พระอาจารย์ฯท่านให้มาครับ :054:

Ravee Sajja> นะมามีมา มะหาลาภา นะมามีมา มีมามาก มาก อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหินะชาลีติ มานิมามา โชคลาภจงมาหาข้าพเจ้า



161
ขอเพิ่มเติมนิดครับ ถ้าจุดภายในห้อง อย่าจุดมากดอก เพราะควันธูปจะส่งผลเสียต่อสุขภาพคนที่จุดและคนรอบข้าง รวมทั้งผนังห้องจะเปลี่ยนสีได้ หากจุดในที่โล่งแจ้งก็ตามสบายเลยครับ


*** ส่วนตัว ตอนที่ไปเจริญพุทธมนต์ หรือ สวดมนต์ในงานต่างๆ ขนาดเจ้าภาพจุดแค่ 3 ดอก พอควันเข้าจมูกในขณะสวดฯ ก็จะเกิดอาการหายใจไม่ออก เพราะขณะสวดจะต้องเปล่งเสียงทำให้หายใจไม่คล่อง บางทียังสำลักควันธูปก็มี+++
:054:

162

ขั้นตอนการฝึกจิตเบื้องต้น(2/2)

แนะความคิดเพื่อการฝึกจิต

หันเหความคิดและจิตใจของท่านเข้าสู่ภายในตัวตน

ที่แท้จริง ฉัน... คือ ดวงวิญญาณ... เป็นจุดแห่งแสง

ดุจดวงดาวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยพลัง ฉันอยู่ตรงกลาง

หน้าผากระหว่างคิ้ว นี่คือ ตัวฉันที่แท้จริง

ร่างกายของฉัน คือเครื่องนุ่งห่ม สำหรับฉันผู้มีชีวิตใช้

แสดงบุคลิกลักษณะของฉันออกมา

เวลานี้ ฉันได้ตระหนักถึงลักษณะที่แท้จริงของตนเอง

ฉันได้เปิดล็อคประตูห้องขังออกมา ฉันรู้สึกเป็นอิสระ

เช่นเดียวกับนก ฉันสามารถโบยบิน ได้อีกครั้ง

บัดนี้ ธรรมชาติที่แท้จริงของฉันเริ่มปรากฏออกมา

เป็นธรรมชาติที่สงบ ในความสงบนั้นฉันรู้สึกว่า

ฉันได้กลายเป็นความสงบ ฉัน...คือ ความสงบ

ฉันรู้สึกว่า ในธรรมชาติที่เป็นแสงสว่าง

ฉันได้กลายเป็นแสงสว่างนั้น ฉัน... คือ แสงสว่าง....

ฉันรู้สึกถึงธรรมชาติที่แท้จริงของตนเอง ธรรมชาติของ

ความรัก ฉันกลายเป็นความรักนั้น ฉัน... คือ ความรัก...

เวลานี้ ดวงวิญญาณมีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ความเบา

สบายกลายเป็นธรรมชาติของฉัน ฉันไม่ใช่ทาสอีกต่อไป

แต่เป็นนายเหนือร่างกายนี้ ฉันกระจายรัศมีที่สว่างไสวออกไป




ตัวอย่างภาพและเสียงสำหรับแนะความคิดเพื่อการฝึกจิต
บอกบท ความสงบ
บอกบท ความปิติ
บอกบท อมตะ
บอกบท แสง
บอกบท รักสิ่งสูงสุด
เฉพาะเสียงเพลงบรรเลง(คิดเอง)


นี่คือตัวอย่างเบื้องต้นของวิธีการฝึกจิต หากท่านต้องการฝึกจิตในขั้นที่สูงขึ้น
กรุณาศึกษาความรู้ทางจิตอย่างถูกต้อง ซึ่ง บราห์มา กุมารี ได้มีหลักสูตร ราชาโยคะ
ให้ทุกท่านสามารถเรียนรู้และฝึกจิตได้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ

โปรดอ่านต่อในlink ข้างล่างนี้
ที่มา
http://www.iamspiritual.com/chai/meditation.html

163
ห้องประสบการณ์การฝึกจิต
แนะนำ
ขั้นตอนการฝึกจิตเบื้องต้น


เวลานี้ แม้กระทั้งหมอก็กล่าวว่า โรคภัยทั้งหมดเป็นผลมาจากอารมณ์หรือความรู้สึกที่ถูกรบกวน
และเกิดการตึงเครียดในจิตใจ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นการดีถ้าทุกคนอยู่ในความสงบ
และฝึกฝนจิตใจพร้อมกัน
Raja Yogi B.K. Jagdish Chander

