การที่เราจะรู้ว่ากายกับจิตมีความสัมพันธ์กันหรือไม่นั้น ให้เราดูจากอาการของกายและจิตของเราในขณะที่กำลังเิดินอยู่
การเคลื่อนไหวของกายจะพร้อมกับการที่จิตระลึกรู้ (กายเคลื่อนไหว จิตระลึกรู้ทันที)เกิดความพอดีตรงกันของกายและจิต
ซึ่งเราต้องฝึกจากการเดินอย่างช้าๆในแต่ละระยะ เพื่อให้จิตตามกายทัน หรือกายกับจิตมันพร้อมกัน ฝึกไปจนกระทั่งจิตตามทัน
ในการเดินตามปกติของเรา เหมือนเราเดินตามปกติที่เป็นอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่ากายกับจิตมีความสัมพันธ์สอดคล้องต้องกันดีแล้ว
จากนั้นเราจึงค่อยเปลี่ยนไประยะต่อไป โดยเริ่มใหม่จากการเดินอย่างช้าๆ จนสติตามทันกาย ระลึกรู้ตามทันในการเดินตามปกติของเรา
ทำแบบนี้ตลอดไปในการเดินจงกรมแต่ละระยะ จนกระทั่งจิตระลึกรู้ตามทันในการเดินตามปกติของเราโดยเราสามารถกำหนดระลึกรู้ได้
ครบทั้ง ๖ ระยะ(ถ้าจิตกับกายไม่มีความพร้อมสัมพันธ์กันดีแล้ว เวลาเราเดินจะเกิดอาการซวนเซและเกร็ง เกิดการค้างจังหวะ ก้าวขาค้าง)
...สิ่งที่เราต้องจดจำไว้เสมอก็คือ...ต้องเริ่มจากระยะที่ ๑ และเริ่มจากการเดินอย่างช้าๆทุกครั้ง ก่อนที่เราจะเปลี่ยนไปกำหนดในระยะต่อไป)
...
"เมื่อหยุดคิดปรุงแต่งและวางทุกสิ่งลงได้ (ทั้งสิ่งที่รู้และสิ่งที่ถูกรู้ทั้งปวง)สัจจธรรมความจริงแท้ก็จะปรากฏขึ้นมาให้รู้เห็นเอง"
"รู้จริง เห็นจริง แต่สิ่งที่รู้ที่เห็นนั้นอาจจะไม่จริง อย่ารีบเชื่อในสิ่งที่เห็นและที่รู้ เพราะอาจจะเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความงมงาย"
"เชื่อทันที อาจจะนำไปสู่ความงมงาย
ถ้าปฏิเสธทันที อาจจะทำให้เสียประโยชน์
ควรพิจารณา ไตร่ตรอง ให้รอบคอบ
ควรจะทดลองพิสูจน์ ฝึกฝนที่ใจตน
ให้เกิดความกระจ่างชัดขึ้นด้วยใจตน
เทียบเคียงสงเคราะห์ให้เข้ากับทุกหลักธรรม
ถ้าสอดคล้องต้องกันแล้ว จึงเชื่อในสิ่งนั้น"
.........................................
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิตแด่ผู้ใคร่สนใจธรรมทั้งหลาย
รวี สัจจะ-สมณะชายขอบ
๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายขอบประเทศไทย