ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........  (อ่าน 3267 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 09:47:14 »
ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

โดย..วารี  จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่มที่ ๑
************************

                “ โยมผู้ใหญ่ .... อาตมาขอปรึกษาโยมสักหน่อย   และจะมอบหมายให้โยมรับไปดำเนินการด้วย  เพราะอาตมาเอง ก็ไม่สู้จะเข้าอกเข้าใจอะไรนัก คือ ทางวัดเราจะหล่อพระพุทธรูปไว้ให้ญาติโยมสักการะบูชา  ตั้งใจจะหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ และปิดทองคำเปลวภายนอกตามกำลังปัจจัย และศรัทธาตามประสาวัดบ้านนอก  ปัจจัยนั้นอาตมามีเตรียมไว้แล้วจากเงินทอดกฐินเมื่อปีที่แล้ว  พอได้สักก้อนนึงไม่มากหรอก  โยมช่วยเป็นธุระด้วยนะ ในฐานะเป็นมรรคทายกอาวุโสของวัดมานาน  ในเดือนหน้าเขาจะมีการประกอบพิธีพุทธาภิเษก  เททองหล่อพระพุทธรูป  เบิกพระเนตร ที่วัดใหญ่ในเมือง  อยากให้โยมผู้ใหญ่หาทองสัมฤทธิ์และทองคำเปลว ไปร่วมพิธีหล่อพระกับเขาด้วย  โยมจะเห็นเป็นการใด ที่อาตมาขอร้องล่ะ...”

                เจ้าอาวาสวัดหนองซาก   อำเภอประลอง  พูดปรึกษาเรื่องบุญกุศลนี้กับผู้ใหญ่บ้านหมู่  ๑  ประจำท้องถิ่นนั้น   ในวันพระหรือวันธรรมสวนะ  บนศาลาการเปรียญของวัดดังกล่าว  ในขณะที่พระสงฆ์กำลังฉันเช้า  โดยมีญาติโยมอุบาสก อุบาสิกา ผู้ศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา นำอาหารคาวหวาน เครื่องไทยทาน มาทำบุญในวันพระตามปกติ

                ผมเองอยู่ในวงสนทนานั้นด้วย  ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าอาวาส  หลังจากท่านเจ้าอาวาสพูดจบ  โดยไม่ต้องตริตรองตัดสินใจอะไรให้มากเรื่องมากความ  ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นตอบรับปากตกลงพระไปในทันที  โดยจะรับเป็นธุระจัดซื้อหาทองสัมฤทธิ์  ทองคำเปลว  และตัวเองจะไปร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปในพิธีพุทธาภิเษกเดือนหน้า  ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปี  เกจิอาจารย์ พระเถรานุเถระผู้ใหญ่  และ ช่างฝีมือหล่อ และปั้นพระพุทธรูป จะมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียงกัน..

                เจ้าอาวาสถึงกับยิ้มออกมาได้ และทันใดนั้นโดยที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง  ท่านกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้ ๆ  ใช้ให้ไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลซองหนึ่งในย่าม ซึ่งวางอยู่ข้างๆตัว ขึ้นมา  และสั่งให้มอบแก่ผู้ใหญ่บ้าน  พร้อมกับพูดว่า  ในซองนี้คือเงินสด ๕๓ ,๐๐๐ บาท   ซึ่งเป็นเงินบุญทอดกฐินสามัคคีในปีที่แล้ว  ขอให้ผู้ใหญ่บ้านนำไปดำเนินการตามที่เห็นสมควร  แล้วแต่ดุลยพินิจเห็นชอบ

                ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นระบายยิ้มบนใบหน้า  ดวงตาคมวาวล่อกแล่กแบบตาเหยี่ยวลุกโพลง  ความจริงผมเองนั้นไม่ชอบหน้ามรรคทายกคนนี้มานานแล้วแต่พูดอะไรไม่ออก  ไม่มีอำนาจอะไรไปคัดค้านหรือยุ่มย่าม เพราะตัวเองก็ต้อยต่ำมีฐานะเพียงเด็กวัด กินข้าวก้นบาตรเลี้ยงตัวรอดไปวัน ๆ

                นิสัยของผู้ใหญ่บ้านคนนี้  คดในข้องดในกระดูก   โลภโมโทสัน และไม่รู้จักกรรมเวรบาปบุญคุณโทษ  เบียดบังโกงเงินทอง ข้าวของ ของวัดสารพัดสาระเพ   แม้ทางวัดรู้อยู่แต่ใจ ก็เข้าทำนองน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก  ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาจนทุกวันนี้  เพราะความมีหน้ามีตา อำนาจอิทธิพลท้องถิ่นในหมู่บ้านนั่นเอง

ผมและเด็กวัดคนอื่น ๆ รู้อยู่แก่ใจ  และเห็นตำตามานานว่า  มรรคทายกคอรัปชั่น โกงเงินเอาผลประโยชน์ของวัดที่ญาติโยมเขาศรัทธาบริจาค เพื่ออานิสงส์ไปใช้ส่วนตัว  สร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวของตนอย่างไม่ละอายต่อบาป  สมบัติส่วนกลางเครื่องใช้ในวัดก็เอามาไว้บ้าน  แม้ต้นไม้ใหญ่ ในวัด ก็ยังสั่งให้ลูกน้องโค่นมาทำฟืนขาย หารายได้เข้าพกเข้าห่อตัวเองเลย  เรียกว่า  กินเล็กกินใหญ่ ทำตัวเป็นมารศาสนา   โดยที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องสอบสวนจับผิด  แบบทำนองเอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมวนั่นแหละ