ประโยชน์และความหมายของการฝึกจิต
ทุกคนควรมีการฝึกฝนจิตใจเป็นกิจวัตรซึ่งเป็นยาแก้ความเครียดที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นวิธีการผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย
การฝึกจิตทำให้ท่านสร้างทัศนคติและตอบสนองชีวิตแบบใหม่ ท่านสามารถเข้าใจจิตใจของตนเองได้อย่างกระจ่าง
การฝึกจิตคือขบวนการฟื้นฟูชีวิต สร้างความพอใจ และใช้พรสวรรค์หรือความชำนาญพิเศษของตนเอง ในทางที่ดี
การฝึกจิต ต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อได้รับสิ่งที่ดีงาม และมีผลลัพธ์ที่พอใจ
โดยการฝึกจิตวันละนิดทุก ๆ วัน ไม่นานจะกลายเป็นธรรมชาติ และนิสัยได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นผลมาจากการสร้างความเพียรพยายามที่เข้มข้น

ขั้นตอนการฝึกจิตพื้นฐาน:

หาเวลาว่างสำหรับตนเองทุก ๆ เช้าและเย็น 10 หรือ 20 นาที
หาสถานที่ ที่สงบเพื่อให้มีการผ่อนคลาย ใช้แสงไฟหรี ๆ และใช้เสียงเพลงเบา ๆ ช่วยสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม
นั่งตัวตรงในท่าที่สบายๆบนพื้นหรือบนเก้าอี้
ไม่หลับตา และไม่เปิดตาเกินไป มองไปยังจุดใดจุดหนึ่งข้างหน้า
หันความสนใจของท่านจากการเห็นและการได้ยินเพื่อเข้าไปสู่ภายในตนเองอย่างช้า ๆ
เฝ้าสังเกตการณ์ความคิดของท่านเอง
ไม่ควรพยายามที่จะหยุดคิด เพียงแต่เป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่วิจารณ์หรือขจัดความคิดออกไป เพียงแต่เฝ้าดู
ค่อย ๆ ทำให้ความคิดช้าลง และแล้วท่านจะเริ่มรู้สึกสงบมากขึ้น
สร้างความคิดเกี่ยวกับตนเอง ให้มีเพียงความคิดเดียว เช่น ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบ
นำความคิดนั้นไปสู่ฉากของจิตใจ จินตนาการว่าตนเองเต็มไปด้วยความสงบ เงียบ และนิ่ง
อยู่ในความคิดนั้นให้นานเท่าที่ทำได้ อย่าได้ต่อสู้กับความคิดอื่น หรือความทรงจำที่อาจเข้ามารบกวน เพียงแต่เฝ้าดูมันผ่านไป และกลับมาสร้างความคิดของท่านอีกครั้ง ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบ
ยอมรับและพอใจในความคิดและความรู้สึกที่เป็นบวก ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากเพียงหนึ่งความคิด
มั่นคงอยู่ในความรู้สึกเหล่านี้ซักครู่ จงระวังความคิดที่ไม่เกี่ยวข้อง
สิ้นสุดการฝึกจิตของท่านโดยปิดตาของท่านซักครู่หนึ่ง และสร้างความสงบในจิตใจของท่านอย่างสมบูรณ์

ที่มา
http://www.iamspiritual.com/chai/meditation.html

164
อีก 12 เดือน ก็รู้........

165
สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

166
วิธีฝึกจิตให้มีพลัง  (5/5)

เพราะฉะนั้น ใน ริโรธ ที่พระองค์ทรงแสดงว่า สัจฉิกา ตะ ปัณติ เม ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิโรธ ควรทำให้แจ้ง ก็แจ้งอย่างนี้ พอแจ้งแล้วมันไม่มีมืด มันพบแสงสว่างแล้ว มันก็ไม่มีมืด มันก็ได้หนทาง รู้แน่ คือว่าตายแน่ คือว่าเจ็บแน่ คือว่าร่างกายนี้เป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม แน่ แล้วก็ไม่กลับคืนมาไม่แน่อีก มันจะต้องแน่อยู่อย่างนั้นตลอด

ทีนี้เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็อยู่ที่ว่าเราจะทำให้สำเร็จมากน้อยแค่ไหน จะเอาแค่ชั้นประถม หรือจะเอาแค่ชั้นมัธยม หรือจะเอาแค่มหาวิทยาลับ หรือจะเอาถึงขั้นดอกเตอร์ มันก็สุดแล้วแต่ความสามารถของแต่ละบุคคล ด้วยเหตุนี้ ในข้อสุดท้าย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ภาเว ตะ ปัณติ เม ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรรค ควรเจริญให้มาก

ทีนี้ก็อยู่เป็นหน้าที่ที่ มรรค หมายความว่าเรารู้หนทางแล้ว มองหนทางได้ชัดเจนแล้ว อันนี้ก็จะเป็นหนทางดำเนินต่อไป สุดแล้วแต่ความสามารถ แต่ว่าเราเดินทางถูกแล้ว เรามาทางถูกแล้ว เราก็เดินต่อไปในทางที่ถูก เมื่อเดินทางถูกแล้วนี่ วันหนึ่งก็ถึง คือหมายความว่าถึงที่หมายปลายทาง

