ผู้เขียน หัวข้อ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)  (อ่าน 3988 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ต่อจากตอนที่ 5
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23685
==========================================

จิตหลอก

    ตอนใดที่จิตของเรามีความแน่วแน่บริสุทธิ์แท้จริง ความรู้มันก็จริง ถ้าช่วงใดที่จิตของเราไม่แน่วแน่และมีกิเลสเจือปน หรือเราอยากรู้อยากเห็น มันจะโกหกเราทันที เพราะฉะนั้น ทางผิดทางถูกอย่าไปสำคัญมั่นหมายในสิ่งรู้ทั้งหลายเหล่านั้น อะไรมันจะมีก็มี อะไรมันจะเป็นก็เป็น เช่นอย่างรู้ว่าคนโน้นเขาจะเป็นอย่างนี้ คนนี้เขาจะเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นแต่เพียงอารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติเท่านั้น เราอย่าไปยึด ถ้าหากว่าเราไปสำคัญมั่นหมายว่าเรารู้จริงเห็นจริงแล้ว ทีหลังมันจะโกหกเรา

   หลวงพ่อเคยทดลองดูแล้วตอนที่เขากำลังเล่นหวยกัน ทีแรกมีโยมอุปัฏฐากคนหนึ่งเขาก็นับถือว่าหลวงพ่อนี่คือลูกของเขาคนหนึ่งเหมือนกัน วันหนึ่งไปเยี่ยม เขาพูดขึ้นมาอย่างนี้ ทีลูกบ้านลูกเมืองเขาบอกหวยบอกเบอร์พ่อแม่ได้ ทีลูกเรานี่ไม่เห็นบอกสักที หลวงพ่อก็เลยบอกว่า โยมเอาจริงไหม ถ้าเอาจริงแล้ว มาสัญญากันไว้ก่อน ถ้าหลวงพ่อไม่บอกแล้วอย่าไปซื้อ ทีนี้พอสัญญากันเรียบร้อย หลวงพ่อก็มานั่ง แล้วมันก็เกิดนิมิตขึ้นมาทีเดียว ๕ งวด งวดแรกหลานมาจังหันก็เขียนใส่ซองส่งไปให้ พอหลานเอาไป ก็เอาไปให้พ่อมันดู อันนี้มันไม่ออกหรอก ฉีกทิ้ง ใบที่สอง อันนี้มันไม่ออกหรอก ฉีกทิ้ง ทีนี้แกทนไม่ไหว มันผ่านมางวดสองงวดแล้ว แกทนไม่ไหว แกอยากเล่น พอเสร็จแล้วแกก็มาเอง หลวงพ่อบอกว่าเที่ยวนี้ให้ซื้อ ๐๖ กับ ๔๒ แกก็ไปซื้อแต่ ๔๒ มันก็ออก ๐๖ เที่ยวหลังไปขออีก เอา เที่ยวนี้ให้ซื้อ ๔๒ แกก็บอกว่า ๔ กับ ๒ มัน เป็น ๖ มันออกมาแล้ว มันจะออกมาได้อย่างไร ใครไปตั้งกฎหมายบังคับ พอเสร็จแล้วมันก็ออก ๔๒

   มาภายหลังนี่.. เอาล่ะ หลวงพ่อเลิกบอกแล้ว แต่ว่าไม่บอกโยม แต่เราก็มาทำเพื่อพิสูจน์ทดสอบของเราเอง มานั่งเข้าได้ตั้ง ๕ งวดอีกเหมือนกัน ตอนนี้ไม่บอกใคร เขียนใส่แผ่นกระดาษแล้วก็เอาใส่ไว้ในลิ้นชักว่ามันจะออกไหม พอผ่านไปแล้วมันออกหมดทุกตัว เอาละ ทีนี้จะบอกญาติบอกโยมบ้างล่ะ ไปนั่ง..มันมาสวยกว่าเก่า แล้วก็มามากด้วย มาตั้ง ๑๐ งวด เป็นคู่ ๆ มาตั้ง ๑๐ คู่ มาตอนนี้ บอกปั๊บ งวดแรก ไม่ออก งวดที่ ๒ ก็ไม่ออก งวดที่ ๓ ไม่ออก งวดที่ ๔ ที่ ๕ ไม่ออก เอ้า หยุดบอก พองวดที่ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ออกหมดทุกงวด นี่มันเล่นตลกเรา อย่างนี้แหละ

