ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะหรรษา..........พระเตะตะกร้อ  (อ่าน 2250 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ธรรมะหรรษา..........พระเตะตะกร้อ
« เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 07:48:31 »
พระเตะตะกร้อ

วันหนึ่งสมเด็จโตฯ เดินผ่านหลังโบสถ์ เห็นพระกำลังเตะตะกร้อกันอย่างสนุกสนาน

นายทศซึ่งเดินไปกับท่านด้วย รู้สึกแปลกใจที่ท่านไม่ว่าอะไร ทั้งๆ ที่การเตะตะกร้อมันผิดพระวินัย
จึงถามท่านไปว่า “ทำไมไม่ห้ามพระเตะตะกร้อ?”

“ถึงเวลาเขาก็เลิกเอง ถ้าไม่ถึงเวลาเขาเลิก เราไปห้ามเขา เขาก็ไม่เลิก” ท่านตอบนายทศอย่างนั้น
จะเลิกไม่เลิกมันอยู่ที่ใจของเขา

ต่อมาพระกลุ่มนั้นได้ใจ คิดว่าสมเด็จฯ ไม่ว่าอะไร จึงเล่นเตะตะกร้อกันอีก
แต่คราวนี้ สมเด็จฯ ท่านไม่ปล่อย เหมือนคราวก่อน
ท่านให้เด็กไปเรียกพระเหล่านั้นมา แล้วให้เด็กยกน้ำร้อนน้ำชาและน้ำตาลทรายมาถวาย

สักครู่สมเด็จฯ ได้ถามขึ้นว่า
“นี่คุณ! ตะกร้อนี่หัดกันนานไหม?”

พวกพระต่างมองตากัน รู้สึกอาการชักจะไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าสมเด็จฯ จะเล่นไม้ไหน ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ

“ลูกไหนเตะยากกว่ากัน ลูกข้างลูกหลังน่ะ?” สมเด็จฯหยอดเข้าไปอีก

พระเหล่านั้นไม่พูดอะไร หน้าถอดสี รู้สึกละอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียให้ได้

โดยปกติ สมเด็จฯ ท่านไม่ค่อยได้ว่ากล่าวอยู่แล้ว ท่านไม่เคยปากเปียกปากแฉะอย่างพระเจ้าอาวาสทั่วๆไป
นานๆ ครั้งจะว่ากล่าวกันที ยิ่งท่านไม่ค่อยได้ว่ากล่าวตักเตือน ยิ่งทำให้ละอายอย่างมาก

ปรากฏว่า ต่อมาพระวัดระฆังเลิกเตะตะกร้อกันอย่างเด็ดขาด

ที่มา...หนังสือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พฺรหฺมรํสี (ประวัติที่น่าสนใจของหลวงพ่อโต แห่งวัดระฆัง ผู้มีชื่อเสียง และมีเมตตาธรรมอันสูงยิ่ง)

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readf3b7.html?No=405
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........พระเตะตะกร้อ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 07:53:08 »
หลวงพ่อพรัดไม่พรือ

หลวงพ่อพรัดเป็นคนปักษ์ใต้โดยกำเนิด มีนิสัยรักความสงบมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีนิสัยเกเร ทะเลาะเบาะแว้งเป็นปากเป็นเสียงกับใคร
โดยเฉพาะการชกต่อย ข่มเหง รังแกกับผู้อ่อนแอกว่า ยิ่งไม่มีเลย

ท่านเข้ามาบวชเมื่ออยู่ในวัยกลางคน หลังจากที่ลูกชาย 1 คน ลูกสาว 1 คนของท่านแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว
ส่วนภรรยาของท่านเสียชีวิตไปก่อน ขณะที่บุตรทั้งสองยังอยู่ในวัยเรียน

เมื่อมาบวชเป็นพระ ชาวบ้านเรียกท่านตามภาษาปักษ์ใต้ว่า พ่อหลวงพรัด ก็คือ หลวงพ่อพรัด ในภาษาไทยกลางนั่นเอง
คนพื้นบ้านปักษ์ใต้เรียกพระที่เป็นหลวงพี่ว่า พี่หลวง เรียกหลวงตาว่า ตาหลวง เรียกหลวงพ่อว่า พ่อหลวง บางทีหลวงพี่สึกออกมาแล้ว น้องๆยังเรียกว่า พี่หลวง

เมื่อย่างเข้าวัยชรามีพรรษามาก ประกอบกับความมีนิสัยรักสงบของท่าน เวลาชาวบ้านมีปัญหาขัดแย้งขัดใจกัน ท่านจะเป็นผู้ประสานไกล่เกลี่ย คลี่คลายให้เรียบร้อย เกือบทุกราย ท่านมักจะใช้คำพูดว่า “ไม่พรือ โยม ไม่พรือ ไม่พรือ”
คำว่า ไม่พรือ ในภาษาใต้ คือ ไม่เป็นไร ชาวบ้านจึงชอบเรียกท่านว่า พ่อหลวงพรัดไม่พรือ หรือเรียกสั้นๆว่า หลวงพรัดไม่พรือ


ครั้งหนึ่งอุบาสกท่านหนึ่งเจ็บใจที่ข้าวในนา ซึ่งเก็บเกี่ยวผูกมัดเป็น “เลียง” ไว้กลางนา ถูกขโมยไปจำนวนมาก
จึงมากราบระบายกับหลวงพ่อว่า
“เราทำกันเหนื่อยเกือบตาย มันขนไปสบายๆ”

หลวงพ่อบอกว่า
“มันก็ไม่สบายเท่าไหร่หรอก มันขนไปมันก็หนักเหมือนกัน ไม่พรือโยม มันขโมยไปได้แต่ข้าว ที่นาเรายังอยู่”

โยมอีกคนมาบอกว่า
“จอบเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ ใช้ได้ไม่กี่วันก็หายแล้ว”

หลวงตาว่า
“ไม่พรือโยม จอบไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนมือผู้ใช้เท่านั้น”

อีกครั้งหนึ่ง มีคนมาบอกหลวงตาว่า
“ไปซื้อของในตลาด ถูกล้วงกระเป๋า เงินหายหมดเลย”

หลวงตาบอกว่า
“ไม่พรือโยม เงินไม่ได้หายไปหมด มันหายเฉพาะเงินในกระเป๋าเท่านั้น เงินที่บ้านที่ธนาคารยังอยู่ และที่จริงเงินไม่ได้หาย แต่เงินมันเปลี่ยนเจ้าของ”

นกมาจิกกินกล้วยต่อหน้าเณร เณรใช้ไม้ขว้างไล่นก พร้อมกับออกเสียงไล่
“ไป! ไปให้พ้นไอ้นกพวกนี้ กล้วยเขาเก็บไว้ถวายพระ ไม่ใช่พวกเอ็ง”

หลวงตาได้ยินบอกเณรว่า
“ไม่พรือเณร แบ่งให้มันกินบ้าง นกมันปลูกกล้วยไม่เป็น มันไม่มีเงินซื้อกล้วย ไม่มีใครถวายกล้วยให้มันด้วย”

มีคนมาบอกหลวงตาว่า
“มีคนนินทาพ่อหลวง”

หลวงตาบอกว่า
“ไม่พรือ เขาพูดถึงเรา เขาพูดเรื่องเรา แสดงว่าเราก็เป็นคนสำคัญ”

โยมมาฟ้องว่า
“พระอยู่กันยังไง เณรชกต่อยกันในวัด”

หลวงตาบอกว่า
“ไม่พรือ ชกต่อยกันในวัดดีกว่าชกต่อยกันนอกวัด จะได้ไม่น่าเกลียด”

หลวงตาเห็นแม่ชีจับแมวขังไว้ จึงถามแม่ชีว่า
“จับแมวขังไว้ทำไม แม่ชี?”

