คัดลอกจาก คลังความรู้ > วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13137
@ อบรมจิตให้ประภัสสรได้อย่างไร
"ทีนี้ก็มาดูถึงความลับ ความลึกลับอันหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหลาย : พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตนี้ประภัสสร คือตามธรรมชาติ เป็นประภัสสร; แต่ว่าสูญความเป็นประภัสสร คือเศร้าหมองไป เพราะกิเลสหรืออุปกิเลสมันเกิดขึ้นมาจับ เหมือนอาคันตุกะ : ถ้าไม่มีกิเลสเป็นอาคันตุกะแล้ว, มันก็เป็นจิตที่ผ่องใส เมื่อใดกิเลสเข้ามาเป็นแขก จิตนี้ก็เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส, เมื่อใดไม่มีกิเลสเป็นอาคันตุกะ จิตนี้ก็ผ่องใส; นี้คือธรรมชาติของจิต, ถ้าผู้ใดรู้ความจริงข้อนี้ จิตตภาวนาจักมีแก่บุคคลนั้น!!
นี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้, ผู้ใดรู้เรื่องจิตประภัสสรทั้งสองฝ่ายอย่างนี้แล้ว จิตตภาวนาจะมีแก่บุคคลนั้น : บุคคลนั้นจะต้องการ จะสนใจ จะพยายาม ที่จะป้องกันไม่ให้กิเลสเป็นอาตันตุกะเข้ามา; ก็จะรักษาจิตเป็นประภัสสรยิ่งๆขึ้นไป, จนจิตนี้เปลี่ยนสภาพเป็นจิตที่กิเลสมาเกิดไม่ได้แล้ว ก็มีแต่ประภัสสรถาวร : นั่นแหละคือ การบรรลุความเป็นพระอรหันต์, กิเลสเกิดไม่ได้อีกต่อไป เพราะมีจิตตภาวนา คือการเจริญทางจิต, รู้ความลับของจิตว่า ประภัสสรหรือไม่ประภัสสรด้วยเหตุอย่างนี้, แล้วก็จะมีจิตตภาวนา นั่นคือความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ รู้เรื่องปัญญาวิมุตติ ที่ทารกมันไม่เคยรู้"
(พุทธทาสภิกขุ จิตนี้ประภัสสร สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 30 32)
"จิตนี้มีธรรมชาติประภัสสร : เมื่อไม่มีกิเลสก็เรืองแสง ยังกับเพชรน้ำเอก มันมีรัศมีเรืองแสง ; จิตนี้ก็มีประภัสสร เรืองแสงเมื่อไม่มีกิเลส แต่อย่างนี้ไม่บริสุทธิ์, ยังไม่เรียกว่าบริสุทธิ์ เรียกว่าประภัสสร : ยังไม่ใช่จิตของพระอรหันต์, แต่มันมีอาการเหมือนกันตรงที่ว่ากำลังไม่มีกิเลส. เพราะกิเลสไม่เกิดตามธรรมชาติ, นี้จะเรียกว่าประภัสสร : แต่มันก็กลับไม่ประภัสสร, กลับไปกลับมาวนอยู่อย่างนี้ ไม่เป็นที่พอใจ ; จึงเห็นวิธีที่ว่าจะทำให้มันประภัสสรเด็ดขาด คือว่ากลับเศร้าหมองไม่ได้ : บุคคลที่มองเห็นธรรมชาติของจิตอย่างนี้แล้ว ก็มีความแน่ใจในจิตตภาวนา"
(พุทธทาสภิกขุ จิตนี้ประภัสสร สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 45)
"จิตตภาวนาแปลว่าทำจิตให้เจริญ : คำว่า ภาวนา นี้ แปลว่าทำให้เจริญ! จิตตภาวนาคือวิธีการอันหนึ่งที่จะทำจิตให้เจริญ ; เจริญไปถึงไหน? เจริญถึงขนาดที่ว่า ทำอย่างไรจิตนี้ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการเกิดของกิเลสอีกต่อไป! การที่ประพฤติพรหมจรรย์ : ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละเป็นจิตตภาวนา, ทำให้จิตนี้ถึงสภาพประภัสสรชนิดถาวร ไม่กลับเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสอีกต่อไป. กิเลสก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นแก่จิตนั้น, ความเป็นประภัสสรของจิตนั้นก็เป็นการถาวร : ประภัสสรชนิดนี้เป็นจิตของพระอรหันต์ ; ประภัสสรที่ยังกลับเศร้าหมองได้นั้นเป็นจิตของบุคคลทั่วไป : เมื่ออบรมกระทำจนจิตกลับเศร้าหมองอีกไม่ได้ หรือจิตนั้นไม่เป็นที่ตั้งแห่งการเกิดของกิเลสอีกต่อไป, ก็เป็นประภัสสรถาวร นี้คือจิตของพระอรหันต์"
(พุทธทาสภิกขุ จิตนี้ประภัสสร สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ หน้า 45-46)