   สิ่งที่เรารู้อย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น จะรู้จริงหรือไม่จริงไม่สำคัญ เราอย่าไปสำคัญมั่นหมาย เอาตรงที่ว่ามันรู้ปัจจุบันนี้จิตของเราเป็นอย่างไร มันเศร้าหมองหรือมันผ่องแผ้ว แล้วมัน มีแนวโน้มไปทางบาปหรือไปในทางบุญ แล้วมันมุ่งที่ยึดมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แน่วแน่หรือเปล่า ดูกันที่ตรงนี้ ส่วนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่าไปสำคัญมั่นหมาย แม้แต่ความรู้ในธรรมะนี่ พอมันโผล่ขึ้นมา เอ๊ะ.. อันนี้มันอะไรนี่ อย่าไปสนใจ เอาเพียงแต่รู้ว่า เรามีความคิด มีอารมณ์จิตเท่านั้น ผิดถูกอย่าไปสำคัญมั่นหมาย ความผิดความถูกมันมีสิ่งที่ตัดสิน อันใดที่เรารู้แล้วมันไม่ชวนเราไปทำผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง นั่นแหละถูกต้อง

   เดี๋ยวนี้นักปฏิบัติมาเถียงกันเฉพาะว่า สมาธิขั้นนั้นเป็นอย่างไร ญาณขั้นนั้น ฌานขั้นนั้นเป็นอย่างไร มัวอยู่เฉพาะตรงนี้ แต่ตัวใน ตัวจิตนี่ไม่ดู อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือก็ไปเที่ยวกล่าวตู่แต่ชาวบ้านเขา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่จิต อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ไม่ดู สิ่งอื่นๆ นอกจากจิตของเราแล้วมันไม่มีอะไรเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตของเรานี้เอง พอเรากระทบอารมณ์ที่ทำให้โกรธ พอจิตของเราเที่ยงมันก็ไม่หวั่นไหว กระทบอารมณ์ที่ทำให้รักให้ชอบ ถ้าจิตของเราเป็นปกติ ไม่หวั่นไหว มันก็เที่ยง ถ้ามันหวั่นไหวเมื่อไรก็ไม่เที่ยง เขาด่ามามันโกรธ มันก็ไม่เที่ยง ถ้าด่ามาแล้วมันไม่โกรธไม่เคียดอันนั้นมันเที่ยง


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 06 ก.ค. 2554, 08:03:00 »
วิธีแก้ดวงไม่ดี

   ใครว่าดวงดีดวงไม่ดี จะไปแก้ดวงกันได้อย่างไรนอกจากปฏิบัติดีเท่านั้น วิธีแก้ดวงไม่ดีเอาอย่างนี้ซิ ให้ไหว้พระสวดมนต์ เริ่มต้นด้วย อะระหัง.. สวากขาโต.. สุปะฏิปันโน จบแล้วก็ นะโม ๓ จบ สวดอิติปิโส.. สวากขาโต.. สุปะฏิปันโน จบแล้วแผ่เมตตาพรหมวิหาร มาอธิษฐานจิตขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงช่วยดลบันดาลให้ดวงข้าพเจ้าดีขึ้น แล้วก็สำรวมจิต สวดเฉพาะบทอิติปิโสบทเดียว สวดให้ได้เท่าอายุตัวเอง หรือจะชักลูกปะคำสวดให้มันได้ ๑๐๘ จบ ยิ่งดี ทีแรกเราสวด ๓ บทต่อเนื่องกันไปก่อน พออธิษฐานจิตแล้วเราสวดเฉพาะบทอิติปิโสบทเดียว สวดทุกวันๆ เอาบทนี้แหละแทนบทภาวนาเลย ทีนี้พอสวดไปๆ ถ้าเราสวดทุกวัน สวดหนัก ๆ เข้า เราจะมีอาการกายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ บางทีจิตวูบไปนิ่งสว่าง... หยุดสวดมนต์ปล่อยให้มันหยุดอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสวดอีก จิตหยุดนิ่ง ...สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน

    อิติปิโสนี่เป็นพุทธคุณ พรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า เมื่อเราสวดไม่หยุด จิตเราถึงพุทธคุณแล้ว นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน คุณของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นที่จิตของเราแล้ว เราหยุดสวดทันที กำหนดรู้อยู่เฉย ๆ ทำใจเฉย ๆ อยู่ ทีนี้ในช่วงนั้นถ้าหากว่าจิตมันจะละเอียดลงไปจนกระทั่งถึงร่างกายตัวตนหาย ช่างมัน ปล่อยไป... พอมันนิ่งไปสุดช่วงแล้วจิตมันจะถอนออกมาเอง


    ถ้าในขณะที่มันนิ่งที่เรารู้อยู่เฉพาะที่จิต ไม่รู้เรื่องภายนอกนี่ คนอื่นเขาอาจเข้าใจว่าเราเป็นอะไรไป แล้วเขาจะมาทุบมาตีมาปลุก เมื่อปลุกแล้วเราไม่รู้ตัว ถ้าในขณะนั้นจิตยังไม่ถอนเอง บังเอิญเราตื่นขึ้นมาเพราะการปลุก เราจะรู้สึกไม่สบาย ถ้ากลัวมันจะเลยเถิดกำหนดเวลาเอาไว้ว่า ถ้าจิตของข้าพเจ้าเป็นสมาธิแล้ว ข้าพเจ้าจะอยู่ในสมาธิ ๑ ชั่วโมง ถ้าเรากำหนดไว้อย่างนี้ แม้จิตของเราจะสงบแค่ไหน ถึงเวลาแล้วเขาออกมาเอง... นี่คือบทภาวนาที่วิเศษที่สุด