แม่ชีบอกว่า
“มันขโมยกินอาหารในครัววัด”

หลวงตาบอกว่า
“ปล่อยมันไปเถอะ แมวมันไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้ศีล ๕”

โยมได้ข่าวหลวงตาอาพาธ จึงมาเยี่ยมและปรารภว่า
“เมื่อวานยังดูแข็งแรงอยู่เลย วันนี้ไม่น่าป่วย”

หลวงตาบอกว่า
“ไม่พรือโยม ไม่ป่วยวันนี้ วันหน้าก็ต้องป่วย”

เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตเราก็เปลี่ยนได้

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readc770.html?No=408

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........พระเตะตะกร้อ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 07:55:52 »
ธรรมะจากหมา


อันที่จริง ธรรมะนั้นมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถหยิบมาเป็นข้อธรรมให้ขบคิดได้เสมอ
ถ้าเรารู้จักฉุกคิด รู้จักสะกิดใจตัวเองให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
ดูอย่างกิริยาอาการของหมา สมเด็จโตฯ ท่านยังเอามาเป็นคำสอนได้
มีเรื่องเล่าว่า

มีพระสองรูปทะเลาะกัน แล้วเกิดความไม่สบายใจมาก
พระรูปหนึ่งได้ไปหาสมเด็จฯ ด้วยหวังจะได้รับคำสอนที่นำความสบายอกสบายใจมาให้

พระรูปนั้นได้กราบเรียนต่อสมเด็จฯ

“หมู่นี้เกล้ากระผมไม่ใคร่จะสบายใจเลย ทำอย่างไรจึงจะได้สบายใจบ้าง?”

สมเด็จฯ ท่านบอกว่า “อยากจะสบายก็ให้ทำอย่างหมาซิ
ธรรมดาหมาเมื่อกัดกันขึ้นแล้ว ถ้าหมาตัวหนึ่งทำแพ้แล้วนอนหงายเสีย
เจ้าตัวชนะก็ขึ้นคร่อมอยู่ข้างบนแล้วคำรามทำอำนาจ
เจ้าตัวข้างล่างนั้น บางทีมันก็แหนบกัด(น่าจะ....แอบกัด)เอาได้บ้างเสียอีก ไปทำอย่างนั้นซิจ้ะ”


นี่เป็นธรรมะง่ายๆ ที่เราน่าจะนำมาปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน คือ รู้จักแพ้เสียบ้าง

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readea6c.html?No=404

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........พระเตะตะกร้อ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 08:00:46 »
คุณพระช่วย

หญิงชราคนหนึ่ง ปลูกบ้านอาศัยอยู่ใกล้ชายป่าแห่งหนึ่ง ลูกชายของนางได้พาลูกสะไภ้มาอาศัยอยู่ด้วย ส่วนสามีของนางเสียชีวิตไปนานแล้ว

นับตั้งแต่ลูกสะไภ้ของนางได้เข้ามาอยู่ในบ้าน ชีวิตของนางก็เปลี่ยนไป โดยลูกสะไภ้ใจร้ายพยายามกลั่นแกล้งนางทุกอย่าง หาว่านางไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อให้สามีขับไล่นางออกไปจากบ้าน

ลูกชายหูเบาเชื่อภรรยาทุกอย่าง ทั้งสองคนจึงได้นำนางเข้าไปในป่าลึกแล้วจับนางมัดไว้กับต้นไม้ใหญ่ หวังให้เสือมาพบแล้วกินนาง

พอตกกลางคืน เสือใหญ่ตัหนึ่งออกมาจะเข้าตะปบขบกินนาง แต่รุกขเทวดาบนต้นไม้ที่นางถูกมัดอยู่ ร้องบอกว่า

"เฮ้ สหาย อย่าเพิ่งกิน อยากให้สหายพิสูจน์ก่อนว่านางเป็นคนชนิดไหน สมควรจะกินไหม"
"พิสูจน์ยังไง" เสือถาม
เสือเข้าไปใกล้นาง แล้วส่งเสียงขู่คำราม "โฮก!"
นางตกใจสุดขีด ร้องออกมาว่า
"คุณพระช่วย"
"นั่นล่ะ นางมีพระอยู่ในใจ แม้ยามตกใจกลัวสุดขีด จิตสำนึกของนางก็นึกถึงพระ นางเป็นคนดี สหายอย่ากินนาง"

รุกขเทวดาพูดกับเสือ โดยที่หญิงชราไม่ได้ยิน เสือก็เดินจากไป

คืนนั้นหญิงชราหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้า พบว่าเชือกที่มัดตัวนางหลุดออก และมีทองคำหม้อหนึ่งวางอยู่ที่เท้า นางนำทองกลับไปซื้อบ้านอยู่อาศัยเองหลังหนึ่งอย่างสุขสบาย

