ผู้เขียน หัวข้อ: "เบียดเบียนตนเอง"  (อ่าน 2223 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ อิศวรน้อย

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 92
  • เพศ: ชาย
  • สิงห์จ้าวทุ่ง
    • ดูรายละเอียด
"เบียดเบียนตนเอง"
« เมื่อ: 09 ธ.ค. 2552, 11:54:23 »
วันนี้แพรตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อลุกขึ้นมาทำกับข้าวใส่บาตรที่หน้าบ้าน อากาศยามเช้าเย็นชื่นใจ พระสงฆ์เดินอย่างสงบดูน่าเลื่อมใส แพรรู้สึกเป็นบุญที่มามีบ้านอยู่ในย่านที่มีวัดหลายวัด ทำให้มีพระออกบิณฑบาตรมาก ได้สัมผัสถึงวิถีชาวพุทธที่จะได้ทำบุญกับพระสงฆ์ในเวลาเช้า

          ตักบาตรเสร็จแล้วเข้าห้องพระนั่งสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิประมาณ 10 นาที พอจิตใจสงบดีแล้วแพรก็นั่งคิดพิจารณาธรรมเนื่องด้วยวันวานได้ฟังเด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งสนทนากันว่า

          “ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็น่าจะพอแล้วจริงมั้ย”

          อีกคนก็บอกความเห็นของตนว่า

          “คนเราถ้าไม่ทำอะไรให้เบียดเบียนตัวเอง และก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น ก็น่าจะหาความสุขได้ ไม่ผิด จริงมั้ย”

          อีกคนก็บอกความเห็นของตนว่า

          “คนเราถ้าไม่ทำอะไรให้เบียดเบียนตัวเอง และก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่น ก็น่าจะหาความสุขได้ ไม่ผิด จริงมั้ย”

          ในตอนแรก แพรยังนึกคำตอบไม่ค่อยออก เปิดตำราไม่ทันแต่ก็รู้สึกว่าคำสนทนาที่บังเอิญได้ยินมานั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว วันนี้แพรจึงนั่งสมาธิเพื่อจะค่อย ๆ พิจารณาคำตอบให้กับตัวเอง คิดถึงคำสอนของอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เคยสอนไว้ว่าอย่างไร

          การทำวันนี้ให้ดีที่สุด แน่นอน เป็นประโยคทองของนักพูด พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องคิดคร่ำครวญอยู่กับอดีต เพราะทำให้ทุกข์ใจ ไม่ต้องพะวงถืออนาคต เพราะจะกังวลใจ อนาคตเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้ ไม่เป็นไปอย่างใจเราวางแผนไว้ฉะนั้น ก็คือทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะเมื่อวันนี้ดีแล้ว พรุ่งนี้เราจะมีอดีตที่ดีด้วยโดยอัตโนมัติ

          แต่ประโยคนี้ยังไม่จบใจความ ความหมายเต็ม ๆคือ

          “การทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น”

          “การทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้” กับ “การทำวันนี้ให้ดีที่สุด” นั้น ไม่เหมือนกัน ถ้ามีเพื่อนชวนไปกินเหล้า การทำวันนี้ให้ดีที่สุด อาจจะเป็นการไปกินเหล้ากับเพื่อนให้เมาที่สุด สนุกที่สุดก็ได้ ก็เป็นการทำวันนี้ให้ดี คือ ไม่มีอะไรเศร้าหมอง เมาให้สนุก

          แต่ที่ถูกแล้ว ไม่ใช่

          การทำวันนี้ให้ดีที่สุด ก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีด้วย เมื่อเพื่อนมาชวนไปกินเหล้า คำตอบมี 2 อย่าง ไปกับไม่ไป สิ่งที่ดีคือไม่ไป แต่ถ้าทำวันนี้ให้ดี อาจจะไปหรือไม่ไปก็ได้

          อันนี้ไปสอดคล้องกับประโยคที่ 2 ของเด็กกลุ่มนั้นที่ว่า “ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้เบียดเบียนตัวเอง แล้วก็หาความสุขได้”

          คนกินเหล้า แล้วมีความสุข กินด้วยเงินของตัวเอง เมาแล้วกลับไปนอนเงียบ ๆ อย่างมีความสุข มองดูแค่วันนี้ตรงนี้แล้วน่าจะเป็นการกระทำที่ปลอดภัย ใช้ได้ แต่ก็แค่วันนี้เท่านั้น

          การกินเหล้านั้นผิดศีล ถ้ายกเรื่องศีลออก การกินเหล้าก็เบียดเบียนสุขภาพของตนเอง เป็นการเบียดเบียนตนเอง แม้จะโดยเต็มใจ