    ถ้าหากว่าใครมีคนเป็นหนี้เป็นสิน สวดไปแล้วอย่างที่ว่านั้นแล้วมาอธิษฐานจิต ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงดลใจลูกหนี้ให้เอาหนี้มาคืนข้าพเจ้า แล้วก็สวดอยู่นั่นแหละ สวดอิติปิโสนี่แหละ เสร็จแล้วลูกหนี้จะเอาหนี้มาคืน

    ที่แปดริ้ว อาซิ้มคนหนึ่งมา.. "หลวงพ่อ เขาเป็นหนี้อั๊ว ทำไงจะได้คืน อั๊วไปทวงทีไรเขาด่าแล้วก็ไล่ลงจากบ้านทุกที" "ไปสวดอิติปิโสซิซิ้ม" ก็แนะวิธีให้ไปสวด หลังจากนั้นประมาณเดือนหนึ่ง หลวงพ่อไปที่โน่น พอแกรู้ว่าหลวงพ่อไปแกก็รีบมารายงาน พอมาก็.. "อิติปิโสของหลวงพ่อนี่ดีจริงๆ น่ะ" "มันดียังไงซิ้ม" "อั๊วสวดแล้วเขาเอาหนี้มาคืนให้อั๊วหมดเลย โดยที่อั๊วไม่ต้องไปทวงเลย"

   บางคนสวดไปๆ จิตมันเป็นสมาธิเอง เขาถึงบอก โอ๊ย.. เมื่อก่อนนี้ไปไขว่คว้าวิ่งสำนักโน่นวิ่งสำนักนี่ เอ้า ไปภาวนาพุทโธก็ไม่แน่ใจ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ ก็ไม่แน่ใจ ใจมันรวนเรอยู่ พอมาสวดอิติปิโสนี่ได้สมาธิ

   เพราะฉะนั้น ถ้าใครสงสัยว่าหลักวิธีการสมาธิที่ท่านสอนทุกวันนี้ จะเอาแบบไหนดี ถ้าตัดสินใจไม่ลง ให้ตัดสินใจสวดอิติปิโสบทเดียวเท่านั้น
วันนี้มีหนุ่มใหญ่ท่านหนึ่ง เป็นข้าราชการสรรพสามิต มาบอกว่า ผมสวดมนต์แล้วทำไมตัวสั่น สวดชินบัญชรก็สั่น นั่นแหละจิตของคุณเข้าถึงคุณธรรม จิตมันสงบ มันจดจ่อกับบทสวดมนต์แล้วมันก็สั่น มันเป็นอาการของปีติ ปีติบางอย่างทำให้ตัวสั่น ทำให้ตัวโยก บางอย่างทำให้รู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้นบนอากาศ บางอย่างทำให้ขนหัวลุกขนหัวพอง บางอย่างทำให้หัวเราะ ร้องไห้ ปีตินี่เป็นความปลื้มปีติ ดีอกดีใจ ทีนี้คนใจอ่อน พอเกิดปีติแล้วใจมันลิงโลด เรียกว่ามันดีใจล้นพ้น ซึ่งอันนี้มันเกิดจากจิตสงบเป็นสมาธิอ่อนๆ


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 06 ก.ค. 2554, 08:10:50 »
อดีตอย่าหมายมั่น ปัจจุบันสำคัญกว่า

    (ชายคนหนึ่ง เข้าใจว่าตัวเองระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นพระธุดงค์ และมีวิชาติดตัวมาคือ หนุมาน ลิงลม แล้วก็จระเข้ หลวงพ่ออธิบายว่า..)

   มันบอกลักษณะของเราว่ามันก็เป็นเหมือนอย่างนั้นแหละ จิตของเรามันเหมือนลิงลม ลิงลมเมื่อลมมามันก็กระโดดไปตามต้นไม้ เวลาไม่มีลมมันก็อยู่นิ่งๆ จิตของคนเราเมื่ออารมณ์มันผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ มันก็กระโดดเหมือนลิงลมนั่นแหละ มันเป็นปริศนาธรรมที่แสดงให้เรารู้ ทีนี้มีทั้งจระเข้ จระเข้ในเมื่อโลภมันเกิดขึ้นมาก มันก็ฮุบหมดน่ะซิ เวลาจระเข้มันฮุบกินอาหารนี่มันไม่เลือก มันอ้าปากเอาไว้ให้แมลงวันมาขี้ใส่ปากมัน มันลงไปในน้ำมันก็อ้าปาก ปลาก็มารุมจิกกินไข่แมลงวัน พอเสร็จแล้วไม่รู้ล่ะ จะเป็นปลาหรือสาหร่ายอะไรไม่รู้ มันหุบปากลงกลืนกินหมด ในเมื่อความโลภมันเกิดขึ้นก็ฮุบเอาหมดนั่นแหละ มันเป็นปริศนาธรรมที่ส่อแสดงให้เรารู้ธรรมเห็นธรรม อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าเราเห็นอะไรแล้วเราเคยเป็นสิ่งนั้น จิตเมื่อมันสงบเป็นสมาธิแล้ว สารพัดที่มันจะปรุงแต่งขึ้นมา

   บางทีหลวงพ่อเวลาจิตสงบเป็นสมาธิ บางที โน่น.. มันไปมองเห็นตัวเองแต่งตัวเป็นพระมหากษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังก์โน่น แต่ก็ยังไม่เคยคิดว่าตัวเองเคยเป็นพระมหากษัตริย์มา ใครจะเป็นอะไรมาเกิดมันไม่สำคัญหรอก มันสำคัญอยู่ที่ว่าปัจจุบันนี้เราจะเอาดีได้หรือเปล่า เท่านั้นเอง สิ่งที่คนธรรมดาสามัญไม่รู้ไม่เห็นด้วยนี่ นักปฏิบัติเขาไม่พูดกันหรอก ถ้าพูดแล้วมันจะหลงติด อ้าว.. ประเดี๋ยวก็สาวๆ คนนี้เคยเป็นลูกเป็นเต้าเรายังงั้นยังงี้ ทีนี้เขาเชื่อพระ เขาก็หลงเชื่อว่ามันเป็นจริงอย่างนั้น ก็มาติดพันกับพระเข้า อีกสักหน่อยคุณพ่อกับคุณลูกก็จูงแขนกันลงนรก เพราะฉะนั้นอย่าไปสนใจกับมันเลยเรื่องอดีตชาตินี่

   ปัจจุบันนี้สำคัญที่สุด เราเกิดมาเป็นพลเมืองของประเทศไทย เราเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติบ้านเมืองเพียงพอหรือยัง อยู่ที่ตรงนี้ เราเกิดมาเป็นลูกพ่อลูกแม่ เราเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่เพียงพอแล้วหรือยัง อยู่ที่ตรงนี้ พระมหากษัตริย์ ผู้ปกครองแผ่นดิน เราไปลบหลู่ดูหมิ่นท่านหรือเปล่า ดูกันที่ตรงนี้ เรามีความเคารพ ทีนี้เวลาทำราชการมีผู้บังคับบัญชา เราซื่อสัตย์ เคารพระเบียบกฎเกณฑ์วินัยของข้าราชการ หรือเคารพผู้บังคับบัญชาเพียงพอหรือยัง มันอยู่ที่ตรงนี้ อย่าลืมว่า ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้เราสร้างความรักความเมตตาปรานี จุดแรกที่สุดนี้ให้สร้างความรักก่อน ทำไมจึงต้องสร้างความรัก คนเรารักกันแล้วมันจับมือกัน ช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญ ในทางคณะสงฆ์ ถ้าคณะสงฆ์มีความรักมีความเมตตาปรานีกัน ก็ร่วมกันทำงานพระศาสนาให้เจริญ เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นยอดปรารถนาของสังคม ทีนี้ในวงการหนึ่งๆ สถาบันหนึ่งๆ ถ้าเราไปรุมเกลียดคนสักคนหนึ่ง หรือคนทั้งหลายต่างคนต่างเกลียดขี้หน้ากัน ชวนกันทำงาน มันก็ไม่ร่วมมือกัน ทีนี้สิ่งที่จะได้รับคืออะไร บ้านเมืองล่มจม คณะสงฆ์ต่างคนต่างขัดผลประโยชน์กัน ต่างทะเลาะวิวาทกัน ผลลัพธ์ คืออะไร คือศาสนาล่มจม นี่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราควรจะคิดให้มากๆ

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 06 ก.ค. 2554, 08:40:05 »
กำลังใจรักษาไข้

     ผู้เฒ่าคนหนึ่ง อายุตั้ง ๗๐ เขาจะผ่าท้อง เส้นโลหิตมันพองโต ลูกสาวเขากลัวว่าพ่อเขาจะไม่ได้เห็นหน้าพระ ก็มานิมนต์ให้หลวงพ่อไปเยี่ยม หลวงพ่อก็ไป ก็ไปทำน้ำมนต์ให้ เป็นการให้กำลังใจ เสร็จแล้วก็ให้เขาเอาน้ำมนต์ลูบท้อง เอานะ.. จะเป่าให้หายเดี๋ยวนี้แหละ เสร็จแล้วกำหนดจิตนึถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ อธิษฐานจิตแล้วก็เป่าพรวดลงไป พอเป่าเสร็จ คนไข้ว่า.. ไม่ต้องผ่าก็ได้แล้วหลวงพ่อ เออ มาหาหมอต้องเชื่อหมอซิ พอตื่นเช้าเขาจะเอาเข้าห้องผ่าตัด เขาไปฉายเอ็กซเรย์ เส้นโลหิตหน้าท้องที่มันพอง โตขึ้นวัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ ๘ ซม. มันยุบลงเหลือ ๕ ซม. หมอเลยบอกว่าไม่ต้องผ่า เดี๋ยวมันจะหายเอง แต่ก็ไม่ได้นึกว่าตัวเองจะเป็นหมอรักษาโรคภัยไข้เจ็บอะไร เป็นแต่เพียงแค่ว่าไปให้กำลังใจคนไข้เท่านั้น

    อย่างบางทีคนเป็นลมชักแง้กๆๆ เขามาเรียกไปดู ไปแทนที่จะไปทำอะไร พอไปถึงกระทืบเท้าปังๆๆ ๓ ที เอ้อ.. มันจวนจะตายแล้ว มัวแต่ร้องอยู่นั่น ทำไมไม่นึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ขาดคำ.. เงียบ แล้วก็เดินหนี อีกสักพักเขาไปตาม หลวงพ่อไปดูหน่อย มันเป็นอะไรอีกล่ะ ไปดูเองก็แล้วกัน พอไปที่ไหนได้ ลุกขึ้นมาคุยฉอดๆ อยู่ หายแล้ว มันหลายแบบหลายอย่าง

   ทีนี้ผู้ที่รักษาโรคด้วยพลังจิตนี่มันหายได้จริงไหม คำตอบ...หมอวิเศษแค่ไหนเป็นหมอเทวดาก็รักษาได้เฉพาะแต่คนที่จะไม่ตาย โรคบางอย่างรักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย โรคบางอย่างรักษาจึงหาย ไม่รักษาไม่หาย โรคบางอย่างรักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย นี่คือกฎความจริงและคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ถ้าใครท้าทายว่าฉันสามารถจะรักษาโรคทางจิตทางใจให้หายได้ อันนั้นเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม ถ้า พระสงฆ์ไปคุยก็อวดอุตรีมนุสสธรรมเป็นอาบัติ ทีนี้เวลาหมอหลวง หมอโรงพยาบาลไปตรวจ คุณหมอ.. ฉันจะไม่ตายหรือ ไม่เป็นไร หมอจะรักษาให้หาย นี่คือการให้กำลังใจ

อุบายเลิกเหล้า

(มีคนติดเหล้าอุตส่าห์เดินทางมาจากจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อมาขอแนวทางในการเลิกเหล้าจากหลวงพ่อ หลวงพ่อให้อุบายว่า)

   การทำมาหาเลี้ยงชีพไม่รู้จักหา ไม่รู้จักทำ มีแต่กินท่านเดียว มีสตางค์มาก็วิ่งเข้าร้านขายเหล้า ลงผลสุดท้ายเราก็จะลำบาก เรายังน้อยยังหนุ่ม รีบพยายามที่จะพิจารณาตัวแล้วรีบ เลิกละมันเสีย นึกถึงตอนแก่นั่นซิ ตอนแก่แล้วเรามัวแต่เมาไม่ประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ งานการไม่ทำมีแต่เมามีแต่กิน เมื่อแก่ลงมาเราหาอยู่หากินไม่ได้ พ่อแม่ล้มหายตายจากไปหมด เราจะไปพึ่งพา อาศัยใคร ถ้าเราไม่ดีพี่น้องก็พึ่งพาอาศัยไม่ได้ พยายามนึกถึงเรื่องนี้ให้มากๆ ประเดี๋ยวใจมันก็ค่อยๆ แข็งขึ้น มันก็ค่อยๆ เลิกไปเอง

 ...เรากำลังหนุ่มแน่น กำลังจะเจริญ พยายามทำใจให้แข็งเสีย วิธีฝึกตนก็พยายาม ทีแรกนี่ เวลาว่างๆ ก็ไปจำศีลอยู่กับพระกับเจ้าเสีย ทีละอาทิตย์สองอาทิตย์ มันจะค่อยห่างไปๆ.. ทางโปรดของหลวงพ่อก็มีอย่างนี้แหละ ให้พยายามทำใจให้แข็ง อดทน ใครมาหลวงพ่อก็เทศน์ให้ฟังอย่างนี้ ใครเอาจริงเขาก็เลิกได้ อยู่ที่ใจ.. ไม่มีอะไรแก้ อยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเห็นความชั่วความไม่ดี ของการกินเหล้า เวลาปกติที่เราสร่างเมาแล้ว ก็ค่อยๆ พิจารณาดูโทษของมัน

   น้องชายของหลวงพ่อคนหนึ่ง เมาหัวราน้ำเหมือนกัน กลับมาบวช ๒ ครั้ง ครั้งแรกอยู่ไม่ได้ ทนไม่ไหว สึกออกไป มาทีหลังนี่มาบวชอีก มาบวชคราวหลังนี่เลิกเหล้าได้ บวชจนตายในผ้าเหลืองเลย
..กินก็กินเวลาจำเป็นเข้าสังคม แต่ว่าเลิกสังคมแล้วอย่า.. อย่าไปนึก อย่าไปกินมัน ให้อดเอา ก็มีแต่ตัวเองนั่นแหละต้องพยายามช่วยตัวเองให้มาก คนอื่นก็ช่วยไม่ได้ดอก
พยายามรีบๆ ปรับปรุงตัว อดมันเสีย ตั้งใจให้มันเด็ดขาดแล้วก็อย่าไปสบถสาบาน ตั้งใจให้มันแข็ง ให้นึกถึงใจพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายที่เขาก็เป็นห่วงเป็นใยเรา กลัวเราไม่ได้ดิบได้ดี นึกถึงความหวังดีของพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย..


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 06 ก.ค. 2554, 08:44:02 »
เดรัจฉานวิชา

   ผู้ใดไปเล่นเสน่ห์นี่..บาป ทำมาหากินไม่ขึ้น มันแพ้ตัวเอง คาถาอาคมนี่ สวดอิติปิโสบทเดียว อย่าไปเอาอย่างอื่น จบแล้ว.. สวากขาโต.. สุปะฏิปันโน.. อะหัง สุขิโต โหมิ.. สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ นั่นแหละมนต์ดีที่สุดในโลก เหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

   นี่เราไปเที่ยวเชื่อคาถาอาคม ทีนี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านเห็นพวกเราเชื่อ ท่านก็ไปหาเรียนมา มาแล้วก็มาหลอกลวงพวกเรา บางทีไปบางสำนักแจกสีผึ้งให้คนละตลับๆๆ ตลับละสี่ซ้าห้าร้อย เสร็จแล้วเอาไปสีปาก สีแล้วเป็นไง มันจะรวยๆ พระท่านไม่ได้โกหกหรอก เราเอาของท่านไป เราให้เงินท่าน ท่านเองรวย แต่เราไปสีจนสีปากมันด้านมันก็ไม่รวย เพราะฉะนั้น เลิกเชื่อพระเสียเถอะ ต่อไปนี้ให้เชื่อแต่พระที่สอนให้รู้จักคุณพ่อคุณแม่ปู่ย่าตายาย รู้จักบุญคุณ รู้จักกตัญญูกตเวที รู้จักให้สร้างแต่ความรัก ความเมตตาปรานีต่อกัน ถ้าใครมาสอน ให้เชื่อเครื่องรางของขลังละก็.. อย่าไปไหว้ เลิกไหว้
เหรียญไม่มี ไม่แจกทั้งนั้น แจกแต่ธรรมะ ของดีนี่ให้เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ถ้ามีปู่ย่าตายาย เลี้ยงปู่ย่าตายาย มีครอบครัวเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียให้ดี เมตตาสงสารกันให้มากๆ มันอยู่ที่นี่.. ของดี ถ้าผัวเมียทะเลาะกัน ครุฑอยู่ในกระเป๋ามันตีปีกปุ๊บ ๆ ๆ ๆ มันจะบินหนี

เคล็ดลับสำหรับคนอยากรวย

ใครอยากร่ำอยากรวย


๑. ให้หยุดกินเหล้า
๒. หยุดเล่นการพนัน
สองอย่างนี้ ถ้าทำได้ จะอยู่เย็นเป็นสุขสบาย
คนไทยเราที่ตั้งตัวไม่ค่อยได้เพราะการพนันกับเหล้า เพราะฉะนั้น ขอร้องให้หยุดสองอย่างนี้ มันไม่แซ่บหรอก เหล้ากินแล้วมันเมา ปวดหัวอย่างกับเป็นไข้หวัด อย่าไปกินมันเลย

ทีนี้หลักธรรมะที่จะยึดเป็นหลัก
๑. หมั่นขยันในการประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพ
๒. หัดตระหนี่ให้มากๆ คนไม่ตระหนี่ไม่มีทางได้เป็นเศรษฐี
๓. ทำความดีกับเพื่อนบ้าน ให้เพื่อนบ้านเขารัก
๔. เลี้ยงตนเองและครอบครัวให้มีความสุขสบายตามสมควร
อันนี้เป็นหลักธรรมะที่ควรจะยึดไว้เป็นหลักสร้างตนเอง
หนึ่ง.. งดกินเหล้า สอง.. งดเล่นการพนัน

