แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - tum23

หน้า: [1]
1
พระเจ้าทองทิพย์ วัดบ้านลู อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง พระพุทธรูปองค์นี้ได้อัญเชิญมาจากวัดพระธาตุเสด็จ เดิมเคยประดิษฐานเป็นพระประธาน ในพระวิหารของวัดบ้านลู ก่อนที่จะสร้างพระอุโบสถใหม่แบบก่ออิฐถือปูน เมื่อปีพุทธศักราช 2519
ขนาดองค์พระพุทธรูปเท่าคนจริง ปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ ประทับบนฐานหกเหลี่ยม หล่อขึ้นด้วยโลหะสำริดแก่ทอง (ทำให้พระพักตร์สุกปลั่งตลอดเวลาแม้จะไม่ได้ขัดผิวให้ขึ้นมัน) พุทธลักษณะเป็นแบบศิลปะล้านนาผสมสุโขทัย หรือที่เรียกว่า เชียงแสนสิงห์สาม สกุลช่างนครลำปาง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเจ้าหาญแต่ท้อง เป็นเจ้าผู้ครองนครลำปาง ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช ประมาณปีพุทธศักราช 1992
พระพุทธรูปพระเจ้าทองทิพย์ วัดบ้านลู มีพระพุทธลักษณะและศิลปะสกุลช่างเดียวกับ พระเจ้าล้านทอง วัดพระธาตุลำปางหลวง และพระเจ้าทันใจ วัดพระเจ้าทันใจ จังหวัดลำปาง ซึ่งพระพุทธรูปที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงวัดที่ประดิษฐานก็ได้สร้างและบูรณะขึ้นในสมัยเจ้าหาญแต่ท้อง เป็นเจ้าผู้ครองนครลำปางเช่นกัน
ความอัศจรรย์ของพระเจ้าทองทิพย์ วัดบ้านลู ที่บรรพบุรุษกล่าวถึงและได้เห็นประจักษ์กันมาตลอดก็คือ หากไม่มีการจัดขันธ์ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน บอกกล่าวต่อองค์พระพุทธรูปแล้ว จะไม่สามารถยกเคลื่อนย้ายองค์พระได้เลย เรียกว่าหนักมากแม้จะช่วยยกกันกี่คนก็ไม่สามารถยกขึ้นได้ แต่เมื่อทำพิธีบอกกล่าวแล้ว กลับยกขึ้นได้ด้วยคนเพียงสามคนเท่านั้น
และเมื่อมีการอัญเชิญพระขึ้นสู่พระอุโบสถ เพื่อประดิษฐานเป็นการถาวรนั้น ครั้งนั้นกล่าวกันว่าขณะทำพีธีสวดทางพราหมณ์ ท้องฟ้าได้เปิดมีแสงแดดสว่างจ้า แต่เมื่อถึงพิธีสงฆ์ก็บังเกิดเมฆบดบังจนมืดครื้มเฉพาะบริเวณพื้นที่วัด และเมื่ออัญเชิญแห่รอบพระอุโบสถก็เกิดอัศจรรย์มีละอองฝนโปรยลงมาตลอด จนเมื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นแล้วเสร็จ อากาศก็กลับสว่างจ้าฟ้าเปิดเหมือนเดิม
ปัจจุบันได้อัญเชิญพระพุทธรูปพระเจ้าทองทิพย์ ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นหน้าพระประธานในพระอุโบสถ วัดบ้านลู เป็นการถาวรแล้ว และในวันสงกรานต์ปี๋ใหม่เมือง ทางวัดจะอัญเชิญพระเจ้าทองทิพย์ ออกมาประดิษฐานกลางแจ้ง เพื่อสรงน้ำเป็นประจำทุกปี ชาวบ้านที่มาร่วมพิธีก็จะนำน้ำที่สรงพระไปประพรมบ้านเรือนและลูบศีรษะ ซึ่งเชื่อกันมาแต่โบราณว่าจะช่วยปกปักรักษาปัดเป่าเคราะห์ภัยและทำให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุข


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

2
หลังจากพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณ สร้างพระเครื่องในนาม "หลวงพ่อทวด" ขึ้นแล้ว และประจักษ์ถึงอภินิหารศักดิ์สิทธิ์กันไปทั่วต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ชาวพุทธแห่งจังหวัดปัตตานีและจังหวัดใกล้เคียงได้นิมนต์พระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณ ให้สร้างพระเครื่องในแบบรูปเหมือน "หลวงพ่อปาน" อดีตเจ้าอาวาสวัดนาประดู่ แห่งจังหวัดปัตตานีขึ้นบ้าง โดยเหตุผลว่า แม้พระคุณเจ้ารูปนี้จะเพิ่งถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๒ คือครึ่งร้อยปีมานี้เอง แต่พระคุณเจ้าก็เป็นพระเถระที่มีกฤตยานุภาพแก่กล้าปรากฏเป็นที่มหัศจรรย์รูปหนึ่ง เป็นที่สักการบูชาของชาวพุทธทั่วไปในจังหวัดภาคใต้ของอาณาจักรไทย ถือเสมอว่าพระคุณเจ้าเป็นร่มโพธิร่มไทร ตลอดจนชาวพุทธซึ่งเป็นคนไทยและจีนที่อยู่ในรัฐเคดาห์ ไทรบุรี สหพันธรัฐมลายู ต่างก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในกฤตยานุภาพอภินิหารของพระคุณเจ้ากันทั้งนั้น เมื่อพระคุณเจ้าถึงแก่มรณภาพแล้ว ก็ขอแบ่งเอาอัฐิของพระคุณเจ้าไปบรรจุไว้ที่วัดไทยที่ตำบลบากาบาตา รัฐเคดาห์ ไทรบุรี ชาวพุทธทั้งไทยและจีนในถิ่นนั้น ต่างไปสักการะอัฐิของท่านทุกวันวันละมาก ๆ มิได้ขาด เพราะเมื่อใครไปสักการะขอพึ่งกฤตยานุภาพอภินิหารของท่านขอให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย หรือขอให้ธุรกิจอันสุจริตผ่านพ้นอุปสรรค ต่างก็สมประสงค์กันทั้งนั้น ประวัติโดยสังเขปของพระคุณเจ้ามีว่า ท่านชาตะในวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ปีมะแม พ

.ศ.๒๔๐๒ บิดาชื่อจันทร์ มารดาชื่อหนู เกิดที่บ้านทุ่งหาร ตำบลบ้านกล้วย อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ที่ท่านได้ชื่อว่า "ปาน" ก็เพราะท่านมีปานดำที่โคนลิ้น พออายุได้ ๑๐ ขวบ บิดามารดาจึงนำไปฝากฝังให้เป็นศิษย์ของพระอาจารย์ชู เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ในสมัยนั้น เพื่อให้เรียนหนังสือชักสวดซึ่งนิยมเรียนกัน อยู่กับพระอาจารย์ชูจนอายุครบอุปสมบท จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุเล่าเรียนพระธรรมวินัยตามแบบแผนโบราณ จนมีความรู้ความเข้าใจทั้งทางคันฐธุระและวิปัสสนาธุระ แต่ที่ท่านมุ่งหน้าศึกษาอย่างคร่ำเคร่งนั้นคือทางวิปัสสนาธุระ ฉะนั้นจึงหลีกออกจากหมู่คณะถือธุดงค์ไปแสวงหาที่สงบวิเวกตามป่าเขาที่มีถ้ำให้อาศัยคุ้มกันแดดและฝนได้ ท่านถือความเป็นอยู่อย่างสันโดษ จนกระทั่งพระอาจารย์ชูของท่านถึงแก่มรณภาพ ประดาชาวพุทธแห่งจังหวัดปัตตานี จึงนิมนต์ท่านให้กลับไปอยู่วัดนาประดู่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อจากพระอาจารย์ชู ท่านรับนิมนต์และได้เป็นเจ้าอาวาสจนกระทั่งถึงแก่มรณภาพใน พ.ศ.๒๔๖๒
 

ท่านมีอัธยาศัยเยือกเย็นและมีอารมณ์ร่าเริงอยู่เป็นนิจและมั่นคงในสัจจธรรม มีความอดทนไม่เคยแสดงความโกรธเคืองผู้ใดเลย และท่านมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นท่านจึงไม่กล่าวถ้อยคำที่ไม่เป็นมงคลกับศิษย์และชาวบ้านคนใดเลย และใคร ๆ ก็ไม่ทำตัวให้ท่านกล่าวว่าเป็นคนชั่วคนเลว เพราะต่างเกรงกลัวในวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
 

ตามปรกติวิสัยของท่าน ท่านมีเมตตาจิตโอบอ้อมอารีต่อคนทั่วไป ผู้ใดเจ็บไข้ได้ทุกข์ไปหาท่าน ท่านก็ให้ความช่วยเหลือโดยทั่วหน้ากัน และโดยเฉพาะในทางหยูกยาและน้ำมนต์ของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ เพราะรักษาความป่วยไข้ให้หายได้ดังปลิดทิ้ง เมื่อท่านให้พรผู้ที่ได้รับก็ประสบผลดีงามตามพรที่ท่านให้ เนื่องจากวาจาสิทธิ์ของท่าน
 

ในสมัยที่พระคุณเจ้ามีชีวิตอยู่และเป็นเจ้าอาวาสวัดนาประดู่นั้น แต่ละวันมีผู้คนไปนมัสการขอพึ่งกฤตยานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านให้ช่วยบำบัดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย และปัดเป่าข้อขัดข้องในกิจการอาชีพอย่างคับคั่ง มีทั้งผู้ที่มีฐานะมั่งมีและยากไร้และทั้งไทยและจีน 

 

 