ในชีวิตของคนเรานี้ ถ้าหากว่ามีการปฏิบัติ หรือได้ทำการปฏิบัตินี่ ถือว่าเป็นสิ่งที่ให้เกิดผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไพศาล ไม่มีผลใดที่จะยิ่งไปกว่านี้ ในบรรดาการกระทำทั้งปวง เพราะมนุษย์เราเกิดมาแล้วตายไป ทรัพย์สินสมบัติอะไรก็เอาตามไปไม่ได้ สามี ภรรยาสุดที่รัก ก็ตามเราไปไม่ได้ ลูกสุดที่รัก ก็ตามเราไปไม่ได้ ทรัพย์สินสมบัติสุดที่รัก มันก็ตามเราไปไม่ได้

เมื่อเราตายไปแล้ว สิ่งที่อยู่ในโลกนี้ มันก็ต้องอยู่ในโลก ก็เป็นของคนอื่นต่อไป มันไม่ใช่เป็นของเรา เราจะใช้มันอยู่ได้ก็เพียงชั่วชีวิตนี้ พอเลยจากชีวิตนี้เราก็ใช้มันไม่ได้ ชีวิตนึงมันก็หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปอยู่เพียงแค่นี้ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นเด็ก พอเป็นเด็กแล้วก็เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็แก่ลงไป แก่ลงไปแล้วก็ตาย แล้วก็เกิดมาเป็นเด็กใหม่ มันก็เวียนไปอยู่อย่างนี้นี่ ก็มีแค่นั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะวิเศษกว่าที่เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่เสียเปล่าๆ นั้น ก็คือการมาฝึกในเรื่องจิตใจนี้ เพราะว่าการฝึกเรื่องจิตใจนี้ เป็นการฝึกที่เราต้องอาศัยระยะเวลาอันยาวนาน เรียกว่าใช้เวลา เมื่อเราใช้เวลาตามสมควรแล้วนี่ มันเกิดผลสำเร็จ เรียกว่าเป็นผลสำเร็จ

การเกิดผลสำเร็จนั้น เราจะรู้ได้ในเมื่อเราสำเร็จผลสิ่งนั้นๆ ขึ้นมา อย่างที่เราเรียนสำเร็จ ชั้นประถม 1 เราก็รู้แล้ว เราเรียนสำเร็จชั้นประถมสุดท้าย เราก็รู้แล้ว เราเรียนสำเร็จชั้นมัธยม เราก็รู้แล้ว เราเรียนสำเร็จปริญญาตรี เราก็รู้แล้ว ปริญญาโท เราก็รู้แล้ว ปริญญาเอก เราก็รู้แล้ว ใครจะรู้กับเราล่ะ เราก็เป็นคนที่จะรู้ว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นมานั้น เกิดขึ้นโดยเฉพาะ

ยิ่งการปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน พอไปถึงขั้นสำเร็จ ก็เรียกว่าเกิดขึ้นมาโดยเฉพาะ ผู้นั้นก็รู้ รู้ถึงความสำเร็จอันนี้ขึ้นมา มันจะต้องเป็นความจริงที่เรียกว่าสำเร็จขึ้นมา เหมือนกันกับคนที่รับประทานอาหารอิ่ม เค้าก็ต้องรู้ว่าเค้าอิ่ม ใครจะไปรู้ให้เค้าได้ เค้าก็รู้ว่าเค้าอิ่ม เราจะไปบอกคนอื่นได้เหมือนกันว่าชั้นอิ่มแล้ว แต่ว่าคนอื่นเค้าก็ อย่างงั้นๆ แหละ แต่ตัวของเราเองต่างหากที่เป็นผู้ที่รู้ว่าเกิดความอิ่ม อันนี้เป็นข้อเปรียบเทียบในเรื่องการปฏิบัติจิต

ต่อไปนี้ก็นั่งสมาธิกันต่อไป…

http://tripteam.exteen.com/20110418/meditation

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-03.htm

167
วิธีฝึกจิตให้มีพลัง  (4/5)

แต่ถ้าหากว่าจิตที่มันเป็นสมาธิขึ้นมาจริงจังแล้ว จะไม่เห็นอย่างนั้น จะเห็นตามความเป็นจริงไปเลย เมื่อเห็นตามความเป็นจริงขึ้นมาเมื่อไร มันจะมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจนั้น ก็ได้แก่ นิพพิทา คือความเบื่อ หรือเรียกว่าความเบื่อหน่าย

ความเบื่อหน่ายอันนี้ ถ้าเกิดขึ้นมาได้เมื่อใด เมื่อนั้นแหละ ผู้นั้นก็ถือว่าดำเนินจิตเข้าสู่อริยสัจจะแล้ว จิตนี้เข้าสู่สัจจธรรมแล้ว เพราะว่าจิตนี้ปลงตกไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัณหา ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาสมุทัย พระพุทธเจ้าตรัสว่า สมุทัยนั้น ปหา ตะ ปัณติ เม ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมุทัยควรละ

สมุทัยควรละนั้น ถ้าหากว่าเราจะไปตั้งอกตั้งใจละเอาอย่างนี้ คิดละเอาอย่างนี้ มันละไม่ได้ เหมือนกันกับความหิวอย่างนี้ เราจะไปคิดละเอา หรือว่าจะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใดละให้มันหมดความหิวไปย่อมไม่ได้ แต่หากว่าความหิวจะหมดไปนั้น ก็อาศัยการรับประทาน เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว ความหิวหายไปเอง โดยที่เราไม่ต้องไปคิดอยากจะให้มันหาย แต่มันก็หายไปเอง