ลูกสะไภ้ทราบว่านางยังไม่ตายและร่ำรวยมีเงินซื้อบ้าน จึงให้สามีมาสอบถามเรื่องราว ซึ่งนางก็เล่าให้ลูกชายฟัง ไม่ปิดบัง ด้วยความโลภของลูกสะไภ้อยากได้ทองบ้าง จีงบอกให้สามีมัดตนไว้กับต้นไม้ใหญ่ในป่า เช่นเดียวกับที่ทำกับแม่ของสามี

พอตกกลางคืนมีเสือออกมาจะกินลูกสะไภ้ เหตุการณ์ก็เป็นไปเหมือนที่เกิดขึ้นกับหญิงชรา พอเสือเข้าใกล้ขู่คำราม "โฮก!" ลูกสะไภ้ของนางก็ร้องออกมาว่า
"คุณพระช่วย หม้อทองของฉันอยู่ที่ไหน ฉันต้องการหม้อทอง"
"ผู้หญิงคนนี้ ร้องให้คุณพระช่วย แต่ไม่มีพระอยู่ในใจ จิตใจของนางมีแต่ความโลภและความเจ้าเล่ห์ เจ้ากินนางได้เลย " นางก็ถูกเสือกิน


มีคนจำนวนไม่น้อยที่ขอให้คุณพระช่วย หรือต้องการให้คุณพระช่วยเช่นเดียวกับลูกสะไภ้ของหญิงชราในเรื่องนี้ บางคนลงทุนมากถึงขนาดเอาเงินหมื่นเงินแสนเงินล้านเพื่อให้ได้พระเครื่องหรือพระพุทธรูปเก่าๆ มาคล้องคอ หรือมาเก็บไว้ที่บ้าน เรียกกันว่าเช่าพระ ความจริงก็คือซื้อขายกัน

นักเลงพระเครื่องหรือพระพุทธรูปต่างๆ มักอ้างว่า เพื่อเอาไว้เป็นที่พึ่งทางใจบ้าง เพื่อบูชาคุณของพระบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณพระบ้าง โดยเฉพาะที่สำคัญ คือ เพื่อให้คุณพระคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ จากการเดินทาง ปลอดภัยจากศาสตราวุธต่างๆ ทำนองรถคว่ำก็ไม่ตาย เครื่องบินตกก็ไม่ตาย ใครจะยิงฟันแทงก็ไม่เป็นอะไร คุณพระจะช่วยคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย

หากคุณพระช่วยคุ้มครองได้ในลักษณะนี้จริงคนที่มีโอกาสได้คุณพระไปช่วยคุ้มครองมากที่สุด คือเศรษฐี มีเงินทั้งหลาย เพราะมีกำลังเงินทองมากมายที่จะหามาครอบครองเป็นเจ้าของได้มากกว่าคนอื่น

แต่ในความเป็นจริง นักเลงพระเครื่องชื่อดัง คนมีพระเครื่องชื่อดัง หรือเศรษฐีทั้งหลาย ก็ติดคุกบ้าง ถูกฆ่าตายบ้าง ประสบอุบัติเหตุบ้าง

ท่านอาจารย์พุทธทาส บอกว่า
"การที่จะให้คุณพระช่วยนั้นไม่ต้องลงทุนอะไร คนโง่เท่านั้นที่ลงทุนมากมาย เพื่อจะให้ได้มาซึ่งคุณพระ"

คุณพระที่แท้จริงนั้นเป็นของได้ฟรีได้เปล่าๆ ไม่ต้องเสียสตางค์เลย
เพียงแต่ให้รู้จักปฏิบัติทางกาย วาใจ ใจ ให้ถูกต้องตามคำสอนของศาสนาเท่านั้น

ที่มา....นิทานธรรมยุคไอที โดย..สุชา ธรรมชาติ

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read28b2.html?No=397

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........พระเตะตะกร้อ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 08:04:52 »
ทำยากให้ง่าย(สา - ระ - ขัน)