และมีที่ชอบกลอยู่คนหนึ่ง เป็นหนุ่มชื่อราด เขาผู้นี้จะไปนั่งอยู่ที่หน้าวัดนาประดู่เสมอเกือบทุกวัน แต่ไม่ได้เข้าไปนมัสการพระคุณเจ้าเหมือนคนอื่น ๆ หากแต่ไปคอยดูคนที่ไปนมัสการท่านด้วยความสงสัยสนเท่ห์ว่าเขาแห่กันมาทำไมมากมายทุกวัน เขาจะออกปากถามคนเหล่านั้นก็ไม่กล้า เพราะเขาสำนึกตัวว่าเป็นคนต่ำต้อยในทุกทาง และคนที่รู้จักเขาก็เห็นว่าเขาเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ในที่สุดเขาก็นึกว่าพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานต้องมีอะไรดีเป็นพิเศษแน่ ๆ แล้วตกลงใจว่าจะไปขอของดีจากหลวงพ่อท่านบ้าง วันหนึ่งจึงเดินปะปนไปกับผู้คนที่มุ่งหน้าไปนมัสการหลวงพ่อ แต่ในชั้นแรกผู้คนหนาแน่น เขาจึงเลี่ยงมานั่งแอบเมียงมองอยู่ห่าง ๆ ต่อตกเย็นผู้คนเบาบาง เขาจึงค่อย ๆ คลานเข้าไปหาหลวงพ่อ วางดอกไม้ธูปเทียนลงแทบเท้าหลวงพ่อ ก่อนกราบเอาชายผ้าขาวม้าชายหนึ่งพาดบ่า ชายอีกข้างปูที่พื้นข้างหน้าทำเป็นผ้ากราบ แล้วกราบลงบนชายผ้าขาวม้าด้วยความคารวะ ๓ ครั้ง แล้วจึงเอ่ยปากขอว่า "หลวงพ่อครับ หลวงพ่อมีของดี โปรดให้กระผมบ้าง กระผมจะเอาไว้ป้องกันตัว"พระคุณเจ้าหัวร่อหึ ๆ อย่างอารมณ์ดี แต่แทนที่ท่านจะหันไปหยิบพระเครื่องหรือเครื่องรางอะไรยื่นให้เขา ท่านกลับยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนชายผ้าขาวม้าที่เขาปูกราบท่าน แล้วบอกอย่างทีเล่นทีจริงว่า "เอาไปเถอะนี่แหละของดี"แม้เพียงเท่านี้ หนุ่มราดก็แสนดีใจ กราบท่านอีก ๓ ครั้งแล้วลากลับบ้าน
 

แต่นั้นมาเขาเชื่อมั่นว่าผ้าขาวม้าผืนนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารคุ้มกันให้เขาแคล้วคลาดจากผองภัย เมื่ออยู่บ้านก็เอาบูชาไว้บนที่สูงไม่นำมาใช้อย่างผ้าขาวม้าธรรมดาอีกต่อไป เมื่อออกจากบ้านไปไหน ๆ ก็นำติดตัวไปด้วยไม่ขาด และนับตั้งแต่นั้นมาเมื่อมีทุกข์ร้อนประการใด เขาจะยกผ้าขาวม้านั้นทูนขึ้นเหนือหัวตั้งจิตเป็นสมาธิระลึกถึงพระคุณเจ้าหลวงพ่อ ขอให้อภินิหารของท่านช่วยขจัดความทุกข์ร้อนนั้นให้สิ้นไป ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จดังปรารถนาทุกครั้ง นอกจากนี้เขายังประสบโชคลาภไม่ขัดสนยากไร้เหมือนกาลก่อน โดยเหตุนี้จึงทำให้หนุ่มราดเลื่อมใสศรัทธาในอภินิหารของพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่บุพกรรมนั้นไม่มีใครหรืออำนาจอะไรจะฝืนได้ ฉะนั้นในกาลต่อมาหนุ่มราดจึงได้กลายเป็นอาชญากรขั้น "ไอ้เสือ" ตามบุพกรรมที่กำหนดมา ทางการประกาศจับตายและตั้งสินบนเป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับผู้จับได้ไม่ว่าจับเป็นหรือจับตาย แต่ไม่มีใครสามารถจับหรือปราบเขาได้ เพราะผ้าขาวม้าที่พระคุณเจ้าหลวงพ่อปานเหยียบชายให้เขานั้นได้ยังผลให้เนื้อหนังของเขาอยู่ยงคงกระพัน ปืนผาหน้าไม้หอกดาบไม่ทำอันตรายแก่เขาได้เลย คราวหนึ่งเขาหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจนมุมโดยวิ่งตกลงไปบ่อที่น้ำแห้งบ่อหนึ่ง ลึกท่วมหัว เจ้าหน้าที่ล้อมปากบ่อไว้และต้องการจับเป็นจึงร้องบอกให้เขาขึ้นมาให้จับเสียดี ๆ แต่หนุ่มราดซึ่งกลายเป็น "ไอ้เสือร้าย" ไม่เอาด้วยอุบนิ่งอยู่ก้นบ่อ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายก็ขัดใจขึ้นมาเปลี่ยนเป็นจับตายระดมยิงปืนลงไป แต่ลูกปืนหาได้ระคายผิวของไอ้เสือราดไม่ เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนวิธีเป็นขอร้องให้ชาวบ้านที่มามุงดูช่วยหาไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมเป็นปากฉลามมาให้ แล้วแทงลงไปที่ร่างของเสือราด ไม่ระคายผิวของเสือร้ายอีก แต่คราวนี้เสือร้ายเกิดความคิดว่าขืนอุบอยู่ในบ่อซึ่งไม่มีทางหนีคงไม่เข้าทีเสียแล้วจึงตะกายขึ้นจากบ่อ เจ้าหน้าที่จึงกลุ้มรุมกันช่วยจับ แต่เสือราดดิ้นสลัดลื่นหลุดวิ่งหนีไปได้เหมือนกับว่าตัวเขาลื่นอย่างปลาไหล เจ้าหน้าที่วิ่งไล่จนหอบหมดแรงไปตามกันก็หาทันไม่ เป็นอันว่าเสือราดหนีรอดตาจนไปได้อย่างลอยนวลเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และนี่ก็ใช่ว่าเขามีคาถาอาคมขลังหรือพระเครื่องของขลังของเกจิอาจารย์อื่นใดติดตัวเลยนอกจากผ้าขาวม้าที่ชายข้างหนึ่งเจ้าพระคุณหลวงพ่อปานท่านเหยียบให้นั้นผืนเดียวเท่านั้น 

เมื่อรอดพ้นจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่คราวนั้นแล้ว เสือราดก็เตลิดหนีออกจากพระราชอาณาจักรไทย ไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินโดยกลับเนื้อกลับตัวเป็นสุจริตชนอยู่ในรัฐเคดาห์ ไทรบุรี สหพันธรัฐมลายู และการงานอาชีพก็เจริญรุ่งเรืองยังผลให้มีฐานะมั่งคั่ง เมื่อพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานมรณภาพ เขาเป็นคนหนึ่งในบรรดาชาวพุทธที่มาขอแบ่งอัฐิของพระคุณเจ้าหลวงพ่อไปบรรจุไว้ในสถูปที่สร้างขึ้น ณ วัดพุทธศาสนาที่ตำบลบากาบาตา ไทรบุรี ปัจจุบันตายไปแล้วเพราะความชรา โดยเฉพาะพระคุณเจ้าหลวงพ่อปานนั้นเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมิได้สร้างพระเครื่องหรือเหรียญรูปเหมือนตัวท่านทิ้งไว้เลย แต่ก็ยังดีที่ในกาลต่อมาหลังจากพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณอดีตเจ้าอาวาสวัดช้างไห้ ได้สร้างพระเครื่อง

 

"หลวงพ่อทวด" ที่มีอภินิหารเลื่องลือขึ้นแล้ว ได้ติดต่อกับวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้าหลวงพ่อขออนุมัติสร้างขึ้นในรูปแบบรูปเหมือนตัวท่านด้วยเนื้อว่านเช่นเดียวกับที่สร้างหลวงพ่อทวด โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้ผู้มีศรัทธาปสาทะพกติดตัวคุ้มกันผองภัยคู่กับหลวงพ่อทวด เมื่อพระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณติดต่อกับวิญญาณของหลวงพ่อปานทางวิปัสสนาแล้ว ก็ได้รับอนุญาต จึงได้สร้างขึ้นในนาม "หลวงพ่อปานวัดนาประดู่"ในการสร้างจะนอกจากจะหาว่านมาทำผงขึ้นใหม่แล้ว ได้นำผงที่สร้าง "หลวงพ่อทวด" ที่เหลืออยู่ผสมด้วย เมื่อทำเสร็จตามพิธีกรรมให้มีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว ได้นำออกแจกจ่าย
 

ผู้ที่ได้รับแจกไปบู่ชาต่างได้ประจักษ์อภินิหารความศักดิ์สิทธิ์กันทั้งนั้น ทั้งในทางอำนวยลาภผลและคุ้มครองให้รอดพ้นอันตรายจากมนุษย์ด้วยกันและอุปัทวเหตุ เช่นรายหนึ่งซึ่งพระมหาประพันธ์ เจ้าอาวาสวัดบางแก้ว จังหวัดพัทลุง ได้เล่าให้พระคุณเจ้าพระครูวิสัยโสภณฟังว่า หลังจากได้พระหลวงพ่อปานไป ๓ องค์ ได้มอบให้นายจิตร บ้านจงแก ไปองค์หนึ่งเพื่อบูชาพกติดตัว หลังจากนั้นต่อมาไม่ช้าไม่นาน นายจิตรออกจากบ้านไปธุระในตอนพลบค่ำ ขากลับในระหว่างทางที่เดินมา ถูกลอบยิง กระสุนปืนถูกที่หน้าอกอย่างจัง เสียงปืนและความเจ็บที่หน้าอกนายจิตรตกใจสุดขีดยกมือขึ้นกุมอกวิ่งไปหาเพื่อนคนหนึ่งซึ่งบ้านอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อพบเพื่อนก็ละล่ำละลักบอกว่าถูกยิงที่อก เพื่อนจึงขอดู ก็เห็นแต่เสื้อตรงหน้าอกมีรอยทะลุ แต่หน้าอกของนายจิตรมีเพียงรอยช้ำ ๆ แดง ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่ามหัศจรรย์ยิ่ง เพราะตรงที่ถูกกระสุนปืนนั้นตามธรรมดาจะต้องล้มคว่ำขาดใจคาที่ เพื่อนจึงถามว่ามีของดีอะไร นายจิตรจึงบอกว่า "มีหลวงพ่อปานวัดนาประดู่องค์เดียวเท่านั้น" ได้มาจากท่านมหาประพันธ์เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง

3
คาถาอาคม / คาถามงคลสามสาย
« เมื่อ: 16 ก.พ. 2556, 08:45:17 »
วิชาของหลวงปู่ ทองวัดราชโยธา หรือวัดลาดบัวขาว เกจิยุคเก่าของเมืองกรุง เขตสะพานสูงนี่เองครับ....