ผู้ใหญ่บ้านคนนี้จึงรอดตัวลอยนวล  ตั้งหน้าตั้งตาทำความชั่วยักยอกผลประโยชน์รายได้ของวัดอย่างคล่องคอ  ไม่ติดขัดอะไร จนมาถึงกรณีเงินค่าหาทองสัมฤทธิ์ และทองคำเปลวไปร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปในงานพิธีพุทธาภิเษกเดือนหน้านั้น  ผมวิตกและใจหายวูบขึ้นมาว่า  มันจะสูญไปอีก  เพราะกิตติศัพท์การคดโกงคอรัปชั่นของมรรคทายกคนนี้มีอย่างไร  ชาวบ้านและพระเองก็ซึมซาบอยู่แก่ใจดี..ผมก็ได้แต่คิดกังวลไม่สบายใจไปเท่านั้นเอง

มีต่อ....

ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 09:54:34 »
2............

ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

ผมก็ได้แต่คิดกังวลไม่สบายใจไปเท่านั้นเอง
แต่ไม่สามารถทำอะไรได้  คงได้แต่วิงวอนเทพยดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้สั่งสอนลงโทษ คนสร้างกรรมทำลายศาสนาคนนี้ให้รู้สำนึกเสียบ้าง   และกาลเวลาผ่านไปสองอาทิตย์ ใกล้กำหนดงานเททองหล่อพระพุทธรูปประจำปีของวัดใหญ่ในเมืองเข้ามาทุกทีแล้ว  เหตุการณ์แทรกซ้อนก็อุบัติขึ้นจนได้

ในตอนดึกของคืนวันหนึ่ง   คืนนั้นใกล้ห้าทุ่มแล้ว  อากาศร้อนอบอ้าวจนทนแทบไม่ไหว  ผมและเพื่อน ๆ  ศิษย์วัดคนอื่น ๆ ราว ๓ – ๔ คน นอนอยู่บนระเบียงหน้ากุฏิพระไม่ไหว ร้อนจนนอนไม่หลับ ไม่ง่วง เลยชักชวนกันลงมาเดินเล่นที่ลานกว้างข้างหน้ามณฑปเก่าแก่ของวัด เพื่อรับลมเย็น ๆ กลางแจ้ง

ทันใดนั้นเอง  สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ที่ด้านหน้าของมณฑป  ซึ่งเป็นศาสนสถานเก่าแก่คู่กับวัดมานานแล้ว  ร่างของคนสองสามคนเคลื่อนไหวอยู่ในแสงสลัว ๆ  ของไฟฟ้าน้อยแรงเทียนที่ติดอยู่ที่เสาไฟ  ทุกคนวิ่งกันสับสนวุ่นวายเหมือนกับมีอะไรพิรุธเสียอย่างหนึ่ง  เพื่อนเด็กวัดคนหนึ่งไม่ฟังอีร้าค่าอีรม  ปากไวพูดตะโกนออกไปดัง ๆ ว่า “ขโมย...ขโมย...ขโมย....มาขโมยพระพุทธรูป เร็ว ๆ ....มาช่วยกันจับขโมย...”

เท่านั้นเอง  เหมือนลูกระเบิดหล่นกลางลานวัด  ในขณะที่พวกเราวิ่งโครมๆ   เข้าไปที่มณฑป  ร่างของบุรุษยามวิกาลพวกนั้น  ก็หันรีหันขวางหมุนตัวไปมา และไม่รอช้า กระโจนแบบใส่ตีนสุนัขโกยแน่บออกไปจากที่นั้นทันที   จากแสงไฟสลัว ๆ  ทำให้ผมมองเห็นคนที่วิ่งนำหน้าได้  และจำได้ถนัดติดหูติดตา  อนิจจา   ผู้ใหญ่บ้าน มรรคทายกของวัดนี้นั่นเอง !!!!

เขามาทำอะไรที่มณฑปนี้   และมาอย่างน่าสงสัยในพฤติการณ์ที่ลับๆ ล่อๆ หลบๆ ซ่อนๆ  จิตสังหรณ์ลางบอกเหตุวูบหนึ่งเกิดขึ้นมากับตัวผมในทันที  โอ๊ย..มันเลวร้ายถึงขนาดนี้หรือนี่ ?  ภายในมณฑปหลังนี้ มีพระพุทธรูปเก่าแก่อายุนับร้อยๆ ปี ขึ้นไปอยู่หลายองค์  ซึ่งเป็นสมบัติดั้งเดิมของวัด  พระพุทธรูปเท่าที่ผมเคยเห็นมา  ที่ประดิษฐานอยู่เรียงรายรอบมณฑปด้านในที่ผนังปูน  มีทั้งพระพุทธรูปหินทราย และหล่อด้วยสัมฤทธิ์  บางองค์ก็มีทองคำเปลวฉาบที่ผิวภายนอก