          กรรมคือการกระทำ วิบากคือผลของกรรม ทุกกรรมที่ทำมีวิบาก นี่คือ กฎของกรรม

          กินเหล้าจะผิดศีล หรือไม่ถือศีล กรรมได้สำเร็จแล้ว วิบากเกิดไปรออยู่ในอนาคต เราสร้างอนาคตเลวรอตัวเราอยู่เบื้องหน้าตรงนี้เรียกว่าเบียดเบียนตนเอง ทำให้ตัวเองต้องเดินไปพบสิ่งเลวที่สร้างไว้

          ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน คำนี้พูดกันเท่ คือคำว่า เดือดร้อนในความหมายของพวกเรา คนชอบเถียง ต้องเป็นขนาดขับรถชนคนตายเสียก่อน จึงจะเรียกว่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ถ้าชนต้นไม้ยังไม่ถือว่าทำให้ใครเดือดร้อน

          แน่ใจหรือว่าคนรอบข้างที่รักเรา ไม่มีใครสักคนที่เดือดร้อนใจ เป็นทุกข์ที่เรากินเหล้า

          แล้วเงินที่กินเหล้า เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง และครอบครัวมากขึ้น น่าจะดีกว่าหรือเปล่า หรือว่าตัวใครตัวมัน

          ส่วนท้ายประโยคที่ว่า "….แล้วก็หาความสุขได้" นั้น

          ในเส้นทางแห่งพุทธไม่มีคำว่าสุขที่แท้จริง มีแต่ทุกข์น้อย กับ ทุกข์มาก ทุกข์น้อยก็เป็นสุขแล้ว ความสุขมีหลายระดับ ตั้งแต่ศูนย์ถึงร้อย สุขร้อยคือนิพพาน สุขเก้าสิบคืออนาคามี สุขแปดสิบคือ สกิทาคามี สุขเจ็ดสิบคือ โสดาบัน สุขหกสิบคือ กัลยาณปุถุชน สุขห้าสิบคือ คนดีปกติ สุขสี่สิบลงมาถึงศูนย์คือสุขของปุถุชนระดับที่ว่า “เมาแล้วมีความสุขดีนี่นา ทำไมว่าทุกข์ ไม่เข้าใจ พูดเรื่องอะไร” ทำนองนั้น

          ระดับต่าง ๆ ที่แพรแบ่งเอง เพื่อความเข้าใจของตัวเองไม่มีในตำรา

          การที่เด็กคนนั้น บอกว่า “คนเราหาความสุขได้ ไม่ผิด” นั้น ถ้าคิดแบบปุถุชนคนยินดีพอใจเวียนว่ายตายเกิดชั่วกับชั่วกัลป์อยู่ในสังสารวัฎนี้ ก็เป็นคำพูดที่จริงอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าสำหรับคนปฏิบัติธรรมแล้วก็ไม่จริง

          ในศาสนาพุทธแบ่งโลกนี้ออกเป็น 3 อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ ความหมายคือ ใด ๆ ในโลกนี้ที่ยังความเพลิดเพลิน พอใจแก่จิตใจ เรียกว่าโลภะหมด เช่นกินก๋วยเตี๋ยวใส่พริกน้ำส้มเผ็ด ๆ โอ๊ย อร่อยชะมัด ชอบ นี่เป็นโลภะแล้ว คือจัดอยู่ในหมวดเกิดความพอใจแก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางใดทางหนึ่ง

          ใด ๆ ในโลกนี้ที่ยังความโกรธ ความโทมนัส เศร้า เสียใจ ร้องไห้ ศัพท์ท่านยกให้โทสะ

          ส่วนโมหะ คือ ความหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง อย่างที่เราคิดว่าสุขนี่แหละ เป็นต้น

          เวลาเรามีความรัก เราคิดว่าเรามีความสุข แต่ที่จริงแล้วมันคือช็อกโกแลตสอดไส้ความทุกข์ไว้ข้างใน พอรักแล้วก็อยากให้เขาเอาใจเรา ไม่อยากให้เขาคุยกับใคร หึง หวง พอเขาหายไปก็เสียใจ พอเขาโผล่มาก็ดีใจ อารมณ์แห่งกิเลสเข้ามาขย้ำหม่ำกินหัวใจเราเข้าไปเท่าไหร่ ๆ เราก็ยังชื่นใจว่ามีความสุขจากการมีความรัก บางทีน้ำตาไหลก็ยังเดินตามเขาไปต้อยๆ หวังว่าเขาจะหันกลับมาแล้วกอดเราปลอบใจ