   หลวงพ่อช่วยเหลือเด็กเรียนหนังสือ ถ้าสอบถามว่าพ่อแม่มันกินเหล้าเป็นไหม เล่นการพนันเป็นไหม ถ้ากินเหล้าเล่นการพนันแล้วไม่ช่วย เงินไปซื้อเหล้ากินมันยังมี เงินเล่นการพนันยังมี เงินจะจ่ายให้ลูกเรียนหนังสือไม่มี ไม่ช่วย ถ้าคนใดพ่อแม่ไม่กินเหล้า ไม่เล่นการพนัน ช่วยทุกคน

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 06 ก.ค. 2554, 08:49:42 »
มิติแห่งสัจธรรม

   โรงพยาบาลทหารที่โคราช บางเตียงที่มีคนไข้ตายอยู่นั่น คนไข้คนหลังไปนอนนี่มันกระชากขาตกเตียง หัวหน้าพยาบาลเขามาปรึกษา ทำอย่างไรหลวงพ่อ "เออ.. ฉันจะไปแผ่เมตตาให้มัน"

เพราะฉะนั้น เรื่องภูติผีปีศาจอย่าไปใช้เวทมนต์ขับไล่เป็นอันขาด แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลให้
เวลานี้หลวงพ่อจึงแนะนำให้ชาวบ้านทั้งหลายสวดมนต์ไหว้พระอยู่ที่บ้าน นั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน และที่สำคัญที่สุดก็แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกพเนจรทั้งหลาย ที่ล่องลอยหากิน

  คนใดที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยๆ คนนั้นแหละเป็นคนมีบุญ เรามีบุญเขาจึงมาหาเรา เขามาขอความช่วยเหลือจากเรา แต่เรากลัวเขาแล้วไปคิดร้ายต่อเขา หาหมอเวทย์หมอมนต์มาขับไล่เขา ถ้าหากว่ามนต์เก่ง เขาก็หนีไปพักหนึ่ง พอฤทธิ์ของมนต์เสื่อมเขาย้อนกลับมาทีหลัง เขาจะเล่นงานเราหนักกว่าเก่าอีก ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น

   ความแตกต่างของลัทธิศาสนาและคำสอนของแต่ละศาสนาจะมีความแตกต่างอยู่ในภพภูมิของมนุษย์เท่านั้น เมื่อมนุษย์ทั้งหลายตายไปแล้ว ยังเหลือแต่กฎของกรรม เป็นสัจธรรม ใครจะไปสอนกันว่าฆ่าสัตว์ไม่บาป หรือสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ก็ตาม ฆ่าสัตว์บูชายัญพระเจ้าไม่บาปก็ตาม เมื่อตายไปเขาจะได้รับผลกรรมที่เขาทำ เขาจะได้ความรู้สึกว่า พระสมณโคดมสอนถูกต้อง ศาสดาของเขาสอนผิด เขาจะได้ความอย่างนี้ทุกราย เพราะว่ากฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้าองค์ใดมาเสกสรรปั้นแต่งเอา พระพุทธเจ้าสอนเรา เรื่องอดีตคือปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได้ สิ่งที่พระองค์นำมาสอน ฆ่าสัตว์บาป พระองค์ก็เคยฆ่าสัตว์ตกนรกมาแล้ว ทำบุญอย่างนั้นได้บุญ พระองค์ก็เคยทำและขึ้นสวรรค์มาแล้ว บำเพ็ญเพียรภาวนา ทำสมาธิจิตได้ฌานจนไปเกิดในพรหมโลก พระองค์ก็ได้เคยเป็นมาแล้ว พระองค์เอาสิ่งที่พระองค์เป็นมาแล้ว ...มันเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ลองของมาแล้ว เอาแต่ความจริงทั้งนั้นมาสอนเรา

   ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มานั่งหลับตานึกเอาคิดเอา แล้วก็มาจัดเป็นศาสนา มันเป็นความรู้สึกที่พระองค์ได้ทดสอบมาด้วยตนเอง เช่นอย่างว่า ทำสิ่งนี้มันเป็นบาป พระองค์ก็ได้ทดสอบมาแล้ว พระองค์ได้ทำมาด้วยตนเอง แล้วก็ไปรับผลบาปมาด้วยตนเอง ทำสิ่งนี้เป็นบุญ พระองค์ก็ทำมาด้วยตนเอง แล้วก็ได้รับผลบุญด้วยตนเองมาแล้ว เอาสิ่งที่พระองค์เคยผ่านมาแล้วมาสอนเรา

   พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอดีตคือปุพเพนิวาสานุสติญาณว่า ในอดีตพระองค์เคยทำอะไรมาแล้วได้รับความทุกข์ความสุขอย่างไร ตรัสรู้เรื่องปัจจุบัน ในปัจจุบันประพฤติธรรมอะไรเป็นหลักจึงจะอยู่ด้วยกันโดยสันติสุข พระองค์รู้แล้ว พระองค์ได้ประทานศีล ๕ กับเมตตาพรหมวิหารให้ ถ้าใครอยากอยู่เย็นเป็นสุขในภพปัจจุบันให้ยึดธรรม ๒ ข้อนี้เป็นหลักปฏิบัติ