พระคาถามงคลสามสายและการชักมงคลเข้าตัว

วิชานี้เป็นของ ลป.ทอง วัดราชโยธา โดยคุณปรีชา เอี่ยมธรรมเคยเขียนลงหนังสือลานโพธิ์ ไว้ดังนี้ครับ

พระคาถามงคลสามสาย

มงคลสายที่ 1 พุทธะ สังมิ ธัมมะ สังมิ สังฆะ สังมิ พุทธะสัง อะระหัง มังคะลังโลเกมิ อุมะอะปิด
มงคลสายที่ 2 พุทธะ สังมิ ธัมมะ สังมิ สังฆะ สังมิ ธัมมะสัง อะระหัง มังคะลังโลเกมิ อุมะอะปิด
มงคลสายที่ 3 พุทธะ สังมิ ธัมมะ สังมิ สังฆะ สังมิ สังฆะสัง อะระหัง มังคะลังโลเกมิ อุมะอะปิด

วิธีการชักมงคลเข้าตัว

ก่อนจะชักมงคล ให้นั่งสมาธิแล้วว่า นะโม 3 จบ ระลึกถึง ลป.ทอง วัดราชโยธา แล้วชักมงคลดังนี้

การชักมงคลสายที่ 1

ให้ ใช้หัวแม่มือทั้งสองจรดชิดกันที่กลางหน้าผาก แล้วลากหัวแม่มือทั้งสองออกจากกัน หัวแม่มือขวาลากไปทางขวา หัวแม่มือซ้ายลากไปทางซ้าย ไปชนกันที่ด้านหลังของศรีษะ พร้อมกับว่าพระคาถามงคลสายที่ 1 ว่า “ พุทธะสังมิ ธัมมะสังมิ สังฆะสังมิ... “
จากนั้นลากหัวแม่มือทั้งสองกลับมาทางเก่าจนจรดกันที่หน้าผาก หร้อมกับว่าพระคาถามงคลสายที่ 1 ต่อ “...พุทธะสัง อะระหัง มังคะลังโลเกมิ อุมะอะปิด”
พอจบคำว่า “ อุมะอะปิด” ก็ให้หัวแม่มือมาจรดกันที่หน้าผากพอดี ทั้งนี้ขณะที่เริ่มว่าพระคาถามงคลสายที่ 1 พร้อมกับชักยันต์จากด้านหน้าไปด้านหลัง และชักกลับมาที่หน้าผาก ต้องทำลมหายใจพร้อมกันไปด้วย โดยก่อนที่จะเริ่มว่าพระคาถานั้น ให้หายใจออกให้จนหมด พอเริ่มว่าพระคาถาพร้อมกับชักยันต์นั้น ให้สูดลมหายใจเข้า จากต้นจนจบการชักมงคลสายที่ 1

การชักมงคลสายที่ 2

ให้ลากหัวแม่มือทั้งสองพร้อมกันจากหน้าผากผ่านระหว่างคิ้ว จมูก กลางปาก คาง ลูกกระเดือก ลงมาหยุดที่ใต้ลูกกระเดือกตรงกลางลำคอ
ระหว่างที่ลากหัวแม่มือทั้งสองลงมาจากหน้าผากนั้น ให้ว่าพระคาถามงคลสายที่ 2 “พุทธะสังมิ ธัมมะสังมิ สังฆะสังมิ ...”หัวแม่มือทั้งสองจะมาหยุดอยู่ที่ตรงส่วนต่อระหว่างลำคอ ระหว่างกระดูกไหปลาร้าที่มาชนกันตรงที่เป็นรอยลึก (เอามือคลำดูจะรู้ได้)
แล้ว ลากหัวแม่มือทั้งสองแยกทางกัน หัวแม่มือซ้ายลากไปทางซ้าย หัวแม่มือขวาลากไปทางขวา ไปบรรจบกันที่กึ่งกลางคอด้านหลัง จากนั้นลากกลับมาบรรจบกันที่เดิมคือที่กึ่งกลางคอด้านหน้า
ขณะที่ลากหัวแม่มือไปทางด้านหลังและกลับมาที่เดิมนั้น ให้ภาวนาพระคาถาสายที่สองต่อว่า “...ธัมมะสัง อะระหัง มังคะลังโลเกมิ อุมะอะปิด”
พอถึงคำว่า “อุมะอะปิด” หัวแม่มือจะต้องมาชนกันพอดี พร้อมกันนั้นก็ให้หายใจอัดเข้าเหมือนกับการชักมงคลสายที่ 1

การชักมงคลสายที่ 3

จากจุดเดิมคือกึ่งกลางลำคอด้านหน้าที่หัวแม่มือมาชนชิดติดกัน ลากผ่านกลางทรวงอกลงมาที่สะดือ พร้อมกับว่าคาถามงคลสายที่ 3 “พุทธะสังมิ ธัมมะสังมิ สังฆะสังมิ...”จาก นั้นลากหัวแม่มือแยกออกจากกันไปชนที่กึ่งกลางด้านหลังตรงกระเบนเหน็บ แล้วลากกลับมาที่เดิม มาชนกันที่สะดือ พร้อมกับว่าพระคาถามงคลสามสายสายที่ 3 ต่อว่า “...สังฆะสัง อะระหัง มังคะลังโลเกมิ อุมะอะปิด”
พอ สิ้นคำว่า...ปิด...หัวแม่มือทั้งสองต้องกลับมาชนกันที่กลางสะดือพอดี และในขณะที่ชักมงคล อย่าลืมหายใจอัดเข้าเหมือนกับการชักมงคลสามยที่ 1 และ 2

แล้วจากกลาง สะดือ ให้ชักหัวแม่มือทั้งสองแยกออกจากกัน มือขวาไปทางขวา มือซ้ายไปทางซ้าย ลากจากสะดือผ่านต้นขา ผ่านหัวเข่า ลงไปจับที่หัวแม่เท้าทั้งสอง พร้อมกับภาวนาพระคาถาผูกกรึงว่า “ อิมังกายะ เพชชะคงกระพัน พันธานัง อธิษฐามิ."
แล้วให้ใช้หัวแม่มือทั้งสองพันรอบหัวแม่เท้าทั้งสอง 3 รอบ พร้อมกับภาวนาพระคาถาว่า “ ..นะมะยามิ นะมะยามิ นะมะยามิ...” เป็นอันเสร็จพิธี

4


นี่เป็นประสบการณ์ตรงของผมเองที่อยากให้เจ้าของกระทู้ได้พิจารณาเอาเอง คือผมมีน้าผู้ชายคนหนึ่ง แกพิการขาข้างหนึ่งเดินไม่ถนัด ถ้าไม่ใช้ไม้เท้าจะเดินไม่ได้เลย แต่แกชอบดื่มเหล้าแล้วนอนหลับ ไม่ทำงานการอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้โวยวายเดือดร้อนทำร้ายใคร และแกมักเปิดทีวีไว้แล้วหลับเพราะฤทธิ์เหล้าตลอด จนทีวีเสียไปเครื่องหนึ่ง แกเปิดพัดลมทั้งวันทั้งคืน ถ้าแกไม่ออกไปนอกบ้าน จนพัดลมเสียไปอีกเครื่องหนึ่ง บางครั้งจะลืมปิดจะเปิดทิ้งไว้เวลาออกแกไปนอกบ้านหลายครั้ง พอผมกลับมาก็ต้องมาปิด หากไม่มีเซฟทีคัต บ้านผมคงไหม้หมด เพราะเซฟทีคัตจะตัดบ่อย จนผมต้องว่าแกแรงๆ แต่แกก็ไม่ตอบโต้ บางทีก็ร้องไห้เสียใจ แล้วบ่นบนๆว่าฉันไม่ได้มีพ่อแม่เหมือนพวกแก (แกเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่แยกทางกัน พออายุแกได้ 7 – 8 ขวบ พ่อแกก็ตาย ย่าผมจึงเอามาเลี้ยง จนย่าตาย แกก็ไปทำงานกรุงเทพ แต่เพราะดื่มเหล้าแล้วหลับตลอด ไม่ทำงาน คุณอาคนที่เอาแกไปทำงานด้วยจึงส่งแกกลับ ผมจึงรับภาระเลี้ยงดูแกจนปัจจุบัน จนเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา แกก็เสียเพราะดื่มแต่เหล้า จนไม่กินข้าวและปวดท้อง จนช็อคเพราะขาดอาหาร คืนที่แกจะเสีย แกเรียกผมให้เอาน้ำเย็นมาให้ เพราะแกไม่มีแรงลุกจากเตียง ผมถามแกว่าทำไมไม่กินข้าว แกบอกว่าไม่หิว แล้วแกก็นอนร้องครางเบาๆตลอด จนผมนอนหลับไม่ได้ เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเสียงแกจึงเงียบไป ผมจึงหลับได้ พอรุ่งเช้าก็พบว่าแกตายเสียแล้ว หลังเก็บกระดูกแก ผมนึกเสียใจที่ไม่ได้สนใจแกเท่าที่ควร ซ้ำยังดุแกแรงๆหลายครั้ง แต่แกก็ไม่เคยตอบโต้ ยิ่งทำให้ผมนึกโทษตัวเอง ที่ทำดีกับแกไม่มากเท่าที่ควร ถึงแกจะไม่เอาการเอางานแต่ชีวิตแกแสนอาภัพ ตัวแกมีปมด้อย ผมยังไปซ้ำเติมแกอีก และผมคิดว่าที่แกไม่ยอมกินข้าวเอาแต่กินเหล้า ส่วนหนึ่งก็คงมาจากคำพูดของผม เพราะตอนนั้นแกไม่เหลือใครแล้วนอกจากผมที่ให้ทุกอย่างกับแก โดยไม่ได้ว่าแกเหมือนคนอื่นๆที่เอือมละอาในการปฏิบัติตัวของแก แต่เมื่อหายโกรธทีไร ผมก็มักหดหู่และจะทำดีกับแกแทนคำขอโทษตลอด แกก็รู้ว่าผมรักแกเหมือนกัน ถึงตอนนี้ผมก็ยังเสียใจในการกระทำของตนเองอยู่และร้องไห้ทุกครั้ง ที่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ผมไม่อยากให้คุณเป็นอย่างผม ที่มาเสียใจภายหลัง ขอให้ทำดีกับคนที่เรารักให้มากๆ ถึงตอนนี้จะยังโทษเขา แต่ถ้าไม่มีเขาแล้ว คุณจะนึกเสียใจแน่เชื่อผมเถอะ

5
"ยะตาตะวะมะมะ วะตะตายะ ตังโมกาติมะมะ ติกาโมตัง ยะวะกาตามะมะ ตังติตะโม โมตะติตังมะมะ ตากาวะยะ" คาถาสุครีพหักฉัตร
คาถานี้มันเอาไว้ทําอะไร
คาถาสุครีพหักฉัตร
เป็นบทที่ต้องการอ้างอิงคุณลักษณะพิเศษเรื่องรามเกียรติ ครั้งพญาสุครีพหักบังสูรย์วิเศษ ที่ใช้อำพรางตัวของพระยายักษ์

โดยนัยความหมายคือ ถอดถอนการถูกครอบงำหรือการทำลายล้างอาถรรพณ์ และในทางกลับกันคือ เป็นการป้องกันสถานที่หรือบุคคลนั้นๆ ไม่ให้ถูกอาถรรพณ์อย่างใดอย่างหนึ่งครอบงำก็ได้ รวมไปถึงการแสดงอำนาจราชศักดิ์ที่เหนือกว่าข่มศัตรูให้แพ้ทาง อย่างที่รู้จักกันว่า มหาปราบ และมหาอำนาจก็ได้

