ผู้เขียน หัวข้อ: พระอรหันต์จี้กง (1)  (อ่าน 7467 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
พระอรหันต์จี้กง (1)
« เมื่อ: 25 ก.พ. 2554, 11:19:54 »
ประวัติพระอรหันต์จี้กง

หลายคนถ้าพูดถึงคำว่า 'พระบ้า' แล้ว ก็ไม่พ้นที่จะนึกถึงพระรูปหนึ่ง .....นามว่า จี้กง (济公) ละครจีนชุดเรื่องจี้กง เคยถูกนำมาฉายและได้รับความนิยมอย่างสูง ภาพพระจี้กง คือ พระที่สวมรองเท้าสานขาดๆ ถือพัดใบลานที่เป็นรู ใส่เสื้อผ้ารุ่งริ่ง มีหมวกโทรมใบเล็ก และที่สำคัญ ขี้ไคลของท่านรักษาได้สารพัดโรค .... แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพที่ละครโทรทัศน์ผลิตออกมาเพื่อความบันเทิงเป็นหลักเท่านั้น

สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน จี้กง ถูกจัดเป็น อรหันต์ (罗汉) แต่เป็นพระอรหันต์ที่แปลกประหลาดเสียจนผู้คนงุนงง จนผู้คนให้ฉายานามว่า พระบ้า หรือ พระเพี้ยน (疯和尚) สาเหตุก็ คือ จี้กงเป็นพระที่รับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มสุราอยู่เป็นนิจ นอกจากนี้ยังลักษณะท่าทางยังปราศซึ่งความสำรวม ผิดแผกกับ พระสงฆ์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม 'เปลือกนอก' กับ 'เนื้อใน' หรือ 'สิ่งที่เห็น' กับ 'สิ่งที่เป็น' นั้นบางครั้งก็มิใช่เรื่องเดียวกันเสียหมด อรหันต์จี้กง ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั้น
จี้กง (济公) หรือ จี้เตียน (济颠) มีตัวตนอยู่จริงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ปกครองประเทศจีน โดยใช้ชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.1148-1209 เดิมแซ่หลี่ นามซินหย่วน (李心远) นอกจากนี้ยังมีนามอื่นๆ อีก เช่น หูหยิ่น (湖隐) และ ฟังหยวนโส่ว (方圆叟) เกิดที่ หมู่บ้านหย่งหนิง ตำบลเทียนไถ มณฑลเจ้อเจียง ในตระกูลของผู้มีอันจะกิน*
อย่างไรก็ตามหลังจาก บิดา-มารดา เสียชีวิต จี้กงก็ตัดสินใจละทางโลก สละเพศฆราวาส ออกบวชที่วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แห่งเมืองหางโจว โดยได้ฉายานามว่า เต้าจี้ (道济) ทั้งนี้เต้าจี้ได้รับการอุปสมบทโดยมีพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ พระอาจารย์ฮุ้ยหย่วน
หลังจากจี้กงออกบวช และ ต่อมาก็ออกลาย กลายมามีพฤติกรรมพิเรนทร์ผิดกับพระทั่วไป จนเป็นที่ติฉินนินทาของพระสงฆ์รูปอื่นๆ แต่ด้าน พระอาจารย์ กลับทราบดีว่า แม้ภายนอกจี้กงจะมีกิริยาไม่สำรวมผิดกับพระทั่วไป ทั้งผิดศีล เล่นซุกซนกับเด็กๆ ประพฤติ-พูดจาไม่สำรวม ดื่มสุรา บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ลึกลงไปภายใน จี้กงกลับเป็น - - - บุคคลที่ตื่นแล้ว!
นอกจากนี้ด้วยการกระทำหลายๆ ประการของ จี้กง แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะผิดศีลธรรม ผิดประเพณีดั้งเดิม แต่เมื่อพิจารณาจาก เนื้อแท้ จุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ แล้ว การกระทำเหล่านั้นของจี้กงกลับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ ก่อคุณประโยชน์

สรุปความสั้นๆ ตามความเชื่อของพุทธมหายานก็คือ จี้กงเป็นอรหันต์ที่จุติมาเกิดอีกครั้ง เพื่อสั่งสอนมนุษย์โลก

สำหรับ วัดหลิงอิ่น อันเป็นสถานที่แรกซึ่ง จี้กง ก้าวเข้าสู่ เส้นทางแห่งร่มผ้ากาสาวพัสตร์ นับเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี และถึงปัจจุบันก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งผู้ซึ่งมาถึง หางโจว ต้องไปเยือนด้วยประการทั้งปวง
วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แปลความหมายเป็นไทยได้ว่า "วัดซ่อนใจ" มีประวัติย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ.326 เมื่อพระอินเดียรูปหนึ่ง ธุดงค์มาถึงทิวเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบซีหู และพบหุบเขาที่สามด้านล้อมรอบด้วยป่างาม เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา ท่านจึงสร้าง วัดซ่อนใจ แห่งนี้ขึ้น** ขณะที่พระอินเดียรูปดังกล่าวเดินสำรวจพื้นที่ก็พบเข้ากับภูเขาหินขนาดมหึมาที่ดูแล้ว ลักษณะโดดออกจากภูมิประเทศโดยรอบ ท่านจึงพรรณาขึ้นว่า "มิทราบว่าเขายอดนี้บินมาจากหนใด" และนี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น (灵隐-飞来峰)***

ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาด้วยความศรัทธาต่อ พระจี้กง ชาวบ้านหางโจวจึงโยงใยที่มาของยอดเขาบินที่วัดหลิงอิ่นเข้าเกี่ยวพันเป็นหนึ่งในตำนานอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของ พระจี้กง แต่งเป็นนิทานขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง โดยนิทานพื้นเมืองของชาวหางโจวเรื่องนั้นระบุเอาไว้ว่า
เดิมยอดเขาประหลาดดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณดินแดนแถบตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน .... เช้าวันหนึ่งเมื่อพระจี้กง มีญาณบอกล่วงหน้าว่า ราวเที่ยงวันยอดเขาดังกล่าวจะบินมาตกทับหมู่บ้านข้างวัดหลิงอิ่น และจะทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย ด้วยเหตุนี้พระจี้กงจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบอกมหันตภัยดังกล่าวให้กับชาวบ้านได้รับทราบ เพื่อที่จะได้พากันอพยพไปยังที่ปลอดภัย
"เที่ยงวันจะมีภูเขาหล่นลงมาทับหมู่บ้าน ทุกคนรีบเก็บข้าวข้องเร็ว ไม่งั้นก็ไม่ทันแล้ว" จี้กงกระหืดกระหอบ มาตะโกนบอกชาวบ้านโดยทั่ว
อย่างไรก็ตามด้วย ความที่ชาวบ้านมองว่า จี้กง เป็นเพียงพระบ้ารูปหนึ่งที่กล่าวอะไรไร้สาระไปวันๆ ทุกคนจึงส่ายหัว พร้อมกับด่าทอว่า "พระบ้าเอ้ย! จะหาเรื่องอะไรมาเล่นสนุกอีกละ ภูเขาบินมีที่ไหนกันเล่า!"
ตะวันยิ่งลอยยิ่งสูง .... ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวันที่ยอดเขาจะตกลงมายังหมู่บ้านเข้าไปทุกที พอดีในวันนั้นมีการจัดงานมงคลสมรส จึงมีเสียงของงานรื่นเริงดังขึ้นที่มุมหนึ่งของหมู่บ้าน
เมื่อจี้กงเห็นว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ตนเองกล่าวเตือน จี้กงจึงตัดสินใจแอบลอดตัวเข้าไปในงาน หลบหลีกผู้คน อุ้มเจ้าสาวหนีออกจากงานเสีย
จี้กงอุ้มเจ้าสาวและวิ่งอย่างว่องไวออกไปนอกหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างก็วิ่งไล่จับ พร้อมกับตะโกนป่าวร้อง ให้ทุกคนช่วยกันคว้าตัว 'พระบ้าขโมยเจ้าสาว' อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิฤทธิ์ จี้กงก็มีฝีเท้าเร็วพอที่จะไม่ถูกใครไล่ตามจับได้ทัน
จี้กงกวดฝีเท้าออกมาๆ พร้อมกับผู้คนทั้งหมู่บ้านที่วิ่งไล่ตาม ออกมาไกลสิบกว่าลี้จนกระทั่งเลยรัศมีของยอดภูเขามหันตภัย เห็นดังนั้นจี้กงจึงวางเจ้าสาวลง เมื่อหยิบพัดใบลานขึ้นมาโบกคลายร้อน ก็บังเกิดเสียงดังลั่นสนั่นพสุธา!!! .... ยอดเขาตกลงมาทับหมู่บ้านอย่างที่คาดไว้
ชาวบ้านที่วิ่งตามมา เมื่อหันกลับไปมองสภาพภูเขายักษ์หล่นมาทับหมู่บ้านของตนเสียแบนก็ทราบว่าสิ่งที่จี้กงกล่าวเตือนนั้นเป็นความจริง ส่วนการที่จี้กงอุ้มเจ้าสาวหนีออกมาจากงานมงคลนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตชาวบ้านทั้งมวลนั่นเอง แต่ทั้งนี้หลังจากเห็นบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติถูกทับแบนอยู่ใต้ภูเขา ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็เกิดความเสียดายและเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ตีอกชกเท้า กันเป็นพัลวัน
ด้วยสภาพดังกล่าว จี้กงจึงหันไปกล่าวกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า "ร้องไห้ไปทำไม พวกเจ้าที่ดินที่มัวแต่เสียดายสมบัติต่างก็ถูกทับจมอยู่ใต้ภูเขาไปแล้ว จากนี้ต่อไปทุกคนก็กลับไปทำไรทำนาของตัวเอง ทำเท่าไหร่ได้เท่านั้น ชีวิตก็ยังมี จะยังกลัวสร้างเรือนใหม่ไม่ได้ไปใย"
ชาวบ้านพอได้ยินก็สำนึกได้ว่าท่ามกลางความทุกข์ก็ยังพอมีประกายแสงแห่งความสุขเรืองรองอยู่บ้าง ท่ามกลางความสูญเสียอย่างน้อยที่สุดพวกตนก็ยังรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้ เมื่อเห็นชาวบ้านพอจะคลายทุกข์ลงได้แล้ว จี้กงก็รั้งเหล่าชาวบ้านเอาไว้ และกล่าวต่อว่า
"อย่างเพิ่งไป ทุกคนฟังอาตมากล่าวก่อน ยอดเขาก้อนนี้เดิมลอยไปลอยมา จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง หลังทับทลายหมู่บ้านของพวกเราแล้วก็อาจจะบินไปทับหมู่บ้านอื่น อาจทำให้คนเสียชีวิตอีกมากมาย อาตมาขอร้องให้พวกเราช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนภูเขาลูกนี้ เพื่อที่จะทำให้ภูเขาลูกนี้ไม่บินไปสร้างอันตรายให้กับผู้อื่นอีก" ชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงรีบกลับไปช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนยอดเขาบินกันคนละไม้ละมือ ...... โดยนับจากนั้น ยอดเขาดังกล่าวก็ไม่บินไปสร้างอันตรายให้ใครอีก และถูกเรียกขานกันต่อๆ มาว่า ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น

ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวก็ยังคงสามารถเข้าชม ยอดเขาบินและพระพุทธรูปสลัก 500 อรหันต์ได้ ทั้งนี้ พระพุทธรูปสลักที่ยอดเขาดังกล่างนี้ถูกจัดว่าอยู่ในส่วนของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลัก (石窟文化) โดยถ้ำหินสลัก ที่นี่แม้จะไม่ถูกจัดให้เป็น 3 สุดยอดแห่งถ้ำหินสลักแห่งแผ่นดินจีน เหมือนกับ ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟) แห่งตุนหวง, ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง หรือ ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี แต่ ถ้ำหินสลักที่นี่ก็ยังมีดีไม่น้อย เนื่องจากนับว่าเป็นตัวแทนหนึ่งของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลักของจีนภาคใต้ แถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ที่สืบเสาะประวัติศาสตร์ย้อนรอยกลับไปได้นานกว่า 1,000 ปี


ที่มา
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=picha-mon&date=15-02-2009&group=12&gblog=4
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ arada

  • เรียนๆ รักๆ ปากกาถูกลัก ไม่พักเรียน
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1111
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - nuk_b@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พระอรหันต์จี้กง (1)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 26 ก.พ. 2554, 03:01:05 »
ขอบคุณมากสำหรับความรู้ที่นำมามอบให้
ธรณีนี่นี้             เป็นพยาน