ที่จำได้พระพุทธรูปมีหลายสมัยหลายศิลปกรรม  ทั้งพระนาคปรก ปางสมาธิ สมัยลพบุรี  พระปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ  รัศมีเปลวเพลิง สมัยศิลปะสุโขทัย  และพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนต้น  ที่มีรูปประกอบที่ฐานเป็นรูปสาวก  ๒ องค์  หรืออัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  นามพระโมคคัลลาน์ สารีบุตร  รวมทั้งพระทรงเครื่องใหญ่และน้อย  ศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นต้น  มาจนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาให้พม่า  ประติมากรรมลอยตัวพระพุทธรูปเหล่านี้  มีทั้งพระพุทธลักษณะกิริยาประทับนั่งและยืน  ส่วนกิริยาของหัตถ์หรือเรียกว่า ปาง หรือ มุทรา  มีทั้งปางประทานพร หรือ ห้ามญาติ  ทุกองค์เป็นของเก่าของแท้ งดงามหาที่ติไม่ได้  เป็นโบราณวัตถุที่ควรเคารพ ประมาณค่ามิได้เลย
เด็กวัดทั้งหมดรวมทั้งผมด้วย รีบตาลีตาลานกระโจนขึ้นบันไดมณฑปด้วยความสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง  และก็ตกตะลึงจังงัง  เพราะประตูไม้ด้านหน้าของปูชนียสถานหลังนี้  ซึ่งแผ่นประตูทั้งสองที่มีศิลปะการแกะสลักลายรดน้ำดอกไม้พันธุ์พฤกษา ของเก่าแก่เปิดอ้าซ่าเต็มที่...เดาเหตุการณ์ได้ถูกในบัดดล  ผู้ใหญ่บ้านเป็นขโมยเสียเอง  น่าสลดหดหู่ใจเป็นที่ยิ่ง  ทางเจ้าอาวาสไว้วางใจในตำแหน่งมรรคทายก  ผู้รักษาดูแลผลประโยชน์ของวัด  ทำกุญแจชุดสำรองมอบให้ผู้ใหญ่บ้านไว้ชุดหนึ่ง  ปิดเปิดเข้านอกออกในได้ทุกแห่งในวัด  ขณะนี้หอกกลับมาแทงตัวเองเข้าให้แล้ว

ผู้รักษากุญแจ  เอาลูกกุญแจเปิดมณฑปเข้าไปขโมย  หรือทำลาย มิดีมิร้ายพระพุทธรูปภายในน่ะซิ  พอได้สติ พวกเราทั้งหมดเฮโลพรวดพราดเข้าไปภายในมณฑปทันที  คนหนึ่งเอื้อมมืออันสั่นระรัวขยุ้มไหล่ของผมอย่างลืมตัว  เมื่อเห็นภาพที่สั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง  ซึ่งปรากฎต่อหน้าท่ามกลางแสงไฟฟ้า  ซึ่งเปิดทิ้งค้างไว้ในมณฑป  ทั้งไฟนีออน และหลอดไฟข้างผนัง

พระพุทธรูปของเก่าแก่ดั้งเดิมสมบูรณ์แบบทุกองค์   ถูกทำลายยับเยินพินาศแทบไม่มีชิ้นดี  บางองค์เศียรขาดหลุดหายไป  อีก ๒-๓ องค์ ถูกทุบที่พระอุระเป็นรูกลวงขนาดใหญ่  เศษทองสัมฤทธิ์บริเวณนั้น  ถูกลักลอบขโมยไป   องค์อื่น ๆ โดยเฉพาะพระทรงเครื่องใหญ่สมัยอยุธยา และพระสมัยสุโขทัย  พระวรกายท่อนบน  คือตั้งแต่พระเศียรลงมาถึงบั้นพระองค์หายไปทั้งหมด  เหลือเพียงส่วนหน้าตัก หรือทับเกษตรเหนือฐานปัทมี และฐานหน้ากระดานเท่านั้นเอง เศษชิ้นส่วนสัมฤทธิ์และทองคำเปลวภายนอก หลุดกระเด็นกระจัดกระจายที่พื้นห้องด้านในของมณฑประเกะระกะไปหมด  มันเป็นภาพที่ทำลายจิตใจของพุทธมามกะอย่างพวกผมเด็กวัดเป็นยิ่งนัก  ๒  องค์ มุมขวาสุดด้านใน เหลือเพียงแต่พระวรกาย   พระพาหาหรือแขนทั้งสองข้างหายหลุดไปทั้งกะบิ  ผมถึงกับร้องไห้โฮออกมาด้วยความรันทดใจในบัดดล  ที่พบว่ามีคนมาเหยียบย่ำทำลายงานศิลปทางพระพุทธศาสนา  มรดกวัฒนธรรมของชาติถึงขนาดนี้  ในขณะที่เด็กวัดคนอื่น ๆ ยกฝ่ามือปิดหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นทิวแถว


มีต่อ....

ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 10:00:45 »
3..............
ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

เพื่อนของผมตัวสั่นเทาใบหน้าซีดเผือด  ริมฝีปากสั่นระริก  พูดกับคนอื่น ๆ ซึ่งยืนปิดหน้าด้วยความสะเทือนอารมณ์ที่สุดในชีวิต  ผู้ใหญ่บ้านกับลูกน้อง ๒ – ๓ คน ที่เห็นวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปไม่ถึงสิบนาทีที่ผ่านมานี้แหละ คือ ตัวการ โจรทำลายศาสนา ขโมยเอาพระพุทธรูปประติมากรรมบางชิ้นส่วนไป มาตัดทุบพระพุทธรูปก่อนหน้าที่พวกเราจะมาเห็นไม่นานนัก จำได้ว่าคนที่วิ่งหนีพวกเราไปนั้น ไม่ได้วิ่งไปตัวเปล่า อุ้มหรือแบกวัตถุอะไรอย่างหนึ่งซึ่งคงจะบรรจุอยู่ในผ้าไปกับตัวด้วย เห็นทนโท่ วัตถุนั้นไม่ผิดหรอกที่จะเป็นเศษชิ้นส่วนของพระพุทธรูป   ซึ่งคนบาปหนาทั้งหลายเหล่านั้น   ตัดทุบเอาตัดออกจากองค์จริงในนี้ไป  เขาเอาไปทำไมกัน ใครบ้างที่ให้คำตอบได้

ผมมีใบหน้าบึ้งตึงขมวดคิ้วย่น  กรามขบกันเป็นสันนูน  แช่งด่าสาปพวกทำลายศาสนาไม่หยุดปาก และคิดพิจารณาเดาเรื่องราวที่น่าจะเป็นไปได้  โอ๊ย..ตายแล้ว  มันเลวกันถึงขนาดนี้เชียวหรือนี่  ผู้ใหญ่บ้านทำความผิดขั้นอุกฤษณฎ์ที่อภัยไม่ได้จริง ๆ  ยักยอกเงินทอดกฐินห้าหมื่นกว่าบาทที่เจ้าอาวาสมอบให้ไปซื้อทองสัมฤทธิ์  และทองคำเปลว รวมทั้งค่าจ้างช่างหล่อพระ  ไปใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างน่าละอายอดสูใจที่สุด  และ หาทางออกโดยมาตัดทุบสัมฤทธิ์องค์พระในมณฑปเหล่านี้เอาไปหลอม   ใช้ไฟความร้อน รวบรวมเป็นโลหะใหม่ เพื่อเอาไปใช้ในวันหล่อพระนะซิ   โกงชนิดแสนชั่วโดยไม่คำนึงถึงกรรมบาปบุญคุณโทษ  เพราะความโลภเข้าครอบคลุมจิตใจ  ไม่ต้องเสียสตางค์ค่าใช้จ่ายซื้อทองใหม่เลยแม้แต่บาทเดียว  ทุบพระพุทธรูปเก่าทิ้ง  เอาไปหลอมใหม่  ย้อมแมวขายใครจะรู้เล่า

งานที่น่ารังเกียจชิ้นนี้คงทำกันเป็นทีม  ร่วมมือกันทุกฝ่ายโดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้า  ตกลงแผนการกับนายช่างปั้นหรือหล่อ  ซึ่งเป็นพรรคพวกของตนดิบดีจนเป็นที่เข้าใจแล้ว  จึงมาตัดเศียรพระและองค์พระในมณฑปนี้ไปหลอกลวงแหกตาคนอื่น ๆ  ช่างเมื่อได้ชิ้นส่วนพระแล้ว ก็จะใช้ขี้ผึ้งเป็นหุ่นหล่อทับแกนที่สุกด้วยการเผา  เดิมสัมฤทธิ์ที่เผาด้วยความร้อน ลอกออกจากผิวนอกของพระพุทธรูปในมณฑป เป็นการตบตาหลอกลวงคนทั่วไปในวันพุทธาภิเษกเททองหล่อพระวันนั้นแหละ  หล่อพระมาเสร็จแล้ว  โดยใช้ของเก่า เสียค่าใช้จ่ายไม่มากเสียด้วย ได้กำไรหลายเท่าตัว พอไปแบ่งสรรปันส่วนกันถ้วนหน้า  ใครจะมายอมโง่ซื้อทองสัมฤทธิ์  ทองคำเปลว หรือเสียค่าแรง เสียเวลา อะไรจิปาถะหล่อใหม่ทั้งองค์เล่า

ผมพูดสิ่งที่สงสัยวิเคราะห์นี้กับเพื่อน ๆ  ซึ่งทุกคนก็ตาสว่าง มันสมเหตุสมผล  ทำให้เห็นพ้องตามแนวความคิดของผม  มันเป็นเรื่องเลวร้ายจริง ๆ  จนเก็บไว้ไม่ได้แล้ว  เราทั้งหมดวิ่งออกจากมณฑปเกือบจะพร้อมกันราวกับนัดกันไว้  นำเรื่องสลดใจนี้ไปนมัสการกราบเรียนให้ท่านเจ้าอาวาสฟังทันที  เพื่อรู้ตัวหาทางระงับยับยั้งมารศาสนากลุ่มนี้  แต่อนิจจาเอ๋ย...  ท่านเจ้าอาวาสได้แต่นั่งน้ำตาไหลพราก   ด้วยความเสียใจสะเทือนใจ  ทำอะไรไม่ได้จริง ๆ  เพราะเกรงอิทธิพลมืด   การรุกรานของผู้ใหญ่บ้าน  ซึ่งมีอำนาจ และความกักขฬะสามานย์  หมดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสิ้นเชิง  ถ้าทำอะไรรุนแรงลงไปก็คงต้องย้ายวัด  ตัวท่านเองพร้อมทั้งพระลูกวัดทั้งหมด  ต้องเดือดร้อนอยู่โปรดสัตว์ไม่ได้ในตำบลนี้  เพราะการรังควานย่ำยีของจ่าบ้าน  ซึ่งต้องตอบแทนแก้แค้นพระ ในฐานะที่ไปรู้ความลับความชั่วชนิดนรกานต์ นรกอเวจีถามหา ?  และอ้าแขนรับ ของเขาเข้านะซี