เหมือนกันกับที่มาพิจารณาดูตัวทุกข์ เห็นแล้วว่าอันนี้เป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม จะไปหลงรักหลงชังมันทำไม เกิด นิพพิทาญาณ ขึ้นมาอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าละลงไปในตัวเสร็จ คือไม่จำเป็นต้องไปพูดว่าละ สมุทัย ก็เป็นอันว่าถูกขจัด ละออกไปได้ เป็นอัตโนมัติ เหมือนกันกับรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว มันอิ่มมันก็หายไปเป็นอัตโนมัติ

ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ในข้อที่ 3 พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า สัจฉิกาตะ ปัณติ เม ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คำว่าทำให้แจ้งนั้น คือ หมายความว่า รู้แจ้ง และเห็นจริง นิโรธ แปลว่าความดับ หรือเรียกว่าดับทุกข์ ก็เหมือนกันกับที่ว่า พิจารณาเห็นแล้วว่านี่คือธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม ในที่สุด จิตมันก็ละ คือดับ

การดับนั้น ไม่ใช่ว่าคิดดับเอา จำเป็นอยู่เองที่จะต้องให้เกิดตามความเป็นจริง เพราะว่าความเป็นจริงนั้น ย่อมเป็นความเป็นจริงตลอด ในข้อนี้ก็เปรียบเหมือนกันกับเด็กที่เรียนหนังสือ เรียนไป เรียนไป มันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ตัว ก. ตัว ข. เอาหัวขึ้น เอาหัวลง ตัว ง. ตัว จ. ก็เอาตีนขึ้น เอาหัวลง มันก็เขียนไปของมันเรื่อยไป

เพราะอะไรมันจึงเขียนอย่างนั้น เพราะมันไม่รู้ เพราะมันยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง แต่มันก็พยายามเขียน เขียนจนกระทั่งถึง ป.4, ป.5, ป.6 มันก็เขียนได้ ทีนี้มันก็ไม่เอาหัวลงหัวขึ้นแล้ว มันก็เขียนได้ตามความประสงค์ ตัว ก. เป็นตัว ก. ตัว ข. เป็นตัว ข. อย่างนี้เป็นต้น

ทำไมมันจึงเขียนได้ ก็เพราะมันฝึก มันฝึกจนกระทั่งมันเกิดความชำนาญ เกิดความชำนาญแล้ว มันก็เกิดสมองที่จะจำเอาไว้ได้ ในความชำนาญนั้น ทีนี้เมื่อเวลาที่มันอ่านออกและเขียนได้แล้ว มันจะกลับไปเป็นคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อีก มันก็กลับไปไม่ได้ มันจะต้องอยู่ของมันอย่างนั้น มันจะต้องสว่างของมันอย่างนั้น คือสว่างในใจของมัน ทั้งกลางวันกลางคืนมันจะใสสว่างของมันอยู่ตลอด

ไอ้เด็กน่ะ ที่มันเรียนถึง ป.6 หรือว่ามัธยมแล้วอย่างนี้ ทีนี้มันก็ไม่รู้ตัวเองหรอกว่ามันสว่างอยู่ของมัน แต่มันก็สว่าง ถ้ามันไม่สว่าง มันก็ลืมหมด แต่เพราะมันสว่างโร่อยู่ในใจของมัน มันก็เลยไม่ต้องลืม ก็เปรียบเหมือนกับว่า นิโรธ ที่จะต้องทำให้แจ้ง ก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อทำให้แจ้งแล้ว มันก็ไม่ดับแล้ว คือมันไม่กลับไปเป็นคนหลงอีก

เหมือนกันกับนักเรียนที่มันอ่านออกเขียนได้แล้วนี่ มันก็กลับไปเป็นคนที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่ได้ ถึงจะแกล้งทำแค่ไหน มันก็แกล้งทำเท่านั้นแหละ แต่ความจริงมันอ่านออกเขียนได้ไปแล้ว มันจะกลับคืนมาเป็นคนโง่อีก ไม่ได้


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-03.htm

168
วิธีฝึกจิตให้มีพลัง  (3/5)

ถ้าเราไม่ทดสอบ เราก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าจิตของเรานี้ เมื่อไหร่เรามาทำ เราก็ทำไป อย่างนั้นๆ แหละ อย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยถูกต้อง มันจำเป็นที่จะต้องทดสอบ การทดสอบก็คือการพิจารณาตามความเป็นจริงว่าเราได้เห็นจริงชัดลงไปหรือไม่ เมื่อเราหลับตาพิจารณาลงไปแล้วนี่ เราเห็นจริงชัดแค่ไหน ความชัดเจน หรือว่าความสว่าง หรือว่าความซึ้ง มันจะถึงแค่ไหนนั้น ตัวของตนก็รู้ได้