เราก็ศิษย์มีอาจารย์    หนึ่งบ้าง

เราผิดท่านประหาร     เราชอบ

เรา บ่ ผิดท่านมล้าง    ดาบนั้นคืนสนอง

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พระอรหันต์จี้กง (1)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 26 ก.พ. 2554, 06:13:05 »
อีกมุมมองหนึ่ง

ประวัติพระอรหันต์จี้กง
 

พระนามเดิมของท่าน คือ ชิวอ้วง แซ่ลี้ เป็นชาวเมืองเทียนไท้เกิดในสมัยราชวงศ์ช้ง ท่านได้บวชอยู่ที่วัดเล่งอุ้ง ตำบลไซโอ้ว เมืองหางโจว ประเทศจีน และใช้พระนามทางศาสนาว่าเต้าจี้ ท่านโปรดสัตว์โลกโดยวิธีพิสดาร จนชาวบ้านขนานพระนามว่า "พระสติเฟื่อง" (จี้เตียง) ท่านเป็นองค์อวตารของพระอรหันต์ได้บรรลุพระธรรม ๓ ประการ ที่สำคัญได้แก่ "สรรพสิ่งเกิดจากจิต" ท่านยึดมั่นแต่ พุทธจิตไม่คำนึงถึงเคร่องทรงภายนอก ดังคำกล่าวที่ว่า "รักษาศีลทางจิต ไม่ถือศีลทางปาก ปฏิบัติตนตามสบาย" (หมายความว่า พระภิกษุในประเทศจีนต้องฉันเจ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านไม่เคร่งครัดกับการฉันอาหารสุดแท้แต่โอกาส) ที่ท่านประพฤติเช่นนี้ เพราะว่าในสมัยนั้นได้แต่ถือศีลปาก คือฉันเจ แต่ไม่รักษาศีลทางใจ เพื่อเป็นการสอนธรรมะโดยใช้วิธีรุนแรง เหมือนเอาไม้กระบองตีให้เจ็บจนรู้สึกตัว ท่านพยายามทำให้ภิกษุสมัยนั้นให้ตื่นจากผู้ติดอยู่ในพิธีกรรม ให้มาพิจารณาทางวิปัสสนาธุระ

ท่านมีอิทธิฤทธิ์กว้างขวาง โปรดช่วยมวลมนุษย์มากมายโดยอาศัยวิธีการต่างๆ เพื่อช่วยให้ชาวบ้านพ้นภัย ช่วยกอบกู้พวกที่ดูภายนอกเหมือนผู้มีบุญ แต่ใจบาป กลั่นแกล้งจนคนเหล่านั้นรู้สึกสำนึกตัว และกับผู้ที่โหดร้ายทารุน จะถูกตอบโต้จนไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ ทำให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้น ทุกผู้ทุกนามจึงสรรเสริญว่าเป็น "พระศักดิ์สิทธิ์" เหมือนพระพุทธที่ยังมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

พระอรหันต์จี้กงเคยอยู่วัด "เจ็งชื้อ" ต่อมาวัดนี้ถูกไฟไหม้จำเป็นต้องได้รับการปลูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ่งต้องการได้ไม้จากเขา "เงี้ยมเล้ง" ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ โดยใช้จีวรกางออกไปฉับพลันนั้น จีวรก็ปกคลุมเขาเงี้ยมเล้งทั้งหมด ไม้จากเขาถูกถอนขึ้นมาหมด แล้วถูกนำลงแม่น้ำล่องสู่เมืองหางโจว เสร็จแล้วท่านก็มาบอกชาวบ้านวา ไม้ที่จะใช้ก่อสร้างนั้นบัดนี้อยู่ในบ่อธูป (บ่อธูปนี้เป็นบ่อที่ขุดขึ้น ใช้สำหรับเทขี้ธูปและก้านธูป) ทั้งพระและชาวบ้านต่างไปดูที่บ่อธูป ก็ปรากฎว่าเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่เล่าต่อๆ กันมานี้ ยังมีหลักฐานปรากฎอยู่อีกมากมาย

