ผู้เขียน หัวข้อ: มหาสติปัฏฐานสูตร(ปฏิบัติ)ด้วยวิธีธรรมชาติ  (อ่าน 1693 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
มหาสติปัฏฐานสูตร(ปฏิบัติ)ด้วยวิธีธรรมชาติ
มหาสติปัฏฐาน 4

“เฒ่าไม้แห้ง”

คำนำ

ด้วยสำนึกที่มีต่อศาสนาธรรมนี้ว่า ต้องรับผิดชอบสืบทอดอุดมการณ์แห่งพระศาสดาพระพุทธะ ผู้ประเสริฐหลายพระองค์นั้นให้ถูกต้อง ตรงแนว ชอบธรรม บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด อย่างชนิดว่า มีอยู่ทุกหยาดหยดของชีวิต ด้วยการทำดีให้เขาดู เป็นครูให้เขาเห็น ผู้อื่นจะได้ทำตามเป็น…….รวมทั้งเกิดกระแสการเรียกร้องให้บอก แสดง สอน ถึงวิธีการปฏิบัติบำเพ็ญ สติ สมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญารู้ทั่วถึงธรรม……..
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นที่มาของข้อเขียน อันประกอบไปด้วยวลีของการบอกกล่าวเล่าสู่กันฟัง เป็นวลีถ้อยกระทงความ ที่มิอาจจะเอาไปเปรียบกับหลักวิชา หรือตำราใดๆได้มากนัก เกรงจะเป็นที่เสื่อมเสียต่อตำรับตำราวิชาเหล่านั้น………
ข้อเขียนทั้งหมดนี้ คงจะมีค่าเพียงแค่ คำพูด คำบอก คำชี้แจงของเพื่อนผู้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย คนหนึ่งเท่านั้น และเมื่อท่านกับผู้เขียนเป็นเพื่อนกัน จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องพูด ต้องบอก ต้องเตือนกันตรงๆ ด้วยความจริงใจอย่างจริงจัง โดยมุ่งหวังให้เพื่อนได้รับประโยชน์สูงสุด ในการมีชีวิต ผู้เขียนหวังว่า เพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลาย คงจะไม่ถือสาในข้อผิดพลาดพลั้งไปต่อการทำ พูด คิด ที่เราลิขิตขีดเขียนมา หวังว่าเพื่อนผู้มีปัญญา จะพิจารณาเลือกเอาแต่ประโยชน์ที่ดี มีคุณ ถูกใจ เอาไปใช้ให้ได้สาระ……….
ความรู้ที่ผู้เขียน นำมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังนี้ มันจะดูไร้ค่าเสียจริงๆ ถ้าเพื่อนๆเพียงแต่อ่าน แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านๆไป แต่ถ้าจะให้ข้อเขียนนี้มีค่าราคาสาระขึ้น เพื่อนๆต้องทดลองปฏิบัติมันด้วยความจริงจัง พร้อมกายรวมใจ แล้วเพื่อนทั้งหลายคงจะมีคำตอบของตนเองว่า ไร้สาระหรือมีสาระ………..


ท้ายนี้ต้องขอบูชา พระธรรมของพระพุทธะ ผู้ประเสริฐหลายพระองค์นั้น ที่ทำให้ผู้เขียนมีความเพียร มีปัญญา ได้พบประสบการณ์ทางวิญญาณอันเยี่ยมยอดสุดบรรยาย ขอบพระคุณพ่อแม่ และกรรมที่ให้ชีวิต เลือดเนื้อ วิญญาณ จนได้พบพระธรรมอันวิเศษ หอมหวานในชาตินี้ ขอบคุณครูอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิทยาการแต่เล็กๆ จนพออ่านออกเขียนได้ ขอบคุณญาติและท่านผู้มีคุณทั้งหลายที่ให้อาหาร ที่อยู่อาศัย ปัจจัย 4 ด้วยสำนึกในพระคุณครั้งนี้ เราจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ ไม่สบายใจ ขอบคุณลูกหลาน และสานุศิษย์ทั้งหลาย ที่ช่วยให้การบำเพ็ญบารมีครั้งนี้สัมฤทธิผล ขอบคุณภิกษุ สุธี ขันติชโย กับภิกษุ สนธิชัย ปุญญกาโม และภิกษุ ชูศักดิ์ ชาตปัญโญ ที่ช่วยหาข้อมูลและแก้คำผิด ทั้งยังช่วยเรียบเรียงลงเครื่องคอมพิวเตอร์ ขอบคุณหนังสืออานาปานสติภาวนา ของท่านพุทธทาส ที่ช่วยให้ข้อมูล ขอบคุณหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ที่ช่วยให้ความกระจ่างเรื่องศัพท์แสงทางวิชาการ ขอบคุณมูลนิธิธรรมะอิสระและคณะกรรมการ ผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ขอบคุณท่านที่บริจาคและจ่ายกระตังค์ ขอให้โชคดี


หลวงปู่เทพโลกอุดร

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
สิ่งที่ต้องเข้าใจ ก่อนการปฏิบัติกัมมัฏฐาน


มีคำกล่าวโบราณ ของท่านอาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้ให้ไว้เป็นหลักในการทำกัมมัฏฐานทั่วไป เพื่อเอาไว้พิจารณาแก่นักปฏิบัติว่า "คนมีปัญญา ยืนหยัดมั่นคงอยู่บนผืนแผ่นดิน ฉวยจับอาวุธที่คมด้วยมือ ลับที่หินแล้วมีความเพียร ถางป่าที่รกให้เตียนไปได้" ถ้อยคำโบราณดังกล่าวนี้ ถ้าพิจารณาให้ดี ดูจะเป็นหัวใจสำคัญของผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐานทั้งหลาย เราลองมาพิจารณาค้นหาถ้อยคำความหมาย ที่ซ่อนเร้นอยู่ในกลบทเหล่านี้ดูกัน ว่าจะมีความสำคัญประการใด………….

ท่านได้ให้คำอธิบาย คนมีปัญญา ไว้ว่า ปัญญาในที่นี้หมายถึง ปัญญาดั้งเดิมที่ติดตัวตนเองมาแต่อดีตชาติ ที่เรียกว่า “สหชาติปัญญา” แต่ยังเป็นปัญญาดิบ ที่ยังมิได้รับการพัฒนาขัดเกลา สร้างเสริมให้งอกงามสมบูรณ์ จึงยังไม่ควรเรียกว่า “วิปัสสนาปัญญา” รวมความว่า ผู้ที่จักทำกัมมัฏฐาน จำเป็นต้องมีสติปัญญาเดิม เป็นพื้นฐานพอสมควร แต่ถ้าเป็นคนโง่ คือคนขาดปัญญา หมดปัญญา ไม่มีปัญญา หรือมีก็มีเฉพาะสติปัญญาที่เอาไว้ใช้หากิน หาอยู่ ของอัตภาพตนไปวันๆ และถ้าเผอิญ นึกอยากจะปฏิบัติธรรม หรือมีผู้มาชวนให้ปฏิบัติธรรม ก็ทำได้แต่เพียงตามๆเขาไป หรือถ้าไม่ตาม จักแสวงหาด้วยตนเอง ก็เป็นการแสวงหาและปฏิบัติตามแต่ที่ตนเชื่อ โดยมิได้พิจารณาว่า การกระทำเช่นนี้ การปฏิบัติอย่างนี้ จะทำให้ตนฉลาด สะอาด สว่างขึ้นมาบ้างหรือไม่ หรือทำเพราะอาศัยอำนาจแห่งความพอใจ ถูกใจ ชอบใจเป็นพอแล้ว………