เจ้าอาวาสหันมาถามผมว่า  ก็เมื่อจะปั้นพระขึ้นใหม่  หยาบและเล็กกว่าของจริงที่เป็นแบบ   แล้วเผาเอาขี้ผึ้งหุ้ม  ทำไมต้องตัดทุบกระเทาะชิ้นส่วนไป  ทำไมไม่ยกเอาไปทั้งองค์เลยรู้แล้วรู้รอดไปเล่า  ผู้ใหญ่เขามีอำนาจสิทธิขาดทำได้อยู่แล้วนี่  มันสะดวกดีด้วยประการทั้งปวง  ดีกว่าตัดของเดิมจนชำรุดเสียหายอย่างนั้น  ผมนมัสการตอบท่านไปว่า  อาจจะทำอย่างที่ท่านพูดก็ได้  แต่ทำไม่ทันน่ะซิ  เพราะพวกเราเด็กวัดเกิดมาพบเห็นเหตุการณ์เข้าเสียก่อน  จึงทำไม่เสร็จหรือไม่ก็เอาชิ้นส่วนบางชิ้น  เช่น  เศียร แขน พระวรกายไปให้เป็นแบบหรือตัวอย่างสำหรับช่างหล่อ   ที่ชำนาญฝีมือช่ำชองจะหล่อได้ตามความเข้าใจเคยชิน  โดยไม่จำเป็นต้องดูทั้งองค์ก็ได้นี่นา  หรือไม่ก็ย้อนมายกหรือขนไปเรียบวุธ  หมดทั้งมณฑปได้เมื่อไรเมื่อนั้นเช่นกัน  เพราะผู้ใหญ่เองก็มีกุญแจสำรอง  เข้านอกออกในได้สะดวกสบาย  ไม่ยากหรอกปัญหาแค่นี้น่ะ...ท่านเจ้าอาวาสถึงกับสะอึก ใบหน้าเศร้าหมองร่วงโรย  พร้อมกับพูดพึมพำออกมาแผ่ว ๆ ว่า   อย่าทำจิตใจให้เศร้าหมองเลย   อโหสิกรรมให้เขาเถิด  กรรมเป็นเครื่องกำหนด  จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง  และคนที่สร้างกรรมนั้น  ไม่เคยอยู่ค้ำฟ้าได้เลยสักคน ?

มีต่อ....

ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 10:06:01 »
4............
ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

และหลังจากแตกหักระหว่างพระกับมรรคทายก  ซึ่งต้องกล้ำกลืนไว้ในใจ  สงวนท่าทีชนิดหวานอมขมกลืน  อึดอัดใจแทบจะเป็นบ้าตาย  มาจนถึงวันสำคัญมาถึง นั่นคือ  พิธีเททองหล่อพระพุทธาภิเษกเบิกพระเนตรพระพุทธรูปที่วัดหลวงในเมือง  เจ้าอาวาส  และพระลูกวัดทั้งหมด  รวมทั้งผม  และเหล่าศิษย์วัดและญาติโยม  ผู้มีจิตศรัทธาในบวรพุทธศาสนา  เดินทางออกจากหมู่บ้านไปร่วมงานมหามงคลยิ่งใหญ่นี้  ถ้วนทั่วพร้อมหน้าด้วยจิตผ่องแผ้วอนุโมทนาจิต

ที่ขาดไม่ได้คือ  หัวหน้ากลจักรสำคัญของงานนี้  ผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีหลังฉากอันแสนจะโสมม  แต่หน้าฉากมรรคทายกผู้เคร่งน่าเลื่อมใสนิยมนับถือ เป็นเครื่องบังหน้า ปกปิดความชั่วไว้เท่านั้นเอง ผู้ใหญ่บ้านกระหยิ่มยิ้มย่อง  อารมณ์ดี  ท่าทางไม่ยี่หระสะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น  คงจะภาคภูมิใจกับงานที่ไม่ต้องลงทุน  แต่กลับได้กำไรตอบแทนของแกนั่นเอง  เดินทางไปสู่บริเวณปะรำงานพิธี  พร้อมด้วยลูกสมุนกระเรกะราด  ล้อมหน้าล้อมหลังพร้อมพรั่ง
เมื่อไปถึงบริเวณงาน  ทุกคนถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้างด้วยความตื่นตาตื่นใจจนสุดระงับ  งานพุทธาภิเษกวันนี้เป็นงานใหญ่โตมโหฬารจริง ๆ  ชนิดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนหลายปีดีดักแล้ว  ทั้งพระและฆราวาส  มากมายชนิดมืดฟ้ามัวดิน  บรรดาเกจิอาจารย์  พระเถรานุเถระผู้ใหญ่  นั่งสวดมนต์ปลุกเสกทำพิธีกันในปะรำ  เสนาสนะที่สมควร  พุทธมามกะผู้มาร่วมงานด้วยใจอันอิ่มเอิบ นั่งอยู่ในเต๊นท์รับรอง  ซึ่งมี  ๓ – ๔ เต๊นท์ เต็มไปหมดทั่วลานพิธีวัด ซึ่งเคยกว้างขวางมาก่อน บัดนี้คับแคบไปถนัดใจ เพราะคลื่นมหาชนหลั่งไหลมาร่วมพิธีนั่นเอง วัดทุกวัดในจังหวัด จากทุกหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ มาร่วมงานหล่อพระพุทธรูปกันพร้อมหน้า รวมทั้งวัดของเจ้าอาวาสที่ผมเป็นเด็กวัดอยู่เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