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 06 ก.ค. 2554, 10:47:36 »
เกร็ดธรรมะ..หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ภาค6 36; 36;
                                 
ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความธรรมะที่ดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณมากครับ) :033: :033:
   
   

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ sfrien16

  • ปฐมะ
  • *
  • กระทู้: 8
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 23 ส.ค. 2554, 03:23:51 »
จิตของเราบังคับยากนะ
บริษัทบริการทัวร์เชียงรายท่องเที่ยวภาคเหนือ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 23 ส.ค. 2554, 09:21:52 »
จิตของเราบังคับยากนะ
มีทั้งยากและง่าย
ลองเอาไปไว้ที่ลมหายใจสิครับ กำหนดไว้ที่......ลิ้นปี่ ช่องท้อง หรือภาพกสิณต่างๆ

ผิดถูกประการใด ช่วยแก้ไขและเสริมเติมด้วยครับ

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 23 ส.ค. 2554, 09:57:35 »
ลองศึกษาเพิ่มเติมในเรื่อง"บัณฑิตสามเณร"นะครับ

ในระหว่างที่พระสารีบุตรกับบัณฑิตสามเณรกำลังเที่ยวบิณฑบาตในตอนเช้า บัณฑิตสามเณรสังเกตเห็นสิ่งต่างๆระหว่างเดินบิณฑบาตกับพระเถระ

น้ำในคันนา ๑(มนุษย์ทำคันกั้นบังคับให้น้ำเข้านาได้), ลูกศรธนู ๑(มนุษย์ใช้ไฟช่วยดัดลูกศรธนูให้ตรงได้),กำล้อเกวียน ๑(มนุษย์ใช้มีดเหลาล้อเกวียนไม้ให้เข้รูปร่างได้)

จากนั้นบัณฑิตสามเณรได้เรียนสอบถามพระสารีบุตร ๓ สิ่งนั้นมีจิตหรือไม่ พระเถระกล่าวตอบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีจิตหรอกสามเณร

สามเณรจึงคิดด้วยปัญญาว่า ๓ สิ่งนั้นไม่มีจิต แต่มนุษย์สามารถบังคับทั้ง ๓ สิ่งนั้นได้ มนุษย์เองมีจิตแท้ๆ ทำไมจะบังคับจิตตัวเองไม่ได้เล่า

บัณฑิตสามเณรจึงถวายบาตรให้กับพระเถระ แล้วกลับมายังพระอาราม ตั้งใจแน่วแน่บำเพ็ญสมณะธรรม

ในที่สุดบัณฑิตสามเณรก็บรรลุอรหัตตผล.

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 23 ส.ค. 2554, 10:18:52 »
ลองศึกษาเพิ่มเติมในเรื่อง"บัณฑิตสามเณร"นะครับ

ในระหว่างที่พระสารีบุตรกับบัณฑิตสามเณรกำลังเที่ยวบิณฑบาตในตอนเช้า บัณฑิตสามเณรสังเกตเห็นสิ่งต่างๆระหว่างเดินบิณฑบาตกับพระเถระ

น้ำในคันนา ๑(มนุษย์ทำคันกั้นบังคับให้น้ำเข้านาได้), ลูกศรธนู ๑(มนุษย์ใช้ไฟช่วยดัดลูกศรธนูให้ตรงได้),กำล้อเกวียน ๑(มนุษย์ใช้มีดเหลาล้อเกวียนไม้ให้เข้รูปร่างได้)

จากนั้นบัณฑิตสามเณรได้เรียนสอบถามพระสารีบุตร ๓ สิ่งนั้นมีจิตหรือไม่ พระเถระกล่าวตอบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีจิตหรอกสามเณร

สามเณรจึงคิดด้วยปัญญาว่า ๓ สิ่งนั้นไม่มีจิต แต่มนุษย์สามารถบังคับทั้ง ๓ สิ่งนั้นได้ มนุษย์เองมีจิตแท้ๆ ทำไมจะบังคับจิตตัวเองไม่ได้เล่า

บัณฑิตสามเณรจึงถวายบาตรให้กับพระเถระ แล้วกลับมายังพระอาราม ตั้งใจแน่วแน่บำเพ็ญสมณะธรรม

ในที่สุดบัณฑิตสามเณรก็บรรลุอรหัตตผล.
ขอบพระคุณท่าน ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์) ครับ :015:

ออฟไลน์ speedtest

  • ปฐมะ
  • *
  • กระทู้: 1
    • ดูรายละเอียด
    • test SpeedTest เช็คความเร็วเน็ต ทดสอบความเร็วเน็ต วัดความเร็วเน็ต
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6)
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 25 ส.ค. 2554, 09:22:14 »
อนุโมทนาบุญครับ