พระอรหันต์จี้กงได้นั่งสมาธิ จนเข้าฌานปลงสังขาร ในรัชสมัยพระจักรพรรดิ "เกียเตีย" อัฐิของท่านถูกบรรจุไว้ในเจดีย์ "เสือผ่าน" ก่อนที่ท่านจะปลงสังขาร ท่านได้ให้ปริศนาธรรมไว้ว่า "หกสิบปีมานี่ กำแพงตะวันออกล้มทับกำแพงตะวันตก รวบรวมจนถึงบัดนี้ ก็ยังคงเหมือนเดิม ท้องน้ำก็ยังจดขอบฟ้าเช่นเดิม" หลังจากท่านปลงสังขารแล้วไม่นาน ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้พบพระอรหันต์จี้กงนั่งอยู่ใต้เจดีย์ชื่อ "หลักฮั้ว" และยังได้ฝากหนังสือให้บทหนึ่งว่า "หวนรำลึกถึง สมัยก่อน มีศรยิงมาทางด้านหน้า จนบัดนี้ยังรู้สึกหนาวเหน็บกระดูกไปทุกขุมขน เนื่องจากไม่มีใครรู้จักหน้าตาแล้ว ยังขึ้นไปวิ่งเล่นบนดาดฟ้าหนึ่งรอบ" ที่ท่านลงมาอีกครั้งเป็นพระประสงค์ของมหาโพธิสัตว์

ตลอดพระชนมชีพของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้าน โดยวิธีการเสแสร้างต่างๆ กันมาตลอดเวลาโดยไม่มีอุปสรรค ตัวท่านเป็นพระภิกษุ และมีจิตที่เป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาดๆ รองเท้าขาดๆ คู่หนึ่ง โดยไม่สนใจว่ามันจะเปื้อนโคลนหรือไม่ มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศีรษะก็โล้น ลมไม่พัดฝนก็ไม่ตก ไม่จำเป็นต้องมีหมวกงอบ เท้าก็เปลือยเปล่า ความหนาวก็ไม่ระคายความร้อนก็ไม่รู้สึก ไม่ต้อย่าม ไม่ต้องบิณฑบาตเพราะไม่หิวไม่กระหาย ไม่ต้องแต่งทรง เพราะศีรษะไม่มีผม พบใครก็เอาแต่ยิ้ม เพื่อจะได้แผ่บุญ ไม่หลยสังคม ค้นหาเสียงทุกข์เพื่อจะได้ช่วยเหลือชาวนับถือ ทุกครัวเรือนมีแต่พระอรหันต์ หลักการของท่านพระภิกษุทั่วไปไม่ชอบ เนื่องจากความไม่สำรวมของท่าน ทำให้พระภิกษุที่มีความรู้ รู้สึกเสียหน้าไม่สบายใจ ดังนั้นพระภิกษุผู้ใหญ่จึงไม่กล่าวขานถึง ไม่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

สืบเนื่องจากพระอรหันต์จี้กงมีเมตตาจิตไม่ถือสา การปรากฎตนของท่านเอาแน่นอนไม่ได้ กิริยาวาจาล้วนเป็นปริศนาธรรม ซึ่งทำให้ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นอาจารย์ทางพระกัมมัฏฐาน แม้ว่าท่านละสังขารจากโลกไปแล้วก็ตาม แต่ธรรมะของท่านยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิต (พระชนม์พุทธ) ก็เนื่องด้วยเหตุฉะนี้

ในสมัยกลียุคนี้ มวลชนหลงใหลอยู่ในกิเลส วนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์ อรหันต์ใจร้อนรนและเพื่อจะกอบกู้ชาวโลกอีกวาระหนึ่ง ท่านจึงยอมลงมาประทับทรง ที่สำนักธรรมเชิ่งเศียร โดยนำเอาวิญญาณคุณหยางเชิงไปเที่ยวสวรรค์ เปิดเผยความลี้ลับของสวรรค์เพื่อให้ชาวโลกได้รับรู้

ชาวโลกนับว่าโชคดี ดั่งอาบน้ำฝนอันศักดิ์สิทธิ์ ออกจากทางมารโดยตลอด สาธุ! หนังสือเล่มนี้สำเร็จลง สืบทอดนับหมื่นปีอันนับว่าเป็นผลงานของท่าน

บทสรรเสริญ :

เริ่มแรกต้องตีหัว   เพื่อปลุกตัวตื่นจากหลง
ยิ้มยื่นดอกไม้ดง   ยังคงเป็นปริศนาธรรม
ชีวิตคือละคร   สะท้อนได้เหมือนจริงจัง
สรรพสิ่งสู่จิตดัง   ท่องสวรรค์และยมบาล
 