   ถึงแม้จักมีปัญญา ติดตามตัวมามากมายปานใดก็ตามที แต่ก็ยังต้อง ยืนหยัดให้มั่นคงบนแผ่นดิน แผ่นดิน ในที่นี้ ท่านอุปมาดัง ศีล ซึ่งเป็นเครื่องรักษา ส่งเสริมปัญญาให้มั่นคง ศีลเป็นรากฐานของชีวิต ศีลทำให้เราอยู่ห่างไกลความเลวร้าย ชั่วผิดบาปหยาบช้าทั้งปวง ศีลทำให้เราตั้งมั่น และอาจหาญคงที่ ศีลทำชีวิตให้อยู่ดีมีสุข ท่านจึงเปรียบศีล เป็นดั่งแผ่นดินที่หนักแน่น มั่นคง และพร้อมที่จะก่อเกิด สรรพชีวิต สรรพวัตถุได้มากมาย ทั้งยังสามารถให้สรรพชีวิตทั้งหลาย ได้ยืนหยัดอยู่อาศัย อย่างมิต้องหวาดผวาหรือหวั่นไหว ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน จะต้องชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์สะอาด เหมือนดังบุคคล ชำระแผ่นดินให้หมดจด เหมาะสำหรับที่จะใช้ยืน หรือทำการทั้งปวง………


แม้จักมีศีล เป็นเครื่องประคับประคองปัญญาแล้วก็ตาม แต่ยังวางใจไม่ได้ว่า ปัญญาที่มี จะมากพอที่จะพึ่งพิงอิงอาศัย นำพาไปสู่สาระอันยิ่งใหญ่ในชีวิตได้ ท่านจึงกล่าวว่า ฉวยจับ อุปมาดั่งการค้นหาเพิ่มเติมสะสม อาวุธที่คม คือ”ปัญญาภายนอก”รอบๆกายตน ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียน สดับตรับฟัง พิจารณา………..
ด้วยมือ หมายถึง การทดลองทำด้วยตนเอง เพื่อให้แน่ใจว่า สิ่งที่ได้ศึกษาเล่าเรียน รับฟังมานั้น มีผลเป็นประการใด ถึงแม้ว่าจะมีปัญญาที่ได้มาจากการสะสมเพิ่มเติมแล้วก็ตามที แต่ก็ยังแน่ใจวางใจไม่ได้ว่า ปัญญาชนิดนี้จะพาตัวรอด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคัดเลือก ชำระล้าง ขัดเกลา พัฒนาปัญญาที่ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า โลกียปัญญา ให้อยู่ในสถานะ อันเป็นที่พึ่งอาศัยได้อย่างแท้จริง และด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องพัฒนาลับปัญญา เครื่องลับนั้นท่านเรียกว่า หิน หมายถึง การมีสติอย่างจดจ่อจับจ้อง จริงจัง ตั้งมั่น จนกลายเป็นสมาธิ สองสิ่งนี้ถือได้ว่า มีคุณสมบัติในการขจัดขัดเกลา ชำระล้าง เกาะแกะ สรรพกิเลสทั้งปวง สรรพมลทินทั้งหลายที่แอบแฝงอยู่ในโลกียปัญญา ให้กลายเป็น โลกุตรปัญญาในทันทีทันใด ทำเดี๋ยวนี้ เห็นผลเดี๋ยวนี้ ทำเวลานี้ได้ผลทันที ได้ผลขณะที่ลงมือกระทำ จะดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ใช้ได้หรือไม่ได้ วิธีนี้เราจะรับรู้ได้ด้วยตนเองในทันที วิธีนี้ดูจะเป็นเครื่องหนุนนำให้ผู้ปฏิบัติ เป็นคนหนักแน่นมั่นคงในความรู้ที่ตนได้รับ จากการกระทำแล้วเห็นผลเช่นนี้ จึงถือว่า เป็นปัญญารู้จริง มิใช่รู้จำ อีกทั้งยังทำให้ตนพิสูจน์ได้ด้วยตนเองว่า ความรู้ที่มีหรือได้รับนี้ เป็นความรู้ที่ทำให้ตนเข้าถึงประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิตหรือไม่ เช่นนี้จึงเป็น ปาริหาริกปัญญา คือปัญญาที่ทำให้ตนแน่ใจว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุดและได้ประโยชน์สูงสุด สำหรับสัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร……….

   แล้วมีความเพียร หมายถึง การมีความรัก ความพอใจในสิ่งที่ตนกำลังกระทำ ถ้ายังไม่มี แต่คิดที่จะกระทำ จะด้วยความจำเป็นหรือจำยอมก็ตาม จักต้องพยายามสร้างความรัก ความพอใจในกิจกรรมการงานนั้นให้ได้เสียก่อน แล้วลงมือกระทำด้วยความเพียรพยายามอย่างจดจ่อ จริงจัง จับจ้อง ตั้งใจ พร้อมกับใช้วิจารณญาณ ปัญญา ใคร่ครวญ พิจารณา ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนให้ถ่องแท้ เหล่านี้คือ อิทธิบาททั้ง 4 อันได้แก่ ฉันทะ(ความพอใจ) วิริยะ(ความเพียร) จิตตะ(ความเอาใจจดจ่อ) วิมังสา(การใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณา)อันเป็นแม่บทในการกระทำ เป็นหัวใจของความสำเร็จทั้งปวง……….

ประโยคที่ว่า ถางป่าที่รก ให้เตียนไป หมายถึง สรรพกิเลสทั้งปวง สรรพทุกข์ทั้งปวง สรรพภัยทั้งปวง จะขจัดชำระล้างทำลายลงไปได้ ด้วยอาศัยความเพียรพยายามอย่างยิ่ง และท้ายที่สุด ต้องมี อริยปัญญาอันยิ่ง จึงจะสามารถทำลายสรรพกิเลสทั้งปวง ที่ติดแน่นนอนเนื่องอยู่ในสันดานมาเนิ่นนานยาวไกลลงได้……….