จุดสำคัญหรือหัวใจของพิธีคือ  บ่อโบกปูนซิเม็นต์ขนาดใหญ่สี่เหลี่ยมจตุรัส   ขนาดกว้าง  คาดคะเนด้วยสายตา  ประมาณ  ๓ เมตร ยาว  ๓ เมตร  และลึกเกือบสองฟุต   ในบ่อปูนนี้ผู้ทำพิธีจะเอาทองคำเปลว และสัมฤทธิ์ทั้งท่อน  หรือแผ่น มาบรรจุภายใน  อาจจะเป็นโลหะซื้อมา  หรือผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเพื่อบุญกุศลในชาติหน้า  ในเวลาเริ่มพิธีเททอง  จะมีผู้จุดไฟให้ความร้อน  ทำให้ทองหรือโลหะต่าง ๆ  ละลายเหลวเป็นน้ำ  หรือของเหลว  ใช้ไม้กวน หรือไม้ถือ กวนให้ทองคละเคล้าเข้ากัน  ก่อนนำไปเทลงในแบบพิมพ์ขี้ผึ้ง  ปั้นหล่อพระพุทธรูปต่อไป  ตามประเพณีนั่นเอง

ที่ด้านหนึ่งของบ่อซีเมนต์   มีไม้กระดานแผ่นยาวสัก  ๓ – ๔ เมตร วางพาดขอบบ่อ ผูกติดกับเสา ๒ ต้น คล้ายไม้กระดกที่เด็กเล่นตามสนามเด็กเล่นทั่วไป ปลายข้างหนึ่งของไม้กระดานนี้ ยื่นลงไปในบ่อราวสัก ๒ ฟุต จุดนี้เป็นสถานที่ ที่ตัวแทนหรือหัวหน้าของวัดทุกแห่งที่มาร่วมพิธีเททองหล่อพระในวันนี้ จะมายืนถือไม้ถือ หรือเหล็กคน หรือตีทองให้เข้ากัน ในระหว่างไฟลุกไหม้อยู่ด้านหนึ่งของบ่อ นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูง สำหรับตัวแทนของวัดนั้น ๆ ที่จะทำหน้าที่แทนคนในหมู่บ้านของตน

และขณะนี้วินาทีระทึกใจเริ่มขึ้นแล้ว  ในตอนบ่ายราว ๒ โมงครึ่ง  มีคนลำเลียงทองแผ่น  ทองเปลว  ทองจังโก้  ทองสัมฤทธิ์  ต่างขนาดมาใส่ลงในก้นบ่อปูนซีเมนต์  ชุลมุนสับสนวุ่นวายพอควร  โดยมีพุทธศาสนิกชนต่างมายืน หรือนั่งล้อมรอบบ่อ  เพื่อดูการเททองหล่อพระ

มีต่อ....


ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 10:10:00 »
ตอนจบ

ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

พระเถระผู้ใหญ่เริ่มพิธีทางศาสนาตามประเพณี  และทันใดนั้น  ไฟก็ถูกจุดขึ้นที่จุดซึ่งทำเตรียมไว้  เพื่อให้ความร้อนละลายไหม้ทองในบ่อนั้น  ผู้แทนของสงฆ์และวัด  อันมีพระสงฆ์บ้าง  ฆราวาสบ้าง  พากันไปยืนเหยียบไม้กระดาน  ทำหน้าที่คนทองให้เข้ากันตามธรรมเนียม

ท่ามกลางไฟร้อนแรง  เปลวไฟควันลุกโขมงโชติช่วงจับท้องฟ้า  ทองละลายกลายเป็นน้ำในบัดดล  หมุนเร็วจี๋ทั่วบ่อ   และท่ามกลางสายตาของทุกคน  ที่จ้องมองชนิดไม่กระพริบตาคนแล้วคนเล่า  ผ่านไปสำหรับตัวแทนของวัด

                จนมาถึงเวร  หรือคิวของผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑  มรรคทายกของวัดเรานั่นแหละ  ผู้ใหญ่บ้านยิ้มแย้มแจ่มใส  ไม่แสดงกิริยาอาการสะทกสะท้านใด ๆ หยิบเหล็กแหลมยาว  ไม้ถือคนทอง  ซึ่งเป็นเครื่องมือในพิธีตอนนี้มาจากโต๊ะตัวหนึ่งข้างบ่อ  และก้าวเท้าออกเดินอย่างช้า ๆ  ก้าวขึ้นเหยียบบนไม้กระดานแผ่นนั้น  ซึ่งปลายของมันยื่นลงไปในบ่อ  ที่ขณะนั้นทองนานาชนิดแปรสภาพกลายเป็นวัตถุเหลวร้อน ควันลุกโขมงไปทั่วบริเวณ  มันกำลังเดือดปุด ๆ เป็นฟองไอน้ำทั่วบริเวณ