          ความสุขของชาวพุทธ คือการเรียนให้รู้จักตัวทุกข์ รู้จักตับไตไส้พุงของโลภะ โทสะ โมหะ เพื่อจะขึ้นไปอยู่เหนือมันให้ได้ ไม่ยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้ามัน ให้มันย่ำยีเล่น

          ความสุขของชาวโลก บางครั้งดูเหมือนไม่น่าอันตรายอะไร ยกตัวอย่างเช่น การดูหนัง ฟังเพลง

          ในชาดกเล่าว่า ตระกูลฟ้อนรำ ฟ้อนรำกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ถึงรุ่นหลาน กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าจะได้ไปสวรรค์ชั้นไหนเพราะให้ความสุขเพลิดเพลินแก่ผู้ชม พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องไปตกนรก เพราะชาวโลกมีโลภะ โทสะ โมหะ เพลิดเพลินอยู่แล้ว ยังไปทำให้เขามัวเมาเพลิดเพลินหนักเข้าไปอีก นับว่าเป็นบาป

          ในการถือศีล 5 จะไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องดูหนัง ฟังเพลง แต่ในการถือศีล 8 จะมีข้อหนึ่งที่ให้งดการดูหนัง ฟังเพลง เพราะเป็นเหตุแห่งกิเลสคือโลภะ

          ทั้งนี้เพื่อเป็นการขัดเกลา ฝึกหัดตนเองให้ทวนกระแสไม่หลงใหลไปกับเสียง พัฒนาจิตใจให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนได้รับสุขอันประณีตกว่า ๆ ไม่ต้องอาศัยเสียงเพลงมาช่วยให้มีความสุข

          คนที่หัดเข้ามาสู่เส้นทางธรรมใหม่ ๆ และชอบดูหนัง ฟังเพลง ก็ไม่ถึงกับต้องเบรกเอี๊ยดเลิกจนหัวคะมำ และรู้สึกสงสัยว่าห้ามความสุขไปเสียทุกอย่างแล้ว ธรรมะจะนำชีวิตที่ร่าเริงไปสู่ความเป็นตอไม้ที่เงียบงัน

          ท่านให้ฝึกหัดโดยทำเคียงคู่กันไป ฟังเทปธรรมะบ้าง อ่านหนังสือธรรมะบ้าง หัดเข้าสมาธิภาวนาพุทโธอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ บ้าง แล้วว่าง ๆ ก็ฟังเพลงไปบ้าง

          แต่พอนาน ๆ เข้าจิตใจจะพัฒนาเอง มันจะเทียบเคียงของมันได้เอง รู้เอง เข้าใจเอง ว่าความสุขเมื่ออยู่กับธรรมะเป็นความสุขสงบที่สูงกว่าประณีตกว่า ทำให้การฟังเพลงจะลดลงไปเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมันจะเริ่มมองเห็นว่า การมานั่งฟังเนื้อร้องอันคร่ำครวญหวนไห้ มีแต่เรื่องอกหักรักร้างไปตามอารมณ์ของโลกียชนนั้นเป็นการเสียเวลา จิตใจมันจะอยากอยู่กับสุขอันประณีตที่ได้รู้จักแล้วว่าธรรมะมากกว่า

          ดังนั้น แพรสรุปให้ตัวเอง ควรจะเปลี่ยนประโยคแรกจาก “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” มาเป็น “ทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้” สิ่งที่ดีที่สุดอาจจะไม่ถูกใจเช่นอดกินเหล้า แต่ก็ถูกต้อง คือไม่ผิดศีลและไม่เบียดเบียนตัวเอง และคนที่รักเรา

          และประโยคที่สองที่ว่า “ถ้าเราไม่เบียดเบียนตัวเอง และไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ก็หาความสุขได้” อันนี้ก็ต้องมองยาวไกลว่าไม่เบียดเบียนตัวเอง ทั้งในวันนี้และอนาคต ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนทั้งทางกายและใจในวันนี้และอนาคต แล้วก็หาความสุขได้โดยเป็นความสุขที่แท้จริงตามคำสอนของธรรมะ ไม่ใช่ความสุขแบบที่เราพอใจข้างเดียว ข้างกิเลสเสียด้วย คิดว่าถูกแล้ว เพราะไม่รู้ธรรมะ เป็นความสุขที่อาจจะนำเราไปสู่อบายภูมิได้

          แพรรู้สึกเหมือนได้ทบทวนตำราที่เรียนมา พิจารณาแล้วก็รู้สึกดี ได้เตือนตัวเองเกี่ยวกับข้อธรรมขึ้นมาบ้าง ทำให้เช้าวันนี้เป็นเช้าที่ดีมาก ๆ อีกวันหนึ่ง

          แพรก้มกราบขอบพระคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง ที่ได้สอนให้เข้าใจสิ่งดี ๆ ของโลกและชีวิต และเป็นแสงสว่างนำทางเดินไปสู่ชีวิตที่ดีงาม ทั้งวันนี้และวันหน้า.
 