สรุป เมื่อเรามีปัญญาติดตัวมาแต่ปางก่อน ควรที่จักทำให้ปัญญานั้น ตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐาน คือ ศีลอันสมบูรณ์ อย่างไม่หวั่นไหว พร้อมทั้งเพิ่มเติม สะสม ปัญญานอกกาย แม้จะเป็น “โลกียปัญญา”ก็ตาม ถ้าผ่านกรรมวิธีในการตรวจสอบ ชำระล้าง ขัดเกลา พัฒนาอย่างละเอียดถี่ถ้วนสมบูรณ์ด้วย”สติ”และ”สมาธิ”(ลับด้วยหิน) โลกียปัญญานั้น ก็จักกลับกลายเป็น “โลกุตรปัญญา”ในฉับพลัน แต่ทั้งนี้กรรมทุกชนิด กิจทุกอย่าง ต้องกระทำด้วยความรัก ความพอใจ เพียรพยายาม
บากบั่น อดทน อดกลั้น ด้วยความจับจ่อ จับจ้อง จริงจัง ตั้งใจ ด้วยการใช้”สติปัญญา”ใคร่ครวญ พินิจ พิจารณ์ อย่างถ่องแท้ และละเอียดถี่ถ้วน จึงจะประสบผลอันควรแก่การปฏิบัติ………


ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด



สติ

หลวงปู่พุทธะอิสระ

ปัจจุบันนี้ การศึกษาของชาติล้มเหลว ผลิตคนเก่ง เพื่อจะออกมาเบียดเบียนชาวบ้าน เพราะที่ผ่านมา เราสนับสนุนให้คนมีแต่ไอคิว โดยพยายามจะสอนกันให้เป็นคนเก่ง แล้วเอาความเก่งออกไปเบียดเบียนผู้อื่น ฉลาดที่จะเอาเปรียบคนอื่น แต่ไม่เคยฉลาดที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่เคยฉลาดที่จะแก้ไขปัญหาให้คนอื่น ไม่เคยคิดจะแบ่งปัน อาทร หรือการุณย์ แบ่งปันความสุขของเราให้แก่คนอื่น สำนึกของความเป็นมนุษย์ของเขามันหายไปไหน เราไม่เคยสอนกันอย่างนี้มาเลย ส่วนใหญ่ก็มีแต่สอนให้เก่งๆ แล้วก็แข่งกัน เอาเปรียบกัน ชนะได้เป็นดี แพ้ไม่ได้ อยากถามกลับไปว่า คนไทยชนะคนไทย ประเทศไทยได้อะไร………..แล้วพ่อแม่อยู่ในบ้าน ก็จะสอนลูกว่า นั่นลูกบ้านนั้น เขายังสอบได้ที่1 ลูกก็ต้องแข่งกับเขาให้ได้ เป็นต้น สอนกันแบบนี้ แล้วพวกนี้ พอไปอยู่ในสังคม ก็จะไปเอาเปรียบกัน สังคมก็จะไม่มีความอาทรต่อกัน ไม่มีความรักต่อกัน ไม่มีความเมตตาต่อกัน ทุกคนเป็นศัตรูกัน แล้วจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร เพราะมีแต่คนเอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวละโมบโลภมาก อิจฉาริษยาและคับแคบ สิ่งเหล่านี้มาจากอะไร มาจากความไม่รู้จริง ไม่เข้าใจเรื่องจริง ไร้สำนึกในความเป็นมนุษย์จริงๆ เหตุผลมาจาก”การขาดสติ” ไม่มีความยั้งคิด ไม่ละอายชั่ว กลัวบาป……….ที่เราเรียนท่องจำกันอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่”ปัญญา”แต่มันเป็น “สัญญา”

“สัญญา”คือการสะสม กักเก็บข้อมูล แล้วมันสามารถจะพัฒนาไปสู่ตัว”ปัญญา”ได้”ถ้าเรามีสติ” แต่ถ้าเราไม่มีสติ ก็ไม่มีสิทธิ์ ปัญญาคือสิ่งที่เราไม่รู้ ได้รู้ สิ่งที่ไม่เคยปรากฏ ได้ปรากฏ หรือที่ไม่เคยเห็น ได้เห็น ตัวอย่าง เช่น เขาบอกว่าหนึ่งบวกหนึ่ง เราไม่รู้ว่าหนึ่งบวกหนึ่งเป็นอะไร แต่ถ้าเรามาบวกกันแล้ว มันออกผลมาว่าเป็นสอง อย่างนี้เรียกว่า”ปัญญา” แต่โจทย์หนึ่งบวกหนึ่งมันเป็น”สัญญา” นี่คือตัวอย่างง่ายๆ………..ฉะนั้น ความหมายของ”ปัญญา”ที่ว่าหนึ่งบวกหนึ่ง ถ้าเราไม่มีสติ เราบวกได้มั๊ย คือไม่รู้จักอะไรมันเลย ไม่เข้าใจมัน และไม่รู้ว่าวิธีการมันจะทำอย่างไร อย่างนี้มันจะเป็นสองได้มั๊ย แต่ที่เราทำได้ถูก เพราะเรารู้เนื้อรู้ตัว รู้จักวิธีการ ความรู้เหล่านี้แหละคือตัว”สติ”………


สติ คือ ความรู้ตัว ทำหน้าที่ปลุกจิตของเราให้เป็น ผู้ตื่น ผู้รู้ รู้ชัด รู้แจ้ง รู้ทันสภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเองและก็เตรียมตัวเตรียมพร้อม ที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้า ความรู้ตัว ก็คือรู้ว่าปัจจุบันนี้ทำอะไรอยู่ แล้วตัวรู้นี้แหละมันเป็นเครื่องกำกับอิริยาบถ กาย วาจา ใจ ให้ทำ พูด คิด ไม่ผิด ตัวรู้ตัวนี้แหละเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำคือ”สัญญา”ให้มีประสิทธิภาพเก็บข้อมูลได้มากมาย ดังนั้น ผู้มีสติ จึงเป็นผู้ที่ทำ พูด คิดไม่ผิดพลาด คนมีสตินั้น สามารถหาคำตอบจาก หนึ่งบวกหนึ่งออกมาเป็นสอง ได้อย่างไม่ผิดพลาด เรียกว่าทำก็ไม่ผิด พูดก็ไม่ผิด คิดก็ไม่ผิด อย่างนี้เรียกว่า เป็นการทำงานของสติบวกสมาธิ เกิดปัญญา……….

ปัญญา คือผลของสติจะเป็นสมาธิ ผลของสมาธิ เป็นปัญญา เพราะฉะนั้น”ฝึกสติ เกิดสมาธิ เป็นปัญญา” ปัญญาจะมีที่ตั้งได้ต่อเมื่อที่ตั้งนั้นมั่นคง “สมาธิ”แปลว่า ที่ตั้งแห่งความมั่นคง หรือฐานที่ตั้งแห่งความมั่นคง ฐานที่ตั้งแห่งความมั่นคงมันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีสติเป็นเครื่องรองรับ………..
กระบวนการของสมาธิ ท่านให้มีไว้ใช้พิจารณาตามหลักของ”ไตรลักษณ์” อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของโลก เห็นตามความเป็นจริงของสังขาร รู้เห็นตามความเป็นจริงด้วย”ปัญญา” ปัญญาในที่นี้ เรียกว่า “อริยปัญญา” ปัญญาแห่งความรู้จริง รู้ยิ่ง ไม่ใช่รู้จำ เมื่อรู้จริง รู้ยิ่ง เป็น”ปัญญา”ล้วนๆ ที่ไม่มีอะไรทำลายให้เสียหายลงไปได้ ไม่มีใครทำร้ายทำลายปัญญาชนิดนี้ให้เสียหายลงไปได้ เราตายไปอีกกี่ชาติ ปัญญาชนิดนี้ ก็จะตามเราไป แต่ปัญญาที่ได้จากการท่องจำ ตายชาตินี้ก็จบชาตินี้ มันไม่มีโอกาสจะตามไป แต่ปัญญาที่ตายกี่ชาติๆก็จะตามเราไป ก็คือ ปัญญาที่รู้เห็นตามความเป็นจริง เป็นปัญญาที่โจรปล้นไม่ได้ น้ำท่วมไม่หาย ไฟไหม้ไม่หมด เป็นอริยทรัพย์ อริยปัญญา “ปัญญา เป็นทรัพย์ที่ยิ่งกว่าทรัพย์ทั้งปวง”………


เพราะฉะนั้น กระบวนการของปัญญา จำเป็นต่อชีวิต ถ้าชีวิตนี้ขาดปัญญา ก็เป็นคนที่ไม่ใช่คน เป็นคนที่โดนเขาจับมาคน ซึ่งก็แปลว่า กวนให้ทั่ว ไม่มีสิทธิ์ที่จะสอนคน และก็ไม่ควรจะอยู่ในสังคมแห่งความเป็นคน เพราะเราจะต้องโดนเขาเอาเปรียบ คนไม่มีปัญญาคือคนโง่ คนโง่คือคนที่โดนหลอกง่าย คนที่โดนหลอกง่ายคือ คนที่ทำผิด พูดผิด คิดผิด คนที่ทำผิด พูดผิด คิดผิด คือคนที่ต่ำทรามในสายตาสังคม คนใช้การไม่ได้ คนหมดสมรรถนะและคนไร้สภาพ คนใช้ไม่ได้ คนหมดสมรรถนะ คนไร้สภาพ คือคนไม่ใช่คน คือคนอ่อนแอ คนง่อยเปลี้ยเสียขา หรือคนที่ไม่มีสำนึกของความเป็นคน…………
กระบวนการแห่งปัญญา เรียกว่า เป็นผลแห่งการสันดาปของสติ เกิดสมาธิ แล้ว ปรากฏปัญญา ถ้าเข้าใจตามนี้ สิ่งที่ควรจะขวนขวายอันดับแรก จึงไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่สมาธิ แต่มันคือสติ

สติมี 2 ประเภท คือ สัมมาสติ กับ มิจฉาสติ
โจรที่ปล้นเขาสำเร็จมีสติมั๊ย…..มี แต่เป็น “มิจฉาสติ” คือสติที่ยังให้เกิดโทษ ไม่เกิดประโยชน์ เป็นสติชั้นต่ำ ไม่ใช่สติชั้นสูง สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ตัวเอง เพราะความชั่วนั้น มันหมักหมมโสโครก กัดกินจนกระทั่ง ต้องติดคุกตะราง หรือรับโทษทัณฑ์ทางใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับและชีวิตไม่เป็นสุข

ส่วนสติที่เป็น “สัมมาสติ” คือ สติที่ทำให้เราเข้าใจสิ่งตามเป็นจริง รู้เห็นตามความเป็นจริง เข้าใจสิ่งที่เป็นเรื่องจริงและเป็นความถูกตรง ถูกต้องต่อความเป็นจริง สัมมาสตินี้ไม่ว่าต่อหน้าลับหลังอยู่ได้ นอนหลับเป็นสุขจนวันตาย วันสุดท้ายแห่งความตายก็ยังเป็นสุข เพราะมันเป็นสัมมาสติที่มีอุปการะไปถึงชาติโน้น ชาติไหน ชาติใดๆได้ด้วย ส่วนมิจฉาสติ ก็อุปการะเหมือนกัน แต่อุปการะสัตว์ในฐานะที่เหยียบให้ตกต่ำ คือทำให้ต่ำลง แต่สัมมาสติ พยุงสัตว์ให้สูงขึ้น ทำสัตว์ให้ปลดปล่อย หลุดลอย แล้วก็มีเสรีภาพอิสระ คนที่มีสัมมาสติ คือคนที่ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง องอาจ สง่างาม แล้วสัมมาสติที่ถูกตรง ก็คือ สติที่มีเอาไว้กำกับดู กาย เวทนา จิต และธรรม ทั้งภายในและภายนอก

ทั้งมิจฉาสติและสัมมาสติ มันเกิดขึ้นในจิตทุกดวง เราไม่มีอะไรที่จะไปแยกมันได้ เราต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้น แล้วก็ต้องตามมันไป เต้นตามมันไป วิ่งตามมันไป สุดท้ายเราก็จะตายเพราะมัน ทุกข์ทรมานเพราะมัน เดือดร้อนเพราะมัน เศร้าโศกเพราะมัน เสียใจเพราะมัน และลำบากเพราะมัน แล้วอะไรคือมัน มันก็คือ สิ่งที่เข้ามาแอบแฝงอยู่ ครอบงำจิตวิญญาณและกายนี้ให้เศร้าหมองลง ทำให้หยาบ ตะกละ ต้องการ ละเมอเพ้อพก หลง โกรธ โลภ สิ่งเหล่านี้คือตัวมัน ตัวมันที่ไม่ใช่ตัวเรา ตัวมันที่เข้ามาอยู่กับเรา เพราะเราไม่มีสัมมาสติคอยกั้นกางมัน และตัวมันเหล่านั้นก็คือ อวิชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน………
ถ้าเราทำอะไรโดยไม่เต็มใจ ไม่ตั้งใจ ไม่พร้อมใจ ไม่สมัครใจ เหมือนเป็นหุ่นยนต์ เราไม่มีสมรรถภาพ ไม่มีสมรรถนะของตัวเราเอง ไม่มีประสิทธิผลของตัวเอง ไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วความเป็นมนุษย์มันอยู่ตรงไหน ถ้าทำอะไรโดนบังคับไปตลอด ต้องตกเป็นทาสของใคร อะไรที่เราไม่รู้จัก รู้แต่ว่าต้องทำตามคำสั่ง……..

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
สติ
 
   ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรา ทำอะไรด้วยความสมัครใจ โดยมิต้องตกเป็นทาสของอะไรๆ แล้วทำทุกอย่างด้วยหัวใจ และพระองค์ก็ทรงแนะหลักการกระทำให้สำเร็จประโยชน์ทุกอย่าง มีอยู่ 4 ข้อ คือ อิทธิบาท4-ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา…...

ฉันทะ คือ ความพอใจรักใคร่ สร้างความรักขึ้นมาเหมือนอย่างที่พวกเรามานั่งฟังธรรม อย่าทำด้วยความรู้สึกแกนๆ เซ็ง เบื่อ มานั่งฟังอะไรก็ไม่รู้ อย่างนี้ไม่ได้อะไร หมดเวลาไปวันๆ นั่งเผาอากาศทิ้ง หายใจออกเฉยๆ ไม่ได้สาระอะไร แล้วชีวิตนี้จะมีความหมายอะไร มันไม่ตื่นเต้น ไม่กระตือรือล้น ไม่สดชื่น ไม่กระชุ่มกระชวยกระฉับกระเฉง มีชีวิตเหมือนผีตายซาก เหมือนต้นไม้ที่ยืนต้นตาย เหมือนหุ่นยนต์ที่โดนไขลาน ชีวิตอย่างนี้ ควรจะเป็นเจ้าของชีวิตหรือ แล้วชีวิตอย่างนี้ ควรจะเป็นผู้ที่เรียกว่า เราคือสิ่งมีชีวิตหรือ หลวงปู่อยากจะบอกว่า นั่นก็คือ ก้อนหิน หรือต้นไม้ที่ยืนต้นตายเท่านั้น !!!………
ชีวิตที่เป็นชีวิต คือ ชีวิตที่เป็นเจ้าของชีวิต คือชีวิตที่มีชีวา มีความสดชื่น แจ่มใส มีความกระตือรือล้นกระฉับกระเฉง มีความกระชุ่มกระชวยที่จะทำกิจการงาน และจัดสรรภาระ ธุระ ชีวิตตนและคนอื่น ให้เกิดประโยชน์สูง ประหยัดสุด และมีสาระ นั่นคือ สิ่งที่มีชีวิต เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะหมดชีวิต……..
การที่เราจะปลุกปลอบจิตวิญญาณของเราให้มีฉันทะ คือความพอใจรักใคร่ ในสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด สูตรที่เราคิด เรื่องทั้งหมดของเราจะเป็นชีวิต วิญญาณ สดชื่น มีเสรีภาพ มีอิสระ มีความสง่างาม และงดงามอยู่ในที ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน พูด คิด มันสวยงาม สง่า มันเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าทำอะไรแบบไร้ชีวิตสิ้นหวัง ขาดจิตวิญญาณ ความรู้สึก เหมือนกับหุ่นยนต์ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตนี้ ทำไปแกนๆ ให้มันหมดไปวันๆ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต………
ที่จะเป็นชีวิตได้ สดชื่นรื่นเริงได้ กระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวยได้ ถูกต้อง ไม่บกพร่อง ถูกขั้นตอน ถูกกาล ถูกสมัย ถูกที่ ถูกบุคคลได้ ก็เพราะเรามีสติ กระตุ้นเตือนบอกตัวเองว่า เวลานี้เรากำลังทำอะไร เราควรจะทำตัวอย่างไรกับสิ่งที่กำลังจะทำ ควรจะใช้วาจาอย่างไรกับสิ่งที่กำลังจะสอน ควรจะคิดอะไร พูดอะไร แสดงอะไร เหล่านี้เป็นกระบวนการทำงานของสติทั้งนั้น……..


นอกจากมีฉันทะ คือ ความพอใจรักใคร่แล้ว ต้องมี วิริยะ คือ ความเพียร เช่น หนุ่มรักสาว ต้องใช้ความรักให้เป็น เอาความรักอันนั้นมาพัฒนาให้เป็นศักยภาพของชีวิต โดยรักที่จะทำ รักที่จะแก้ไขปัญหา รักที่จะเรียนรู้ รักที่จะแบ่งปัน รักที่จะอาทร รักที่จะการุณย์ รักที่จะสร้างสรรค์ รักที่จะส่งเสริม รักที่จะชี้นำ รักที่จะเทิดทูน รักที่จะยอมรับ เมื่อเรามีความเพียรในความรักแบบนี้ และรักที่จะทำมันตลอดกาล ถือว่ามีความรักด้วยความเพียร มีความเพียรสนับสนุนความรัก ทำให้ความรักนั้นยิ่งใหญ่และสมหวังตามความปรารถนา………

เมื่อมีฉันทะ มีวิริยะ ก็ต้องเอา จิตตะ คือ จิตจับจ่อ จดจ้อง จริงจัง ตั้งใจ อย่างชนิดที่ใครๆก็สู้เราไม่ได้ ใครๆก็ไม่อาจคิดแทนเราได้ นอกจากตัวเราเอง………

ข้อสุดท้าย วิมังสา คือ ใช้ปัญญาใคร่ครวญพิจารณา ทุกขั้นตอน ก่อนทำ พูด คิด ซึ่งมันก็เป็นผลเกิดจากสติ……….
ทั้ง 4 ประการนี้ คือ อิทธิบาท 4 – คุณเครื่องยังให้สำเร็จประโยชน์ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มันจะเกิดขึ้นได้ เราต้องมีสติ เราจะรักใครก็ต้องมีสติ เราจะมีความเพียรทำอะไรเราก็ต้องมีสติ เราจะเอาใจจดจ่อ จับจ้อง จริงจัง มันอย่างไร นั่นก็คือ กระบวนการของสติ คือตัวการสติ……….


ที่หลวงปู่บวช เพราะคิดว่าเราเป็นคนโง่ ไม่ค่อยมีสติ ปัญญาไม่ค่อยดี แล้วก็เป็นคนเชื่ออะไรง่าย หลงอะไรง่าย ใครมาทำให้เราโกรธ เราก็จะโกรธ ใครมาทำให้เรารัก เราก็จะรัก ใครมาทำให้เราเกลียด เราก็จะเกลียด เห็นอะไรที่สวยก็อยากได้ มีความโลภ……….

ตอนบวชใหม่ๆไม่มีคนดูแล ไม่มีโยมอุปฐาก เพราะไปบวชคนเดียว บวชใหม่ก็นอนป่วยอยู่ในห้อง จนนอนหมดสติอยู่ 3 วัน แล้วไม่ได้ฉันข้าว หมดแรง กินแต่น้ำ กำลังจะหมดความรู้สึกว่า เราคงตายแน่แล้ว เลยหมดกำลังใจ หันไปมองพระพุทธรูปเล็กๆ ที่อยู่ในกุฏิ ไม่รู้ว่าหลวงปู่หูฝาดไปหรือเปล่า ได้ยินพระพุทธรูปพูดว่า “อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ” แปลว่า “ตนเป็นที่พึ่งของตน”
ทำให้หลวงปู่มีสติ มีกำลังออกไปบิณฑบาตได้………

เพราะฉะนั้น สติมีอยู่ในตัวแล้ว นับตั้งแต่ออกจากท้องแม่ เมื่อเราขี้ แล้วดิ้นหนีจากขี้ เราเยี่ยวแล้วดิ้นหนี ขยับร้องเรียกแม่ ให้มาเปลี่ยนผ้าอ้อม เราใส่เสื้อเป็นเสื้อ ใส่กางเกงเป็นกางเกง

ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นการใช้สติ เพราะถ้าไม่มีสติ เราต้องใส่เสื้อเป็นกางเกง ใส่กางเกงเป็นเสื้อ ถ้าไม่มีสติ คงต้องเอากางเกงในไว้ข้างนอก เอากางเกงนอกไว้ข้างใน ถ้าไม่มีสติก็ไม่รู้ว่าผมจะหวีอย่างไร และถ้าไม่มีสติ พอเห็นใบไม้ลอยมาแล้วก็นั่ง อุ๊ย…ตกแล้ว.…ตกแล้ว แล้วก็ตีมือชอบใจ อะไรอย่างนี้……….

เมื่อมีสติอยู่แล้ว ไม่ต้องไปหาที่อื่น เราจึงจำเป็นต้องมาจัดการ พัฒนา บริหารสติ ให้ทรงไว้ซึ่งสมรรถนะ และสร้างให้เกิดประสิทธิผลขึ้นในการ ทำ พูด คิด เราจะไม่ผิดพลาดบกพร่อง มีแต่เรื่องถูกต้อง………..


สติไม่มีกาลเวลา สติที่มีกาลเวลาคือสติของผีห่า ซาตาน มาร และความอยาก คืออยากถึงทำ ไม่อยากก็เลิกทำ อะไรอย่างนั้น นี่ไม่ใช่สติของพระพุทธเจ้า สติของพระพุทธเจ้าต้องมีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเราไปทำความรู้จักมันเข้าใจมัน แล้วก็ทำให้มันเกิดกับเรา อยู่กับเรา โตขึ้น เจริญขึ้น และอุปการะชีวิตเรา ตระหนัก สำนึกในหน้าที่ของเรา………

ดังนั้น สติจึงเป็นเครื่องอุปการะแก่สัตว์ แก่จิตนี้ แก่กายนี้ แก่ชีวิตนี้ แก่ใจนี้ แก่อนาคตของเรานี้………..
การฝึกสติไม่ใช่เป็นการมาสร้างขึ้นมาใหม่ ความหมายของ การฝึกสติก็คือฝึกสิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้มันกล้าแข็งและแกร่งขึ้น เพื่อจะอุปการะกายนี้ วาจานี้ จิตนี้ ให้เป็นผู้ที่มีสมรรถนะให้ดีขึ้น สูงขึ้น เยี่ยมยอดขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น มีอำนาจครอบคลุมพฤติกรรม ให้ไปสู่เป้าหมายและวิถีทางของผู้เจริญ………….

การฝึกสติ เป็นการจัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด ทำกายนี้ให้มีระเบียบต่อการซึมซับ ซึมสิง พิสูจน์ทราบ สัมผัสทราบต่อความหมายของการปฏิบัติตน ให้เป็นคนมีระเบียบวินัย ซื่อตรง ถูกต้อง ทำเรื่องทั้งหลายในชีวิตไม่บกพร่อง เหล่านี้เป็นการฝึกสติทั้งนั้น

วิถีทางในการฝึกที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ได้ทรงถ่ายทอดและสั่งสอนกันมา ก็คือ การเจริญสติ หรือการทำให้เกิดความรู้เนื้อรู้ตัว……….
เริ่มจากการทำอะไรต้องทำด้วยกาย วาจา ใจ ต้องให้ทุกอย่างรวมอยู่ในการกระทำนั้น และทำมันด้วยความจดจ่อ จริงจัง ตั้งใจ และจับจ้อง แต่ไม่จำเป็นจะต้องทำให้ถึงกับเครียด เมื่อปรากฏการณ์ของสติเกิดขึ้น เราก็จะรับรู้ได้ว่า ความหมายของสติ มันจะทำให้เราทำไม่ผิด คิดไม่ผิด และพูดไม่ผิด ในกิจการที่ทำนั้นๆ………
เมื่อเราสามารถใส่ใจ เต็มใจ จริงใจ และตั้งใจ ต่อการกระทำ พูด คิด ของตน ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เราก็จะสามารถสัมผัส สำเหนียก และพิสูจน์ทราบได้ถึงความหมายของผู้มีสติได้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่า สติเป็นเครื่องพยุง เครื่องประคับประคอง เครื่องอุปการะต่อพฤติกรรม คำที่พูด และสูตรที่คิดอย่างจริงๆ อย่างชนิดที่ไม่มีการคุยโม้โอ้อวดกัน…….

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
   
     แต่ถ้าจะฝึกให้มันเข้มงวด เข้มแข็งมากขึ้น และเป็นการฝึกที่เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น ก็ขยับบทบาทของตนในการฝึกสติให้เข้มแข็ง ดูเหมือนมีพลัง และตั้งใจได้มากขึ้น เช่น สมมติว่า ตอนเช้าพอนาฬิกาปลุก เรายังนอนเฉย แล้วกดให้มันหยุดปลุก แล้วนอนต่อไปอีก แทนที่จะรีบลุกขึ้นมา ถ้าอย่างนี้แสดงว่า เรายังไม่มีสติ เรากำลังมีสติที่เพลี่ยงพล้ำ มีสติที่อ่อนแอ เพราะผู้มีสตินั้น เมื่อถึงเวลาลุกจะมีพลังต่อต้านภัย ต่อต้านความครอบงำของอาการง่วงเหงาหาวนอน ผู้มีสติย่อมมีพลังพร้อมที่จะต่อต้านสภาวะที่จะทำให้เกิดความไม่เจริญได้ทุกขณะจิต สภาวะที่ทำให้เกิดความไม่เจริญ คือ ความเกียจคร้าน สันหลังยาว ง่วง งี่เง่า เศร้าหมอง ขุ่นมัว ฟุ้งซ่าน รำคาญ อึดอัด หรือขัดเคือง……….

     ผู้มีสติย่อมมีพลังพร้อมและพอที่จะสามารถแก้ไขและทำร้าย ทำลาย สิ่งที่เป็นสภาวะที่ทำให้เกิดความไม่เจริญได้อย่างฉับพลัน เหตุเพราะเวลาที่เราหลับอย่างมีสตินั้น จะทำให้เราเป็นผู้ซื่อตรงต่อตัวเอง รู้จักกำหนดให้อาณัติสัญญาณต่อสัญญาที่มีอยู่ทุกขณะจิตแก่ตนเองว่า เราจะตื่นเวลาใด และมันจะเป็นความตื่น….ตื่น…..และตื่น ด้วยกาย วาจา ใจ………

    เมื่อสร้างความรู้เนื้อรู้ตัวให้เกิดขึ้นทุกขณะ ทุกย่างก้าว ทุกกระบวนการ ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เราทำ คำที่เราพูด สูตรที่เราคิด มันต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว เข้าใจ และแจ่มแจ้งต่อมันแล้ว จนกลายเป็นนิสัยอยู่ในหัวใจเรา มันจะกลายเป็นระบบของความคิด เราก็จะรู้ว่าอะไรควรคิดก่อน อะไรควรคิดหลัง………

    กระบวนการต่อไปคือ จะต้องซึมสิง ซึมทราบ พิสูจน์จนเข้าใจกระจ่างชัดว่า ไม่ว่าอิริยาบถใดๆทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ เราต้องรับรู้ ไม่ต้องรู้เรื่องอื่น รู้เฉพาะตัวเรา พอรู้ตัวเราแล้ว ก็จะทำให้รู้เรื่องอื่นไปด้วยในตัว รู้ตัวเราอย่างไร ก็คือ มีความรู้สึกในอิริยาบถ ที่จะเดิน ยืน นั่ง นอน ขับถ่าย อย่าส่งความรู้สึกออกไปนอกตัว ถ้าเมื่อไหร่ที่ส่งความรู้สึกออกไปนอกตัว ท่าทางต่างๆของเราก็จะไม่ถูกต้อง เช่น การยืนแบบรู้เนื้อรู้ตัว ก็คือ เรารู้ว่า เราทิ้งน้ำหนักไปที่ขาขวาหรือขาซ้าย รู้ว่าขาข้างไหน กำลังรับน้ำหนักของตัวเราอยู่ รู้ว่ายืนตรง ยืนเอียง ยืนตะแคงอย่างไร การรับรู้สภาพรูปยืนของตน อย่างนี้ถือว่า เป็นการฝึกสติให้ตั้งมั่นอยู่ในกายนี้………..

    ขั้นต่อมา ต้องเริ่มต้น จากการให้เวลาสัก 5-10นาที หรือเท่าที่เราต้องการ ควรจะมีเวลาให้มันในวิธีนี้อย่างยิ่งยวด เพื่อความชัดเจน กล้าแข็งของสติภายในกายตน และเวลาที่ให้กับมันนั้น เราต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว มั่นคง และเด็ดขาดอย่างแท้จริงว่า เรากับสติต้องเป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ในเวลาที่กำหนด เรากับสติต้องไม่พลัดพรากจากกันแม้แต่พริบตาเดียว เรากับสติต้องรวมกันทั้งกาย วาจา ใจอย่างชนิดที่ไม่แยกจากกัน อาจจะเริ่มจากการรวมกายให้ผนึกแนบแน่นกับใจ ให้รับรู้ถึงสภาวะแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันนั้นๆว่า เริ่มต้นจากการรู้จักรูปของตนว่าเราจะฝึกในท่าไหน ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน หรือท่านั่ง ให้รู้รูปยืน รู้รูปเดิน รู้รูปนอน รู้รูปนั่ง นั้นอย่างชัดเจนในมโนนึก มโนภาพของตน เมื่อรู้ตามกระบวนการอย่างชัดเจนแล้ว ก็รู้ต่อไปถึงกระบวนการของหนังและเนื้อภายในกาย จากนั้น ก็ถลกหนังและเนื้อออก ให้เหลือไว้แต่โครงกระดูกภายใน ค่อยๆสำรวจตรวจดูกระดูกภายในกายตน อาจจะเริ่มโดย การใช้มือคลำ คลำให้ทะลุหนัง ทะลุเนื้อ เข้าไปถึงกะโหลก ศีรษะ หน้าผาก โหนกคิ้ว เบ้าตาทั้งสองข้าง คลำไปเรื่อยๆอย่างนี้ การฝึกสติขั้นนี้ค่อนข้างจะละเอียด ชัดเจน เข้มแข็ง และแน่นอน ไม่ต้องมีคำภาวนาใดๆ การฝึกสติประเภทนี้จะทำให้สติเราตั้งมั่นและกล้าแข็ง อาจหาญ และกล้าที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้อย่างไม่หวาดหวั่น ไม่พรั่นพรึง และมีวิถีชีวิตอย่างสง่างาม…………


    แล้วในขณะที่รับรู้โครงสร้างภายในกาย คือ โครงกระดูก ขณะนั้นจะต้องไม่ปรากฏความรู้สึกนึกคิดใดๆ หรือไม่มีกระบวนการแบ่งแยกทางจิต จะรู้ได้เพียงกระดูกกับกระดูกเท่านั้น เหตุผลก็เพราะ เมื่อใดที่ปรากฏความรู้สึกนึกคิดออกไปนอกกระดูก แม้แต่กระทั่งขยับไปที่เนื้อหนัง มันก็กลายเป็นเรื่องคนละเรื่องที่เราจะกำหนดรู้ แสดงว่าเรากำลังจะเพลี่ยงพล้ำ กำลังจะพลั้งเผลอ และการตั้งมั่นของสติจะเลอะเลือนไปในที่สุด………..

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด

    ดังนั้น เจตนาในการรู้กระดูก ก็ต้องรู้กระดูกให้แจ่มชัด เจตนาในการรู้ผิวหนังและเนื้อ ก็ต้องรู้ให้แจ่มชัด ไม่ใช่ต้องการจะรู้ผิวหนัง แต่กระโดดไปรู้กระดูก รู้กระดูกก็กระโดดไปรู้ผิวหนังอะไรอย่างนี้ แต่ควรให้รู้เป็นเรื่องๆและรู้อย่างเข้มแข็ง เข้มข้น แจ่มชัดมากที่สุด เมื่อเรารู้อย่างแจ่มชัด กระบวนการทางความคิดไม่แตกแยก จิตวิญญาณของเราไม่สับสนวุ่นวาย สงบนิ่งอยู่กับการรับรู้นั้นแล้ว และก็รู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างถนัดถนี่แล้ว ค่อยๆพัฒนาการรับรู้นั้น ให้เข้มข้นมากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้ให้ได้ไปทั้งโครงสร้างของกาย แรกๆก็ฝึกรู้เป็นจุด ต่อไปก็ฝึกรู้เป็นท่อน รู้เป็นตำแหน่ง และสุดท้ายรู้ไปได้ทั้งโครงสร้าง พอหลับตาหรือลืมตา ใช้มโนนึก นึกถึงโครงกระดูก ให้เห็นปรากฏชัดตรงหน้าทันที เมื่อรู้ได้อย่างนี้ในขณะที่มีสติ เมื่อสติปรากฏในจิตทุกดวง ความปรุง ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ สับสน วุ่นวาย รัก โลภ โกรธ หลง มันก็จะไม่ปรากฏ จิตเราก็จะละเอียด หมดจดจากเครื่องผูกพัน ร้อยรัดทั้งปวง………..

    การฝึกสติ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่มีอุปการะทุกขณะจิต การฝึกสติทำได้ตลอดเวลา และไม่ใช่ว่ามีเฉพาะเวลานั่งหลับตา หรือสวดมนต์แล้วจะมีสติ……ไม่ใช่ แต่มันต้องมีทุกขณะ ทุกลมหายใจเข้า-ออก…………..
ถ้าเราไม่ฝึกสติ หากไปเจอคนที่ยั่วยวนอารมณ์ของเรา แล้วเราไม่รู้จักระงับสติของตัวเอง เราก็ต้องกลายเป็นอาชญากรหรือผู้ต้องหา คนที่ไม่ได้ฝึกการอบรมจิต ยากที่จะเผชิญต่อสถานการณ์ใดๆที่บีบคั้นแล้วจะทนได้ ยืนหยัดอยู่ได้ ตั้งมั่นได้ อย่างไม่โยกโคน ไม่สั่นคลอน ไม่ง่อนแง่น การฝึกสติ ทำให้เราตั้งมั่นในทุกกาลทุกสมัย…………
การที่เรามีหัวใจที่จะให้อภัย ด้วยการเอื้ออาทร การุณย์ และยอมรับสิ่งที่ดีมีประโยชน์ไปใช้ การจะให้อภัยก็ตาม เอื้ออาทรก็ตาม รับสิ่งดีมีประโยชน์ก็ตาม มันจะไม่สำเร็จ ไม่ได้ขึ้นมาเลย ไม่เกิดเลย ถ้าเราไม่มีสติ…………

ใครก็ตามที่บอกว่า ฉันไม่มีสติ ฉันไม่ต้องการสติ และปฏิเสธสติ และฉันไม่รู้จักแม้กระทั่งคำว่าสติ นั่นคือคนที่ไม่ใช่คน เพราะฉะนั้น คนที่ไม่มีสติ คือ คนที่ไม่ใช่คน คือคนบ้า คนประสาท และคนบ้า คนประสาทก็คือคนที่ทำอะไรตามอารมณ์ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หรือพวกไม่มีสติ คือคนเมา เสพยาเสพติด หลงระเริงไปตามกระบวนการฉุดกระชากลากถู และคนที่ตกเป็นทาสของอารมณ์………….
ผู้ขาดสติ คือ คนที่ทำความรู้สึกของตัวเองให้เกิดสาระไม่ได้ ทำชีวิตให้มีสาระไม่ได้ ทำสาระให้เกิดขึ้นในชีวิตนี้ไม่ได้ ทั้งที่เรายังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆที่เรายังมีลมหายใจอยู่ แต่ไร้สาระในการดำรงชีวิต คนอย่างนี้เขาเรียกว่าขาดสติ ส่วนคนมีสติ ก็คือคนมีสาระ อย่างที่หลวงปู่เขียนบทโศลกไว้บทหนึ่งว่า………….
ลูกรัก…….. มีลมหายใจ มีชีวิต ได้พลัง ใช้พลัง สร้างสรรสาระ