เพราะฉะนั้น ความก้าวหน้าของจิต หรือเรียกว่าการพัฒนาจิตนั้น จึงอยู่ที่ตัวของเรารู้ตัวของเราเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้นั้นก็จะเกิดความเจริญ ภาวิโต เจริญให้มาก พะหุลีกะโต กระทำให้มาก อภิญายะ ก็จะเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง สัมโพธายะ ก็จะเป็นไปเพื่อความรู้ดี นิพพานายะ ก็จะเป็นไปเพื่อความดับสนิท หรือเรียกว่าเป็นไปเพื่อพระนิพพาน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะเหตุที่ว่าหนทางที่จะดำเนินเข้าไปสู่อริยสัจธรรมนี้ เป็นสิ่งที่มีความจริงที่ไม่มีความจริงที่ไหนจะจริงเท่า ฉะนั้นจึงเรียกว่า อริยสัจจ์ 4 อริยสัจจ์ 4 นั้นคืออะไร อริยสัจจ์ 4 ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์นั้น ได้แก่ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย สมุทัยนั้น ได้แก่ ตัณหาทั้ง 3 นิโรธนั้นได้แก่การดับตัณหา มรรคนั้น ได้แก่หนทางที่จะดับตัณหา ทุกข์นั้น คือ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ เรียกว่าความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์

ความเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น ใครเป็นผู้เกิดมา แล้วใครเป็นผู้ตาย เราก็ไม่ต้องเถียง ร่างกายนี้เป็นผู้เกิดมา ร่างกายนี้เป็นผู้แก่ ร่างกายนี้เป็นผู้ตาย เพราะฉะนั้น ตัวทุกข์ก็ไม่ใช่อื่นไกล ก็คือร่างกายอันนี้ จึงไปตรงกับที่พระพุทธเจ้าแนะนำให้พิจารณาถึงสติปัฏฐาน จึงเรียกว่าร่างกายนี้เป็นตัวทุกข์

เมื่อร่างกายนี้เป็นตัวทุกข์แล้ว ในอริยสัจจ์ท่านก็แสดงว่า ปริโยยันติ เม ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ควรกำหนดรู้ ท่านไม่ให้ทำอะไรในร่างกายอันนี้ ให้ทำความรู้ ให้รู้ตามความเป็นจริง คือให้รู้ตามความเป็นจริงว่าร่างกายอันนี้ เมื่อพูดกันตามความเป็นจริงแล้วมันก็คือธาตุ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม

สิ่งใดในร่างกายที่มันแข็งๆ อยู่ ก็เรียกว่า ธาตุดิน สิ่งใดที่มันเหลวๆ อยู่ ก็เรียกว่า ธาตุน้ำ สิ่งใดที่พัดไปพัดมา ก็เรียกว่า ธาตุลม สิ่งใดที่ทำร่างกายให้รุ่มร้อน อบอุ่น ก็เรียกว่า ธาตุไฟ อันนี้คือการพิจารณาตามความเป็นจริง แล้วความเป็นจริงมันก็จะต้องเกิดมาในเบื้องต้น คร่ำคร่าไปในท่ามกลาง แตกสลายไปในที่สุด

นี่ความจริง เค้าเรียกว่า ทุกขสัจจ์ ในทุกขสัจจ์นี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปริโย ยันติ เม ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ควรกำหนดรู้ การกำหนดรู้นั้น จำเป็นต้องศึกษา ถ้าไม่ศึกษาซะก่อนนี่ เรากำหนดรู้ไม่ได้ อย่างเราจะกำหนดดูตัวหนังสือ ตัวหนังสือนี่อ่านว่ายังไง จำเป็นต้องศึกษามาตั้งแต่ต้น

ถ้าไม่ศึกษาแล้ว เปิดหนังสือขึ้นมา เราก็อ่านไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ถ้าเราไม่ศึกษาแล้ว เราจับปากกาออกมาเขียน มันก็เป็นตัวหนังสือไม่ได้ แต่ถ้าเราศึกษาแล้วนี่ เปิดหนังสือออกมาเราก็อ่านรู้เรื่อง จับปากกามาถึงก็เขียนได้ตามความมุ่งหมาย อันนี้

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ว่า ปริโย ยันติ เม ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ควรกำหนดรู้นั้น ก็ให้กำหนดรู้อย่างนี้ ทำยังไงถึงจะรู้อย่างนี้ลงไปได้ ถึงจะเรียกว่าสัจจธรรม ถ้าหากว่าเรากำหนดลงไปนี่ มันยังสวยยังงามอยู่ มันไม่ใช่สัจจธรรม หรือกำหนดลงไปนี่ ตรงนี้ก็งาม ตรงนั้นก็สวย แขนก็สวย ขาก็สวย คอก็สวย หน้าก็สวย ผมก็สวย มันก็เลยไม่ใช่สัจจธรรม อันนั้นเรียกว่าเป็นโลกีย์ หรือเรียกว่ากิเลสตัณหา


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-03.htm

169
วิธีฝึกจิตให้มีพลัง  (2/5)