 

 

ขอบคุณที่มาจากหนังสือ ช้อปปิ้งบุญ ของคุณขวัญ เพียงหทัย

ออฟไลน์ derbyrock

  • คณะกรรมการ
  • *****
  • กระทู้: 2494
  • เพศ: ชาย
  • สติมา ปัญญาเกิด........ปัญหามา ปํญญามี.......
    • MSN Messenger - derbyrock@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: "เบียดเบียนตนเอง"
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 10 ธ.ค. 2552, 10:06:42 »
ขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆน่ะครับ ยกตัวอย่างเรื่องกินเหล้ามาอ่านแล้วโดนใจมากๆครับ จะพยามลดละให้ได้มากที่สุดครับ

ความสุขที่แท้จริงรอคอยคุณอยู่.......เพียงแค่คุณนั่งลงแล้วหลับตา

ออฟไลน์ อชิตะ

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 3218
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - aston_25@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: "เบียดเบียนตนเอง"
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 10 ธ.ค. 2552, 10:14:45 »
่ร่างกายของคนเรานี้ ได้มาด้วยบุญ ด้วยความดีในชาติก่อน สั่งสมมากว่าจะเป็น แขน ๒ ขา ๒ สมอง ๑ ที่เรียกว่าปัญจทรัพย์

ก็คงหมายความว่า คนเราจะหาทรัพย์ได้จากอวัยวะหลัก ๕ อย่าง  และส่วนประกอบย่อย เช่น ปากหรือคำพูด อีกด้วย

ในเมื่อร่างกายนี้กว่าจะได้มาสมบูรณ์ครบ ๓๒ ประการ ยากแสนยาก 

การเบียนเบียดตัวเอง ตัดรอนตัวเองจากความดี ก็ไม่ควรทำ

การดื่มเหล้า จะเดือดร้อนใครหรือไม่นั้น ก็ว่ากันไป แต่ที่ชัดที่สุด คือไม่ัรักตัวเอง ตามใจกิเลส  ทำลายอวัยวะ สติปัญญาตัวเอง

เบียดเบียนตัวเอง เต็มๆ เลยครับผม

ออฟไลน์ prathomsak

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 631
  • เพศ: ชาย
  • โอม หนุมานะ
    • MSN Messenger - prathomsak-pong@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
    • www.hi5.com
    • อีเมล
ตอบ: "เบียดเบียนตนเอง"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 10 ธ.ค. 2552, 12:56:26 »
อ่าแรกๆมีสับสนนิดหน่อย อ่านๆไปถึงบางอ้อแล้วครับ ขอบคุณครับ
เวลาของเรามีน้อยนัก หมั่นทำบุญทำกุศลกันเถิด จักเกิดผล

ออฟไลน์ cho presley

  • ------> I'm Cho Presley
  • นวมะ
  • ****
  • กระทู้: 2049
  • เพศ: หญิง
  • สุดท้ายก็กาหลง!
    • MSN Messenger - cho.khalong@hotmail.com
    • AOL Instant Messenger - เมืองเสน่ห์กาหลง
    • Yahoo Instant Messenger - มหาเสน่ห์+เมตตา+มหานิยม
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.khalong.com
ตอบ: "เบียดเบียนตนเอง"
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 11 ธ.ค. 2552, 08:06:50 »
อ่านจบแล้วอึ้งไปชั่วขณะ ด้วยเหตุว่าเหตุผลทุกอย่างลงตัวจนยากนักจะปฎิเสธคัดคานใดๆ

อีกขั้นหนึ่งของการใช้ชีวิต...

ควรจะเปลี่ยนประโยคจาก “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด” มาเป็น “ทำสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้”

วันรุ่งขึ้นขอคิดแบบเดิมซ้ำอีกค่ะ.. ทำสิ่งดีที่สุดของวันนี้ต่อไป.. โลกคงไร้ซึ่งการเบียดเบียน ห้ำหั่นทำร้ายกัน! มีแต่ความรัก น้ำใจเอื้ออาทรต่อกัน
.. cho.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 ธ.ค. 2552, 08:08:16 โดย cho presley »

cho presley