6
แถวบ้านผมเรียกอาการอย่างนี้ว่า หลอกเด็ก แต่คุณกำลังโดนเด็กหลอกครับ

7
ถ้าโดนคุณไสยทุกระดับอาทิ ระดับอ่อนสวดคาถาชินบัญชรทุกวัน และเสกลงน้ำแช่ฝักส้มป่อย เอาน้ำนั้นล้างหน้าและอาบ ระดับกลางเอาพระสมเด็จที่เชื่อถือได้(ควรเป็นของวัดระฆัง,วัดใหม่อมตรสหรือของหลวงพ่อเปิ่น)มาแช่น้ำสะอาดแล้วสวดคาถาชินบัญชรเสกลงน้ำ เอาน้ำนั้นดื่มและเอาฝักส้มป่อยแช่แล้วอาบ ทำทุกวันจนกว่าอาการจะหายเป็นปริดทิ้ง จะทั้งล้างถอดของเก่าและกันของใหม่ที่เขาทำมา หนักมากจนไม่ได้สติ แนะนำให้ไปบวชกับครูบาอาจารย์ที่เชื่อถือได้ครับ

8
"ยะตาตะวะมะมะ วะตะตายะ ตังโมกาติมะมะ ติกาโมตัง ยะวะกาตามะมะ ตังติตะโม โมตะติตังมะมะ ตากาวะยะ" คาถาสุครีพหักฉัตร

9
"พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา ศัตรูมาบีฑาวินาศสันติ" ภาวนาเวลาสวมพระออกจากบ้าน  และหมั่นรักษาศีล5 นั่งสมาธิ สวดมนต์ก่อนนอน แผ่เมตตา อย่าอาฆาตเด็ดขาดให้วางเฉย ทำสม่ำเสมอ รายไหนรายนั้น ถ้าเค้าเป็นคนคิดชั่วทำชั่วเป็นประจำ แล้วล่ะก้อไม่นานเกินรอ ก็จะได้ยินบ่นว่า พักนี้ซวยจัง ถ้ายิ่งอยากฆ่าเราก็จะเจออุบัติเหตุไม่เสียทรัพย์ก็เสียเลือด พิการหรือตายไปเลย

10
ครูบาบุญเลิศ จตุตภาโล วัดทุ่งม่านใต้ ทายาทพุทธาคมผู้สืบทอดวิชาจาก ครูบาเจ้านันตา นันโท (คำอ้าย นันโท) ปรมาจารย์แห่งสำนักวัดทุ่งม่านใต้ จังหวัดลำปาง ซึ่งครูบานันตาเองท่านเป็นศิษย์ครูบาอาโนชัย ธรรมจินดาภิกขุ วัดปงสนุกเหนือ แห่งเมืองลำปาง เจ้าตำรับเครื่องรางล้านนาโบราณ “ วัวธนูครั่ง”  “ตะกรุดพอกครั่ง”  “ผ้ายันต์นาคเกี้ยว” “เสื้อยันต์ สิบสองนักษัตริย์” "ดวงตราพระราหูกะลาตาเดียว" หรือที่เรียกว่า “ยันต์สุริยประภา จันทรประภา”  เป็นต้น  และเครื่องรางพระราหูนี้เอง ได้สร้างชื่อให้ครูบานันตา เป็นเอกองค์ปรมจารย์แห่งเครื่องรางของขลังของล้านนา เนื่องมาจาก ครูบาศรีวิชัย ตนบุญแห่งล้านนา ได้รับการช่วยเหลือจากศาสตร์ลี้ลับแขนงนี้ของสำนักนี้ ให้พ้นมลทินจากการต้องอธิกรณ์ หลายต่อหลายครั้ง จนครูบาศรีวิชัยเอง ท่านได้กล่าวกับศิษย์ของท่านว่า “ตุ๊คำอ้าย ต๋นนี้กันเปิ้นเละตางวิชาอาคมเหียแล้ว ตี๋นเปิ้นตึงจะลอยบ่ย่ำปื้นแต้นา” แปลว่า “พระคำอ้ายรูปนี้หากท่านละทางวิชาอาคมได้ เท้าท่านจะลอยไม่เหยียบพื้นจริงๆนะ” มีความหมายว่า “หากครูบานันตา ท่านละทางวิชาอาคมได้ ท่านจะเป็นพระอรหันต์ทีเดียว” จึงเป็นบทยืนยันที่น่าเชื่อว่า ท่านเป็นเลิศทางไสยเวทล้านนายิ่งนัก เครื่องรางสายนี้ได้รับความนิยมมาก และได้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อครั้งเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตร ทิ้งระเบิด บริเวณทางรถไฟขนส่งลำเลียงของทหารญี่ปุ่น และบริเวณ วัดแม่ยิ่ง อำเภอห้างฉัตร กองอำนวยการทหารฝ่ายอักษะ ปรากฏว่า ไม่มีระเบิดลูกใดตกลงในบริเวณวัดแม่ยิ่งเลยแม้แต่ลูกเดียว เพราะครูบานันตา ท่านได้ลงอักขระและติดยันต์พระราหูไว้ที่คานพระวิหาร วัดแม่ยิ่ง นั่นเอง และก่อนที่ท่านจะละสังขารไปท่านได้ถ่ายทอดวิชาให้ "หลวงปู่บุญเลิศ" พระอาจารย์ผู้เฒ่าแห่งวัดทุ่งม่านใต้ จนหมดสิ้น
“หลวงปู่บุญเลิศ" ปัจจุบันอายุ 80 ปี (พ.ศ. 2554) เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2474 ครูบาเจ้านันตา ตั้งชื่อให้ว่า "บุญเลิศ" อีกทั้ง "ครูบานันตา" เป็นพระอุปัชฌาจารย์และถ่ายทอดวิชาให้ และท่านได้เดินทางไปเรียนวิชากับครูบาปินตา ภิณทัสสะ วัดศรีบุญโยง (สหธรรมมิกของครูบานันตา) พระเกจิรุ่นเก่าในอดีตที่ทรงพระเวทวิทยาคมแห่งนครลำปาง ศิษย์อาจารย์เดียวกันกับครูบานันตา และหลวงปู่บุญเลิศเอง ท่านก็ได้สืบสายวิชาการสร้างพระราหูจากกะลาตาเดียว ตามตำรับอย่างเคร่งครัด และได้มอบไว้เป็นสิ่งคุ้มกันอันตรายแก่ผู้ศรัทธา และด้วยความสันโดษของท่านเอง แม้จะมีความชราภาพแล้ว แต่ท่านก็ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นอุปฐากเลยแม้แต่คนเดียว ท่านจะเก็บตัวเงียบ รับแขกไม่นาน แต่จะสร้างเครื่องรางด้วยตนเองตามตำรา และยังได้ถ่ายทอดวิชาให้ทั้งศิษย์พระและศิษย์ฆราวาส ที่มากราบขอวิชาในศาสตร์วิชาดังกล่าวมากมายหลายท่าน ล้วนแต่สร้างชื่อให้ในด้านโชคลาภเห็นผลทันตา ตลอดจนได้สร้างชื่อด้านอำนวยความสวัสดิมงคล เสริมเกื้อหนุนดวงชะตาเกื้อหนุนการค้าขายให้รุ่งเรือง เห็นผลทางพลิกดวงชะตาให้ดีขึ้น ซึ่งผู้ที่เคยลำบากมาก่อนที่จะมาพบท่าน จะทราบถึงความเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ดี แม้แต่คนที่ไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้นักในครั้งแรกที่พบท่าน แต่เมื่อได้รับเครื่องรางไปจากท่านแล้ว กลับพบความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และภายหลังก็ได้กลับไปกราบท่านเสมอมิได้ขาด ถือเป็นที่พึ่งและกราบได้อย่างสนิทใจ
จากครูบาอาโนชัย แห่งวัดปงสนุกเหนือ มาถึงครูบานันตาและครูบาเลิศ แห่งวัดทุ่งม่านใต้ เครื่องรางสายนี้ คือ “ดวงตราพระราหูกะลาตาเดียว”  หรือที่เรียกว่า “สุริยประภา จันทรประภา” นับเป็นอีกหนึ่งชิ้นสำคัญ ที่วงการพระเครื่อง ได้รับรู้และประจักษ์ในคุณวิเศษที่ เป็นของดีที่หาได้ยาก มีจำนวนที่จำกัด และสร้างมาจากความเพียรพยายามของผู้ทรงศีล มีตบะบารมี เข้มขลังบวกกับศิลปะเชิงช่าง พร้อมด้วยพลังพระเวทย์อาคม แม้จะมีสนนราคาที่สูง แต่ก็ไม่มีใครอยากเอาออกมาแลกเปลี่ยนซื้อขาย  จึงหาของได้ไม่ง่ายนัก แม้จะเป็นที่นิยมของคนในทุกวงการ เพราะมาจากผู้ศรัทธาในเครื่องรางสุดยอดตำนานสายนี้ การที่ได้รับความอัศจรรย์กับตัวเอง จึงมีแต่คนหามาเก็บเป็นเครื่องรางประจำตัวคู่ชีวิตกันเลยทีเดียว ดังอุปเท่ห์เครื่องรางดวงตราพระราหู สุริยะประภา จันทรประภา ดังนี้
“สิทธิการิยะ ยันต์สุริยประภาและยันต์จันทรประภาทั้งสองยันต์นี้ เป็นพระยายันต์ที่ประเสริฐกว่ายันต์อื่นใดในโลก ถ้าบุคคลผู้ใดปรารถนาสมบัติ พัสดุเงินทองแก้วแหวนทุกประการ จงให้สร้างพระยันต์นี้ขึ้นบูชาเถิด มีตำนานกล่าวมาว่ามีพระฤาษี 2 ตน สถิตย์อยู่ ณ เขายุคนธร ได้พิจารณาเล็งดูมนุษย์ทั้งหลายว่า ในกาลภายหน้าจะมีทุกข์ภัยเวทนา หาสมบัติบ่มิได้ จึงใคร่จะช่วยทุกข์แห่งมนุษย์ทั้งหลายฤาษีตนหนึ่งจึงสร้างยันต์นี้ขึ้นชื่อ จันทรประภา อีกตนหนึ่ง สร้างยันต์ สุริยาประภา 

พระยันต์ทั้งสองนี้เป็นของหาค่ามิได้ จะหาสิ่งใดเทียบเทียมได้ยาก แม้นว่าสมบัติบรมจักรพรรดิก็ดี สมบัติพระอินทร์ หรือดวงแก้วมณีโชติ ก็หาอาจเปรียบเทียบพระยันต์ทั้งสองนี้ได้