สมปองเข้าไปหาจิตแพทย์ด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“หมอครับ ช่วยผมด้วย ผมนอนไม่หลับมาเป็นปีแล้ว ทุกครั้งที่นอนบนเตียง ผมจะรู้สึกว่ามีใครซ่อนอยู่ใต้เตียง พอผมลงไปนอนใต้เตียง ก็มักตงิด ๆ ว่ามีคนอยู่บนเตียง ผมเป็นอะไรรู้ไหมหมอ หมอช่วยผมที”

“คุณไม่เป็นอะไรมากหรอก คุณคิดมากไปเอง มาหาหมอทุกอาทิตย์ แล้วหมอจะช่วยคุณ แต่ระหว่างที่คุณอยู่บ้าน ขอให้คุณพูดกับตัวเองก่อนนอนสัก ๑๐๐ ครั้งทุกคืนว่าห้องนี้มีฉันคนเดียว ไม่มีใครอยู่ใต้เตียงหรือบนเตียงทั้งสิ้น”

อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่าที่สมปองทำตามที่หมอว่า ทั้งพูดกับตัวเองคนเดียวและไปคลินิกฟังหมอบรรยายนานนับชั่วโมง หนึ่งเดือนผ่านไปพร้อมกับเงินอีกหลายพันบาทที่จ่ายเป็นค่ารักษา สมปองก็หายหน้าไปจากคลินิก แล้ววันหนึ่ง หมอก็เจอสมปองโดยบังเอิญที่ห้างสรรพสินค้า

“คุณหายไปไหน ไม่เห็นไปหาผมอีกเลย”

“ผมหายแล้วครับ”

“หายได้ยังไง หมอยังรักษาไม่ครบคอร์สเลย”

“ผมไปเจอหลวงพ่อที่อยุธยา ท่านแนะว่าให้ผมตัดขาเตียงออกซะ ก็เท่านั้นเอง”

     สมปองมีปัญหาทางจิตใจ เขาเป็นคนคิดมาก อาจเป็นเพราะมีปมบางอย่างในใจ จิตแพทย์พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ และพาเขาสำรวจปมดังกล่าว ทั้งให้ทำแบบฝึกหัดมากมาย แต่ไม่เป็นผล ผิดกับหลวงพ่อซึ่งเข้าใจนิสัยของคนอย่างสมปองดี แทนที่ท่าน จะใช้เหตุผลอธิบายให้เขาหายวิตกกังวล ท่านแนะวิธีแก้ที่ง่ายกว่านั้น เมื่อตัดขาเตียง ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนอยู่ใต้เตียง เป็นอันว่าหมดปัญหา

การอธิบายด้วยเหตุผลนั้น ใช้ได้กับบางคน หรือใช้ได้ในบางสถานการณ์ คนที่กำลังทุกข์ร้อนอย่างหนัก เอาเหตุผลหรือแม้ แต่ธรรมะมาพูดกับเขา มักจะไม่ได้ผล เพราะสมองไม่รับ คำพูดจึงไม่เข้าหัว แต่พอหลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้หรือให้สายสิญจน์ เขากลับสงบและเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น วิธีนี้แม้ไม่ช่วยให้เขามีปัญญามากขึ้น แต่ก็ดึงสติของเขาให้กลับมาและตั้งหลักได้เร็ว คนที่มีการศึกษามักดูถูกหลวงพ่อหลวงปู่ที่ใช้วิธีแบบนี้ หาว่าเป็นไสยศาสตร์ ทำให้หลง งมงาย นั่นเป็นเพราะเขายังไม่เข้าใจจิตวิทยาของชาวบ้าน

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ววิธีของหลวงพ่อเป็นการทำเรื่องยาก ให้เป็นเรื่องง่าย ตรงกันข้ามกับวิธีการของจิตแพทย์ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน นอกจากใช้เวลานานแล้ว ยังสิ้นเปลืองทั้งเงินและคำพูด คนที่มีความรู้มาก มีการศึกษามาก แม้จะมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง แต่บางครั้งก็ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read2387.html?No=396

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: ธรรมะหรรษา..........พระเตะตะกร้อ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 11:07:33 »
ธรรมะหรรษา หลากหลายบทความ 36; 36;
                                       
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความที่ดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :033: :033:
   
 

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