ที่มา
http://www.vithi.com/menu02-10-00-1.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พระอรหันต์จี้กง (1)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 27 ก.พ. 2554, 11:22:47 »
ประวัติพระอรหันต์จี้กง

• คำนำโดยพระอรหันต์จี้กง
• ตอนที่ 1การไหวติงในความสงบ พระอรหันต์ได้ปฏิสนธิขึ้น
• ตอนที่ 2 กระท่อมสองพยางค์ลุพุทธจิต จุดญาณหนึ่งรั้งปริศนาธรรม
• ตอนที่ 3 ใกล้อาลัยบุพถการี กตเวทิตาถึงที่สุด
• ตอนที่ 4 ทุกข์ทรมานนั่งไม่สำเร็จ บรรลุแจ้งแสร้งทำเพี้ยน
• ตอนที่ 5 อภิญญาร้องเพลงโปรดผู้คน ไม่ยึดติดล้มกระดานสู่นิพพาน
• ตอนที่ 6 เมื่อปลงเสียได้ก็จากไป เมื่อวางไม่ลงก็กลับมาใหม่
• ตอนที่ 7 สัมมาสติไม่หลงรูป ธรรมจิตรู้ตื่นไม่เมาเหล้า
• ตอนที่ 8 จี้กงถูกขับไล่โดยรับหน้าที่หาผู้อุปัฎฐาก
• ตอนที่ 9 หนีการถูกข่มเหงสู่วัดเจิ่นฉือ
• ตอนที่ 10 แสดงอภินิหาร พระจักรพรรดินีบริจาคทรัพย์
• ตอนที่ 11 แก้สงฆ์โลภอยากฉันหน่อไม้ กระทบกับควายเหล็กนายอำเภอทำโทษสน
• ตอนที่ 12 พุทธานุภาพรับเฉินอี้เป็นศิษย์ในความเมาธรรมจิตชี้ความไร้แสง
• ตอนที่ 13 เจ้าอาวาสซ่งปีติยินดีในปริศนาธรรมจี้กงโกรธตีไหเหล้าแตก
• ตอนที่ 14 ใบประกาศก้องฟ้าโอรสสวรรค์ศรัทธา สุรานำปริศนาธรรมปรับใจผู้กำกับ
• ตอนที่ 15 แสดงอภินิหารในการปิดทองพระ แก้หนี้กรรมคนตายเดินได้
• ตอนที่ 16 ตัวเปลือยเปล่ารักษาโรคปอด ถูกหาว่าไร้มารยาทพูดจาภาษาเมา
• ตอนที่ 17 สามีภรรยาตายร่วมกันสมานรักกันชาติหน้า
• ตอนที่ 18 ผู้บำเพ็ญศีลฉือเสาะหาใบสุทธิ จางถี่เตียนเมาเสาะหากลอน
• ตอนที่ 19 ช่วยคนไม่สำเร็จ พุทธานุภาพสู้กรรมานุภาพไม่ได้
• ตอนที่ 20 ไปมากระจ่างเพียงหนึ่งยิ้มคืนสู่สัจจะ



คำนำโดยพระอรหันต์จี้กง
อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง กลอนนำเสด็จว่า
����ทะเลสาบซีหู   ประทับรอยนามศักดิ์สิทธิ์
แสร้งบ้าทำบอบิด    บพิตรหวังลบรูปซ้อน
สัทธรรมกัลยาณมิตร    กระตุ้นจิตประภัสสร
นอกตำราพลิกสอน   หวังผู้รับประสพศรี
����รอยยิ้มในสุรา   มีวาจาแฝงคติ
ปุถุสงฆ์ไร้สติ   ต่างโจษขานว่าทุศีล
ตีกระเจิงจารีต   ทุบรูปลักษณ์มลายชีพ
ไร้ฝุ่นกิเลสลีบ    ไฉนเลยกับสมณศักดิ์
����พระเสด็จมาเยือน    เอื้อนวจีแด่สำนัก
แต่งตำนานตำหนัก   สำรับใหม่ให้คลี่คลาย
ทรงเพิ่มเติมจัดทำ   แทรกหลักธรรมแล้วแย้มพลาย
ยกเป็นบทอธิบาย    รวมทั้งหมดครบยี่สิบ