ทันใดนั้นเอง    ตายแล้ว !  ช่วยด้วย !    อุบัติเหตุสยองเกิดขึ้นในวินาทีนั้นเอง  ปาฏิหาริย์หรืออะไรก็เหลือเดา  ผู้ใหญ่บานเสียหลัก  เดินไม่ระวัง  เท้าข้างหนึ่งไปสะดุดหัวเสาด้านขวา  ซึ่งมีเชือกผูกไม้กระดานเป็นเงื่อนชนิดไม่แน่นหนา  ตัวผู้ใหญ่บ้านเซแซ่ด ๆ  เอียงกระเท่เร่ไม่เป็นท่า  หัวทิ่มคะมำไปข้างหน้า  ทันใดนั้นเงื่อนที่ผูก หลุดราวกับปาฏิหาริย์  ไม้กระดานแผ่นนั้นเลยกระดกกลับ  ยกปลายด้านในที่อยู่นอกบ่อขึ้นสูงไปบนอากาศ
....ร่างของผู้ใหญ่บ้านที่ทรงตัวไว้ไม่อยู่เลยเสียหลัก   หัวทิ่มพุ่งลงไปในบ่อทองซึ่งกำลังร้อนจัดเดือดพล่าน  ท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดเสียวตกใจสุดขีดของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์

.....ตูม !  วูบเดียว   ร่างของคนบาปผู้ทำลายศาสนาจมดิ่งหายไปในทองเหลวที่ร้อนข้นคลั่กไอขึ้นในบ่อ.. ไม่มี อะไรเหลืออีกต่อไป   ทั้งชีวิต  วิญญาณ  กระดูก  เนื้อหนัง   เหลือแต่ชื่อของผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น  ให้คนกล่าวขวัญถึงกัน ในฐานที่คนทำกรรมชั่วเอาไว้มาก และกรรมนั้นก็ตอบสนองทันตาเห็น  มาจนทุกวันนี้ นั่นเอง

...จบ...


ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

ออฟไลน์ โบตั๋นสีขาว

  • ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 146
  • เพศ: หญิง
  • จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัวจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 10:54:34 »
ขอบคุณมากคะ สำหรับเรื่องราวดีๆ ปรกติชอบอ่านอยู่แล้วคะ เรื่องกฎแห่งกรรม :090: :050: :090:
เคารพ กตัญญู บูชา หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ทั้งครอบครัวคะ

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 11:13:21 »
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน 02; 02;
                                             
การคดโกงของวัด ลักขโมยของวัด ไม่รู้ว่าใช้หนี้กี่ชาติภพถึงจะหมด เป็นกรรมหนักมากจริงๆ :075: :075:
                                                                                                                       
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆ มาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
   
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้ความรู้ดีมากๆครับผม :016: :053: :015:
   
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับผม) :054: :054: 
   

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ yout

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1742
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 25 พ.ค. 2554, 04:17:52 »
ขอบคุณครับ............. :090: :090: :114: :090: :090:..............

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 25 พ.ค. 2554, 09:03:07 »
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7054 ข่าวสดรายวัน
มนุษย์ที่นรกถามหา

พุทธศาสนา ทรรศนะและวิจารณ์
ศาตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก/ราชบัณฑิต


         เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 ได้เกิดนิกายหนึ่งขึ้นในประเทศอินเดีย ดินแดนพระพุทธศาสนาชื่อ "มันตรยาน" นิกายนี้ถือพิธีกรรมเป็นเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์ เน้นการท่องมนต์เพื่อป้องกันภัยและสร้างอำนาจแก่ตน

เวทมนตร์สำหรับท่องให้ขึ้นใจเรียกว่า "ธารณี" มีมากมายหลายบท แต่ละบทมีฝอย หรือการบรรยายสรรพคุณไว้เสร็จ เช่น มีอานุภาพในทางไหน ป้องกันเภทภัยอะไรบ้าง จะต้องมีกรรมวิธีในการทำซึ่งศัพท์เทคนิคเรียกว่า "มัณฑละ" อย่างไร เป็นต้น

          ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 13 มันตรยาน ได้เผยแผ่ไปยังเกาะลังกา โดยพระเถระชื่อนาคโพธิ หรือสมันตภัทระเป็นผู้นำไปเผยแผ่ ท่านรูปนี้เป็นพระขลัง ไปสำแดงอภินิหารให้ประชาชนเลื่อมใส่ เรื่องทำนองนี้ประชาชนส่วนใหญ่ชอบอยู่แล้ว จึงปรากฏว่าชั่วระยะไม่นาน นิกายมันตรยานก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พระสูตรสำคัญที่นิกายนี้นับถือชื่อ "วัชรเสขรสูตร" และผู้ที่อาคมกล้าขลังเรียกว่า "วัชราจารย์" เพราะฉะนั้น ชาวลังกาจึงเรียก มันตรยาน ว่า นิกาย "วัชรบรรพต" หรือ "วัชรยาน"

         ในสมัยที่มันตรยานแพร่หลายอยู่ที่ลังกา ทางประเทศคาบสมุทรมลายู ซึ่งมีอาณาจักรศรีวิชัยเป็นใหญ่อยู่ก็ได้รับเอาลัทธินี้โดยตรงจากอินเดีย แล้วแพร่เข้าไปยังอาณาจักรลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อาณาจักรขอมโบราณ และอาณาจักรจัมปา

เราจะเห็นว่า แม้นิกายมันตรยานจะเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะหนึ่ง และบัดนี้แม้จะเสื่อมสูญไปแล้วก็ตาม แต่อิทธิพลของนิกายนี้ยังคงมีอยู่ และได้สำแดงออกมาในรูปพุทธาคม การปลุกเสกเครื่องรางของขลังลงเลขยันต์ต่างๆ

เหรียญหลวงปู่หลวงตาต่างๆ หรือพระพิมพ์ปางเล็กปางน้อยที่หล่อ หรือปั้นขึ้นมาแล้ว นิมนต์พระคุณเจ้าผู้ทรงวิทยาคุณจากสำนักต่างๆ มานั่งปลุกนั่งเสก อย่างที่เรียกในภาษายุทธจักรเครื่องรางของขลังว่า "นั่งปรก" นั้น ก็ล้วนได้อิทธิพลมาจากลัทธิมันตรยานนี้เอง