ในกายนี้ ถ้าหากว่าเป็นกายในอดีต ท่านก็ให้พิจารณาถึงว่า เมื่อเรา 50, 40, 30, 20, 10 ปี 9, 8, 7, 6, 5, 4, 3, 2, 1 นี่เรียกว่าเราดูกายของเราตั้งแต่นี้ไปจนกระทั่งถึงเด็ก มันเป็นยังไง รูปร่างลักษณะ

และต่อนี้ไปก็ อนาคตัง วา คือกายในอนาคต ที่ต้องพิจารณาดูว่า จาก 50 แล้วเป็น 60 จาก 60 เป็น 70 จาก 70 เป็น 80 จนกระทั่งถึงตาย ลักษณะของการมีกายในอนาคตนั้น คือความแก่ และความตาย ลักษณะเป็นอย่างไร นี่เป็นกายในอนาคต ในการที่จะพิจารณาให้เห็นเป็นการส่งเสริมสติ

และ ปัจจุปันนัง วา กายในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าแนะนำว่ากายในปัจจุบันนั้น อะยังโข เม กาโย กายของเรานี้แล อุททัง ปาทะ ตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา อะโท เกสะ มัทถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ตะจะ ปริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ปุโร นานัปปะการัสสะ อสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ อัตถิ อิมัสสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เรียกว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ในร่างกายอันนี้

หนังนั้นเป็นอย่างไร เนื้อนั้นเป็นอย่างไร กระดูกนั้นเป็นอย่างไร จนกระทั่ง ท่านได้แสดงว่า อัญเญนะ ชังคะถิกัง กระดูกแข้งจะกระเด็นไปทางอื่น อัญเญนะ พาหัตถิกัง กระดูกแขนจะกระเด็นไปทางอื่น เป็นต้น คือท่านให้แยกแยะออกไปว่า อันนี้คือ โครงกระดูก อันนี้คือกระดูกแขน อันนี้คือลำไส้ อันนี้คือน้ำเลือด อันนี้คือน้ำเหลือง อันนี้คือร่างกายส่วนต่างๆ จะเป็นกระดูกเท้า กระดูกแขน กระดูกมือ ก็ว่าไป

อันนี้เรียกว่า ปัจจุปันนัง วา กายในปัจจุบัน การพิจารณาอย่างนี้ถือว่าได้ดำเนินจิตเข้าสู่มหาสติปัฏฐาน สติ แปลว่าสติ ฐานะ แปลว่าความมั่นคง จึงเรียกว่าสติปัฏฐาน ทีนี้ท่านก็ใส่ข้างหน้าไว้ว่าเป็น มหา แปลว่าใหญ่ จึงเรียกว่ามหาสติปัฏฐาน คือเป็นฐานที่ตั้งแห่งสติใหญ่ ความใหญ่ ความยิ่ง ก็ถือว่าเป็นความสำคัญ

เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการจะเสริมสติ ในเมื่อจิตนี้มันเข้าไปสู่ภวังค์ หรือจิตนี้มันเข้าไปสู่ความสงบ เราก็นำจิตอันนี้เข้ามาดูร่างกาย จะเป็นร่างกายในอดีต หรือจะเป็นร่างกายในอนาคต หรือจะเป็นร่างกายในปัจจุบันนั้น ก็สุดแล้วแต่ว่าเราจะกำหนดลงไปตรงไหน เมื่อกำหนดลงไปแล้ว ไม่ใช่ว่าจะให้กำหนดอยู่แต่ตรงนั้น อย่างเดียว

เมื่อกำหนดพิจารณาไปเห็นตามสมควรแล้ว เราก็ย้อนจิตกลับคืนมาที่ตั้งของจิต เหมือนกันกับคนที่เค้านั่งอยู่ เมื่อเวลาที่นั่งอยู่นั้น ต้องการอยากจะมองดูสิ่งใด ก็มองไป เห็นหน้าต่าง เห็นประตู แต่ว่าเรานั่งอยู่ในที่นี้ เมื่อเห็นแล้วเราก็หลับตา เราไม่ต้องการที่จะมองให้เห็นอีก เราก็เอาจิตนี้มานั่งอยู่ที่เรานั่ง

เหมือนกับเรามองดูกายในอดีต อนาคต ปัจจุบัน เมื่อเรามองไป ในที่สุด เราก็ย่อกลับคืนมาหาจิต คือมาตั้งอยู่ที่จิต ในขณะที่เราพิจารณาร่างกายอันนั้น เรามองไปเห็น มันจะชัดเจนขึ้นตามลำดับ ถ้าหากว่าความชัดเจนที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นโดยที่ สันทิฎฐิโก ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นเอง คือเห็นเองที่ว่า เมื่อเรามองลงไปแล้ว ความชัดเจนนี้มันจะชัดเจนเพิ่มขึ้น