 ยันต์สุริยประภา ( พระอาทิตย์ ) และยันต์จันทรประภา ( พระจันทร์ ) ทั้งสองนี้ เวลากลางวันให้บูชาและปลุกเสกยันต์สุริยประภา เวลากลางคืนให้บูชายันต์จันทรประภา เมื่อกระทำแล้วให้เสกด้วยคาถาที่ลงนั้น 108 เสร็จแล้วจึงเอายันต์สุริยประภาใส่ในตลับทอง เอายันต์จันทรประภาใส่ในตลับเงิน ให้จุนเจิมด้วยแป้งหอม น้ำมันหอม แล้วเอาบูชาไว้ เมื่อจะใช้ให้ใช้ตามอุปเท่ห์ดังกล่าวนี้

 ถ้าหากท้าวพระยาเจ้านายท่านโกรธ ให้เอายันต์สุริยประภานั้น จุนเจิมด้วยเครื่องหอม จึงเสกด้วยคาถาสุริยประภานั้นให้ได้ 3 ที จึงนำเอาติดตัวไป ท่านเห็นหน้าเข้าหายโกรธเคืองสิ้นแล ฯ

 ถ้าบริวารข้าคนหลบหนีไป ให้เขียนชื่อผู้ที่หลบหนีไปนั้นใส่ในกระดาษ แล้วเอายันต์จันทรประภาทับ เสกด้วยคาถาจันทรประภานั้น ผู้นั้นจะหนีไปมิพ้นเลย ถึงหนีไปแล้วก็กลับคืนมาแล ฯ

 ถ้าหากภรรยาหรือสามีไม่รักใคร่ เอาใจออกห่างคิดจะหนีไป ให้เขียนชื่อเขาเข้า เอายันต์จันทรประภาทับ เสกด้วยคาถาจันทรประภา เขาบังเกิดความรักใคร่ไปมิพ้นเราเลย ถึงหย่าร้างกันแล้วก็กับมาดีกันแล ฯ

 โอมเชยยะสัมปัตติ มหาเชยยะสัมปัตติ เชยยันติ โอมทุเรทุเร สวาหะ เลิกมัตตะ สวาหะ ฯ 7 ที แล้วทำใจให้ดีอธิษฐานเอาเถิด ได้ผลงอกงามเจริญดีนักแล ฯ

 ผิว์จะเข้าประจัญข้าศึก ให้เอายันต์สุริยประภาจุนเจิมด้วยเครื่องหอม เสกด้วยคาถาสุริยประภา แล้วจึงนำติดตัวไปด้วย เป็นเครื่องป้องกันอาวุธ หอกดาบ หน้าไม้ ปืนไฟ หาอันตรายมิได้เลย ฯ

 ถ้าหากสงสัยว่าจะมีทรัพย์สินเงินทอง อยู่ ณ ที่แห่งใดหรือไม่ จึงให้เอายันต์จันทรประภานั้น คว่ำลงไว้ ณ ที่ ๆ สงสัยนั้น ถ้าหากว่ามีของที่นั่นจริง ยันต์ที่คว่ำไว้นั้นจะพลิกหงายขึ้นมาแล หรือมิฉะนั้นเทวดาก็จะมาเข้าฝันบอกให้ จะกระทำนั้นให้อาบน้ำสระหัวเสียก่อน ถือศีล 5 – 8 แล้วจึงค่อยกระทำเถิด ฯ
 ถ้าขาดแคลนอาหาร ให้บูชายันต์ทั้งสองนี้ แล้วสาธยายคาถาทั้งสองบทนี้ ถ้าคนไม่นำมาให้ เทวดาย่อมนำมาให้แล ฯ

 ผิว์เดินทางไกล ท่านให้อาบน้ำชำระตัวให้บริสุทธิ์เสียก่อน แล้วให้สมาทานศีล 5 – 8 จึงเอาแป้งหอม น้ำมันหอมจุนเจิมพระยันต์ทั้งสองนั้น แล้วให้สาธยายพระคาถาทั้งสองบท คือ บทพระสุริยประภา และจันทรประภา แล้วกระทืบแผ่นดิน 108 ที จึงย่างเดินออกไป ย่างก้าวเดียวเป็นระยะได้พันวา ฯ

 ถ้าจะกระทำให้เป็นกำบังเพื่อมิให้เพื่อนเห็น ให้ชำระตัวให้สะอาดแล้วจึงทำ ถ้าเป็นเวลากลางคืนเอายันต์จันทรประภานั้นบัง ถ้าเป็นเวลากลางวัน ให้เอายันต์สุริยประภาบัง ฯ

 ผิว์ตกไปอยู่ในเมืองอื่น แลหลงไม่รู้จักทาง บังเกิดความหิวโหยอยากกินข้าวน้ำแทบล้มประดาตาย ให้เอายันต์ทั้งสองนี้บูชา แล้วจึงสวดคาถาทั้งสองบท เทวดาจักนำเอาข้าวปลามาให้เราแล แม้นว่าหลงทางก็รู้แจ้ง มิฉะนั้นผู้คนเขาก็จะนำเอาข้าวปลาอาหารมาให้แล ฯ

 บุคคลผู้ใดปรารถนาเงินทอง แก้วแหวนวัตถุสิ่งไรก็ดีให้เอายันต์จันทรประภาใส่อับเงิน และเอายันต์สุริยประภาใส่อับทองคำ บูชาทุกวัน ให้เอาขันเงิน ขันทองคำ ใส่เครื่องบูชายันต์ทั้งสองนี้ แม้ปรารถนาอันใดก็จะได้ดังใจต้องการทุกอันแล บำเพ็ญไปเถิดอย่าได้ขาด อย่าประมาทเลยแล ฯ

 ยันต์สุริยประภาและจันทรประภาทั้ง 2 ยันต์นี้ ใช้ได้ 108 ประการ แลผู้คนเคารพยำเกรง หูตาก็แจ่มแจ้งอายุก็ยืน ผมก็มิหงอกแล ท่านให้เอายันต์จันทรประภานั้นแช่น้ำมันหอม เอาน้ำมันนั้นทาผม ไปหาขุนนางเจ้านายท่านรักเรา เอาน้ำมันนั้นหุงขี้ผึ้งสีปาก เอาขี้ผึ้งนั้นสีปาก เสกด้วยคาถาพระจันทร์ ไปหาขุนนางท่านเมตตาเราแล ฯ

 ผิว์ผู้หญิงออกลูกยาก ให้เอาแช่น้ำทำเป็นน้ำมนต์ เอาน้ำมนต์นั้นตบหัวบ้างให้กินบ้าง ออกมาได้อย่างง่ายดายแล

 ผิว์วัวควาย...เจ็บไข้ ไม่ยอมกินหญ้าจึงให้เอายันต์แช่น้ำมันมนต์ จึงเอาหญ้าจุ่มน้ำมนต์นั้นแล้วให้กินเข้าไป เอาน้ำนั้นอาบรดหายเจ็บไข้แล ฯ

 ผิว์เกิดเจ็บไข้ เป็นไข้จับให้หนาว หรือเจ็บหัวมัวตาก็ดี ให้เอายันต์แช่น้ำ กินบ้างอาบบ้าง หายสิ้นแล ถ้าถูกไฟลวกให้เอายันต์แช่ลงในน้ำปูน ใส่หายแล ฯ

 ผิว์เอายันต์แช่น้ำรดประตูบ้าน ประตูเรือน โจรผู้ร้ายเปิดเข้ามามิได้เลย รดของขายมิขาดทุนเลย ขายของดีนักแล

  ผู้ใดก่อเหตุแก่เรา หรือเป็นความกับเรา จึงให้เขียนชื่อคู่ศัตรูใส่ในใบพลู จึงเอายันต์ทั้งสองหนีบเข้าไว้ มันหาเรื่องต่อเรามิได้เลย ฯ

 เมื่อจะไปสงคราม ให้เอายันต์ทั้งสองนี้ จุนเจิมด้วยเครื่องหอม แล้วแช่ลงในน้ำมันงาปลุกเสกทาช้าง ม้า เครื่องพาหนะ แล้วไปเถิดมีชัยชนะแก่ข้าศึกแล ฯ

 พระยันต์ทั้งสองนี้ ผู้ใดนับถือบูชาไว้ มิรู้อดอยากหรือตกทุกข์ได้ยากเลย ให้นับถือบูชาประดุจสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด”

11
ชุดนี้แขวนตอนเดือนมีนา ที่ผ่านมา
1.ชินราชหมื่นยันต์ วัดสุทัศน์
2.หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ มวลสาร ปี24 อาจารย์นอง เสก
3.พระผงว่านรุ่นแรก หลวงพ่อดำ วัดตุยง
4.หลวงพ่อดอนตัน หลังธรรมจักร แจกสมรภูมิเขาค้อ
5.พระผงเกศาหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง
ชุดนี้รอดจากอุบัติเหตุจากการเดินทางครับ แค่เกือบโดน รอดได้เฉียดฉิว

12
1.เหรียญหลวงพ่อเปิ่น รุ่นลาภอลงกรณ์ พิธีเสาร์ 5 ปี 2536 เนื้อทองแดง (ได้รับจากมือหลวงพ่อเปิ่น ตอนที่ท่านมาสร้างพระวิหารวัดแจ่งหัวริน อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ท่านแจกให้พวกที่ตีกลองยาว)
2.เหรียญหลวงปู่่คูหาสวรรค วัดนาขวาง เนื้อทองแดงกะหลั่ยทอง หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ปลุกเสกเสาร์ 5 ปี 2523
3. เหรียญหลวงพ่อเพชร หลัง 3 พระเกจิอมตเถราจารย์เมืองพิจิตร เนื้อนวโลหะ ปี 2542
4.รูปเหมือนปั๊มหลวงพ่อโสธร รุ่นทองประทาน เนื้อทองผสม ปี 2550
5.รูปหล่อเบ้าทุบสมเด็จโต วัดบางขุนพรหม เนื้อนวโละ
6.พระมงคลมหาลาภ วัดสัมพันธวงศ์ เนื้อผงขาว พิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ ปี 2499
7.รูปถ่ายกระดาษหนังไก่หลังติดจีวรเกศา หลวงพ่อเกษม เขมโก ปี2516
เอวคาดตะกรุดแปดดอก เนื้อทองแดง หลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่
ตะกรุดเจ็ดดอก เนื้อฝาปิ่นโต หลวงพ่อเปิ่น และเขี้ยวหมูตันแกะรูปหมูป่าที่โคนเขี้ยว คาดสะพายแล่ง