อย่าได้ไปโทษพราหมณ์กันนักเลย พราหมณ์เขาไม่มีพิธีปลุกเสกหรอกจะบอกให้

เมื่อผ่านกรรมวิธีขั้นปลุกเสกแล้ว ก็จะสร้างความขลังความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมากำกับอีกชั้นหนึ่ง พระหรือเหรียญแต่ละรุ่นแต่ละประเภท จะมี "ฝอย" หรือสรรพคุณเป็นของเฉพาะตน เช่น

เหรียญหลวงปู่สร้อย รุ่นเราชนะ มีสรรพคุณทางด้านป้องกันภยันตราย รบทันจับศึกที่ไหนชนะที่นั่น เหรียญรุ่นนี้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กลัวกันนักหนา

เหรียญหลวงพ่อโกย วัดป่าราบ มีสรรพคุณในทางแคล้วคลาด ศัตรูมุ่งร้ายทำอะไรไม่ได้ (ก็วิ่งหนีซะป่าราบ ไม่แคล้วคลาดได้ยังไง)

เหรียญแต่ละรุ่นแต่ละชนิด ต่างมีความศักดิ์สิทธิ์ไปองค์อย่างสองอย่าง ดังนั้น ชาวพุทธ (นิกายมันตรยาน) จึงต้องมีพระหรือเหรียญคนละหลายๆ องค์ เพื่อให้มีสรรพคุณครบทุกด้าน ไปไหนมาไหนก็ต้องนิมนต์ท่านตามไปคุ้มครองด้วย

เพียงองค์สององค์ก็ใส่กระเป๋าเสื้อได้ ไม่ลำบาก แต่เมื่อมากองค์เข้าก็ต้องหาสร้อยมาร้อยเป็นพวงไว้สวมคอ

บางคนสวมตั้งยี่สิบสามสิบองค์ เดินตัวโก่ง เพราะหนักหลวงพ่อ จนเพื่อนฝูงล้อว่า สวมหลวงพ่อหลายองค์ยังงี้ ไม่กลัวท่านเกี่ยงกันหรืออย่างไร

อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความเลื่อมใส่ศรัทธาของคน มันพูดยาก คนที่เขานับถือหรือมีความเชื่อหนักแน่นเขาก็ย่อมมั่นใจในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อที่เขาพกเขาแขวนเป็นธรรมดา แม้จะเกิดเหตุการณ์บางอย่างจนเขาประสบเภทภัย เขาก็จะไม่โทษหลวงพ่อว่าไม่ช่วย หรือช่วยเขาไม่ได้ แต่จะโทษตัวเองว่า "เราลืมอาราธนาท่าน ท่านจึงไม่ช่วย" อะไรทำนองนี้

ผมเองแม้จะไม่เชื่อในด้านความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่คนอื่นเขาเชื่อกัน ผมก็มิได้ตำหนิคนที่แขวนพระ ไม่ว่าจะแขวนองค์เดียว หรือพวงโตจนเดินตัวโก่ง

เพราะนั่นเป็นความเชื่อความเลื่อมใสจากใจจริงของเขา อย่างน้อยเขาก็ยังนับถือพระ มีพระอยู่ในใจ แม้ว่าพระที่เขานับถือจะเป็นเพียง "พระภายนอก" หรือวัตถุมงคลก็ตาม

ที่น่าตำหนิคือ พวกที่เห็นพระเป็นสินค้าสำหรับซื้อขาย พวกที่ตั้งอุตสาหกรรมโรงงานผลิตสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาขายเอาเงินบำรุงกระเพาะตัวเองจนร่ำรวย คนพวกนี้มีทั้งชาวบ้านอย่างเราๆ และผู้นุ่งเหลืองห่มเหลือง

พวกนี้ไม่ได้นับถือพระ แต่เป็นพวกเล่นพระ ถือพระเป็นของเล่นเหมือนกับนักเลงเล่นของเก่ายังไงยังงั้น ตั้งราคาซื้อขายหากำไรกันจนร่ำรวย

อยู่กับพระทั้งวัน จิตใจไม่เข้าถึงพระหรอก เผลอๆอาจลงนรกเช้า บ่าย เย็น สามเวลาหลังอาหารก็ได้

พระองค์หนึ่งลงทุนทำไมถึงยี่สิบบาท หลอกขายชาวบ้านองค์ละห้าร้อยหกร้อย หรือไม่ก็ปั๊มออกจากแม่พิมพ์เมื่อวานนี้ วันนี้นำมาหลอกขายเขาสามหมื่น อ้างว่าเป็นพระสมเด็จรุ่นแรก

มนุษย์ประเภทนี้ ยังจะมีนรกขุมไหนที่เขาไม่มีสิทธิจะตกบ้าง


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEl6TURNMU13PT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNeTB5TXc9PQ==
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 พ.ค. 2554, 09:03:51 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ vill

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 42
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา...........
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 11:43:20 »
     เรียกว่ามารศาสนา  :066:  นรกยังไม่อย่ากจะรับ   ขอขอบคุณที่นำเรื่องสนุกๆ ให้แง่คิดดี :053:ดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 พ.ค. 2554, 11:44:04 โดย vill »