ถ้าความชัดเจนเพิ่มขึ้น แสดงว่าจิตนี้เกิดความผ่องใส หรือว่าจิตนี้มีความก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ และก็จิตนี้มีสติอันเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ เพราะว่าความสว่างหรือความเห็นแจ้งลงไปในร่างกายอันนี้นั้น มันจะไม่ชัดเจน เริ่มต้นด้วยความไม่ชัดเจน จนกระทั่งไปหาความชัดเจน ไปถึงความชัดเจน ก็ไปจนถึงความแจ้งสว่าง จากความแจ้งสว่าง ก็เรียกว่าถึงความลึกซึ้ง

อันนี้ก็เป็นไปด้วยอำนาจ หรือเรียกว่าพลังของจิต อำนาจและพลังของจิตนั้น ย่อมจะแสดงให้เห็นถึงกิริยา เพราะว่าอำนาจจะมีแค่ไหนนั้น ก็สุดแต่ฐานที่ตั้ง หรือเรียกว่าสติปัฏฐานนี่แหละ เมื่อสติปัฏฐานนี้ มันเป็นของธรรมดา เราก็ไม่ใส่ มหา ลงไป ใส่แต่ว่าสติปัฏฐานอย่างเดียว แต่ถ้าหากว่าเกิดความยิ่งใหญ่ขึ้นมา ทีนี้จึงจะเรียกว่าเป็นมหา เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน

ก็คือเกิดความแจ่มแจ้ง เกิดความชัดแจ้ง ความชัดแจ้งอันนี้ มันไม่ใช่เป็นสิ่งเดา หรือไม่ใช่เป็นสิ่งคิด คือคิดขึ้นมาก็ไม่สว่าง หรือถ้าเดาไปมันก็ไม่สว่าง แต่ว่ามันจะต้องเกิดความจริงขึ้น อันนี้เป็นเครื่องทดสอบว่าจิตของเรานั้น มีความเจริญก้าวหน้าไปแค่ไหนแล้ว

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-03.htm

170
วิธีฝึกจิตให้มีพลัง  (1/5)
พระธรรมเจติยาจารย์
(พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร)
วัดธรรมมงคล
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 16491 โดย: จอม 07 ก.ย. 48

ต่อไปนี้ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจที่จะทำความสงบกันต่อไป ในเบื้องต้นนี้อาตมาจะเป็นผู้นำ ทุกๆ คนให้ว่าตาม

ข้าพเจ้า ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาล ให้ใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ พุทโธ ธัมโม สังโฆ (3ครั้ง) พุทโธ พุทโธ พุทโธ

นี่ก็ให้นึกไว้ในใจ นั่งขัดสมาส ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาหงายทับมือซ้าย วางไว้บนตัก หลับตา นึก พุทโธในใจ กำหนดใจของเราไว้ที่ใจ การทำสมาธิ ต้องการความเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งเป็นต้นเหตุของการที่จะให้เกิดพลังจิต พลังจิตนั้นก็คือ กระแสธรรม ทำอย่างไรพลังจิตของเราจะเกิดขึ้นได้

การทำจิตให้เป็นหนึ่ง คือการที่จะทำจิตนี้ให้เกิดพลังจิต พลังจิตนี้ ที่จะเป็นกำลังที่จะทำวิปัสสนาต่อไปในกาลข้างหน้า แต่การที่จะเป็นหนึ่งได้นั้น ต้องอาศัยคำบริกรรม คำบริกรรมนั้น อย่างที่เราบริกรรมว่าพุทโธๆ เป็นคำบริกรรม ผู้ที่นึกพุทโธได้แล้ว ถือว่าจิตนั้น เริ่มที่จะเข้าเป็นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นหนึ่งได้แล้ว พุทโธก็ไม่ต้องนึก

เมื่อเราไม่นึกพุทโธ แต่ว่าจิตของเราเป็นหนึ่งได้ ก็ถือว่าจิตของเราได้เลื่อนไปอีกขั้นนึง การที่เรากระทำสมาธินั้น เราจะต้องรู้ว่าเมื่อเวลาทำจิตของเราได้ผลอย่างไร เราจะต้องทำอย่างนั้นไปเสมอๆ เพราะว่าต่างคนก็ต่างมีนิสสัยวาสนาบารมีต่างกัน

เมื่อใครจะกำหนดจิตอย่างไรที่เป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตนนั้น เราก็จะต้องกำหนดจิตอย่างนั้น และเมื่อกำหนดจิตอย่างนั้นอยู่ตลอดไป ความชำนาญเกิดขึ้น ความชำนาญนั้น ในภาษาบาลีท่านกล่าวว่า วสี

วสี แปลว่าความชำนาญ ความชำนาญนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการบำเพ็ญจิต เหมือนกันกับผู้ที่เขียนหนังสือเกิดความชำนาญ เค้าย่อมจะต้องเขียนได้อย่างสบาย แม้จะหลับตาเขียนก็ได้ เพราะความชำนาญ และเขาก็ได้ประโยชน์จากการเขียนนั้น อย่างรวดเร็ว