13
แขวนเหรียญรูปไข่หันข้างหลวงพ่อเกษม เขมโก รุ่นสวัสดี สร้างปี 18 ที่รู้จักกันว่า รุ่นกิ่งไผ่ เหรียญเดียวครับ แขวนตั้งแต่เรียนอนุบาล  เพราะตอนเด็กชอบวิ่งเล่นแต่ไม่ค่อยสวมรองเท้า จึงมีประสบการณ์มากเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นหนาม ตะปูหรือเศษแก้ว เหยียบบ่อยๆและเห็นก่อนจะเหยียบก็บ่อย แต่ไม่เคยได้แผลเลย

14
ตามความเห็นผมนะครับ นี่ก็เป็นหนึ่งในรายการจ่ายหนี้ ที่คุณติดค้างเจ้ากรรมนายเวรเค้าไว้นะครับ หากครั้งต่อไปคุณเหยียบโดนตะปูจนเหล็กงอหลังจากที่คุณ ได้เจริญสมาธิ บริกรรมคาถาคงกระพันชาตรีตามสายวิชาที่เรียนมาเป็นประจำ สม่ำเสมอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทีคุณจะหนังเหนียว เพราะคุณมีทุนเดิมอยู่มาก ใครทำอะไรก็ไม่ได้นั่นเอง

15
ตามความเห็นผมนะครับ นี่ก็เป็นหนึ่งในรายการจ่ายหนี้ ที่คุณติดค้างเจ้ากรรมนายเวรเค้าไว้นะครับ หากครั้งต่อไปคุณเหยียบโดนตะปูจนเหล็กงอหลังจากที่คุณ ได้เจริญสมาธิ บริกรรมคาถาคงกระพันชาตรีตามสายวิชาที่เรียนมาเป็นประจำ สม่ำเสมอ

16
สวัสดีครับ ผมตั้มป่าไม้เขต คนลำปางครับ ศิษย์ฆราวาสสำนักทุ่งม่านใต้

17
คาถาหนุมานเชิญธง หรือกระบี่พ่าห์ กระบี่ยุทธ ตามตำรับพิชัยสงคราม
"สัพโพ นะ ปุโรสุสังอะ กะหะวะปะนุ นะยะ นะ อะสังวิสุโลปุสุพุภะ ภะภะสุปุ อะอะ โลสุ โลปุสะอะ วิสังอะอะ กุสะลาธัมมา อัพยากะตา ธัมมา นะโมพุทธายะ ติวิตุ สวาหะ นะโมธัมมายะ ติวิตุ สวาหะ นะโมสังฆายะ ติวิตุ สวาหะ"


18
ตอบคุณตั้นคนเมืองโอ่ง การที่กระทำอย่างที่เขียนไว้นั้นก็ดีครับ แล้วแต่คตินิยมของเราเองตามแต่จะนับถือ หรือถ้าเรียนมาโดยตรงจากสำนักไสยเวทบางสำนัก หรือว่าบางตำราอาจจะมีเคล็ดปฏิบัติต่างกันออกไป และถ้ายิ่งปฏิบัติตามสายสำนักที่ได้ร่ำเรียนมาก็ยิ่งจะดีไปอีก ไม่มีกฎตายตัว อย่างของผมขอเผยแพร่สำหรับผู้สนใจ สามารถนำไปใช้ได้ผลดี มีดังนี้ เอาพระใส่ในฝ่ามือขึ้นพนมที่อก ตั้ง นะโม สามจบ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ตั้งจิตไปที่พระในมือ แล้วกล่าว "พุทธัง รัตตะนัตตะยัง นะมัสสิตวา ศิระษา ชานุยุคขะเล อันตะรายาปิ ภาตัตถัง สัพพะภะยัง วินาสสันติ สัพเพพุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานันจะยังพะลัง อะระหันตานันจะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส"แล้ว  ต่อด้วยคาถาที่นับถือ ตามด้วยอธิษฐานตามประสงค์  แล้วสวมพระ โดยธรรมดาแล้วคาถาบทนี้ เน้นขอความคุ้มครองป้องกันภัยเป็นพื้นครับ ส่วนจะประสงค์สิ่งใดแล้วแต่เราตั้งใจอีกต่างหากไม่เกี่ยวกัน เหมือนเราสวมชุดเกราะพร้อมเสื้อชูชีพเรียบร้อยแล้ว เราจะทาแป้งฉีดน้ำหอม หรือจะถือปืน เข้าไปหาคนอื่นก็ตามแต่เจตนาเราเอง

19
การสร้างวัตถุมงคลเครื่องรางมงคล
สมัยโบราณผู้ที่สามารถลงมือสร้าง (เน้นว่าลงมือสร้างคือ ทำด้วยมือตัวเอง ไม่ใช่สั่งทำจากโรงงาน หรือดำริจัดสร้างขึ้น) วัตถุมงคลเครื่องรางของขลังได้ จะต้องถือศีล 8  เป็นอย่างน้อย เหตุผลของการถือศีล  8  ให้ได้เนื่องจาก  ผู้นั้นต้องสามารถใช้อำนาจจิต ข่มกิเลสอย่างกลางให้ได้เสียก่อน กิเลสอย่างกลางที่ว่านี้ คือ การสะกดกั้นและปล่อยวาง ความอยากและความไม่อยากในจิตใจ (ภาวตัณหาและวิภาวตัณหา ) จนจิตใจกลับมาอยู่ในสภาวะปกติดังเดิม สามารถสะกดข่มอารมณ์ของจิตที่ว่านี้ได้ทุกครั้ง ที่เกิด จนมีความชำนาญ จนได้ชื่อว่ามีพลังจิตขั้นหนึ่ง (สมัยโบราณ พวกฤาษีจะมีพลังจิตขั้นนี้เป็นปฐม) เพราะ การสามารถสะกดข่มจิตใจได้ เท่ากับป้องกันความวิบัติได้  ความวิบัติที่ว่า คือ อาถรรพณ์ในธรรมชาติของสิ่งลี้ลับ จากแรงกระทำของครูบาอาจารย์และแรงกระทำของอมนุษย์ที่มีสัมมาทิฏฐิและไม่มีสัมมาทิฏฐิ ที่จะสร้างความเสื่อมเสียทั้งทรัพย์และชื่อเสียงให้ผู้นั้นได้ทุกเมื่อ หากผู้กระทำผิดคำครู  และอีกประการหนึ่ง คือ การสร้างความเสื่อมเสียวิบัติ โดยตัวผู้กระทำเอง  เนื่องจากการพ่ายแพ้ต่อแรง ปรารถนาของกิเลสในใจตนเอง จนไม่อาจรักษาคำครูได้ หรือแม้แต่การสามารถปฏิบัติตน ตามแบบแผนของครูอาจารย์ได้แล้วก็ตาม แต่ไม่สามารถสะกดกั้นแรงปรารถนาของตนเองได้ และได้ปล่อยจิตใจให้ เตลิดไปตามอารมณ์ ผู้นั้นก็จะต้องพบกับความวิบัติได้เช่นกัน  ดังนั้น แม้จะมีครูบาอาจารย์ที่แก่กล้าวิชาอาคมแก่กล้าประสาทวิชาให้ มีการจัดทำเครื่องบูชาได้ถูกต้องตามแบบแผน แต่พลังจิตของตนเอง เป็นปุถุชนธรรมดา เมื่อใดเกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทบจิตใจ เกินกว่ามนุษย์ปุถุชนจะรับได้ การละเมิดข้อห้ามก็จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ความวิบัติที่ว่าจะส่งผลแต่ผู้สร้างเท่านั้น แต่จะไม่มีผลกับผู้ใช้วัตถุเครื่องรางมงคล แต่อย่างใด นอกเสียจากว่า สิ่งมงคลนั้นจะไร้พลัง เพราะมิได้ประกอบขึ้นจาก วัตถุที่มีคุณวิเศษและมีฤทธิ์ ในตัวเองหรือยังไม่มีการปลุกเสก
   ส่วนการปลุกเสกวัตถุเครื่องรางมงคล ผู้ที่สามารถทำการปลุกเสกให้สิ่งที่ว่า มีอำนาจสัมฤทธิ์ผลได้ตามปรารถนา ต้องมีพลังจิตที่แก่กล้า ระดับอภิญญา  มีฌาน มีสมาบัติ   เพราะว่า จะต้องสื่อสารทางจิตผ่านวัตถุกับผู้ใช้ได้ หรือเพียงแค่ผู้ใช้ระลึกถึงก็สมฤทธิ์ผลตามปรารถนา มิใช่เพียงแค่ประจุพลังปราณอัดเข้าไปในวัตถุ เหมือนแบตเตอรี่เท่านั้น  เมื่อได้รับการปลุกเสกด้วยพลังจิตระดับนี้ แม้สิ่งมงคลที่ว่าจะสร้างขึ้นมาจาก ดิน ปูนหรือโลหะธรรมดา สิ่งมงคลนั้นก็จะทรงพลังที่อัศจรรย์ได้ แบบนี้โดยมากเป็นพระที่เป็นนักบวชในศาสนาที่เรียนการเจริญสมาธิมาในแบบต่างๆ   แต่ยังมีอีกประการหนึ่งคือ วัตถุนั้น ส่งผลได้เพราะเกิดจากแรงครู คือ พลังวิญญาณของเจ้าของวิชา ที่ล่วงลับไปแล้วและกำเนิดในภพภูมิที่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ได้แสดงฤทธิ์ช่วยเหลือ ประเภทนี้มีมากในสายวิชาไสยศาสตร์ทั้งสายขาวและสายดำ
กรรมวิธีการปลุกเสก การปลุกเสกวัตถุมงคลของผู้มีระดับจิตสูง ไม่ว่าจะจับสายสิญจน์  หรือไม่จับสายสิญจน์ ไม่ว่าจะเปิดกล่อง หรือบรรจุอยู่ในกล่อง ไม่ว่าจะมีจำนวนมาก หรือมีจำนวนน้อย  ไม่ว่าจะอยู่ในปะรำพิธี ขัดราชวัตรฉัตรธง หรือใส่กล่องวางตรงหน้า  หากท่านมีความตั้งใจปลุกเสกให้แล้ว แม้มีคนมาตัดสายสิญจน์ขณะปลุกเสก พลังปราณพลังจิตของท่านก็ต้องประจุอยู่ในวัตถุนั้นๆอย่างเต็มเปี่ยม โดยทั่วถึงไม่มีมากกว่ากันหรือนั้นกว่ากัน ดุจเดียวกับพลังสนามแม่เหล็กและคลื่นไมโครเวฟ พลังจิตพลังปราณมีอยู่ถ้วนทั่วสกลจักรวาล ดังนั้นจึงอยู่พ้นจากกฎของระยะทาง ขนาดและปริมาณ มีผลกระทำต่อวัตถุเสมอเหมือนกัน ดุจคนเราที่เกิดมาเหมือนกันแล้วดับชีพเหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง กันเลย วัตถุมงคลก็เช่นกัน หากได้รับการประจุพลังจากผู้ปลุกเสกคนเดียวกัน ย่อมมีพลังเท่ากันทุกชิ้นไม่มีมากกว่ากัน หรือน้อยกว่ากัน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
   การพบเหตุการณ์ที่ว่า ของเสื่อมไม่อาจคุ้มภัยได้ ก็เป็นเพราะอำนาจพลังจิต ยังไม่ถึงระดับของผู้ปลุกเสกหรือการประจุพลังปราณลงสู่วัตถุและอธิษฐานเฉพาะทางแต่เพียงแค่นั้น หรือใช้แต่พลังและบารมีของตนเองโดยไม่ขอเชิญบารมีของครูบาอาจารย์ เทพเทวดา พระรัตนตรัยมาร่วมประสิทธิ์ประสาท  อีกส่วนหนึ่งวัตถุนั้นไม่ได้มีพลังประจุอยู่เลย มีสาเหตุอยู่สองประการ ได้แก่ เป็นของที่ทำเลียนแบบและมิได้รับการประจุพลังประการหนึ่ง และ เป็นของที่สร้างมาจากพิมพ์ตัวเดียวกัน แต่ไม่ได้รับการประจุพลัง(ของเสริม) ไม่ได้เข้าพิธีเป็นประการที่สอง และด้วยที่ประการสองนี้เอง แม้ว่าพิมพ์ถูกต้องอายุเก่าถึง แท้ตามหลักสากล แต่เพราะเป็นของทำเสริมมาไม่มีการปลุกเสกของที่ว่าจึงไม่ต่างจากเหรียญโลหะธรรมดา  ส่วนที่อ้างว่าเพราะแรงกรรม หรือทำผิดข้อห้ามครูก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ต้องรับฟังอีกเช่นกัน แต่เมื่อต้องการพิสูจน์ว่า สิ่งนั้นเป็นของดีจริงหรือไม่ ย่อมสามารถทดลองได้ทันที เช่น ของ อันเดียวกันกับที่ถอดออกมาจากคอของนายกที่ถูกยิงทะลุจนเลือดสาด เมื่อเอามาใช้กับนายขอกลับสามารถคุ้มครองได้ โดยนายขอถูกยิงไม่เข้าเลยสักนัด นั่นเพราะเกิดจากแรงกรรมของแต่ละคนนั้น ส่งผลตัดทอนบารมีของพลังในวัตถุมงคลเอง พูดให้เข้าใจง่ายๆ ยกตัวอย่าง วัตถุมงคล เปรียบได้กับครูให้คะแนนนักเรียนทุกคนมา 100 คะแนนเต็ม แต่พอถึงเวลาสอบ นายก มีผลสอบได้คะแนน 50 คะแนน ส่วนนายข มีผลสอบได้คะแนน 100 คะแนน ครูได้ตัดคะแนนของทั้งสองคนออกแตกต่างกันต่างกัน  จากผลสอบของทั้งสองคนจึงออกมาต่างกัน เพราะทั้งสองที่มีความสามารถที่ต่างกัน เปรียบได้กับการปฏิบัติตนของทั้งสองเอง ที่สร้างกรรมมาต่างกัน จึงได้รับผลของการช่วยเหลือที่ต่างกันนั่นเอง   