หนังสือ "ชีวประวัติพระอรหันต์จี้กง"ได้ลงพิมพ์ในนิตยสาร SENG TE MAGAZINE (SENG TE MAGAZINE เป็นนิตยสารทางธรรมะ ออกโดยสมาคมเซิ้งเต๋อ เมืองไถจง ไต้หวัน) เป็นตอนๆจนอวสาน บัดนี้สานุศิษย์ที่มีใจศรัทธาจะจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม เพื่อเผยแผ่ให้กว้างขวางขึ้นเพื่อโปรดผู้มีบุญสัมพันธ์ ทั้งได้พิมพ์เพิ่มเติมคำอธิบายท้ายบท เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสัมผัสได้ลึกซึ้งถึงความหมายที่ซ่อนเร้น เพื่อเตือนเวไนยสัตว์ให้ตื่น ช่วยให้เข้าใจในข้อธรรมเพื่อปฏิบัติให้จริงจัง ดังนั้นอาตมาจึงลงประทับทรงที่สำนักเซิ้งเต๋อถัน ช่วยเขียนคำอธิบายท้ายบท เพื่อจะได้รู้ซึ้งถึงพฤติกรรมที่แสดงออกในสมัยนั้น
ดังนั้นนับจากเดือนนี้ไป อาตมาจะมาประทับทรงติดต่อกันเพื่ออธิบายสภาพจิตในตอนนั้น เปิดเผยปริศนาธรรมให้ชาวโลกได้เข้าใจ อาตมาขายสัจธรรมแห่งความโง่เขลา เพื่อให้บรรลุถึงหน้าตาดั้งเดิมแห่งตน ทำลายรูปลักษณ์ชนิดต่างๆกัน เพื่อค้นหาตนเองที่แท้จริงจนกว่าจะบรรลุเองสำเร็จเอง อาตมาได้ชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ฝ่ายเซน ได้ถ่ายทอดวิถีจิตตามหลักแห่งเซน โดยไม่ถ่ายทอดแก่พวกนอกรีต ดังนั้นจึงมีพฤติกรรมด่าทอถึงพุทธะบ้างหลวงพ่อบ้าง มิใช่เพราะอาตมามีความขัดแย้งกับพุทธะหรือหลวงพ่อเหล่านั้น อันที่จริงทุกๆคนล้วนมีพุทธจิตของตนเอง แต่ละจิตก็สมบูรณ์ อย่าได้เที่ยวเสาะแสวงหาจากภายนอกเลย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือพระพุทธเจ้าย่อมมีจิตที่เสมอกัน ดังนั้นการด่าทอพุทธะหรือหลวงพ่อก็เพื่อปลุกให้จิตของเวไนยสัตว์ตื่นขึ้น ดังคำที่กล่าวว่า ตีเพราะรัก ด่าเพราะห่วง ดังนั้นพุทธะหรือหลวงพ่อ ก็คงไม่กล่าวโทษหรอกแต่กลับจะปิติยินดีเป็นที่สุด สำหรับผู้ที่มีปัญญามากก็จะเข้าใจในความหมายแห่งเซน อย่าใช้ปัญญาปุถุชนมาเข้าใจ อาตมาปลื้มใจแม้โพธิสัตว์จะเมามาย แต่พุทธจิตตื่นเสมอ ที่ว่า"คุณธรรมไม่โดดเดี่ยว มีพวกพ้องเสมอ" โชคดีที่ใต้หล้ามี "ผู้สืบทอดจี้กง" หากไม่ติว่าอาตมาน่ารังเกียจละก็ หนังสือนี้ก็มีคุณค่าพอที่จะอ่าน ถึงไม่มีฝนทิพย์ บุปผาสวรรค์โปรยลงมา ก็ขอรับรองว่าเพียงเปิดพลิกดูก็ได้สาระ หน้าร้อนก็พบว่าตาลี่ขายแตง หน้าหนาวก็เจอะอาตมาขายเหล้า เหลือพอที่จะให้ลิ้มชิมรส ดุจคนดื่มน้ำ จะร้อนหรือเย็นรู้ได้ด้วยตนเอง!
สงฆ์เพี้ยนเต้าจี้ประทับทรง ณ สำนักเซิ้งเต๋อถัน
เมืองไถจง ไต้หวัน

ที่มา
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=206

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: พระอรหันต์จี้กง (1)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 27 ก.พ. 2554, 11:24:40 »
พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง
[youtube=425,350]O-ncDkJcZ9I[/youtube]