ผู้ที่บำเพ็ญจิตก็เช่นเดียวกัน ต้องแสวงหาความชำนาญให้เกิดขึ้น หรือเรียกว่าแสวงหาวสี การที่เราตั้งจิตนั้น เมื่อเราตั้งได้อย่างนี้ เราทำอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าถูกต้อง เพราะความถูกนั้น อยู่ที่จิตเราตั้งได้ เมื่อจิตตั้งได้ ความตั้งของจิตนั้น ถือว่า สติ

สตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนจะต้องมี ถ้าสตินั้นขาดเมื่อไร การตั้งก็ตั้งไม่อยู่ เหมือนกันกับสิ่งที่เราจะตั้งขึ้นมาเป็นเสา หรือจะตั้งขึ้นมาเป็นสิ่งของ เป็นโต๊ะ เป็นเตียง ถ้าหากว่าขามันหัก หรือว่าขาไม่ดี เตียงก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ก็ต้องล้มกันลงไป ขาของเตียงก็ดี ขาของเก้าอี้ หรือเสาก็ดี ล้วนแล้วแต่เราสมมุติกันขึ้น แต่ถ้าหากว่าจะเปรียบเทียบ ก็เปรียบได้ด้วยสติ

สตินั้น คือความระลึก หรือเรียกว่าความตั้งอยู่ ความไม่วอกแวก จิตมันวอกแวกไปไม่ได้ในเมื่อมันมีสติ แต่พอขาดสติมันก็วอกแวกออกไป อย่างนี้เป็นลักษณะธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เราจะทำสิ่งที่เรียกว่าสมาธิให้เข้มแข็ง หรือเป็นกำลังต่อไปนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องเสริม คือเสริมสตินี้ ให้มีกำลังยิ่งๆ ขึ้นไป

วิธีการที่จะเสริมสติ พระพุทธเจ้าแนะนำไว้ 4 ประการ คือ สติปัฏฐาน 4 มีกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นต้น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หนึ่ง เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สอง จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน สาม ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สี่

สี่ประการนี้เป็นหลัก หรือเรียกว่าเป็นหน่วยของการส่งเสริมสติของเรานี้ให้มั่นคง ในจำนวนสติปัฏฐาน 4 นั้น พระพุทธเจ้ายกกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งก็คือกาย จึงเป็นสิ่งที่เราเห็นกันอยู่ ทุกวันๆ และเป็นสิ่งเราได้สัมผัสอยู่ ทุกวันๆ เราจึงรู้และเข้าใจง่ายในการที่จะเอากายนี้มาเป็นการส่งเสริม หรือเรียกว่าเสริมสติของเราให้แก่กล้ายิ่งขึ้น วิธีการที่ท่านให้เอากายนี้เป็นการเสริมสตินั้น ท่านทำอย่างไร

ในบาลีท่านแสดงไว้ว่าให้เราพากันมีสติมองดูกายในอดีต อนาคต และปัจจุบัน กายในอดีตเป็นอย่างไร กายในอนาคตเป็นอย่างไร กายในปัจจุบันเป็นอย่างไร เรากำหนดจิตไว้ที่นั่น จะเป็นระยะหนึ่ง หรือว่านาน หรือไม่นาน ก็สุดแล้วแต่ แต่ถ้าหากว่าเรากำหนดลงไปได้ จะเป็นการเสริมสติขึ้นมาทันที

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-03.htm

171
คาถาข้างพระที่ : คาถาของพระมหากษัตริย์


คาถาข้างพระที่หรือคาถาเจริญธาตุ เป็นคาถาของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยโบราณ ทรงเจริญพระคาถาเพื่อให้เจริญพระชนมายุ ป้องกันโภยภยันตรายต่างๆ ผู้ใดเจริญพระคาถานี้จะทำให้มีอายุยืนนาน ป้องกันสารพัดโรคาพยาธิครับ ตัวพระคาถามีดังนี้

พุทธัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิฯ


เขียนโดย ทศพรรษ พชร
ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ไสยศาสตร์

172
การแก้อาถรรพณ์ในเคหสถานบ้านเรือน

ภายในเคหสถานบ้านเรือนซบเซาเศร้าหมอง เกิดเจ็บกระเสาะกระแสะ มีเรื่องทำให้เดือดร้อนรำคาญ สูญเสียทรัพย์สินอยู่เป็นเนืองนิตย์ผิดปกติ มีวิธีแก้ไขให้ร้ายคืนกลับเป็นดีดังนี้คือ

ให้ทำความสะอาดฝาบ้าน เพดานบ้าน ตามซอกตามมุมที่มีหยากไย่และฝุ่นละอองให้หมด เอาหยากไย่และฝุ่นละอองกองรวมไว้ที่แห่งเดียวกัน แล้วห่อด้วยผ้าขาวให้มิดชิด นำห่อผ้านี้ไปทิ้งที่บริเวณเมรุหรือที่ฌาปนสถานวัดใดวัดหนึ่ง ทิ้งแล้วห้ามเหลียวหลังดูเป็นอันขาด จากนั้นให้เอาน้ำพระพุทธมนต์ซึ่งขอมาจากพระสงฆ์ผู้ใหญ่ หรือน้ำพระ