20
พระราหูกะลาตาเดียว 
คนในสมัยโบราณนับถือกะลาตาเดียวเป็นวัตถุที่มีอาถรรพ์ที่มีฤทธิ์อยู่ในตัวของมันเอง
จึงนำกะลามะพร้าวที่มีตาเดียวมาแกะเจาะรู เพื่อติดตัวใช้สำหรับเดินทางเข้าหาอาหาร
ไว้สำหรับป้องกันภัยร้ายต่างๆที่จะมาถึงตัว ส่วนกะลาทั้งลูกชาวบ้านมักจะนำไว้บูชา
อธิษฐานขอสิ่งต่างๆให้กับครอบครัว ต่อมาเข้าในสมัยสุโขทัย ได้มีชาวบ้านนำกะลาตาเดียว
มาเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ สำหรับติดตัว เพราะถือกันว่า เป็นเครื่องรางของขลัง
สามารถป้องกันคุณไสย และภูติผีปีศาจได้ และยังทำให้ผู้ที่มีติดตัวไว้มีโชคมีลาภอีกด้วย
แต่ชาวบ้านบางคนมักนิยมนำไปให้อาจารย์ ที่มีวิชาแก่กล้า ลงคาถาอาคมต่างๆแล้วแต่ผู้ใช้จะชอบ

สมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่ากัน ยังมีชาวบ้านนำกะลาตาเดียวเป็นเครื่องรางของขลัง
และใช้ตักข้าวสาร เวลาหุงข้าว เชื่อกันว่าจะทำให้มีข้าวกินไม่มีอดอยากตลอดชีวิต
ส่วนข้าราชการที่ทำงานสมัยกรุงศรีอยุธยามักจะนำกะลาตาเดียวมาแขวนคอติดตัวไปทำงานด้วย
เพื่อความเจริญรุ่งเรืองทางยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย เป็นใหญ่เป็นโตกว่าคนอื่น
ส่วนทหารที่ออกศึกก็มักจะนำไปให้อาจารย์ที่มีวิชาลงคาถาอาคมกำกับ เพื่อให้ตนออกศึกและ
ชนะรอดกลับมาได้

ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีประวัติกะลาตาเดียวทั้งลูก ว่ากะลาตาเดียวทั้งลูก หรือมะพร้าวตาเดียว
เอาเนื้อมะพร้าวออกหมดแล้ว จะเหลือแต่กะลาทั้งลูก ที่ไม่มีรอยแตกร้าว จะเป็นที่นิยมของพวก
พ่อค้า-แม่ค้า ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนา และคู่บ่าวสาวที่แต่งงาน ตลอดจนพวกข้าราชการชั้น
เจ้าขุน เจ้าพระยา จะนิยมเก็บไว้ในบ้าน เพราะเชื่อว่ามีไว้ในบ้านแล้ว จะช่วยส่งเสริมบารมี
ให้มียศฐาบรรดาศักดิ์ สูงขึ้นเร็วกว่าคนอื่น และจะช่วยล้างอาถรรพ์ที่เป็นเสนียดจัญไรภายในบ้าน
ได้เป็นอย่างดี และทำให้มีกินมีใช้ มีเงินมีทองมากขึ้น ไม่รู้จักหมด ส่วนพ่อค้า แม่ค้า ชาวไร่ชาวสวน
ที่นำข้าวของไปขายในเมืองและต่างแดน ก็จะถือกะลาตาเดียวไปด้วย ซึ่งจะทำให้ขายดี
ให้กำไรอย่างงาม

ส่วนคู่บ่าวสาวที่แต่งงานกันในสมัยนั้น ก็มักจะนำกะลาตาเดียวทั้งลูกที่เป็นตัวผู้ ตัวเมียคู่กัน
เก็บไว้ในบ้านจะทำให้อยู่กันมีความสุข ไม่แยกจากกันชั่วนิรันดร จะทำให้ชีวิตครอบครัวอุดมสมบูรณ์
พูนสุขไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ส่วนบางครอบครัวที่แต่งงานให้ลูกหลาน และอยากให้ลูกหลานตน
มีความสุขมากยิ่งขึ้น ไม่ให้แตกแยก เลิกร้างจากกัน ก็จะแกะชื่อ-สกุล ฝ่ายชายลงในแผ่นไม้รัก
แล้วใส่ในกะลาตัวเมีย ส่วนชื่อ-สกุล ฝ่ายหญิง ก็จะแกะลงในแผ่นไม้รักอีกแผ่น แล้วใส่ในกะลาตัวผู้
เก็บไว้คู่กันในบ้าน ก็จะรักกันชั่วนิรันดร

และยังมีประวัติที่เล่ากันเป็นทอดๆ สมัย ปู่ ย่า ตา ยาย ที่รู้เรื่องกะลาตาเดียว เล่ากันว่า
ยังมีคู่บ่าวสาวที่แต่งงานกัน ไม่ให้สามีของตนนอกใจไปรักหญิงอื่น ก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล ทั้งคู่
สามี-ภริยา ลงในแผ่นไม้รักแผ่นเดียวกัน แล้วใส่ลงในกะลาตาเดียว ก็จะทำให้สามีหลงรักตนคนเดียว
ไม่นอกใจไปรักหญิงอื่น ส่วนสามีก็เช่นกัน ถ้าต้องการให้ภริยาเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี ก็จะแกะสลัก
ชื่อ-สกุล สามี-ภริยา ลงในแผ่นไม้รักแผ่นเดียวกัน แล้วใส่ลงในกะลาตัวผู้ ก็จะทำให้ ภริยาไม่นอกใจ
ไปมีชู้ โดยเฉพาะพวกข้าราชการทหารที่ออกรบ หรือไปประจำการตามหัวเมืองต่างๆ กะทันหัน
ในช่วงเวลาที่แต่งงานกันใหม่ๆ แล้วจำเป็นต้องราชการแล้วนำภริยาไปด้วยไม่ได้

กะลาตาเดียว หรือ กะลามะพร้าวตาเดียว ถือกันว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์ ที่มีฤทธิ์อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว
แม้ว่าไม่ต้องปลุกเสกก็ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ คนแต่ก่อนได้กล่าวกันว่า กะลาตาเดียว มีคุณวิเศษหลายอย่าง

1. ใช้สำหรับตักข้าวสารใส่หม้อ เวลาหุงข้าวกิน หากว่านำติดตัวไปประกอบอาชีพ ธุรกิจ จะทำให้เกิด
ทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ หากเป็นชาวไร่ ชาวนา และพืชในไร่งอกงามดี หากเป็นข้าราชการก็จะเจริญทาง
ยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นหัวหน้า เป็นนายคน เป็นใหญ่เป็นโตเร็วกว่าคนอื่นๆ

2. ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ติดประจำกายไว้กับตัว เพราะกะลาตาเดียวเป็นอาถรรพ์มีดีอยู่ในตัวแล้ว
หากว่ามีการนำไปปลุกเสกลงคาถาอาคมก็จะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์มากยิ่งขึ้น

3. ใช้สำหรับเป็นสิ่งป้องกันเสนียดจัญไรป้องกันคุณไสยและภูติผีปีศาจได้ ใช้แก้ผีเข้า ของมีคมเข้าตัว
ใช้ล้างอาถรรพ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เช่นปลูกบ้านทับของมีอาคมร้าย ซากศพ บ่อน้ำ บ้านตั้งอยู่กลางสามแพร่ง
และอื่นๆ ที่ส่งผลร้ายให้แก่ผู้อาศัย ให้กลับกลายเป็นดีได้