นี่คือกระบวนการของสติในพุทธศาสนา แต่ถ้ามีลมหายใจ มีชีวิต ได้พลัง ไม่ใช้พลังให้เกิดสาระในทางดำรงชีวิต อย่างนี้เขาเรียกว่าขาดสติ………..
คนมีสติ ย่อมรักษากายตน รักษาจิตตน ให้พ้นจากไฟทั้งสาม คือโทสะ โมหะ และราคะ ได้อย่างอยู่รอดปลอดภัย ไม่เสียความเป็นไท
คนมีสติจะมีวิถีคิด วิถีทำ วิถีพูด วิถีชีวิต วิถีจิตที่ไม่ผิดพลาด ไม่บกพร่อง มีแต่เรื่องถูกต้อง คนมีสติจะตั้งมั่นได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครจะมาทำให้เราต้องโยกโคนสั่นคลอนไปตามกระบวนการใดๆที่จะมาฉุดกระชากลากถูไป……….
คนมีสติจะตั้งมั่นได้ในทุกถิ่นทุกฐาน ตั้งมั่นได้ทุกกาลทุกสมัย จะมีชีวิต จิตวิญญาณที่ไม่กระดกบนฟองน้ำลายที่อยู่บนปลายลิ้นชาวบ้าน ไม่ว่าใครจะด่าเรา จะชมเรา จะติเรา หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้บทหนึ่งว่า………


ลูกรัก……….
คนจริงไม่ไหวจริงต่อคำชม ไม่เยินยอนิยมต่อคำนินทาสรรเสริญ


เพราะฉะนั้น คนจริงคือคนมีสติตั้งมั่น เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจของเรา แล้วเราจะยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวบ้านเอง………..
แต่ถ้าใจเรายังไม่ใหญ่ ยังมีอะไรมาใหญ่แทนตัวเราแท้ๆ อะไรตัวนั้นก็คือ โลภ รักโกรธ หลง ตะกละ ต้องการ ทะเยอทะยานอยาก มันมาใหญ่แทนใจเราซะแล้ว มันมาใหญ่แทนสติเราซะแล้ว เราก็ต้องมีชีวิตอยู่บนฟองน้ำลายของชาวบ้าน คือ กลัวเขาจะว่า กลัวเขาจะตำหนิ กลัวเขาจะชม กลัวเขาจะนิยม กลัวเขาจะยกย่อง กลัวไปหมด สุดท้ายชีวิตนี้มีอะไร ชีวิตนี้เป็นชีวิตได้อย่างไร ถ้าเป็นชีวิตมีชีวิต เราต้องควบคุมมันได้ เป็นนายมันสนิท เป็นเจ้าของมันถูก การที่เราจะทำอย่างนี้ได้ เราต้องมีสติ สติ ทำให้เราเป็นเจ้าของชีวิตนี้ สติทำให้เรามีอำนาจเหนือชีวิตนี้……….
คนมีสติ คือ คนที่อยู่ในโลกใบนี้ อย่างมีสมรรถนะ สร้างสรรค์ประสิทธิภาพ ทำให้เกิดประสิทธิผล ในขณะที่เรามีชีวิตทุกย่างก้าว ทุกลมหายใจเข้าออก……….

คนมีสติ จะเป็นเอกภาพของตัวเอง มีเอกลักษณ์ของตัวเอง เป็นเอกบุรุษถ้าเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นเอกสตรี…………
คนมีสติ คือคนที่มีศิลปะ คนมีศิลปะ คือคนมีธรรมะ คนมีธรรมะคือคนมีปัญญา คนมีปัญญาก็คือคนมีสมาธิ คนมีสมาธิคือคนมีสติ คนมีสติก็คือคนมีศิลปะ คนมีศิลปะ คือคนที่มีชีวิตสวยงาม งดงาม สง่างามและอาจหาญ………..
เพราะฉะนั้น ความหมายของสติมันคือทุกอย่างของชีวิตนี้ คือความสดชื่น สมหวัง กระฉับกระเฉง สง่างาม คือความชาญฉลาด คือความพร้อมมูล และคือความครบองค์ประกอบของชีวิต สติจึงเป็นความจำเป็น เป็นอุปการคุณแก่สรรพสัตว์ เป็นอุปการคุณอันยิ่งใหญ่……..


พระพุทธเจ้าเคยถามพระมหาเถระรูปหนึ่งที่จะไปอยู่ ณ เมืองอารวี ที่เมืองนี้เป็นเมืองที่มีคนโหดร้าย ขี้โมโห ขี้โกรธ พระพุทธเจ้าถามว่า ที่ท่านจะไปอยู่น่ะ ไม่กลัวเขาด่าว่า ทำร้ายทุบตีหรือ พระเถระรูปนั้นกล่าวว่า………
“ถ้าเขาด่ากระหม่อมฉัน ก็ดีกว่าเขาอาฆาตพยาบาท ถ้าเขาอาฆาตพยาบาท ก็ดีกว่าเขาทำให้บาดเจ็บ ถ้าเขาทำให้บาดเจ็บ ก็ดีกว่าเขาฆ่าให้ตาย ถ้าเขาฆ่าให้ตาย ก็ยังดีกว่าเขาทำให้เสียสติ “…………
เห็นมั๊ยว่า พระเถระรูปนี้ แม้แต่เสียชีวิตก็ไม่เป็นไร แต่ขอรักษาสติเอาไว้……….

ดังนั้น สติ จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่เราจะต้องนำมาใช้ให้เกิดในชีวิตปัจจุบันทันที เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ วันนี้ เวลานี้ และนาทีต่อๆไป เราต้องรักษาสติ เจริญในสติ เพื่อให้เป็นผู้มีสติ ทุกลมหายใจเข้า-ออก………และเมื่อเรามีสติทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้า-ออก เราก็จะเป็นผู้ที่พร้อมและสามารถที่จะตรวจตราความสามารถทั้งถายนอกและภายในกายตนนี้ ให้อยู่รอดปลอดภัย เราจะเป็นคนที่สะอาด มีความสง่างาม องอาจ เป็นตัวของตัวเอง และก็มีชีวิตอย่างอิสระและมีเสรีภาพ มีความสมบูรณ์ เป็นไท ไม่มีชีวิตที่ตกอยู่บนฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้นใคร แล้วเราก็จะกลายเป็นผู้ชนะในโลกในที่สุด………

………………สติ จบบริบูรณ์………………..

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

ออฟไลน์ ทวีศักดิ์

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 166
  • ศิษย์บางพระ
    • ดูรายละเอียด
 :002: อนุโมทนาครับ
จงยิ้มสู้ จงอยู่อย่างยิ้มสู้กับสิ่งที่ลำบาก