4. ใช้ป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ เช่นทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆที่จะมาถึงตัว

5. ใช้ทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ติดตัวเป็นประจำ จะทำให้สุขภาพแข็งแรงดี โรคภัยไข้เจ็บ จะไม่ค่อย
มาเบียดเบียน ที่เจ็บป่วยอยู่ก็จะทำให้สุขภาพดีขึ้น

6. นำบูชาอยู่เป็นประจำ จะทำให้เกิดโชคลาภสม่ำเสมอ ทรัพย์สินเงินทองจะหลั่งไหลมาเทมาไม่ขาดสาย

7. นำพกพาไปค้าขายก็จะค้าขายดี นำติดตัวไปซื้อของก็จะได้ของมามาก ทั้งที่มีเงินนิดเดียว ถ้าขายของ
ก็จะได้เงินเข้ามามาก แต่ของที่ขายไปดูยังไม่ยุบไปเท่าไหร่

8. คนสมัยโบราณ ใช้นำเป็นเครื่องมือแพทย์โบราณใช้ในการตัดต้อที่ตาของคน ให้หายขาดได้

9. ใช้เป็นยารักษาโรคอัมพาต โดยนำทั้งลูกมาผ่า แบ่งเป็นสี่ส่วน ให้นำชิ้นหนึ่งไปทางทิศตะวันตก
อีกสามชิ้นส่วน มาต้มน้ำ มาต้มน้ำกินน้ำทุกวัน วันละ 3 มื้อ มื้อละ 1 แก้ว ถ้าหมดก็นำมาแบ่งเช่นเดิม
แล้วต้มกินอีก ไม่นานก็จะหายจากอัมพาต

10. เครื่องรางพระราหูแกะด้วยกะลาตาเดียว เป็นหนึ่งในเครื่องรางที่มีพุทธคุณมาก เป็นมหาอุตม์คงกระพันชาตรี คุ้มครองป้องกันไฟไหม้ โจรผู้ร้าย กันฟ้าผ่า ภูตผีปีศาจ-มนต์ดำ คุณไสย ต่างๆ อีกทั้งยังเป็น โชคลาภในด้านเงินทอง เมตตามหานิยม สุขภาพแข็งแรง โดยเฉพาะช่วยเกื้อหนุน ค้ำคูนดวงชะตาราศีไม่ให้ตกต่ำ  กิจการงานเจริญก้าวหน้า  มีคนและเทวดาช่วยเหลือเกื้อกูน

ต่อมากะลาตาเดียว ก็มักจะถูกนำมาแกะเป็นรูปพระราหูไว้ติดสร้อยคอ เนื่องจากหายากขึ้นเรื่อยๆ
ดังจะเห็นได้ในบทประพันธ์เรื่อง " พระอภัยมณี " ของสุนทรภู่ ได้มีการแต่งกล่าวถึง
เครื่องรางรูปพระราหูเอาไว้เช่นกันว่า

นางระเวงมีเครื่องรางกะลาตาเดียว แกะเป็นรูปพระราหู แขวนติดประจำกายอยู่ และมีคืนหนึ่ง
นางระเวงได้นอนหลับมี "อ้ายย่องตอด" ผู้มีวิชาแก่กล้าทางไสยศาสตร์ ชองจับสัตว์ และคน
ดูดเลือดเป็นอาหาร ได้ลอบเข้าไปทำร้ายนางระเวง แต่พอเห็นกะลาตาเดียว ที่แกะเป็นรูปพระราหู
ที่แขวนเป็นประจำกายนางระเวง จึงไม่กล้าทำร้ายรีบหนีออกไป

อดีตสุดยอดปรมาจารย์ "ครูบาเจ้านันตา" วัดทุ่งม่านใต้ (บ้านบ่อหิน) ต.บ้านเป้า อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งมรณภาพไปปี 2504 สิริอายุ 90 ปี เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาราหู วัวธนู โคสุภราช ให้ "หลวงพ่อน้อย เนาวรัตน์" วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม และครั้งเมื่อคราวที่ "ท่านครูบาศรีวิชัย" นักบุญแห่งล้านนา ต้องอธิกรณ์ "ท่านครูบานันตา" มอบราหูให้ครูบาศรีวิชัยติดตัวไป จนรอด พ้นมลทินทุกประการ
"ครูบาเลิศ" วัดทุ่งม่านใต้รูปปัจจุบัน ท่านสร้างวัตถุมงคลอันเข้มขลังแทนครูบาเจ้านันตาสืบต่อมา ขึ้นชื่อลือชาในภาคเหนือ และทั่วประเทศข้ามไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน

ตำราพระราหูรู้กันอยู่แล้วว่าเมื่อมีเคราะห์ทุกข์ภัย ความตกต่ำย่ำแย่ ชีวิตพลิกผัน พระราหูจะกลืนกิน แก้ได้อาถรรพณ์หมด ใครนำพาพระราหูติดตัวเป็นเนืองนิตย์จะมีแต่สวัสดิโสพิณกว่าคนทั้งหลาย ทุกหนักเท่าหนักปานใดผ่านพ้นไปเร็วไว ไปถึงความสำเร็จสมหวังดังเป้าหมายทุกประการ อีกทั้งตำราว่ายันต์สุริยประภา และจันทรประภา ท่านว่าเป็นยันต์แห่งขุมทรัพย์ ดังตำราว่าไว้ 

"สิทธิการิยะ ยันต์นี้ประเสริฐกว่ายันต์อื่นใดในโลก ถ้าบุคคลใดปรารถนาสมบัติ แก้ว แหวน เงินทองทุกประการบูชาพระยันต์นี้ เถิด ตำนานกล่าวไว้ว่า มีพระฤๅษี 2 ตน สถิตอยู่ ณ เขายุคนธร ได้พิจารณาเล็งดูมนุษย์ทั้งหลายว่า ในกาลภายหน้าจักมีทุกข์ภัยเวทนา หาสมบัติมิได้ จึงใคร่จะช่วยทุกข์แห่งมนุษย์ทั้งหลาย ฤๅษีตนหนึ่งจึงสร้างยันต์ขึ้นยันต์หนึ่งชื่อ "สุริยประภา" อีกตนหนึ่งสร้างยันต์ "จันทรประภา" ขึ้น ลงในกะลาตาเดียว จะหาสิ่งใดเทียบเทียมได้ยาก แม้ว่าสมบัติบรมจักรพรรดิ และสมบัติพระอินทร์ หรือดวงแก้วมณีโชติ ก็หาอาจเปรียบเทียบพระยันต์ทั้งสองนี้ได้ ผู้ที่หวังเจริญในลาภยศ และอยากจะมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง ก็ให้คิดสร้างขึ้นและนำไปบูชาเถิด โดยให้จุนเจิมด้วยแป้งหอม น้ำมันหอม แล้วเอาบูชาไว้

พระยันต์ทั้ง 2 นี้ผู้ใดนับถือบูชาไว้มิรู้อดอยากตกทุกข์ได้ยากเลย เมื่อจะใช้ยันต์สุริยประภานั้น ให้เอาคาถานี้นมัสการก่อน 7 หน "เอหิจักขุ นาฬิเกลา สุริยประภา จันทรประภา ราหูคาหา สัตตะ ระตะนะ สัมปันโน มณีโชติระโส ยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหัง วันทามิ เมสะทาฯ" แล้วจึงว่าพระคาถากำกับพระยันต์ ดังนี้ กลางวัน "กุเสโต โตราโมมะมะรา รามะมะโมโตติกุเห"  (ว่ากำกับ 3 จบ 7 จบ) กลางคืน "ยะถาตัง ตังยะมะมะตัง ตังมะมะตังตังเสกาเส" (ว่ากำกับ 3 จบ 7 จบ) เป็นตำหรับสำนักวัดทุ่งม่านใต้ ถอดเคล็ดวิชาไว้ให้เกิดผลทางหนุนดวงชะตาและประสาทโภคทรัพย์ ช่วยกิจการงานเจริญก้าวหน้า เรียกว่ามนต์ราหูกาบเดือนกาบตะวัน เอาไว้สำหรับใช้ติดตัวโดยเฉพาะ จะต่างจากที่มีตำราเผยแพร่ คือ กลางวัน "กุเสโต โตราโมมะมะ โตราโม คุยหะโม มะมะ คุยหะโม คุตติโม มะมะ คุตติโม" (ว่ากำกับ 3 จบ 7 จบ) กลางคืน "ยะถาตัง มะมะ ตังถายะ ตังวะตัง มะมะ ตังวะตัง ตังเสกา มะมะ กาเสตัง" (ว่ากำกับ 3 จบ 7 จบ) แบบนี้ใช้ปลุกเสกกะลาราหู ไว้บูชาในบ้านเรือนในตลับทอง ตลับเงิน และขอพรเมื่อคราวตกต่ำหรือต้องการสมปรารถนา โดยเอาแช่น้ำมันแล้วจึงนำมาใช้ แต่เมื่อเอามาพกติดตัว จะส่งผลทางมหาอำนาจ แคล้วคลาด คงกระพันชาตรีเป็นหลัก เพราะจะใช้ติดตัวต่อเมื่อ มีเรื่องเกี่ยวกับในราชการสงครามในสมัยโบราณเท่านั้น

21
ยันต์แม่ทัพที่รู้จักกันนี้ โบราณเรียกยันต์นะมหาทมื่น เน้นทางคงกระพันชาตรี คงทนอาวุธ ดังในเสภาขุนช้างขุนแผน ว่า "อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์ ปถมังตั้งตัวนะปัดตลอด แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน หัวใจกริชอิทธิเจเสน่ห์กล แล้วเล่ามนต์เสกขมิ้นกินน้ำมัน เข้าในห้องลองวิชาประสาเด็ก แทงจนเหล็กแหลมลู่ยู่ขยั้น มหาทมื่นยืนยงคงกระพัน ทั้งเลขยันต์ลากเหมือนไม่เคลื่อนคลาย"
ส่วนยันต์หมูทองแดง เดิมเป็นคตินิยมของคนไตหรือเงี้ยวเรียกว่ายันต์หมูโตน หรือหมูคอกเหล็ก เน้นทางหนังเหนียวกันเขี้ยวงาของที่มีคมจากสัตว์และของที่ไม่มีคมแต่มีแรงกระแทกสูงอย่างท่อนไม้กระบองหรือหัวกระสุน แต่ที่เห็นในภาพเป็นการดัดแปลงจากของเดิมคือเป็นของไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยใส่หัวใจโจรเข้าไปที่ใต้ภาพเพิ่มคุณทางคงกระพันชาตรี คือคงทนทั้งของแหลมคงจากอาวุธต่างๆจากหนักเป็นเบา และล้างทั้งยังกันอาถรรพณ์กระทำต่างๆได้

หน้า: [1]